Categories
ECONOMY NEWS UPDATE

จากโลกออนไลน์สู่ยอดจอง! เปิดยุทธศาสตร์คว้าโอกาส เมื่อเชียงรายถูกค้นหามากที่สุด

เชียงรายคว้าอันดับ 1 เมืองน่าเที่ยวจาก Google Trends—แรงดันดีมานด์ปลายปีหนุนเมืองรองโดดเด่น รับสัญญาณไฮซีซันและมาตรการรัฐ

เชียงราย, 24 ตุลาคม 2568 — เสียงลมหนาวเริ่มแตะยอดดอยพอดี ขณะที่ “เชียงราย” ผงาดขึ้นอันดับ 1 เมืองน่าเที่ยวจากการค้นหาใน Google Trends (ข้อมูล ณ 24 กันยายน 2568) พร้อมแรงเสริมจากบทวิเคราะห์แนวโน้มการท่องเที่ยวของ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ที่ชี้ว่าดีมานด์เดินทางช่วงไฮซีซันยังแข็งแรง โดยเฉพาะกลุ่มเมืองรองในภาคเหนือ สัญญาณทั้งหมดกำลังสอดรับกันอย่างลงตัว ทั้งสภาพอากาศเย็นสบาย เทศกาลปลายปี กิจกรรมเชิงวัฒนธรรม และแพ็กเกจการตลาดที่ถูกจังหวะ

ภาพที่เกิดขึ้นไม่ได้เป็นเพียง “กระแสออนไลน์” หากสะท้อนการตัดสินใจจริงของผู้เดินทาง ทั้งนักท่องเที่ยวไทยและต่างชาติที่กำลังล็อกเส้นทางปลายปี ขณะที่ฝั่งผู้ประกอบการท่องเที่ยวและชุมชนเจ้าบ้านเริ่มเร่งเครื่องรับลูก เพื่อเปลี่ยนยอดค้นหาให้เป็น “ยอดจอง–ยอดใช้จ่าย” ที่วัดได้ในระบบเศรษฐกิจท้องถิ่น

เศรษฐกิจดีมานด์ปลายปีมาแรง เมืองรองได้อานิสงส์ชัด

การติดอันดับ 1 ใน Google Trends ชี้ให้เห็น “อุปสงค์แฝง” ที่กำลังจะปลดล็อกสู่การเดินทางจริง โดยบทวิเคราะห์ แนวโน้มการท่องเที่ยวตลาดในประเทศ เดือนตุลาคม 2568 ของ ททท. ประเมินว่า เดือนนี้จะมีผู้เยี่ยมเยือนชาวไทยราว 16.28 ล้านคน–ครั้ง และสร้างรายได้ท่องเที่ยวราว 93,857 ล้านบาท แม้ภาพรวมจะชะลอเล็กน้อยเมื่อเทียบปีก่อน แต่สัดส่วนการเดินทางสู่ “เมืองท่องเที่ยว” นอกเมืองหลักขยับขึ้นต่อเนื่อง สอดคล้องกับโมเมนตัมของเชียงรายที่ขึ้นแท่นเมืองน่าเที่ยวอันดับต้นในโลกออนไลน์

ฝั่ง “ปัจจัยสนับสนุน” ททท.ระบุข้อได้เปรียบสำคัญไว้ 3 มิติ

  1. มาตรการกระตุ้นช่วง Green Season และเทศกาลต่อเนื่องปลายปี
    งานวัฒนธรรมและกิจกรรมดนตรีช่วยกระจายผู้คนสู่เมืองรอง ขณะที่คอนเทนต์เชิงท้องถิ่นดึงดูดเจเนอเรชันใหม่ได้ดี
  2. ฤดูกาลท่องเที่ยวเริ่มหนาวเย็น
    อุณหภูมิที่ลดลงทำให้กิจกรรมกลางแจ้งเป็นที่นิยม การเดินป่า กางเต็นท์ และล่าสายหมอกช่วยต่อยอดที่พักและบริการชุมชน
  3. อีเวนต์ดนตรีและกิจกรรมเอาต์ดอร์
    เทศกาลดนตรีและงานวิ่งปลายปีดึงเม็ดเงินท่องเที่ยวคุณภาพ โดยเฉพาะกลุ่ม Gen Y–Z ที่เน้นประสบการณ์และพร้อมจ่าย

ในอีกด้านหนึ่ง ปัจจัยอุปสรรค ยังมีให้จับตา ทั้งค่าครองชีพที่ยังสูง ภาระครัวเรือน และการท่องเที่ยวต่างประเทศที่กลับมาคึกคักในบางตลาด ทว่าเมื่อซ้อนทับกับจุดแข็งเชิงภูมิอากาศและคอนเทนต์เฉพาะถิ่น เมืองรองที่เตรียมตัวดีจะ “รับแรงส่ง” ได้มากกว่าค่าเฉลี่ย ซึ่งเชียงรายอยู่ในจังหวะนั้นพอดี

เชียงรายในเลนส์ข้อมูล ความสนใจพุ่ง–จุดขายชัด–แบรนด์ชุมชนแข็ง

1) สัญญาณความสนใจชัดเจน
การขึ้นอันดับ 1 เมืองน่าเที่ยวใน Google Trends สะท้อนการค้นหาที่เข้มข้น ทั้งคำหลักเกี่ยวกับ วัดร่องขุ่น–บ้านดำ–ไร่ชาฉุยฟง–ขุนน้ำนางนอน–ถนนคนเดิน รวมถึงกิจกรรมฤดูหนาว เช่น ลานดอกไม้–งานแสงสี–วิ่งเทรล ข้อมูลระดับพื้นที่ยังชี้ว่าการค้นหา “ที่พักเชียงราย” และ “คาเฟ่วิวภูเขา” เพิ่มขึ้นต่อเนื่องช่วงปลายกันยายน–ตุลาคม

2) จุดแข็งด้านความปลอดภัยและไลฟ์สไตล์
เชียงรายถูกยกให้เป็นหนึ่งในเมืองที่ปลอดภัยสำหรับนักท่องเที่ยวเดี่ยวและกลุ่มผู้หญิง/ดิจิทัลโนแมดในเอเชีย จุดเด่นนี้เสริมความเชื่อมั่นด้านการเดินทางคนเดียวและการทำงานระยะไกล (Work from Anywhere) ที่กำลังเป็นกระแส

3) Soft Power เชิงพื้นที่
เมืองศิลปะและกาแฟคือภาพจำที่ชัด วัดร่องขุ่นของเฉลิมชัย–พิพิธภัณฑ์บ้านดำของถวัลย์–ย่านคาเฟ่กาแฟพิเศษจากดอยแม่สลอง–แม่จัน–แม่ฟ้าหลวง เชื่อมโยงวัฒนธรรม–ธรรมชาติ–วิถีหมอกหนาวได้ลื่นไหล เหมาะกับการออกแบบเส้นทาง 2–3 คืน ที่จับคู่ได้ทั้งเมือง–ชานเมือง–ชายแดน

4) ความพร้อมรองรับดีมานด์จริง
สนามบิน การคมนาคมข้ามจังหวัด และคลัสเตอร์ที่พักระดับกลาง–เล็กของชุมชน เติบโตควบคู่กับผู้ประกอบการรุ่นใหม่ที่เน้นประสบการณ์และมาตรฐานสะอาดปลอดภัย ซึ่งเป็นเกณฑ์ที่นักท่องเที่ยวยุคหลังโควิดให้ความสำคัญ

ภาพใหญ่ในประเทศ โครงสร้างการเดินทางเดือนตุลาคม 2568

รายงานทิศทางตลาดในประเทศของ ททท. ชี้ว่า เมืองท่องเที่ยว นอกกลุ่ม “เมืองหลัก” กำลังแย่งส่วนแบ่งผู้เยี่ยมเยือนได้ดีขึ้น โดยแรงขับมาจาก 4 ตัวแปร

  • งานเทศกาล–วัฒนธรรม–ดนตรี ที่เกิดถี่ขึ้น
  • แพ็กเกจโปรโมชันร่วมเอกชน ที่ลด Pain Point ค่าเดินทางและที่พัก
  • คอนเทนต์สื่อออนไลน์ ที่ลงพื้นที่จริง ทำให้ “หมุดหมายรอง” โดดเด่น
  • สภาพอากาศเย็นลง ที่เร่งให้คนอยากออกนอกเมืองใหญ่

ในเชิงอุปทานฝั่งที่พักและเที่ยวบิน เดือนตุลาคมยังมีที่นั่งรวมราว 4 ล้านที่นั่ง เพิ่มขึ้นจากปีก่อน ขณะที่สัดส่วนเส้นทางบินสู่ภาคเหนือยังแข็งแรง ทำให้การเชื่อมต่อระหว่างเชียงราย–เชียงใหม่–แพร่–น่าน สามารถออกแบบทริปเชื่อมโยงแบบ “Multi-City” ได้คล่องตัว

นักท่องเที่ยวต่างชาติ โกลเดนวีกหนุนหน้าเอเชีย–ไฟลต์ใหม่ช่วยกระจายตัว

ด้านตลาดต่างชาติ รายงาน แนวโน้มเดือนตุลาคม 2568 คาดนักท่องเที่ยวต่างชาติราว 2.62 ล้านคน ลดลงเล็กน้อยจากปีก่อน แต่มี “แรงหนุนเฉพาะจังหวะ” ที่สำคัญ ได้แก่

  • เทศกาล China Golden Week ช่วงปลายกันยายนถึงต้นตุลาคม ที่ดันการจองล่วงหน้าขึ้น
  • Forward Booking รวม เติบโต +1.8% โดยตลาดที่โตเด่น คือ อิสราเอล–สหราชอาณาจักร–จีน
  • เส้นทางบินใหม่ 50 เส้นทาง ในหลายภูมิภาค ที่ช่วยเพิ่มความถี่และกระจายผู้โดยสาร

กลุ่ม Short-haul Top 5 ยังนำโดย มาเลเซีย–จีน–อินเดีย–เกาหลีใต้–อินโดนีเซีย ส่วน Long-haul Top 5 ได้แก่ รัสเซีย–สหราชอาณาจักร–สหรัฐฯ–เยอรมนี–ฝรั่งเศส นักท่องเที่ยวต่างชาติที่ขึ้นเหนือมักจัดแพ็กเกจ “เชียงใหม่–เชียงราย” ในทริปเดียว เน้นธรรมชาติ ศิลปะ วัดดัง และคาเฟ่วิวขุนเขา ทำให้เชียงรายได้ส่วนแบ่ง “คืนพัก” เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงโลว์ซีซัน

เชียงรายต้องรับมืออะไร ค่าครองชีพ–โลจิสติกส์–คุณภาพบริการ

แม้สัญญาณเชิงบวกมีมาก แต่ ปัจจัยอุปสรรค ยังเป็นโจทย์ต้องติดตาม

  • ค่าครองชีพและค่าเดินทาง ที่กดดันการใช้จ่ายเฉลี่ยต่อทริปของนักท่องเที่ยวไทย
  • การดึงคนออกนอกเมืองใหญ่ ที่ยังต้องพึ่งอีเวนต์คุณภาพสูงและการสื่อสารเชิงกลยุทธ์
  • การแข่งขันจากต่างประเทศ เมื่อหลายประเทศอาเซียนเร่งแคมเปญราคาช่วงปลายปี
  • บริหารความหนาแน่น ในจุดท่องเที่ยวยอดนิยม ช่วงไพรม์ไทม์เช้า–เย็น เพื่อรักษาประสบการณ์

เชียงรายจึงต้อง “เก็บดีเทล” ให้ครบ โดยเฉพาะการจัดการคิวจุดชมวิว การจราจรในวันพีก สัญญาณอินเทอร์เน็ตในแหล่งท่องเที่ยว และการสื่อสารหลายภาษาในย่านท่องเที่ยวหลัก เพื่อคงมาตรฐานเมืองท่องเที่ยวคุณภาพในช่วงที่ดีมานด์พุ่งขึ้นอย่างพร้อมกัน

การบ้านเชิงนโยบาย–เอกชน–ชุมชน เปลี่ยนการค้นหาเป็นการจอง

1) นโยบาย–หน่วยงานท้องถิ่น
ควรวาง แผนปฏิบัติการ 60 วัน รับไฮซีซันครอบคลุม ความปลอดภัย–จราจร–สิ่งแวดล้อม–สื่อสารแบบเรียลไทม์ พร้อมตั้งจุดข้อมูลภาษาไทย–อังกฤษในย่านหลัก และเตรียมจุดปฐมพยาบาลในงานเทศกาล

2) เอกชน–ผู้ประกอบการ
ปรับแพ็กเกจ เที่ยวยาว–ใช้จ่ายยาว” ผ่านดีลที่พัก + ร้านอาหาร + คาเฟ่ + กิจกรรมท้องถิ่น เพิ่มมูลค่าต่อบิล แนะนำสินค้าชุมชนและทัวร์ครึ่งวัน เพื่อลด “เวลาว่าง” ในทริป และขยายการใช้จ่ายสู่ชุมชนรอบนอก

3) ชุมชน–ผู้ประกอบการรายย่อย
ยกระดับ Content–Commerce ให้เดินคู่กัน เน้นเรื่องเล่าท้องถิ่น บริการที่เป็นมิตร และมาตรฐานความสะอาด–ปลอดภัย พร้อมระบบจองง่ายบนแพลตฟอร์มยอดนิยม เพื่อลดขั้นตอนตัดสินใจ

ปลายฝนต้นหนาว หนึ่งวันในเชียงรายที่พูดด้วยตัวเอง

เริ่มเช้าด้วยหมอกบางๆ เหนือทุ่งชา นักท่องเที่ยวแวะจิบกาแฟดริปจากเมล็ดดอยแม่สลอง ก่อนมุ่งหน้าไป วัดร่องขุ่น แสงเช้าสะท้อนผิววิจิตรสีขาวโพลน จบช่วงสายที่ พิพิธภัณฑ์บ้านดำ ซึ่งเล่าเรื่องลึกของล้านนาในภาษาศิลป์ พอเที่ยงก็สลับไปร้านอาหารท้องถิ่นริมกก บ่ายแก่ๆ แวะ คาเฟ่วิวภูเขา ที่ชุมชนเจ้าบ้านลงมือชงด้วยใจ

ยามเย็นเดินควงแขนกันที่ ถนนคนเดินเชียงราย ดนตรีเปิดหมวกดังคลอ ผู้คนเลือกผ้าทอไทลื้อ ข้าวจี่ร้อนๆ ควันกรุ่น ช่วงเวลานี้อาจเป็น “จุดตัดสินใจ” ที่สำคัญที่สุด เพราะประสบการณ์จริงจะทำให้ทุกไลก์–ทุกการค้นหา กลายเป็น “รีวิวปากต่อปาก” ที่พาเพื่อนอีกหลายคนกลับมาในฤดูกาลหน้า

โอกาสของเมืองรองในหน้าหนาว ต้องคว้าด้วยคุณภาพ

การคว้าอันดับ 1 เมืองน่าเที่ยวใน Google Trends ไม่ใช่จุดหมาย แต่เป็น “จุดเริ่ม” เชียงรายมีทรัพยากรพร้อมทั้งธรรมชาติ ศิลปะ วัฒนธรรม กาแฟ และความปลอดภัย แต่เพื่อให้ผลลัพธ์ทางเศรษฐกิจจับต้องได้ ทุกภาคส่วนต้องบูรณาการอย่างมีวินัย ตั้งแต่คิวจุดชมวิวจนถึงห้องน้ำสาธารณะ ตั้งแต่มาตรฐานที่พักจนถึงถังขยะรีไซเคิล ตั้งแต่ข้อมูลเรียลไทม์จนถึงเจ้าบ้านที่ยิ้มต้อนรับอย่างเสมอต้นเสมอปลาย

ปลายปีนี้ “เมืองรองดาวรุ่ง” จึงไม่ได้ชนะกันที่แสงสีที่ดังที่สุด แต่ชนะกันที่รายละเอียดและความสม่ำเสมอที่สุด หากเชียงรายรักษาคุณภาพเสมอต้นเสมอปลายและต่อยอด Soft Power ให้คมชัด เชียงรายจะไม่ใช่เพียง “คำค้นหายอดนิยม” แต่จะเป็น “คำตอบ” ของนักเดินทางคุณภาพในระยะยาว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • Google Trends
  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)
  • ททท. แนวโน้มตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติ เดือนตุลาคม 2568
  • OAG / ระบบ ForwardKeys
  • ข้อมูลสาธารณะด้านความปลอดภัยนักเดินทาง/ผู้หญิงและดิจิทัลโนแมด
  • TAT Intelligence Center
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เทศบาลนครเชียงรายจัดใหญ่ ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ 5,000 โดส ต้อนรับฤดูกาลท่องเที่ยว

เชียงรายยกระดับ “เมืองสุขภาพดี เมืองท่องเที่ยวคุณภาพ” เทศบาลนครฯ ลั่นฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ 5,000 โดส-คัดกรองมะเร็งปากมดลูกฟรี รองรับไฮซีซัน พร้อมแผนสกัดระบาดเชิงรุกทั้งเมือง

เชียงราย, 23 ตุลาคม 2568 — ปลายฝนต้นหนาว กับโจทย์สุขภาพที่ต้องตัดสินใจเร็ว สายลมหนาวแรกพัดผ่านลุ่มน้ำกก ผู้คนเริ่มนึกถึงเทศกาลท่องเที่ยวปลายปี ร้านอาหารและโรงแรมทยอยเตรียมรับแขก ช่วงเวลาเดียวกัน สถานการณ์ไข้หวัดใหญ่ในภาคเหนือยังสูงกว่าค่าเฉลี่ยประเทศ ตัวเลขสะสมของจังหวัดเชียงรายปี 2567 พุ่งแตะ 9,190 ราย สะท้อน “ภาระโรค” ที่กดดันระบบสุขภาพและเศรษฐกิจท้องถิ่นพร้อมกัน เทศบาลนครเชียงรายจึงขยับเชิงรุก เปิดแผนฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ 5,000 โดสควบคู่คัดกรองมะเร็งปากมดลูกฟรี สร้างภูมิคุ้มกันสาธารณะก่อนนักท่องเที่ยวนับแสนเดินทางเข้าจังหวัด

ข่าวนี้ไม่ใช่เพียงกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์ แต่คือ “ยุทธศาสตร์เมือง” ที่ผสานสุขภาพกับท่องเที่ยวเข้าด้วยกัน ตั้งกรอบคิดว่า สุขภาพที่ดีคือรากฐานของคุณภาพชีวิต และเป็นเงื่อนไขสำคัญของเศรษฐกิจบริการในเมืองท่องเที่ยว

ภาพรวมสถานการณ์ เชียงรายติดกลุ่มอัตราป่วยสูงของประเทศ สายพันธุ์หลักยังเป็น A/H1N1

ข้อมูลระบาดวิทยาจากสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย ระบุจำนวนผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ปี 2567 สะสม 9,190 ราย คิดเป็นอัตราป่วย 797.17 ต่อประชากรแสนคน เมื่อเทียบกับช่วงต้นปี 2568 เชียงรายถูกจัดเป็นจังหวัดอัตราป่วยสูงลำดับต้น ๆ ของประเทศ รองจากพะเยาและลำพูน แนวโน้มสอดคล้องกับภาพรวมภาคเหนือที่มีฤดูหนาวยาวนาน ทำให้การรวมกลุ่มในอาคารเพิ่มขึ้นและเอื้อต่อการแพร่เชื้อ

กรมควบคุมโรคชี้ว่า สายพันธุ์ที่พบมากในรอบปีคือไข้หวัดใหญ่ชนิด A/H1N1 (2009) ซึ่งรวมอยู่ในวัคซีนตามฤดูกาล แต่ประสิทธิผลต่อประชากรขึ้นกับ “ความครอบคลุม” ของการฉีดและพฤติกรรมป้องกันโรคในชุมชน หากครอบคลุมต่ำ วัคซีนย่อมปกป้องระดับชุมชนได้ไม่เต็มที่

ภาระโรคสูงกว่าค่าเฉลี่ย ต้องอธิบาย “ฐานประชากร” ให้ตรงกัน

จำนวนผู้ป่วย 9,190 รายทำให้หลายฝ่ายตั้งคำถามถึงอัตราป่วยที่รายงาน เทศบาลนครฯ และ สสจ.เชียงราย จึงร่วมกันทบทวน “ตัวหาร” ที่ใช้คำนวณอัตราป่วย ต่อแสนประชากร เพื่อให้การสื่อสารต่อสาธารณะชัดเจน การระบุฐานประชากรอย่างโปร่งใสช่วยให้ผู้กำหนดนโยบายจัดสรรวัคซีน ยาต้านไวรัส และบุคลากรได้ตรงจุด และยังทำให้ผู้ประกอบการท่องเที่ยวเห็นภาพความเสี่ยงจริงในพื้นที่

เด็กเล็ก-วัยเรียนเป็นตัวขับการระบาด โรงเรียนจึงคือสนามปฏิบัติการสำคัญ

ข้อมูลระดับประเทศปี 2567 ชี้ว่า กลุ่มอายุ 0–4 ปี และ 5–14 ปี มีอัตราป่วยต่อแสนประชากรสูงสุด สถานศึกษา สถานเลี้ยงเด็ก และกิจกรรมรวมกลุ่มจึงกลายเป็น “จุดขยายสัญญาณ” การแพร่เชื้อ เทศบาลนครฯ เตรียมใช้มาตรการ 3 ชั้นในเขตเมือง ได้แก่

  1. ปรับมาตรฐานสุขาภิบาลโรงเรียน เน้นล้างมือ สวมหน้ากากเมื่อป่วย และทำความสะอาดพื้นผิวสัมผัสถี่ขึ้น
  2. ระบบคัดกรองอาการรายวัน และนโยบายให้หยุดเรียนเมื่อมีไข้หรือไอ เพื่อหยุดวงจรการแพร่เชื้อ 3–7 วัน
  3. การฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่แก่กลุ่มเสี่ยงตามเกณฑ์ของกระทรวงสาธารณสุข รวมถึงบุคลากรด่านหน้าในภาคบริการ

เชียงรายคือเมืองชายแดน การเฝ้าระวังด่านควบคุมโรคต้องพร้อม

เชียงรายมีด่านแม่สาย เชียงแสน และสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 4 เชียงของ ซึ่งรองรับการเดินทางและขนส่งระหว่างประเทศอย่างคึกคัก เทศบาลนครฯ ประสานคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดและด่านควบคุมโรคติดต่อ เพื่อเฝ้าระวังเชิงรุก ตรวจจับคลัสเตอร์จากผู้เดินทาง และติดตามสายพันธุ์ที่หมุนเวียน หากพบสัญญาณผิดปกติ จะสื่อสารเตือนภัยอย่างตรงจุดแก่ผู้ประกอบการท่องเที่ยวและสาธารณชนในเมือง

วัคซีนความมั่นใจนักเดินทาง” ทำไม 5,000 โดสจึงสำคัญ

เทศบาลนครเชียงราย โดยนายกวันชัย จงสุทธานามณี วางกลยุทธ์ฉีดวัคซีน 5,000 โดสสำหรับกลุ่มเสี่ยงในเมือง โดยเน้นผู้ทำงานสัมผัสนักท่องเที่ยว เช่น พนักงานโรงแรม ร้านอาหาร คนขับรถรับจ้าง ไกด์ แม่ค้า และประชาชนทั่วไปในย่านท่องเที่ยว เหตุผลมี 4 ประการ

  • ลดความรุนแรงของโรค วัคซีนช่วยลดโอกาสปอดบวมและการนอนโรงพยาบาล
  • คงเสถียรภาพธุรกิจบริการ ลดการลาป่วยพร้อมกันจำนวนมากในไฮซีซัน
  • สร้างความเชื่อมั่นนักท่องเที่ยว เมืองที่ให้ความสำคัญด้านสุขภาพดึงดูดนักเดินทางคุณภาพ
  • เสริมระบบเตือนภัยชุมชน เมื่อประชาชนฉีดวัคซีนมากพอ สัญญาณผู้ป่วยรุนแรงจะลดลง ทำให้หน่วยงานมุ่งทรัพยากรไปยังจุดที่จำเป็นที่สุด

นอกจากนี้ เทศบาลยังจัดคัดกรองมะเร็งปากมดลูก ฟรี เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตสตรี และตอกย้ำว่า นโยบายสุขภาพเมืองต้องครอบคลุมโรคเรื้อรังและคัดกรองเชิงป้องกันควบคู่โรคระบาด

เสียงจากผู้นำท้องถิ่น “สุขภาพที่ดี คือรากฐานของการท่องเที่ยวที่ยั่งยืน”

นายวันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย กล่าวในพิธีเปิดว่า เทศบาลต้องทำมากกว่าการดูแลพื้นฐานเมือง เป้าหมายคือทำให้ชาวเมืองและผู้มาเยือน “รู้สึกปลอดภัย” เพราะความปลอดภัยด้านสุขภาพแปลงเป็นความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจได้ทันที มาตรการครั้งนี้จึงไม่ใช่เพียงงานสาธารณสุข แต่คือการคุ้มครองแบรนด์ “เชียงรายเมืองท่องเที่ยวคุณภาพ”

ด้านนายณรงค์ ลือชา รองนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเชียงราย เสริมว่า วัคซีนตามฤดูกาลช่วยลดความรุนแรงได้ชัดเจน โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้สูงอายุ ผู้มีโรคเรื้อรัง เด็กเล็ก และหญิงตั้งครรภ์ การมารับบริการให้ทันก่อนหน้าหนาว คือการปกป้องครอบครัวและลดภาระระบบสุขภาพในช่วงพีก

ขับเคลื่อนแบบ “หนึ่งเมือง หนึ่งแนวร่วม” รายชื่อหน่วยงานหลัก

การรณรงค์ครั้งนี้เกิดจากความร่วมมือของทั้งภาครัฐ ภาควิชาการ และภาคประชาชน

  • เทศบาลนครเชียงราย (กองการแพทย์ และเครือข่าย อสส.)
  • สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย
  • โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ และเครือข่ายบริการปฐมภูมิ
  • ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 1/1 เชียงราย
  • สำนักงานสาธารณสุขอำเภอเมืองเชียงราย
  • สมาคมผู้ประกอบการท่องเที่ยว ภาคเอกชน และสถาบันการศึกษาในพื้นที่

โครงสร้างความร่วมมือแบบ “หนึ่งเมือง หนึ่งแนวร่วม” ทำให้การสื่อสารและการจัดคิวฉีดวัคซีนเชื่อมกับไทม์ไลน์ท่องเที่ยวได้อย่างลื่นไหล ลดคอขวด และกระจายบริการไปยังชุมชนสำคัญทั้งฝั่งตะวันออก-ตะวันตกของตัวเมือง

เชิงปฏิบัติการฉีดที่ไหน-อย่างไร-ใครได้ก่อน

เทศบาลกำหนด จุดฉีดเคลื่อนที่ ในตลาดท่องเที่ยว ถนนคนเดิน ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว และศูนย์สุขภาพชุมชนในเขตเทศบาล จัดทีมพยาบาล-เวชปฏิบัติครอบครัว และหน่วยเวชศาสตร์ครอบครัวจากโรงพยาบาลเครือข่ายลงพื้นที่ในวันพีค โดยใช้ระบบจองคิวผ่านไลน์ออฟฟิเชียลเทศบาล พร้อมรับ “วอล์ก-อิน” สำหรับกลุ่มเสี่ยงที่ระบุไว้

กลุ่มเป้าหมายลำดับแรก ได้แก่ ผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไป ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง 7 กลุ่มโรค บุคลากรภาคบริการท่องเที่ยว เด็กเล็กตามดุลยพินิจของแพทย์ และหญิงตั้งครรภ์ ทั้งหมดต้องผ่านการประเมินความพร้อมเบื้องต้นและได้รับคำแนะนำการดูแลหลังฉีด

บทเรียนจากปีก่อนเมื่อ “สื่อสารความเสี่ยง” คือกุญแจ

รายงานผลการฉีดวัคซีนปี 2567 สะท้อนว่า บางกลุ่มยังปฏิเสธรับวัคซีนจากความเข้าใจคลาดเคลื่อน เทศบาลจึงปรับแผนสื่อสารใหม่ ใช้ อินโฟกราฟิกง่าย ๆ สรุปประโยชน์และผลข้างเคียงที่พบบ่อย พร้อมคลิปสั้นจากแพทย์โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ ตอบคำถามยอดฮิต เช่น “ฉีดแล้วป่วยได้ไหม” “คนเป็นภูมิแพ้ฉีดได้หรือไม่” และ “เว้นระยะกับวัคซีนอื่นเท่าใด” นอกจากนี้ ยังเปิดสายด่วนให้คำปรึกษาก่อนตัดสินใจ เพื่อเพิ่มอัตรารับวัคซีนจริง

ควบคุมโรคแบบ “แพ็กเกจ” หน้ากาก-ล้างมือ-อากาศถ่ายเท-หยุดเมื่อป่วย

เทศบาลย้ำว่า วัคซีนไม่ใช่ “ยาวิเศษ” หากประชาชนละเลยมาตรการพื้นฐาน จึงเดินหน้ารณรงค์ “แพ็กเกจ 4 ข้อ” คือ สวมหน้ากากเมื่อป่วย ล้างมือบ่อย เปิดหน้าต่างให้อากาศถ่ายเท และหยุดเรียนหรือหยุดงานเมื่อมีไข้ไอเจ็บคอ พร้อมแนะให้ใช้ ATK คัดกรองเมื่อเริ่มมีอาการ เพื่อแยกตัวได้เร็ว ลดโอกาสแพร่เชื้อในที่ทำงานและสถานศึกษา

มองผ่านเลนส์เศรษฐกิจเมืองค่าเสียโอกาสของการ “ป่วยพร้อมกัน”

ผู้ประกอบการโรงแรมและร้านอาหารในตัวเมืองสะท้อนตรงกันว่า ปลายปีคือช่วงทำรายได้หลัก หากพนักงานลาป่วยพร้อมกัน 10–20% การให้บริการสะดุดทันที ต้นทุนจ้างงานชั่วคราวสูงขึ้น และความพึงพอใจนักท่องเที่ยวลดลง มาตรการฉีดวัคซีนและคัดกรองเชิงรุกจึงช่วย “ล็อกเสถียรภาพ” การให้บริการ และปกป้องชื่อเสียงเมืองในช่วงที่ผู้คนจับจ่ายสูง

ความพร้อมของระบบรักษาโฟกัสการคัดกรองเร็ว-รักษาเร็ว

โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์เตรียมคลินิกทางเดินหายใจช่วงพีก พร้อมแนวปฏิบัติการใช้ยาต้านไวรัสตามเกณฑ์แพทย์และระยะเวลาที่เหมาะสม ย้ำว่า ผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยงควรมาพบแพทย์เร็วเพื่อประเมินภาวะแทรกซ้อน เช่น ปอดอักเสบ นอกจากนี้ ระบบส่งต่อโรงพยาบาลชุมชน-ศูนย์สุขภาพชุมชนในเขตเทศบาลถูกตั้งค่าไว้ล่วงหน้า เพื่อรองรับกรณีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นเฉียบพลัน

คัดกรองมะเร็งปากมดลูกฟรียกระดับคุณภาพชีวิตสตรีในเมือง

การคัดกรองมะเร็งปากมดลูกจัดควบคู่ในจุดฉีดวัคซีนหลายแห่ง เพื่อให้สตรีวัยทำงานเข้าถึงบริการได้สะดวก เทศบาลเน้นย้ำว่า มะเร็งปากมดลูก “ป้องกันและรักษาหายได้” หากตรวจพบเร็ว การผนวกบริการคัดกรองเข้ากับแผนวัคซีนจึงช่วยประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายของประชาชน และสะท้อนแนวทาง “เมืองสุขภาพดี” ที่มองสุขภาพแบบองค์รวม

จากข้อมูลสู่ยุทธศาสตร์ปีหน้าวัคซีน-ข้อมูล-ความร่วมมือ ต้องเดินพร้อมกัน

บทเรียนปี 2567 บอกเราว่า ภาระโรคสูงไม่ได้มาจากเชื้ออย่างเดียว แต่เกิดจากพฤติกรรม การเข้าถึงวัคซีน ความหนาวยาวนาน และการรวมกลุ่มในอาคารมากขึ้น เมืองจึงต้องยกระดับ 3 เรื่อง

  1. วัคซีน เพิ่มครอบคลุมในกลุ่มเสี่ยง โดยเฉพาะเด็กเล็ก-วัยเรียน-ผู้สูงอายุ-ผู้มีโรคเรื้อรัง และแรงงานท่องเที่ยว
  2. ข้อมูล ปรับมาตรฐานฐานประชากรในการคำนวณอัตราป่วย ให้หน่วยงานและสาธารณชนใช้ตัวเลขชุดเดียวกัน
  3. ความร่วมมือ ร้อยเครือข่ายภาครัฐ-เอกชน-ชุมชน ให้สื่อสารความเสี่ยงไปในทิศทางเดียว นำไปสู่การตัดสินใจที่รวดเร็วและมีวินัยร่วมกัน

เมืองท่องเที่ยวคุณภาพ เริ่มจากคนเมืองที่สุขภาพดี

การฉีดวัคซีน 5,000 โดสและคัดกรองมะเร็งปากมดลูกฟรี คือก้าวแรกในฤดูกาลนี้ แต่สาระสำคัญยิ่งกว่าคือ “วิธีคิด” ที่วางสุขภาพไว้เคียงข้างเศรษฐกิจ เทศบาลนครเชียงรายแสดงบทบาทเจ้าบ้านที่ดีด้วยมาตรการเชิงระบบ เชื่อมโรงเรียน โรงพยาบาล ตลาดท่องเที่ยว และด่านพรมแดนเข้าด้วยกัน เมื่อคนเมืองแข็งแรง นักท่องเที่ยวมั่นใจ และธุรกิจบริการเดินได้ต่อเนื่อง ภาพ “เชียงราย เมืองสุขภาพดี เมืองท่องเที่ยวคุณภาพ” ก็ไม่ใช่สโลแกน หากเป็นความจริงที่สัมผัสได้

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย (สสจ.เชียงราย)
  • กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข
  • ศูนย์เฝ้าระวังทางระบาดวิทยา เขตสุขภาพที่ 1
  • โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์
  • คู่มือสื่อสารความเสี่ยงไข้หวัดใหญ่ กรมควบคุมโรค
  • สำนักทะเบียนกลาง/สถิติทางการจังหวัดเชียงราย
  • เทศบาลนครเชียงราย
  • ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 1/1 เชียงราย
  • คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานสาธารณสุขอำเภอเมืองเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

มนุษย์เงินเดือนไทย “เดอะแบกตัวจริง” 82% มีหนี้ วัยเกษียณยังต้องทำงานไร้ภูมิคุ้มกัน

มนุษย์เงินเดือนไทย “เดอะแบกตัวจริง” วิกฤตการเงินลึกทุกระดับรายได้—82% มีหนี้ วัยเกษียณยังต้องทำงาน–ไร้ภูมิคุ้มกันทางการเงิน

ประเทศไทย, 23 ตุลาคม 2568 — สัญญาณเตือนจากเงินเดือนรอบล่าสุด ข่าวสารทางเศรษฐกิจช่วงปลายปีอาจดูไกลตัวสำหรับหลายคน แต่รายงานเชิงลึก “เปิด Insight มนุษย์เงินเดือน เดอะแบกตัวจริง การเงินยุคนี้” ของทีเอ็มบีธนชาต (ทีทีบี) กลับสะท้อนภาพอีกมุมที่กระทบชีวิตประจำวันอย่างจัง นั่นคือ “ฐานะการเงินของมนุษย์เงินเดือน” ที่เปราะบางกว่าที่คิด และไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะผู้มีรายได้น้อย เมื่อข้อมูลชี้ชัดว่าแม้มีรายได้เกินหนึ่งแสนบาทต่อเดือน หลายคนก็ยังใช้ชีวิตแบบ “เดือนชนเดือน” ขณะเดียวกัน ผู้สูงอายุจำนวนมากยังจำเป็นต้องทำงานต่อ ทั้งที่ก้าวเข้าสู่วัยเกษียณแล้ว

รายงานดังกล่าวอาศัยฐานข้อมูลจากโปรแกรมตรวจสุขภาพการเงิน ttb financial health check ซึ่งเก็บข้อมูลเชิงพฤติกรรมของมนุษย์เงินเดือนกว่า 96,000 คน ระหว่างสิงหาคม 2566 – กุมภาพันธ์ 2568 เสริมด้วยฐานข้อมูลเครดิตและการวิเคราะห์เชิงระบบของหน่วยงานรัฐและเอกชน ภาพรวมทั้งหมดนำไปสู่คำถามใหญ่ที่สังคมไทยต้องตอบร่วมกันว่า “เราจะสร้างภูมิคุ้มกันทางการเงินให้แรงงานกินเงินเดือน ซึ่งเป็นฟันเฟืองหลักของเศรษฐกิจ ได้อย่างไร”

ภาพรวมเชิงตัวเลข รายได้สูงไม่เท่ากับมั่นคง

สาระสำคัญของรายงานชี้ว่า “รายได้สูงไม่ได้แปลว่าปลอดภัยทางการเงิน” อีกต่อไป

  • 32% ของผู้ที่มีรายได้มากกว่า 100,000 บาท/เดือน ยังใช้ชีวิตแบบ “เดือนชนเดือน”
  • 16% ของกลุ่มรายได้สูงดังกล่าว มี “รายจ่ายมากกว่ารายได้” อย่างต่อเนื่อง
  • โดยรวมแล้ว 8 ใน 10 คน (82%) ของมนุษย์เงินเดือนมีหนี้สินในระบบ
  • โครงสร้างหนี้เอนเอียงไปทางหนี้บัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล 53% รองลงมาคือหนี้รถยนต์ 17% และหนี้บ้าน 15%
  • เกือบ “ครึ่งหนึ่ง” หรือ 49% มีพฤติกรรมชำระขั้นต่ำหรือเคยผิดนัด ส่งผลให้ต้นทุนดอกเบี้ยสะสมสูงขึ้นและเสี่ยงติดอยู่ใน “วงจรหนี้ไม่สิ้นสุด”

ตัวเลขเหล่านี้ชี้ชัดว่าโครงสร้างรายได้–รายจ่ายของคนทำงานไทยกำลังเปราะบางจากหลายปัจจัย ทั้งค่าครองชีพที่เร่งขึ้นเร็วกว่าค่าแรงจริง หนี้บริโภคที่สะสมยาวนาน และการขาด “ระบบกันสะเทือน” อย่างเงินออมฉุกเฉินและความคุ้มครองความเสี่ยงด้านสุขภาพ

คำอธิบายจากผู้เชี่ยวชาญฟันเฟืองเศรษฐกิจที่กำลัง “แบกหนัก”

นายนริศ สถาผลเดชา ประธานกลุ่มงาน Data และ Analytics ทีเอ็มบีธนชาต อธิบายว่า ประเทศไทยมีมนุษย์เงินเดือนราว 12.5 ล้านคน เป็นสัดส่วนประมาณ 30% ของแรงงานทั้งหมด แต่สร้างรายได้ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดามากถึง 90% หรือกว่า 270,000 ล้านบาท/ปี ฟันเฟืองกลุ่มนี้จึงเป็น “เดอะแบกตัวจริง” ของระบบเศรษฐกิจ ทว่าในความเป็นจริง พวกเขาต้องเผชิญแรงกดดันรอบด้าน ทั้งหนี้สิน การขาดเงินออม และความคุ้มครองไม่เพียงพอ หากไม่เร่งสร้างภูมิคุ้มกัน ระยะกลางถึงยาวอาจกระทบการบริโภคครัวเรือนและความเชื่อมั่นโดยรวม

โจทย์หนี้ “จ่ายขั้นต่ำ” คือทางลัดสู่ต้นทุนดอกเบี้ยพุ่ง

หนึ่งในสัญญาณอันตรายที่รายงานเน้นย้ำคือพฤติกรรมชำระหนี้ “ขั้นต่ำ” จนเป็นกิจวัตร เฉพาะกลุ่มหนี้บัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล ซึ่งคิดเป็น มากกว่าครึ่ง ของโครงสร้างหนี้มนุษย์เงินเดือน หากชำระขั้นต่ำเพียงระยะสั้น ต้นทุนดอกเบี้ยสะสมอาจพุ่งชัน ทับซ้อนกับรายจ่ายประจำ และหากมีเหตุฉุกเฉินด้านสุขภาพหรือการตกงานแบบไม่คาดคิด ย่อมเสี่ยงทำให้ “เครดิตเสีย” ได้ง่าย

ข้อมูลจาก บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ (NCB) และการวิเคราะห์ของ ttb analytics ณ มิถุนายน 2567 ยังสะท้อนภาพใหญ่ของประเทศว่า คนไทย “เกือบ 40%” มีหนี้ในระบบ และ “หนี้เฉลี่ยต่อหัว” สูงกว่า 500,000 บาท เมื่อพิจารณาร่วมกับตัวเลข 49% ที่ชำระขั้นต่ำ/ผิดนัดของกลุ่มมนุษย์เงินเดือน สัญญาณนี้จึงไม่ใช่เพียงปัญหาเฉพาะราย แต่เป็น “ความเสี่ยงเชิงระบบ” ที่ควรเร่งจัดการ

เงินออม–ภูมิคุ้มกันช่องโหว่ที่เติมเต็มไม่ทัน

แม้คำว่า “วินัยการเงิน” จะถูกพูดถึงตลอด แต่ข้อมูลสะท้อนว่า “ช่องโหว่ภาคครัวเรือน” ยังมีอยู่มาก

  • 77% ของมนุษย์เงินเดือนมีเงินออม ต่ำกว่า 10% ของรายได้ต่อเดือน
  • 70% ไม่ได้กันเงินฉุกเฉินถึง 6 เดือน ตามเกณฑ์มาตรฐาน
  • 80% ไม่มีความคุ้มครองเพียงพอ หากเจ็บป่วยร้ายแรงหรือเกิดอุบัติเหตุใหญ่

ความเสี่ยงสามชั้นนี้ทำให้หลายครัวเรือน “ล้มทั้งยืน” เมื่อเจอเหตุไม่คาดฝัน ขณะเดียวกันยังลดทอนความสามารถในการวางแผนระยะยาวทั้งด้านการศึกษา–ที่อยู่อาศัย–และการเกษียณ

มุมผู้สูงอายุเมื่อ “วัยเกษียณ” ไม่ใช่บทสรุปการทำงาน

สังคมไทยกำลังก้าวสู่ “สังคมสูงวัยสมบูรณ์” อย่างเต็มรูปแบบ แต่ภูมิคุ้มกันทางการเงินของผู้สูงอายุจำนวนมากกลับไม่พร้อม ข้อมูลอ้างอิงที่ถูกหยิบยกในงานบรรยายระบุว่า

  • เกือบ 4 ใน 10 ของผู้สูงอายุยังต้อง “ทำงานต่อ” เพื่อมีรายได้
  • 42.7% ของผู้สูงอายุในกลุ่มตัวอย่าง ยังมีหนี้ เฉลี่ยกว่า 130,000 บาท/คน
  • เกือบ ครึ่งหนึ่ง (44%) “ไม่มีเงินออมเลย”
  • ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของครัวเรือนที่มีผู้สูงอายุ สูงกว่าครัวเรือนทั่วไป 48% ซึ่งเป็น “ค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่” ในช่วงที่รายได้ประจำลดลง

ปัญหานี้เชื่อมโยงกับโครงสร้างแรงงานและคุณภาพการจ้างงานในอดีต รวมถึงระบบสวัสดิการเกษียณที่ยังพึ่งพาตนเองสูง หากไม่เร่งปิดช่องว่างตั้งแต่ช่วงวัยทำงาน ภาพ “ทำงานจนแก่–ใช้หนี้จนเกษียณ–ไร้เงินออม” จะยังวนซ้ำ

เสียงจากธุรกิจธนาคารโซลูชันต้อง “ครบวงจรและใช้งานจริง”

นางณัฐวรรณ อภิรัตนพิมลชัย ประธานกลุ่มกลยุทธ์ลูกค้าบุคคล ทีทีบี ระบุว่า สถาบันการเงินมีบทบาทสำคัญในการช่วย “ผ่อนแรง” ให้คนทำงานผ่านผลิตภัณฑ์และบริการที่แก้โจทย์จริง เช่น

  • ทางเลือก รีไฟแนนซ์/รวมหนี้ ด้วยอัตราดอกเบี้ยที่เป็นธรรม ช่วยลดภาระจ่ายขั้นต่ำ
  • โซลูชัน ออมอัตโนมัติ ที่ผูกกับวันเงินเดือนออก เพื่อสร้างวินัยโดยไม่เพิ่มภาระความคิด
  • ความคุ้มครอง สุขภาพ–อุบัติเหตุ–โรคร้ายแรง ในระดับเบี้ยที่เอื้อมถึง
  • วางแผนภาษี ปลายปีควบคู่การออมระยะยาว เพื่อให้ “เงินทำงาน” อย่างคุ้มค่า

เป้าหมายไม่ใช่เพียงขายผลิตภัณฑ์ แต่คือ “สร้างชีวิตทางการเงินที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน” ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือของทั้งธนาคาร นายจ้าง ภาครัฐ และตัวบุคคล

หนึ่งวันของคนเงินเดือนที่ “ทำทุกอย่างถูกต้อง” แล้วทำไมยังไม่พอ

หลายคนตั้งคำถามว่า “เราวางแผนแล้ว ทำไมยังตึงมือ” คำตอบส่วนหนึ่งอยู่ที่ “แรงเสียดทาน” เล็กๆ ที่สะสมในระบบการใช้จ่าย เช่น ค่าเดินทางที่ปรับขึ้นตามพลังงาน ค่าอาหารกลางวันที่เพิ่มทีละน้อย ค่าเช่าบ้านที่ขยับทุกปี รวมถึงค่าเลี้ยงดูผู้สูงอายุในครัวเรือนที่สูงขึ้นตามวัย เมื่อรายได้โตช้ากว่าค่าครองชีพเพียงเล็กน้อยทุกเดือน ผลรวมปลายปีจึง “ติดลบเล็กๆ” ต่อเนื่อง และนั่นคือเชื้อเพลิงให้หนี้บริโภคพอกตัว

สิ่งที่รายงานของทีทีบีสะท้อนจึงไม่ใช่เพียง “จิตวิทยาการเงินส่วนบุคคล” แต่เป็นปัญหาโครงสร้างที่ต้องแก้ร่วมกัน ตั้งแต่การเข้าถึงความรู้ทางการเงินที่ใช้งานได้จริง ไปจนถึงสวัสดิการนายจ้างที่ควบคู่กับสุขภาพกาย–ใจ และนโยบายรัฐที่เอื้อต่อค่าครองชีพที่สมเหตุสมผล

ประเด็นรองที่หลายคนมองข้ามการคุ้มครองก่อน “เรื่องใหญ่” มาเยือน

เมื่อ 80% ของมนุษย์เงินเดือนไม่มีความคุ้มครองเพียงพอ คำถามคือ “เราจะรับความเสี่ยงใหญ่ด้วยเงินสดได้จริงหรือ” คำตอบแทบทุกครัวเรือนคือ “ไม่” เบี้ยประกันพื้นฐานที่เหมาะสมกับช่วงวัย หรือสวัสดิการกลุ่มผ่านนายจ้าง อาจเป็นคำตอบที่คุ้มกว่าการใช้เงินออมก้อนเล็กไปแลกกับค่ารักษาพยาบาลหลักแสน–หลักล้าน ซึ่งกระทบฐานะทั้งครอบครัวในพริบตา

เชื่อมโยงนโยบายสาธารณะแรงงาน–สวัสดิการ–ผลิตภาพ

ในภาพกว้าง มนุษย์เงินเดือนคือกลุ่มที่เชื่อมภาษี การบริโภค และนวัตกรรมเข้าด้วยกัน หากฐานะการเงินส่วนบุคคลเปราะบาง ผลสะท้อนจะกระทบ “ผลิตภาพแรงงาน” และความสามารถในการออม–ลงทุนระดับประเทศ นักเศรษฐศาสตร์จึงเสนอให้เร่งพัฒนา 3 มิติร่วมกัน

  1. ความรู้ทางการเงินแบบลงมือทำปลูกฝังตั้งแต่มัธยม–อุดมศึกษา ไปจนถึงหลักสูตรภายในองค์กร
  2. ช่องทางปรับโครงสร้างหนี้ที่เข้าถึงง่ายลดอคติ–ลดต้นทุนธุรกรรม และสร้างแรงจูงใจให้คน “เริ่มต้นใหม่” ก่อนเครดิตพัง
  3. สวัสดิการเสริมจากนายจ้างออมอัตโนมัติ–กองทุนสำรองเลี้ยงชีพแบบสมทบ–ความคุ้มครองสุขภาพในระดับเหมาะสม

ทั้งสามมิตินี้จะช่วยให้เงินออมและภูมิคุ้มกันเติบโต “ก่อน” วิกฤตรอบใหม่

เช็กลิสต์ปฏิบัติได้ทันทีสำหรับมนุษย์เงินเดือน

เพื่อเปลี่ยนข้อมูลเป็นการกระทำ นี่คือเช็กลิสต์สั้นๆ ที่ยึดตามหลักการที่รายงานแนะนำ

  • ลิสต์หนี้ทั้งหมด พร้อมอัตราดอกเบี้ย และเรียงจาก “แพงสุด–ถูกสุด”
  • หยุดชำระขั้นต่ำ โดยย้ายหนี้ไปสู่สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำกว่าผ่านรีไฟแนนซ์/รวมหนี้
  • ตั้งออมอัตโนมัติ 10–15% ของรายได้ ตั้งแต่วันเงินเดือนออก
  • สะสมเงินฉุกเฉิน ให้ถึง 3–6 เดือน เริ่มจาก 1 เดือนภายใน 60–90 วัน
  • เติมความคุ้มครอง สุขภาพ/อุบัติเหตุ/โรคร้ายแรงในระดับเบี้ยที่เหมาะสมกับวัย
  • วางแผนภาษีปลายปี ให้ “เงินออม = เงินภาษีที่จ่ายน้อยลง” อย่างมีเหตุผล

จาก “ข้อมูล” สู่ “ความหวังที่ลงมือทำได้”

รายงานของทีทีบีไม่ได้ตั้งใจชี้ให้เห็นเพียง “ปัญหา” แต่พยายามวางกรอบคิดใหม่ว่า การมีวินัยการเงินไม่ใช่แค่เรื่องส่วนบุคคล หากเป็น “โครงสร้างสนับสนุน” ที่ต้องทำให้คนส่วนใหญ่ทำได้จริงด้วยต้นทุนทางเวลาที่ต่ำ ข้อมูลที่ชัดเจน และเครื่องมือที่เข้าใจง่าย หากธนาคาร–นายจ้าง–รัฐ และตัวเราเอง เดินไปในทิศทางเดียวกัน ฐานะการเงินของมนุษย์เงินเดือนจะค่อยๆ แข็งแรงขึ้น และเมื่อฐานะของ “เดอะแบกตัวจริง” ดีขึ้น ฐานเศรษฐกิจไทยก็จะมั่นคงขึ้นตามลำดับ

สุดท้ายนี้ ตัวเลข 82% ที่ “มีหนี้” หรือ 77% ที่ “ออมไม่ถึง 10% ของรายได้” ไม่ได้เป็นตราบาปของใคร แต่มันคือไฟเตือนบนหน้าปัดที่บอกว่า “ถึงเวลาเข้าอู่ซ่อม” และเริ่มสร้างระบบกันสะเทือนให้ชีวิตทางการเงิน ตั้งแต่ตัดดอกเบี้ยแพง ลดการจ่ายขั้นต่ำ ไปจนถึงออมและทำประกันที่พอดี นี่คือเส้นทางที่ไม่ง่าย แต่เริ่มได้ทันทีตั้งแต่ “เงินเดือนรอบหน้า”

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • ทีเอ็มบีธนชาต (ttb)
  • บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ (NCB)
  •  ttb analytics
  • Money Buffalo
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

3 ทางคู่ขนานสู่ทางรอด! อบจ.เชียงรายเร่งสำรวจ-อนุญาต-ขุดลอก ลำน้ำจันก่อนฤดูฝนหน้า

นายก อบจ.เชียงราย สั่งเร่งเครื่อง “ปลดล็อกลำน้ำจัน” แม่จัน—ป่าตึง แก้น้ำท่วมซ้ำซากด้วย 3 ทางคู่ขนาน สำรวจ-อนุญาต-ขุดลอกตามกฎหมาย

เชียงราย, 23 ตุลาคม 2568สัญญาณจากลุ่มน้ำที่ไม่เคยเงียบ ลำน้ำจันในอำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย ไม่ใช่เพียงเส้นน้ำที่ไหลผ่านทุ่งนาและชุมชน หากแต่เป็น “เส้นเลือด” ของเศรษฐกิจฐานราก—ตั้งแต่ข้าวไร่ ข้าวนา ไปจนถึงเส้นทางสัญจรและโครงสร้างพื้นฐานท้องถิ่น ทุกครั้งที่ฝนหลงฤดูกาลหรือลมมรสุมทวีแรง ระดับน้ำในลำน้ำจันขยับขึ้นอย่างฉับพลัน ภาพน้ำเอ่อสองฝั่งและข่าวสะพานขาดจึงปรากฏซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนกลายเป็น “เรื่องเล่าประจำฤดู” ของแม่จันและตำบลป่าตึง โดยเฉพาะเหตุการณ์ท่วมฉับพลันหลายครั้งในช่วงปี 2566–2568 ที่ย้ำเตือนให้หน่วยงานรัฐต้องลงมือแก้ที่ “ต้นเหตุ” มากกว่าไล่ปิดจุดเสี่ยงทีละจุดในนาทีสุดท้ายของวิกฤต และยิ่งเมื่อลำน้ำแม่จัน—เครือข่ายเดียวกับลำน้ำจัน—เป็นหนึ่งในลุ่มน้ำสำคัญของเชียงราย ความชัดเจนด้าน “แผนงาน–อำนาจ–กฎหมาย” จึงต้องมาก่อนเครื่องจักรกลหนักเสมอ

อบจ.เชียงรายประกาศวาระเร่งด่วน “ลำน้ำจัน”

วันที่ 22 ตุลาคม 2568 นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เชียงราย มอบหมายให้นายจิราวุฒิ แก้วเขื่อน รองนายก อบจ. พร้อมนายประเสริฐ ชุ่มเมืองเย็น ประธานสภา อบจ. นำทีมลงพื้นที่ตรวจสอบลำน้ำจัน ตำบลป่าตึง อำเภอแม่จัน รับฟังข้อเท็จจริงจากผู้นำท้องที่–ท้องถิ่น และประชาชน โดยสรุปสาเหตุหลักของปัญหาว่า “ทางน้ำตื้นเขินจากตะกอนดินทับถมและวัชพืชหนาแน่น” ขณะที่การเข้าเครื่องจักรขุดลอกติดข้อจำกัดเชิงกฎหมาย เพราะแนวลำน้ำบางตอนทับซ้อนพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ และเป็นทางน้ำที่อยู่ในความดูแลของกรมเจ้าท่า (สำนักงานเจ้าท่าภูมิภาค สาขาเชียงราย) จึงต้องดำเนินการ “ขออนุญาตตามขั้นตอน” ก่อนทุกครั้ง. (ถ้อยแถลง/สรุปสาระจากการลงพื้นที่)

ประเด็นนี้ไม่ใช่ข้ออ้าง หากแต่เป็น “ข้อเท็จจริงทางกฎหมาย” ที่ทุกหน่วยในสนามต้องยึดถือการปรับปรุงลำน้ำ–ขุดลอกในทางน้ำสาธารณะอยู่ภายใต้ระเบียบกรมเจ้าท่า และเมื่อแนวลำน้ำพาดผ่านเขตป่าสงวนแห่งชาติ งานดังกล่าวต้องสอดคล้องกับกฎหมายป่าสงวนฯ และหลักเกณฑ์อนุญาตใช้ประโยชน์ในเขตป่าโดยเคร่งครัด

ภูมิทัศน์ภัยเสี่ยงลำน้ำตื้นเขิน–วัชพืชหนาแน่น–ฝนหลากเร็ว

ชุมชนริมลำน้ำจันและลุ่มน้ำแม่จันรู้ซึ้งดีว่า “ความเสี่ยงเกิดไว” แค่ฝนต่อเนื่องไม่กี่ชั่วโมง น้ำป่าไหลหลากก็ทวีแรง เกิดน้ำเอ่อสองฝั่ง กระทบพื้นที่อยู่อาศัย–ถนน–สะพาน และพื้นที่เกษตร ข้อมูลข่าวและคลิปเหตุการณ์ในช่วงปีที่ผ่านมา สะท้อนรูปแบบภัยซ้ำระดับน้ำขึ้นรวดเร็วในเวลากลางคืน ก่อนลดลงในชั่วโมงถัดมา ทิ้งโคลนตมและความเสียหายไว้เบื้องหลัง ขณะเดียวกัน สะพานและจุดข้ามที่เป็น “คอขวด” กลับยิ่งเปราะบางเมื่อทางน้ำตื้นเขิน เพราะแรงดันน้ำกระแทกโครงสร้างโดยตรงในช่วงพีก

นอกจากนี้ จุดวัดระดับน้ำใกล้สะพานบ้านป่าตึงในแม่จัน ซึ่งเผยแพร่ค่าระดับเตือนภัย–วิกฤตอย่างสม่ำเสมอ ยังชี้ให้เห็น “กระพือคลื่นระดับน้ำ” ในบางเหตุการณ์ ที่ระดับน้ำไต่เส้นเตือนภัยอย่างฉับพลัน ขีดเส้นใต้ข้อเท็จจริงว่า การรู้เท่าทันสถานการณ์แบบเรียลไทม์ และการเพิ่ม “ความสามารถระบายน้ำ” ในทางน้ำหลัก คือเงื่อนไขขั้นต่ำในการลดความเสียหายซ้ำรอบ

โครงสร้างกฎหมายทำไม “มีรถ–มีแบ็กโฮ” แต่ยังลงมือไม่ได้

1) ทางน้ำสาธารณะในกำกับกรมเจ้าท่า
ระเบียบและหลักเกณฑ์ของกรมเจ้าท่ากำหนดชัดว่า งานขุดลอกเพื่อดูแลรักษาสภาพลำน้ำ–ลำคลอง–แม่น้ำ ต้อง “ขออนุญาตเป็นหนังสือ” แนบแบบคำขอ รายละเอียดแนวขุดลอก ปริมาณวัสดุ วิธีขนย้าย–ทิ้งกอง และหนังสือยินยอมของเจ้าของที่ดินกรณีนำวัสดุขึ้นฝั่ง รวมถึงเอกสารสิ่งล่วงล้ำลำน้ำที่เกี่ยวข้อง ทั้งหมดนี้เพื่อป้องกันผลกระทบต่อการไหล–การเดินเรือ–ความปลอดภัย และสิ่งแวดล้อมลำน้ำ

2) เขตป่าสงวนแห่งชาติในกำกับกรมป่าไม้
เมื่อแนวลำน้ำบางช่วงทับซ้อนเขตป่าสงวนฯ การเข้าดำเนินการต้องเป็นไปตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ และหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการพิจารณาการใช้ประโยชน์ในเขตป่าสงวนกำหนด อนุญาตเป็นรายกรณี–ตามวัตถุประสงค์–ตามช่วงเวลา และเงื่อนไขลดผลกระทบต่อทรัพยากร ก่อนจะเดินหน้าเครื่องจักรได้จริง

3) หลักคิด “กฎหมายก่อนเครื่องจักร”
สำหรับท้องถิ่น หลักคิดนี้หมายความว่า แม้องค์กรจะพร้อมด้วยเครื่องจักรและคน แต่หากยังไม่ “เคลียร์อำนาจและอนุญาต” ทุกฟันเฟืองก็ขยับไม่ได้ เพราะการขุดลอกโดยมิชอบอาจก่อผลกระทบข้ามเขต ทั้งตลิ่งพัง–ตะกอนไหล–รุกล้ำตลิ่งสาธารณะ และอาจเป็นความผิดตามหลายกฎหมายพร้อมกัน

เสียงจากสนามคำย้ำชัดของรองนายก อบจ.เชียงราย

นายจิราวุฒิ แก้วเขื่อน รองนายก อบจ.เชียงราย ให้ข้อมูลหลังลงพื้นที่ว่า “เครื่องจักร อบจ. พร้อมเข้าทำงาน แต่ ณ ตอนนี้ยังเข้าเครื่องจักรไม่ได้ เพราะต้องรอการอนุญาตจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ สำนักงานเจ้าท่าภูมิภาค สาขาเชียงราย และกรมป่าไม้ เพื่อให้ทุกขั้นตอนถูกต้องตามระเบียบ” พร้อมมอบหมายให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 5 แห่งในแนวลำน้ำที่ได้รับผลกระทบร่วมกัน “เร่งจัดทำคำขอ–แผนที่สังเขป–แนวขุดลอก–จุดทิ้งตะกอน และเอกสารแนบ” เพื่อยื่นขออนุญาตให้ทัน “ช่วงฤดูแล้ง” ซึ่งเป็นหน้าต่างเวลาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับงานในลำน้ำ

สาระสำคัญของถ้อยแถลงนี้ชี้เป้าไปที่ “การจัดการเชิงระบบ” มากกว่าการแก้จุดเฉพาะหน้า เพราะถ้าเอกสารไม่ครบหรือเสนอไม่ตรงตามหลักเกณฑ์ งานจะสะดุดตั้งแต่ชั้นพิจารณา และฤดูฝนรอบใหม่อาจมาถึงก่อนที่เครื่องจักรจะได้แตะตลิ่ง

จากข้อมูลสู่แผน3 ทางคู่ขนาน “สำรวจ–อนุญาต–ขุดลอก”

ทางที่ 1: สำรวจ–ออกแบบเชิงชลศาสตร์
เริ่มจากสำรวจความกว้าง–ลึก–ความลาดเอียงของท้องน้ำ ระบุ “คอขวดไฮดรอลิก” ที่เกิดจากตะกอน–ผักตบ–ไม้ล้ม–สิ่งปลูกสร้างที่ล่วงล้ำ กำหนดระยะขุดลอกและแนวตัดแต่งพืชน้ำแบบมี “บัฟเฟอร์โซน” รักษาตลิ่ง ลดการพังทลาย พร้อมกำหนดจุดพักตะกอน–จุดทิ้งกอง และเส้นทางขนย้ายที่ไม่ผ่านพื้นที่อ่อนไหว

ทางที่ 2: อนุญาต–เคลียร์กฎหมาย
ยื่นคำขอขุดลอกตามแบบของกรมเจ้าท่า (แบบ ข.1) แนบเอกสารให้ครบถ้วน รวมถึงหนังสือยินยอมพื้นที่ทิ้งกอง วางแผนเวลา–วิธีการทำงานในเขตป่าสงวนฯ ตามกรอบของกรมป่าไม้ ทำ TOR และมาตรการป้องกันผลกระทบ (เช่น ควบคุมขุ่น–ป้องกันตลิ่งพัง–จัดการตะกอน) ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ เพื่อให้ฝ่ายอนุญาตพิจารณาได้เร็วและเชื่อมั่นได้

ทางที่ 3: ขุดลอก–บำรุงรักษาต่อเนื่อง
เมื่อได้รับใบอนุญาต ให้เข้าดำเนินการในฤดูแล้ง ลดความเสี่ยงน้ำหลาก ระบุ “ช่วงยกระดับมาตรฐาน” เช่น ตัดวัชพืชซ้ำทุก 3–6 เดือน ในจุดที่เป็นคอขวด ติดตามระดับความลึกหลังขุดลอก พร้อมระบบรายงานผล–โปร่งใส เปิดเผยแก่สาธารณะ

ทำไม “ฤดูแล้ง” คือหน้าต่างเวลา

งานในลำน้ำระหว่างฤดูแล้งช่วยลดผลกระทบ 3 ประการ หนึ่ง ลดความเสี่ยงน้ำขุ่นและตะกอนเคลื่อนย้ายลงท้ายน้ำ สอง เครื่องจักรทำงานได้ปลอดภัยและแม่นจุดมากขึ้น สาม เปิดพื้นที่ท้องน้ำให้พร้อมรับปริมาณน้ำช่วงต้นฤดูฝน ทั้งหมดสอดคล้องกับแนวทางของกรมเจ้าท่าที่ให้ความสำคัญต่อการดูแลสภาพลำน้ำเพื่อการเดินเรือ–ป้องกันอุทกภัย–และความปลอดภัยสาธารณะ

มิติสังคม–เศรษฐกิจ เม็ดเงินซ่อมสะพาน vs งบป้องกัน

เมื่อสะพานหรือถนนได้รับผลกระทบจากน้ำหลาก งบซ่อมบำรุงมักสูงและใช้เวลานาน ขณะที่การ “เพิ่มความสามารถระบายน้ำ” ตั้งแต่ต้นทางผ่านการขุดลอกตามหลักวิศวกรรม และการจัดระเบียบสิ่งล่วงล้ำลำน้ำตามกฎหมาย อาจใช้งบน้อยกว่าและสร้างผลคุ้มค่าในระยะกลาง–ยาว ที่สำคัญคือคืน “ความมั่นใจ” ให้ประชาชนและผู้ประกอบการ เพราะการคาดการณ์เส้นระดับน้ำในเหตุการณ์ฝนหนักจะดีขึ้น เมื่อช่องทางน้ำไม่ถูกหรี่ด้วยตะกอนและวัชพืช

รู้จักเครือข่ายลำน้ำ  “น้ำแม่จัน–น้ำจันน้อย–ลำน้ำจัน”

ฐานภูมิศาสตร์บอกเราว่า น้ำแม่จันมีสาขาสำคัญหลายเส้น รวมทั้งน้ำจันน้อย และไหลผ่านตำบลป่าตึงก่อนลงสู่พื้นที่ปลายน้ำในเชียงแสน ความยาวลำน้ำราว 86 กิโลเมตร ครอบคลุมพื้นที่ลุ่มน้ำราว 236 ตารางกิโลเมตร ซึ่งเป็น “แหล่งปลูกข้าวสำคัญ” ของเชียงราย โจทย์น้ำท่วมในแม่จัน–ป่าตึง จึงไม่ใช่เรื่องเฉพาะหมู่บ้าน แต่กระทบเครือข่ายเศรษฐกิจทั้งลุ่มน้ำ หากบริหารจัดการได้ดี ผลลัพธ์จะสะท้อนกลับเป็น “เสถียรภาพรายได้” ของครัวเรือนเกษตรจำนวนมาก

หลักฐานภาคสนาม ร่องรอยเหตุการณ์ซ้ำ–ข้อมูลเตือนภัย

ข่าวและรายงานภาคสนามต่อเนื่องในช่วงพายุฝน ปี 2566–2567–2568 ยืนยันภาพ “น้ำหลากฉับพลัน” ในแม่จันและป่าตึง แม้ทรัพย์สินเสียหายไม่รุนแรงในบางครั้ง แต่จุดวิกฤตอย่างสะพานเหล็กข้ามลำน้ำจันเคยถูกน้ำพัดขาด ขณะเดียวกัน จุดวัดระดับน้ำในป่าตึงมีเกณฑ์เตือนภัย–วิกฤตชัดเจนให้ติดตามแบบเรียลไทม์ ซึ่งหน่วยงานท้องถิ่นและประชาชนควรใช้เป็น “เรดาร์ร่วม” เพื่อกำหนดขั้นปฏิบัติการอพยพ–ปิดจุดเสี่ยง–และเปิดทางน้ำทดแทนในระยะสั้น.

แนวทางปฏิบัติ (เช็กลิสต์) สำหรับท้องถิ่น 5 องค์กรในแนวลำน้ำ

  1. ตั้ง “คณะทำงานเอกสารอนุญาต” ร่วมกับ อบจ.–สำนักงานเจ้าท่าภูมิภาค–หน่วยป่าไม้ ระบุแนวขุดลอก–จุดทิ้งตะกอน–บัฟเฟอร์โซนตลิ่งให้ชัด
  2. ใช้ “ข้อมูลระดับน้ำ” จากสถานีป่าตึงและจุดใกล้เคียง เป็นฐานออกแบบทางชลศาสตร์และกำหนดช่วงเวลาทำงาน
  3. จัดทำ “แผนที่สิ่งล่วงล้ำลำน้ำ” แบบเปิดเผย—ท่าเทียบเรือ ท่อ–คู–คลองเชื่อม เสา–สะพาน พร้อมแผนรื้อเฉพาะที่จำเป็นตามกฎหมาย
  4. กำหนด “มาตรการสิ่งแวดล้อม” เฉพาะจุด เช่น ผ้ากรอง–บ่อดักตะกอน–เสริมตลิ่งแบบนุ่ม ลดการพังทลายหลังขุด
  5. ออกแบบ “ปฏิทินบำรุงรักษา” ตัดวัชพืชซ้ำ–กำจัดตะกอนคอขวดทุก 3–6 เดือน โดยรายงานต่อสาธารณะ

เสียงประชาชนต้องมากับ “ข้อมูลที่จับต้องได้”

ความเชื่อมั่นของชุมชนไม่ได้เกิดจากรถแบ็กโฮที่ลงทำงานเท่านั้น แต่อยู่ที่ “ข้อมูล–กติกา–ความโปร่งใส” เช่น ป้ายประชาสัมพันธ์หน้าพื้นที่ทำงาน แสดงแผนที่แนวขุด–ปริมาณตะกอน–ช่วงเวลา–ผู้รับผิดชอบ–เลขที่ใบอนุญาตกรมเจ้าท่า–เลขที่อนุญาตเขตป่าสงวนฯ และช่องทางร้องเรียน เมื่อประชาชนเห็นกระบวนการครบถ้วน จะพร้อมเป็น “ผู้ร่วมเฝ้าระวัง” มากกว่าเป็นเพียง “ผู้ถูกกระทบ”

 “ฤดูแล้งนี้” คือความท้าทาย

ถ้าทุกเอกสารสามารถยื่นและพิจารณาได้ทันฤดูแล้งปีนี้ โอกาสแก้คอขวดไฮดรอลิกในช่วงสำคัญของลำน้ำจันจะสูงขึ้นมาก ระดับน้ำพีกในฤดูฝนถัดไปมีแนวโน้มลดลง และความเสียหายต่อสะพาน–ถนน–พื้นที่เกษตรจะลดความถี่ลง แต่หากเอกสารสะดุดหรือติดเงื่อนไขพื้นที่ซับซ้อน งานขุดลอกอาจต้องเลื่อนไป ซึ่งหมายถึง “ต้นทุนเวลา” ที่ชุมชนต้องแบกรับ

กฎหมาย–เครื่องจักร–ชุมชน ต้องเดินพร้อมกัน

กรณีลำน้ำจัน ป่าตึง–แม่จัน คือบทพิสูจน์ของการบริหารจัดการเชิงบูรณาการ อบจ.เป็นแม่งานประสาน เชื่อม 5 ท้องถิ่นให้ยื่นอนุญาตเร็ว กรมเจ้าท่ากำกับตามหลักวิชาชีพและความปลอดภัยทางน้ำ กรมป่าไม้สร้างสมดุลการใช้ประโยชน์–การอนุรักษ์ ขณะที่ชุมชนช่วยเฝ้าระวัง–แจ้งเตือนและร่วมดูแลตลิ่ง หาก “เอกสาร–วิศวกรรม–การมีส่วนร่วม” เดินทันฤดูแล้ง เครื่องจักรจะได้ลงทำงานอย่างถูกต้อง และฤดูฝนหน้าจะไม่เป็น “ฤดูซ้ำรอย” อีกต่อไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย
  • กฎหมายป่าสงวนแห่งชาติ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

พาณิชย์เร่งคุมเกม “ข้าวเหนียวเชียงราย” เปิดตลาดนัดข้าวเปลือก-เข้มเครื่องชั่ง ปิดช่องกดราคา

พาณิชย์เร่งคุมเกม “ข้าวเหนียวเชียงราย” ช่วยเกษตรกรขายได้เป็นธรรม เปิดตลาดนัดข้าวเปลือก–เข้มเครื่องชั่ง–ชูกรอบกฎหมาย ปิดช่องกดราคา

เชียงราย,23 ตุลาคม 2568 – สัญญาณเตือนจากทุ่งนา และแผนตอบสนองที่ต้องทันเวลา เสียงสะท้อนจากชาวนาอำเภอพญาเม็งราย จังหวัดเชียงราย ในช่วงต้นฤดูเก็บเกี่ยวปีนี้ ไม่ได้เป็นเพียง “ข่าวปลายไร่” อีกต่อไป เมื่อความกังวลเรื่องระบายผลผลิตและแรงกดราคาหวนกลับมาในจังหวะผลผลิตเริ่มเทลงตลาด รัฐจึงขยับทันที กรมการค้าภายในประสานสำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงราย สหกรณ์การเกษตร และโรงสีในพื้นที่ เพื่อยืนยัน “ช่องทางขายมีจริง–รับซื้อมีต่อเนื่อง–การซื้อขายต้องโปร่งใส” พร้อมเปิดแผน “ตลาดนัดข้าวเปลือก” สองระลอกในเดือนพฤศจิกายน และส่งทีมชั่งตวงวัดลงพื้นที่ ตรวจเครื่องชั่ง–เครื่องวัดความชื้น และป้ายราคารับซื้อให้ชัดเจนตามกฎหมายที่บังคับใช้ตั้งแต่ 1 กรกฎาคม 2568 เป็นต้นมา เพื่อปิดทางเอาเปรียบเกษตรกรอย่างเด็ดขาด

ภาพรวมสถานการณ์ข้าวเหนียวครองสัดส่วน 62%—ตัวเลขที่บอกทั้ง “โอกาส” และ “แรงกดดัน”

ข้อมูล ณ วันที่ 19 ตุลาคม 2568 ระบุว่า จังหวัดเชียงรายมีผลผลิตข้าวออกสู่ตลาดแล้ว 24% หรือ 202,854 ตัน จากประมาณการผลผลิตทั้งหมด 845,225 ตัน โดยเป็นข้าวเหนียวมากที่สุด 539,977 ตัน คิดเป็น 62% ข้าวเจ้า 22% ข้าวหอมมะลิ 14% และข้าวหอมปทุม 2% ด้านราคารับซื้อ “ข้าวเหนียว” ความชื้น 25–30% อยู่ที่ 6.70–7.30 บาทต่อกิโลกรัม ตัวเลขเหล่านี้ชี้ชัดว่าความเข้มข้นของข้าวเหนียวในโครงสร้างผลผลิตปีนี้ คือ “ฐานรายได้หลัก” ของครัวเรือนนาในพื้นที่ แต่ก็คือ “แรงกดดันราคา” หากกลไกตลาดไม่โปร่งใสพอหรือการแข่งขันไม่เป็นธรรม

ปฏิบัติการเชิงรุก “ตลาดนัดข้าวเปลือก” + “เข้มงวดเครื่องมือวัด” + “กฎหมายเอาผิด”

เพื่อเพิ่มอำนาจต่อรองให้เกษตรกรและผ่อนแรงกดดันด้านราคา กรมการค้าภายในร่วมกับจังหวัดกำหนด “ตลาดนัดข้าวเปลือก” จำนวน 2 ครั้ง

  • ระหว่าง 11–13 พฤศจิกายน 2568 ที่สหกรณ์การเกษตรป่าแดด จำกัด อำเภอป่าแดด
  • และ 18–20 พฤศจิกายน 2568 ที่สหกรณ์การเกษตรแม่สาย จำกัด อำเภอแม่สาย

เวทีนี้เปิดให้ชาวนานำผลผลิตมาพบผู้ซื้อหลากรายมากขึ้น เกิดการแข่งขันราคา โปร่งใส และตรวจสอบได้ ขนาบด้วยมาตรการ “คุมเข้ม” การชั่งตวงวัด ลงพื้นที่ตรวจเครื่องชั่ง–เครื่องวัดความชื้น และกำกับให้สถานประกอบการติดป้ายราคารับซื้ออย่างชัดเจนตามกฎหมาย ซึ่งหากพบการฝ่าฝืน เช่น ไม่ติดป้ายราคา ติดป้ายไม่ถูกต้อง หรือใช้อุปกรณ์ไม่ได้มาตรฐาน จะมีโทษตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 และประกาศคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ (กกร.) ที่เพิ่งประกาศใช้ในปีนี้

“กรมฯ ติดตามสถานการณ์รับซื้ออย่างใกล้ชิด และย้ำให้มั่นใจว่าการรับซื้อเป็นไปอย่างโปร่งใสและเป็นธรรม หากพบการเอาเปรียบเกษตรกร จะดำเนินการตามกฎหมายอย่างเด็ดขาด” — นางสาวญาณี ศรีมณี รองอธิบดีกรมการค้าภายใน (สรุปสาระคำให้สัมภาษณ์)

กรอบกฎหมายที่ “ฟันได้จริง” จากป้ายราคา–เครื่องชั่ง สู่บทลงโทษจำคุก

เครื่องมือทางกฎหมายคือฐานความเชื่อมั่นที่ทำให้มาตรการภาคสนาม “กัดได้จริง” โดยเฉพาะ ประกาศ กกร. ฉบับที่ 69 พ.ศ. 2568 เรื่องการแสดง “ราคารับซื้อสินค้าเกษตร” ซึ่งมีผลใช้บังคับตั้งแต่ 2 กรกฎาคม 2568 กำหนดให้ผู้รับซื้อในห่วงโซ่ต้องแสดงราคารับซื้อให้ชัดเจน โปร่งใส และตรวจสอบได้ ทั้งนี้ หาก “ไม่ปิดป้ายราคา” หรือ “แสดงราคาไม่ถูกต้อง” มีโทษปรับไม่เกิน 10,000 บาท และหาก “กดราคา” หรือ “เอาเปรียบเกษตรกร” เข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 อาจมีโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี หรือปรับไม่เกิน 140,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งถือเป็นสัญญาณ “แดงก้าวข้ามเหลือง” ให้ผู้เล่นในตลาดต้องยึดกติกาอย่างเคร่งครัด

พญาเม็งราย จุดเริ่ม “เสียงกังวล” ที่กลายเป็น “แผนปฏิบัติการ”

กรณีเกษตรกรในอำเภอพญาเม็งรายสะท้อนความห่วงใยเรื่องการขายผลผลิต คือเหตุปัจจัยที่ทำให้หน่วยงานรัฐ “ลงมือทันที” สำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงรายเชิญสหกรณ์–โรงสี–ตัวแทนเกษตรกร ประชุมคลี่สถานการณ์ เร่งยืนยัน “สหกรณ์รับซื้อได้ต่อเนื่อง” ไม่มีการหยุดหรือปฏิเสธรับซื้อ และระดมโรงสีในจังหวัดและพื้นที่ใกล้เคียงเข้ารับซื้อเพิ่มในช่วงผลผลิตออกสู่ตลาดมากขึ้น เพื่อลดความเสี่ยงราคาถูกกด และทำให้ตลาดแข่งขันอย่างเป็นธรรมมากขึ้น

ตลาดนัดข้าวเปลือก” เวทีแข่งขันราคาที่เห็นผลเร็ว

ตลาดนัดข้าวเปลือกมิใช่เพียง “อีเวนต์ขายข้าว” แต่เป็นการสร้าง แพลตฟอร์มแข่งขันราคา ในระยะสั้น ให้ชาวนาพบผู้ซื้อได้โดยตรงมากขึ้น รัฐ–สหกรณ์–โรงสี–ผู้ซื้อจากนอกพื้นที่จึงมารวมกันในจุดเดียว ขยายจำนวน “ผู้เสนอราคา” ให้มากกว่าโครงสร้างปกติที่มีผู้ซื้อจำกัด และหากเชื่อมโยงกับระบบตรวจเครื่องชั่ง–วัดความชื้น–ป้ายราคาในพื้นที่ จะทำให้การประกาศราคาในตลาดนัดกลายเป็น “จุดอ้างอิง” ที่กดแรงฮั้วหรือการบิดเบือนราคาได้ในทางปฏิบัติ. ขณะเดียวกัน การรวมผู้ซื้อจำนวนมากไว้ในที่เดียว ยังลดต้นทุนธุรกรรมของชาวนา ทั้งเรื่องการเดินทางและเวลา เป็นผลบวกทางเศรษฐศาสตร์จุลภาคที่สะท้อนในกระเป๋าเงินอย่างชัดเจน

 “โครงสร้างผลผลิต” และ “กรอบราคารับซื้อ”

  • ผลผลิตออกสู่ตลาด: 24% หรือ 202,854 ตัน จากรวม 845,225 ตัน (ณ 19 ต.ค. 2568)
  • สัดส่วนข้าวเหนียว: 62% หรือ 539,977 ตัน (ฐานหลักรายได้เกษตรกรนาในพื้นที่)
  • ราคารับซื้อข้าวเหนียว (ความชื้น 25–30%): 6.70–7.30 บาท/กก.

ตัวเลขทั้งสามเส้นนี้สะท้อน “โจทย์กำกับตลาด” ที่ต้องเร่งจัดการ เพราะยิ่งส่วนแบ่งข้าวเหนียวสูง แรงกดดันด้านราคายิ่งมีแนวโน้มชัด หากการแข่งขันไม่เปิดกว้างพอหรือมาตรฐานการซื้อขายขาดความโปร่งใส

พันธุ์ “กข 22” กับปัญหากลายพันธุ์ จากข้อร้องเรียนสู่กระบวนการพิสูจน์

อีกประเด็นที่รัฐต้องเร่งขานรับ คือข้อเรียกร้องเรื่องพันธุ์ กข 22 ที่เกษตรกรบางส่วนระบุว่า “ไม่ได้คุณภาพ” เพราะเกิดปัญหากลายพันธุ์ จนทำให้ขายได้ราคาไม่ดีดังเดิม กรมการค้าภายในจึงประสานหน่วยงานในพื้นที่และ กรมการข้าว เพื่อ “ลงพื้นที่พิสูจน์พันธุ์” แยกให้ชัดว่าความผิดปกติเกิดที่ใด—เมล็ดพันธุ์ การเพาะปลูก หรือกระบวนการหลังเก็บเกี่ยว—ก่อนจะกำหนดมาตรการแก้ไขที่ตรงจุดต่อไป นี่คือตัวอย่างของ “ลูปข้อมูล–วิทยาศาสตร์–นโยบาย” ที่ต้องทำงานร่วมกัน เพื่อไม่ให้ “ราคา” เป็นคำตอบสุดท้ายของปัญหาเชิงโครงสร้าง

ภูมิทัศน์การแข่งขัน บทบาท “โรงสี–สหกรณ์” และเครือข่ายนอกพื้นที่

สำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงรายได้ประสาน ชมรมโรงสีข้าวจังหวัด และเครือข่ายโรงสีในพื้นที่ใกล้เคียง ให้เข้าร่วมรับซื้อในช่วงผลผลิตออกมาก เพื่อเพิ่มคู่แข่งด้านราคาและดึง “ราคาอ้างอิง” ให้สะท้อนอุปสงค์–อุปทานจริงมากขึ้น ขณะเดียวกัน “สหกรณ์การเกษตร” ในจังหวัดยังทำหน้าที่เป็น “กลไกหลัก” ด้านการรับซื้อ–รวบรวม–เชื่อมต่อกับผู้ซื้อปลายน้ำ ซึ่งในหลายพื้นที่ได้ขยายความร่วมมือกับภาคเอกชนผ่าน MOU รับซื้อข้าวในราคายุติธรรม เพื่อถัก “เสถียรภาพตลาด” ให้แน่นขึ้นในระยะกลาง

ชุดมาตรการ “รักษาเสถียรภาพราคาข้าว” ระดับประเทศ

ควบคู่ปฏิบัติการภาคสนาม รัฐบาลยังเดินนโยบายเชิงระบบ อาทิ โครงการสินเชื่อชะลอการขายและมาตรการรักษาเสถียรภาพราคาข้าวนาปี 2568/69 เพื่อเสริมสภาพคล่อง–ยืดการขาย และลดแรงเทขายเมื่อผลผลิตออกกระจุกตัว มาตรการชุดนี้ช่วย “คาน” แรงกดราคาจากฝั่งอุปทาน และเชื่อมโยงกับตลาดในระดับจังหวัดอย่างเชียงรายที่กำลังเดินหน้ามาตรการคุมเกมการซื้อขายอย่างใกล้ชิด

กรณีศึกษา “การคุ้มครองเชิงรุก”  เมื่อกฎหมาย + การตรวจสอบ ณ จุดซื้อ ทำงานร่วมกัน

หัวใจสำคัญของการคุ้มครองเกษตรกรคือ “การบังคับใช้กฎหมายเชิงรุก” ไม่ใช่รอให้เกิดปัญหาจึงค่อยแก้ การลงพื้นที่ของเจ้าหน้าที่ชั่งตวงวัดไปยังจุดรับซื้อ ทำให้ “มาตรฐานการซื้อขาย” ถูกยกขึ้นในระดับเดียวกัน ไม่ว่าผู้ซื้อจะเป็นโรงสีรายใหญ่ ผู้รวบรวม หรือผู้ค้ารายย่อย การตรวจเครื่องชั่ง–เครื่องวัดความชื้น และการบังคับ “ป้ายราคารับซื้อ” ตามประกาศ กกร. ทำให้การเอาเปรียบทำได้ยากขึ้น และหากมีการกดราคาโดยไม่เป็นธรรม ก็จะมี “หลักฐาน” สำหรับดำเนินคดีได้ทันที ซึ่งแตกต่างจากอดีตที่ข้อพิพาทมักจบเพียง “คำต่อคำ”

เสียงจากกรมการค้าภายใน

สาระสำคัญจากคำชี้แจงของ นางสาวญาณี ศรีมณี รองอธิบดีกรมการค้าภายใน สะท้อน 3 ประเด็นหลัก

  1. ความต่อเนื่องของการรับซื้อ—สหกรณ์ในพื้นที่ไม่ได้หยุดหรือปฏิเสธการรับซื้อ เพื่อให้ชาวนามั่นใจว่าขายได้จริง
  2. ตลาดนัดข้าวเปลือก—เป็นเครื่องมือเพิ่มอำนาจต่อรอง และสร้างสภาพแข่งขันราคาในช่วงผลผลิตล้น
  3. การคุ้มครองตามกฎหมาย—ส่งเจ้าหน้าที่ตรวจเข้มเครื่องชั่ง–วัดความชื้น–ป้ายราคา และพร้อมดำเนินคดีหากพบการเอาเปรียบ

แม้ข้อความที่สื่อออกมาจะกระชับ แต่หาก “แปลความ” สู่งานภาคสนาม นี่คือการส่งสัญญาณ “รัฐอยู่ตรงหน้าไซโล” ไม่ใช่อยู่แค่หลังโต๊ะ

ข้อเสนอเชิงปฏิบัติสำหรับเกษตรกร ใช้สิทธิ–ลดความเสี่ยง–เพิ่มอำนาจต่อรอง

  • ตรวจสภาพความชื้น ให้ใกล้มาตรฐานที่ตลาดยอมรับ เพื่อไม่ถูกกดราคาระหว่างชั่ง
  • ชั่งน้ำหนักก่อนขาย ที่จุดชั่งอิสระของสหกรณ์ในพื้นที่ เพื่อตรวจสอบความถูกต้อง
  • บันทึกภาพป้ายราคา ณ จุดรับซื้อ พร้อมวัน–เวลา เพื่อเป็นหลักฐานอ้างอิง
  • ขายผ่านตลาดนัดข้าวเปลือก ในวันที่กำหนด เพื่อเปิดเวทีแข่งขันราคาหลายราย
  • ร้องเรียน 1569 เมื่อพบพฤติกรรมเอาเปรียบ หรือพบเครื่องมือชั่ง–วัดไม่ได้มาตรฐาน

ข้อปฏิบัติเหล่านี้สอดรับกับกรอบกฎหมายและมาตรการของรัฐ และสำคัญที่สุดคือ “เกษตรกรต้องมีข้อมูลในมือ” ทุกครั้งก่อนตัดสินใจ

จากฤดูเก็บเกี่ยวนี้ สู่ “ระเบียบวินัยตลาด” ระยะยาว

ปฏิบัติการในเชียงรายวันนี้ คือภาพจำลองของ “วินัยตลาดสินค้าเกษตร” ที่ควรเกิดทั่วประเทศ—ข้อมูลราคาเปิดเผย ตรวจสอบได้ เครื่องมือวัดได้มาตรฐาน ผู้ซื้อ–ผู้ขายรู้สิทธิ–รู้หน้าที่ และรัฐ “เปิดไฟหน้า–ยืนอยู่ในตลาดจริง” เมื่อทั้งห่วงโซ่ทำงานบนกติกาเดียวกัน ผลที่เกิดขึ้นย่อมมากกว่าการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า เพราะจะกลายเป็น “ความคาดหวังใหม่” ของผู้เล่นในตลาด—กติกาที่ชัดเจน ยุติธรรม และทำให้รายได้ของครัวเรือนเกษตร คาดเดาได้มากขึ้น ในทุกฤดูกาล.

 “ขายได้ เป็นธรรม ตรวจสอบได้” ต้องเกิดพร้อมกัน

เรื่องเล่าจากพญาเม็งรายอาจเริ่มจากความกังวลของชาวนา แต่วันนี้กำลังขยายผลเป็นชุดปฏิบัติการเต็มรูปแบบ—สหกรณ์รับซื้อต่อเนื่อง ตลาดนัดข้าวเปลือก 2 ระลอก โรงสีใน–นอกจังหวัดเข้าร่วมแข่งราคา เจ้าหน้าที่ชั่งตวงวัดลงพื้นที่ และ “กรอบกฎหมายใหม่” ที่บังคับให้แสดงราคารับซื้อ ตอกย้ำความโปร่งใส พร้อมบทลงโทษชัดเจน การขับเคลื่อนเช่นนี้ไม่ได้หมายถึงการ “แก้ข่าว” แต่คือการ “แก้ตลาด” ให้เดินได้ด้วยตัวเอง และที่สุดแล้ว “ขายได้–เป็นธรรม–ตรวจสอบได้” จะไม่ใช่แค่สโลแกน หากทุกข้อกำหนดและการบังคับใช้ดำเนินไปอย่างจริงจังในทุกจุดรับซื้อของจังหวัด.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กรมการค้าภายใน
  • สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

เชียงรายสตาร์ทไฮซีซัน! มาตรการ “เที่ยวดี มีคืน” คูณสิทธิ 1.5 เท่า ดันเงินสะพัดชุมชน

เชียงรายสตาร์ทไฮซีซัน “เที่ยวดี มีคืน” เมืองรองคูณ 1.5 เท่า เปิดเกมภาษี–MICE–รัฐเร่งเบิกจ่าย หนุนเงินสะพัดชุมชน

เชียงราย, 22 ตุลาคม 2568 – เชียงรายยืนด่านหน้าฤดูท่องเที่ยวปลายปีอีกครั้ง. มาตรการ “เที่ยวดี มีคืน” ถูกเคาะโดย ครม. เพื่ออัดฉีดกำลังซื้อช่วง 29 ตุลาคม–15 ธันวาคม 2568. เมืองรองได้คูณสิทธิ 1.5 เท่า. ภาคธุรกิจสัมมนาในเชียงรายหักรายจ่ายได้ 2 เท่า. หน่วยงานรัฐถูกตั้ง KPI เร่งเบิกจ่ายอย่างน้อย 60% ภายในมกราคม 2569. สัญญาณทั้งหมดชี้ว่าเม็ดเงินกำลังมุ่งสู่ชุมชน. ผู้ประกอบการต้องพร้อมรับดีมานด์ และชุมชนต้องเป็นเจ้าบ้านที่ดี. มาตรการนี้มีเป้าหมายเป็น Quick Big Win เพื่อให้เศรษฐกิจหมุนทันเวลา. ข้อมูลหลักยืนยันจากหน่วยงานรัฐและสื่อสาธารณะหลากหลายแหล่ง

โครงสร้างมาตรการ 5 คันเร่งหนุนดีมานด์–ซัพพลาย

มาตรการของรัฐแบ่งเป็น 5 แกนหลัก. แกนแรกคือภาษีบุคคลธรรมดาสำหรับค่าที่พักและร้านอาหาร. วงเงินลดหย่อนตามจ่ายจริงไม่เกิน 20,000 บาท. เมืองรองได้คูณ 1.5 เท่า สูงสุด 30,000 บาท. 10,000 บาทแรกใช้ใบกำกับแบบกระดาษหรือ e-Tax ได้. ส่วน 10,000 บาทถัดไป ต้องเป็น e-Tax เท่านั้น. เงื่อนไขครอบคลุมผู้ประกอบการที่อยู่ในระบบ VAT. ส่วนค่าตั๋วเดินทางและของฝากไม่เข้าเกณฑ์. รายละเอียดออกโดยกรมสรรพากรในเอกสารทางการ

แกนที่สองคือมาตรการภาษีนิติบุคคลด้าน MICE. จัดอบรมหรือสัมมนาในจังหวัดท่องเที่ยว “เมืองรอง” หักรายจ่ายได้ 2 เท่า. พื้นที่อื่นหักได้ 1.5 เท่า. นี่คือแรงจูงใจสำคัญให้บริษัทเลือกเชียงราย. แกนที่สามคือเร่งรัดการเบิกจ่ายภาครัฐ. เป้าหมายการใช้จ่ายฝึกอบรม–ประชุม–สัมมนา ปีงบ 2569 ไม่น้อยกว่า 60% ภายในมกราคม 2569. ทั้งหมดถูกสื่อสารโดยหน่วยงานสื่อสารภาครัฐ

แกนที่สี่คือภาษีสนับสนุนการปรับปรุงโรงแรม. อนุญาตให้หักรายจ่ายการต่อเติม เปลี่ยนแปลง หรือขยายพื้นที่ได้ 2 เท่า. ช่วงเวลามาตรการคือ 29 ตุลาคม 2568 ถึง 31 มีนาคม 2569. แกนที่ห้าคือการขยายเวลาลดภาษีกิจการบันเทิงจาก 10% เหลือ 5% อีก 1 ปี. ช่วยเพิ่มสีสันท่องเที่ยวกลางคืนและกิจกรรมผ่อนคลาย

ทำไม “เชียงราย” ได้เปรียบ

เชียงรายคือเมืองปลายทางที่มีเอกลักษณ์. ภูมิประเทศหลากหลายและวัฒนธรรมเข้มข้น. โครงสร้างพื้นฐานท่องเที่ยวเติบโตต่อเนื่อง. ข้อมูลทางการระบุว่า ปี 2566 เชียงรายมีนักท่องเที่ยวกว่า 6.14 ล้านคน. รายได้ท่องเที่ยวทะลุ 46,000 ล้านบาท. ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนศักยภาพฐานลูกค้าจริง. หากผนวกแรงคูณภาษี 1.5 เท่า ดีมานด์ปลายปีนี้จึงมีโอกาสเร่งตัว. หน่วยงานรัฐในพื้นที่ยังยืนยันบทบาทเชียงรายในยุทธศาสตร์ท่องเที่ยว

เมื่อพิจารณาจากนโยบายรัฐปัจจุบัน นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ในฐานะรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นผู้นำคณะขับเคลื่อนมาตรการเศรษฐกิจ. ความเคลื่อนไหวล่าสุดสะท้อนบทบาทเชิงรุกด้านการคลังในเวทีระหว่างประเทศและภายในประเทศ. สอดรับทิศทางนโยบายที่ต้องการผลเร็ว และกระจายโอกาสสู่เมืองรอง

จาก “นโยบาย” สู่ “ชุมชน”

นโยบายจะสำเร็จเมื่อกลไกหน้างานทำงานจริง. ภาพแรกคือครอบครัวจากกรุงเทพฯ. พวกเขาเลือกเชียงรายเพราะต้องการธรรมชาติและศิลปะ. สิทธิภาษีช่วยตัดสินใจเร็วขึ้น. โรงแรมในเมืองรองทำแพ็กเกจที่พักพร้อมอาหารท้องถิ่น. ร้านอาหารเตรียม e-Tax ครบถ้วนเพื่อลูกค้ายื่นภาษีได้ทันที. ทริปสั้นๆ เปลี่ยนเป็น 3 คืน. งบประมาณเฉลี่ยต่อทริปเพิ่ม. เงินกระจายสู่โชห่วยและรถสองแถวในชุมชน.

ภาพต่อมาคือฝ่ายทรัพยากรบุคคลของบริษัทเอกชน. งบสัมมนาปลายปีถูกปรับแผนจากเมืองหลักไปสู่เชียงราย. แพ็กเกจห้องประชุมครึ่งวัน บวกกิจกรรมทีมบิลดิ้งกลางไร่ชา. บริษัทได้หักรายจ่าย 2 เท่า. โรงแรมมีอัตราเข้าพักสูงขึ้น. วิสาหกิจชุมชนได้รับงานจัดกิจกรรมกลางแจ้ง. ผู้ให้บริการท้องถิ่นมีรายได้เพิ่ม.

ภาพสุดท้ายคือองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น. งานอบรมบุคลากรย้ายมาจัดในพื้นที่ตัวเอง. โรงแรมขนาดกลางได้คิวเช่าเต็ม. ผู้ประกอบการรถตู้และร้านอาหารรับอานิสงส์. ระบบ e-Tax เตรียมพร้อม. เมื่อรวมกับ KPI เร่งเบิกจ่าย รายนัดหมายจึงเกิดขึ้นเร็วและถี่. สิ่งเหล่านี้ขับเคลื่อนตัวคูณทางเศรษฐกิจในระดับชุมชน.

เงื่อนไขสำคัญที่ต้องรู้เล่นให้ถูกกติกา ได้สิทธิเต็มจำนวน

ผู้มีเงินได้บุคคลธรรมดาต้องเก็บใบกำกับภาษีให้ครบถ้วน. 10,000 บาทแรก ใช้ใบกำกับแบบกระดาษหรือ e-Tax ได้. 10,000 บาทถัดไป ต้องเป็น e-Tax เท่านั้น. ค่าใช้จ่ายที่นำไปลดหย่อนได้ ครอบคลุมค่าที่พักและค่าบริการร้านอาหารในระบบ VAT. ค่าบริการนำเที่ยวของบริษัททัวร์ที่จดทะเบียนก็เข้าเกณฑ์. ส่วนค่าน้ำมัน ทางด่วน ตั๋วเครื่องบิน และของฝาก ไม่เข้าหลักเกณฑ์. ทั้งหมดอ้างอิงตามประกาศและอินโฟกราฟิกของหน่วยงานรัฐ

นิติบุคคลที่จัดสัมมนาในเชียงราย สามารถหักรายจ่าย 2 เท่า. การวางแผนเอกสารภาษีจึงสำคัญยิ่ง. ฝ่ายบัญชีควรตรวจสอบข้อมูลผู้เสียภาษีบนใบกำกับ. โรงแรม ร้านอาหาร และผู้ให้บริการ ต้องออกเอกสารครบ. การเตรียมระบบ e-Tax ที่ไหลลื่นจะช่วยปิดการขาย. รัฐได้วางเงื่อนไขเวลาชัดเจน จึงควรดำเนินการให้ทันกรอบ

โอกาสของผู้ประกอบการเชียงรายยกระดับสู่มาตรฐานและความยั่งยืน

มาตรการปรับปรุงโรงแรม 2 เท่า เปิดโอกาสลงทุนระยะเร่งด่วน. ผู้ประกอบการควรโฟกัสงานที่ยกระดับประสบการณ์แขก. เช่น ปรับฟังก์ชันห้องพักเพื่อรองรับครอบครัว. พัฒนา Co-working zone สำหรับนักท่องเที่ยวทำงานไกล. ติดตั้งโซลาร์เพื่อลดต้นทุนพลังงานระยะยาว. โรงแรมควรเพิ่มระบบจองตรงพร้อม e-Tax อัตโนมัติ. เมื่อรวมกับส่วนลดภาษีฝั่งลูกค้า ความน่าสนใจจะยิ่งเพิ่ม

ภาคบันเทิงและกิจกรรมกลางคืนได้แรงหนุนจากการลดภาษีเหลือ 5%. ผู้ประกอบการผับ บาร์ และโชว์พื้นเมืองควรจัดตารางการแสดงรองรับไฮซีซัน. ควรประสานงานกับชุมชนเรื่องเสียงและความปลอดภัย. ความสมดุลระหว่างเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตคือหัวใจ. หากบริหารดี เมืองจะ “เที่ยวได้ทั้งปี” อย่างเป็นรูปธรรม

เชียงรายมีฐานแข็ง พร้อมสปริงตัว

ตัวเลขปี 2566 สะท้อนศักยภาพหลักของจังหวัด. นักท่องเที่ยวรวมกว่า 6.14 ล้านคน. รายได้สูงกว่า 46,000 ล้านบาท. อัตราฟื้นตัวหลังวิกฤตเป็นไปอย่างมั่นคง. แนวโน้มปี 2567 ภาคบริการยังขยายตัวเด่น. ปัจจัยคือการกลับมาของกิจกรรมและการเชื่อมโยงคมนาคม. เม็ดเงินท่องเที่ยวช่วยดันค้าปลีกและภาษีมูลค่าเพิ่ม. เมื่อผนวกมาตรการ “เที่ยวดี มีคืน” โอกาสจึงชัดเจน

ข้อมูลระดับประเทศยังชี้ว่าดีมานด์ท่องเที่ยวภายในและต่างประเทศอยู่ในเกณฑ์ดี. นักท่องเที่ยวต่างชาติและไทยเที่ยวไทยยังเป็นเสาหลัก. ภาคเหนือได้แรงขับจากเมืองรองที่เติบโต. เชียงรายได้ประโยชน์จากเทรนด์นี้โดยตรง. ผู้เล่นท้องถิ่นจึงควรวางกลยุทธ์ “ยืดเวลาพำนัก” และ “เพิ่มมูลค่าต่อทริป”

แผนปฏิบัติสำหรับ 8 สัปดาห์ทอง

สัปดาห์ที่ 1–2: โรงแรมจัดแพ็กเกจ “เมืองรอง 1.5 เท่า”. รวมห้องพัก อาหารเช้า เมนูท้องถิ่น และกิจกรรมชุมชน. ออก e-Tax ได้ทันที. ทำสื่อสั้น 15 วินาที เน้นคีย์เวิร์ด “หักภาษีเพิ่มได้”.
สัปดาห์ที่ 3–4: เจาะตลาดองค์กร. เสนอห้องประชุมครึ่งวันพร้อมทีมบิลดิ้ง. จับมือวิสาหกิจชุมชนทำเวิร์กช็อปชา กาแฟ หรืองานคราฟต์. ระบุสิทธิ “หัก 2 เท่า” ให้ชัดเจน.
สัปดาห์ที่ 5–6: จัด “เทศกาลอาหารชุมชน”. โปรโมตผ่านเพจท้องถิ่นและพาร์ตเนอร์ OTA. ทุกบูธออก e-Tax ได้. เชื่อมแผนที่เดินเที่ยวในระยะ 1 กิโลเมตร.
สัปดาห์ที่ 7–8: ผลักดันตลาดครอบครัวและสายสุขภาพ. นำเสนอสปาและออนเซ็นธรรมชาติ. สร้างโปรแกรม “เดินป่าเบาๆ” กับไกด์ชุมชน. ปิดแคมเปญด้วยคอนเสิร์ตท้องถิ่นภายใต้กติกาความปลอดภัย.

เจ้าบ้านที่ดีและกระบอกเสียงที่เชื่อถือได้

ททท. เน้นบทบาท “เจ้าบ้านที่ดี” อย่างต่อเนื่อง. การต้อนรับที่อบอุ่นสร้างประสบการณ์และการกลับมา. ชุมชนควรจัดทำลิสต์แหล่งท่องเที่ยวที่รับผิดชอบ. สื่อท้องถิ่นช่วยคัดกรองข้อมูลที่ถูกต้อง. ผู้ประกอบการควรทำคู่มือ “ใช้สิทธิอย่างไร” แจกลูกค้า. เมื่อข้อมูลครบถ้วน นักท่องเที่ยวจะมั่นใจและใช้สิทธิได้จริง

 

คำกล่าวจากภาครัฐ ทิศทาง–เป้าหมาย–กลไก

ปลัดกระทรวงการคลัง แถลงหลัง ครม. มีมติว่า มาตรการชุดนี้ตั้งเป้ากระตุ้นเศรษฐกิจสั้น และเพิ่มขีดความสามารถระยะยาว. นโยบายเน้นการกระจายพื้นที่ โดยโฟกัสเมืองรอง. โครงสร้างภาษีถูกออกแบบให้จูงใจทุกภาคส่วน. ภาครัฐย้ำกรอบเวลาชัดเจน และย้ำการใช้ e-Tax เพื่อความโปร่งใส. สาระสำคัญถูกสื่อสารผ่านสื่อสาธารณะและเอกสารทางการ

ในมุมการคลังระดับนโยบาย บทบาทรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมีความสำคัญ. ท่าทีเชิงรุกในเวทีระหว่างประเทศย้ำความพร้อมด้านเสถียรภาพ. นี่คือบริบทที่หนุนความเชื่อมั่นนักท่องเที่ยวและนักลงทุน. ความมั่นใจคือหัวใจของการใช้จ่ายปลายปี

ความเสี่ยงที่ต้องบริหาร เอกสาร–ดีมานด์–สมดุลชุมชน

ความเสี่ยงแรกคือเอกสารภาษีไม่ครบ. ผู้ประกอบการต้องกำกับคุณภาพใบกำกับ. ลูกค้าต้องตรวจชื่อ เลขประจำตัวผู้เสียภาษี และวันที่จ่าย. ความเสี่ยงที่สองคือดีมานด์กระจุกในสุดสัปดาห์. โรงแรมควรกระจายโปรโมชันไปวันธรรมดา. เสนอสิทธิพิเศษสำหรับ “สัปดาห์ทำงานยืดหยุ่น”. ความเสี่ยงที่สามคือผลกระทบชุมชนจากการท่องเที่ยวหนาแน่น. ควรจัดการเรื่องเสียงและขยะ. สร้างกติกา “ท่องเที่ยวรับผิดชอบ” ในทุกกิจกรรม.

หน้าต่างเวลาสั้น แต่ผลลัพธ์ยาว

เชียงรายมีฐานท่องเที่ยวแข็งแรงและชุมชนเข้มแข็ง. มาตรการ “เที่ยวดี มีคืน” เติมเชื้อไฟฝั่งดีมานด์. มาตรการภาษี MICE และ KPI เบิกจ่ายภาครัฐ ช่วยย้ำความแน่นอน. ซัพพลายที่ยกระดับมาตรฐานจะรับโอกาสได้เต็มที่. หากทุกฟันเฟืองเดินพร้อมกัน เงินจะหมุนสู่ร้านเล็ก ร้านใหญ่ และครัวเรือน. หน้าต่างเวลา 29 ตุลาคม–15 ธันวาคม 2568 จึงสำคัญยิ่ง. ผู้เกี่ยวข้องควรลงมือทันที. ทำให้สิทธิถูกใช้จริง ทำให้ประสบการณ์ดีจริง. แล้วผลลัพธ์ระยะยาวจะตกผลึกเป็นความเชื่อมั่นต่อแบรนด์ “เชียงราย” ทั้งปี.

เช็กลิสต์ “ใช้สิทธิอย่างมืออาชีพ”

  1. วางแผนเดินทางให้ตรงกรอบเวลา.
  2. เลือกผู้ประกอบการที่อยู่ในระบบ VAT.
  3. เก็บใบกำกับภาษีครบถ้วน โดยเฉพาะ e-Tax ส่วนเกิน 10,000 บาท.
  4. หากเป็นองค์กร ให้ขอใบเสนอราคาและเอกสารภาษีที่สอดคล้อง.
  5. ใช้สิทธิเมืองรองคูณ 1.5 เท่าให้คุ้ม.
  6. ยื่นแบบภาษีช่วง ก.พ.–มี.ค. 2569 พร้อมแนบหลักฐาน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กรมสรรพากร
  • กรมการคลัง
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

ทชร. คว้า “แพลทินัม” ต่อเนื่อง 16 ปีซ้อน AOT ย้ำมาตรฐานความปลอดภัยระดับชาติใน Thailand Safety Award

ทชร. “แพลทินัม” 16 ปีซ้อน—AOT ย้ำมาตรฐานความปลอดภัยระดับชาติ สำนักงานใหญ่–สนามบิน 4 แห่งกวาดรางวัล Thailand Safety Award ประจำปี 2568

เชียงราย, 22 ตุลาคม 2568 – ท่ามกลางการแข่งขันของอุตสาหกรรมการบินที่เข้มข้นและมาตรฐานความปลอดภัยที่ยกระดับขึ้นอย่างต่อเนื่อง ข่าวดีของ จังหวัดเชียงราย ดังขึ้นอีกครั้งเมื่อ ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย (ทชร.) คว้ารางวัล สถานประกอบกิจการดีเด่นด้านความปลอดภัยและอาชีวอนามัย ระดับประเทศ – ระดับแพลทินัม” ต่อเนื่อง ปีที่ 16 ในโครงการ Thailand Safety Award ประจำปี 2568 สะท้อนบทพิสูจน์ความสม่ำเสมอด้านการบริหารความปลอดภัยในสถานปฏิบัติงานที่ไม่ใช่เพียง “ทำได้ครั้งเดียว” แต่ “ทำได้ต่อเนื่องยาวนาน” จนกลายเป็นวัฒนธรรมองค์กร

ขณะเดียวกัน บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) – AOT ในฐานะผู้บริหารสนามบินหลักของประเทศ ก็ประกาศผลงานโดดเด่นระดับองค์กรทั้งเครือ โดย สำนักงานใหญ่ AOT ได้รับรางวัลระดับประเทศ (ระดับทอง) ต่อเนื่อง ปีที่ 2 และยังมีสนามบินในกำกับอีก 4 แห่ง ที่กวาดรางวัล ได้แก่ ท่าอากาศยานหาดใหญ่ (ระดับทอง ปีที่ 5), ท่าอากาศยานเชียงใหม่ (ระดับทอง ปีที่ 3) และ ท่าอากาศยานภูเก็ต (ระดับจังหวัด ปีที่ 2) ตอกย้ำภาพรวมการยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยและอาชีวอนามัยของเครือข่ายสนามบิน AOT อย่างรัดกุมและเป็นระบบ

พิธีรับมอบจัดขึ้นเมื่อ 9 ตุลาคม 2568 โดยมี นาวาอากาศตรี สมชนก เทียมเทียบรัตน์ ที่ปรึกษา 10 และรักษาการรองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ (สายงานมาตรฐานท่าอากาศยานและการบิน) เป็นผู้แทน AOT เข้ารับรางวัลจาก นายบุญธรรม ศรีสมาน ผู้อำนวยการสำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 9 ณ สำนักงานใหญ่ AOT

เล่าเรื่องจาก “รันเวย์เชียงราย” สู่ “รางวัลระดับชาติ”

ในห้วงเวลาที่เชียงรายกำลังเข้าสู่ฤดูกาลท่องเที่ยวปลายปี ภาพของผู้โดยสารที่หลั่งไหลเข้ามาเพื่อสัมผัสลมหนาว ชิมกาแฟดอย และชมดอกไม้ในเทศกาลใหญ่ กลายเป็น “ฉากหลัง” ของงานดูแลความปลอดภัยที่ไม่อาจละสายตาได้แม้แต่วินาทีเดียว—ตั้งแต่เขตลานจอด เครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ ระบบไฟทางวิ่ง ไปจนถึงการปฏิบัติงานของบุคลากรทุกฝ่าย ทชร. ต้องรักษามาตรฐานเหล่านี้ให้ “เข้ม” และ “คงเส้นคงวา” เสมอ

การได้รางวัล แพลทินัม 16 ปีซ้อน ของ ทชร. จึงไม่ใช่เพียงเครื่องหมายเชิดชูเกียรติ แต่เป็นบัญชีสะสมความไว้วางใจที่ชาวเชียงรายและนักท่องเที่ยวทั่วประเทศ “ฝากชีวิต” ไว้กับสนามบินแห่งนี้ตลอดกว่าทศวรรษครึ่ง

สารหลักจากผู้บริหาร AOT (สรุปใจความจากคำชี้แจงหน่วยงาน)

“รางวัลครั้งนี้สะท้อนความเชื่อมั่นของ AOT ว่า ‘บุคลากร’ คือพลังสำคัญในการขับเคลื่อนองค์กรสู่เป้าหมายการเป็นศูนย์กลางการบินของภูมิภาค ภายใต้สภาพแวดล้อมการทำงานที่ปลอดภัย เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และยึดหลักมาตรฐานวิชาชีพ”

ความปลอดภัย–อาชีวอนามัย” ไม่ใช่เอกสาร แต่คือระบบนิเวศการทำงาน

เบื้องหลังรางวัล Thailand Safety Award คือการประเมินความพร้อมหลายมิติ ทั้งด้านนโยบาย ระบบบริหารความปลอดภัย (Safety Management System: SMS) การประเมินความเสี่ยง การป้องกันอุบัติเหตุ การเตรียมความพร้อมรับภาวะฉุกเฉิน การฝึกอบรมและเสริมทักษะบุคลากร ตลอดจนการมีส่วนร่วมของชุมชนรอบสนามบิน

สำหรับ ทชร. ความโดดเด่นคือ วัฒนธรรมความปลอดภัย” (Safety Culture) ที่ถูกทำให้เห็นเป็นรูปธรรม—เช่น การสื่อสารความเสี่ยงแบบข้ามสายงาน, การซ้อมแผนฉุกเฉินร่วมกับทุกหน่วย (การแพทย์–ดับเพลิง–จราจรอากาศ–ความมั่นคง), การทบทวนบทเรียนจากเหตุการณ์ใกล้เคียงอุบัติเหตุ (Near Miss) เพื่อป้องกันการเกิดซ้ำ และการจัดสภาพแวดล้อมการทำงานที่ใส่ใจทั้งความปลอดภัยทางกายภาพและสุขภาพจิตของบุคลากร

ในระดับ AOT ทั้งระบบ ความสำเร็จของสำนักงานใหญ่และสนามบินเครือเดียวกันอีก 3 แห่งบ่งชี้ว่า “นโยบาย” ไม่ได้หยุดอยู่ในเอกสารกลาง แต่ถูกแปลงเป็นแนวปฏิบัติจริง ณ จุดปฏิบัติงาน—ตั้งแต่ลานจอดจนถึงห้องเครื่อง กลายเป็น “โครงข่ายความปลอดภัย” ที่ทำงานสอดประสานกัน

สรุปสถิติรางวัลปี 2568 ภาพรวมความก้าวหน้าของเครือ AOT

องค์กร

ระดับรางวัล

ความต่อเนื่อง

สำนักงานใหญ่ AOT

ระดับประเทศ (ทอง)

ปีที่ 2

ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย (ทชร.)

ระดับประเทศ (แพลทินัม)

ปีที่ 16

ท่าอากาศยานหาดใหญ่

ระดับประเทศ (ทอง)

ปีที่ 5

ท่าอากาศยานเชียงใหม่

ระดับประเทศ (ทอง)

ปีที่ 3

ท่าอากาศยานภูเก็ต

ระดับจังหวัด

ปีที่ 2

ตัวเลขที่ชวนคิด:

  • “16 ปีซ้อน” ของทชร. เท่ากับ เกือบสองทศวรรษ ที่สนามบินแม่ฟ้าหลวงรักษาเสถียรภาพด้านความปลอดภัยอย่างสูงสุด—ยาวนานพอที่จะเห็นการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีสนามบินหลายยุค
  • การที่ สามสนามบินระดับภูมิภาค (เชียงราย–เชียงใหม่–หาดใหญ่) กวาด ระดับประเทศ พร้อมกัน สะท้อนพลังของเครือข่ายสนามบินนอกกรุงเทพฯ ที่ยกระดับขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ไม่ใช่ “ดาวเด่นเดี่ยว” แต่ “เติบโตทั้งพอร์ต”

เหตุใด “สนามบินปลอดภัย” จึงสำคัญต่อจังหวัดและเศรษฐกิจชุมชน

  1. ความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวและสายการบิน – รางวัลความปลอดภัยที่ได้รับต่อเนื่องทำให้เชียงรายมี “ตราประทับความไว้วางใจ” ช่วยดึงดูดสายการบิน–เที่ยวบินพิเศษในฤดูกาลท่องเที่ยว สะท้อนถึงความพร้อมของระบบรองรับการเดินทาง
  2. ต้นทุนโลจิสติกส์และความต่อเนื่องของธุรกิจ – อุบัติเหตุหรือเหตุหยุดชะงักที่สนามบินมีต้นทุนสูงกว่าที่คิด ทั้งต่อผู้โดยสาร ผู้ประกอบการ และภาพลักษณ์ปลายทาง การยกระดับความปลอดภัยจึงเท่ากับ “ประกัน” ความต่อเนื่องของเศรษฐกิจจังหวัด
  3. ความปลอดภัยของบุคลากรและชุมชนรอบสนามบิน – ระบบอาชีวอนามัยที่เข้มแข็งลดอุบัติเหตุหน้างาน ลดการเจ็บป่วยจากการทำงาน และลดความเสี่ยงเหตุรุนแรงที่กระทบพื้นที่โดยรอบ ซึ่งตรงกับความคาดหวังของประชาชนในฐานะ “เพื่อนบ้านสนามบิน”

เชียงรายบนเส้นทาง “สนามบินปลอดภัย–เมืองท่องเที่ยวยั่งยืน”

ความปลอดภัยของสนามบินไม่ได้จำกัดอยู่เพียงเขตรั้วขององค์กร แต่เชื่อมโยงกับ พฤติกรรมของผู้ใช้บริการ และ กิจกรรมในชุมชน โดยรอบ เช่น การเฝ้าระวัง โคมลอย–โดรน–พลุ ในช่วงเทศกาลปลายปีที่อาจคุกคามความปลอดภัยการบิน การที่ทชร. มีระบบรณรงค์ร่วมกับหน่วยงานด้านการบินและชุมชนอย่างต่อเนื่อง จึงเป็น “ภาพต่อเนื่อง” ของวัฒนธรรมความปลอดภัย—จากรันเวย์สู่เมือง

ด้วยเหตุนี้ รางวัลแพลทินัม จึงหมายถึง “ความสำเร็จร่วม” ของทั้งสนามบินและคนเชียงราย ที่ช่วยกันรักษากติกาเพื่อให้การเดินทางปลอดภัยและจังหวัดเดินหน้าสู่การท่องเที่ยวคุณภาพสูง

ถอดบทเรียนความสำเร็จ 4 ปัจจัยที่ทำให้รางวัลยาวนาน

  1. ภาวะผู้นำที่ให้ความสำคัญ – เมื่อผู้บริหาร AOT ย้ำชัดว่า “บุคลากรคือพลังขับเคลื่อน” งบประมาณ–เครื่องมือ–เวลาในการฝึกอบรมด้านความปลอดภัยจึงถูกจัดสรรอย่างเป็นระบบ ไม่ใช่โครงการครั้งคราว
  2. มาตรฐานเดียวกันทั้งเครือ – สำนักงานใหญ่ทำหน้าที่เป็น “ศูนย์มาตรฐาน” ที่ผลักนโยบายสู่สนามบินทุกแห่ง ทำให้รางวัลเกิดในหลายพื้นที่พร้อมกัน
  3. การประเมินและปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง – วงจร Plan–Do–Check–Act ถูกนำมาใช้จริงในงานภาคสนาม ตรวจสอบช่องโหว่และยกระดับอย่างสม่ำเสมอ
  4. การมีส่วนร่วมของผู้ปฏิบัติและชุมชน – ความปลอดภัยไม่ได้เกิดจากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แต่เกิดจากทุกคนในระบบ ทั้งเจ้าหน้าที่ภาคพื้น นักบิน ผู้โดยสาร ผู้ประกอบการร้านค้า ไปจนถึงชุมชนรอบสนามบิน

มุมมองเชิงยุทธศาสตร์ของ AOT  “ศูนย์กลางการบินภูมิภาค” ต้องยืนบนรากฐานความปลอดภัย

การประกาศวิสัยทัศน์สู่ ศูนย์กลางการบินของภูมิภาค จะเป็นได้จริงก็ต่อเมื่อสนามบินหลัก–สนามบินภูมิภาคของไทยมีมาตรฐานความปลอดภัยที่เชื่อถือได้ในระดับสากล รางวัล Thailand Safety Award ที่ได้รับต่อเนื่องหลายปีจึงทำหน้าที่เสมือน “ตัวชี้วัดเงียบ” ว่าองค์กรกำลังเคลื่อนที่ไปในทิศทางนี้อย่างมั่นคง

ในมิติสากล การมีระบบอาชีวอนามัยที่ดี ยังสัมพันธ์กับเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน (SDGs) โดยตรง—ทั้งด้านงานที่มีคุณค่า (SDG8) สุขภาพและความปลอดภัย (SDG3) และโครงสร้างพื้นฐานที่มีความยืดหยุ่น (SDG9) ซึ่งเป็นมาตรฐานที่ธุรกิจการบินทั่วโลกจับตามอง

เสียงสะท้อนจากจังหวัด—รางวัลที่ “จับต้องได้”

สำหรับเชียงราย รางวัลของทชร. สะท้อนกลับมาสู่สิ่งที่จับต้องได้ 3 ด้าน

  • ความมั่นใจของนักท่องเที่ยวฤดูหนาว เที่ยวบินเช่าเหมาลำ–ไฟลต์เสริมมีแนวโน้มตอบรับดีเมื่อสนามบินแสดงศักยภาพด้านความปลอดภัยต่อเนื่อง
  • การเชื่อมต่อการลงทุนท้องถิ่น ผู้ประกอบการโรงแรม–โลจิสติกส์–เกษตรแปรรูป มองเห็น “ความเสถียรของโครงสร้างพื้นฐาน” ในจังหวัด
  • ความภาคภูมิใจของคนทำงาน บุคลากรสนามบินและหน่วยสนับสนุนมีแรงจูงใจสูงขึ้น เมื่อผลงานด้านความปลอดภัยถูกยอมรับระดับประเทศ

คำถามสุดท้ายที่ควรถามต่อ  “หลังจากแพลทินัมปีที่ 16 แล้ว เราจะพัฒนาอย่างไรต่อ?”

รางวัลต่อเนื่องยาวนานคือความสำเร็จ แต่ก็ท้าทายให้คิดต่อว่าจะ “ยกระดับ” อย่างไรในก้าวต่อไป ประเด็นที่น่าจับตา ได้แก่

  • เทคโนโลยีความปลอดภัยเชิงรุก (เช่น เซนเซอร์ IoT ตรวจสอบสภาพเครื่องมือภาคพื้นแบบเรียลไทม์, AI วิเคราะห์ความเสี่ยงการปฏิบัติงาน)
  • การจัดการความเสี่ยงสิ่งแวดล้อมและสภาพอากาศสุดขั้ว ที่อาจกระทบการปฏิบัติการบิน
  • การสร้างทักษะคนรุ่นใหม่ ในสายงานความปลอดภัยการบินที่ต้องผนวกระบบดิจิทัลและการสื่อสารข้ามหน่วยงาน

คำตอบของคำถามเหล่านี้จะเป็น “ฐานรากของปีที่ 17–18–19” และต่อ ๆ ไป ให้ทชร. และเครือ AOT ยังคงรักษามาตรฐานไว้ได้เหนือความคาดหวัง

สรุปเชิงบรรณาธิการ

  1. ข่าวดีของเชียงราย: ทชร. คว้า แพลทินัม 16 ปีซ้อน—นานพอจะสะท้อน “วัฒนธรรมความปลอดภัย” ที่ฝังรากจริง
  2. ข่าวดีของประเทศ: AOT ทั้งเครือ “กวาดรางวัล” ทั้งสำนักงานใหญ่และสนามบินภูมิภาคหลัก ยืนยันระบบบริหารที่มีประสิทธิภาพ
  3. ความหมายต่อเศรษฐกิจ–สังคม: ความปลอดภัยสนามบินคือ “โครงสร้างพื้นฐานทางความเชื่อมั่น” ที่หนุนท่องเที่ยว–โลจิสติกส์–การลงทุน
  4. โจทย์ต่อไป: รักษามาตรฐานพร้อมยกระดับเทคโนโลยี–ทักษะ เพื่อรองรับความเสี่ยงใหม่ ๆ และสนับสนุนวิสัยทัศน์ศูนย์กลางการบินภูมิภาค

เมื่อความปลอดภัยไม่ใช่แค่ “เกณฑ์สอบผ่าน” แต่เป็น “คุณค่าหลักขององค์กร” รางวัลจึงกลายเป็นเพียงผลลัพธ์ปลายทาง ส่วนสิ่งที่คนเชียงรายและผู้โดยสารทุกคนได้รับจริง ๆ คือ ความอุ่นใจบนทุกเที่ยวบินที่ขึ้น–ลง ณ รันเวย์แห่งนี้

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) – AOT
  • สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 9
  • ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย (Mae Fah Luang – Chiang Rai International Airport)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
TOP STORIES

ผู้รับเหมาจีนรุกตลาดไทยแรง เงินลงทุนพุ่ง 21% SCB EIC เตือนรัฐเร่งสกัด “นอมินี”

ผู้รับเหมาจีนรุกตลาดก่อสร้างไทยแรง—เงินลงทุนพุ่งเฉลี่ยปีละ 21% SCB EIC เตือนรัฐเร่งสกัด “นอมินี” สร้างสมดุลเปิดรับต่างชาติปกป้องผู้ประกอบการไทย

ประเทศไทย, 22 ตุลาคม 2568 – กระแสเงินทุนและแรงงานก่อสร้างจากจีนกำลังไหลบ่าเข้าสู่ประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง ภาพที่เห็นชัดคือป้ายโครงการขนาดกลางใหญ่จำนวนมากที่มีรายชื่อบริษัทจีนในฐานะคู่ร่วมทุนหรือผู้รับเหมาหลัก ขณะที่ผู้รับเหมาไทยจำนวนไม่น้อยเริ่มตั้งคำถามว่า “การแข่งขันยุติธรรมเพียงใด” และ “กติกาบ้านเราปกป้องผู้ประกอบการภายในประเทศมากพอหรือยัง”


รายงานล่าสุดของ ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (SCB EIC) วันที่ 18 ตุลาคม 2568 ยืนยันแนวโน้มดังกล่าวด้วยตัวเลข การลงทุนโดยตรงจากจีนในภาคก่อสร้างไทยโตเฉลี่ยสะสม (CAGR) 21% ตลอดปี 2020–2024 และเฉพาะปี 2567 (2024) มีมูลค่า 3,052 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14% จากปีก่อนหน้า ขณะที่การร่วมลงทุนของผู้รับเหมาจีนในกลุ่มอาคารที่ไม่ใช่ที่พักอาศัย คิดเป็น 34% ของมูลค่าร่วมทุนผู้รับเหมาสัญชาติอื่นรวมกัน ณ ก.ย. 2568/2569 และยังเพิ่มขึ้น 21% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน

เมื่อจีน “อ่อนแรงในบ้าน” จึง “มองนอกบ้าน” — ไทยกลายเป็นเป้าหมายสำคัญ

วิกฤตอสังหาริมทรัพย์ในจีนที่ลากยาวตั้งแต่ช่วงโควิด-19 ทำให้กิจกรรมก่อสร้างภายในประเทศจีนชะลอตัว รัฐบาลจีนจึงเร่ง “ทางออกนอกบ้าน” ทั้งผ่านการผลักดันโครงการต่างประเทศภายใต้แนวคิด Belt and Road Initiative (BRI) การสนับสนุนรัฐวิสาหกิจยักษ์ใหญ่ด้านก่อสร้างให้ไปลุยตลาดต่างแดน และการสนับสนุนทางการเงินรูปแบบต่าง ๆ สำหรับผู้รับเหมาของตน


ในเวลาเดียวกัน ประเทศไทย อยู่ในช่วงเดินหน้าโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่และการขยายตัวของเมืองอย่างต่อเนื่อง—ตั้งแต่ระบบราง รถไฟฟ้าภูมิภาค สนามบิน ท่าเรือ คลังสินค้า ไปจนถึงพื้นที่อุตสาหกรรมใหม่—จึงไม่แปลกที่ผู้รับเหมาจีนจะ “ปักหมุด” ประเทศไทยเป็นสนามแข่งขันสำคัญ

รูปแบบที่นิยม ตามรายงาน SCB EIC คือ การร่วมลงทุน (Joint Venture) กับบริษัทไทย โดยเฉพาะกลุ่ม อาคารเพื่อการพาณิชย์ เช่น โรงงาน อาคารสำนักงาน โรงแรม ศูนย์การค้า ท่าอากาศยาน และคลังสินค้า เหตุผลหลักคือผู้รับเหมาจีนต้องการพันธมิตรที่รู้กติการะบบอนุญาตในไทย ขณะที่ผู้ประกอบการไทยต้องการเงินทุน ความเร็ว และเทคโนโลยีการก่อสร้างสมัยใหม่เพื่อแข่งขันในตลาดที่ตึงตัว

ภาพใหญ่ของตัวเลข การเงินโต…แต่ “คุณภาพการแข่งขัน” ต้องถูกตั้งคำถาม

ตัวเลขเติบโต 21% CAGR ในช่วง 5 ปี และการขยายตัว 14% ในปีล่าสุด สะท้อนว่า “เค้กก่อสร้าง” ของไทยมีความน่าดึงดูดและยังขยายได้ แต่การเติบโตดังกล่าวก็มาพร้อมคำถามใหญ่ 3 ข้อที่ SCB EIC กระตุกเตือน

  1. การแข่งขันยุติธรรมหรือไม่  มีสัญญาณ “เสนอราคาต่ำผิดปกติ” เพื่อชนะงาน จากนั้นค่อยบริหารความเสี่ยงด้วยการลดสเปกหรือกดต้นทุนแรงงาน ซึ่งนำไปสู่ปัญหาคุณภาพงาน ความปลอดภัย และความสัมพันธ์กับผู้รับเหมาช่วง
  2. การใช้ “นอมินี” บางกรณีมีการอาศัยผู้ประกอบการไทยเป็นเพียง “นอมินี” เพื่อหลบเลี่ยงข้อจำกัดทางกฎหมายและความรับผิดชอบจริงในโครงการ เมื่อเกิดข้อพิพาทเรื่องมาตรฐานวัสดุ อุบัติเหตุ ความล่าช้า ผู้ว่าจ้างและรัฐกลับหาตัว “ผู้รับผิดชอบจริง” ยากกว่าที่ควร
  3. ความเสี่ยงทิ้งงาน ค้างจ่าย  การเสนอราคาระดับต่ำมากอาจทำให้โครงการเผชิญภาวะขาดทุน สภาพคล่องตึงจนเกิด การทิ้งงาน หรือ ค้างจ่ายค่าจ้าง แก่แรงงานและผู้รับเหมาช่วง สร้าง “ต้นทุนทางสังคม” ที่สูงกว่ามูลค่าโครงการเดิม

ประโยคชวนคิด “ราคาถูกวันนี้ อาจหมายถึงค่าซ่อม ค่าชดเชยที่แพงกว่าในวันหน้า” — แก่นปัญหาที่รายงานของ SCB EIC ต้องการชี้ให้เห็น

เจาะโครงสร้างความเสี่ยง จากไซต์งานถึงระบบนิเวศก่อสร้าง

  • ความปลอดภัยและมาตรฐานวัสดุ
    เมื่องานถูกกดราคาไม่สมเหตุสมผล ความเสี่ยงแรกคือ “ลดสเปก” วัสดุโครงสร้างและระบบความปลอดภัย รายงานเตือนว่ากรณีลักษณะนี้อาจนำไปสู่ “อุบัติเหตุที่ไม่ควรเกิด” ทั้งกับแรงงาน ผู้สัญจร และทรัพย์สินรอบโครงการ
  • ระบบแรงงานและผู้รับเหมาช่วง
    การกดราคาต้นทางส่งผลต่อห่วงโซ่ทั้งระบบ ผู้รับเหมาช่วง แรงงานมักเป็นผู้ “รับแรงกระแทก” ทั้งจากการเจรจาต่อราคาหนัก การค้างจ่าย และภาระความเสี่ยงด้านความปลอดภัยในไซต์งาน
  • ความรับผิดชอบตามกฎหมาย
    โครงสร้าง “นอมินี” ทำให้การติดตามความรับผิดหลังเกิดเหตุทำได้ยาก ผลคือการเยียวยา ซ่อมแซมล่าช้า และความเชื่อมั่นของตลาด ชุมชนโดยรอบลดลง

ทางรอดฝั่งไทย แข่งด้วย “คุณภาพ+เทคโนโลยี” และสร้าง “กติกาแฟร์”

รายงานของ SCB EIC ไม่ได้หยุดที่การเตือน แต่เสนอ สองแกนยุทธศาสตร์ ได้แก่ (1) ยกระดับศักยภาพผู้รับเหมาไทยด้วยเทคโนโลยี และ (2) ให้ภาครัฐวางกติกาที่สร้างสมดุลระหว่างการดึงดูดต่างชาติและการปกป้องผู้ประกอบการภายในประเทศ

1) ยกระดับเทคโนโลยี—ขยับ Productivity ให้ชนะ “สงครามราคา”

เครื่องมือที่ถูกชี้เป้าชัด ได้แก่

  • BIM (Building Information Modeling)  ทำให้การออกแบบปริมาณงานการประสานแบบของทุกวิชาเป็นแพลตฟอร์มเดียว ลดความผิดพลาดหน้างานและเคลมงาน
  • Prefabrication / Modular Construction   ย้ายงานจากไซต์ไปโรงงาน ลดเวลา ของเสีย ความเสี่ยงด้านความปลอดภัย
  • AI / Data Analytics   วางแผนทรัพยากร ควบคุมตารางงาน และคาดการณ์ความเสี่ยงล่วงหน้า
  • Drone / LiDAR / เซนเซอร์ความปลอดภัย   ตรวจความก้าวหน้า คุณภาพความปลอดภัยแบบเรียลไทม์
  • 3D Printing / หุ่นยนต์ก่อสร้าง  สำหรับชิ้นงานซ้ำ ๆ และพื้นที่เสี่ยง ช่วยลดการพึ่งพาแรงงาน

ประโยชน์ตรงคือ เพิ่มประสิทธิภาพลดต้นทุนผิดฝั่ง (ของเสีย/งานแก้/ดีเลย์) จนทำให้ผู้รับเหมาไทย “แข่งขันแบบคุณภาพ” ได้ ไม่ต้อง “ตัดราคา” เพื่อแย่งงาน

2) กติกาภาครัฐ—รับต่างชาติอย่างมี “เงื่อนไขถ่ายทอด”

SCB EIC ชี้ว่ารัฐควรสร้าง “สมดุล” ระหว่างการเปิดรับผู้รับเหมาต่างชาติที่นำเงินเทคโนโลยีมาตรฐานใหม่เข้ามา กับการ ปกป้องฐานอุตสาหกรรมในประเทศ ผ่านมาตรการเชิงหลักการ 5 ข้อ

  1. บังคับ JV อย่างมีความหมาย  โครงการระดับหนึ่งควรกำหนดการ ร่วมลงทุนกับผู้รับเหมาไทย ไม่ใช่เพียง “ชื่อ” แต่ต้องมีสัดส่วนงานจริงและถ่ายทอดองค์ความรู้
  2. ข้อกำหนดถ่ายทอดเทคโนโลยี  ผูก “ตัวชี้วัดการถ่ายทอด” เข้ากับสัญญา เช่น จำนวนช่างเทคนิคที่ได้รับอบรม BIM/Prefabrication/มาตรฐานความปลอดภัย
  3. การใช้แรงงานไทยและวัสดุภายในประเทศ  สร้างมูลค่าเพิ่มในห่วงโซ่ไทย พร้อมเงื่อนไขยืดหยุ่นตามความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง
  4. เข้มงวดโครงสร้าง “นอมินี” ตรวจสอบผู้รับผิดชอบแท้จริง ตั้ง “บทลงโทษ” ชัดเจน และให้ผู้ควบคุมงาน/ที่ปรึกษาไทยมีอำนาจรายงานสั่งแก้
  5. คุมข้อเสนอราคาต่ำผิดปกติ  นำแนวทาง “Abnormally Low Bid” มาใช้จริงจัง กำหนดหลักฐานต้นทุนวิธีการก่อสร้างรองรับก่อนให้เซ็นสัญญา

เปิดรับต่างชาติได้—แต่ต้อง “รับอย่างฉลาด” ให้เกิด การยกระดับ อุตสาหกรรมไทยทั้งระบบ ไม่ใช่เพียงการว่าจ้างราคาถูก

เลนส์ระดับพื้นที่ โอกาสความเสี่ยงในจังหวัดท่องเที่ยวและหัวเมืองอุตสาหกรรม

แม้ตัวเลขการลงทุนเป็นภาพระดับประเทศ แต่ผลกระทบ “ตกตะกอน” ลงสู่ หัวเมืองชั้นสอง–สาม ที่กำลังขยายตัวแรง ทั้งเมืองท่องเที่ยวโลจิสติกส์ชายแดน และนิคมอุตสาหกรรมเกิดใหม่ ตัวอย่างเช่น

  • ภาคเหนือ เมืองท่องเที่ยว/ชายแดนบางแห่งเริ่มมีโครงการโรงแรมคลังสินค้า ศูนย์กระจายสินค้า ที่ใช้ผู้รับเหมาจีนร่วมกับผู้ประกอบการไทย
  • ภาคตะวันออก/อีอีซี โครงการโรงงาน คลังสินค้าอัจฉริยะมีแนวโน้มใช้เทคโนโลยีก่อสร้างสำเร็จรูปและผู้รับเหมาจากต่างชาติที่เชี่ยวชาญระบบอัตโนมัติ

โอกาสคือ เทคโนโลยี มาตรฐานใหม่ จะเข้ามาเร็วขึ้นพร้อมเงินทุน แต่ความเสี่ยงคือ ระบบกำกับดูแลท้องถิ่น ต้องตามทัน ทั้งด้าน ความปลอดภัยไซต์งาน สิ่งแวดล้อม และความสัมพันธ์แรงงาน หากปล่อยให้โครงการขยายตัวโดยกติกาหลวม บังคับใช้ไม่ทั่วถึง ปัญหาทิ้งงาน ค้างจ่าย ความเสียหายโครงสร้างพื้นฐานจะตามมาในที่สุด

เคสตัวอย่างเชิงนโยบาย (จากข้อเสนอของรายงาน) ทำให้ “กติกามีฟัน”

เพื่อให้ข้อเสนอไม่หยุดอยู่บนกระดาษ รายงานเสนอ “เครื่องมือปฏิบัติ” ที่รัฐและผู้ว่าจ้าง (โดยเฉพาะภาครัฐ) สามารถหยิบใช้ได้ทันที ได้แก่

  • สเปกสัญญาแบบผูก KPI การถ่ายทอด  ระบุจำนวนชั่วโมงอบรม/ตำแหน่งงานเทคนิคของคนไทยที่ต้องถูกยกระดับทักษะ พร้อมกลไกตรวจรับ
  • ระบบ e-Procurement ตรวจข้อเสนอราคาต่ำผิดปกติ  หากราคาต่ำกว่าเกณฑ์ ให้ผู้เสนอแนบ “แผนเทคนิค ทรัพยากร ตารางงาน ที่มาของวัสดุ” เพื่อพิสูจน์ความเป็นไปได้
  • บัญชีรายชื่อผู้รับเหมาช่วงที่ผ่านคุณสมบัติ   ลดการว่าจ้าง “ผู้รับเหมาช่วงลับ” ที่ไม่มีมาตรฐานและทำให้การควบคุมปลายทางล้มเหลว
  • กองทุนค้ำประกันแรงงาน/ผู้รับเหมาช่วง  สำรองเพื่อจ่ายกรณีค้างค่าจ้างจากการทิ้งงาน แล้วไปไล่เบี้ยกับผู้รับเหมาหลักภายหลัง
  • บูรณาการตรวจไซต์ร่วม ระหว่าง ผู้ว่าจ้าง วิศวกรรมสถาน หน่วยงานท้องที่ ผูกกับแผนความปลอดภัย/สิ่งแวดล้อมเชิงรุก

มุมของผู้ประกอบการไทย “ปรับก่อนถูกปรับออกข้างสนาม”

แม้การแข่งขันจะเข้มขึ้น แต่ทางรอดของผู้รับเหมาไทยไม่ได้ปิดตาย รายงานชี้ “สามทิศทาง” ที่ควรปรับโดยเร็ว

  1. เชี่ยวชาญเฉพาะทาง   เลือกนิชที่มีความต้องการสูง เช่น ระบบอาคารประหยัดพลังงาน งานคลีนรูม โรงงานอัตโนมัติ โครงสร้างเหล็กสำเร็จรูป
  2. มาตรฐาน ความปลอดภัย ความตรงเวลา   ทำให้เป็น “จุดขาย” ด้วยการรับรองมาตรฐานสากลและการใช้ดิจิทัลไซต์
  3. พันธมิตรเชิงกลยุทธ์   หากต้อง JV ให้เลือกคู่ที่เสริมกันจริง มีสัญญาถ่ายทอดเทคโนโลยีและเปิดพื้นที่ให้ทีมไทยได้ลงมือ ไม่ใช่เพียงถือหุ้นเชิงสัญลักษณ์

ผลที่ได้คือ ความสามารถชนะงานคุณภาพ ไม่ต้องพึ่งการกดราคา และลดความเสี่ยงทางการเงินในระยะยาว

สรุปภาพรวม “เปิดประเทศได้ แต่ต้องเปิดอย่างรู้เท่าทัน”

  • ข้อเท็จจริง: เงินลงทุนผู้รับเหมาจีนในไทย โตแรงและยังโตต่อ   21% CAGR (2020–2024), ปี 2567 อยู่ที่ 3,052 ล้านบาท (+14%YoY), สัดส่วน JV ในอาคารไม่ใช่ที่พักอาศัย 34% ณ ก.ย. 2568/2569
  • ข้อท้าทาย: ความเสี่ยง นอมินี ข้อเสนอราคาต่ำผิดปกติ คุณภาพงาน ทิ้งงาน ค้างจ่าย
  • ทางออก: รัฐ ออกกติกา “ถ่ายทอด ใช้แรงงานไทย วัสดุไทย คุม ALB ปราบนอมินี” / เอกชนไทย ยกระดับด้วย BIM Prefab AI หุ่นยนต์ Drone และเลือก JV ที่มีความหมาย

ถ้าทำได้ “เม็ดเงินต่างชาติ” จะกลายเป็น “เครื่องเร่งการยกระดับอุตสาหกรรมก่อสร้างไทย” แทนที่จะเป็นแรงกดดันที่ทำให้ผู้ประกอบการไทยถอยหลัง

ตัวเลขสำคัญจากรายงาน SCB EIC (เผยแพร่ 18 ต.ค. 2568)

  • การลงทุนโดยตรงจากจีนในภาคก่อสร้างไทย (2020–2024): CAGR 21%
  • ปี 2567 (2024): 3,052 ล้านบาท เพิ่ม 14% จากปี 2566
  • สัดส่วนมูลค่า JV ของผู้รับเหมาจีน ในกลุ่มอาคารที่ไม่ใช่ที่พักอาศัย เมื่อเทียบกับผู้รับเหมาสัญชาติอื่นรวมกัน ณ ก.ย. 2568/2569: 34% (+21% จากปีก่อน)
  • ความเสี่ยงหลัก: การใช้ “นอมินี”, เสนอราคาต่ำผิดปกติ, ทิ้งงานค้างจ่าย, มาตรฐานวัสดุความปลอดภัย

 

การเข้ามาของผู้รับเหมาจีนเป็น “ความจริงใหม่” ของตลาดก่อสร้างไทย จะปิดประเทศก็ไม่ได้ จะปล่อยเสรีจนระบบเสียสมดุลก็ไม่ควร ทางออกมีเพียง การออกแบบกติกาที่ทันยุค และ ยกระดับผู้เล่นในประเทศ ให้แข่งขันได้ในสนามสากล
หากรัฐทำให้ “ทุกบาทของเงินลงทุนจากต่างชาติ” ผูกกับ “การถ่ายทอดความรู้ให้คนไทย” และ “การสร้างมูลค่าในห่วงโซ่ไทย” ในขณะที่เอกชนไทย “ลงทุนในเทคโนโลยีมาตรฐานคน” อย่างจริงจัง ภาพฝัน “อุตสาหกรรมก่อสร้างไทยคุณภาพสูง ปลอดภัย ตรงเวลา ต้นทุนเหมาะสม” ก็จะไม่ไกลเกินเอื้อม

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (SCB EIC)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ENVIRONMENT

วิกฤตแม่น้ำกก-โขงปนเปื้อนพิษเหมืองแร่หายากเมียนมา ภัยคุกคามมูลค่า 1.3 พันล้านบาท

วิกฤตการณ์ข้ามพรมแดน แม่น้ำกก-โขงปนเปื้อนพิษเหมืองแร่หายากเมียนมา ภัยคุกคาม 1.3 พันล้านบาท และคำถามถึงความรับผิดชอบในห่วงโซ่อุปทานโลก

เชียงราย, 21 ตุลาคม 2568 –  ท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคเศรษฐกิจดิจิทัลและพลังงานสะอาด ที่ขับเคลื่อนด้วย ‘แร่หายาก’ (Rare Earth Minerals) ซึ่งเป็นวัตถุดิบยุทธศาสตร์สำคัญ ภาคเหนือของประเทศไทย โดยเฉพาะในพื้นที่จังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่ กำลังเผชิญหน้ากับวิกฤตสิ่งแวดล้อมข้ามพรมแดนครั้งร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ การเร่งรัดการทำเหมืองแร่หายากอย่างขาดการควบคุมดูแลในรัฐฉานและรัฐกะฉิ่นของประเทศเมียนมา ได้ส่งผลให้แม่น้ำสายหลักของชาติ อาทิ แม่น้ำกก แม่น้ำสาย และแม่น้ำรวก ปนเปื้อนด้วยสารพิษและโลหะหนักในระดับอันตราย สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจแก่ประเทศไทยแล้วกว่า 1.3 พันล้านบาท (40 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) และนำมาซึ่งความกังวลอย่างยิ่งยวดต่อความมั่นคงทางสุขภาพและความมั่นคงทางอาหารของชุมชนปลายน้ำในประเทศไทย ลาว กัมพูชา และเวียดนาม

รายงานข่าวเชิงลึกฉบับนี้ จะพาไปสำรวจถึงความรุนแรงของวิกฤตการณ์ที่กำลังคุกคามชีวิตและระบบนิเวศในอนุภูมิภาค พร้อมทั้งวิเคราะห์ถึงแรงกดดันจากภาคประชาชนต่อรัฐบาลไทยที่ยังคง “ไร้ความคืบหน้า” ในการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม

การขยายตัวของภัยพิบัติที่พุ่งสูง 513 แหล่งเหมืองที่คุกคามลุ่มน้ำโขง

ข้อมูลล่าสุดจากศูนย์วิจัย Stimson Center ซึ่งเป็นคลังสมองที่ไม่แสวงหาผลกำไร เผยให้เห็นภาพความรุนแรงของการขยายตัวของการทำเหมืองแร่หายากในเมียนมาอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน ข้อมูลภาพถ่ายดาวเทียมระบุว่า ตลอดช่วง 10 ปีที่ผ่านมา มีการค้นพบ แหล่งเหมืองแร่หายากมากถึง 513 แห่ง กระจายตัวอยู่ในลุ่มน้ำสาขาที่ไหลลงสู่แม่น้ำโขง แม่น้ำสาละวิน และแม่น้ำอิรวดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปี 2568 เพียงปีเดียว มีการประเมินว่ามีแหล่งเหมืองใหม่เปิดเพิ่มขึ้นถึง 40 แห่ง ตัวเลขดังกล่าวถือว่าสูงกว่าที่เคยมีการคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้อย่างมาก และสะท้อนถึงความเสี่ยงของการปนเปื้อนข้ามพรมแดนที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

การขยายตัวของเหมืองแร่เหล่านี้มีปัจจัยหลักมาจากความต้องการแร่หายากของโลกที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับมาตรการควบคุมที่เข้มงวดขึ้นของรัฐบาลจีนต่อเหมืองภายในประเทศ ทำให้เมียนมาซึ่งอยู่ภายใต้ภาวะความขัดแย้งและการกำกับดูแลที่หย่อนยานนับตั้งแต่การรัฐประหารในปี 2564 กลายเป็นแหล่งวัตถุดิบสำคัญในการเติมเต็มช่องว่างในห่วงโซ่อุปทานของจีน

ต้นทุนที่มองไม่เห็น ของเสียพิษ 2,000 ตันต่อแร่ 1 ตัน

กระบวนการสกัดแร่หายากในรัฐฉานและรัฐกะฉิ่นของเมียนมานั้น ส่วนใหญ่ใช้วิธีที่เรียกว่า การชะล้างเฉพาะที่ (in-situ leaching) ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับการทำแฟรกกิง (fracking) คือการฉีดสารละลายเคมีเข้มข้นลงไปใต้ดินผ่านบ่อชะล้าง เพื่อละลายแร่ธาตุที่ผสมอยู่ในดินให้กลายเป็นสารละลายแล้วจึงสูบขึ้นมาเก็บไว้

กระบวนการนี้ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่รุนแรงอย่างไม่อาจยอมรับได้

  • มีรายงานที่น่าตกใจว่า การสกัดแร่หายากทุก 1 ตัน จะก่อให้เกิดของเสียที่เป็นพิษโดยเฉลี่ย 2,000 ตัน ซึ่งรวมถึงน้ำเสียที่เป็นกรดประมาณ 200 ลูกบาศก์เมตร (ราว 53,000 แกลลอน) หรือ 75 ลูกบาศก์เมตร (เกือบ 20,000 แกลลอน) และกากของเสียที่ปนเปื้อนกัมมันตรังสีได้ถึง 1–1.4 ตัน
  • เมื่อการทำเหมืองในภูเขาลูกหนึ่งเสร็จสิ้นลงในระยะเวลาประมาณสามปี บ่อเก็บน้ำเสียที่เต็มไปด้วยสารเคมีอันตรายเหล่านี้ก็จะถูกทอดทิ้งไว้ ในช่วงฤดูมรสุม ปริมาณน้ำฝนที่เพิ่มขึ้นจะทำให้น้ำเสียล้นออกจากบ่อและไหลเข้าสู่ลำธารและแม่น้ำสายหลักในบริเวณด้านล่าง มลพิษเหล่านี้จึงถูกพัดพาข้ามพรมแดนลงสู่พื้นที่ปลายน้ำของประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง
  • สารพิษที่ถูกตรวจพบ ได้แก่ สารหนู (Arsenic), ไซยาไนด์ (Cyanide), ปรอท (Mercury), ตะกั่ว (Lead), แคดเมียม (Cadmium) และโลหะหนักอื่น ๆ

นายไบรอัน ไอยเลอร์ (Brian Eyler) ผู้อำนวยการโครงการเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของ Stimson Center ผู้ทำการวิจัยเรื่องนี้ ได้กล่าวเน้นย้ำถึงอันตรายของการปนเปื้อนในพื้นที่ภาคเหนือของไทยว่า “โคลนเหนียว ๆ ที่ท่วมพื้นที่บางส่วนของภาคเหนือของไทยหลังฝนตกหนัก คือสิ่งแรกที่ทีมของผมพบว่ามีการปนเปื้อนในแม่น้ำกก” และเสริมว่า แม่น้ำสายมีระดับมลพิษที่รุนแรงที่สุดเมื่อเทียบกับแม่น้ำกก

แผลพุพองและปลาตาย ผลกระทบต่อชีวิตและสุขภาพในเชียงราย

ผลกระทบทางนิเวศวิทยาจากเหมืองเมียนมาได้แปรเปลี่ยนเป็นวิกฤตสาธารณสุขและความเดือดร้อนทางเศรษฐกิจที่รุนแรงในชุมชนไทย

วิกฤตน้ำอุปโภคบริโภค ชุมชนในอำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ และอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ต้องพึ่งพาแม่น้ำกกและแม่น้ำสายเป็นแหล่งน้ำดิบหลักในการผลิตน้ำประปาเพื่อการบริโภคและใช้ในครัวเรือน การปนเปื้อนที่เกิดขึ้นสร้างความหวาดกลัวอย่างลึกซึ้งให้กับประชาชน อาจารย์ ดร. สืบสกุล กิจนุกร จากมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย ได้เปิดเผยข้อมูลที่น่าตกใจจากการตรวจสอบน้ำเมื่อช่วงต้นปี 2568 ว่า ผลการทดสอบพบว่ามีการปนเปื้อนของ สารหนูในระดับที่เกินกว่าค่ามาตรฐานสูงสุดตามกฎหมายในทุกจุดที่เก็บตัวอย่าง โดยบางจุดเกินกว่าค่ามาตรฐานถึง 19 เท่า แม้ว่าภายหลังโรงงานผลิตน้ำประปาในเชียงรายหลายแห่งจะต้องหันไปใช้น้ำจากแหล่งน้ำภายในประเทศที่สะอาดกว่าเพื่อหลีกเลี่ยงแม่น้ำกก แต่ชุมชนที่ไม่ได้อยู่ในเขตประปาหลักยังคงต้องใช้น้ำจากแหล่งน้ำที่ปนเปื้อนเพื่อดื่ม ล้าง และว่ายน้ำ ซึ่งนำไปสู่รายงานการเกิด ผื่นคันตามผิวหนัง รวมถึงมีรายงาน ปลาตาย และปลาในแม่น้ำกกมีบาดแผลตามผิวหนัง

ภัยเงียบต่อสุขภาพระยะยาว ดร. สืบสกุล ยังได้เน้นย้ำถึงประเด็นที่ทางการอาจมองข้าม นั่นคือ การสะสมของสารพิษในร่างกายมนุษย์ “ทางการไทยยึดตามค่าสูงสุดที่อนุญาตให้มีสารหนูและโลหะหนักอื่น ๆ ในน้ำได้ หากค่าต่ำกว่าก็ถือว่าปลอดภัย แต่สารหนู ปรอท และตะกั่ว สามารถสะสมในร่างกายและในระยะยาวอาจนำไปสู่โรคมะเร็งและโรคอันตรายอื่น ๆ ได้”

การทำลายฐานเศรษฐกิจท้องถิ่น มลพิษได้สร้างผลกระทบอย่างตรงไปตรงมาต่อเสาหลักทางเศรษฐกิจของภาคเหนือ

  • อุตสาหกรรมการประมง นายเดช นวลใส (Det Nuansai) ชาวประมงวัย 57 ปีในบ้านปากอิง ริมแม่น้ำโขง กล่าวด้วยความท้อแท้ว่า “ผมอาจจะพูดได้ว่า ‘ผมเคยขายปลาของเขา’ ปลาแม่น้ำโขงเคยเป็นปลาที่คนต้องการมากที่สุดและแพงที่สุด แต่ ไม่มีใครอยากซื้อปลาจากแม่น้ำสายนี้อีกแล้ว ทุกคนกลัวว่าปลาจะเต็มไปด้วยสารหนูและสารเคมี”
  • ความมั่นคงทางอาหารและการเกษตร สารเคมีได้ไหลเข้าสู่พื้นที่เกษตรกรรมกว่า 100,000 ไร่ในจังหวัดเชียงราย ที่ทำการเกษตรโดยใช้น้ำจากแม่น้ำกก แม่น้ำสาย และแม่น้ำรวก มีความกังวลว่าโลหะหนักจะปนเปื้อนในผลผลิตทางการเกษตร โดยเฉพาะ ข้าวนาปี ที่กำลังจะเก็บเกี่ยวในช่วงปลายเดือนตุลาคมถึงพฤศจิกายนนี้
  • ผลกระทบต่อการส่งออก ญี่ปุ่นได้ดำเนินการสั่งห้ามนำเข้า ถั่วแระญี่ปุ่น (Edamame) ที่มาจากพื้นที่นี้เนื่องจากพบการปนเปื้อนสารเคมี และ พริกแดง ก็กำลังเผชิญกับความเสี่ยงที่จะถูกห้ามนำเข้าเช่นกัน

ภาครัฐกับความนิ่งเฉย เสียงเรียกร้อง 10 ข้อที่ยังไร้การตอบสนอง

ท่ามกลางวิกฤตที่ทวีความรุนแรงขึ้น ภาคประชาชนโดยการนำของ เครือข่ายประชาชนปกป้องแม่น้ำกก สาย รวก โขง ได้ก้าวเข้ามาเติมเต็มช่องว่างที่รัฐบาลยังคงตอบสนองต่อปัญหาอย่างล่าช้าและขาดการสื่อสาร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ภายหลังจากที่รัฐบาลชุดใหม่ได้รับทราบปัญหาอย่างเป็นทางการแล้ว

เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2568 อาจารย์ ดร. สืบสกุล กิจนุกร ได้ยื่นหนังสือเปิดผนึกถึงนายกรัฐมนตรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล และรองนายกรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง โดยมีเนื้อหาสำคัญคือการวิพากษ์วิจารณ์ถึง “ความนิ่งเฉย” และ “ความไม่คืบหน้า” ในการแก้ไขปัญหานี้อย่างเป็นรูปธรรม

ไทม์ไลน์คำสัญญาที่ยังไม่เป็นจริง

เครือข่ายประชาชนฯ ได้ส่งข้อเสนอ 10 ข้อให้รัฐบาลใหม่ดำเนินการภายใน 4 เดือน ตั้งแต่วันที่ 3 ตุลาคม 2568

  1. วันที่ 9 ตุลาคม 2568 นายสุชาติ ชมกลิ่น รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้ลงพื้นที่รับฟังปัญหา พร้อมรับปากว่าจะจัดสรรงบประมาณ 1,000 ล้านบาท เพื่อจัดหาแหล่งน้ำดิบใหม่ทดแทนแม่น้ำกกในการผลิตน้ำประปา
  2. วันที่ 11 ตุลาคม 2568 ร.อ. ธรรมนัส พรมเผ่า รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ยืนยันว่าจะเจรจากับผู้ประกอบการเหมืองในรัฐฉาน และจะนำประเด็นนี้เข้าพิจารณาในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี

อย่างไรก็ตาม จนถึงปัจจุบัน (21 ตุลาคม 2568) อาจารย์สืบสกุลชี้ว่ายังไม่มีความคืบหน้าใด ๆ ที่เป็นรูปธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ยังไม่มีการดำเนินการตรวจสอบสารโลหะหนักในผลผลิตข้าวนาปีกว่า 100,000 ไร่ ในจังหวัดเชียงราย ซึ่งเป็นช่วงเวลาสำคัญก่อนการเก็บเกี่ยว

นอกจากนี้ การตรวจสอบสารปนเปื้อนของหน่วยงานรัฐยังจำกัดวงแคบเกินไป โดยครอบคลุมเฉพาะพื้นที่ในจังหวัดเชียงราย ทั้งที่ปัญหาแผ่ขยายไปยังจังหวัดเชียงใหม่ด้วย

ข้อเรียกร้องเชิงยุทธศาสตร์ หยุดนำเข้าแร่และเปิดโต๊ะเจรจาจีน

ในบรรดาข้อเสนอ 10 ข้อของภาคประชาชน มีประเด็นเชิงนโยบายและยุทธศาสตร์ที่สำคัญอย่างยิ่งต่อการแก้ไขปัญหามลพิษข้ามพรมแดน

  1. ยุติการนำเข้าแร่จากเมียนมา (ข้อ 5) เครือข่ายประชาชนเรียกร้องให้ ยุติการนำเข้าแร่ทุกชนิดจากเมียนมา จนกว่าผู้นำเข้าจะสามารถพิสูจน์ได้ว่าแร่ดังกล่าวไม่ได้มาจากเหมืองที่ก่อให้เกิดมลพิษในแม่น้ำ ข้อเรียกร้องนี้มีความหนักแน่นยิ่งขึ้น เมื่อรายงานจากสำนักงานศุลกากรภาค 3 เผยตัวเลขที่น่าฉงนว่า ในปี 2568 เอกชนไทยกว่า 40 ราย ได้นำเข้าสินแร่ผ่านด่านชายแดนภาคเหนือ 4 จังหวัด รวมมูลค่าสูงถึง 9,825.92 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปี 2567 กว่า 7,714.31 ล้านบาท ขณะที่รัฐบาลกลางเมียนมาอ้างว่าไม่เคยอนุญาตให้มีการส่งออกแร่ในรัฐฉานเลย คำถามคือ แร่มูลค่าเกือบหนึ่งหมื่นล้านบาทนี้มาจากเหมืองที่ก่อมลพิษข้ามพรมแดนหรือไม่ และผู้นำเข้ามีหน้าที่ต้องแสดงแหล่งกำเนิดที่ชัดเจน
  2. เจรจาระดับภูมิภาค (ข้อ 8) เรียกร้องให้รัฐบาลไทย เปิดเวทีเจรจาอย่างเป็นทางการกับประเทศเมียนมาและจีน เพื่อเรียกร้องให้ทั้งสองประเทศตระหนักและรับผิดชอบต่อมลพิษที่ส่งผลกระทบต่อประชาชนในประเทศไทย

“ยุทธศาสตร์ย้อนรอยห่วงโซ่อุปทาน” เพื่อกดดันมหาอำนาจโลก

นักวิชาการหลายฝ่ายต่างชี้ตรงกันว่า กุญแจสำคัญในการแก้ปัญหานี้อยู่ที่ ประเทศจีน เนื่องจากจีนครอบงำตลาดแร่หายากของโลกอย่างเบ็ดเสร็จ โดยเป็นผู้สกัดแร่แรร์เอิร์ธร้อยละ 60 และเป็นผู้แปรรูปหรือกลั่นแร่ขั้นสุดท้ายถึง ร้อยละ 87 ของปริมาณแรร์เอิร์ธทั่วโลก

มีการเสนอแนะให้รัฐบาลไทยใช้ ยุทธศาสตร์ย้อนรอยห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain Traceability) เพื่อใช้เวทีการเจรจาระดับภูมิภาค เช่น การประชุมผู้นำความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง (MLC Leaders’ Meeting) ซึ่งมีกำหนดจัดขึ้นที่กรุงเทพฯ ปลายปี 2568 นี้ ในการกดดันจีนให้ตรวจสอบความเสี่ยงของห่วงโซ่อุปทานแร่หายากในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง

แม้จีนจะปฏิเสธการเกี่ยวข้องโดยตรงในพื้นที่เหมืองที่ไร้การควบคุมของเมียนมา แต่ข้อเท็จจริงทางยุทธศาสตร์คือ แร่แรร์เอิร์ธจำนวนมหาศาลที่ถูกขุดจากเมียนมานั้น จำเป็นต้องถูกส่งกลับไปกลั่นขั้นสุดท้ายในประเทศจีน เนื่องจากประเทศส่วนใหญ่ยังไม่มีศักยภาพทางเทคนิคในการแปรรูปแร่ให้กลายเป็นออกไซด์ที่พร้อมใช้งานได้

ความพยายามของจีนในการกุมอำนาจในห่วงโซ่อุปทานนี้ถูกตอกย้ำด้วยการที่จีนประกาศห้ามการส่งออกเทคโนโลยีที่ใช้ในการแปรรูปแร่เหล่านี้ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2566 การใช้ยุทธศาสตร์ที่แข็งกร้าวของไทยในการเรียกร้องให้จีนรับผิดชอบในฐานะผู้ครอบงำตลาด (concentration risk) จึงเป็นแนวทางเดียวที่จะปกป้องสิทธิของประชาชนในการมีชีวิตในสิ่งแวดล้อมที่ดี

บทสรุปและความเร่งด่วน

วิกฤตมลพิษเหมืองแร่หายากในเมียนมามิใช่เพียงปัญหาท้องถิ่น แต่เป็นโจทย์ทางภูมิรัฐศาสตร์และเศรษฐกิจที่ซับซ้อน ซึ่งตอกย้ำถึง “ด้านมืด” ของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีที่โลกต้องพึ่งพา การทำเหมืองแบบไร้การควบคุมได้เปลี่ยนภูมิทัศน์ของรัฐกะฉิ่นให้กลายเป็นพื้นที่ที่ถูกทำลายโดยสิ้นเชิง และส่งผลกระทบต่อเนื่องถึงปากท้องและสุขภาพของประชาชนในไทย

นางสาวเพียรพร ดีเทศ (ป้าใฝ่) ผู้อำนวยการองค์กรแม่น้ำและสิทธิ (Rivers & Rights) ได้เตือนว่า สารโลหะหนักที่ปนเปื้อนในระบบนิเวศนั้นต้องใช้เวลาอย่างน้อย 100 ปี ในการย่อยสลายโดยธรรมชาติ หากรัฐบาลไทยยังคงประวิงเวลาในการดำเนินการตามข้อเรียกร้องของภาคประชาชน ไม่ว่าจะเป็นการจัดหาแหล่งน้ำดิบใหม่ การตรวจสอบผลผลิตเกษตรกรรมกว่าแสนไร่ และการเปิดเวทีเจรจาอย่างจริงจังกับเมียนมาและจีน ความเสียหายที่เกิดขึ้นจะกลายเป็นต้นทุนที่สังคมไทยต้องแบกรับไปอีกหลายชั่วอายุคน และเป็นการยอมจำนนต่อภัยพิบัติข้ามพรมแดนที่คุกคามชีวิตคนหลายล้านคนในลุ่มน้ำโขง

การป้องกันการปนเปื้อนเพิ่มเติมจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งเหนือกว่าการแก้ไขเยียวยา โดยมีหลักฐานชวนคิดถึงความรุนแรงของผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในต่างประเทศ เช่น โรงงานแปรรูปในเมืองเป่าโถวของจีน ที่สร้างมลพิษสะสมมาหลายสิบปี จนเกิดทะเลสาบตะกอนพิษขนาดใหญ่ และส่งผลให้ประชาชนเจ็บป่วยด้วยโรคมะเร็งและโรคทางเดินหายใจ บทเรียนเหล่านี้เป็นเครื่องเตือนใจถึงความจำเป็นที่ไทยต้องดำเนินการอย่างเด็ดขาดและเร่งด่วนที่สุด

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • Stimson Center
  • Mongabay
  • อาจารย์ ดร. สืบสกุล กิจนุกร
  •  เครือข่ายประชาชนปกป้องแม่น้ำกก สาย รวก โขง
  • สำนักงานศุลกากรภาค 3
  • United States Geological Survey (USGS)
  • องค์กร River & Rights (Pianporn Deetes)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

“นายกนก” ลุยนโยบาย ขยาย “มหกรรมไม้ดอกโซนอำเภอ” กู้ชีพหนองหลวงรับฤดูกาลท่องเที่ยว

นายกนก” ลุยนโยบายท่องเที่ยวทั้งจังหวัด อบจ.เชียงรายจับมือเวียงชัย จัด “มหกรรมไม้ดอกโซนอำเภอ” ควบคู่ปฏิบัติการกู้ชีพ “หนองหลวง” เร่งเคลียร์ผักตบ 40% ภายใน 28 วัน รับฤดูกาลท่องเที่ยวปลายปี

เชียงราย, 21 ตุลาคม 2568 – เมื่อเสียงลมหนาวกระทบยอดดอยและแม่น้ำกกเริ่มนิ่งสงบ เมืองเชียงรายก็กำลังเตรียมตัวต้อนรับเทศกาลปลายปีด้วย “สองภารกิจใหญ่” ที่เดินหน้าไปพร้อมกันอย่างมีทิศทาง—ภารกิจแรกคือการ ขยายงานมหกรรมไม้ดอกอาเซียนเชียงราย ออกจากตัวเมืองสู่ระดับ “โซนอำเภอ” โดยเลือก อำเภอเวียงชัย เป็นจุดเริ่มต้น เพื่อแผ่รัศมีเศรษฐกิจสร้างสรรค์และท่องเที่ยวไปให้ถึงชุมชนฐานราก; ภารกิจที่สองคือ ปฏิบัติการกู้ชีพ “หนองหลวง” แหล่งน้ำสำคัญของเวียงชัยที่ถูกวัชพืชน้ำรุกคืบยาวนาน—วันนี้เริ่มเห็นทางออกด้วยตัวเลขก้าวกระโดด กำจัดผักตบชวาแล้วกว่า 40% ภายใน 28 วัน

การขับเคลื่อนครั้งนี้นำโดย อทิตาธร วันไชยธนวงศ์ หรือที่ชาวบ้านคุ้นปากเรียกว่า “นายกนก” นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย) ซึ่งย้ำทิศทางนโยบาย “เที่ยวได้ทุกสไตล์ เที่ยวเชียงรายได้ทั้งปี มีดีทุกอำเภอ” ว่าต้องไปไกลกว่า “อีเวนต์สวยงาม” และต้องลงถึง “พื้นที่จริง” เพื่อให้เกิดผลทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมที่จับต้องได้

มหกรรมไม้ดอก “โซนอำเภอ” จุดติดเศรษฐกิจฐานราก

ภาพจำของงานไม้ดอกเชียงรายในช่วงหลายปีที่ผ่านมามักผูกอยู่กับพื้นที่ใจกลางเมือง—สวนไม้งามริมน้ำกก—ซึ่งจะยังคงเป็น “เวทีหลัก” ของเทศกาลปลายปีนี้ ระหว่าง 18 ธันวาคม 2568 – 7 มกราคม 2569 แต่ปีนี้ อบจ.เชียงรายเพิ่มเดิมพันด้วยการ “แตกจุดจัด” ไปยัง อำเภอเวียงชัย เปิดโซนใหม่ภายใต้ชื่อ มหกรรมไม้ดอกอาเซียนเชียงราย โซนอำเภอ เวียงชัย” ในช่วงเวลาเดียวกัน เพื่อกระจาย “นักท่องเที่ยว–รายได้–โอกาส” ออกจากตัวเมืองสู่ชุมชน

เหตุผลเชิงยุทธศาสตร์ ของการย้ายบางกิจกรรมไปโซนอำเภอมีอย่างน้อย 3 ข้อ

  1. กระจายประโยชน์ทางเศรษฐกิจ ให้กับผู้ประกอบการรายย่อยในท้องถิ่น—ตั้งแต่โฮมสเตย์ ร้านอาหาร ไปจนถึงสินค้าชุมชน
  2. เพิ่มจุดหมาย สำหรับนักท่องเที่ยวให้เดินทาง “วนรอบจังหวัด” แทนการเที่ยวเพียงย่านเดียว ลดการแออัดของเมือง
  3. ต่อยอดทรัพยากรพื้นที่ โดยเฉพาะ “หนองหลวง” ให้กลับมาเป็นเวทีท่องเที่ยวเชิงนิเวศ พร้อมพื้นที่กิจกรรมริมน้ำที่มีเอกลักษณ์เฉพาะเวียงชัย

การตัดสินใจเชิงนโยบายนี้ถูกแปรรูปเป็นงานปฏิบัติเมื่อ 20 ตุลาคม 2568 ที่ผ่านมา—นายกนก พร้อม สมาชิกสภา อบจ.เชียงราย (ส.อบจ.) และหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ลงนั่งโต๊ะประชุมกับผู้นำ ท้องที่–ท้องถิ่น อ.เวียงชัย ณ ห้องประชุมธรรมรับอรุณ ชั้น 2 อบจ.เชียงราย เพื่อ ล็อกแผนภูมิทัศน์–พื้นที่กิจกรรม–ผลประโยชน์ชุมชน ให้ไปในทิศทางเดียวกัน

“งานใหญ่จะมีความหมายก็ต่อเมื่อชาวบ้านมีส่วนร่วมและได้รับประโยชน์จริง—เราจะทำให้ ทุกอำเภอมี ‘เรื่องเล่า’ ของตัวเอง และนำเสนอเชียงรายในแบบที่หลากหลายตลอดทั้งปี” – แนวคิดที่ทีมงานอ้างถึง นายกนก ในที่ประชุม

 “หนองหลวง” แหล่งน้ำใหญ่กำลังขอความช่วยเหลือ

เบื้องหลังการขยับขยายงานไม้ดอกไปเวียงชัย มี “เงื่อนไขสำคัญ” ที่ทีมงานต้องเร่งแก้ไขให้ได้ก่อน—คือการฟื้นฟู หนองหลวง” แหล่งน้ำขนาดใหญ่ของอำเภอที่ ผักตบชวาและวัชพืชน้ำ บุกรุกหนาแน่นมานาน ส่งผลให้ทิวทัศน์เสื่อมโทรม ระบบนิเวศอ่อนแอ และประโยชน์ใช้สอยของชุมชนลดลง

Storytelling ของหนองหลวง—ในความทรงจำของคนเวียงชัย หนองหลวงเคยเป็นพื้นที่ทอดสายลมเย็น มีแพประมงและเส้นทางจักรยานเลียบฝั่งน้ำ เด็ก ๆ ลงเล่นน้ำช่วงปิดเทอม ผู้เฒ่าผู้แก่พายเรือวางอีจู้ดักปลา เมื่อเวลาผ่านไป วัชพืชก็มากับน้ำดีและตะกอน ทับถมจนผิวหนองแน่นขึ้นทุกปี ความงามค่อย ๆ ถูกบัง—และเทศกาลปลายปีที่กำลังจะมาถึง กลายเป็น “แรงผลัก” ให้การฟื้นฟูครั้งใหญ่ต้องเริ่มต้นอย่างจริงจัง

หน่วยปฏิบัติการ ของ อบจ.เชียงราย จึงถูกส่งเข้าแนวหน้า—นำโดย พันจ่าเอกทวีป เชี่ยวสุวรรณ หัวหน้าฝ่ายป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ซึ่งเปิดเผยความคืบหน้าว่า ตลอด 28 วันของการทำงานต่อเนื่อง สามารถเคลียร์พื้นที่วัชพืชแล้วกว่า 40% ของเป้าหมาย ตัวเลขนี้ไม่เพียงหมายถึงทิวทัศน์ที่โปร่งตา หากยังส่งผลเชิงโครงสร้าง 3 ประการ ได้แก่

  • ด้านท่องเที่ยว เปิดฉากให้กิจกรรมริมน้ำและเส้นทางเดิน–ปั่นจักรยานกลับมาเป็นไฮไลต์ของเวียงชัย
  • ด้านป้องกันภัย เพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำ ลดจุดอุดตัน ลดความเสี่ยงน้ำท่วมเฉียบพลัน
  • ด้านคุณภาพชีวิต คืนความสะอาดให้แหล่งน้ำชุมชน สร้างโอกาสต่อยอด เกษตร–ประมงพื้นบ้าน อย่างปลอดภัย

ทีมงานเดินแผน เร่ง–รัด–ละเอียด” ควบคู่กัน—ใช้งานเครื่องจักรหนักกำจัดผักตบชวาเป็นตอตั้ง จากนั้นเก็บเศษซากขึ้นฝั่งเพื่อขนย้ายไปกำจัดอย่างถูกวิธี ปิดท้ายด้วยการปรับสโลป–เกลี่ยตลิ่งให้เป็นแนวทางเดินเล่น–ปั่นจักรยานที่เชื่อมพื้นที่กิจกรรมหลักของงานไม้ดอก

 “สวนไม้งามริมน้ำกก” กับ “โซนเวียงชัย” – สองเวที หนึ่งประสบการณ์

งานมหกรรมไม้ดอกปลายปีนี้ถูกวางตำแหน่งเป็น “ของขวัญส่งท้ายปี” ให้คนเชียงรายและนักท่องเที่ยว ทั้งในเชิง ภาพลักษณ์เมืองงาม และ แรงส่งเศรษฐกิจท่องเที่ยว โดย อบจ.เชียงรายกำหนดให้ สวนไม้งามริมน้ำกก ทำหน้าที่เป็น “เวทีหลัก” ที่ผู้คนคุ้นเคย—เนรมิตทุ่งดอกไม้หลากสีพร้อมโครงสร้างศิลป์ร่วมสมัย ขณะเดียวกัน โซนเวียงชัย จะเป็น “เวทีย่อย” ที่โดดเด่นด้วย เรื่องเล่าท้องถิ่น และ กิจกรรมริมน้ำ เช่น ตลาดชุมชน โซนชิม–ช็อป–เช็กอิน และพื้นที่เดิน–ปั่นชมวิวหนองหลวงที่เพิ่งรีเฟรช

การจัด สองเวทีคู่ขนานในช่วงเวลาเดียวกัน มีเป้าหมายให้ผู้มาเยือนใช้เวลาในจังหวัดนานขึ้น—จาก “ทริปเช้าเย็นกลับ” กลายเป็น ค้างคืน 2–3 คืน กระจายการจับจ่ายในวงกว้างขึ้น โดยผู้ประกอบการที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์ตรง ได้แก่ ที่พักขนาดเล็ก โฮมสเตย์ ร้านอาหารชุมชน ผู้ผลิตสินค้าพื้นเมือง และผู้ให้บริการนำเที่ยวท้องถิ่น

โครงสร้างการทำงาน ผนึกกำลัง “ท้องที่–ท้องถิ่น–ท้องถิ่นใหญ่”

เพื่อให้ระบบเดินหน้าอย่างไร้รอยต่อ อบจ.เชียงรายขับเคลื่อนผ่าน สามวงแหวนความร่วมมือ

  1. วงใน – ทีมปฏิบัติการ อบจ. ฝ่ายปกครอง, สำนักช่าง, ฝ่ายป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย, การท่องเที่ยวและวัฒนธรรม ทำหน้าที่วางแบบ–เร่งงาน–กำกับมาตรฐานความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อม
  2. วงกลาง – อำเภอเวียงชัยและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เทศบาล/อบต. ร่วมกำหนดพื้นที่ เวลาจัดกิจกรรม ระบบจราจร–ที่จอดรถ และเงื่อนไขการใช้พื้นที่ของชุมชนเพื่อให้ “คนในพื้นที่ได้ประโยชน์สูงสุด”
  3. วงนอก – ภาคีเครือข่ายเศรษฐกิจและสังคม ภาคธุรกิจท่องเที่ยว, โรงแรม, กลุ่มอาชีพ, ภาคประชาสังคม ทำบทบาท “สื่อสาร–ต้อนรับ–ดูแลนักท่องเที่ยว” ให้ประสบการณ์โดยรวมของผู้มาเยือนราบรื่น

ในเชิงธรรมาภิบาล ทีมงานย้ำหลัก โปร่งใส–ตรวจสอบได้–มีส่วนร่วม” เช่น การชี้แจงข้อมูลการปรับภูมิทัศน์และการใช้พื้นที่สาธารณะต่อชุมชนรอบหนองหลวง การเปิดช่องทางรับฟังข้อเสนอแนะก่อนปิดแบบพื้นที่กิจกรรม และการตั้งคณะทำงานร่วมติดตามความคืบหน้ารายสัปดาห์จนถึงวันเปิดงาน

ตัวเลขเล็ก ๆ ที่เล่าเรื่องใหญ่ของเมือง

  • 28 วัน – 40%: คือความคืบหน้ากำจัดวัชพืชน้ำในหนองหลวงภายใต้การนำของฝ่ายป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย อบจ.เชียงราย—ตัวเลขที่ไม่เพียงสะท้อน “ความเร็ว” แต่หมายถึง “ความตั้งใจ” ที่ถูกแปลงเป็นผลลัพธ์จริงบนพื้นที่
  • 18 ธ.ค. 2568 – 7 ม.ค. 2569: เป็น “ช่วงโกลเดนไทม์” ของการท่องเที่ยวปลายปี—การเลือกจัดงานไม้ดอกในช่วงนี้คือการกดปุ่มกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่นด้วยจังหวะเวลา
  • เที่ยวได้ทั้งปี มีดีทุกอำเภอ”: สโลแกนที่กำลังถูกพิสูจน์ผ่านการลงมือในเวียงชัย—หากโมเดลโซนอำเภอสำเร็จ สามารถขยายไปสู่อำเภออื่น ๆ ได้ทันที ทั้งแม่จัน แม่สาย พาน เชียงของ ฯลฯ โดยปรับ “เรื่องเล่า–สินค้า–กิจกรรม” ให้เหมาะกับบริบทพื้นที่

ทำอย่างไรให้ “โซนอำเภอ” เป็นมากกว่าพื้นที่เสริม

เพื่อให้การจัดมหกรรมไม้ดอกในระดับอำเภอไม่ใช่เพียง “สีสันตามเทศกาล” แต่เป็น โครงสร้างการพัฒนาเชิงพื้นที่ ที่ยืนระยะได้ ข่าวชิ้นนี้สรุป ข้อเสนอเชิงระบบ 5 ประการจากการแลกเปลี่ยนในที่ประชุมและภาคสนาม ดังนี้

  1. วางผังประสบการณ์ (Experience Mapping) – กำหนดจุดเริ่ม–จบ เส้นทางเดิน–ปั่น จุดถ่ายรูป จุดชิม–ช็อป และจุดพัก เพื่อควบคุมโฟลว์นักท่องเที่ยวและลดคอขวด
  2. โควตาพื้นที่ขายสำหรับชุมชน – กันสัดส่วนพื้นที่จำหน่ายสินค้าให้วิสาหกิจชุมชน–OTOP–เกษตรแปรรูปในเวียงชัย เพื่อให้รายได้ตกสู่คนในพื้นที่อย่างแท้จริง
  3. กฎสิ่งแวดล้อมเข้ม–สื่อสารเป็นสากล – กำหนดมาตรฐานขยะ แยกถัง จุดรับคืนบรรจุภัณฑ์ พร้อมสื่อสาร 2 ภาษา (ไทย–อังกฤษ) อย่างชัดเจน
  4. ความปลอดภัยน่านฟ้า–ภาคพื้น – ประสานท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงฯ ตำรวจ–ท้องถิ่น ย้ำมาตรการ งดโคม–ควบคุมโดรน ในช่วงกิจกรรมเพื่อความปลอดภัยของการบินและผู้ร่วมงาน
  5. ระบบติดตามหลังงาน (After Action Review) – เก็บข้อมูลผู้เข้าร่วม ยอดใช้จ่าย ปัญหา–ข้อเสนอแนะ เพื่อนำไปปรับปรุงโมเดลโซนอำเภอในปีถัดไป

เสียงสะท้อนจากพื้นที่ งานใหญ่ที่ชาวบ้านต้องเป็น “เจ้าของร่วม”

แม้ข่าวนี้จะเป็นการรายงานจากฝั่งนโยบายและการปฏิบัติงานของ อบจ.เชียงราย แต่หัวใจของความสำเร็จอยู่ที่ การมีส่วนร่วมของชุมชน—ทั้งในบทบาทผู้จัด ผู้ต้อนรับ และผู้เก็บรักษาพื้นที่หลังงานเลิก “งานของเมือง” จะยั่งยืนได้ต่อเมื่อ “เป็นงานของชุมชน” ด้วย

เวทีหารือกับผู้นำท้องที่–ท้องถิ่นเวียงชัยจึงเน้นคำถามพื้นฐานที่สำคัญ เช่น จะทำอย่างไรให้ตลาดชุมชนต่อยอดได้หลังเทศกาล? จะเก็บรักษาหนองหลวงให้สะอาดต่อเนื่องอย่างไร? และ จะใช้เรื่องเล่าท้องถิ่นให้กลายเป็นผลิตภัณฑ์ท่องเที่ยวได้อย่างไร?—คำถามเหล่านี้ไม่ได้ต้องการ “คำตอบสวยงามในห้องประชุม” แต่ต้องการ “การลงมือจริง” ร่วมกันของทุกฝ่าย

จากเมืองสวย…สู่เมืองน่าอยู่ ความหมายของ “ทุ่งดอกไม้” ที่มากกว่าความงาม

เมื่อย้อนมองภาพรวม “มหกรรมไม้ดอก” อาจเริ่มต้นจากความงามทางสายตา แต่ปลายทางที่ อบจ.เชียงราย พยายามมุ่งให้ถึงคือ คุณภาพชีวิต—ท้องถิ่นที่สะอาด สวยงาม ปลอดภัย มีรายได้หมุนเวียน และมีพื้นที่สาธารณะที่ชุมชนใช้ได้จริงตลอดปี ไม่ใช่เพียงช่วงเทศกาล

หนองหลวง ที่กำลังกลับมาหายใจได้ จึงไม่ใช่เพียงฉากหลังของงานอีเวนต์ แต่คือ สัญลักษณ์ของการฟื้นฟูร่วมกัน ระหว่างรัฐท้องถิ่นและชุมชน—วันนี้ตัดผักตบชวา วันหน้าอาจปลูกต้นไม้ริมน้ำ สร้างเส้นทางจักรยาน และจัดกิจกรรมวิ่ง–ปั่น–เรียนรู้ธรรมชาติที่ลูกหลานเวียงชัยภูมิใจ

Roadmap ต่อจากนี้ นับถอยหลัง 60 วัน ก่อนดอกไม้บาน

หลังประชุม 20 ตุลาคม 2568 ทีมงานตั้งกรอบเวลาทำงาน รายสัปดาห์ จนถึงวันเปิดงาน (18 ธ.ค.) โดยมีหมุดหมายสำคัญ ได้แก่

  • สัปดาห์ที่ 1–2: เก็บกวาดวัชพืชคงค้าง, ปรับสโลปตลิ่ง, วางแบบพื้นที่เดิน–ปั่น
  • สัปดาห์ที่ 3–4: ติดตั้งโครงสร้างชั่วคราว (ลานกิจกรรม/ตลาดชุมชน), จัดระบบไฟ–น้ำ–สุขา
  • สัปดาห์ที่ 5–6: ซ้อมเสมือนจริง (Dry Run) ระบบจราจร–ที่จอดรถ–จุดคัดแยกขยะ, อบรมอาสาสมัครต้อนรับ
  • ก่อนงาน 7 วัน: ตรวจความพร้อมขั้นสุดท้ายร่วมกับอำเภอ–ท้องถิ่น–ตำรวจ–หน่วยแพทย์ฉุกเฉิน

ระหว่างทาง อบจ.เชียงรายจะออกเอกสารประชาสัมพันธ์อย่างต่อเนื่องเพื่อให้ประชาชนรับรู้ความคืบหน้า พร้อมเปิดช่องทางสื่อสารสำหรับผู้ประกอบการที่ต้องการเข้าร่วมจำหน่ายสินค้าและบริการในพื้นที่งาน

 “เที่ยวได้ทั้งปี มีดีทุกอำเภอ” จากคำขวัญสู่การลงมือ

เชียงรายกำลังทดลอง “แบบฝึกหัดสำคัญ” ของเมืองท่องเที่ยวยุคใหม่—ไม่ปล่อยให้ความงามกระจุกอยู่เพียงในเมือง ไม่ปล่อยให้เทศกาลเป็นเพียงภาพถ่าย แต่แปลง “งานวัฒนธรรม” ให้กลายเป็น “เครื่องมือพัฒนาเชิงพื้นที่” ที่สร้างรายได้และคุณภาพชีวิตไปพร้อมกัน

การ ขยายงานมหกรรมไม้ดอกไปเวียงชัย และ เร่งกู้ชีพหนองหลวง คือภาพสะท้อนการเดินหมากเชิงยุทธศาสตร์ของ อบจ.เชียงราย ที่ตั้งใจขับเคลื่อนนโยบาย “เที่ยวได้ทุกสไตล์ เที่ยวเชียงรายได้ทั้งปี มีดีทุกอำเภอ” ให้สัมผัสได้จริง—ถ้างานนี้สำเร็จ “โซนอำเภอ” ถัดไปก็มีโอกาสเกิดขึ้นต่อเนื่อง และเชียงรายจะยิ่งเข้าใกล้เป้าหมาย “เมืองท่องเที่ยวที่งดงามและยั่งยืน”

สารที่อยากชวนจำ ตัวเลข 40% ใน 28 วัน ไม่ใช่เพียงสถิติของการกำจัดผักตบ แต่คือ “ความเชื่อ” ว่าเมื่อ รัฐท้องถิ่น–ชุมชน–ภาคธุรกิจ ร่วมมือกัน เมืองทั้งเมืองก็ขยับได้จริง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News