Categories
ECONOMY

เกมรุกโลจิสติกส์! ไทย-จีนเปิดด่านผลไม้ใหม่ 5 แห่ง ลดคอขวด ดันมูลค่าส่งออก

เชียงราย–กรุงเทพฯชี้ชัด “เปิดด่านผลไม้ใหม่ไทย–จีน 5 แห่ง 1 ก.ย. 2568” เกมรุกโลจิสติกส์ลดคอขวด ดันมูลค่าส่งออกแตะ 1.8 แสนล้านบาท

เชียงราย, 17 สิงหาคม 2568 – เส้นทางการค้าผลไม้ไทยกับจีนกำลังก้าวสู่จุดเปลี่ยนสำคัญ เมื่อไทยและจีนตกลง “เพิ่มจุดนำเข้า–ส่งออกผลไม้” อีก 5 แห่ง ภายใต้กรอบความร่วมมือขนส่งผ่านประเทศที่สาม กำหนดเริ่มใช้ “1 กันยายน 2568” เป้าหมายชัดเจน คือ ลดต้นทุนและคลายความแออัดของด่านเดิมในฤดูกาลผลไม้ พร้อมขยายทางเลือกสู่ตลาดจีนแผ่นดินใหญ่ที่ยังเติบโตต่อเนื่อง ข่าวนี้ถูกจับตาในฐานะ “เครื่องมือเชิงโครงสร้าง” ที่อาจยกระดับโซ่อุปทานผลไม้ไทยทั้งระบบ หากสามารถปิดความเสี่ยงเรื่องความพร้อมของด่านฝั่งไทยและการพึ่งพาตัวกลางได้อย่างเป็นรูปธรรม

จุดเปลี่ยนเริ่มที่ด่าน เปิดทางใหม่ 5 แห่ง เชื่อมไทย–ยูนนานโดยตรง

ข้อตกลงครั้งนี้เพิ่มด่านฝั่งไทย 3 แห่ง และฝั่งจีน 2 แห่ง ดังนี้

  • ฝั่งไทย: ด่านทุ่งช้าง จ.น่าน, ด่านบ้านฮวก จ.พะเยา, ด่านภูดู่ จ.อุตรดิตถ์
  • ฝั่งจีน: เมิ่งคัง (Mengkang) และ ต๋าลั่ว (Daluo) มณฑลยูนนาน

การเปิดใช้พร้อมกันตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2568 มีนัยต่อการระบายผลไม้ฤดูกาลปลายปี และฤดูกาลต้นปีถัดไปโดยตรง โดยด่านยูนนานช่วยย่นเวลาสู่ “ตลาดภายในจีน” ได้มากขึ้น ไม่ต้องกระจุกที่ชายแดนกว่างซีเพียงไม่กี่จุดเหมือนที่ผ่านมา

ทำไมต้องเร่งเปิดด่านใหม่ในปีนี้

หนึ่งปีที่ผ่านมา ผู้ประกอบการเผชิญ “คอขวดชายแดน” ซ้ำๆ โดยเฉพาะ ด่านโหย่วอี้กวาน ในกว่างซีที่มีรถบรรทุกหนาแน่นทุกฤดูกาลทุเรียน แม้ทางการจีนและเวียดนามทยอยยกระดับโครงสร้างพื้นฐาน แต่ในช่วงผลไม้ทะลักเข้าด่าน ปัญหาแออัดยังเกิดซ้ำ โยงสู่ความเสี่ยงคุณภาพและต้นทุนที่พุ่งขึ้น. การเพิ่มด่านใหม่จึงถูกวางเป็น “วาล์วระบาย” เพื่อเสริมความยืดหยุ่นของระบบโลจิสติกส์ทั้งเครือข่าย

ปลายไตรมาสสองปีนี้ จีนยัง “ขยายเวลาเปิดทำการบางด่าน” และเพิ่มห้องปฏิบัติการตรวจสารต้องห้ามสำหรับทุเรียนไทย เพื่อลดคิวและเร่งรัดการตรวจปล่อย สะท้อนแรงจูงใจของจีนที่ต้องการสินค้าผลไม้คุณภาพจากไทยอย่างต่อเนื่อง

มูลค่าตลาด 1.8 แสนล้านบาท ตัวเลขที่ “ต้องรักษาและต่อยอด”

ข้อมูลภาครัฐระบุว่า จีนยังเป็นตลาดหลักของผลไม้ไทย มูลค่าส่งออกปีล่าสุด “เกิน 1.8 แสนล้านบาท” ตัวเลขนี้ไม่ได้หมายถึงรายได้ใหม่ที่จะเพิ่มขึ้นทันทีในปีเดียว แต่สะท้อน “ฐานตลาด” ที่นโยบายเปิดด่านใหม่มุ่งรักษาและผลักดันให้เติบโตต่อเนื่อง ด้วยการลดต้นทุนโลจิสติกส์และลดการสูญเสียจากความล่าช้าที่ด่าน

ในทางปฏิบัติ “การคลายคอขวด” มีผลโดยตรงต่อราคาและคุณภาพ โดยเฉพาะทุเรียนและลำไยที่อ่อนไหวต่อเวลา การกระจายไปยูนนานผ่านเมิ่งคัง–ต๋าลั่ว ช่วยเปิดทางสู่ตลาดตะวันตกและภาคกลางของจีนเร็วขึ้น ซึ่งต่างจากเส้นทางชายฝั่งเดิมที่ต้องแย่งคิวท่าเรือหรือสนามบิน

ความพร้อมฝั่งไทย คือจิ๊กซอว์ชิ้นใหญ่

แม้มีกรอบวันเริ่มใช้ชัดเจน แต่ “ความพร้อมโครงสร้างพื้นฐาน” ฝั่งไทยยังเป็นโจทย์สำคัญที่ต้องเร่งปิดงานให้ทันกำหนด

  • ด่านภูดู่ จ.อุตรดิตถ์: โครงการก่อสร้างด่านและอาคารประกอบเพิ่งอยู่ในขั้น “ประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์ (e-bidding)” กลางเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา สะท้อนว่าการก่อสร้างยังเดินหน้าไล่กับกรอบเวลา ต้องเร่งมือทั้งงานอาคารและระบบกำกับมาตรฐานสินค้าเกษตร
  • ด่านทุ่งช้าง จ.น่าน / ด่านพรมแดนห้วยโก๋น: ผู้บริหารกรมศุลกากรลงพื้นที่ติดตามความคืบหน้าเมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา เป้าหมายคือเตรียมความพร้อมอาคาร สายพานตรวจปล่อย และประสานงานชายแดน เพื่อให้รองรับรถบรรทุกผลไม้ได้ทันฤดูกาล
  • ด่านบ้านฮวก จ.พะเยา: จังหวัดจัดประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อ “ยกระดับจุดผ่านแดนถาวร” เร่งคลี่คลายงานเชื่อมต่อด่านสากลฝั่งลาวที่ปางมอน เพื่อให้ลำเลียงผลไม้เข้าสายเหนือได้คล่องตัวกว่าเดิม

ภาพรวมสะท้อน “เส้นตายที่ชัด แต่เส้นทางยังต้องเร่ง” การประสานระหว่างจังหวัด ชายแดน และศุลกากรจึงเป็นคอขวดใหม่ที่ต้องบริหารจัดการให้ทันฤดูกาล.

ภูมิทัศน์โลจิสติกส์ใหม่จากกว่างซี สู่ยูนนาน และรางจีน–ลาว

สองปีที่ผ่านมา จีนและภูมิภาคเร่งต่อจิ๊กซอว์โลจิสติกส์อย่างต่อเนื่อง ทั้งการเปิดด่านใหม่ในกว่างซี เช่น หลงปัง (Longbang) ที่เริ่มรับทุเรียนไทย และ “โมหาน” ในยูนนานที่เติบโตเร็วจาก รถไฟจีน–ลาว ทำให้ผลไม้ไทยเข้าลึกสู่มณฑลตอนในได้เร็วกว่าการขนส่งทางทะเล. การมี “เมิ่งคัง–ต๋าลั่ว” เพิ่มในยูนนาน จะช่วยเฉลี่ยภาระงานระหว่างด่านทางเหนือ ลดการกระจุกที่โหย่วอี้กวาน และช่วยให้ผู้ประกอบการออกแบบเส้นทางผสมผสาน “ถนน–ราง” ได้คุ้มค่าขึ้น

วิเคราะห์ความเสี่ยง เปิดด่านใหม่ยังไม่พอ ถ้า “โครงสร้างตลาด” เดิมไม่เปลี่ยน

หนึ่ง ความเสี่ยงเชิงปฏิบัติ คือ “ความพร้อมหน้างาน” ในวันเปิดใช้จริง หากอาคาร ระบบตรวจสอบ เอกสารดิจิทัล และการประสานงานข้ามหน่วยยังไม่เสถียร อาจสร้าง “คอขวดก้อนใหม่” แทนที่จะคลายคอขวดเดิม นี่คือเหตุผลที่ต้องตั้ง War room ระดับจังหวัด–ชายแดน เพื่อเคลียร์ปัญหาแบบรายวันใน 4–6 สัปดาห์แรก. ข้อมูล e-bidding ของด่านภูดู่บอกชัดว่า งานก่อสร้างยังเดินอยู่ ต้องเร่งกำลังคนและเครื่องจักรให้เข้าใกล้เส้นตายมากที่สุด

สอง ความเสี่ยงเชิงโครงสร้าง คือ “การพึ่งพาตัวกลาง” หรือที่อุตสาหกรรมเรียกติดปากว่า ล้งจีน แม้ด่านจะเพิ่ม แต่หากผู้ส่งออกไทยยังต้องพึ่งผู้รับซื้อรายใหญ่เพียงไม่กี่ราย อำนาจต่อรองราคาและเงื่อนไขการชำระเงินก็ยัง “เปราะบาง” ทางรอดคือ เพิ่มสัดส่วนการส่งออกโดยตรง และใช้แพลตฟอร์มการค้าออนไลน์ในจีนควบคู่ เพื่อเข้าถึงผู้ค้าปลีกและผู้บริโภคโดยตรงมากขึ้น ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือเชิงนโยบายด้านกฎระเบียบและข้อมูลตลาด.

สาม ความเสี่ยงภายนอก คือภูมิรัฐศาสตร์การค้า หากข้อพิพาทการค้าระหว่างมหาอำนาจยกระดับ ไทยอาจเผชิญแรงสั่นสะเทือนทางอ้อม จึงควรกระจายความเสี่ยงตลาด และรักษามาตรฐานความปลอดภัยอาหารให้เข้ม เพื่อผ่านด่านตรวจของจีนได้ราบรื่นในทุกสถานการณ์. แนวโน้มจีน “คุมเข้มคุณภาพ” เช่น การเพิ่มห้องแล็บตรวจสารต้องห้ามและการยืดเวลาเปิดด่าน สะท้อนมาตรฐานที่สูงขึ้นและการบริหารความเสี่ยงด้านความปลอดภัยผู้บริโภค

ตัวเลขที่ต้องเฝ้าดู “เวลา–คิว–สูญเสีย”

เมื่อด่านแออัด สิ่งที่สูญเสียไม่ใช่แค่เวลา แต่คือคุณภาพ สินค้าบางชนิดมี อายุการขาย สั้น การจอดคารอแดด 24–48 ชั่วโมง สามารถทำให้ ชั้นคุณภาพตกสเปค และราคาต่อหน่วยลดลงทันที การเพิ่มด่านยูนนานสองจุดเท่ากับเพิ่มท่อระบายใหม่ ให้ผู้ส่งออกเลือก “จราจรเบาบางกว่า” เพื่อรักษาคุณภาพและราคาขายปลายทาง โดยเฉพาะช่วงพีกของทุเรียนและลำไยที่ออกพร้อมกันในบางสัปดาห์. ข้อมูลภาคสนามชี้ว่า ในวันเร่งด่วน โหย่วอี้กวาน รองรับตู้ผลไม้ได้มากที่สุดในทุกด่าน แต่ก็ยอมรับว่าความแออัดยังเกิดซ้ำในฤดูกาล จึงต้องพึ่งด่านทางเลือกมากขึ้น

ภาพใหญ่ของ “1.8 แสนล้าน”โตได้อีก หากแก้โจทย์ “คุณภาพ–มาตรฐาน–รางเย็น”

ตลาดจีนยังโตต่อ โดยเฉพาะกลุ่มเมืองชั้นรองในยูนนาน เสฉวน ฉงชิ่ง การรักษามูลค่า 1.8 แสนล้านบาทให้ “โตแบบยั่งยืน” ต้องทำสามเรื่องพร้อมกัน

  1. มาตรฐานคุณภาพ: GAP, GMP และ Traceability ต้องเข้ม ระบบตรวจย้อนกลับช่วยลดความเสี่ยงการปฏิเสธสินค้าเมื่อเกิดปัญหา ปัจจุบันจีนเน้นความปลอดภัยสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
  2. โครงสร้างเย็น (Cold Chain): การลงทุน “รางเย็น” เชื่อมไทย–ลาว–จีน จะยกระดับคุณภาพถึงมือผู้บริโภค เพิ่มราคาต่อหน่วยและสร้างแบรนด์ผลไม้ไทยในตลาดบน
  3. ข้อมูลและการตลาดดิจิทัล: ใช้แพลตฟอร์มค้าปลีกในจีนเชื่อมผู้ซื้อปลายทาง เพิ่มยอดขายตรง ลดการพึ่งพาตัวกลางในบางสินค้า.

ทำวันนี้ให้ทัน 1 กันยา และทำพรุ่งนี้ให้ยั่งยืน

สำหรับภาครัฐ

  • ตั้ง ศูนย์ปฏิบัติการด่าน ชั่วคราว 60 วันแรก หลัง 1 กันยายน เพื่อแก้ปัญหาทันที ทั้งคิวตรวจ รถเข้า–ออก เอกสาร และระบบ IT หน้างาน
  • เร่ง “โครงสร้างพื้นฐาน” ที่ติดงานก่อสร้าง โดยเฉพาะด่านภูดู่ พร้อมวางแผนสำรองจุดพักรถ แดดร่มกันฝน และระบบคิวอัจฉริยะ ลดความร้อนของสินค้าในระหว่างรอ
  • จัดทำ ไกด์ไลน์ส่งออกตรง ให้ผู้ประกอบการไทยที่พร้อม สามารถขึ้นทะเบียนผู้นำเข้าฝั่งจีนได้ง่ายขึ้น ร่วมกับการอบรมข้อกำหนด GACC และมาตรฐานจีนสมัยใหม่
  • ทำ MoU ด้าน ข้อมูลคิวด่านแบบเรียลไทม์ แลกเปลี่ยนกับฝั่งจีน ให้ผู้ประกอบการเลือกเส้นทางได้แม่นยำยิ่งขึ้น

สำหรับผู้ประกอบการ–เกษตรกร

  • วางแผนเส้นทางใหม่ “ผ่านยูนนาน” เข้าสู่ตลาดตอนใน ลดการพึ่งด่านกว่างซีเพียงเส้นทางเดียว
  • ลงทุนในบรรจุภัณฑ์และ พรีคูล เพื่อคุมอุณหภูมิ ตั้งแต่สวนถึงด่าน ลดการตกชั้นคุณภาพ
  • สำรวจช่องทาง อีคอมเมิร์ซจีน ร่วมกับคู่ค้า เพื่อขายตรงในเมืองเป้าหมาย

สำหรับโลจิสติกส์

  • เตรียม Fleet Management รองรับหลายด่าน กระจายรถและคนขับ ลด Dead time หน้าด่าน
  • ลงทุน Cold Chain Mobile และระบบติดตามอุณหภูมิแบบเรียลไทม์ ส่งข้อมูลให้ผู้ซื้อปลายทาง สร้างความเชื่อมั่น

 “เปิดด่านใหม่คือการต่อยอดพิธีสารเดิม”

สาระสำคัญของข้อตกลงคือ “การปรับปรุงภาคผนวกของพิธีสารขนส่งผลไม้ผ่านประเทศที่สาม” ซึ่งไทย–จีนเคยลงนามร่วมกันไว้ก่อนหน้า การเพิ่มด่านครั้งนี้จึงเป็นการ “ต่อยอดกรอบเดิม” ให้ความร่วมมือเดินหน้าอย่างต่อเนื่องและเป็นระบบ ภาครัฐไทยสื่อสารชัดว่า การเปิดใช้ 1 กันยายน จะ “ลดต้นทุน เพิ่มทางเลือก” และหนุนให้การค้าผลไม้ไทยในจีนเติบโตมากขึ้น

ในทางปฏิบัติ ฝั่งไทยยังเดินหน้าตรวจเยี่ยมด่านและประชุมเชิงปฏิบัติการอย่างถี่ยิบ ตั้งแต่ทุ่งช้าง–ห้วยโก๋น ไปจนถึงบ้านฮวก ขณะที่ฝั่งอุตรดิตถ์เร่งเครื่องก่อสร้างภูดู่ เพื่อไล่ให้ทันกำหนดการเปิดด่านพร้อมกันทั้งแพ็ก ความต่อเนื่องเช่นนี้คือสัญญาณบวก ว่าจิ๊กซอว์ฝั่งไทยกำลังถูกวางลงกระดานอย่างจริงจัง

จับตา 4 ตัวชี้วัด หลัง 1 กันยายน 2568

  1. เวลารอคิวหน้าด่าน เฉลี่ยลดลงกี่ชั่วโมง เมื่อเทียบกับฤดูกาลก่อน
  2. สัดส่วนสินค้าผ่านยูนนาน เทียบกว่างซี เพิ่มขึ้นแค่ไหนใน 60 วันแรก
  3. อัตราการปฏิเสธสินค้า จากปัญหามาตรฐาน ลดลงหรือไม่ หลังจีนเพิ่มห้องปฏิบัติการและขยายเวลาเปิดด่าน
  4. ราคาหน้าสวน ของทุเรียน–ลำไยในจุดผลิตหลัก ดีขึ้นตามต้นทุนโลจิสติกส์ที่ลดลงหรือไม่

ด่านใหม่คือ “จุดเริ่มต้น” ไม่ใช่ “ปลายทาง”

การเปิดด่านผลไม้ใหม่ 5 แห่งในวันที่ 1 กันยายน 2568 เป็นก้าวครั้งใหญ่ของห่วงโซ่อุปทานผลไม้ไทย–จีน เป้าหมายคือคลายคอขวด ลดต้นทุน และกระจายเส้นทางสู่ตลาดตอนในของจีน แต่ความสำเร็จระยะยาวจะเกิดขึ้น ต่อเมื่อเราจัดการ “งานในบ้าน” ให้เรียบร้อย เร่งโครงสร้างพื้นฐานให้ทันเส้นตาย ยกระดับมาตรฐานคุณภาพเชิงรุก และลดการพึ่งพาตัวกลางด้วยช่องทางการตลาดใหม่ๆ หากทำครบถ้วน ด่านใหม่จะไม่ใช่แค่ทางผ่าน แต่จะเป็น “สะพานแห่งความสามารถแข่งขัน” ที่ช่วยให้มูลค่าตลาด 1.8 แสนล้านบาทเดินหน้าต่อได้อย่างมั่นคงในปีต่อๆ ไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักข่าว กรมประชาสัมพันธ์ (PRD)
  • กรมศุลกากร
  • ด่านศุลกากรทุ่งช้าง / ประกาศจัดซื้อจัดจ้าง: หลักฐานสถานะ e-bidding โครงการก่อสร้าง ด่านภูดู่ กลางเดือนกรกฎาคม 2568.
  • จังหวัดพะเยา (สำนักประชาสัมพันธ์จังหวัด): รายงานประชุมเชิงปฏิบัติการยกระดับ จุดผ่านแดนถาวรบ้านฮวก 6 ส.ค. 2568.
  • Global Times: รายงานการเพิ่มขึ้นของปริมาณผลไม้ไทยผ่าน โมหาน–รถไฟจีน–ลาว ยืนยันบทบาทเส้นทางรางในระบบโลจิสติกส์ใหม่
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

จากสวนถึงบ้าน! พาณิชย์เชียงรายคิกออฟตลาดส้มโอออนไลน์ จัดส่งฟรีทั่วประเทศ

พาณิชย์เชียงราย “เปิดตลาดส้มโอเวียงแก่นออนไลน์” จัดส่งฟรีทั่วไทย บรรเทาผลผลิตล้นตลาด–ต่อยอดเศรษฐกิจฐานราก

เชียงราย, 16 สิงหาคม 2568 – ฤดูส้มโอของอำเภอเวียงแก่นกำลังเดินหน้าเต็มกำลัง ผลผลิตทยอยออกสู่ตลาดต่อเนื่องตั้งแต่กลางฤดูฝนถึงต้นฤดูหนาว ขณะที่ราคาในประเทศเผชิญแรงกดดันจากปริมาณผลไม้ที่ออกมาพร้อมกัน จำนวนมากของผลผลิตสะท้อนทั้ง “ความสำเร็จเชิงเกษตร” และ “โจทย์ใหญ่เชิงการตลาด” ในคราวเดียวกัน ท่ามกลางความท้าทายนี้ สำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงรายเดินเกมเชิงรุก เปิดกิจกรรม “Kick off เปิดตลาดส้มโอเวียงแก่นผ่านระบบออนไลน์” เชื่อมตรงชาวสวนกับผู้บริโภค พร้อมสนับสนุน กล่องกรมการค้าภายใน (DIT) และบริการ จัดส่ง EMS ฟรีผ่านไปรษณีย์ไทย เพื่อเร่งระบายผลผลิต ลดต้นทุนโลจิสติกส์ และเพิ่มทางเลือกให้เกษตรกรในช่วงเวลาสำคัญของปี โดยมีการทยอยส่งมอบวัสดุบรรจุภัณฑ์ให้พื้นที่ตั้งแต่สัปดาห์ที่ผ่านมา และเดินหน้าจัดสรรโควตา “ส่งฟรี” ให้ชุมชนปลูกส้มโออย่างเป็นระบบ

ภาพใหญ่ของฤดูกาล ผลผลิตกำลัง “พีก” ขณะที่ราคาถูกแรงกดดัน

ฤดูกาลส้มโอเวียงแก่นโดยปกติเริ่มตั้งแต่ มิถุนายน–ตุลาคม ของทุกปี ทำให้ช่วง กรกฎาคม–กันยายน เป็นหน้าระบายผลผลิตที่คึกคักที่สุด ทั้งตลาดภายในและต่างประเทศ ในเชิงพื้นที่ เวียงแก่นถือเป็น “หัวเมืองส้มโอ” ของเชียงราย มีการปลูกกระจายหลายตำบล โดยเฉพาะ พันธุ์ทองดี และ พันธุ์ขาวใหญ่ ซึ่งเป็นพันธุ์หลักของภาคเหนือ ทั้งนี้ หน่วยงานรัฐระดับจังหวัดเคยชี้ให้เห็นแนวโน้มผลผลิตออกสู่ตลาดจำนวนมากในช่วงพีก และราคามีโอกาสอ่อนตัว จึงต้องเร่งใช้มาตรการด้านการตลาดเชิงรุกควบคู่กับการคุมคุณภาพผลผลิตให้ได้มาตรฐานส่งออกอย่างต่อเนื่อง

ไม่เพียงเท่านั้น ฐานข้อมูลทางการของจังหวัดและหน่วยงานข่าวภาครัฐยังสะท้อน “น้ำหนัก” ของสินค้าเกษตรตัวนี้ไว้ชัด—เวียงแก่นมีพื้นที่ปลูก หลายพันไร่ และเคยมีการสื่อสารเชิงนโยบายระดับจังหวัดว่าผลผลิตรวม แตะหลักหลายหมื่นตันต่อปี ยืนยันสถานะ “พืชเศรษฐกิจ” ที่ขับเคลื่อนรายได้ครัวเรือนในพื้นที่ชายแดนโขงตอนบน พร้อมกันนั้น จังหวัดยังผลักดัน “งานเทศกาลส้มโอเวียงแก่น” เป็นแม่เหล็กตลาดและการท่องเที่ยวเป็นประจำช่วงปลายสิงหาคมของทุกปี เพื่อเร่งยอดบริโภคสดและช่องทางค้าปลีกในประเทศควบคู่ไปกับตลาดส่งออก

กลไก “ส่งฟรี” ที่ลงมือจริง จากกล่อง DIT ถึง EMS ผลไม้

หัวใจของมาตรการระบายผลผลิตปีนี้คือ “การลดต้นทุนเข้าเส้นเลือด” ให้ชาวสวนขายตรงถึงผู้บริโภคโดยไม่พึ่งพาคนกลางมากเกินไป สำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงรายจึงเร่งส่งมอบ กล่องผลไม้ DIT ที่ออกแบบเพื่อขนส่งผลไม้สดโดยเฉพาะ และจับมือ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด เปิดทางให้เกษตรกร ส่ง EMS ผลไม้ฟรี ตามกรอบโครงการที่ประกาศไว้ (มีระยะเวลาสิ้นสุดครอบคลุมถึงปี 2569) ทั้งนี้ เกษตรกรรับกล่องได้ที่พาณิชย์จังหวัด นำผลผลิตที่คัดเกรดแล้วบรรจุและส่งที่ไปรษณีย์ในพื้นที่ ระบบจะคิดค่าส่งตามโครงการ “0 บาท” ช่วยให้ราคาขายหน้าออนไลน์แข่งขันได้มากขึ้น และผู้บริโภคต่างจังหวัดก็เข้าถึง “ส้มโอเวียงแก่นคัดเกรด” ได้ง่ายขึ้นกว่าที่เคย

ในระดับจังหวัด เชียงรายยัง จัดสรรโควตากล่องส่งฟรี ให้ชุมชนเป้าหมาย พร้อมวางแผน “แพ็กเส้นทาง” จากศูนย์รวมผลผลิตของสหกรณ์ไปยังไปรษณีย์ เพื่อให้เคลื่อนสินค้าได้ทันช่วง พีกดีมานด์ โดยเฉพาะสัปดาห์เทศกาล—ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่พฤติกรรมผู้บริโภคต้องการ “ชิมล็อตสดใหม่” และพร้อมเปิดรับดีลออนไลน์สั้น ๆ ที่มีจุดขายชัด เช่น “ส้มโอคัด 1 ลูก 1 กล่อง” หรือ “กล่องครอบครัว 3–5 ลูก” เพื่อเพิ่มโอกาสซ้ำซื้อหลังเทศกาล

จากออฟไลน์สู่ดีจิทัล เวียงแก่นมี “ฐาน” ให้ต่อยอด

การขยับสู่ออนไลน์ปีนี้ไม่ใช่จุดเริ่มต้นจากศูนย์ ย้อนดูปี 2565 จังหวัดเคยเปิดตัว “Kick off เปิดตลาดส้มโอเวียงแก่นผ่านระบบออนไลน์” อย่างเป็นทางการแล้ว โดยใช้วิธี “ปล่อยขบวนผลผลิต” ออกจากชุมชนสู่ผู้ซื้อปลายทางผ่านระบบขนส่งพิเศษ แนวทางดังกล่าวช่วยให้ปีนี้สามารถเร่งเครื่องได้ทันที เพราะทั้งกลุ่มสหกรณ์ ร้านค้า และช่องทางโซเชียลของชาวสวนเคยผ่าน “การบ้าน” ขั้นพื้นฐานมาแล้ว จึงเหลือโจทย์การคุมคุณภาพ คัดเกรด และเล่าเรื่องแหล่งผลิตให้สอดรับกับความต้องการของผู้ซื้อยุคอีคอมเมิร์ซเท่านั้น

ในฝั่ง ภาพลักษณ์และมูลค่าเพิ่ม ภาครัฐได้ขับเคลื่อนเชิงนโยบายระยะกลาง–ยาวด้วยการผลักดัน “ส้มโอเวียงแก่น” ขึ้นทะเบียน GI (สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์) ตั้งแต่ปี 2567 เพื่อยกระดับมาตรฐาน ตลาด และการรับรู้ของผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศ หากได้ GI เต็มรูปแบบ จะหนุนราคาเฉลี่ยและความสามารถแข่งขันในช่องทางพรีเมียมได้ชัดเจนยิ่งขึ้น เพราะผู้ซื้อสามารถตรวจสอบแหล่งที่มาและมาตรฐานก่อนตัดสินใจบนแพลตฟอร์มออนไลน์ได้สะดวกขึ้นด้วย

ส้มโอ” ไม่ใช่แค่ผลไม้คือโครงสร้างรายได้ของชายแดนโขงตอนบน

โครงสร้างชุมชนของเวียงแก่นพึ่งพา เกษตรเชิงภูมิอากาศ เป็นหลัก ส้มโอที่ปลูกบนดอนและพื้นที่ติดสันเขาได้รับแต้มต่อจากสภาพดิน–น้ำ–อากาศ ทำให้ได้ผลที่ “หวาน–อมเปรี้ยว–หอม” และเนื้อแน่น โดยเฉพาะพันธุ์ทองดีและขาวใหญ่ที่ “ติดตลาดส่งออก” มานาน ขณะเดียวกันการรักษามาตรฐาน GAP และระบบคัดแยกหน้าแปลงมีผลต่อ “เปอร์เซ็นต์ได้ราคา” โดยตรง หากชุมชนยกระดับ “การคัดหน้าไร่” ให้เสถียร—การขายออนไลน์แบบ “คละเกรดในกล่องเดียว” จะมีโอกาสคืนกำไรให้ชาวสวนมากขึ้น เพราะผู้บริโภคยอมรับการมีลูกใหญ่–ลูกเล็กในกล่องเดียวกันได้ หากทุกลูก “หวาน กรอบ ฉ่ำ” ตามสเป็กคุณภาพ

นอกจากนี้ ภาคธุรกิจปลายน้ำทั้ง ล้ง และผู้ส่งออกยังได้ประโยชน์ทางอ้อมจากกลไก “ส่งฟรี” เพราะ ตลาดในประเทศ ดูดซับล็อตที่ไม่เข้าเกณฑ์ส่งออกได้เร็วขึ้น ทำให้การจัดการสต็อกปลายสวนมีประสิทธิภาพ และลดแรงกดดันราคาในช่วงพีก การรักษาสมดุล ภายใน–ส่งออก จึงเป็นประเด็นยุทธศาสตร์ของปีนี้

เล่าให้เห็นภาพเส้นทาง “ลูกส้มโอ” จากเวียงแก่นถึงมือผู้ซื้อ

  1. คัดเกรดหน้าแปลง – คัดลูกขนาดสม่ำเสมอ ตรวจผิว ปิดขั้วให้เรียบร้อย เช็ดแห้ง ลดความชื้น
  2. บรรจุกล่อง DIT – รองกันกระแทก พิมพ์ฉลากแหล่งผลิต–พันธุ์–น้ำหนัก–วันบรรจุ จัดทำคิวอาร์โค้ดลิงก์คำแนะนำปอก–เก็บ
  3. ส่ง EMS ฟรี – นำไปที่ไปรษณีย์ไทย สแกนสิทธิ์โครงการ “ส่งผลไม้ 0 บาท” ตามเงื่อนไขพื้นที่–ช่วงเวลา
  4. รับปลายทางใน 1–2 วันทำการ – ผู้ซื้อได้รับกล่องพร้อมคู่มือการเก็บรักษาและไอเดียเมนู เพื่อเพิ่ม “ประสบการณ์สินค้า” และโอกาสกลับมาซื้อซ้ำ

โครงเรื่องง่าย ๆ นี้ทำให้ “ส้มโอ” กลายเป็นสินค้าอีคอมเมิร์ซที่แข่งขันได้ เทียบชั้นผลไม้เมืองร้อนตัวอื่น ๆ ซึ่งก่อนหน้านี้ครองตลาดออนไลน์มานานกว่า

หมายเหตุ: โครงการ กล่อง DIT + EMS ฟรี เป็นความร่วมมือเชิงนโยบายระดับประเทศ เกษตรกรสามารถรับกล่องได้ที่พาณิชย์จังหวัด และส่งที่ไปรษณีย์ทั่วประเทศ โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ตามช่วงเวลาที่กำหนดในประกาศของไปรษณีย์ไทย (สิ้นสุดโครงการ 30 เม.ย. 2569)

ทำไม “ออนไลน์ + ส่งฟรี” ถึงจำเป็นในปีนี้

  • ภาวะผลผลิตออกพร้อมกัน – เมื่อทุกแปลงถึงเวลาเก็บเกี่ยวใกล้เคียงกัน แรงขายในประเทศล้นเร็ว ช่องทางออนไลน์จึงเป็น “วาล์วระบาย” ที่คุมได้เอง
  • ต้นทุนขนส่ง–บรรจุภัณฑ์ – ในโครงสร้างราคาส้มโอ ต้นทุนโลจิสติกส์เป็นสัดส่วนสูง กลไก “กล่องฟรี + EMS ฟรี” ช่วยรักษาราคาเนื้อแท้ให้ชาวสวน
  • คอนซูเมอร์อินไซต์ยุคอีคอมเมิร์ซ – ผู้ซื้อยอมรับ “ค่าส่งเป็นศูนย์” เป็นแรงกระตุ้นซื้อสำคัญ การปิดดีลด้วยราคาหน้ากล่องที่รวมทุกอย่างแล้ว ทำให้ตัดสินใจเร็ว
  • เล่าเรื่องแหล่งผลิต – สินค้า GI หรือกำลังขอ GI “เล่าเรื่องได้” สอดรับพฤติกรรมผู้บริโภคที่อ่านป้ายคุณภาพก่อนกดสั่ง โครง GI ช่วยหนุนความน่าเชื่อถือช่องทางออนไลน์ระยะยาว

เสียงจากหน่วยงานและแนวทางเดินหน้าช่วงโค้งพีก

หน่วยงานพาณิชย์จังหวัดสื่อสารต่อเนื่องถึง มาตรการ 5 ช่องทาง ที่ใช้ควบคู่กัน ได้แก่ ตลาดชุมชน–อำเภอ, งานแสดงสินค้า, โมเดล “ส้มโอบินได้” สำหรับพรีเมียม, และ ตลาดออนไลน์ผ่านกล่องกรมการค้าภายใน ส่งผ่านไปรษณีย์ไทยทั่วประเทศ” พร้อมจัดสรรโควตากล่องฟรีให้เกษตรกรอย่างเป็นธรรม ข้อมูลนี้ชี้ให้เห็นว่า “ออนไลน์” ไม่ใช่ทางเลือกเดี่ยว แต่เป็นองค์ประกอบหนึ่งของ แพ็กเกจกระจายผลผลิตทั้งระบบ ซึ่งถูกวางแผนไว้ตั้งแต่ก่อนฤดูกาลจะเข้าสู่ช่วงพีก

เชิงปฏิบัติ จังหวัดยังใช้ อีเวนต์ฤดูกาล เช่น เทศกาลส้มโอเวียงแก่น เป็นตัวเร่ง “ดึงดีมานด์” ผ่านกิจกรรมชิม–ซื้อ–ส่งต่อทางออนไลน์ สร้างวงจร ออฟไลน์ > ออนไลน์ และ ออนไลน์ > ออฟไลน์ เพื่อรักษาโมเมนตัมยอดขายต่อเนื่องไปถึงปลายฤดูกาล

ชุมชน–สหกรณ์ (ช่วงสัปดาห์ทอง)

  1. ล็อกมาตรฐานคัดเกรด – แยก “คัดพรีเมียม” สำหรับลูกค้าแรกซื้อ เพื่อสร้างความประทับใจและรีวิวบวก
  2. ตั้งแพ็กเกจราคาเรียบง่าย – เช่น 1 ลูก/กล่อง, 3 ลูก/กล่อง, 5 ลูก/กล่อง พร้อมน้ำหนักโดยประมาณ ลดการลังเล
  3. เน้นภาพ–คลิปสั้น – โชว์ขั้นตอนคัด–แพ็ก–ส่งจริง เพิ่มความเชื่อมั่นและอัตราปิดการขาย
  4. ใช้คิวอาร์โค้ดเดียวจบ – ลิงก์แนวทางปอก–เก็บ/สูตรยำส้มโอ เพิ่มคุณค่าหลังการขาย
  5. เช็กสิทธิ์ EMS ฟรีล่วงหน้า – ประสานพาณิชย์จังหวัดและไปรษณีย์ในพื้นที่ เพื่อกระจายคิวส่งให้ทันช่วงคำสั่งซื้อหนาแน่น

เมื่อ “ส่งฟรี” ไม่ใช่แค่โปรโมชัน แต่คือสวัสดิการตลาดของชุมชน

มาตรการ เปิดตลาดส้มโอเวียงแก่นออนไลน์ + ส่งฟรี ของเชียงรายในปีนี้ แสดงให้เห็น “งานเชิงระบบ” ที่จับต้องได้—จากการจัดสรรกล่อง DIT, การทำงานร่วมกับไปรษณีย์ไทย, การตั้งโควตา ระบายล็อตพีกด้วยอีเวนต์ฤดูกาล และการสื่อสารต่อเนื่องของหน่วยงานในพื้นที่ ผลที่เกิดขึ้นไม่เพียงช่วย “รักษาราคาเฉลี่ย” หน้าไร่ แต่ยัง ขยายฐานผู้บริโภคทั่วประเทศ ให้รู้จักแหล่งผลิตชายแดนโขงตอนบนมากขึ้น

ที่สำคัญ การผลักดัน GI “ส้มโอเวียงแก่น” ซึ่งเดินหน้าต่อเนื่องตั้งแต่ปีที่ผ่านมา จะเป็นชิ้นส่วนที่ทำให้วงจรคุณภาพ–ตลาด–ราคา “ยั่งยืน” กว่าเดิม เพราะทำให้การเล่าเรื่องแหล่งผลิตบนแพลตฟอร์มออนไลน์น่าเชื่อถือยิ่งขึ้น เมื่อรวมกับ โครง “ส่งฟรี” ที่ลดต้นทุนโลจิสติกส์ “ถึงมือผู้ซื้อ” ได้จริง สมการนี้จึงส่งสัญญาณเชิงบวกต่อ รายได้ชาวสวน และ เศรษฐกิจฐานรากของเชียงราย ในฤดูกาลนี้

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงราย: ความเคลื่อนไหวการส่งมอบ กล่อง DIT และการประชุมเตรียมความพร้อมเชื่อมโยงตลาด–จัดสรรโควตากล่องส่งฟรี; แนวทาง “ตลาดออนไลน์ผ่านกล่องกรมการค้าภายใน ส่งผ่านไปรษณีย์ไทยทั่วประเทศ”.
  • บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด: ข่าวประชาสัมพันธ์โครงการ เกษตรกรส่ง EMS ผลไม้ฟรี ด้วยกล่อง/ตะกร้า DIT (สิ้นสุดโครงการ 30 เม.ย. 2569) และโพสต์ประชาสัมพันธ์บนเพจหลัก.
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

“สมชนก” ผอ.สนามบินแม่ฟ้าหลวงเผยกลยุทธ์ “สองรางขนาน” พัฒนาโครงสร้าง-แก้จุดสำคัญก่อนเฟสใหญ่

TEAMG คว้าบิ๊กโปรเจกต์ ทอท. 205 ล้านบาท วาง “แม่ฟ้าหลวง–เชียงราย เฟส 1” สู่สนามบินภูมิภาคอัจฉริยะเชื่อมเหนือ–ลุ่มโขง ยกระดับรองรับ 6 ล้านคน/ปี

เชียงราย, 14 สิงหาคม 2568 –ท่าอากาศยานนานาชาติแม่ฟ้าหลวง เชียงราย เปลี่ยนแปลง “เล็กแต่ไว” ทีมบริหารสนามบินลงมือแก้จุดติดขัดรายวันกำลังเกิดขึ้นพร้อม ๆ กับ “แผนใหญ่” ที่เพิ่งถูกจุดติดเครื่องเมื่อ บริษัท ทีม คอนซัลติ้ง เอนจิเนียริ่ง แอนด์ แมเนจเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ TEAMG นำทัพพันธมิตรคว้าสัญญา สำรวจและออกแบบระยะที่ 1 ของโครงการพัฒนาท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงจาก บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. (AOT) มูลค่า 205.20 ล้านบาท

หัวใจของเฟส 1 คือ “ยกระดับศักยภาพรองรับผู้โดยสารไม่น้อยกว่า 6 ล้านคน/ปี” แบ่งเป็น ระหว่างประเทศ 1 ล้าน และ ภายในประเทศ 5 ล้าน พร้อมจัดโครงสร้างพื้นฐานเขตการบินอาคารผู้โดยสารระบบสนับสนุนให้สอดรับทิศทางการเดินทางและเศรษฐกิจของห่วงโซ่ เชียงรายลุ่มโขง ที่เติบโตต่อเนื่อง และวางตัวเป็น “ประตูเหนือ” สู่เมียนมา–ลาว–จีนตอนใต้

คำให้สัมภาษณ์เด่น

  • ชวลิต จันทรรัตน์ (TEAMG): “งานของเราคือวางพิมพ์เขียวที่รองรับอนาคต 6 ล้านคน/ปี โดยไม่ลดทอนความสะดวก–ปลอดภัย และต่อยอดได้จริง”
  • น.ต.ดร.สมชนก เทียมเทียบรัตน์ (ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง): “สิ่งที่เผยแพร่คือ conceptual design ส่วนปัจจุบันเราลงมือแก้ ‘จุดสำคัญ’ แล้ว และจะใช้เทคโนโลยีทำให้ทั้งอาคารเป็นเสมือนเลาจน์ขนาดใหญ่ ผู้โดยสารอยู่สบาย–รู้เวลา–ไม่แออัด”
Scoot will also start to fly five times a week to Chiang Rai from 1 January 2026 – a new route for Changi Airport!

หลังสายการบินสกู๊ตเปิดเส้นทางบินตรง สิงคโปร์-เชียงราย เริ่ม 1 มกราคม 2569

การเชื่อมโยงเส้นทางบินตรงระหว่างเชียงรายและสิงคโปร์จะช่วยอำนวยความสะดวกให้กับนักท่องเที่ยวและนักธุรกิจที่ต้องการเดินทางระหว่างสองเมืองได้อย่างมาก ซึ่งจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจท้องถิ่นและยกระดับเชียงรายให้เป็นจุดหมายปลายทางที่เข้าถึงได้ง่ายขึ้นสำหรับนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก

วงการท่องเที่ยวและธุรกิจในเชียงรายเตรียมคึกคักรับปีใหม่ เมื่อ สายการบินสกู๊ต (Scoot) สายการบินราคาประหยัดในเครือสิงคโปร์แอร์ไลน์ (SIA) ประกาศเปิดเส้นทางบินตรงใหม่จาก สิงคโปร์ (SIN) สู่เชียงราย (CEI) โดยจะเริ่มให้บริการตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2569 เป็นต้นไป

การเปิดเส้นทางบินนี้ไม่เพียงแต่จะช่วยเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าสู่เชียงรายเท่านั้น แต่ยังเป็นการขยายเครือข่ายการเดินทางของสกู๊ตในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก และจะทำให้สกู๊ตมีจำนวนเที่ยวบินสู่ประเทศไทยรวมเป็น 111 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ เลยทีเดียว

รายละเอียดเที่ยวบินตรง สิงคโปร์-เชียงราย

  • จำนวนเที่ยวบิน: 5 เที่ยวบินต่อสัปดาห์
  • วันทำการบิน: ทุกวันจันทร์, อังคาร, พฤหัสบดี, ศุกร์ และเสาร์
  • รุ่นเครื่องบิน: Embraer E190-E2 ซึ่งเป็นเครื่องบินขนาดเล็ก-กลางที่ทันสมัยและมีประสิทธิภาพ
  • ตารางบิน (เวลาท้องถิ่น):
    • เที่ยวบินขาไป (สิงคโปร์-เชียงราย):
      • TR670: ออกจากสิงคโปร์ 16:40 น. ถึงเชียงราย 18:50 น. (วันจันทร์, พฤหัสบดี, ศุกร์)
      • TR660: ออกจากสิงคโปร์ 05:50 น. ถึงเชียงราย 08:00 น. (วันอังคาร, เสาร์)
    • เที่ยวบินขากลับ (เชียงราย-สิงคโปร์):
      • TR671: ออกจากเชียงราย 19:25 น. ถึงสิงคโปร์ 23:45 น. (วันจันทร์, พฤหัสบดี, ศุกร์)
      • TR661: ออกจากเชียงราย 08:35 น. ถึงสิงคโปร์ 12:55 น. (วันอังคาร, เสาร์)

จากแบบสู่สนามบินที่ใช้งานได้จริง” TEAMG เปิดแผนงาน 3 กลุ่ม ปรับสมดุลรันเวย์–อาคาร–ระบบหลังบ้าน

นายชวลิต จันทรรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร TEAMG อธิบายกรอบงานสำรวจออกแบบของเฟส 1 ว่าจะแบ่งเป็น 3 กลุ่มงานหลัก เพื่อให้สนามบิน “ไหลลื่น ปลอดภัย ต่อยอดได้”

  1. กลุ่มงานเขตการบิน (Airside): ออกแบบ ทางขับขนานด้านทิศใต้ (Southern Parallel Taxiway) ให้ทำงานประสานกับรันเวย์และจุดรอ เพื่อเพิ่ม “อัตราหมุนเวียน” เข้า–ออกของเครื่องบิน พร้อม ขยายลานจอดอากาศยานด้านทิศใต้ ให้รองรับอากาศยานหลายขนาดมากขึ้น ลดการคอขวดในชั่วโมงเร่งด่วน
  2. กลุ่มงานอาคารผู้โดยสารและอาคารสนับสนุน (Terminal & Facilities): เชื่อม อาคารผู้โดยสารหลังใหม่ เข้ากับอาคารเดิมผ่าน “โถงทางเดินเทียบเครื่องบิน” เพิ่มพื้นที่บริการและการไหลของผู้โดยสาร (passenger flow) ทั้ง ขาเข้า ขาออก โดยคำนึงถึงการขยายตัวของเส้นทางระหว่างประเทศในอนาคต
  3. กลุ่มงานระบบสนับสนุน (Systems & Utilities): ออกแบบระบบไฟฟ้า สื่อสาร ความปลอดภัย จราจรภายใน ให้พร้อมรองรับระบบปฏิบัติการสนามบินอัจฉริยะ (Smart Airport) เช่น ป้าย–จอข้อมูลแบบเรียลไทม์ การนับคิว/ความหนาแน่น และการจัดการพลังงาน

“ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงเป็นโครงสร้างพื้นฐานระดับภูมิภาคที่ส่งผลคูณต่อเศรษฐกิจ–สังคมของเชียงราย งานของเราจึงไม่ใช่แค่ ‘เขียนแบบ’ แต่คือต้องวางพิมพ์เขียวที่ต่อยอดได้จริง รองรับ 6 ล้านคน/ปี โดยไม่เสียความสะดวกปลอดภัยของผู้โดยสาร” ชวลิต จันทรรัตน์, TEAMG

เสียงจากหน้างาน ผอ.สนามบินชี้ “ยังเป็นแบบแนวคิด” แก้ปัญหาความแออัดรายวันแล้ว และกำลังยกระดับประสบการณ์ผู้โดยสารทั้งอาคาร

ด้าน น.ต.ดร.สมชนก เทียมเทียบรัตน์ ผู้อำนวยการท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ให้ข้อมูลกับทีมข่าวว่า แผนพัฒนาที่เผยแพร่ขณะนี้ อยู่ในระดับ “Conceptual Design” ที่ผู้ออกแบบจะเสนอแนวทางให้เกิดขึ้นในอนาคต เพื่อรองรับเมื่อผู้โดยสารโตถึง Capacity 6 ล้านคน/ปี แต่ วันนี้” สนามบินยังไม่แตะขีดความสามารถนั้น และทีมบริหารได้ แก้ปัญหาความคับคั่งหลายจุดแล้ว โดยเฉพาะพื้นที่ Gate ที่ “เจาะทะลุ Gate ทั้งคู่ให้เดินถึงกันได้” ช่วยไหลเวียนผู้โดยสาร ลดการออรอสะสมในช่วง Boarding

ผอ.สนามบินยังอธิบายแนวคิด “Free Lounge” และการใช้เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือหลักในการบริหารความหนาแน่น ให้ผู้โดยสารอยู่ “ด้านนอก” ให้นานที่สุด แล้วจึงเข้าสู่พื้นที่ภายใน เมื่อถึงเวลา Boarding โดยจะมี จอแสดงผล–ระบบตรวจจับจำนวนผู้โดยสาร–อัลกอริทึมคำนวณเวลาบอร์ดดิ้ง และเวลาผ่านจุดตรวจค้น เพื่อให้คนที่นั่งรอด้านนอก “รับรู้สถานะเหมือนนั่งอยู่ด้านใน” ขณะเดียวกัน ชั้น 2 ของอาคารผู้โดยสารจะปรับเป็น “Free Lounge + จุดชมเครื่องบิน + Meeting Point + Co-working Space” เพิ่มร้านค้า พื้นที่นั่งบรรยากาศเสมือนเลาจน์เพื่อกระจายคน ลดความอึดอัดหน้า Gate

“สิ่งที่สื่อสารคือภาพอนาคต (conceptual design) ที่เราอยากไปให้ถึง แต่ในปัจจุบันเราลงมือแก้ ‘จุดสำคัญ’ แล้ว ทั้งการทะลุ Gate ให้เชื่อมกัน และการออกแบบประสบการณ์ใหม่แบบ Free Lounge พร้อมข้อมูลเรียลไทม์ เพื่อให้คนอยู่สบายขึ้น ไม่ต้องไปออหน้าประตูขึ้นเครื่อง” — น.ต.ดร.สมชนก เทียมเทียบรัตน์

ที่จอดรถ–พลังงานสะอาด–MRO รายละเอียดเล็กที่ส่งผลใหญ่

หนึ่งใน “คอขวดนอกอาคาร” คือ ลานจอดรถ ฝั่งตรงข้ามเทอร์มินัลที่ “คับคั่ง” ขณะที่ ลานจอดรถด้านทิศเหนือ ยังไม่เป็นที่นิยมเพราะ ไม่มีหลังคา ผอ.สนามบินเผยแผน ทำหลังคาพร้อมติดตั้ง Solar Rooftop ให้ทั้งสองลาน เพื่อผลิตไฟฟ้าใช้ในอาคารผู้โดยสาร ลดภาระพลังงานและสร้างแรงจูงใจให้ผู้โดยสารกระจายไปใช้ลานที่สองมากขึ้น ทั้งยังเตรียม ย้ายพนักงานและผู้ให้บริการ บางส่วนไปใช้พื้นที่ใหม่นี้ เพื่อลดการแออัด

อีกหมุดหมายที่ “ไม่ใช่แค่ท่องเที่ยว” คือ ศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยาน (MRO) ซึ่งสนามบินได้ ถมที่ดินไว้แล้ว อยู่ระหว่างที่บริษัท CAH เข้าตรวจพื้นที่และเตรียม ขออนุญาตก่อสร้างใหม่ต่อสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (CAAT) เป้าหมายคือให้เริ่มเดินงานได้ภายในปีนี้ หากเดินหน้าได้ตามแผน MRO จะดึงเม็ดเงินลงทุนทักษะงานวิศวกรรมโอกาสการจ้างงานท้องถิ่นเข้ามาในห่วงโซ่อุตสาหกรรมการบินของเชียงราย

BCP ซ้อม “อุทกภัย” สนามบินต้องให้บริการได้ “แม้วันไม่ปกติ”

การพัฒนาโครงสร้างไม่เพียงพอ หากขาด “ความต่อเนื่อง” ของการให้บริการในวันวิกฤต น.ต.ดร.สมชนก ในฐานะหัวหน้าคณะทำงานจึงนัดประชุม ซ้อมแผนความต่อเนื่องทางธุรกิจ (Business Continuity Plan: BCP) ประจำปี 2568 โดยเลือก สถานการณ์สมมติ “อุทกภัย” ในวันที่ 27 สิงหาคม ตามกรอบ ISO 22301:2019 เพื่อทดสอบว่า หากน้ำหลากเข้าพื้นที่ ระบบใดต้องย้ายเสริมสลับ, ทางเข้า–ออกผู้โดยสารปรับจุดอย่างไร, การไฟฟ้า–สื่อสาร–เชื้อเพลิงสำรองมีพอหรือไม่เพราะ สนามบินหยุดไม่ได้” แม้วันไม่ปกติ

ทำไมโครงการนี้ “มีความหมาย” ต่อคนเชียงรายและผู้เดินทางทั้งภูมิภาค

เชื่อมการเดินทาง–เศรษฐกิจลุ่มโขง เชียงรายคือจุดตัดการเดินทางของ ไทย–เมียนมา–ลาว–จีนตอนใต้ การมีสนามบินที่รองรับ ผู้โดยสาร 6 ล้านคน/ปี พร้อมขีดความสามารถ Airside ที่ราบรื่น จะสร้างแรงดึงดูดสายการบิน–เส้นทางบินใหม่ ๆ โดยเฉพาะ Regional International ที่ต่อยอดทั้งท่องเที่ยว–การค้า–ไมซ์ (MICE) และ โลจิสติกส์สินค้าอากาศ ในวงจำกัด (niche) ที่ต้องการความรวดเร็ว ประสบการณ์ผู้โดยสารที่ “ฉลาดขึ้น” แนวคิด Free Lounge + ข้อมูลเรียลไทม์ เปลี่ยนวิธีรอเครื่องจาก “ยืนออหน้าประตู” เป็น “นั่งสบาย–รู้เวลา–จัดการตัวเองได้” ทำให้ ความเครียด ลดลง ขณะเดียวกันสนามบินก็สามารถ บริหารความหนาแน่น ได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ปรับทรัพยากรบุคคล–จุดคัดกรองตามโหลดจริง

เมือง–สนามบินที่เป็นมิตรต่อพลังงาน

Solar Rooftop บนลานจอดรถเป็น “สัญลักษณ์เล็ก ๆ แต่ชัด” ว่าท่าอากาศยานภูมิภาคเดินหน้าเรื่องพลังงานสะอาด ลดต้นทุนระยะยาว และ—สำคัญกว่านั้น—ทำให้ลานจอดรถทางเลือก กลายเป็นพื้นที่ที่ “น่าใช้ขึ้น” ช่วยถ่ายเทความคับคั่งหน้าสถานีผู้โดยสาร งานวิศวกรรมคุณภาพ–โอกาสทักษะท้องถิ่น การมี MRO และงานปรับปรุงสนามบินต่อเนื่อง สร้าง ตลาดแรงงานทักษะสูง ในพื้นที่ ตั้งแต่วิศวกรเครื่องกล–อากาศยาน–อิเล็กทรอนิกส์ ไปจนถึงซัพพลายเชนชิ้นส่วน–เครื่องมือ–บริการสนับสนุน ซึ่งหมายถึงรายได้กระจายสู่จังหวัด ไม่ใช่เฉพาะย่านท่องเที่ยว

ความพร้อมต่อวิกฤตที่วัดได้ การซ้อม BCP ตามมาตรฐาน ISO 22301 ไม่ใช่ “พิธี” หากแต่เป็น ตัวคูณความเชื่อมั่น ว่าแม้วันฝนใหญ่น้ำหลากสนามบินยัง ให้บริการต่อเนื่อง ได้ ใครที่ต้องบินต่อเครื่องตารางงานไมซ์ขนส่งสินค้าด่วนยังเดินต่อได้โดยความเสี่ยงต่ำลง

เพื่อให้เงินภาษี–ค่าธรรมเนียมไปได้ไกลที่สุด

  1. จังหวะเวลา–อุปสงค์จริง: แม้โครงร่างรองรับ 6 ล้านคน/ปี แต่วิถีการเดินทางหลังโควิด–พฤติกรรมผู้โดยสารกำลังเปลี่ยน สนามบินจะจับ “สัญญาณอุปสงค์จริง” อย่างไร เพื่อเลือกช่วงลงทุนให้ คุ้ม–ทัน–ไม่ล้ำหน้าเกินจำเป็น
  2. เส้นทางระหว่างประเทศ: เพื่อบรรลุ 1 ล้านคน/ปี ระหว่างประเทศ ต้องเชื่อมเมืองใดในลุ่มโขง–จีนตอนใต้–อาเซียน และมี แพ็กเกจจูงใจสายการบิน พร้อมหรือไม่ (เช่น สลอต–บริการภาคพื้น–โปรโมชันร่วม)
  3. ข้อมูลแบบเปิด (Open Data) ของท่าอากาศยาน: ระบบจอ–การนับคิว–โหลดในเทอร์มินัล หากเปิดข้อมูลเชิงสถิติ (ไม่ระบุตัวบุคคล) เป็น แดชบอร์ดสาธารณะ จะช่วยผู้โดยสาร–ผู้ให้บริการ–ท้องถิ่นวางแผนได้แม่นขึ้น
  4. สมดุลงบสิ่งแวดล้อม–ประสบการณ์ผู้โดยสาร: Solar Rooftop, โลจิสติกส์ขยะ, คุณภาพอากาศในอาคาร, และการออกแบบสัญลักษณ์ล้านนา–พื้นที่สาธารณะ ควรเดินคู่กันให้สนามบิน “เป็นของเมือง” ไม่ใช่แค่ “ของการบิน”

 “สองรางขนาน”—รางหนึ่งคือแบบใหญ่ อีกหนึ่งคือการปรับเล็ก ๆ ทุกวัน

สิ่งที่เกิดขึ้นกับ แม่ฟ้าหลวง–เชียงราย วันนี้สะท้อน สองรางขนาน ที่สนามบินยุคใหม่ต้องเดินพร้อมกัน

  • รางที่หนึ่ง: พิมพ์เขียวระยะยาว—TEAMG กับพันธมิตรวาง “เฟส 1” ให้รองรับ 6 ล้านคน/ปี พร้อมโครงสร้าง Airside–Terminal–Systems ที่ต่อยอดได้
  • รางที่สอง: ปรับเล็ก–ไว–ทุกวัน—ทีมบริหารสนามบินลงมือแก้ Gate, ทดลอง Free Lounge, ปั้นลานจอดรถพลังงานสะอาด, เร่ง MRO, และ ซ้อม BCP ให้พร้อมวันไม่ปกติ

หากทั้งสองรางขับเคลื่อนต่อเนื่องโดย “ฟังข้อมูลจริง–ฟังเสียงผู้โดยสาร–ฟังเมือง” เชียงรายจะไม่เพียงได้สนามบินที่สวยและใหม่ขึ้น แต่จะได้ สนามบินที่ฉลาด–ยืดหยุ่น–เป็นของทุกคน รองรับอนาคตของ “เหนือ–ลุ่มโขง” อย่างสมศักดิ์ศรี

ข้อมูลโครงการ (ย่อ)

  • เจ้าของโครงการ: บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) – ทอท.
  • ผู้รับจ้างสำรวจ–ออกแบบ (เฟส 1): TEAMG และพันธมิตร
  • มูลค่า: 205.20 ล้านบาท
  • เป้าหมายรองรับผู้โดยสาร: ≥ 6 ล้านคน/ปี (ระหว่างประเทศ 1 ล้าน + ภายในประเทศ 5 ล้าน)
  • ขอบเขตออกแบบหลัก: ทางขับขนานทิศใต้, ขยายลานจอดด้านทิศใต้, เชื่อมอาคารผู้โดยสารใหม่–เดิม, ระบบสนับสนุนท่าอากาศยานอัจฉริยะ
  • มาตรฐานความต่อเนื่องทางธุรกิจ: ISO 22301:2019 (ซ้อม BCP สถานการณ์ “อุทกภัย” 27 ส.ค. 2568)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) – AOT: ข้อมูลเชิงนโยบายและกรอบการพัฒนาท่าอากาศยานภูมิภาค
  • บริษัท ทีม คอนซัลติ้ง เอนจิเนียริ่ง แอนด์ แมเนจเมนท์ จำกัด (มหาชน) – TEAMG: ข่าวการได้รับงานสำรวจ–ออกแบบโครงการพัฒนาท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ระยะที่ 1 (14 ส.ค. 2568)
  • สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (CAAT): กรอบการกำกับดูแลมาตรฐานความปลอดภัยสนามบินและการอนุญาตโครงการ MRO
  • ท่าอากาศยานนานาชาติแม่ฟ้าหลวง เชียงราย: ข้อมูลการบริหารจัดการอาคารผู้โดยสารและมาตรการลดความคับคั่ง น.ต.ดร.สมชนก เทียมเทียบรัตน์ ผู้อำนวยการท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย
  • ISO 22301:2019Security and resilience — Business continuity management systems — Requirements: กรอบมาตรฐานการจัดทำและทดสอบแผนความต่อเนื่องทางธุรกิจ (BCP)
  • นาวาอากาศตรีสมชนก เทียมเทียบรัตน์ ผู้อำนวยการท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

ขุนตาลยืนยัน “จุดรับซื้อลำไยเพียงพอ” รัฐเร่งประสานผู้ประกอบการช่วยปลายฤดู

ขุนตาลยืนยัน “จุดรับซื้อลำไยเพียงพอ” รัฐเร่งประสานผู้ประกอบการรับซื้อต่อเนื่อง ปลายฤดูยังเดินหน้า—ชี้โจทย์ยั่งยืนอยู่ที่ระบบตลาดและคุณภาพผลผลิต

เชียงราย, 12 สิงหาคม 2568 — คณะทำงานจากอำเภอขุนตาล ของชุมชนแห่งหนึ่งริมทางสายรอง ผู้รับซื้อทยอยชั่งผลผลิตจากรถยนต์บรรทุกขนาดเล็ก สลับเสียงเรียกคิวจากเกษตรกรที่ยืนรอขายผลผลิตล็อตสุดท้ายของฤดูกาล สิ่งที่ทุกคนถามเหมือนกันคือ “วันนี้ยังรับอยู่ไหม ราคาจะตกอีกหรือเปล่า” คำยืนยันที่ได้จากนายอดิเรก ไลไธสง นายอำเภอขุนตาล และทีมพาณิชย์จังหวัดเชียงราย คือ “จุดรับซื้อมียังเพียงพอ และมีการประสานผู้ประกอบการเสริมทันที” เพื่อไม่ให้ผลผลิตค้างลาน และเพื่อยืนยันว่ายังมีตลาดรองรับจนจบฤดูกาล

แม้ภาพรวม “รับซื้อได้” ยังเดินต่อ แต่ความกังวลไม่ได้หายไปง่าย ๆ ช่วงปลายฤดู ลำไยมักคุณภาพลดลง น้ำหนักและความหวานผันผวน อีกทั้งเป็นช่วงวันหยุดยาวที่เกษตรกรเก็บผลผลิตพร้อมกัน ทำให้ปลายทางมีข้อจำกัดด้านกำลังการคัดและการแปรรูป ผู้ประกอบการบางส่วนจึงย้ายไปรับซื้อพื้นที่ที่คุณภาพสูงกว่า เกิดแรงกดดันระยะสั้นในระดับหมู่บ้าน อำเภอ และด่านขนส่ง

ภาพรวมฤดูกาล ทำไม “สิงหาคม” จึงเสี่ยงคอขวด

ปีนี้ผลผลิตลำไยใน 8 จังหวัดภาคเหนือถูกประเมินว่าเพิ่มขึ้นจากปีก่อนอย่างมีนัยสำคัญ สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศท.1) รายงานว่า ปี 2568 ภาคเหนือคาดมีผลผลิตรวมราว 1.06 ล้านตัน เพิ่มขึ้นประมาณ 12% โดย “สิงหาคม” คือเดือนที่ผลผลิตออกมากสุดตามฤดูกาล ซึ่งทำให้จุดรับซื้อและโรงงานปลายทางเผชิญแรงกดดันพร้อมกันในช่วงสั้น ๆ ของเวลาเดียวกัน การระบายผลผลิตจึงต้องพึ่งความพร้อมทั้ง “หน้าลาน” และ “ปลายน้ำ” มากกว่าช่วงต้นฤดูที่กำลังการผลิตยังเหลือเฟือ

ด้านวิชาการก็สอดรับกับความจริงในพื้นที่ ลำไยต้องการอากาศเย็นเพื่อกระตุ้นการออกดอก จึงปลูกหนาแน่นในภาคเหนือ โดยรอบเก็บเกี่ยวหลักอยู่ช่วงมิถุนายนถึงสิงหาคม ช่วงปลายฤดู “ดอ” หลายสวนอาจขนาดลดลง เปลือกหนาขึ้น และคละเกรดมากขึ้น ซึ่งกระทบต่อราคาเฉลี่ยหน้าลานและปริมาณที่โรงงานต้องคัดทิ้ง ข้อมูลพื้นฐานเหล่านี้ย้ำว่า “เดือนสิงหา” คือเดือนที่ระบบโลจิสติกส์และตลาดต้องทำงานหนักที่สุดในปี

สิ่งที่อำเภอยืนยัน “จุดรับซื้อมีพอ” แต่ต้องเสริมการจัดคิวและขนส่ง

การลงพื้นที่วันนี้ นายอำเภอขุนตาลทำงานร่วมกับสำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงรายและเครือข่ายผู้ประกอบการ เพื่อเช็คกำลังรับซื้อจริงหน้างาน ผลคือ “จุดรับซื้อมีพอรองรับ” หากกระจายคิวอย่างเป็นระบบ อย่างไรก็ดี ปัญหาเกิดเฉพาะหน้าในช่วงหยุดยาว เมื่อสวนจำนวนมากเก็บพร้อมกัน รถบรรทุกต่อคิวนาน โรงงานปลายทางรับไม่ทัน ผู้ประกอบการบางรายจึงชะลอรับซื้อ หรือย้ายไปตั้งลานในอำเภอที่ผลผลิตกำลังพีกและคุณภาพดีขึ้น เพื่อบริหารต้นทุนคัดเกรดและตากแห้ง

คำตอบเชิงนโยบายสั้น ๆ ของทีมพาณิชย์จังหวัดคือ “โทรหาและดึงผู้ประกอบการสำรองเข้าพื้นที่ทันที” พร้อมจับคู่ลานคัด–ลานอบ–รถขนส่ง ให้หมุนเวียนต่อเนื่อง ทั้งหมดทำเพื่อยึดหลัก “ไม่ให้ผลผลิตค้างลาน” และรักษาความเชื่อมั่นในช่วงโค้งสุดท้ายของฤดู

ราคา “ดีขึ้นบ้าง” ปลายสัปดาห์ ทำไมมีสัญญาณบวก

ราคาเฉลี่ย “ลำไยรูดร่วงเกรด AA” ในพื้นที่เหนือมีแนวโน้มดีขึ้นจากสัปดาห์ก่อน จากช่วง 5–6 บาท/กก. ขยับมา 8–12 บาท/กก. ตามที่เครือข่ายรับซื้อแจ้งในหลายจุด บางลานปรับกำลังตากเพิ่มเพื่อสต็อกก่อนหมดฤดูกาล ความต้องการอบแห้งปลายปีในตลาดส่งออกยังเป็นแรงหนุนสำคัญ ผู้ประกอบการจึงเร่งปิดสต็อกเมื่อเห็นว่าผลผลิตกำลังลดลงเร็วหลังกลางเดือน

สำหรับเกษตรกร ตัวเลขนี้ไม่ใช่ “ราคาดีที่สุดของปี” แต่เป็นสัญญาณว่าตลาดยังทำงานอยู่ ความต่างของราคาเกิดจากคุณภาพ ความชื้น ความหวาน และการจัดส่งทันเวลา เกรดที่มั่นคงย่อมขายได้ดีกว่าเกรดคละ การจัดการหลังเก็บเกี่ยวจึงสำคัญพอ ๆ กับต้นทุนการผลิตทั้งฤดู

ภาครัฐ “อัดฉีดกำลังซื้อล่วงหน้า” ตั้งแต่ต้นฤดูช่วยเชื่อมช่วงคอขวด

มาตรการสำคัญที่กระทรวงพาณิชย์และกรมการค้าภายในผลักดันในฤดูกาลนี้ คือการ “ดูดซับผลผลิต” ล่วงหน้า เพื่อป้องกันราคาดิ่งช่วงพีก โดยกรมการค้าภายในประกาศเป้ารองรับผลผลิตผลไม้ฤดูปี 2568 รวม 252,000 ตัน ผ่านเครือข่ายผู้ประกอบการ โรงงานอบ และผู้ส่งออกที่เข้าร่วมแผนเชิงรุก ขยับสัญญาณตลาดตั้งแต่ต้นฤดู และกระจายแรงซื้อไปยังจุดผลิตหลักในภาคเหนือและตะวันออกอย่างเป็นระบบ มาตรการนี้ช่วยให้ผู้เล่นปลายน้ำมี “เหตุผล” ในการเร่งรับและสต็อก แม้ต้นทุนคัดเกรดและตากจะแน่นช่วงสั้น ๆ ก็ตาม

ก่อนหน้านี้ กรมการค้าภายในยังได้เดินหน้า “ชุดมาตรการเชิงรุก” ในพื้นที่แหล่งผลิตใหญ่ เช่น เชียงใหม่–ลำพูน ทั้งการเชื่อมโยงตลาด การจับคู่ธุรกิจ และการกำกับดูแลการซื้อขายให้เป็นธรรม เพื่อให้การระบายผลผลิตช่วงพีกเป็นไปตามแผนและลดความเสี่ยงเชิงสัญญาในตลาดล่วงหน้า เอกสารข่าวทางการย้ำแนวทางเดียวกันคือ “ทำให้ตลาดทำงานได้จริง” ในหน้าสวน ไม่ใช่เฉพาะบนกระดาษ

ปลายน้ำ” คือจุดชี้ขาด อบแห้ง–คัดเกรด–ขนส่ง ต้องไหลลื่น

ลำไยสดที่ “รูดร่วง” ส่วนใหญ่ไปต่อที่เตาอบเพื่อผลิตลำไยแห้งคุณภาพส่งออก ความสามารถของโรงอบและการจัดการความชื้นเป็นตัวกำหนด yield และคุณภาพปลายทาง โรงอบที่บริหารวัตถุดิบได้สม่ำเสมอจะกล้ารับหน้าลานมากขึ้นและราคารับซื้อเสถียรกว่า ขณะเดียวกัน ระบบขนส่งจากลานไปโรงอบต้องรวดเร็วเพื่อไม่ให้คุณภาพตก การมีรถเย็นหรือจัดส่งแบบ “หมุนรอบสั้น” จะช่วยให้โรงงานควบคุมคุณภาพได้ดีขึ้น

ในมิติส่งออก ข้อกำหนดกักกันพืชและมาตรฐานปลายทางยังเป็นกรอบที่ผู้ประกอบการต้องเคารพ การส่งออกลำไยสดของไทยถูกควบคุมตามระบบของกรมวิชาการเกษตรเพื่อให้ผ่านเงื่อนไขประเทศคู่ค้า ข้อเท็จจริงนี้สะท้อนว่า “คุณภาพและมาตรฐาน” เป็นเส้นเลือดใหญ่ของตลาด ไม่ใช่แค่เรื่องราคา ณ จุดซื้อขายวันเดียว

เสียงจากแปลงเกษตรกรอยากได้ “ราคาพยุง” แต่พร้อมปรับตัว

เกษตรกรที่เราพบวันนี้หลายรายยอมรับว่า ราคาปลายฤดู “ไม่สวย” เท่าต้นฤดู แต่ยัง “ขายได้” หากส่งทันและคัดเกรดดีขึ้น หลายสวนเริ่มตัดสินใจ “ทะยอยเก็บ” ไม่กองไว้ทีเดียว เพื่อไม่ให้ชนคิววันหยุด มีบางกลุ่มหันมารวมตัวคัดเกรดเบื้องต้นก่อนเข้าโรงอบ ช่วยให้ได้ราคาเฉลี่ยดีขึ้นในงบประมาณแรงงานที่พอจ่ายได้

คำขอหลัก ๆ ที่สะท้อนต่อจนท.รัฐคือ “อย่าให้คิวขาด” และ “อย่าให้จุดรับซื้อเงียบ” เพราะความต่อเนื่องสร้างความมั่นใจ มาตรการของกรมการค้าภายในที่เร่งดึงผู้ประกอบการเข้าพื้นที่จึงตอบโจทย์ระยะสั้น และตอกย้ำว่ารัฐจะไม่ปล่อยให้ผลผลิตค้างสวน

คำถามใหญ่คือมาตรการเชิงรุก “ดึงผู้ประกอบการเข้าไปซื้อปลายฤดู” แก้ปัญหาเชิงโครงสร้างได้ไหม

คำตอบสั้น ๆ ช่วยได้มากในระยะสั้น แต่ไม่พอสำหรับความยั่งยืนระยะยาว

เหตุผลข้อที่หนึ่ง มาตรการเชิงรุกทำหน้าที่ “กันชน” ราคาเฉพาะหน้าในเดือนพีก ลดความผันผวน และสร้างแรงจูงใจให้โรงงานเร่งรับสต็อก หากรัฐไม่เข้าจังหวะนี้ ราคาหน้าลานอาจ “หลุดกรอบ” มากกว่านี้ ทว่า กันชนไม่ใช่ “โครงสร้าง” กันชนต้องเติมซ้ำทุกปีเมื่อฤดูมาถึง

เหตุผลข้อที่สอง ความยั่งยืนต้องเกิดจาก “คุณภาพ–มาตรฐาน–สัญญา” ที่ลิงก์สวนกับโรงงานและผู้ส่งออกให้แน่นขึ้น เช่น สัญญาซื้อขายตามเกณฑ์คุณภาพชัดเจน การนัดหมายส่งมอบแบบ “คิวฉลาด” และระบบจ่ายเงินที่โปร่งใส มาตรการรัฐควรเปลี่ยนจาก “รับซื้อพยุงราคา” ไปสู่ “พยุงกติกา” ให้ตลาดยืนได้ด้วยตัวเอง

เหตุผลข้อที่สาม ด้านอุปสงค์ต่างประเทศยังนำเกม ไทยต้องขยับฐานตลาดและรูปแบบสินค้า ทั้งลำไยสดเกรดพรีเมียม ลำไยอบแห้งเกรดสม่ำเสมอ และผลิตภัณฑ์แปรรูปมูลค่าสูงกว่า ความหลากหลายของสินค้าและตลาดจะลดแรงกระแทกราคาในเดือนพีกได้ดีกว่าการอัดฉีดกำลังซื้ออย่างเดียว

แผนยั่งยืนสิ่งที่ควรเริ่ม “ปีนี้เลย” ก่อนถึงฤดูหน้า

  1. ทำ “คิวดิจิทัลหน้าลาน” ระดับอำเภอ รวมคิวจากจุดรับซื้อหลายลาน เชื่อมกับโรงอบและรถขนส่ง ลดรถรอคิว ลดต้นทุนเสียโอกาส เกษตรกรเห็นคิวจริงแบบเรียลไทม์ ช่วยตัดสินใจวันเก็บ
  2. ตั้ง “เกณฑ์คุณภาพมาตรฐานอำเภอ” สำหรับรูดร่วง ประกาศ Brix, ความชื้น, และสัดส่วนคละเกรดขั้นต่ำให้ตรงกันทุกลาน ลดข้อโต้แย้งตอนชั่ง–คัด และทำให้ข้อมูลราคาเปรียบเทียบกันได้
  3. สนับสนุนเครื่องมือหลังเก็บเกี่ยวในกลุ่มเกษตรกร เช่น ถาดตาก–เตาอบชุมชน–โรงคัดเบื้องต้น เพื่อยกระดับเกรดก่อนเข้าลาน ราคาจะสะท้อนคุณภาพได้ดีขึ้น ลดสัดส่วนของเสียปลายน้ำ
  4. ขยายความร่วมมือ “สัญญาซื้อขายก่อนฤดู” ระหว่างกลุ่มเกษตรกร–โรงอบ–ผู้ส่งออก รัฐทำหน้าที่พี่เลี้ยงและเป็นกรรมการกลางดูแลข้อพิพาท เพิ่มทุนหมุนเวียนสำหรับสัญญาที่ตรวจสอบได้
  5. ข้อมูลตลาดที่เข้าถึงง่าย พาณิชย์จังหวัดและ สศก. เผยแพร่ “แดชบอร์ดลำไย” รายอำเภอ ทั้งราคาเฉลี่ย คิวรับซื้อ และสถานะโรงอบ เพื่อให้ทุกฝ่ายวางแผนร่วมกันได้บนข้อมูลเดียวกัน

ประชาชนและชุมชนได้อะไรจาก “การประสานทันใจ” ช่วงปลายฤดู

การประสานผู้ประกอบการเข้าพื้นที่เร็ว ช่วย “หยุดเลือด” ราคาไม่ให้หลุดกรอบมากไปกว่านี้ สวนเล็กขายได้ต่อเนื่อง สวนใหญ่ขนได้เป็นรอบ ไม่ค้างลาน ซึ่งชุมชนเห็น “รัฐอยู่หน้างาน” ความเชื่อมั่นกลับมา แม้ราคาไม่สูง แต่การรับซื้อต่อเนื่องคือสัญญาณสำคัญว่าตลาดยังเดิน ระบบสินเชื่อชุมชนและสหกรณ์ก็วางแผนหมุนเงินได้ พื้นที่ได้บทเรียนร่วมกันว่า “คอขวด” อยู่ตรงไหน ปีหน้าจึงแก้ถูกจุด ทั้งเรื่องคิว การคัดเกรด และการวางแผนเก็บเกี่ยวให้เหลื่อมกัน

มองจากภาพใหญ่ประเทศลำไยคือพืชเศรษฐกิจที่ต้อง “บริหารฤดู” ให้เก่งขึ้น

ข้อมูลจากหน่วยงานรัฐยืนยันตรงกันว่า ลำไยกระจุกตัวในภาคเหนือ เก็บเกี่ยวมากสุดช่วงมิถุนายน–สิงหาคม และ “สิงหาคม” คือพีกของพีก เมื่อผลผลิตปีนี้เพิ่มขึ้น การบริหารฤดูจึงยากขึ้นตามไปด้วย จุดรับซื้อและโรงอบต้องปรับกำลังผลิตให้สัมพันธ์กับของจริงในพื้นที่ ขณะที่รัฐต้องร่นเวลาตัดสินใจให้เร็วขึ้น ทั้งมาตรการเชิงรุกและเชิงโครงสร้าง

การทำให้ตลาดเดินในเดือนเดียวอาจไม่พอ เป้าหมายที่แท้จริงคือ “ทำให้ตลาดมั่นคงทั้งฤดู” ตั้งแต่ต้นฤดูที่ราคาแรง ไปจนปลายฤดูที่ราคาเปราะบาง ทุกช่วงต้องมีเครื่องมือคู่มือคนละแบบ และทุกแบบต้องเชื่อมข้อมูลเดียวกัน

คำตอบต่อโจทย์ผู้สั่งการ “มาตรการเชิงรุกดึงผู้ประกอบการเข้าซื้อลำไยปลายฤดู” ยั่งยืนไหม

ยั่งยืนได้ หากเปลี่ยนจากมาตรการ “อุ้มราคา” เป็นมาตรการ “อุ้มกติกา” ระยะสั้นต้องไม่ปล่อยให้ผลผลิตค้างสวน ระยะกลางควรยกระดับคุณภาพ–มาตรฐาน–สัญญา และระยะยาวต้องกระจายตลาดและรูปแบบสินค้า รัฐบาลควรลงทุนในโครงสร้างข้อมูล คิวดิจิทัล และเครื่องมือหลังเก็บเกี่ยวระดับชุมชน ควบคู่การกำกับการซื้อขายให้เป็นธรรม หากทำครบวงจร “ฤดูหน้า” เราจะใช้เงินอัดฉีดน้อยลง แต่ได้ราคาที่เสถียรกว่าและเชื่อมโยงมากกว่า

บทสรุป

อำเภอขุนตาลยืนยันจุดรับซื้อลำไย “ยังเพียงพอ” และมีการเสริมกำลังผู้ประกอบการทันที ปัญหาคอขวดช่วงปลายฤดูเกิดขึ้นจริง แต่แก้ได้ด้วยการจัดคิว–คัดเกรด–ขนส่งให้ไหลลื่น พร้อมกันทั้งหน้าลานและปลายน้ำ มาตรการเชิงรุกของกรมการค้าภายในช่วยพยุงราคาและความเชื่อมั่นระยะสั้น ขณะที่ความยั่งยืนต้องพึ่งระบบคุณภาพ สัญญา และข้อมูลกลางที่ใช้ร่วมกันทั้งห่วงโซ่

ในวันที่ลานคัดเงียบลงหลังบ่าย คลื่นไอร้อนยังคงลอยบนผิวถนน รถบรรทุกคันสุดท้ายขยับออกจากคิวชั่ง เกษตรกรยกมือไหว้ขอบคุณเจ้าหน้าที่ก่อนสตาร์ตรถกลับบ้าน สำหรับพวกเขา “การรับซื้อต่อเนื่อง” ในวันนี้ คือความหวังว่าพรุ่งนี้จะยังขายได้ และปีหน้าจะขายได้ดีกว่าเดิม

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศท.1). “ภาพรวมลำไย 8 จังหวัดภาคเหนือ ปี 68 ผลผลิตรวม 1.06 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 12% …” เผยแพร่ 15 ก.ค. 2568. ใช้ยืนยันปริมาณผลผลิตและช่วงออกตลาดมากสุดในเดือนสิงหาคม. oae.go.th
  • กรมวิชาการเกษตร (กลุ่มพัฒนาระบบควบคุมพืชส่งออก). “ระบบควบคุมการส่งออกลำไยสด” เอกสารอธิบายฤดูกาลเก็บเกี่ยวและพื้นที่ปลูกหลักภาคเหนือ รวมถึงกรอบมาตรฐานส่งออก. doa.go.th
  • กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์. “พาณิชย์เดินหน้ารองรับผลไม้ฤดูกาลปี 68 รวม 252,000 ตัน” ข่าวแจกอย่างเป็นทางการ 21 ก.ค. 2568 ยืนยันเป้ารองรับผลผลิตผลไม้ฤดูปีนี้. dit.go.th
  • กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์. “เดินหน้ามาตรการเชิงรุกฤดูกาลลำไย” ข่าวแจก (ตัวอย่างกรณีเชียงใหม่–ลำพูน) ใช้ประกอบแนวทางเชิงรุกในพื้นที่แหล่งผลิต.
  •  สำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY FEATURED NEWS

ค่าครองชีพพุ่ง-เงินเฟ้อติดลบ! ผลักคนไทยสู่หนี้นอกระบบดอกเบี้ยโหด

เปิดวงจร “หนี้นอกระบบ” อัตราดอกเบี้ยสุดโหด ซ่อนใต้ตัวเลขหนี้ครัวเรือนที่ลดลง

ประเทศไทย, 12 สิงหาคม 2568 – แม้สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ลดลงต่ำกว่า 90% เป็นครั้งแรกในรอบหลายปี แต่ครัวเรือนไทยจำนวนมากกลับถูกผลักออกจากสินเชื่อในระบบ จนพึ่งพาหนี้นอกระบบเพิ่มขึ้นอย่างน่าห่วง ตัวเลขที่ดูดีอาจกำลังบัง “วิกฤตเงียบ” ที่ลุกลามสู่ชุมชนทั่วประเทศ โดยเฉพาะพื้นที่เปราะบางอย่างภาคเหนือและชายขอบเมืองใหญ่

บ่ายวันฝนโปรยในเชียงราย เสียงโทรศัพท์ทวงหนี้ดังขึ้นตรงเวลา ความกังวลเรื่องรายได้และค่าครองชีพกลับมาทับซ้อนอีกครั้ง ขณะเดียวกัน ตัวเลขมหภาคบอกว่าหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ลดลงต่อเนื่อง อยู่ที่ราว 88.4% สิ้นไตรมาส 4 ปี 2567 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดตั้งแต่ไตรมาส 2 ปี 2563 ทว่า “ภาพรวมสีเขียว” ไม่ได้แปลว่าครัวเรือนแข็งแรงขึ้น เพราะปัจจัยสำคัญคือการเข้มงวดสินเชื่อของสถาบันการเงิน ทำให้คนจำนวนมากต้องออกจากระบบที่ปลอดภัย และเดินเข้าหาเงินกู้นอกระบบที่คิดดอกเบี้ยสูงผิดกฎหมายแทน.

ภาพสะท้อนที่สวนทางตัวเลขดีขึ้น แต่ชีวิตยากขึ้น

ข้อมูลทางการระบุว่า CPI เดือนมิถุนายน 2568 ติดลบ 0.25% ต่อปี และเดือนกรกฎาคมติดลบต่อเนื่อง 0.7% หลายฝ่ายจึงชี้ว่าไม่มีภาวะ “เงินเฟ้อพุ่ง” ในสถิติ ทว่าในชีวิตจริง ค่าใช้จ่ายจำเป็นกลับไม่ลด ประชาชนยังรู้สึกว่าค่าครองชีพสูงกดดันอย่างต่อเนื่อง.

ผลสำรวจผู้บริโภค Marketbuzzz ชี้ว่า “ค่าครองชีพ” คือความกังวลอันดับหนึ่งของคนไทย 42% สะท้อนความรู้สึกที่ “สวนทาง” กับตัวเลขราคาโดยรวมที่ลดลง ผู้บริหารบริษัทวิจัยชี้ว่าต้องมีมาตรวัดคุณภาพชีวิตที่ครอบคลุมกว่าเดิม จึงจะเห็นภาพจริงของครัวเรือน

ด้านรายจ่ายครัวเรือน สถิติระบุว่า ณ สิ้นปี 2567 ครัวเรือนไทยใช้จ่ายเฉลี่ยราว 18,207 บาทต่อเดือน โดยสัดส่วนสูงสุดยังเป็นอาหารและเครื่องดื่ม สะท้อนแรงกดดันด้านปัจจัยสี่ที่ยังหนักหน่วง.

หนี้นอกระบบพุ่งแตะ “จุดสูงสุดในรอบ 16 ปี”

ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ระบุสัดส่วน “หนี้นอกระบบ” ในภาพรวมเพิ่มขึ้นเป็น 30.1% สูงสุดในรอบ 16 ปี จากเดิม 21.7% ในปีก่อนหน้า ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนความเปราะบางและการถูกปิดประตูสินเชื่ออย่างชัดเจน โดยหลายสำนักข่าวเศรษฐกิจรายงานสอดคล้องกัน.

ยังมีสัญญาณเตือนจาก “หนี้รอวันเสีย” หรือ Stage 2 (SML) ที่ปรับสูงขึ้นต่อเนื่อง ธปท.รายงานอัตราส่วนสินเชื่อจัดชั้นพิเศษของธนาคารพาณิชย์เพิ่มเป็นราว 6.98% สิ้นปี 2567 ขณะที่หนี้เสีย (NPL) อยู่ที่ 532,100 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนเล็กน้อย หาก SML ทะลักเป็น NPL มากขึ้น ความเสี่ยงหลุดออกจากระบบย่อมสูงตาม.

ทำไมคนไทย “ต้อง” ไปพึ่งนอกระบบ

หนึ่ง ระบบเข้มงวดขึ้น วงเงินและเงื่อนไขสินเชื่อรัดกุม รายได้ไม่แน่นอนทำให้ผ่านเกณฑ์ยาก แม้ดอกเบี้ยต่ำกว่านอกระบบมาก แต่ “เข้าถึง” ยากกว่า

สอง ค่าครองชีพกดดันต่อเนื่อง แม้อัตราเงินเฟ้อโดยรวมติดลบหลายเดือน แต่ค่าใช้จ่ายจำเป็นยังสูง คนจำนวนมากจึงหมุนเงินไม่ทัน และต้องหาทางออกที่เร็วที่สุด แม้จะมีต้นทุนดอกเบี้ยมหาศาล.

สาม ความรู้สึก “ชักหน้าไม่ถึงหลัง” ปรากฏชัดในผลสำรวจ UTCC ที่พบว่าคนไทย 46.3% อยู่ในภาวะหมุนเงินตึงมือ ขณะหนี้เฉลี่ยต่อครัวเรือนยังอยู่ระดับสูง.

เปิดวงจรกลโกงดอกโหดคิดอย่างไร จึงหลุดไม่พ้น

1) ดอกเบี้ยรายเดือนหลอกตา
ตัวเลข 10–20% ต่อเดือนดูเหมือนไม่มาก แต่เมื่อคิดเป็นรายปี เท่ากับ 120–240% ต่อปี เงินต้นแทบไม่ลด เพราะต้องจ่ายดอกก่อนเสมอ ยิ่งช้า ยิ่งบาน ไม่มีเพดานคุ้มครองตามกฎหมายสำหรับเจ้าหนี้เถื่อน

2) “ดอกลอย” หรือหักดอกล่วงหน้า
เจ้าหนี้หักดอกจากเงินต้นตั้งแต่ต้น เช่น กู้ 10,000 บาท ได้เงินจริง 8,000 บาท แต่ต้องใช้คืน 10,000 บาท พร้อมดอกที่คำนวณจากยอดเต็ม ทำให้อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงพุ่งสูงผิดปกติทันที.

3) สัญญาอำพราง
บางรายให้ใช้บัตรผ่อนซื้อสินค้าเกินความจำเป็น แล้วนำสินค้าไปแลกเงินสด ยอดหนี้กลับไปผูกกับผู้ให้บริการทางการเงินในระบบแทน แต่ลูกหนี้ได้รับเงินจริงต่ำกว่ายอดหนี้ที่ต้องชำระ วิธีนี้ทำให้ตรวจจับยากและสร้างภาระยืดเยื้อ

4) ทวงหนี้กดดันรายวัน
การโทร ข้อความ หรือเยี่ยมบ้านบ่อยครั้งทำให้เกิดแรงกดดันด้านจิตใจ หลายกรณีมีการข่มขู่หรือประจาน ซึ่งผิดกฎหมายโดยตรงตาม พ.ร.บ.การทวงถามหนี้ พ.ศ.2558 และประกาศกำหนด “ทวงได้ไม่เกินวันละหนึ่งครั้ง” พร้อมกรอบเวลาชัดเจน.

กฎหมายคุ้มครองสิทธิขอบเขตที่ “เจ้าหนี้เถื่อน” ละเมิดอยู่เสมอ

กฎหมายไทยกำหนดอัตราดอกเบี้ยในการกู้ยืมระหว่างบุคคลไม่เกิน 15% ต่อปี ส่วนผู้ให้บริการที่ได้รับอนุญาตมีเพดานเฉพาะ เช่น สินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับไม่เกิน 25% ต่อปี และบัตรเครดิตไม่เกิน 16% ต่อปี เกินจากนี้ถือว่าผิดกฎหมาย และมีโทษทั้งจำคุกและปรับตามพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา.

หากถูกคุกคาม ประจาน หรือใช้ความรุนแรง ลูกหนี้สามารถแจ้งความคดีอาญาต่อพนักงานสอบสวนทันที และใช้ช่องทางไกล่เกลี่ยของรัฐเพื่อยุติข้อพิพาทโดยสันติ ซึ่งมีหน่วยงานรองรับทั่วประเทศ.

มาตรการรัฐ อุดช่องว่างการเข้าถึงเงินกู้ “ที่เป็นธรรม”

รัฐบาลเดินหน้าช่วยเหลือลูกหนี้นอกระบบ ผ่านสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำของธนาคารรัฐ เช่น ออมสิน และ ธ.ก.ส. ตลอด 6 เดือนที่ผ่านมา มีผู้ได้รับความช่วยเหลือกว่า 77,000 ราย วงเงินรวมกว่า 2,400 ล้านบาท ขณะเดียวกัน ผลักดัน “พิโกไฟแนนซ์” เพื่อให้รายย่อยเข้าถึงสินเชื่อถูกกฎหมายมากขึ้น.

ข้อมูล ณ ต้นปี 2567 ระบุว่ามีผู้ได้รับอนุญาตประกอบธุรกิจพิโกไฟแนนซ์สะสมสุทธิราว 1,140 ราย ครอบคลุม 75 จังหวัด เป็นอีกช่องทางหนึ่งในการปิดหนี้นอกระบบด้วยอัตราที่ตรวจสอบได้.

เสียงสะท้อนจากเศรษฐกิจมหภาคตัวเลขหนี้ลด แต่ความเสี่ยงยังสูง

แม้สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ลดลงต่อเนื่อง แต่ยอดหนี้รวมยังสูงกว่า 16.4 ล้านล้านบาท และไทยยังเป็นหนึ่งในประเทศที่มีหนี้ครัวเรือนสูงในเอเชีย นักวิเคราะห์และ ธปท. ต่างย้ำว่ามาตรการใด ๆ ต้องไม่บิดเบือนวินัยการเงิน และต้องรักษาเสถียรภาพระบบการเงินควบคู่กันไป.

วงจรที่ต้องตัดให้ขาด

เมื่อรายได้โตช้า ค่าครองชีพยังสูง การเข้าถึงเครดิตในระบบยากขึ้น ครัวเรือนจึงเลือก “ทางลัดที่แพง” คือเงินกู้นอกระบบ ดอกเบี้ยรายเดือนทำให้เงินต้นไม่ยอมลด ลูกหนี้ต้องกู้ใหม่มาโปะแทน เกิดการทบต้นทบดอก และความเสี่ยงเชิงสังคมตามมา ทั้งความรุนแรง การประจาน และความเครียดในครอบครัว หากปล่อยให้ “Stage 2” ล้นเป็น “NPL” มากขึ้น ผู้กู้ล็อตใหญ่จะถูกผลักออกจากระบบเพิ่ม วงจรนอกระบบจึงขยายตัวโดยอัตโนมัติ.

ประชาชนจะได้ประโยชน์อะไร…ถ้าแก้ให้ถูกจุด

หนึ่ง เข้าถึงสินเชื่อที่เป็นธรรม
เมื่อพัฒนาช่องทางในระบบให้ไวและยืดหยุ่นขึ้น คนตัวเล็กจะไม่ต้องยอมรับดอกเบี้ยที่เอาเปรียบ

สอง ลดภาระดอกเบี้ยทันที
รีไฟแนนซ์จากนอกระบบเข้าสู่สินเชื่อรัฐ ดอกเบี้ยต่อปีต่ำกว่าดอกนอกระบบหลายสิบเท่า เงินต้นเริ่มลดจริง

สาม คุ้มครองสิทธิอย่างมีพลัง
รู้กฎหมาย รู้ช่องทางร้องเรียน และมีเวทีไกล่เกลี่ยที่เข้าถึงได้ ทำให้ลูกหนี้ไม่ต้องเผชิญหน้าลำพัง.

ทางออกเชิงนโยบาย 3 เงื่อนไขที่ต้องทำพร้อมกัน

  1. รายได้และอาชีพ เพิ่มศักยภาพทำมาหากินในท้องถิ่น ลดรายจ่ายจำเป็น และสร้างกันชนเงินออมฉุกเฉิน
  2. เข้าถึงสินเชื่อในระบบ ลดขั้นตอน ตรวจสอบรายได้ไม่เป็นทางการด้วยข้อมูลดิจิทัล เปิดทางให้คนทำอาชีพอิสระเข้าถึงวงเงินเล็กไวขึ้น
  3. กำกับดูแลและบังคับใช้กฎหมาย ปราบปรามทวงหนี้ผิดกฎหมาย สืบสวนสัญญาอำพราง และทำ “แพลตฟอร์มไกล่เกลี่ย” ให้ประชาชนใช้ได้จริงทุกอำเภอ

เช็กลิสต์เอาตัวรอดสำหรับครัวเรือน (ทำได้ทันที)

  • หยุดเลือด เจรจาขอลดดอก หรือขยายงวด หากถูกข่มขู่ให้รวบรวมหลักฐานทันที
  • ขอความช่วยเหลือ โทร 1567 ศูนย์ดำรงธรรม, 1599 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ, 1359 สายด่วนการเงินนอกระบบ, 1111 กด 77 ศูนย์ไกล่เกลี่ย/คุ้มครองสิทธิ
  • หาช่องทางในระบบ พิจารณาสินเชื่อแก้หนี้นอกระบบของออมสินหรือ ธ.ก.ส. วงเงินตามมูลหนี้จริง กำหนดดอกชัด ตรวจสอบได้
  • รู้สิทธิของตน หากเจ้าหนี้ทวงหนี้เกินวันละหนึ่งครั้ง หรือประจาน ถือว่าผิดกฎหมาย มีโทษปรับสูงสุด 100,000 บาท แจ้งหน่วยงานกำกับได้ทันที.

สรุป

วิกฤตหนี้นอกระบบไม่ได้เกิดจาก “ความฟุ่มเฟือย” แต่จากโครงสร้างรายได้ ค่าครองชีพ และการเข้าถึงสินเชื่อในระบบที่ยังไม่ทั่วถึง แม้สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ลดลง แต่ยอดหนี้รวมยังสูงมาก และ “หนี้รอวันเสีย” กำลังก่อตัว หากไม่แก้ที่ต้นตอ วงจรนอกระบบจะยืดเยื้อ และต้นทุนทางสังคมจะสูงขึ้นเรื่อย ๆ คำตอบจึงไม่ใช่เพียง “ปล่อยวงเงินใหม่” แต่เป็นการทำงานสามด้านพร้อมกัน คือเพิ่มรายได้ ขยายสินเชื่อในระบบที่เป็นธรรม และบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง เพื่อพาคนไทยกลับเข้าสู่ระบบการเงินที่ปลอดภัย และปิดฉาก “วงจรดอกโหด” ให้เด็ดขาด.

  • หากคุณมีปัญหาเสามารถติดต่อเพื่อขอคำแนะนำและดำเนินการร้องเรียนได้ฟรี

สภาองค์กรของผู้บริโภคมีช่องทางการร้องเรียนดังนี้

Line: @tccthailand
ใครพบปัญหาผู้บริโภคสามารถร้องเรียนสภาองค์กรของผู้บริโภค
Facebook / X (Twitter): สภาองค์กรของผู้บริโภค
Tiktok: tccthailand 
โทร 1502 และ 022391839
หรือแจ้งเรื่องร้องเรียนออนไลน์ได้ที่ https://complaint.tcc.or.th และทาง E-mail : complaint@tcc.or.th

ติดต่อหน่วยงานช่วยเหลือ (สำหรับผู้อ่าน)

  • ศูนย์ดำรงธรรม กระทรวงมหาดไทย 1567 ตลอด 24 ชั่วโมง
  • สำนักงานตำรวจแห่งชาติ 1599
  • ศูนย์รับแจ้งการเงินนอกระบบ สศค. กระทรวงการคลัง 1359 / www.1359.go.th
  • กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ/ศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาท 1111 กด 77 และ eMediation ระบบออนไลน์. khlongha.pathumthani.police.go.thinfo.go.th
#สภาผู้บริโภค #เพื่อนผู้บริโภค

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • ธนาคารแห่งประเทศไทย (ข้อมูลหนี้ครัวเรือน, SML/NPL และกรอบนโยบายการเงิน). Bot AppMae Fa LuangBot
  • สำนักข่าว Reuters และสื่อเศรษฐกิจไทย (อัตราเงินเฟ้อล่าสุด, สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP). Reuters+2Reuters+2
  • The Standard/NESDC (ยอดหนี้ครัวเรือนรวมและสัดส่วนต่อ GDP). THE STANDARDNESC Development Council
  • Marketbuzzz Consumer Pulse (ความกังวลค่าครองชีพ). DLA Piper
  • มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย/UTCC (สัดส่วนหนี้นอกระบบ 30.1% และภาวะหมุนเงินยาก 46.3%). กองนโยบายพัฒนาระบบการเงินภาคประชาชนX (formerly Twitter)
  • สำนักงานสถิติแห่งชาติ และสื่อเศรษฐกิจ (ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อเดือน). Bangkok Post
  • กฎหมายและการคุ้มครองผู้บริโภคด้านหนี้: กรมสอบสวนคดีพิเศษ, ธปท., พ.ร.บ.การทวงถามหนี้ พ.ศ.2558 และประกาศ “วันละ 1 ครั้ง”. Trading EconomicsBotreport.dopa.go.th
  • ช่องทางช่วยเหลือและโครงการรัฐ: สายด่วน 1359/เว็บไซต์ กพช., สินเชื่อแก้หนี้นอกระบบของออมสินและ ธ.ก.ส., สรุปผลดำเนินงาน 6 เดือนของรัฐบาล. กองนโยบายพัฒนาระบบการเงินภาคประชาชนgsb.or.thRoyal Thai Government
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

มลพิษแม่น้ำกก! คุกคามเศรษฐกิจเชียงรายเสียหายหนักกว่า 1.3 พันล้านบาท

วิกฤตแม่น้ำกกภัยมลพิษซ้ำเติมเศรษฐกิจเชียงราย มูลค่าเสียหายกว่า 1.3 พันล้านบาท/ปี ภาคราชการสุ่มเสี่ยงไร้ความต่อเนื่องช่วงเปลี่ยนผ่าน

เชียงราย, 10 สิงหาคม 2568 – วิกฤตมลพิษจากเหมืองแร่รัฐฉานที่ไหลลงสู่แม่น้ำกก ซึ่งเป็นเส้นเลือดหลักของจังหวัดเชียงราย ไม่ได้เป็นเพียงปัญหาสิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่ยังกลายเป็นภัยคุกคามทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่ที่กำลังซ้ำเติมความเปราะบางของพื้นที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่การบริหารราชการของกระทรวงมหาดไทยกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่จากการโยกย้ายและเกษียณอายุ

รายงานการประเมินมูลค่าความเสียหายเบื้องต้นจากสำนักข่าว Lanner เผยตัวเลขที่น่าตกใจว่า หากแม่น้ำกกไม่สามารถใช้งานได้ตามปกติ ความเสียหายทางเศรษฐกิจรวมจะสูงถึง 1,300,006,731 บาทต่อปี ซึ่งเป็นหายนะที่คุกคามปากท้องและอนาคตของชุมชนกว่า 20 ตำบลที่อาศัยอยู่ริมแม่น้ำกกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

หายนะทางเศรษฐกิจมูลค่าความเสียหายใน 3 ภาคส่วนหลัก

ความเสียหายจากวิกฤตแม่น้ำกกกระจายตัวครอบคลุมสามภาคส่วนหลักของเศรษฐกิจเชียงราย ดังนี้:

  1. ภาคการท่องเที่ยว:
    • มูลค่าความเสียหาย: สูงถึง 773,530,143 บาทต่อปี
    • ผลกระทบ: โรงแรมและรีสอร์ทริมแม่น้ำกกเสียหายกว่า 669 ล้านบาท และธุรกิจการท่องเที่ยวริมน้ำ เช่น การล่องเรือ แพเปียก และการขี่ช้าง เสียหายอีกกว่า 104 ล้านบาท เนื่องจากสายน้ำที่เคยดึงดูดนักท่องเที่ยวกลับกลายเป็นแหล่งมลพิษ
    • ตัวอย่าง: ผู้ประกอบการโรงแรมขนาดเล็กและเจ้าของเรือนำเที่ยวต้องเผชิญกับรายได้ที่หดหายในพริบตา ส่งผลกระทบทางอ้อมต่อร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึก และผู้ให้บริการขนส่งที่พึ่งพารายได้จากนักท่องเที่ยว
  2. ภาคเกษตรกรรม:
    • มูลค่าความเสียหาย: ประมาณ 511,450,458 บาทต่อปี
    • ผลกระทบ: พื้นที่เกษตรกรรมริมฝั่งแม่น้ำกกใน 20 ตำบล ซึ่งครอบคลุมพื้นที่เสี่ยงรวม 131,607 ไร่ ไม่สามารถใช้น้ำเพื่อเพาะปลูกได้ โดยในพื้นที่นี้มีพื้นที่ปลูกข้าว (นาปีและนาปรัง) กว่า 103,924 ไร่ และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ 27,682 ไร่ ซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจหลัก
    • ตัวอย่าง: หากน้ำปนเปื้อนจนใช้ไม่ได้ หมายถึงการสูญเสียผลผลิตที่ทำกินของครัวเรือนเกษตรกรจำนวนมาก ซึ่งจะกระทบโดยตรงต่อรายได้ของครัวเรือนเกษตรกรจำนวน 162,922 ครัวเรือน ในจังหวัดเชียงราย
  3. ภาคประมง:
    • มูลค่าความเสียหาย: ประมาณ 15,026,130 บาทต่อปี
    • ผลกระทบ: ชาวประมงจำนวน 105 คนที่พึ่งพารายได้จากการจับปลาในแม่น้ำกก ต้องสูญเสียรายได้ตลอดทั้งฤดูกาล เนื่องจากปลาไม่สามารถอาศัยอยู่ในน้ำที่ปนเปื้อนได้
    • ตัวอย่าง: การสูญเสียรายได้นี้ไม่เพียงแต่กระทบต่อปากท้อง แต่ยังเป็นการสูญเสียวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของชุมชนริมแม่น้ำที่สืบทอดกันมาหลายชั่วอายุคน

ภัยซ้ำเติมการปรับทัพข้าราชการกับวิกฤตความต่อเนื่อง

ในขณะที่วิกฤตแม่น้ำกกกำลังทวีความรุนแรง การบริหารราชการใน กระทรวงมหาดไทย ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการแก้ไขปัญหาในระดับจังหวัด ก็กำลังเผชิญกับการเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่ภายใต้การบริหารของ นายภูมิธรรม เวชยชัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยคนใหม่

มีการดำเนินการโยกย้ายข้าราชการระดับสูงหลายตำแหน่ง ซึ่งรวมถึงการย้าย ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ ไปดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมการปกครอง รวมถึงอธิบดีกรมสำคัญอื่นๆ ก็ถูกโยกย้ายด้วยเช่นกัน แม้การโยกย้ายจะเป็นเรื่องปกติ แต่ในภาวะวิกฤตเช่นนี้ การปรับเปลี่ยนตำแหน่งสำคัญอาจส่งผลต่อความต่อเนื่องในการบริหารจัดการและแก้ไขปัญหาที่ต้องอาศัยความรวดเร็วและเฉียบขาด

นอกจากนี้ ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า กระทรวงมหาดไทยจะเผชิญกับการเกษียณอายุราชการของข้าราชการจำนวนมาก ซึ่งหากไม่มีการบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ อาจเกิด ช่องว่างในการทำงาน ที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อความสามารถในการบรรเทาทุกข์และฟื้นฟูพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากแม่น้ำกก

ทางออกสำหรับเชียงรายรัฐต้องเร่งมือ-ประชาชนต้องได้รับเยียวยา

เพื่อให้ประชาชนในเชียงรายสามารถผ่านพ้นวิกฤตครั้งนี้ไปได้ รัฐบาลและกระทรวงมหาดไทยจำเป็นต้องแสดงความมุ่งมั่นและประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ โดยมีข้อเสนอแนะที่สำคัญดังนี้:

  1. เร่งรัดการตัดสินใจและมาตรการฉุกเฉิน: แม้จะมีการปรับเปลี่ยนตำแหน่ง ผู้บริหารระดับสูงควรใช้อำนาจที่มีในการสั่งการและสนับสนุนทรัพยากรที่จำเป็นอย่างทันท่วงที เพื่อประเมินสถานการณ์และกำหนดมาตรการบรรเทาผลกระทบฉุกเฉินแก่ประชาชนที่ได้รับผลกระทบ
  2. สร้างความมั่นใจในความต่อเนื่องของนโยบาย: การถ่ายทอดนโยบายและแผนงานอย่างชัดเจนให้กับข้าราชการที่เข้ารับตำแหน่งใหม่เป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้การแก้ไขปัญหาเป็นไปอย่างต่อเนื่อง ไม่สะดุดหยุดลง
  3. จัดสรรงบประมาณและทรัพยากรอย่างเร่งด่วน: ด้วยมูลค่าความเสียหายกว่า 1.3 พันล้านบาทต่อปี รัฐบาลต้องจัดสรรงบประมาณฉุกเฉินและทรัพยากรที่จำเป็นเพื่อชดเชยความเสียหาย ฟื้นฟูสภาพแวดล้อม และสนับสนุนอาชีพทางเลือกให้กับผู้ได้รับผลกระทบ เช่น การส่งเสริมพืชเศรษฐกิจอนาคตไกลของจังหวัด อย่างกาแฟดอยตุง, ชาเชียงราย, สับปะรดนางแล และพืชสมุนไพร
  4. โปร่งใสและสื่อสารกับประชาชน: การสื่อสารข้อมูลที่ถูกต้อง ชัดเจน และโปร่งใสเกี่ยวกับการดำเนินงานแก้ไขปัญหา รวมถึงเปิดรับฟังความคิดเห็นจากชุมชนที่ได้รับผลกระทบโดยตรง จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนและนำไปสู่ทางออกที่ยั่งยืน

วิกฤตแม่น้ำกกจึงเป็นบททดสอบสำคัญสำหรับกลไกการบริหารราชการของไทย ว่าจะสามารถปรับตัวและตอบสนองต่อวิกฤตได้อย่างมีประสิทธิภาพหรือไม่ เพื่อให้สายน้ำกกกลับมาเป็นสายเลือดที่หล่อเลี้ยงชีวิตและเศรษฐกิจของชาวเชียงรายได้อย่างยั่งยืนอีกครั้ง

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

โลจิสติกส์บูม! คลังสินค้าไทยผงาดเป็นศูนย์กลางโลก พร้อมปลดล็อกเชียงแสน

ไทยผงาดเป็นศูนย์กลางคลังสินค้าโลก รับแรงส่งการลงทุนต่างชาติ EEC-โลจิสติกส์บูม ขณะเชียงแสนเร่งปลดล็อกศักยภาพประตูการค้าจีน

กรุงเทพฯ, 5 สิงหาคม 2568 – ในยุคที่ห่วงโซ่อุปทานโลกเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ประเทศไทยกำลังย่างก้าวขึ้นสู่บทบาทใหม่ที่สำคัญในฐานะ “ศูนย์กลางคลังสินค้าโลก” โดยได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่จากกระแสการย้ายฐานการผลิตและการจัดจำหน่ายของนักลงทุนต่างชาติ โดยเฉพาะจากญี่ปุ่น จีน และยุโรป ที่มองหาจุดยุทธศาสตร์ที่มั่นคงสำหรับการจัดเก็บและกระจายสินค้า

การเติบโตของภาคโลจิสติกส์ไทยในครึ่งปีแรกของ 2568 สะท้อนให้เห็นถึงความน่าเชื่อถือและศักยภาพของประเทศ ด้วยทำเลที่ตั้งที่เป็นประโยชน์ โครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่ง และมาตรฐานคลังสินค้าที่เทียบเท่าระดับสากล ซึ่งสะท้อนผ่านการลงทุนขยายพื้นที่คลังสินค้าของภาคเอกชนไทยอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในพื้นที่ยุทธศาสตร์สำคัญอย่างแหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี ซึ่งเป็นประตูสู่ท่าเรือและเชื่อมโยงกับเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC)

ภาคเอกชนเร่งขยายลงทุน รับดีมานด์พุ่งทะยาน

การเติบโตของธุรกิจคลังสินค้าไทยปรากฏชัดเจนจากผลการดำเนินงานของผู้เล่นรายใหญ่ที่ประสบความสำเร็จอย่างน่าประทับใจ

SCX Corporation บริษัทลูกในเครือ SC Asset ที่มุ่งเน้นธุรกิจสร้างรายได้ประจำ ได้ประกาศแผนการลงทุน 20,000 ล้านบาทระหว่างปี 2568-2572 โดยในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2568 บริษัทสามารถปล่อยเช่าพื้นที่คลังสินค้าได้สูงถึง 110,000 ตารางเมตร เพิ่มขึ้นอย่างน่าประทับใจถึง 260% เมื่อเทียบกับปีก่อน และคาดว่าภายในสิ้นปีนี้จะทะลุ 150,000 ตารางเมตร

ความสำเร็จของ SCX ปรากฏชัดจากโครงการ SCX Logistics Bangna Km.23 ที่ได้รับการตอบรับอย่างดีเยี่ยม ซึ่งพื้นที่อาคารทั้งหมดถูกเช่าเต็ม 100% ทันทีที่เปิดตัว จุดแข็งของ SCX อยู่ที่กลุ่มลูกค้าที่หลากหลายทั้งสัญชาติ (ญี่ปุ่น 25%, จีน 23%) และประเภทธุรกิจ (โลจิสติกส์ 45%, การผลิต 25%, ดาต้าเซ็นเตอร์ 16%) ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงและตอกย้ำการเป็นศูนย์กลางซัพพลายเชนระดับภูมิภาค

ขณะเดียวกัน บริษัท พูลพิพัฒน์ จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจคลังสินค้าให้เช่ามากว่า 60 ปี ได้เปิดตัวคลังสินค้า “พูลพิพัฒน์ สาขาแหลมฉบัง 1 (LCB1)” อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2568 คลังสินค้าแห่งใหม่นี้มีพื้นที่กว่า 34,200 ตร.ม. ตั้งอยู่ในทำเลศักยภาพใกล้ท่าเรือแหลมฉบัง โดยได้รับการออกแบบตามมาตรฐานสากลและมุ่งสู่การเป็น “Green Warehouse” เพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจหมุนเวียน โดยยึดหลัก ESG พร้อมแผนก่อสร้างเพิ่มอีก 2 แห่ง รวมพื้นที่กว่า 100,000 ตร.ม.

นอกจากนี้ บริษัท ไซโน โลจิสติกส์ คอร์ปอเรชั่น (SINO) เร่งขยายพื้นที่คลังสินค้าปลอดอากร (Free Zone) ในนิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบังอีกเกือบ 6,000 ตารางเมตร นายนันท์มนัส วิทยศักดิ์พันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SINO กล่าวว่า บริษัทเล็งเห็นความต้องการเช่าพื้นที่จัดเก็บที่เติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะจากกลุ่มยานยนต์และโลจิสติกส์นำเข้า-ส่งออกที่ต้องการสิทธิประโยชน์ด้านภาษี เมื่อรวมพื้นที่เดิม คลังสินค้าปลอดอากรของ SINO จะเพิ่มขึ้นเป็น 23,000 ตารางเมตร จากพื้นที่ทั้งหมด 33,000 ตารางเมตร และมั่นใจว่าจะสามารถปล่อยเช่าได้เต็มพื้นที่ภายในปี 2569

ข้อมูลจากตลาดโลจิสติกส์ไทยชี้ว่า ในปี 2568 คาดว่าจะมีพื้นที่คลังสินค้าใหม่ 150,686 ตร.ม. เข้าสู่ตลาด โดย EEC จะคิดเป็น 72% ของอุปทานในอนาคต ซึ่งเป็นผลจากการลงทุนต่อเนื่องในอุตสาหกรรมยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ และสินค้าอุปโภคบริโภคที่เคลื่อนไหวเร็ว

เชียงแสน-เชียงของ ประตูการค้าเหนือที่กำลังปลดล็อกศักยภาพ

ขณะที่ภาคกลางและตะวันออกเติบโตอย่างแข็งแกร่ง ภาคเหนือก็กำลังเขียนบทใหม่ด้วยการยกระดับท่าเรือเชียงแสนและเชียงของให้เป็นประตูการค้าและโลจิสติกส์สำคัญ การพัฒนาครั้งนี้ไม่ใช่เพียงแค่การปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานธรรมดา แต่คือการวางแผนยุทธศาสตร์ที่ลึกซึ้ง เพื่อเชื่อมโยงประเทศไทยเข้ากับมหาอำนาจทางเศรษฐกิจอย่างจีนและอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (GMS) อย่างไร้รอยต่อ

ข้อมูลล่าสุดชี้ให้เห็นว่าในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2567 การค้าชายแดนและผ่านแดนผ่านท่าเรือเชียงแสนมีมูลค่ารวม 5,960 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21.5% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยการส่งออกผ่านท่าเรือมีมูลค่า 5,650 ล้านบาท ส่วนการนำเข้ามีมูลค่า 312 ล้านบาท

ท่าเรือเชียงแสนแห่งที่ 2 (CSP2) ที่ถูกสร้างขึ้นด้วยความมุ่งมั่นที่จะเป็น “เส้นเลือดใหญ่” ของการขนส่งสินค้าทางน้ำกับจีน ด้วยขีดความสามารถที่สูงถึง 6 ล้านตันต่อปี มากกว่าท่าเรือเดิมถึง 10 เท่าตัว แต่การใช้ประโยชน์จากศักยภาพอันมহาศาลนี้ยังคงไม่เต็มที่ สาเหตุหลักมาจาก “ความท้าทายในการเดินเรือ” ในแม่น้ำโขง ทั้งในเรื่องกระแสน้ำเชี่ยวในฤดูน้ำหลากและระดับน้ำที่ตื้นเขินในฤดูแล้ง

อย่างไรก็ตาม ความหวังใหม่ได้ปรากฏขึ้นจากการประกาศของสำนักงานศุลกากรแห่งชาติจีน (GACC) เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2567 ที่อนุมัติให้ “ท่าเรือกวนเหล่ย” ในมณฑลยูนนานของจีน มีสถานะเป็น “ด่านเฉพาะเพื่อการนำเข้าผลไม้” อย่างเป็นทางการ นับเป็นชัยชนะครั้งสำคัญของภาคการส่งออกไทย เพราะนับจากนี้เป็นต้นไป “ผลไม้ไทย” จะสามารถเดินทางจากท่าเรือเชียงแสนตรงไปยังจีนทางแม่น้ำได้โดยไม่ต้องผ่านพิธีการหลายขั้นตอนเหมือนในอดีต

การอนุมัติครั้งนี้ถือเป็นการแก้ไขปัญหาคอขวดที่เคยเป็นอุปสรรคสำคัญ และคาดการณ์ว่าปริมาณการนำเข้าผลไม้ผ่านท่าเรือกวนเหล่ยจะพุ่งสูงถึง 150,000 ตัน ในปี 2568 และแตะ 300,000 ตัน ภายในปี 2573 โดยผลไม้สด เช่น ทุเรียน มังคุด และลำไย คิดเป็นสัดส่วนกว่า 88% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมดจากภาคเหนือไปยังจีนผ่านเส้นทาง R3A

ควบคู่ไปกับการพัฒนาท่าเรือเชียงแสน อำเภอเชียงของ กำลังถูกวางตำแหน่งให้เป็น “ศูนย์กลางโลจิสติกส์หลายรูปแบบ” (Multimodal Logistics Hub) และ “เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ” (SEZ) ที่สำคัญ โดยมีจุดเด่นจากการเชื่อมโยงโครงข่ายการขนส่งทั้งทางถนน (สะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 4), ทางน้ำ และในอนาคตอันใกล้นี้คือทางรถไฟ

การแข่งขันจากรถไฟจีน-ลาว บทท้าทายที่เป็นโอกาส

การเปิดให้บริการ “รถไฟจีน-ลาว” เมื่อปลายปี 2564 ได้สร้างคลื่นใต้น้ำครั้งใหญ่ในแวดวงโลจิสติกส์ภาคเหนือ เส้นทางใหม่นี้ไม่ใช่แค่คู่แข่ง แต่คือ “ตัวเร่ง” ให้ท่าเรือเชียงแสนและเชียงของต้องปรับตัวอย่างเร่งด่วน เพราะรถไฟจีน-ลาวมีข้อได้เปรียบที่เหนือกว่าในหลายด้าน คาดการณ์ว่าจะช่วยลดต้นทุนการขนส่งได้ถึง 50% เมื่อเทียบกับการขนส่งทางถนน R3A และ 42% เมื่อเทียบกับเส้นทางแม่น้ำโขง นอกจากนี้ยังลดเวลาการขนส่งผลไม้สดจากคุนหมิงสู่กรุงเทพฯ ให้เหลือเพียง 55 ชั่วโมง เร็วกว่าการขนส่งแบบเดิมถึง 1 วัน

ข้อมูลปี 2566 แสดงให้เห็นว่ามูลค่าการค้าไทย-จีนอยู่ที่ 126.28 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยจีนเป็นตลาดส่งออกหลักสำหรับผลิตภัณฑ์เกษตรไทย โดยดูดซับผลิตภัณฑ์เกษตรของไทยมากกว่า 40% นักวิเคราะห์จากหลายสำนักมองว่าการเกิดขึ้นของรถไฟจีน-ลาว คือการเปลี่ยนเกมครั้งสำคัญที่จะผลักดันให้การค้าและการลงทุนมุ่งไปสู่ระบบรางมากขึ้น และจะทำให้เส้นทางการค้าทางน้ำต้องหันมาเน้นการขนส่งสินค้าเฉพาะทางหรือสินค้าที่มีต้นทุนต่ำเป็นหลัก

ประโยชน์มหาศาลต่อประชาชนและเศรษฐกิจไทย

การขยายตัวครั้งใหญ่ในธุรกิจคลังสินค้าและโลจิสติกส์นี้ ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของภาคธุรกิจเท่านั้น แต่ยังนำมาซึ่งประโยชน์มหาศาลต่อประชาชนและเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศในหลายมิติ

การลงทุนขนาดใหญ่ในคลังสินค้าและโครงสร้างพื้นฐานด้านโลจิสติกส์ สร้างความต้องการแรงงานจำนวนมาก ทั้งในส่วนของการก่อสร้าง การบริหารจัดการคลังสินค้า และบริการสนับสนุนอื่นๆ ซึ่งจะนำไปสู่การสร้างงานใหม่และเพิ่มรายได้ให้กับประชาชนในพื้นที่และใกล้เคียง การที่ไทยเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ จะช่วยดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) มากขึ้น ไม่เฉพาะในธุรกิจคลังสินค้า แต่ยังรวมถึงอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง เช่น การผลิต การค้า และอีคอมเมิร์ซ

ระบบโลจิสติกส์ที่มีประสิทธิภาพ จะช่วยลดต้นทุนการขนส่งและการจัดเก็บสินค้า ซึ่งอาจส่งผลให้ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคที่นำเข้าหรือผลิตในประเทศลดลง ทำให้ประชาชนสามารถเข้าถึงสินค้าและบริการได้ในราคาที่ยุติธรรมมากขึ้น การมุ่งเน้นการสร้าง “Green Warehouse” การใช้พลังงานสะอาด และรถขุดไฟฟ้าเพื่อลดมลภาวะ สะท้อนถึงความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นประโยชน์โดยตรงต่อสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชนในระยะยาว

ข้อเสนอแนะเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน

เพื่อปลดล็อกศักยภาพของท่าเรือเชียงแสนและเชียงของให้เป็นประตูการค้าสำคัญของประเทศอย่างยั่งยืน ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจเสนอแนะให้รัฐบาลเร่งเจรจากับฝ่ายจีนเพื่อยกเลิกข้อจำกัดการนำเข้าสินค้าควบคุมอุณหภูมิ (cold chain) ที่ท่าเรือกวนเหล่ย รวมถึงประสานงานกับลาวเพื่อปรับปรุงเวลาทำการของด่านให้สอดคล้องกัน

การเร่งรัดการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน โดยดำเนินการก่อสร้างศูนย์เปลี่ยนถ่ายรูปแบบการขนส่งสินค้าเชียงของ และโครงการรถไฟทางคู่สายเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ ให้แล้วเสร็จตามกำหนด เพื่อบูรณาการระบบขนส่งให้ครบทุกรูปแบบก็เป็นสิ่งสำคัญ

การแก้ไขปัญหาแม่น้ำโขงอย่างยั่งยืน โดยรัฐบาลควรส่งเสริมความร่วมมือกับประเทศในอนุภูมิภาคในการจัดการน้ำอย่างยั่งยืน โดยคำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและวิถีชีวิตของชุมชนริมแม่น้ำอย่างรอบด้าน รวมถึงการใช้โอกาสจากการที่ท่าเรือกวนเหล่ยเปิดเป็นด่านผลไม้ เพื่อเพิ่มปริมาณการส่งออกผลไม้ไทยให้สูงสุด และลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน cold chain เพื่อรองรับสินค้าเกษตรและอาหารแปรรูป

ด้วยปัจจัยเหล่านี้ ประเทศไทยไม่เพียงแต่กำลังเติบโตทางเศรษฐกิจ แต่ยังคงเดินหน้าอย่างมั่นคงสู่การเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ที่ครบวงจรและยั่งยืน สร้างประโยชน์ที่จับต้องได้แก่ประชาชนทุกคนในทุกมิติ การปรับตัวและก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างมีวิสัยทัศน์ของประเทศไทย จะช่วยให้เราสามารถคว้าโอกาสทองจากความเปลี่ยนแปลงของภูมิรัฐศาสตร์และเศรษฐกิจโลกได้อย่างเต็มที่ และตอกย้ำบทบาทของไทยในฐานะศูนย์กลางโลจิสติกส์ที่สำคัญของภูมิภาคอย่างแท้จริง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • SC Asset Corporation (SCX Corporation) – รายงานผลการดำเนินงานครึ่งปี 2568
  • Bangkok Post – รายงานการค้าชายแดน 10 เดือนแรก 2567
  • Knight Frank Thailand – รายงานตลาดโลจิสติกส์ไทย ครึ่งปีหลัง 2567
  • China Briefing – ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจไทย-จีน 2568
  • บริษัท พูลพิพัฒน์ จำกัด – ข่าวประชาสัมพันธ์การเปิดคลังสินค้าแหลมฉบัง
  • บริษัท ไซโน โลจิสติกส์ คอร์ปอเรชั่น – แผนขยายคลังสินค้าปลอดอากร
  • สำนักงานศุลกากรแห่งชาติจีน (GACC) – ประกาศอนุมัติท่าเรือกวนเหล่ย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

“ลำไยบินได้” เชียงรายจับมือเวียตเจ็ท แก้ปัญหาราคาตก-ผลผลิตล้นตลาด

ลำไยบินได้” เชียงรายผนึกกำลังเวียตเจ็ท แก้ราคาตก-ล้นตลาด ด้วยพลังขนส่งทางอากาศ

เชียงราย, 4 สิงหาคม 2568 – เชียงรายคิกออฟ “ลำไยบินได้” ปั้นโมเดลเชื่อมตลาดใต้ จังหวัดเชียงรายเปิดฉากโครงการ “ลำไยบินได้” อย่างเป็นทางการ โดยร่วมมือกับสายการบินไทยเวียตเจ็ทแอร์ ส่งตรงลำไยเกรดพรีเมียมจากภาคเหนือสู่ภูเก็ต หวังเพิ่มมูลค่าผลผลิต สร้างทางเลือกใหม่ให้เกษตรกร พร้อมแก้ปัญหาผลผลิตล้นตลาดและราคาตกต่ำ

การแถลงข่าว ณ ท่าอากาศยานนานาชาติแม่ฟ้าหลวงเชียงราย นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เผยว่า ความร่วมมือนี้เป็นกลไกเฉพาะหน้าเพื่อระบายผลผลิตลำไยคุณภาพ คัดเกรด AA+A บรรจุขนาด 5 กก./ตะกร้า ผ่านใต้ท้องเครื่องบินผู้โดยสาร มีกำหนดขนส่งระหว่างวันที่ 4-29 สิงหาคม 2568 คาดเป้าหมายรวมกว่า 24 ตัน หรือประมาณสัปดาห์ละ 6 ตัน

สนามบินแม่ฟ้าหลวงหนุนเต็มกำลัง เสริมโลจิสติกส์ผลไม้เชียงราย

น.ต.สมชนก เทียมเทียบรัตน์ ผู้อำนวยการท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงเชียงราย ยืนยันว่า สนามบินมีศักยภาพรองรับการขนส่งสินค้าเกษตรได้ถึง 5,000 ตันต่อปี พร้อมจัดพื้นที่ ปรับระบบโลจิสติกส์ และเพิ่มความปลอดภัย เพื่อให้ลำไยถึงจุดหมายด้วยความสดใหม่และรวดเร็ว

ในขณะที่นายภาคภูมิ ผลพิสิษฐ์ ประธานหอการค้าจังหวัดเชียงราย มองว่า การกระจายสินค้าด้วยระบบขนส่งทางอากาศนี้ ช่วยเปิดตลาดใหม่และลดแรงกดดันจากตลาดเดิม พร้อมระบุว่าการส่งออกภายในประเทศแบบ point-to-point ถือเป็นทางเลือกสำคัญของเกษตรกรยุคใหม่

ลำไยล้นตลาด 1.69 ล้านตัน วิกฤตราคาต่ำสุดในรอบ 11 ปี

ข้อมูลจากสำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงรายและศูนย์วิจัยกสิกรไทย สอดคล้องกันว่า ปี 2568 ลำไยในพื้นที่ภาคเหนือมีผลผลิตรวมสูงถึง 1.69 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 19% จากปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในเชียงรายที่มีผลผลิตเพิ่มขึ้นจาก 64,419 ตัน เป็น 106,929 ตัน หรือพุ่งขึ้นกว่า 66% ทำให้ราคาตลาดเฉลี่ยตกต่ำเหลือเพียง 14 บาท/กิโลกรัม ต่ำสุดในรอบ 11 ปี

นางณัฐพร มหาไพบูลย์ พาณิชย์จังหวัดเชียงราย กล่าวเสริมว่า ความท้าทายนี้เกิดจากผลผลิตออกสู่ตลาดพร้อมกันในปริมาณมาก แต่ยังขาดระบบกระจายที่รวดเร็วและเชื่อมโยงตลาดได้ทันที

รัฐบาลอัดมาตรการด่วน เสริมทัพโครงการเชียงราย

เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของเกษตรกร รัฐบาลโดยนายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้เปิดเผย 3 มาตรการคู่ขนานที่กำลังดำเนินการในช่วงเดือนสิงหาคม ได้แก่:

  • มาตรการช่วยเหลือด้านการตลาด: กำหนดราคาขั้นต่ำลำไยรูดร่วง (เกรด AA 13 บาท/กก., A 6 บาท/กก.) โดยสมาคมโรงอบลำไยภาคเหนือและกรมการค้าภายใน
  • เตรียมเสนอ ครม. พัฒนาสวนลำไยคุณภาพ: สนับสนุนค่าตัดแต่งและปัจจัยการผลิต รวมสูงสุด 14,000 บาท/ครัวเรือน
  • ปล่อยสินเชื่อดอกเบี้ย 0% แปรรูปผลผลิต: ร่วมมือกับ อ.ต.ก. และหน่วยงานต่างๆ กระจายผลผลิตลำไยผ่านกระทรวงศึกษาธิการ ยุติธรรม และไปรษณีย์ไทย

โมเดล “ลำไยบินได้” สร้างผลประโยชน์ให้ใคร?

การเปิดตัวโมเดลการขนส่งลำไยทางอากาศครั้งนี้ แม้เป็นมาตรการเฉพาะหน้า แต่สร้างผลกระทบในเชิงบวกอย่างชัดเจนต่อประชาชนหลายกลุ่ม ได้แก่:

  • เกษตรกร: ได้ราคาที่สูงขึ้น และไม่จำเป็นต้องเร่งเก็บเกี่ยวลำไยก่อนถึงช่วงเวลาที่เหมาะสม
  • ผู้บริโภคในพื้นที่ปลายทาง: ได้รับลำไยสดคุณภาพดีในราคาที่เป็นธรรม
  • ผู้ประกอบการโลจิสติกส์และสนามบิน: มีโอกาสพัฒนาเส้นทางขนส่งเชิงพาณิชย์
  • เศรษฐกิจท้องถิ่น: เกิดการหมุนเวียนรายได้ กระตุ้นการจ้างงานและบริการที่เกี่ยวข้อง

นอกจากนี้ ความร่วมมือระหว่างภาครัฐ เอกชน และสายการบิน ยังแสดงให้เห็นถึงศักยภาพการบริหารจัดการสินค้าเกษตรไทยที่สามารถต่อยอดไปสู่ผลไม้ชนิดอื่นในอนาคต

เชียงรายลุยโมเดลต้นแบบ ผลักดันผลไม้ไทยให้บินไกล

“ลำไยบินได้” คือการผสมผสานระหว่างการบริหารจัดการเชิงนโยบาย การสร้างระบบขนส่งที่คล่องตัว และการพัฒนาตลาดปลายทางอย่างยั่งยืน แม้จะเป็นโครงการทดลองในช่วงวิกฤต แต่สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพการวางแผนและบูรณาการระหว่างหน่วยงานท้องถิ่นกับภาคเอกชนอย่างเป็นรูปธรรม

หากสามารถต่อยอดให้ครอบคลุมทั้งระบบตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ไม่เพียงแค่ลำไย แต่รวมถึงผลผลิตอื่นของไทย โมเดลนี้อาจกลายเป็นโครงสร้างหลักของการขนส่งสินค้าเกษตรแห่งอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงราย
  • ท่าอากาศยานนานาชาติแม่ฟ้าหลวงเชียงราย
  • ศูนย์วิจัยกสิกรไทย
  • สำนักนายกรัฐมนตรี
  • หอการค้าจังหวัดเชียงราย
  • กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์
  • กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
  • องค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

คลังเชียงรายเผย! อัตราเบิกจ่ายงบปี 68 พุ่ง 81.25% สะท้อนบริหารงานมีประสิทธิภาพ

คลังเชียงรายชี้เบิกจ่ายงบปี 68 พุ่ง 81.25%! สะท้อนบริหารงานมีประสิทธิภาพ ประชาชนได้รับประโยชน์เต็มที่

เชียงราย, 4 สิงหาคม 2568 – ตัวเลขที่มากกว่าคำว่า “สำเร็จ”
ท่ามกลางยุคที่งบประมาณของรัฐกลายเป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนาทุกพื้นที่ “สำนักงานคลังจังหวัดเชียงราย” ได้รายงานสถิติที่น่าพอใจเป็นอย่างยิ่ง เมื่อ ณ สิ้นเดือนกรกฎาคม 2568 จังหวัดเชียงรายมีอัตราการเบิกจ่ายงบประมาณโดยรวมสูงถึง 81.25% ของงบทั้งหมดที่ได้รับจัดสรร ประเด็นนี้ไม่ใช่เพียงตัวเลขที่สูงเมื่อเทียบกับเป้าหมายเชิงนโยบาย แต่เป็นสัญญาณเชิงบวกที่บอกถึง “ความเข้มแข็งในการบริหารจัดการ” และสะท้อนความจริงใจของหน่วยงานรัฐในการใช้เงินภาษีประชาชนอย่างคุ้มค่าและโปร่งใส

เจาะลึกตัวเลข งบประจำเบิกจ่ายเกือบเต็ม งบลงทุนเดินหน้าเป็นรูปธรรม

ผลการเบิกจ่ายงบประมาณของเชียงรายในปีนี้แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพในการดำเนินโครงการต่าง ๆ อย่างแท้จริง

  • งบประมาณโดยรวม: จังหวัดเชียงรายได้รับงบประมาณทั้งสิ้น 17,770.63 ล้านบาท และสามารถเบิกจ่ายไปแล้วถึง 81.25% ซึ่งถือเป็นหนึ่งในจังหวัดที่มีอัตราการเบิกจ่ายสูงในภูมิภาคเหนือ
  • งบประจำ: มีอัตราการเบิกจ่ายถึง 89.82% สะท้อนให้เห็นว่าการบริหารค่าใช้จ่ายประจำ เช่น เงินเดือนเจ้าหน้าที่รัฐ, ค่าสาธารณูปโภค, ค่าดูแลและบำรุงรักษาสถานที่สำคัญต่างๆ ดำเนินไปอย่างราบรื่น หน่วยงานสามารถให้บริการประชาชนได้อย่างต่อเนื่อง ไม่สะดุด
  • งบลงทุน: เบิกจ่ายไปแล้ว 70.31% ของยอดที่ได้รับ ซึ่งแม้จะต่ำกว่างบประจำแต่ยังถือว่าสูงเมื่อเทียบกับขนาดของโครงการและระยะเวลาดำเนินการ โดยงบลงทุนส่วนใหญ่ใช้ในโครงการขนาดใหญ่ อาทิ การสร้างถนน สะพาน โรงพยาบาล อาคารเรียน และโครงสร้างพื้นฐานอื่น ๆ ที่จำเป็นต่อคุณภาพชีวิตประชาชน

ผลสัมฤทธิ์ที่เห็นได้จริงประชาชนได้อะไร

  • บริการรัฐต่อเนื่อง รวดเร็ว: งบประจำที่เบิกจ่ายได้เกือบเต็ม ส่งผลโดยตรงต่อประสิทธิภาพของหน่วยงานรัฐ ประชาชนจึงสามารถเข้าถึงบริการต่าง ๆ ได้อย่างสะดวก ทั้งงานทะเบียน งานสาธารณสุข งานสวัสดิการ และงานราชการในชีวิตประจำวัน
  • โครงสร้างพื้นฐานเติบโตอย่างเป็นรูปธรรม: งบลงทุนที่เบิกจ่ายไปแล้วกว่า 70% ช่วยผลักดันให้โครงการก่อสร้างสำคัญๆ ของจังหวัดเดินหน้าไม่หยุดยั้ง ถนน สะพาน สถานศึกษา สถานพยาบาลต่างๆ กำลังอยู่ในขั้นตอนดำเนินงานหรือใกล้เสร็จสมบูรณ์ ส่งผลให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น เข้าถึงสิ่งอำนวยความสะดวกสมัยใหม่ได้มากขึ้น
  • เศรษฐกิจท้องถิ่นหมุนเวียน กระจายรายได้: การอัดฉีดงบประมาณสู่โครงการต่างๆ ในจังหวัด ส่งผลให้เกิดการจ้างงานในท้องถิ่น เกิดการสั่งซื้อวัสดุและบริการจากผู้ประกอบการในพื้นที่ ทำให้เม็ดเงินไหลเวียนและกระจายรายได้สู่ชุมชน ลดปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ
  • ขับเคลื่อนสังคมอย่างยั่งยืน: งบประมาณที่ได้รับการบริหารอย่างมีประสิทธิภาพนี้ ช่วยสร้างฐานรากของสังคมที่แข็งแรง ทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐาน การสาธารณสุข การศึกษา และการพัฒนาสังคมอย่างรอบด้าน

เชียงรายโมเดล ‘รัฐโปร่งใส’ – พัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชน

การบริหารงบประมาณให้มีประสิทธิภาพสูงเช่นนี้ นอกจากจะบ่งบอกถึงทักษะและความตั้งใจของผู้บริหารจังหวัดและหน่วยงานราชการ ยังเป็นเครื่องมือที่ช่วยสร้างความมั่นใจและศรัทธาให้กับประชาชนในฐานะ “เจ้าของงบประมาณ” ที่แท้จริง ทั้งยังเป็นต้นแบบของการนำเงินภาษีไปใช้ตามวัตถุประสงค์หลัก ไม่รั่วไหล ไม่ตกค้างในระบบ ให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับสังคม

ด้วยอัตราการเบิกจ่าย 81.25% เชียงรายสามารถยืนหยัดในฐานะจังหวัดที่เดินหน้านโยบาย “รัฐโปร่งใส พัฒนาคุณภาพชีวิต” ได้อย่างแท้จริง ส่งสัญญาณบวกไปยังหน่วยงานราชการทุกระดับ ทั้งการจัดสรรงบประมาณปีหน้า และการตรวจสอบถ่วงดุลระหว่างภาครัฐกับประชาชน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • • สำนักงานคลังจังหวัดเชียงราย
    • รายงานผลการเบิกจ่ายงบประมาณประจำปี 2568 จังหวัดเชียงราย
    • ข้อมูลประกอบจากเว็บไซต์ข่าวภาครัฐและการประชุมคณะกรรมการกลั่นกรองงบประมาณจังหวัด
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

วิกฤตลำไยภาคเหนือปี 68 ผลผลิตพุ่ง 1.69 ล้านตัน ราคาดิ่งต่ำสุดรอบ 11 ปี

วิกฤตลำไยภาคเหนือส่อรุนแรง ผลผลิตพุ่งแตะ 1.69 ล้านตัน ราคาดิ่งต่ำสุดรอบ 11 ปี กระทรวงพาณิชย์เดินหน้ามาตรการเร่งด่วน หวังประคองรายได้เกษตรกร

เชียงราย, 2 สิงหาคม 2568 – ในปี 2568 ภาคเหนือของไทยกำลังเผชิญกับ “พายุผลผลิตลำไย” ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ทั้งปริมาณที่ล้นตลาดและราคาที่ร่วงต่ำสุดในรอบกว่าทศวรรษ ทำให้ชีวิตของเกษตรกรผู้ปลูกลำไยกว่า 210,000 ครัวเรือนในจังหวัดเชียงราย เชียงใหม่ ลำพูน และพื้นที่ใกล้เคียงเผชิญภาวะวิกฤตหนัก ข้อมูลจากศูนย์วิจัยกสิกรไทยชี้ว่า ราคาลำไยเฉลี่ยเดือนกรกฎาคมปีนี้ตกลงมาอยู่ที่เพียง 14 บาทต่อกิโลกรัม ต่ำสุดในรอบ 10 ปี 11 เดือน นำไปสู่การเร่งออกมาตรการฉุกเฉินของกระทรวงพาณิชย์และทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

วิกฤตผลผลิตล้นตลาด จาก “ปีทอง” สู่ “ปีหนักใจ” เกษตรกร

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยวิเคราะห์ถึงปัจจัยเบื้องหลังการดิ่งของราคาลำไยในปีนี้ พบว่า “สภาพอากาศเอื้ออำนวย” ตลอดช่วงต้นปีทำให้ต้นลำไยออกดอกและติดผลดีมากกว่าทุกปี ส่งผลให้ผลผลิตพุ่งสูงถึง 1.69 ล้านตัน เพิ่มขึ้นถึง 19% จากปีก่อนหน้า และมากกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลังถึง 1.2 เท่า

นอกจากนี้ เกษตรกรยังเพิ่มการใช้สารกระตุ้นและบำรุงต้นจากแรงจูงใจของราคาที่ดีในปี 2566-67 ผลที่ตามมาคือ ปริมาณผลผลิตต่อไร่เพิ่มขึ้น 17.2% (จาก 856 เป็น 1,012 กิโลกรัม/ไร่) กลายเป็น “ผลไม้ล้นสวน” ในทุกหมู่บ้าน

แต่ในด้านเศรษฐกิจ กลับพบว่ารายได้เกษตรกรลดลงเฉลี่ย 23.6% เมื่อเทียบกับปีก่อน เพราะราคาขายตกต่ำสวนทางกับต้นทุนที่สูงขึ้น อีกทั้งการส่งออกลำไยสดของไทยที่เคยเติบโตสูงถึง 20.5% กลับชะลอตัวเหลือเพียง 4.7% เท่านั้นในปีนี้

ภาครัฐอัดฉีดมาตรการ “อุ้มลำไย” ทั่วภาคเหนือ

ท่ามกลางสัญญาณเตือนจากตลาด กระทรวงพาณิชย์โดยกรมการค้าภายในได้เร่งประชุมวอร์รูมและออกมาตรการเชิงรุกโดยทันที นายกรนิจ โนนจุ้ย รองอธิบดีกรมการค้าภายในเปิดเผยว่า หน่วยงานรัฐได้จับมือกับสำนักงานพาณิชย์จังหวัด เปิดจุดรับซื้อลำไยเพิ่มในพื้นที่วิกฤต เช่น เชียงใหม่ ลำพูน เชียงราย (โดยเฉพาะอำเภอสันป่าตอง จอมทอง ลี้ ป่าซาง พาน เทิง) พร้อมตั้งเป้าเพิ่มจุดรับซื้อให้ได้ 200 จุดใน 7 จังหวัดภาคเหนือ

มาตรการเด่นประกอบด้วย

  • เปิดจุดรับซื้อและร่อนลำไยเพื่อระบายผลผลิตด่วน
  • จัดกิจกรรมรณรงค์บริโภคลำไย และเชื่อมโยงเครือข่ายผู้ซื้อรายใหญ่ (เช่น CSR กับบริษัทเอกชน โรงงานแปรรูป ฯลฯ)
  • สนับสนุนกล่องบรรจุภัณฑ์ไปรษณีย์ฟรี ส่งเสริมการขายผ่านออนไลน์-ออฟไลน์
  • ประสานขายผ่านช่องทางใหม่ทั้งปั๊มน้ำมัน ตู้เต่าบิน สายการบินไทยแอร์เอเชีย และพันธมิตรค้าปลีก
  • วางเครือข่ายวอร์รูมเพื่อรายงานสถานการณ์และประสานการช่วยเหลือแบบเรียลไทม์

นายกรนิจเน้นย้ำว่า เกษตรกรหรือสถาบันเกษตรกรที่ประสบปัญหาการระบายผลผลิต สามารถแจ้งได้โดยตรงที่กรมการค้าภายในหรือสำนักงานพาณิชย์จังหวัด เพื่อให้เข้าถึงมาตรการช่วยเหลือโดยเร็วที่สุด

ความท้าทายและบทเรียน “เกษตรไทย” สู่อนาคต

แม้มาตรการฉุกเฉินของภาครัฐจะช่วยบรรเทาวิกฤตในระยะสั้น แต่ปัญหาพื้นฐานของลำไยไทยคือ “การพึ่งพาการขายผลสด” ที่ยังขาดการแปรรูป เพิ่มมูลค่า และขยายตลาดใหม่ในระยะยาว

  1. ความเสี่ยงจากฤดูการผลิตที่ซ้ำซ้อน – หากไม่มีการวางแผนร่วมกันระหว่างเกษตรกร โรงงาน ผู้ส่งออก ตลาดก็จะล้นปีเว้นปี วิกฤตราคาก็จะเกิดซ้ำ
  2. การขาดความหลากหลายของสินค้า – ตลาดหลักของลำไยสดคือจีน ซึ่งปีนี้อุปสงค์ชะลอตัวจากเศรษฐกิจภายในประเทศและนโยบายกีดกันสินค้าต่างชาติ
  3. ต้นทุนการขนส่งและปัญหาโลจิสติกส์ – เมื่อโรงอบเต็มหรือระบายผลผลิตไม่ทัน เกษตรกรต้องขายขาดทุนหรือทิ้งผลผลิตเสียเปล่า
  4. ขาดแรงจูงใจแปรรูปหรือปลูกพืชทางเลือก – การลงทุนแปรรูปลำไยยังมีน้อยเมื่อเทียบกับปริมาณผลผลิต

เส้นทางสู่การแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน

ผู้เชี่ยวชาญด้านเกษตรแนะว่า การขยายตลาดใหม่ เช่น การส่งออกลำไยอบแห้งไปยังอินเดีย เวียดนาม สหรัฐอเมริกา การสร้างแบรนด์ GI ลำไยไทย การผลักดันโรงงานแปรรูปขนาดเล็กในชุมชน และการวางแผนปลูกพืชหมุนเวียนคือหนทางที่ควรเดินคู่กับมาตรการอุ้มราคาทุกปี

เช่นเดียวกับที่จังหวัดเชียงรายเริ่มจัด “ตลาดลำไยกระท้อน” ให้เกษตรกรขายตรง ลดพึ่งพาพ่อค้าคนกลาง ต่อยอดเป็นกิจกรรมท่องเที่ยวเชิงเกษตรและตลาดสินค้าชุมชน ซึ่งเป็นแบบอย่างการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างที่ต้องการแรงสนับสนุนต่อเนื่อง

บทเรียนจาก “ลำไยพีคซีซั่น” สะท้อนเส้นทางปรับตัวของเกษตรไทย

แม้ภาครัฐและทุกฝ่ายจะทุ่มมาตรการฉุกเฉินเต็มที่ในปี 2568 แต่การเดินหน้าสร้างมูลค่าเพิ่ม และปรับกลยุทธ์เชิงระบบสำหรับเกษตรกรยังคงเป็นหัวใจสำคัญ เพราะหากปัญหานี้ไม่ได้รับการแก้ไขเชิงลึก วิกฤตผลผลิตล้นตลาดและราคาตกต่ำก็จะยังคงวนซ้ำไปอีกหลายปีข้างหน้า

การปรับตัวของเกษตรกรจากภายใน ด้วยการเน้นความยืดหยุ่นของการปลูกพืช ผลิตสินค้าแปรรูป และขยายตลาดใหม่ จึงเป็นหนทางเดียวที่จะทำให้เกษตรกรไทยยืนหยัดได้อย่างมั่นคงในสภาวะตลาดโลกที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • ศูนย์วิจัยกสิกรไทย
  • กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์
  • สำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงใหม่ ลำพูน เชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News