Categories
AROUND CHIANG RAI FEATURED NEWS

มฟล. เชียงราย จัดพิธี “จุดเทียนถวายอาลัย” น้อมรำลึกพระมหากรุณาธิคุณ “สมเด็จพระพันปีหลวง”

น้อมรำลึกสุดอาลัย! มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงนำพสกนิกรเชียงราย ร่วมพิธีถวายความเคารพ

เชียงราย, 25 ตุลาคม 2568 – แสงเทียนหลายสิบเล่มค่อย ๆ สว่างขึ้นท่ามกลางความมืดของลานเฉลิมพระเกียรติ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย พร้อมเสียงสวดถวายความอาลัยที่ดังขึ้นอย่างนอบน้อม นี่ไม่ใช่เพียงพิธีเชิงสัญลักษณ์ แต่คือภาพสะท้อนของสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณที่สั่งสมมาหลายทศวรรษต่อสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และประชาชนไทยทั้งแผ่นดิน

พิธี “จุดเทียนน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง” จัดขึ้นโดยมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง (มฟล.) เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2568 เวลา 18.00 น. หลังจากสำนักพระราชวังประกาศการสวรรคตอย่างเป็นทางการของสมเด็จพระพันปีหลวง ท่ามกลางบรรยากาศโศกเศร้าของทั้งประเทศ ภายในพิธี ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.มัชฌิมา นราดิศร อธิการบดีมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ทำหน้าที่นำคณาจารย์ บุคลากร นักศึกษา และประชาชนชาวเชียงรายกว่า 100 คน ร่วมถวายอาลัยแด่ “พระผู้เสด็จสู่สวรรคาลัย” ด้วยความอ่อนน้อมและระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่ที่ทรงมีต่อชาติบ้านเมือง

พิธีดังกล่าวมีความหมายทั้งในเชิงสัญลักษณ์และเชิงสถาบัน เพราะมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงมิได้เป็นเพียงสถาบันอุดมศึกษาในภาคเหนือ หากยังเป็นมหาวิทยาลัยที่ถือกำเนิดขึ้นภายใต้พระราชปณิธานด้านการพัฒนาคนและพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ห่างไกลของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี (สมเด็จย่า) ผู้ทรงเป็น “แม่ฟ้าหลวง” อันเป็นที่มาของพระนามมหาวิทยาลัย ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้มักยืนอยู่แนวหน้าในการแสดงความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ในวาระสำคัญของแผ่นดิน

ความอาลัยที่มากกว่าพิธีการ “พระองค์ทรงอยู่ในชีวิตประจำวันของประชาชน”

ในพิธี ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.มัชฌิมา นราดิศร กล่าวถึงความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ของชาติด้วยถ้อยคำที่สะท้อนความรู้สึกของคนไทยจำนวนมากในช่วงเวลานี้ว่า

“พสกนิกรชาวไทยทั่วประเทศต่างโศกเศร้าเสียใจเป็นอย่างยิ่ง พระองค์ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณและคุณูปการอันยิ่งใหญ่ต่อประเทศชาติและประชาชน มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงจึงได้จัดพิธีจุดเทียนขึ้น เพื่อถวายความเคารพและน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้”

ข้อความดังกล่าวมิได้เป็นเพียงคำปราศรัยในโอกาสพิเศษ แต่คือการย้ำเตือนว่า สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงมีบทบาทอันยิ่งใหญ่ต่อการพัฒนาสังคมไทยในหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นศิลปวัฒนธรรม วิถีชุมชนชายแดน การอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้และต้นน้ำ การทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา การดูแลประชาชนในพื้นที่ทุรกันดาร รวมถึงการทรงงานด้านสาธารณสุขและสวัสดิการสังคม ในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา

สำหรับจังหวัดเชียงรายและพื้นที่ภาคเหนือ พระราชกรณียกิจของสมเด็จพระพันปีหลวงถูกจดจำอย่างลึกซึ้งในมิติการพัฒนาอาชีพและเศรษฐกิจชุมชน โดยเฉพาะการส่งเสริมงานหัตถกรรมผ้า การพัฒนาคุณภาพชีวิตของสตรี และการส่งเสริมการอยู่ร่วมกันอย่างยั่งยืนระหว่างคนกับป่า ซึ่งทั้งหมดนี้ได้วางรากฐานให้หลายชุมชนในภาคเหนือสามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างมีศักดิ์ศรีในระยะยาว

กล่าวอีกนัยหนึ่ง สำหรับคนในพื้นที่เชียงราย พระองค์ไม่ใช่เพียง “สมเด็จพระราชินี” ในเชิงสถานะทางราชสำนัก แต่เป็น “แม่” ในความหมายจริงของคำว่า ผู้หล่อเลี้ยง ดูแล ปกป้อง และยืนเคียงข้างประชาชนในยามยากลำบาก

ดังนั้น พิธีจุดเทียนของมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงจึงไม่ใช่เหตุการณ์เชิงพิธีกรรมเพียงชั่วโมงเดียว หากเป็นการแสดงออกถึงความต่อเนื่องของสายสัมพันธ์ระหว่างประชาชนในท้องถิ่นกับสถาบันฯ ที่ยังคงชัดเจนและมีความหมายในสังคมไทยร่วมสมัย

มฟล. กับบทบาท “พื้นที่กลางของความอาลัย” ของชาวเชียงราย

พิธีดังกล่าวได้รับการออกแบบให้ประชาชนทั่วไปสามารถเข้าร่วมได้ ไม่จำกัดเพียงบุคลากรในมหาวิทยาลัย ซึ่งสะท้อนบทบาทที่มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงตั้งใจจะทำในฐานะ “พื้นที่กลางของสังคมเชียงราย” ไม่ใช่ “พื้นที่เฉพาะของคนในรั้วมหาวิทยาลัย” เท่านั้น

ในแง่นี้ มฟล. ทำหน้าที่คล้ายศูนย์รวมใจของจังหวัดเชียงรายในช่วงเวลาที่ผู้คนต้องการสถานที่เพื่อแสดงความอาลัยร่วมกันอย่างสงบและมีเกียรติ พื้นที่ลานเฉลิมพระเกียรติจึงทำหน้าที่ไม่ต่างจาก “ลานหลวงของจังหวัด” ในค่ำคืนนี้ ผู้เข้าร่วมหลายคนสวมเสื้อผ้าสีสุภาพ สีดำ สีเทา และสีขาว บางคนถือดอกไม้ บางคนถือภาพความทรงจำ บางคนเพียงต้องการยืนร่วมแถวแสงเทียนและพนมมือเงียบ ๆ

สำหรับนักศึกษาหลายคน นี่อาจเป็นช่วงเวลาที่พวกเขารับรู้ว่าภาษาอย่าง “พระมหากรุณาธิคุณ” หรือ “พระราชกรณียกิจ” ที่เคยได้ยินในตำรานั้น แท้จริงแล้วมีผลอย่างไรต่อการศึกษา สิ่งแวดล้อม วิถีชีวิต และโอกาสของคนในพื้นที่บ้านเกิดของตนเอง

กล่าวได้ว่า มหาวิทยาลัยไม่ได้เพียง “จัดพิธี” แต่กำลัง “จัดความหมายร่วมของจังหวัด”

มติ ครม. และจังหวะที่ทั้งประเทศยืนไว้อาลัยพร้อมกัน

พิธีที่เชียงรายเกิดขึ้นควบคู่กับมาตรการแสดงความอาลัยระดับชาติ หลังคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบตามประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่องการสวรรคตของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง โดยกำหนดแนวทางปฏิบัติสำหรับหน่วยงานของรัฐและสังคม ดังนี้

  • ลดธงครึ่งเสา
    ให้สถานที่ราชการ รัฐวิสาหกิจ หน่วยงานของรัฐ และสถานศึกษาทุกแห่งลดธงครึ่งเสาเป็นเวลา 30 วัน นับตั้งแต่วันที่ 25 ตุลาคม 2568 เป็นต้นไป
  • การไว้ทุกข์ของข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐ
    ให้ข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ และเจ้าหน้าที่ของรัฐไว้ทุกข์เป็นเวลา 1 ปี ซึ่งถือเป็นระยะเวลาที่ยาวนาน สะท้อนถึงความเคารพอย่างสูงสุดที่รัฐบาลและหน่วยงานรัฐมีต่อพระราชสถานะและพระราชกรณียกิจของสมเด็จพระพันปีหลวง
  • การร่วมไว้อาลัยของประชาชนทั่วไป
    ขอความร่วมมือให้ประชาชนร่วมกันแสดงความอาลัยเป็นเวลา 90 วัน โดยพิจารณาตามความเหมาะสมของแต่ละบุคคลและบริบทของแต่ละพื้นที่

แนวทางดังกล่าวทำให้บรรยากาศในประเทศในช่วงเวลานี้ไม่ใช่เพียงการแสดงความรู้สึกส่วนบุคคลหรือของท้องถิ่นใดท้องถิ่นหนึ่ง แต่เป็นการเคลื่อนไหวของสังคมไทยทั้งระบบ ทั้งภาครัฐ ภาคการศึกษา ภาคประชาชน และภาคชุมชนวัฒนธรรมร่วมกัน

ในมิติทางสังคม สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นว่า ความจงรักภักดีและความอาลัยยังคงมีบทบาทสำคัญในวัฒนธรรมการเมืองและวัฒนธรรมสาธารณะของไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเกี่ยวข้องกับพระบรมวงศานุวงศ์ที่ประชาชนจำนวนมากมองว่าทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจเพื่อประชาชนอย่างแท้จริงในพื้นที่ห่างไกล

ความหมายของ “การไว้ทุกข์ร่วมกัน” ในระดับชุมชน

เมื่อมติ ครม. ประกาศออกมาพร้อม ๆ กับพิธีจุดเทียนของมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ค่ำคืนนี้จึงไม่ได้เป็นเพียงการรำลึกถึงความสูญเสีย แต่เป็นการประกาศเจตจำนงร่วมของจังหวัดเชียงรายว่า จะยืนอยู่ในกรอบแห่งความอาลัยเดียวกันกับทั้งประเทศ

จุดนี้มีความสำคัญในเชิงสังคมการเมือง เพราะในยุคปัจจุบันที่ความหลากหลายทางความคิดทางสังคมและการเมืองมีมากขึ้น พิธีสาธารณะในลักษณะนี้ทำหน้าที่เป็น “พื้นที่ร่วม” ที่ผู้คนสามารถเข้ามายืนเคียงข้างกันได้โดยไม่จำเป็นต้องมีภูมิหลังเดียวกัน หรือความคิดเห็นทางการเมืองตรงกันทุกประการ หากแต่มีพื้นที่ร่วมทางอารมณ์และความทรงจำประวัติศาสตร์ร่วมกัน

กล่าวอย่างเรียบง่าย ความอาลัยทำให้สังคมกลับมายืนอยู่ข้างกันอีกครั้ง แม้เพียงชั่วคราวก็ตาม

เชียงราย จังหวัดชายแดนที่เติบโตจากพระราชกรณียกิจ

อีกประเด็นที่ควรพิจารณาคือ ความสัมพันธ์ระหว่างจังหวัดเชียงรายกับพระราชกรณียกิจของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา

เชียงรายเป็นจังหวัดเหนือสุดของประเทศไทย เป็นพื้นที่ชายแดนที่มีความหลากหลายทางชาติพันธุ์สูง มีทั้งกลุ่มไทลื้อ ไทเขิน อาข่า ม้ง ลาหู่ รวมถึงชุมชนที่ตั้งถิ่นฐานตามแนวชายแดนติดสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวและสหภาพเมียนมา พื้นที่เหล่านี้ในอดีตเผชิญทั้งความยากจนเชิงโครงสร้าง การขาดโอกาสทางการศึกษา ปัญหาการเข้าถึงบริการสาธารณสุข และความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจอย่างยืดเยื้อ

หนึ่งในพระราชกรณียกิจสำคัญของสมเด็จพระพันปีหลวงคือการสนับสนุนการพัฒนาอาชีพของสตรีและชุมชนบนพื้นที่สูง รวมถึงการส่งเสริมการทอผ้าและหัตถกรรมพื้นถิ่นในฐานะอาชีพเสริมและอาชีพหลัก ซึ่งไม่เพียงช่วยสร้างรายได้ แต่ยังช่วยฟื้นฟูศักดิ์ศรีของคนท้องถิ่นในพื้นที่ชนบทห่างไกล โดยเฉพาะกลุ่มสตรี ที่เดิมอาจไม่ได้ถูกมองว่าเป็น “เสาหลักทางเศรษฐกิจของครอบครัว”

นอกจากนี้ พระองค์ยังทรงมีบทบาทสำคัญด้านการอนุรักษ์ป่าและการจัดระเบียบพื้นที่ทำกิน เพื่อให้ประชาชนสามารถอยู่ร่วมกับทรัพยากรธรรมชาติได้โดยไม่ทำลายฐานการดำรงชีพในระยะยาว แนวคิดเรื่อง “คนอยู่กับป่าได้โดยไม่ทำลายป่า” ซึ่งปรากฏในหลายโครงการในพื้นที่ภาคเหนือ กลายเป็นแนวนโยบายด้านการจัดการทรัพยากรที่ได้รับการสืบสานในระดับหน่วยงานรัฐมาจนถึงปัจจุบัน

ดังนั้น สำหรับชาวเชียงราย ความอาลัยในครั้งนี้จึงไม่ใช่อารมณ์ลอย ๆ แต่ผูกพันกับวิถีชีวิตจริง ทั้งในเชิงเศรษฐกิจ วัฒนธรรม และความมั่นคงของถิ่นฐาน

มหาวิทยาลัยในฐานะผู้สืบสานอุดมการณ์ “การพัฒนาคน”

สิ่งที่สะท้อนเด่นชัดในพิธี คือการที่มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงย้ำบทบาทของตนเองว่า ไม่ได้ทำหน้าที่ผลิตบัณฑิตอย่างเดียว แต่ยังมีพันธกิจในการสืบสานแนวทางการพัฒนาคนตามรอยพระราชปณิธานของพระบรมวงศานุวงศ์

การจัดพิธีจุดเทียนถวายอาลัยจึงเป็นการส่งสัญญาณทางสถาบันในสามมิติหลัก

  1. มิติศักดิ์ศรีและอัตลักษณ์ของมหาวิทยาลัย
    มฟล. ถือกำเนิดขึ้นเพื่อเป็น “มหาวิทยาลัยของภาคเหนือตอนบน” ที่ยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในภูมิภาค การจัดพิธีถวายอาลัยต่อสมเด็จพระพันปีหลวง ซึ่งทรงมีบทบาทในการดูแลคุณภาพชีวิตคนชายขอบและคนบนพื้นที่สูง จึงเป็นการแสดงออกถึงความเชื่อมโยงโดยตรงของอุดมการณ์ของมหาวิทยาลัยกับพระราชปณิธานของพระองค์
  2. มิติของการให้การศึกษาเชิงคุณค่า (Value-based Education)
    นักศึกษาที่เข้าร่วมพิธีมิได้เพียง “ทำกิจกรรม” แต่กำลังซึมซับกรอบความคิดแบบไทยร่วมสมัยที่ผสานทั้งอัตลักษณ์ชาติ วัฒนธรรมพลเมือง ความจงรักภักดี และจิตสำนึกเพื่อสาธารณะ นี่คือการสร้างทุนทางสังคม (social capital) ให้คนรุ่นใหม่เข้าใจว่าการเป็นบัณฑิตไม่ใช่เพียงเรื่องวุฒิการศึกษา แต่คือการเป็นคนที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมรอบตัวด้วย
  3. มิติของความต่อเนื่องทางสังคม
    ในช่วงที่สังคมไทยเปลี่ยนผ่านอย่างรวดเร็ว พิธีลักษณะนี้ทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมระหว่างรุ่นสู่รุ่น ทำให้คนรุ่นก่อนสามารถถ่ายทอดความหมายของความจงรักภักดี ความกตัญญู และความระลึกในพระมหากรุณาธิคุณ สู่คนรุ่นใหม่ผ่านประสบการณ์ร่วม ไม่ใช่แค่ผ่านตำราเรียน

กล่าวโดยสรุป การจุดเทียนในค่ำคืนนี้จึงเป็นทั้งการไว้อาลัย การประกาศคุณค่า และการส่งไม้ต่อ

ความสงบ งดงาม และความต่อเนื่องของความทรงจำ

ท่ามกลางความเงียบในช่วงท้ายของพิธี หลายคนหลับตาลงพร้อมกับประคองเปลวเทียนในมือ บางคนยกเทียนขึ้นเหนือศีรษะเพื่อแสดงความเคารพครั้งสุดท้าย บางคนปิดหน้าไว้กับฝ่ามือ ราวกับพยายามเก็บภาพเหตุการณ์นี้ไว้ในความทรงจำส่วนตัว นั่นคือภาพของความอาลัยที่มิใช่เพียงเรื่องของรัฐ แต่เป็นเรื่องในหัวใจประชาชน

และเมื่อมองในระดับจังหวัด เหตุการณ์ที่มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงจัดขึ้นในค่ำคืนนี้ คือการประกาศว่า จังหวัดเชียงราย ในฐานะจังหวัดชายแดนซึ่งมีอัตลักษณ์เฉพาะตัวทั้งเชิงชาติพันธุ์ ประวัติศาสตร์ และสังคม ยังคงยึดโยงอยู่กับสถาบันหลักของชาติ และยังคงมุ่งหมายจะสืบสานคุณค่านั้นต่อไป

บทสรุปเชิงนโยบายและสังคม

  1. พิธีของมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงไม่ใช่เพียงการจัดตามธรรมเนียม แต่เป็นการแสดงบทบาทเชิงสถาบันของมหาวิทยาลัยในฐานะ “พื้นที่กลางทางสังคม” ที่ให้ทั้งบุคลากร นักศึกษา และประชาชนทั่วไปได้ร่วมกันแสดงออกเชิงสัญลักษณ์อย่างสงบและมีศักดิ์ศรี
  2. มติคณะรัฐมนตรีและประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับการลดธงครึ่งเสา 30 วัน การไว้ทุกข์ของข้าราชการเป็นเวลา 1 ปี และขอความร่วมมือประชาชนร่วมอาลัย 90 วัน ชี้ให้เห็นถึงน้ำหนักเชิงสถาบันของพระราชสถานะของสมเด็จพระพันปีหลวง และยังตอกย้ำว่าพระองค์ทรงถูกนับเป็นหนึ่งในเสาหลักทางจิตวิญญาณของชาติ
  3. สำหรับจังหวัดเชียงราย เหตุการณ์ในครั้งนี้ยังย้ำให้เห็นรากทางสังคม-วัฒนธรรมที่ลึก ระหว่างสถาบันพระมหากษัตริย์กับพื้นที่ภาคเหนือ โดยเฉพาะในมิติการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนกลุ่มเปราะบางในพื้นที่ชายแดนและพื้นที่สูง
  4. ในระยะยาว พิธีอาลัยครั้งนี้อาจกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการจัดกิจกรรมเชิงรำลึกและเชิงวิชาการ เพื่อศึกษาสืบสานแนวคิดการพัฒนาชุมชน ทรัพยากร และคุณภาพชีวิตตามแนวพระราชดำริของสมเด็จพระพันปีหลวง ผ่านบทบาททางวิชาการและทางสังคมของมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง

ท้ายที่สุด ค่ำคืนที่แสงเทียนสว่างขึ้นเหนือพื้นลานมหาวิทยาลัย ไม่ได้เป็นเพียงช่วงเวลาแห่งความเศร้า แต่เป็นการให้คำมั่นร่วมกันว่า “พระมหากรุณาธิคุณจะไม่เลือนหาย” และพันธกิจเพื่อประชาชน โดยเฉพาะผู้ยากไร้และผู้ด้อยโอกาส จะยังเดินหน้าต่อไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TRAVEL

Likhai Nature Walk ปี 3 ยกระดับ ‘ลิไข่’ สู่จุดหมายปลายทาง การท่องเที่ยวคุณภาพของเชียงราย

เปิดประสบการณ์ “อาบป่า” ที่ลิไข่! อบจ.เชียงราย หนุนท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ สร้างรายได้ชุมชน

เชียงราย, 26 ตุลาคม 2568 – ยามเช้าที่หมอกบางๆ คลุมทิวเขา แสงแรกของวันค่อยๆ ไล้ตามแนวสันนาขั้นบันไดสีเขียวมรกต บ้านลิไข่ ตำบลนางแล อำเภอเมืองเชียงราย เริ่มตื่นก่อนเมือง นักท่องเที่ยวบางส่วนกำลังยืดแขนรับอากาศเย็น ขณะชาวบ้านชงกาแฟคั่วสดในกระบอกไม้ไผ่ กลิ่นหอมของดินเปียก น้ำค้าง ใบหญ้า และควันอ่อนจากเตาถ่าน ประสานกันจนไม่แน่ชัดว่าเรากำลังอยู่ในพื้นที่ท่องเที่ยว หรืออยู่ในพิธีกรรมบำบัดใจ

นี่คือบรรยากาศของกิจกรรม “Likhai Nature Walk – เดินสำรวจเส้นทางธรรมชาติ บ้านลิไข่” ซึ่งจัดต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 และกำลังถูกยกระดับให้เป็นต้นแบบการท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติและสุขภาพของจังหวัดเชียงราย โดยได้รับการสนับสนุนจากองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย) ภายใต้นโยบาย “เที่ยวได้ทุกสไตล์ เที่ยวเชียงรายได้ทั้งปี มีดีทุกอำเภอ” ที่มุ่งหมายให้การท่องเที่ยวไม่กระจุกอยู่เพียงจุดดัง แต่กระจายสู่ทุกพื้นที่ที่มีอัตลักษณ์ของตัวเอง

ในปีนี้ นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย มอบหมายให้ นายวิญญู ทองทัน เลขานุการนายก อบจ.เชียงราย ลงพื้นที่ร่วมกิจกรรม ณ บ้านลิไข่ โดยมี นางยุรีพรรณ แสนใจยา ผู้อำนวยการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานเชียงราย เป็นประธานในพิธีเปิด พร้อมด้วยภาคีเครือข่ายท้องถิ่นและภาคเอกชน ได้แก่ นายวิทยา เหล่าธีรศิริ ประธานกลุ่มนักธุรกิจรุ่นใหม่หอการค้าจังหวัดเชียงราย (YEC หอการค้าจังหวัดเชียงราย) ซึ่งรายงานภาพรวมความร่วมมือ และนายพิษณุ เขื่อนเพชร รองนายกเทศมนตรีตำบลนางแล ซึ่งทำหน้าที่ต้อนรับในฐานะตัวแทนพื้นที่

หากมองเพียงผิวเผิน กิจกรรมนี้อาจเป็นเพียง “การเดินชมวิว” ของนักท่องเที่ยว แต่สำหรับคนเชียงราย โดยเฉพาะผู้ทำงานในพื้นที่มานาน กิจกรรม “Likhai Nature Walk” เป็นมากกว่านั้น มันคือพื้นที่ทดลองนโยบายสาธารณะในระดับพื้นที่จริง เป็นการจัดการสมดุลระหว่างการอนุรักษ์ธรรมชาติ การพัฒนาคุณภาพชีวิตของชุมชน และการออกแบบรูปแบบ “การท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ” แทนที่จะเป็นการท่องเที่ยวที่เน้นตัวเลขปริมาณผู้มาเยือน

นาขั้นบันไดลิไข่” จากภูมิทัศน์ชาวบ้าน สู่แหล่งฮีลใจระดับประเทศ

นาขั้นบันไดบ้านลิไข่ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา กลายเป็นชื่อที่เริ่มถูกพูดถึงในหมู่นักเดินทางที่ต้องการ “พักใจแท้ๆ” โดยไม่ต้องเดินทางไกลถึงชายแดนหรือยอดดอยสูง นาขั้นบันไดที่นี่ไม่ได้มีเพียงความสวยงามของผืนนาเรียงชั้นตามไหล่เขา แต่มีบริบทของคน ชุมชน และธรรมชาติที่ยังเชื่อมถึงกันอย่างใกล้ชิด

ภาพที่เห็นคือผืนนาข้าวโค้งเรียวรับไปตามสันคันนา มองได้ไกลสุดสายตาแบบไม่มีเสาไฟฟ้าแรงสูง ไม่มีป้ายโฆษณา ไม่มีร้านค้าสำเร็จรูปขนาดใหญ่ และไม่มีสิ่งปลูกสร้างที่ตัดกับภูมิประเทศดั้งเดิม ความงดงามจึงไม่ใช่เพียง “ทิวทัศน์” แต่คือความสัมพันธ์ระหว่างคนกับผืนดิน

กิจกรรม Likhai Nature Walk จึงไม่ใช่เพียงการพาคนนอกเข้ามาถ่ายภาพ แต่คือการนำผู้เข้าร่วม “เดินเข้าไปในระบบนิเวศของชุมชน” อย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยยึดหลักการที่ผู้จัดเรียกว่า “อาบป่า” หรือ Shinrin-Yoku ซึ่งเป็นแนวคิดการบำบัดด้วยธรรมชาติที่ได้รับความนิยมในหลายประเทศ

ในพื้นที่ลิไข่ การ “อาบป่า” ไม่ได้จำกัดอยู่ในเขตป่าอนุรักษ์ หากแต่เกิดขึ้นในนาขั้นบันได ป่าชุมชน ลำธารเล็กๆ ทางเดินเก่าใต้ร่มไผ่ และพื้นที่เกษตรผสมผสาน — กล่าวคือ เป็นการยอมรับว่าภูมิทัศน์ทางการเกษตรแบบดั้งเดิมเองก็มีมิติการเยียวยาที่แท้จริง ไม่ต่างไปจากป่าดิบ

ผู้ร่วมกิจกรรมได้สัมผัสด้วยประสาทสัมผัสทั้งสี่

  • เสียง: เสียงลมพัดผ่านยอดข้าว เสียงน้ำไหลเบาๆ จากร่องน้ำและลำธาร เสียงจั๊กจั่นในร่องป่าชื้น
  • กลิ่น: กลิ่นหญ้าเปียก กลิ่นข้าวอ่อน กลิ่นสมุนไพรพื้นถิ่นที่ชาวบ้านปลูกริมคันนา
  • ภาพ: ภาพพื้นที่สีเขียวไล่ระดับแบบไม่มีเส้นตึกตัดสายตา พร้อมหมอกลงสลับเงาเขา
  • สัมผัสและรส: การเดินเท้าเปล่าแตะบนดินเย็น แช่ปลายเท้าลงในลำธารธรรมชาติ จิบกาแฟร้อนที่คั่วโดยคนในพื้นที่ ยามอุณหภูมิยังต่ำกว่ายี่สิบนิดๆ

แนวคิดตรงนี้มีความสำคัญ เพราะเป็นการเปลี่ยนการมาเยือนจาก “การบริโภคสถานที่” ไปสู่ “การอยู่กับสถานที่” ซึ่งเป็นหัวใจของการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ นักท่องเที่ยวไม่ได้ถูกปฏิบัติในฐานะลูกค้าเพียงอย่างเดียว แต่ในฐานะแขกที่ได้รับเชิญให้เรียนรู้วิธีอยู่ร่วมกับภูมิทัศน์อย่างเคารพ

ไม่ใช่ท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติธรรมดา แต่คือเศรษฐกิจฐานรากแบบมีสติ

การผลักดัน Likhai Nature Walk ในปีนี้มีความหมายทางนโยบายในระดับจังหวัดอย่างชัดเจน นายวิญญู ทองทัน เลขานุการนายก อบจ.เชียงราย ระบุถึงทิศทางดังกล่าวว่า การผลักดันกิจกรรมลักษณะนี้เป็นส่วนหนึ่งของความตั้งใจของ อบจ.เชียงราย ที่ต้องการสร้างประโยชน์ทางเศรษฐกิจให้กับประชาชนในทุกอำเภออย่างทั่วถึง พร้อมทั้งสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของ อบจ.เชียงราย ที่ต้องการยกระดับเชียงรายให้เป็น “เมืองแห่งสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน”

หากมองในเชิงโครงสร้าง จะเห็นว่ามีความพยายามผลักเชียงรายให้ก้าวข้ามการเป็น “จังหวัดท่องเที่ยวเชิงฤดูกาล” (เมืองหนาวปลายปี ดอยดัง คาเฟ่ดัง) ไปสู่การเป็น “พื้นที่การท่องเที่ยวคุณภาพที่เที่ยวได้ทั้งปี” โดยใช้ความหลากหลายของภูมิประเทศ ชาติพันธุ์ วิถีชุมชน และทรัพยากรธรรมชาติเป็นเสาหลักของการออกแบบเส้นทางท่องเที่ยว

นโยบายดังกล่าวถูกสรุปในคำขวัญเชิงปฏิบัติการของ อบจ.เชียงราย คือ “เที่ยวได้ทุกสไตล์ เที่ยวเชียงรายได้ทั้งปี มีดีทุกอำเภอ” (นโยบายเรือธงข้อที่ 5 ในชุดนโยบาย 7 เรือธงของ อบจ.) ซึ่งในทางปฏิบัติหมายถึง

  1. ลดการกระจุกของรายได้ท่องเที่ยว
    รายได้จากการท่องเที่ยวไม่ควรตกอยู่เฉพาะในอำเภอที่เป็นแม่เหล็กทางการตลาด เช่น เมืองเชียงราย แม่สาย แม่จัน หรือจุดแลนด์มาร์กที่ถูกพูดถึงในโซเชียลมีเดียมาก่อนหน้านี้ แต่ควรไหลลงสู่พื้นที่ชนบท พื้นที่เกษตรดั้งเดิม และพื้นที่ชุมชนที่ยังพึ่งพาการผลิตภาคเกษตรเป็นหลัก
    บ้านลิไข่ ตำบลนางแล คือหนึ่งในพื้นที่เช่นนั้น
  2. เสริมความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานราก
    การท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติที่ออกแบบอย่างระมัดระวัง เช่น “อาบป่า” ไม่ได้ดึงดูดเฉพาะนักท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและกลุ่มวัยทำงานที่มองหาความสงบ แต่ยังสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจให้กับครัวเรือนในชุมชนผ่านการขายกาแฟพื้นถิ่น ผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรแปรรูปเล็กๆ ของครัวเรือน อาหารเช้าแบบพื้นบ้าน ของฝากทำมือ รวมถึงบริการนำทางท้องถิ่น (local guide) ที่พึ่งพาความรู้ของคนในพื้นที่จริง ไม่ใช่บริษัททัวร์จากภายนอก
  3. ยกระดับภาพลักษณ์การท่องเที่ยวเชียงรายสู่มาตรฐานเชิงสุขภาพและสิ่งแวดล้อม
    กิจกรรมแนวธรรมชาติบำบัด (nature therapy) แบบนี้ตอบโจทย์เทรนด์การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพที่เติบโตต่อเนื่อง ทั้งในระดับประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มองหาประสบการณ์เชิงลึกมากกว่าการเช็กอิน
    แนวโน้มดังกล่าวมีนัยทางเศรษฐกิจสำคัญ เพราะเป็นฐานนักท่องเที่ยวที่ใช้เวลาพักนานขึ้น มีการใช้จ่ายสูงขึ้น และให้ความสำคัญกับคุณภาพมากกว่าปริมาณ

หรือกล่าวอีกแบบ การท่องเที่ยวในแนวทางนี้ไม่ได้ขาย “วิว” อย่างเดียว แต่ขาย “คุณภาพชีวิต” ที่นักท่องเที่ยวจะได้รับ — และรายได้ที่ชาวบ้านจะได้กลับคืน

การทำงานร่วมกัน ภาครัฐ – เอกชน – ชุมชน

หนึ่งในจุดเด่นของ Likhai Nature Walk คือการเป็นตัวอย่างของ “การขับเคลื่อนร่วม” ระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ โดยไม่ได้ให้หน่วยงานภาครัฐทำงานแบบสั่งการฝ่ายเดียว แต่ทำในรูปแบบเครือข่าย

  • อบจ.เชียงราย ทำหน้าที่สนับสนุนเชิงยุทธศาสตร์และการขับเคลื่อนนโยบายในเชิงจังหวัด เชื่อมปรัชญาการท่องเที่ยวกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชนในระยะยาว
  • องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ (เทศบาลตำบลนางแล) ซึ่งในครั้งนี้มีตัวแทนคือ นายพิษณุ เขื่อนเพชร รองนายกเทศมนตรีตำบลนางแล ทำหน้าที่เป็น “พื้นที่รองรับ” จัดระเบียบพื้นที่ ดูแลความพร้อมเชิงโครงสร้างพื้นฐานเบื้องต้น และเป็นจุดประสานกับชุมชน
  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานเชียงราย ซึ่งมี นางยุรีพรรณ แสนใจยา เป็นผู้อำนวยการ ทำหน้าที่เชื่อมการสื่อสารสู่สาธารณะและนักท่องเที่ยวในเชิงภาพลักษณ์การท่องเที่ยวคุณภาพ
  • หอการค้าจังหวัดเชียงรายและเครือข่ายนักธุรกิจรุ่นใหม่ (YEC) โดยมีนายวิทยา เหล่าธีรศิริ เป็นหนึ่งในกลไกผลักดัน เพื่อมองโอกาสต่อยอดเชิงพาณิชย์อย่างสมดุลกับการรักษาพื้นที่ เช่น การสร้างแพ็กเกจท่องเที่ยวเชิงสุขภาพเชื่อมโยงระหว่างที่พัก ร้านอาหารพื้นถิ่น และประสบการณ์เชิงวัฒนธรรม

โครงสร้างนี้สะท้อนความพยายามของเชียงรายในการทำให้ “การท่องเที่ยวโดยชุมชน” ไม่ใช่การผลักให้ชุมชนไปรับผิดชอบเองโดยลำพัง แต่เป็นการวางชุมชนให้อยู่กลางวง แล้วให้หน่วยงานรัฐและเอกชนทำหน้าที่สนับสนุน ช่วยการตลาด สร้างระบบความพร้อม และคุ้มครองความสมดุลเชิงนิเวศ

กล่าวอีกมุม นี่คือแบบจำลองของ “การพัฒนาที่ไม่บังคับชุมชนให้เป็นรีสอร์ต” แต่ให้ชุมชนเป็นชุมชน และทำมาหากินจากสิ่งที่เป็นตัวเอง

จากกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์ สู่เครื่องมือเชิงยุทธศาสตร์จังหวัด

กิจกรรม Likhai Nature Walk ไม่ใช่งานครั้งแรก แต่จัดต่อเนื่องมาแล้ว 3 ปี และผู้จัดระบุว่า จำนวนผู้มาเยือนนาขั้นบันไดลิไข่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มนักท่องเที่ยววัยทำงาน กลุ่มคนเมืองที่ต้องการพัก-ฟื้น และครอบครัวรุ่นใหม่ที่เริ่มมองหากิจกรรมแนว “พาเด็กสัมผัสดินน้ำลมไฟ” มากกว่าพาไปศูนย์การค้า

ปรากฏการณ์ “คนกลับมาหาธรรมชาติ” ซึ่งเกิดขึ้นหลังช่วงวิกฤตสุขภาพโลกตลอดหลายปีที่ผ่านมา กำลังสร้างตลาดใหม่ที่จังหวัดเชียงรายมองเห็นอย่างจริงจัง — ตลาดของการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ สุขภาวะ และสมดุลชีวิต (wellbeing tourism)

สิ่งนี้กำลังสะท้อนชัดว่า จ.เชียงราย ไม่ต้องการยืนอยู่บนคำว่า “หน้าหนาวค่อยมา” อีกต่อไป แต่ต้องการยืนอยู่บนฐาน “เชียงราย = เมืองคุณภาพชีวิต” ที่เที่ยวได้ทั้งปี และแต่ละอำเภอมีสินค้าการท่องเที่ยวที่เป็นของตัวเอง

นโยบายเรือธงข้อที่ 5 ซึ่งย้ำว่า “เที่ยวเชียงรายได้ทั้งปี มีดีทุกอำเภอ” จึงไม่ใช่คำขวัญเพื่อการประชาสัมพันธ์ แต่คือกรอบยุทธศาสตร์ที่มีเป้าหมายเชิงโครงสร้าง ดังนี้

  1. ทำให้การท่องเที่ยวกลายเป็นฐานเศรษฐกิจที่พึ่งพาตนเองได้ในระดับอำเภอ
  2. ทำให้ชุมชนในพื้นที่เกษตร-พื้นที่ภูเขา ได้รับรายได้โดยไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนวิถีชีวิตจนสูญเสียตัวตน
  3. ลดแรงกดดันเชิงสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ท่องเที่ยวยอดนิยม (overtourism) ด้วยการกระจายความนิยมไปสู่พื้นที่ใหม่ๆ
  4. ปรับภาพลักษณ์ของจังหวัดเชียงรายสู่ “เมืองสุขภาวะ” (wellbeing destination) ซึ่งเชื่อมโยงได้ทั้งการท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ อาหารพื้นถิ่น การทำสมาธิ การบำบัดด้วยป่า การเรียนรู้วิถีชุมชน

กล่าวในเชิงนโยบายสาธารณะ นี่คือการสร้างทางเลือกในระดับจังหวัด เพื่อเตรียมรับอนาคตเศรษฐกิจท่องเที่ยวที่แข่งขันสูงขึ้น ขณะเดียวกันก็ตอบโจทย์ความเปลี่ยนแปลงด้านสังคมของประเทศ เช่น สัดส่วนประชากรวัยทำงานที่เผชิญความเครียดเรื้อรัง และกลุ่มผู้สูงวัยที่มีความต้องการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพมากขึ้น

เชียงรายจึงไม่ได้ขายแค่ภาพสวยของภูเขาอีกต่อไป แต่ขาย “การฟื้นตัวของตัวเราเอง” ในพื้นที่ที่ยังคงหายใจได้

เมืองท่องเที่ยว กับ เมืองน่าอยู่ ต้องเป็นเมืองเดียวกัน

ประเด็นที่ผู้บริหารท้องถิ่นในเชียงรายย้ำหลายครั้งในกิจกรรมนี้ คือการผลักดันการท่องเที่ยว ต้องไม่ผลักภาระให้คนในพื้นที่ต้องรับความเปลี่ยนแปลงจนชีวิตปกติถูกรบกวน

การท่องเที่ยวในรูปแบบ “เดินสำรวจเส้นทางธรรมชาติ – อาบป่า” จึงถูกออกแบบต่างจากทัวร์เชิงปริมาณในหลายประเด็นสำคัญ เช่น

  • กลุ่มนักท่องเที่ยวถูกจำกัดขนาด ไม่ใช่การระดมคนจำนวนมากในคราวเดียว
  • กิจกรรมเน้นการเดินเท้า ไม่ใช่การขับยานพาหนะเข้าสู่พื้นที่เพาะปลูก
  • เวลาการจัดกิจกรรมสอดประสานกับวิถีเกษตรในพื้นที่ (เช้า–สาย) เพื่อลดการรบกวนการทำงานจริงของชาวบ้าน
  • รายได้เชื่อมตรงกับคนในพื้นที่ เช่น ร้านกาแฟชุมชน ผู้จัดกิจกรรมชุมชน วิสาหกิจท้องถิ่น มากกว่าการปล่อยให้เงินไหลออกนอกพื้นที่

กล่าวอีกนัยหนึ่ง เมื่อนักท่องเที่ยวค่อยๆ สูดลมหายใจในป่าบ้านลิไข่ คนในพื้นที่เอง ก็ยังสามารถหายใจในบ้านเกิดของตนได้เช่นกัน

จากนาขั้นบันได สู่แบบจำลองการท่องเที่ยวเพื่อคุณภาพชีวิต

สิ่งที่เกิดขึ้นในบ้านลิไข่ ตำบลนางแล ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของการเดินป่า หรือการจิบกาแฟกลางหมอก หากแต่เป็นการวางหมุดหมายด้านการพัฒนาในระดับจังหวัด โดยมี “สุขภาวะของคน” เป็นแกนกลาง

นี่คือการประกาศว่า เชียงรายจะไม่วัดความสำเร็จด้วยตัวเลขนักท่องเที่ยวอย่างเดียวอีกต่อไป แต่จะวัดด้วยคำถามว่า

  • คนในพื้นที่อยู่ได้ดีขึ้นหรือไม่
  • พื้นที่ยังคงความสมดุลทางธรรมชาติหรือไม่
  • นักท่องเที่ยวกลับไปพร้อมหัวใจที่เบาลงไหม
  • และในระยะยาว พื้นที่แบบลิไข่ จะยังคงเป็น “บ้าน” ของคนลิไข่ได้จริงหรือไม่

การผลักดันกิจกรรม Likhai Nature Walk ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 และการเข้ามาหนุนอย่างชัดเจนของ อบจ.เชียงราย ททท.เชียงราย เทศบาลตำบลนางแล ภาคธุรกิจท้องถิ่น และชุมชน จึงสะท้อนว่าการท่องเที่ยวไม่ใช่อุตสาหกรรมที่ต้องแลกธรรมชาติกับเงินอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เสมอไป หากแต่สามารถเป็น “ระบบนิเวศของการอยู่ร่วมกัน” ที่ทุกฝ่ายมองเห็นคุณค่าของกันและกัน

และเมื่อคำขวัญ “เที่ยวได้ทุกสไตล์ เที่ยวเชียงรายได้ทั้งปี มีดีทุกอำเภอ” ถูกนำลงสู่พื้นที่จริงผ่านกิจกรรมที่จับต้องได้แบบนี้ เชียงรายก็กำลังส่งสัญญาณชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ ว่า เมืองท่องเที่ยวที่ดีในศตวรรษนี้ ต้องเป็นเมืองที่คนอยู่ได้ดีเช่นกัน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • YEC Chiang Rai – กลุ่มนักธุรกิจรุ่นใหม่ เชียงราย
  • อบจ.เชียงราย
  • สำนักงานการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานเชียงราย
  • ตำบลนางแล
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

ยกระดับ! จุลกฐินไทลื้อ “ผ้าทันใจ” มหากุศลรวมใจชุมชน สู่ยุทธศาสตร์ท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมเชียงราย

จุลกฐินโบราณคืนชีพ อบจ.เชียงราย-ชุมชนผนึกกำลัง เปลี่ยนประเพณีเป็นทุน สร้างรายได้ยั่งยืน

เชียงราย, 25 ตุลาคม 2568 — แสงไฟยามค่ำเริ่มทอดเงาบนลำน้ำโขง เงาคนงาน ผู้เฒ่า แม่เครือทอผ้า และเยาวชนในชุดไทลื้อสีครามเข้มกำลังขยับมือ ทำงานแข่งกับเวลา ในศาลาวัดบ้านหาดบ้าย ตำบลริมโขง อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย ไม่มีใครพูดถึงคำว่า “การจัดงาน” ทุกคนพูดถึงคำเดียวคือ “บุญ”

นี่คือบรรยากาศของ “งานทอสายบุญ จุลกฐิน ถิ่นไทลื้อโบราณ” ประเพณีบุญที่กำลังได้รับการฟื้นคืนให้มีชีวิตอย่างจริงจังจากการร่วมมือของชุมชนไทลื้อบ้านหาดบ้าย องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย) และองค์การบริหารส่วนตำบลริมโขง (อบต.ริมโขง) พร้อมการสนับสนุนของอำเภอเชียงของ ในช่วงวันที่ 25–26 ตุลาคม 2568

พิธีเปิดจัดขึ้น ณ วัดบ้านหาดบ้าย โดยมีนายอุดม ปกป้องบวรกุล นายอำเภอเชียงของ เป็นประธานในพิธีเปิดงาน ขณะที่ อบจ.เชียงรายซึ่งนำโดย นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย มอบหมายให้ นายญาณาฤทธิ์ หนสมสุข รองปลัด อบจ.เชียงราย พร้อมด้วยนายวสุพล จตุรคเชนทร์เดชา รองประธานสภา อบจ.เชียงราย รวมถึงหัวหน้าส่วนราชการ เข้าร่วมในนามตัวแทนของจังหวัด เพื่อยืนยันว่า เรื่องนี้ ไม่ใช่เพียงงานประเพณี หากแต่เป็นวาระเชิงยุทธศาสตร์ของจังหวัดเชียงราย

จุลกฐิน” มหากุศลแห่งการรวมใจ

แก่นกลางของงานนี้ คือ “จุลกฐิน” หรือที่ชาวไทลื้อบ้านหาดบ้ายเรียกว่า “ผ้าทันใจ” ซึ่งเป็นพิธีบุญโบราณที่สืบทอดกันมายาวนานในชุมชนไทลื้อทางล้านนา จุลกฐินถือเป็นงานบุญพิเศษที่ไม่ใช่การทอดกฐินแบบทั่วไป หากแต่เป็นการ “ทอผ้า เพื่อถวายผ้าไตรแด่พระภิกษุภายในเวลาจำกัด” คือ ต้องเก็บฝ้าย ฟั่นเส้น กรอ ปั่น ทอ เย็บ ตัด จนกลายเป็นผ้าไตรจีวร ถวายพระเสร็จสิ้นภายในหนึ่งวาระบุญต่อเนื่อง โดยปกติทำกันภายในช่วงเวลาประมาณ 24 ชั่วโมง

ในทางปฏิบัติ นั่นหมายถึง “ทั้งหมู่บ้านต้องตื่นพร้อมกัน”

นายอุดม ปกป้องบวรกุล นายอำเภอเชียงของ กล่าวในพิธีเปิดว่า งานจุลกฐินไม่ใช่เพียงพิธีทางศาสนาหรือการอนุรักษ์วัฒนธรรม แต่เป็น “มหากุศลที่หาชมได้ยากยิ่ง” และยิ่งไปกว่านั้น ความหมายแท้จริงของงาน ไม่ได้อยู่แค่ผืนผ้าที่จะถวายพระ แต่อยู่ที่ “พลังรวมใจของคนทั้งชุมชน”

“ประเพณีนี้ ไม่สามารถสำเร็จลงได้ด้วยคนเพียงกลุ่มเดียว ต้องอาศัยการรวมแรงของทั้งชุมชน ทำทุกขั้นตอนให้เสร็จภายในเวลาที่จำกัด” นายอุดมกล่าวระหว่างเปิดงาน พร้อมย้ำว่า ความพร้อมเพรียงของคนในพื้นที่บ้านหาดบ้ายและบ้านหาดทรายทอง ต.ริมโขง ไม่เพียงเป็นสิ่งน่าประทับใจในมิติของศรัทธา แต่กำลังขยายบทบาทไปสู่ “การบูรณาการและต่อยอดมรดกอันล้ำค่านี้ ให้กลายเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม”

การทอผ้าจุลกฐินตามคติความเชื่อดั้งเดิมของไทลื้อ ไม่ใช่แค่การทำผ้า แต่เป็นการ “ร่วมทำบุญใหญ่” ที่มีคุณค่าทางศาสนาใกล้เคียงกับการบวชของชายหนุ่ม ตามความเชื่อดั้งเดิมของชาวล้านนาและกลุ่มชาติพันธุ์ไทลื้อ เนื่องจากสตรีไม่มีโอกาสบวชในเชิงพุทธศาสนาอย่างผู้ชาย การทอผ้ากฐินภายในกำหนดเวลาศักดิ์สิทธิ์ จึงเป็นพื้นที่บุญสำคัญของผู้หญิงในชุมชน

ดังนั้น ในคืนก่อนวันถวายผ้า “ผู้หญิงไทลื้อจำนวนมากในชุมชนจะชำระร่างกาย ทำความสะอาดทุกส่วน รักษาศีล ตั้งจิตให้สงบ” ก่อนเริ่มภารกิจที่กินเวลาข้ามคืนตั้งแต่ช่วงเที่ยงคืนจนถึงค่ำของวันเดียวกัน — ไม่ใช่เพื่อความสวยงามของผืนผ้าเท่านั้น แต่เพื่อความบริสุทธิ์ของการทำบุญ

นี่คืออัตลักษณ์วัฒนธรรมที่ยืนยันเรื่องสำคัญอย่างหนึ่งว่า ผู้หญิงในชุมชน ไม่ได้อยู่ในบทบาท “สนับสนุน” หากแต่เป็น “หัวใจของพิธีกรรม”

ประเพณีเก่าที่ไม่ยอมเก่า ความทรงจำของชุมชนไทลื้อบ้านหาดบ้าย

บ้านหาดบ้าย เป็นชุมชนไทลื้อที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำโขง ในเขตตำบลริมโขง อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย พื้นที่แห่งนี้เป็นหนึ่งในด่านสำคัญของวัฒนธรรมไทลื้อที่โยกย้ายตั้งถิ่นฐานลงมาจากตอนบนของลุ่มน้ำโขงในอดีต พร้อมขนเอาวิถีชีวิต ภาษา การแต่งกาย การกิน และภูมิปัญญาการทอผ้าลงมาด้วย

ปราชญ์ท้องถิ่นของชุมชนเล่าว่า “จุลกฐิน” หรือที่เรียกกันติดปากในหมู่บ้านว่า “ทอผ้าทันใจ” มีมาตั้งแต่จำความได้ แม้ว่าในอดีตจะไม่ได้จัดทุกปีเสมอไป บางช่วงเว้นห่างทุก 3 ปี และในระยะก่อนหน้า พิธีมักจัดกันในลักษณะชุมชนเล็ก ๆ บนพื้นที่กลางหมู่บ้าน โดยมีครอบครัวและกลุ่มแม่หญิงในแต่ละกลุ่มมารวมตัวกัน ทำงานเงียบ ๆ แต่ตั้งใจมาก

รูปแบบในอดีตนั้นเรียบง่าย ไม่มีเวที ไม่มีไฟส่อง ไม่มีป้ายประชาสัมพันธ์ การทำบุญเป็นกิจกรรมภายในหมู่บ้าน คนเฒ่าคนแก่สอนคนรุ่นลูก คนรุ่นลูกสอนคนรุ่นหลาน ต่อเนื่องกันไป นี่จึงเป็นทั้ง “พิธีกรรมทางศาสนา” “กระบวนการถ่ายทอดองค์ความรู้” และ “กิจกรรมสร้างความสมัครสมาน” ในคราวเดียวกัน

แตกต่างจากหลายพื้นที่ในล้านนาที่ประเพณีจุลกฐินเริ่มเลือนหายไป บ้านหาดบ้ายกลับรักษาไว้ได้อย่างเหนียวแน่น และในรอบ 3 ปีหลัง ประเพณีนี้ได้รับการสนับสนุนในระดับนโยบายท้องถิ่นที่ชัดเจนขึ้น ผ่านการผลักดันของ อบต.ริมโขง และ อบจ.เชียงราย จนเปลี่ยนจากงานบุญท้องถิ่น ไปเป็น “เวทีวัฒนธรรมสาธารณะ” ในความหมายที่ยังเคารพรากเดิม

กล่าวได้ว่า บ้านหาดบ้ายไม่ได้เพียงรักษาประเพณีเก่าเอาไว้ แต่กำลัง “ใช้ประเพณีเป็นทุนทางสังคมและเศรษฐกิจ” อย่างเป็นรูปธรรม

วัฒนธรรมไม่ใช่ของโชว์ แต่คือเครื่องมือพัฒนาชุมชน

นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย ได้มอบหมายให้คณะผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ อบจ.ลงพื้นที่ร่วมเปิดงาน พร้อมสนับสนุนการจัดกิจกรรมในปีนี้อย่างต่อเนื่อง โดย อบจ.เชียงรายอธิบายกรอบการขับเคลื่อนงานไว้ภายใต้นโยบาย “เที่ยวได้ทุกสไตล์ เที่ยวเชียงรายได้ทั้งปี มีดีทุกอำเภอ” ซึ่งเป็นหนึ่งในกรอบยุทธศาสตร์ที่ตั้งใจจะกระจายการท่องเที่ยวจากจุดหลักที่คนทั่วไปคุ้นเคย (ตัวเมืองเชียงราย, ดอยแม่สลอง, วัดร่องขุ่น) ไปสู่ชุมชนชายแดนและชุมชนวัฒนธรรมชาติพันธุ์

เป้าหมายไม่ใช่เพียงการเพิ่มนักท่องเที่ยว แต่เป็นการทำให้ “การท่องเที่ยวโดยชุมชน” กลายเป็นเศรษฐกิจฐานรากที่ชาวบ้านมีส่วนร่วมจริง ไม่ใช่การนำวัฒนธรรมไปจัดแสดงแบบแยกออกจากเจ้าของวัฒนธรรม

ในรายละเอียด การสนับสนุนโครงการ “ทอสายบุญ จุลกฐิน ถิ่นไทลื้อโบราณ” มีวัตถุประสงค์หลัก 3 ประการที่ อบจ.เชียงรายและ อบต.ริมโขงระบุชัด ได้แก่

  1. ส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและวิถีชีวิตพื้นบ้าน
    ไม่ใช่การสร้างแหล่งท่องเที่ยวจำลอง แต่ชวนให้ผู้มาเยือนได้เห็น “วิถีจริง” ของชุมชน ไม่ว่าจะเป็นอาหารพื้นถิ่น การแต่งกายไทลื้อ การทอผ้า การล่องเรือชมโขง หรือการใช้ชีวิตริมชายแดนไทย-ลาว
  2. สร้างงาน สร้างอาชีพ กระจายรายได้สู่ประชาชนในท้องที่
    งานจุลกฐินนำโอกาสทางเศรษฐกิจมาสู่คนในหมู่บ้านอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งการจำหน่ายผ้าทอไทลื้อของชุมชนหาดบ้าย การจำหน่ายอาหารพื้นบ้าน ผลิตภัณฑ์พื้นถิ่น และงานหัตถกรรมของกลุ่มแม่บ้านและกลุ่มเยาวชน
    เป้าหมายชัดเจน ให้การท่องเที่ยวเป็น “รายได้จริง” ไม่ใช่ “ภาพจำ” ว่าจังหวัดสวย
  3. สร้างความภาคภูมิใจและความร่วมมือในชุมชน
    การทำบุญร่วมกัน การทำงานร่วมกันแบบข้ามช่วงวัย การได้เห็นว่าทักษะฝีมือ (เช่นการทอผ้า) ถูกยอมรับในฐานะทุนของหมู่บ้าน ล้วนเป็นกลไกสร้างขวัญกำลังใจให้คนในพื้นที่เชื่อมั่นว่า “คุณค่าของเรา มีคนเห็น และมีคนพร้อมสนับสนุน”

นายอุดม ปกป้องบวรกุล นายอำเภอเชียงของ กล่าวในพิธีเปิดว่า งานครั้งนี้เป็นภาพสะท้อน “พลังของพี่น้องท้องถิ่นรวมใจ” ที่สอดคล้องอย่างยิ่งกับแนวนโยบายของภาครัฐที่ผลักดันเศรษฐกิจฐานรากและการท่องเที่ยวโดยชุมชน โดยย้ำว่า “พลังแห่งศรัทธาและความสามัคคี ไม่ได้หยุดอยู่เพียงในขอบเขตของประเพณี แต่กำลังถูกต่อยอดเป็นรูปธรรมไปสู่การสร้างรายได้ให้ท้องถิ่นอย่างยั่งยืน”

เชียงของ ไม่ใช่แค่เมืองชายแดน แต่คือพื้นที่ยุทธศาสตร์ทางวัฒนธรรมและเศรษฐกิจ

อำเภอเชียงของตั้งอยู่ริมแม่น้ำโขง ติดชายแดน สปป.ลาว เป็นจุดที่แม่น้ำโขงไหลเข้าสู่ประเทศไทยตอนเหนือ พร้อมบทบาทด้านเศรษฐกิจเชื่อมการค้าไทย–ลาว–จีน และเส้นทางสัญจรของผู้เดินทางระหว่างอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง

เชียงของเคยถูกมองว่าเป็น “เมืองทางผ่าน” สำหรับนักเดินทางไป–กลับประเทศเพื่อนบ้าน แต่ในปัจจุบันกำลังถูกออกแบบใหม่ให้เป็นจุดหมายในตัวเอง ผ่านการยกระดับสินค้าการท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ เช่น

  • การท่องเที่ยวแม่น้ำโขงทั้งทางเรือและทางจุดชมวิว
  • การท่องเที่ยววิถีชาติพันธุ์
  • การเดินถนนคนเดินชุมชน
  • การท่องเที่ยวสืบสานงานบุญและประเพณีท้องถิ่น

พื้นที่ตำบลริมโขงมีชนเผ่าและกลุ่มชาติพันธุ์อาศัยอยู่ร่วมกันหลายกลุ่ม ทั้งชาวไทลื้อ ไทยลาว ม้ง อาข่า ขมุ และคนพื้นเมืองล้านนา แต่ละกลุ่มมีทั้งภาษา อาหาร การแต่งกาย และขนบธรรมเนียมที่ต่างกัน งานจุลกฐินจึงไม่ใช่แค่พิธีทางพุทธศาสนา แต่ยังทำหน้าที่เป็น “เวทีแสดงตัวตน” ของคนในพื้นที่ชายแดน โดยเปิดให้คนนอกได้เข้ามาเรียนรู้ด้วยความเคารพ

ในมิติพื้นที่ การจัดกิจกรรมเชิงวัฒนธรรมในชุมชนหาดบ้าย–หาดทรายทองยังสอดคล้องกับยุทธศาสตร์จังหวัดเชียงราย (พ.ศ. 2566–2570) และยุทธศาสตร์ของ อบจ.เชียงราย ที่มุ่ง “สร้างมูลค่าเพิ่มด้านการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์โดยดำรงฐานวัฒนธรรมล้านนา” รวมถึงแนวนโยบายด้านการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมในระดับชาติที่เน้นให้ชุมชนท้องถิ่นบริหารจัดการทุนทางวัฒนธรรมของตนเอง เพื่อสร้างเศรษฐกิจที่ยืนได้ด้วยกำลังของชุมชน

กล่าวในเชิงกฎหมายและนโยบายท้องถิ่น การดำเนินโครงการดังกล่าวยังเชื่อมโยงกับอำนาจหน้าที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ตามพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. 2540 และฉบับแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2552 ตลอดจนกรอบอำนาจตามพระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2542 ที่มอบหมายให้ท้องถิ่น “พัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมของพื้นที่” รวมถึง “คุ้มครอง ดูแล และบำรุงรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม” และ “บำรุงและส่งเสริมการประกอบอาชีพของราษฎร”

กล่าวอีกแบบ นี่ไม่ใช่งานเชิงสัญลักษณ์ แต่เป็นการใช้เครื่องมือทางกฎหมายและอำนาจของท้องถิ่นเพื่อพัฒนาชุมชนอย่างตรงเป้า

จุลกฐิน ไม่ใช่แค่การสืบสาน แต่คือการต่อยอดอนาคต

ในเวทีเปิดงาน นายอุดม ปกป้องบวรกุล กล่าวถึงความหมายของโครงการครั้งนี้ว่า “ขอเชิญทุกท่านอิ่มบุญไปกับมหากุศลจุลกฐิน และอิ่มใจไปกับไมตรีจิตและวิถีวัฒนธรรมอันงดงามของชาวเชียงของ” พร้อมกล่าวขอบคุณหัวหน้าส่วนราชการ นายกองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และพี่น้องประชาชนที่ร่วมมือกันสนับสนุนการจัดงาน โดยย้ำว่า “สิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้คือพลังของพี่น้องท้องถิ่นรวมใจ ที่ไม่เพียงอนุรักษ์วัฒนธรรม แต่กำลังสร้างเศรษฐกิจฐานรากให้มั่นคง”

สาระสำคัญนี้สะท้อนเป้าหมายที่ชัดเจนของงาน “ทอสายบุญ จุลกฐิน ถิ่นไทลื้อโบราณ” นั่นคือ

  • สร้างพื้นที่บุญของชุมชน ผ่านการทอผ้าจุลกฐินหรือ “ผ้าทันใจ” ซึ่งตามคติของชุมชนถือเป็นบุญใหญ่ และเป็นพื้นที่แสดงบทบาทนำของสตรีไทลื้อ
  • สร้างความสามัคคีในหมู่คนทุกเพศ ทุกวัย ในชุมชนหาดบ้ายและหาดทรายทอง ผ่านกระบวนการลงแรงร่วมกัน
  • ยืนยันอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ของกลุ่มไทลื้อ และทำให้คนภายนอกเข้าใจวัฒนธรรมด้วยสายตาที่ “เห็นคุณค่า” ไม่ใช่ “มองเป็นของแปลกตา”
  • ปูรากฐานชุมชนให้กลายเป็นจุดหมายการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมที่ยั่งยืนในอนาคต สร้างอาชีพ สร้างรายได้ เสริมศักดิ์ศรีความเป็นเจ้าของพื้นที่

ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นท่ามกลางบริบทใหม่ของเศรษฐกิจไทย ที่กำลังมุ่งพึ่งพาการท่องเที่ยวเชิงคุณค่า ไม่ใช่เพียงเชิงปริมาณ และกำลังส่งเสริมบทบาทของเศรษฐกิจสร้างสรรค์บนฐานทุนทางวัฒนธรรม เพื่อพยุงรายได้ของประชาชนในยุคที่สภาพเศรษฐกิจฐานรากเผชิญความผันผวน

บุญที่ไม่ใช่แค่ศรัทธา แต่คือการพัฒนาที่ยืนบนเท้าของคนในพื้นที่

สิ่งที่เกิดขึ้นที่บ้านหาดบ้าย ตำบลริมโขง อำเภอเชียงของ ในค่ำคืนวันที่ 25 ตุลาคม 2568 จึงไม่ใช่แค่การฟื้นฟูประเพณีโบราณ แต่คือแบบจำลองของการพัฒนาเชิงวัฒนธรรมที่มีเจ้าของคือชุมชนเอง

ในภาพกว้าง นี่คือการเชื่อมต่อ “ศรัทธา–อัตลักษณ์–เศรษฐกิจ–การท่องเที่ยว” เข้าด้วยกันอย่างเป็นระบบ โดยมีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทุกระดับเข้ามาเป็นตัวขับเคลื่อนอย่างมีกลไกรองรับในเชิงนโยบาย ตั้งแต่ อบต.ริมโขง ที่ดูแลพื้นที่อย่างใกล้ชิด จนถึง อบจ.เชียงราย ที่มองภาพรวมทั้งจังหวัดผ่านยุทธศาสตร์ “เที่ยวเชียงรายได้ทั้งปี มีดีทุกอำเภอ” และฝ่ายปกครองอำเภอเชียงของที่ยืนยันบทบาทความร่วมมือของหน่วยงานรัฐท้องถิ่นและประชาชน

ท่ามกลางโลกที่การพัฒนามักถูกวัดด้วยตัวเลขทางเศรษฐกิจอย่างผลิตภัณฑ์มวลรวมจังหวัด หรือจำนวนนักท่องเที่ยวต่อปี “งานทอสายบุญ จุลกฐิน ถิ่นไทลื้อโบราณ” เสนอเกณฑ์วัดอีกแบบหนึ่ง — นั่นคือ ความสามารถของชุมชนในการยืนยันคุณค่าของตนเอง และเปลี่ยนคุณค่านั้นให้เป็นพลังขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจที่ไม่ทิ้งรากเหง้า

หรือพูดให้ชัดในภาษาของคนท้องถิ่น บุญครั้งนี้ ไม่ใช่แค่บุญของวัด แต่เป็นบุญของทั้งหมู่บ้าน

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • อบจ.เชียงราย
  • ภาพ กีรติ ชุติชัย
  • เขียนโดย กันณพงศ์ ก.บัวเกษร
  • เรียบเรียงโดย มนรัตน์ ก.บัวเกษร
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

9 เดือนแรกปี 68 เด็กเกิดใหม่ลด 10% ประชากรไทยเสี่ยงต่ำกว่า 66 ล้านคน

ประเทศไทยกำลังหดเล็กลงจากภายใน “เกิดน้อยลง ตายมากขึ้น” ไม่ใช่เพียงปรากฏการณ์ แต่คือแนวโน้มถาวร

เชียงราย / ประเทศไทย, 25 ตุลาคม 2568 — ประเทศไทยกำลังเดินหน้าเข้าสู่จุดเปลี่ยนทางโครงสร้างประชากรครั้งสำคัญที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ยุคใหม่ หลายคนอาจรู้สึกว่าเรื่อง “คนเกิดน้อยลง” เป็นเพียงประเด็นข่าวเชิงสังคม แต่หากมองลึกลงไปในตัวเลข จะพบว่านี่ไม่ใช่เรื่องของอนาคตที่ไกลเกินเอื้อมอีกต่อไป หากแต่เป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่เกิดขึ้นแล้ว กำลังขยายตัว และเริ่มส่งผลกระทบต่อชีวิตทางเศรษฐกิจและสังคมของคนไทยอย่างเป็นรูปธรรม

ข้อมูลล่าสุดชี้ว่า ปี 2568 มีแนวโน้มจะเป็นปีที่ 5 ติดต่อกันที่ “จำนวนคนเกิดใหม่ของไทยน้อยกว่าจำนวนผู้เสียชีวิต” โดยกระแสนี้เริ่มเด่นชัดตั้งแต่ปี 2564 เป็นต้นมา ความหมายของปรากฏการณ์นี้คือ ประชากรไทยโดยกำเนิดกำลังหดตัวลงเรื่อย ๆ ไม่ได้เกิดจากการย้ายถิ่นออกต่างประเทศ หรือการเปลี่ยนแปลงการนับสถิติ แต่เกิดจากธรรมชาติของสังคมไทยเอง นั่นคือ เกิดใหม่น้อยกว่าเสียชีวิต ซ้ำต่อเนื่อง

สิ่งที่หลายฝ่ายกังวล คือปรากฏการณ์นี้ไม่ได้สะท้อนแค่เรื่องจำนวนคน แต่สะท้อนถึงเสถียรภาพของกำลังแรงงานฐานราก ความสามารถในการบริโภคภายในประเทศ ความสามารถในการจัดเก็บภาษีของรัฐ ตลอดจนภาระด้านสุขภาพและสวัสดิการผู้สูงอายุที่กำลังเร่งตัวขึ้นในอัตราที่ไม่เคยเห็นมาก่อนในประวัติศาสตร์ประชากรไทย

คนไทย “เกิดน้อย ตายมากขึ้น” ตัวเลขที่ไม่มีใครอยากได้ยิน แต่หลีกเลี่ยงไม่ได้

ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2568 มีเด็กเกิดใหม่ที่ลงทะเบียนจำนวน 309,644 คน โดยลดลงประมาณ 10% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า ตัวเลขนี้ไม่ใช่เพียงสถิติ แต่เป็นสัญญาณเตือนเชิงโครงสร้างว่าอัตราการเกิด (fertility) ของไทยยังคงลดลงอย่างต่อเนื่อง และยังไม่มีตัวชี้วัดว่ากำลังจะฟื้นตัว

ในเวลาเดียวกัน จำนวนผู้เสียชีวิตยังคงอยู่ในระดับสูง และในหลายจังหวัดกลับมีจำนวนผู้เสียชีวิตมากกว่าจำนวนเด็กเกิดใหม่อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะใน 3 จังหวัดที่มีช่องว่างสูงสุด ได้แก่

  1. นครราชสีมา
  2. ขอนแก่น
  3. ร้อยเอ็ด

พื้นที่เหล่านี้เคยเป็นฐานประชากรหลักของภูมิภาคอีสานที่สร้างแรงงานให้ทั้งภาคอุตสาหกรรมและบริการของประเทศ แต่วันนี้กำลังส่อสัญญาณการหดตัวทางประชากรในระดับโครงสร้าง นั่นหมายความว่า “คนรุ่นใหม่ในพื้นที่ ไม่ได้มีจำนวนเพียงพอที่จะแทนที่คนรุ่นก่อน”

สัญญาณอีกประการหนึ่งที่ชี้ว่าปัญหาไม่ได้จำกัดอยู่ในบางพื้นที่ คือความเสี่ยงที่จำนวนประชากรไทยทั้งประเทศอาจลดลงต่ำกว่า 66 ล้านคนภายในปี 2568 หากแนวโน้มดังกล่าวดำเนินต่อไปโดยไม่มีมาตรการรองรับอย่างเป็นระบบ

วิกฤตที่ไม่ใช่แค่ “สังคมสูงวัย” แต่เป็น “ประเทศที่เล็กลงจากภายใน”

ประเทศไทยเข้าสู่สังคมสูงวัยมาหลายปีแล้ว แต่สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในช่วง 4-5 ปีหลัง คือการเปลี่ยนผ่านจาก “สังคมสูงวัย” ไปสู่ “สังคมที่หดตัวทางประชากร” (Population Shrinkage) นั่นหมายถึงไม่ใช่แค่สัดส่วนผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น แต่จำนวนประชากรทั้งระบบกำลังหายไปช้า ๆ ทุกปี

ในเชิงโครงสร้าง ประชากรไทยกำลังเปลี่ยนไปอย่างน้อย 3 มิติพร้อมกัน ได้แก่

  1. คนวัยทำงานสัดส่วนลดลง
    สัดส่วนประชากรวัยแรงงาน (อายุ 15-59 ปี) ค่อย ๆ ลดลง ในขณะที่สัดส่วนผู้สูงอายุ (60 ปีขึ้นไป) ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง และอาจแตะระดับกว่าหนึ่งในสามของทั้งประเทศในระยะไม่กี่สิบปีข้างหน้า
    แนวโน้มนี้สอดคล้องกับฉากทัศน์ที่ระบุว่า สัดส่วนผู้สูงอายุของไทยมีโอกาสเพิ่มขึ้นจนถึงระดับราว 36% ของประชากรทั้งหมด ขณะที่แรงงานวัยทำงานอาจลดลงเหลือใกล้เคียงครึ่งเดียวของประเทศภายในช่วงไม่กี่ทศวรรษข้างหน้า ซึ่งหมายถึงฐานผู้เสียภาษีและผู้ผลิตสินค้า-บริการจะเล็กลง เมื่อเทียบกับจำนวนผู้พึ่งพิงระบบสวัสดิการ
  2. จำนวนเด็กเกิดใหม่ต่อปีลดลงต่อเนื่อง
    คนรุ่นใหม่จำนวนมากแต่งงานช้าลง มีลูกช้าลง หรือเลือกไม่มีบุตรเลย ปัจจัยที่ผลักดันการตัดสินใจเหล่านี้มีทั้งด้านเศรษฐกิจ (ค่าครองชีพสูง ค่าใช้จ่ายเลี้ยงดูบุตร) ด้านโอกาสทางอาชีพ (ผู้หญิงอยู่ในตลาดแรงงานยาวนานขึ้น) และด้านความไม่แน่นอนทางสังคม (ภาวะหนี้ครัวเรือน ความไม่มั่นคงทางรายได้)
    ผลลัพธ์คือ อัตราเกิดหยาบ (Crude Birth Rate: CBR) ลดลงแบบต่อเนื่อง ไม่ใช่ลดลงชั่วคราว
  3. จำนวนผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นตามโครงสร้างอายุ
    จำนวนผู้เสียชีวิตต่อปีเพิ่มขึ้น ไม่ได้เกิดจากวิกฤตสุขภาพเฉียบพลันเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากข้อเท็จจริงว่าโครงสร้างประชากรของประเทศ “แก่แล้ว” คนจำนวนมากเข้าสู่วัยเสี่ยงต่อการเสียชีวิตตามธรรมชาติในอัตราที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ
    หรือกล่าวอีกแบบได้ว่า ระบบของเรากำลังเดินหน้าไปสู่ภาวะที่คนรุ่นใหญ่ทยอยออกจากระบบเร็วกว่าอัตราที่คนรุ่นใหม่เข้ามาแทน

ผลของทั้งสามมิติข้างต้นเมื่อรวมกัน นำไปสู่สิ่งที่นักเศรษฐศาสตร์แรงงานและนักประชากรศาสตร์เตือนมานาน ประเทศไทยไม่เพียงแก่ตัวลง แต่กำลัง “บางลง” ทางเศรษฐกิจ

ผลกระทบเชิงเศรษฐกิจ แรงงานหาย การบริโภคลด ภาระรัฐเพิ่ม

ตัวเลขประชากรไม่ใช่เพียงข้อมูลเชิงสังคม แต่เป็นเงื่อนไขพื้นฐานของการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาว

จากการวิเคราะห์เชิงนโยบาย สามารถสรุปแรงกดดันหลักที่ประเทศไทยกำลังเผชิญอย่างน้อย 3 ประการ ดังนี้

  1. การขาดแคลนแรงงาน
    เมื่อแรงงานวัยทำงาน (15-59 ปี) มีสัดส่วนลดลง และคนรุ่นใหม่เข้าระบบแรงงานน้อยลงเรื่อย ๆ ภาคการผลิต ภาคอุตสาหกรรม และภาคบริการจะต้องแข่งขันกันบนฐานแรงงานที่เล็กลงอย่างต่อเนื่อง ปรากฏการณ์นี้จะยิ่งหนักในจังหวัดที่ประชากรวัยทำงานย้ายออกไปทำงานต่างพื้นที่หรือเดินทางไปต่างประเทศ
    ความเสี่ยงที่ตามมาคือธุรกิจภาคการผลิตต้นน้ำและกลางน้ำอาจเริ่มพบปัญหาแรงงานขาดแคลนเชิงโครงสร้าง ไม่ใช่เป็นช่วงสั้น ๆ ตามวัฏจักรเศรษฐกิจอีกต่อไป
  2. แนวโน้มการบริโภคภายในประเทศชะลอลง
    ประชากรสูงอายุมีแนวโน้มใช้จ่ายในรูปแบบที่แตกต่างจากคนวัยทำงาน โดยเฉพาะการใช้จ่ายสินค้าคงทนและการลงทุนเพื่ออนาคตของครอบครัว (เช่น ค่าเล่าเรียนลูก ค่าที่อยู่อาศัยใหม่) ซึ่งเป็นหมวดใช้จ่ายที่ขับเคลื่อนการเติบโตของเศรษฐกิจภายในประเทศ
    เมื่อสัดส่วนครัวเรือนที่อยู่ในวัยขยายครอบครัวลดลง เศรษฐกิจในประเทศเผชิญแรงเสียดทานต่อการเติบโตในเชิงโครงสร้าง แม้จะไม่มีวิกฤตเศรษฐกิจฉับพลันก็ตาม
  3. ภาระทางการคลังเพิ่มขึ้น
    ประเทศที่เข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างเต็มตัวจำเป็นต้องจัดสรรงบประมาณด้านรายได้พื้นฐานผู้สูงอายุ การดูแลสุขภาพระยะยาว (Long-Term Care) และการรักษาโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) มากขึ้นทุกปี
    ในบริบทไทย แนวโน้มนี้ปรากฏชัดเจน โดยค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับสวัสดิการด้านรายได้และสุขภาพผู้สูงอายุมีอัตราเร่งตัวสูงกว่าการเติบโตของฐานภาษี ในระยะยาว ภาระนี้อาจเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องปีละประมาณ 7% ตามประมาณการการขยายตัวของค่าใช้จ่ายในหมวดสวัสดิการและการแพทย์สำหรับผู้สูงอายุ (อัตราการเติบโตเฉลี่ยสะสมต่อปี หรือ CAGR ในช่วงกว่าทศวรรษที่ผ่านมาอยู่ในระดับสูงต่อเนื่อง)
    กล่าวได้ว่า รัฐต้องใช้เงินมากขึ้นเพื่อดูแลคนที่อยู่ในวัยพึ่งพาระบบ ในขณะที่ฐานผู้จ่ายภาษีมีแนวโน้มเล็กลง

เชียงรายในภาพใหญ่ โครงสร้างประชากรชายแดนกับความจริงที่ซับซ้อนกว่า “จำนวนคนในทะเบียนบ้าน”

หากมองลึกลงไปที่จังหวัดเชียงราย ซึ่งเป็นจังหวัดชายแดนภาคเหนือและเป็นศูนย์กลางการค้าชายแดนสำคัญ เราจะเห็นภาพอีกชั้นหนึ่งของวิกฤตโครงสร้างประชากรที่ซับซ้อนกว่าการ “เกิดน้อย ตายมาก” แบบตรงไปตรงมา

การวิเคราะห์ข้อมูลประชากร การเกิด และการตายในจังหวัดเชียงราย ระหว่างปีงบประมาณ 2564–2567 พบว่า จังหวัดกำลังเคลื่อนเข้าสู่จุดที่ “อัตราเพิ่มตามธรรมชาติ” (Rate of Natural Increase: RNI) ใกล้ศูนย์หรืออาจติดลบในอนาคตอันใกล้ กล่าวคือ จำนวนการตายเริ่มเข้าใกล้หรือเทียบเท่ากับจำนวนการเกิดแล้ว

แรงผลักดันสำคัญของสถานการณ์นี้มาจาก 2 ปัจจัยหลัก

  1. ภาวะเจริญพันธุ์ลดลงอย่างต่อเนื่อง
    แนวโน้มการเกิดมีชีพในเชียงรายลดลงตามโครงสร้างเดียวกันกับทั้งประเทศ และสอดคล้องกับพฤติกรรมประชากรวัยทำงานที่มีแนวโน้มสร้างครอบครัวช้าลง รวมทั้งต้องเผชิญภาระค่าครองชีพของครัวเรือนที่สูงขึ้น
  2. อัตราการตายเพิ่มขึ้นตามโครงสร้างอายุที่สูงขึ้น
    จังหวัดเชียงรายมีสัดส่วนประชากรสูงอายุเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้จำนวนการตายที่ลงทะเบียนขยับสูงขึ้นในช่วงปี 2564–2567 ซึ่งเป็นปรากฏการณ์เดียวกับหลายจังหวัดในภาคเหนือที่เข้าสู่สังคมสูงอายุแบบก้าวกระโดด

อย่างไรก็ตาม จุดที่ทำให้เชียงรายแตกต่างจากหลายจังหวัดอื่น คือ “ประชากรที่อยู่อาศัยจริง” ไม่จำเป็นต้องเท่ากับ “ประชากรตามทะเบียนบ้าน”

ข้อมูลเชิงวิเคราะห์ชี้ว่า ในหลายพื้นที่ชายแดน โดยเฉพาะอำเภอแม่สาย มีประชากรที่พำนักระยะยาวจำนวนมากซึ่งไม่ได้ปรากฏในฐานข้อมูลทะเบียนราษฎรตามระบบของกรมการปกครอง (DOPA) ประชากรกลุ่มนี้จำนวนไม่น้อยเป็นแรงงานข้ามชาติ โดยพบว่ามีรูปแบบการอยู่อาศัยระยะยาวในพื้นที่ชายแดนไทย-เมียนมา บางส่วนอยู่อาศัยในพื้นที่ 2-19 ปี ซึ่งในทางปฏิบัติ พวกเขาใช้สาธารณูปโภค การบริการสาธารณสุข และโครงสร้างพื้นฐานของท้องถิ่นเหมือนคนไทยที่อาศัยอยู่ในพื้นที่

ปรากฏการณ์นี้ทำให้เกิด “ความคลาดเคลื่อนเชิงนโยบาย” อย่างน้อย 2 ประการ

  • หนึ่ง การจัดสรรงบประมาณภาครัฐส่วนใหญ่ โดยเฉพาะงบสาธารณสุขและการศึกษา มักอ้างอิงจำนวนประชากรตามทะเบียนบ้าน (de jure) ไม่ใช่จำนวนคนที่ใช้บริการจริง (de facto) นั่นหมายความว่า ในพื้นที่อย่างแม่สาย เทศบาลและหน่วยบริการสุขภาพอาจต้องรองรับคนจำนวนมากกว่าที่ได้รับงบประมาณมารองรับจริง
  • สอง การนับสถิติการเกิดและการตายอาจไม่ครอบคลุมกลุ่มประชากรที่พำนักจริงเหล่านี้ได้ครบถ้วน ส่งผลให้ภาพรวมทางสถิติของจังหวัดดูเหมือนว่ามีเด็กเกิดน้อยมาก แต่ความต้องการด้านสาธารณสุขแม่และเด็กยังคงอยู่ หรือดูเหมือนมีการตายสูง แต่ไม่ได้สะท้อนภาระบริการระยะยาวทั้งหมดต่อหน่วยงานพื้นที่

กล่าวอีกแบบคือ จังหวัดเชียงรายต้องเผชิญ “โจทย์คู่ขนาน” โจทย์หนึ่งคือการจัดการประชากรตามทะเบียน ซึ่งกำลังสูงวัยอย่างรวดเร็ว และอีกโจทย์หนึ่งคือการรองรับประชากรที่พำนักจริงในพื้นที่ชายแดน ซึ่งมักเป็นแรงงานและครอบครัวแรงงานข้ามชาติที่ยังอยู่ในวัยทำงานและวัยเด็ก

เชียงราย ความเปราะบางที่เริ่มต้นตั้งแต่ปฐมวัย

นอกจากปริมาณประชากรที่ลดลงแล้ว จังหวัดเชียงรายยังเผชิญโจทย์สำคัญในเชิงคุณภาพของทรัพยากรมนุษย์รุ่นถัดไป

ข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุข (อ้างอิงจากระบบติดตามตัวชี้วัดด้านอนามัยแม่และเด็กในปี 2567) ระบุว่า ร้อยละของเด็กอายุ 0–5 ปี ในจังหวัดเชียงรายที่มีพัฒนาการ “สมวัย” อยู่เพียง 46.35% เมื่อเทียบกับเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ที่กำหนดไว้ในระดับ ≥87%

ความหมายของตัวเลขนี้รุนแรงกว่าที่เห็นในบรรทัดเดียว เพราะมันสะท้อน “วิกฤตซ้อน” ดังนี้

  • จำนวนเด็กเกิดใหม่ในจังหวัดลดลง
  • แต่ในบรรดาเด็กที่เกิดขึ้นมาจำนวนไม่มากนั้น เกือบครึ่งหนึ่งมีพัฒนาการไม่เป็นไปตามวัยในเกณฑ์ที่กระทรวงฯ คาดหวัง

กล่าวอีกแบบคือ ไม่ใช่แค่ “เรามีเด็กน้อยลง” แต่ “เรากำลังเสี่ยงจะมีเด็กที่เริ่มต้นชีวิตด้วยข้อจำกัดมากขึ้น” ซึ่งจะส่งผลในระยะยาวต่อสมรรถนะการเรียนรู้ ความพร้อมเข้าสู่ระบบการศึกษา ความสามารถในการแข่งขันทางอาชีพ และท้ายที่สุดคือศักยภาพแรงงานของจังหวัดและของประเทศ

นี่คือเหตุผลว่าทำไมการแก้ปัญหาเชิงประชากรในวันนี้ ไม่อาจจำกัดความหมายแค่การส่งเสริม “ให้มีลูกมากขึ้น” เท่านั้น แต่ยังต้องลงทุนเชิงรุกใน Early Childhood Intervention Programs หรือมาตรการแทรกแซงพัฒนาการเด็กปฐมวัย อาทิ โภชนาการ การกระตุ้นพัฒนาการ การดูแลด้านสุขภาพแม่และเด็ก รวมถึงการสนับสนุนครอบครัวเปราะบางทางเศรษฐกิจ

เพราะถ้าประเทศไทยกำลังจะมีเด็กน้อยลงจริง เด็กทุกคนจึงยิ่ง “มีความหมายทางเศรษฐกิจและสังคม” มากขึ้นเป็นทวีคูณ

โครงสร้างการตายและภาระสุขภาพระยะยาว สัญญาณเตือนจากผู้สูงอายุ

การที่จำนวนผู้เสียชีวิตในจังหวัดเชียงรายและทั่วประเทศเพิ่มขึ้นอย่างสม่ำเสมอตลอดช่วงปี 2564–2567 ไม่ได้เป็นหลักฐานของความล้มเหลวทางการแพทย์ แต่เป็นผลตามธรรมชาติของโครงสร้างประชากรสูงวัย สิ่งที่สะท้อนอยู่ใต้ตัวเลขนี้คือ “ภาระด้านระบบสุขภาพ” ที่กำลังเปลี่ยนทิศ

เมื่อคนสูงวัยเพิ่มขึ้นจำนวนมากขึ้นพร้อมกัน ความต้องการบริการสุขภาพระยะยาว การดูแลโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ) และบริการดูแลระยะท้ายชีวิต (palliative care) จะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง นั่นหมายความว่า ระบบสาธารณสุขระดับจังหวัดจำเป็นต้องโยกทรัพยากรจากบริการมารดาและทารก — ที่ความต้องการลดลงตามจำนวนการเกิด — ไปสู่บริการดูแลผู้สูงอายุอย่างเต็มรูปแบบ

ในระบบประเมินผลของกระทรวงสาธารณสุข ตัวชี้วัดเชิงคุณภาพของการดูแลชีวิต เช่น อัตราการตายมารดาต่อการเกิดมีชีพแสนคน (Maternal Mortality Ratio: MMR) ยังคงถูกติดตามอย่างเข้มงวด โดยตั้งเป้าให้ต่ำกว่า 16 ต่อการเกิดมีชีพแสนคน การที่หน่วยงานระดับจังหวัดต้องรายงานตัวเลขเหล่านี้อย่างสม่ำเสมอ สะท้อนความเที่ยงตรงของฐานข้อมูลการตายและคุณภาพการดูแลเคสที่เสี่ยงสูง ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อความน่าเชื่อถือของตัวเลขการตายโดยรวม

กล่าวในเชิงนโยบาย นี่คือจุดเปลี่ยนของระบบสาธารณสุขในจังหวัดอย่างเชียงราย จากระบบที่เคยถูกออกแบบเพื่อ “รองรับการเกิดใหม่จำนวนมาก” ไปสู่ระบบที่ต้อง “ดูแลประชากรสูงอายุจำนวนมาก ที่มีชีวิตยืดยาวขึ้น แต่ต้องการการดูแลที่ซับซ้อนขึ้น”

ปี 2568 จุดวัดทิศทางอนาคตผ่าน “สำมะโนประชากร”

การคาดการณ์ประชากรเชียงรายและของประเทศสำหรับปี 2568 เป็นการประมาณการเบื้องต้นโดยต่อแนวโน้มจากปี 2564–2567 โดยใช้ข้อมูลการเกิด การตาย และโครงสร้างอายุจากแหล่งข้อมูลหลักของกรมการปกครอง (DOPA) และกระทรวงสาธารณสุข (MOPH) อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ด้านประชากรย้ำว่าปี 2568 ไม่ใช่ “ปีปกติ” เพราะจะมีหมุดหมายสำคัญด้านข้อมูล นั่นคือ “การสำมะโนประชากรและเคหะ พ.ศ. 2568” ที่มีกำหนดเริ่มเก็บข้อมูลในวันที่ 1 เมษายน 2568

การสำมะโนประชากรมีความสำคัญอย่างยิ่งด้วยเหตุผลอย่างน้อย 3 ประการ

  1. เป็นโอกาสในการ “อัปเดตความจริง” เกี่ยวกับจำนวนประชากรที่อาศัยอยู่จริง (de facto population) เทียบกับจำนวนประชากรตามทะเบียน (de jure population) ซึ่งเป็นประเด็นใหญ่โดยเฉพาะในจังหวัดชายแดนอย่างเชียงราย
  2. เป็นโอกาสในการตรวจสอบโครงสร้างอายุจริงในระดับพื้นที่ เพื่อประเมินแรงกดดันด้านภาระการดูแลผู้สูงอายุและความต้องการบริการสุขภาพ
  3. เป็นจุดตั้งต้นของการคำนวณฐานภาษีและการจัดสรรงบประมาณในระยะถัดไป ซึ่งหมายความว่า “งบประมาณของจังหวัดหลังปี 2568” อาจสะท้อนสภาพจริงของประชากรมากขึ้น หากข้อมูลสำมะโนสะท้อนจำนวนคนที่อาศัยอยู่จริง ไม่ใช่เพียงจำนวนคนที่มีชื่อในทะเบียนบ้าน

กล่าวอีกอย่าง ปี 2568 เป็นปีที่ข้อมูลจริงจะเริ่มไล่ทันความเป็นจริงทางสังคม และข้อมูลดังกล่าวจะกลับมามีผลต่อการจัดสรรทรัพยากรของภาครัฐในระดับจังหวัดและประเทศ

ทางออกเชิงยุทธศาสตร์ ไม่ใช่แค่ชวนมีลูก แต่ต้อง “ลงทุนกับคนทุกวัย”

เมื่อพิจารณาปัญหาทั้งในระดับประเทศและระดับจังหวัดอย่างเชียงราย ภาพรวมชี้ไปที่ข้อเสนอเชิงยุทธศาสตร์ 3 มิติต่อไปนี้

  1. ยกระดับศักยภาพแรงงาน (Upskill / Reskill) แทนการหวังเพียงจำนวนแรงงาน
    ในบริบทที่แรงงานวัยทำงานลดลงต่อเนื่อง ประเทศไทยจำเป็นต้องเพิ่มผลิตภาพแรงงาน (productivity) ของคนที่ยังอยู่ในระบบ มากกว่าหวังเพียงว่าจำนวนคนทำงานจะกลับมาเพิ่มขึ้นเอง
    นโยบายการยกระดับทักษะ (upskill) และปรับทักษะใหม่ (reskill) โดยเฉพาะในสาขาที่มีมูลค่าเพิ่มสูง เป็นหนึ่งในแนวทางที่ถูกพูดถึงในระดับนโยบายเศรษฐกิจ เนื่องจากเป็นกลไกสำคัญในการรักษาขีดความสามารถในการแข่งขัน แม้แรงงานรวมจะลดลง
  2. พิจารณานโยบายขยายอายุเกษียณอย่างรอบด้าน
    การขยับอายุเกษียณเป็นประเด็นที่เริ่มถูกหยิบขึ้นมาหารือในนโยบายสาธารณะมากขึ้น โดยมีโจทย์ที่ต้องตอบให้ได้อย่างเป็นรูปธรรม เช่น อายุเกษียณที่เหมาะสมคือเท่าใด? จะทยอยปรับอย่างไร? ภาคธุรกิจพร้อมหรือไม่? และระบบสวัสดิการแรงงานปัจจุบันรองรับแรงงานสูงอายุที่ยังต้องการทำงานได้หรือไม่?
    ประเด็นนี้มีความสำคัญโดยเฉพาะในจังหวัดที่แรงงานวัยกลางคนยังเป็นฐานหลักของเศรษฐกิจท้องถิ่น เช่น เชียงราย ซึ่งมีบทบาทเป็นจังหวัดการค้าชายแดนและการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม-การเกษตร
  3. ลงทุนในช่วงปฐมวัยอย่างเข้มข้นในพื้นที่เสี่ยง
    กรณีเชียงรายเป็นตัวอย่างชัดเจนว่าประชากรเด็กไม่ได้มีเพียง “น้อยลง” แต่ยังมีสัดส่วนพัฒนาการไม่สมวัยสูง โดยมีเพียงราว 46.35% ของเด็กอายุ 0–5 ปี ที่อยู่ในเกณฑ์พัฒนาการตามวัย เทียบกับเป้าหมายระดับนโยบายที่ตั้งไว้มากกว่านั้นอย่างมีนัยสำคัญ
    หากไม่เร่งลงทุนในระบบสนับสนุนปฐมวัย วันนี้ เราอาจกำลังปล่อยให้ “คนรุ่นต่อไป” เริ่มต้นชีวิตด้วยเงื่อนไขเชิงพัฒนาการที่ถดถอย ทั้งในเชิงการเรียนรู้ สุขภาพกาย-ใจ และความพร้อมในตลาดแรงงานในอีก 15-20 ปีข้างหน้า

วิกฤตประชากรไม่ใช่วิกฤตของอนาคตอีกต่อไป แต่มาถึงแล้ว

ปี 2568 ไม่ใช่แค่ปีที่ตัวเลขเด็กเกิดใหม่ลดลงอีก 10% จนเหลือ 309,644 คนในช่วง 9 เดือนแรกของปีเท่านั้น ไม่ใช่แค่ปีที่ประเทศไทยอาจมีประชากรต่ำกว่า 66 ล้านคนเป็นครั้งแรก แต่เป็นปีที่ประเทศไทยต้องยอมรับความจริงว่า “วิกฤตโครงสร้างประชากร” คือประเด็นเศรษฐกิจ การคลัง สาธารณสุข และความมั่นคงทางสังคมในระดับชาติ

จังหวัดชายแดนอย่างเชียงรายยิ่งตอกย้ำความซับซ้อนของปัญหา เมื่อจำนวนประชากรตามทะเบียนกำลังแก่ตัวและเติบโตช้า ขณะที่จำนวนผู้อยู่อาศัยจริงในพื้นที่ โดยเฉพาะแรงงานข้ามชาติและครอบครัว กลับสร้างภาระเชิงบริการสาธารณะจริง แต่ไม่ได้สะท้อนในฐานงบประมาณอย่างเต็มที่

ในอีกด้าน เรากำลังเห็นปรากฏการณ์ที่น่ากังวลไม่แพ้กันคือ คุณภาพของประชากรรุ่นต่อไป ซึ่งในบางพื้นที่ ตัวเลขเด็กเล็กที่มีพัฒนาการสมวัยอยู่เพียงราวครึ่งหนึ่งของเป้าหมายที่กำหนด นี่ไม่ใช่เพียงตัวเลขด้านสาธารณสุข แต่คือสัญญาณล่วงหน้าของความสามารถในการแข่งขันของจังหวัด ของภูมิภาค และของประเทศทั้งระบบ

กล่าวโดยสรุป ประเทศไทยกำลังเผชิญโจทย์ประชากรสองชุดในเวลาเดียวกัน คนเกิดใหม่น้อยลง คนสูงวัยมากขึ้น และความต้องการบริการสาธารณะในพื้นที่ชายแดนที่ซับซ้อนขึ้น ในเงื่อนไขเช่นนี้ การแก้ไขปัญหาไม่อาจเป็นเพียงการรณรงค์ “ให้มีลูกเยอะขึ้น” อย่างในอดีต แต่ต้องเป็นการปรับโครงสร้างนโยบายทั้งระบบ ตั้งแต่การยกระดับแรงงานไปจนถึงการดูแลเด็กตั้งแต่วัยแรกเกิด และการจัดสรรงบประมาณให้สอดคล้องกับจำนวนคนที่อาศัยอยู่จริงในพื้นที่

และในที่สุด คำถามสำคัญที่สุดอาจไม่ใช่ “เรามีคนเหลืออยู่กี่ล้านคน” แต่อาจเป็น “เราพร้อมหรือยังกับการอยู่ในประเทศที่เล็กลง สูงวัยขึ้น และแข่งขันได้ยากขึ้น — หากไม่เร่งปรับวันนี้”

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • ข้อมูลประชากรกลางปีและทะเบียนราษฎร จากสำนักบริหารการทะเบียน กรมการปกครอง (DOPA)
  • กำหนดการสำมะโนประชากรและเคหะ พ.ศ. 2568 ซึ่งระบุการเริ่มต้นเก็บข้อมูลในวันที่ 1 เมษายน 2568 เพื่อปรับฐานข้อมูลประชากรที่แท้จริงสำหรับการวางแผนนโยบายหลังปี 2568
  • ระบบตัวชี้วัดกระทรวงสาธารณสุข (MOPH) ในปีงบประมาณ 2567–2568 ซึ่งติดตามตัวชี้วัดสำคัญ อาทิ อัตราการตายมารดาต่อการเกิดมีชีพแสนคน (ตั้งเป้าน้อยกว่า 16), อัตราการดูแลแม่และเด็ก รวมถึงตัวชี้วัดพัฒนาการเด็กเล็กอายุ 0–5 ปี ที่บรรลุผลจริงเพียง 46.35% เมื่อเทียบกับเป้าหมายระดับ ≥87%
  • KResearch
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

สกัดขบวนการ “ทะลุไทย”! ตำรวจท่องเที่ยวทลายรังแก๊งค์จีน 19 ราย คาดโยง “คอลเซ็นเตอร์”

สกัดขบวนการ “ทะลุไทย”! ตำรวจท่องเที่ยวเชียงรายทลายรังแก๊งค์จีน 19 ราย คาดโยง “คอลเซ็นเตอร์” ใช้ไทยเป็นทางผ่านหนีภัยกวาดล้าง ก่อนซัดทอดเตรียมข้ามไป สปป.ลาว

เชียงราย, 25 ตุลาคม 2568 –   ตำรวจท่องเที่ยวเชียงรายภายใต้ปฏิบัติการกวาดล้างอาชญากรรมบุกจับกลุ่มชาวจีน 19 คน ซุกซ่อนตัวในบ้านเช่า อ.เมืองเชียงราย หลังลักลอบเข้าไทยจากชายแดนแม่สอด คาดหนีภัยกวาดล้างอาชญากรรมจากเมียนมา ก่อนใช้ไทยเป็น “ทางผ่าน” สู่ สปป.ลาว เจ้าหน้าที่ตั้งข้อสงสัยอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการหลอกลวงออนไลน์ รวบหญิงไทยเจ้าของบ้านเช่าในข้อหาให้ความช่วยเหลือ

ตำรวจท่องเที่ยวเชียงรายเปิดปฏิบัติการ! ทลายเครือข่ายลักลอบเข้าเมืองและสกัดอาชญากรรมข้ามชาติ

เมื่อคืนวันที่ 24 ตุลาคม 2568 สถานีตำรวจท่องเที่ยว 2 กองกำกับการ 2 กองบังคับการตำรวจท่องเที่ยว 2 (ส.ทท.2 กก.2 บก.ทท.2) ได้รับรายงานกลุ่มคนต่างชาติต้องสงสัยจำนวนมากเช่าบ้านในพื้นที่ ต.ท่าสุด อ.เมืองเชียงราย จ.เชียงราย จึงนำกำลังร่วมกับ ตม.เชียงราย เข้าตรวจสอบ

 

ในช่วงที่พื้นที่ชายแดนมีการกวาดล้างอย่างเข้มข้น กลุ่มคนต่างชาติกลุ่มนี้เปรียบเสมือน ผู้อพยพทางเศรษฐกิจ” ที่กำลังหาทางหลบหนีจากพื้นที่กวาดล้างในเมียนมา โดยใช้ประเทศไทยเป็น ทางเดินลับ” สู่ประเทศที่สามอย่าง สปป.ลาว การค้นพบพวกเขาในบ้านเช่าที่แม่นยำและเป็นระบบ แสดงให้เห็นถึงขบวนการลักลอบนำพาที่มีการจัดตั้งอย่างชัดเจน

พ.ต.ท.ธนวินท์ พวงมะลิ สว.ส.ทท.2 กก.2 บก.ทท.2 เปิดเผยว่า การจับกุมครั้งนี้เป็นไปตามข้อสั่งการของ พล.ต.ท.ศักย์ศิรา เผือกอ่ำ ผบช.ทท. และ พล.ต.ต.โอฬาร เอี่ยมประภาส ผบก.ทท.2 ภายใต้นโยบายระดมกวาดล้างอาชญากรรมในฐานความผิด 10 กลุ่มต้องห้าม ตามนโยบาย ผบ.ตร. ในห้วงวันที่ 18-25 ต.ค. 68

ผลการตรวจสอบและสถิติการจับกุม:

  • สถานที่: บ้านเลขที่ 12 บ้านพลูทอง หมู่ 11 ต.ท่าสุด อ.เมืองเชียงราย จ.เชียงราย
  • ผู้ต้องหา: ชาวจีนชายอายุ 18-37 ปี รวม 19 คน
  • หลักฐาน: โทรศัพท์มือถือจำนวนมาก
  • สถานะการเข้าเมือง:
    • Overstay (อยู่เกินวีซ่า): 6 ราย (มีพาสปอร์ต)
    • ลักลอบเข้าเมือง: 13 ราย (ไม่มีเอกสารประจำตัว)

เส้นทางหลบหนีและจุดหมายปลายทาง “สปป.ลาว”

จากการสอบปากคำชาวจีนผ่านล่าม ได้ข้อมูลว่าทั้งหมดเดินทางมาจากชายแดน อ.แม่สอด จ.ตาก โดยการ ลักลอบเข้าช่องทางธรรมชาติ ก่อนจะมีคนนำมาพักที่เชียงราย และเตรียมจะมีคนมารับตัวไปส่งต่อเพื่อ ข้ามไปทำงานฝั่งประเทศ สปป.ลาว

พ.ต.ท.ธนวินท์ พวงมะลิ ยืนยันว่า เบื้องต้นทราบว่ากลุ่มคนเหล่านี้ หลบหนีการกวาดล้างอย่างหนักจากประเทศเมียนมาทางด้านชายแดนด้าน อ.แม่สอด จ.ตาก” และตั้งข้อสงสัยว่า อาจเกี่ยวข้องกับกลุ่มทำงานหลอกลวงด้านออนไลน์อีกด้วย” การจับกุมครั้งนี้จึงเป็นการสกัดกั้นกลุ่มคนที่ลักลอบเข้าเมืองและอาจเกี่ยวข้องกับอาชญากรรมข้ามชาติ

บทบาทของหญิงไทยและข้อกล่าวหา

  • ผู้ถูกจับกุม: น.ส.ชัชฎา อายุ 35 ปี (ชาว อ.แม่สรวย จ.เชียงราย)
  • หน้าที่: ให้การว่าตนเองมีหน้าที่เช่าบ้าน จัดหาอาหาร และทำความสะอาด โดยได้รับค่าจ้างเป็นรายหัว 200 บาทต่อวัน
  • ข้อกล่าวหาต่อ น.ส.ชัชฎา: ช่วยเหลือ ซ่อนเร้น หรือช่วยเหลือด้วยประการใดๆ เพื่อให้คนต่างด้าวนั้นพ้นจากการจับกุม”

ความท้าทายของ “พรมแดนไทย”—ด่านสกัดอาชญากรรมข้ามชาติ

การจับกุมกลุ่มชาวจีน 19 คนในพื้นที่เชียงรายตอกย้ำถึงความท้าทายของประเทศไทยในฐานะ ทางผ่าน” สำคัญของเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ โดยเฉพาะกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการหลอกลวงออนไลน์ (Call Center Scam) ที่ถูกกวาดล้างอย่างหนักในประเทศเพื่อนบ้าน

ประเด็นสำคัญที่ต้องจับตา:

  • ช่องทางธรรมชาติ: การลักลอบเข้าไทยจากชายแดนแม่สอด จ.ตาก (ฝั่งตะวันตก) เพื่อเดินทางต่อไปยัง สปป.ลาว (ฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือ) แสดงให้เห็นถึงเส้นทางขนย้ายมนุษย์ที่มีการวางแผนและครอบคลุมพื้นที่หลายจังหวัด
  • มาตรการสกัดกั้น: ความสำเร็จของตำรวจท่องเที่ยวและ ตม.เชียงราย ในครั้งนี้ เป็นการส่งสัญญาณเตือนภัยไปยังขบวนการลักลอบนำพา และเน้นย้ำความสำคัญของการทำงานข่าวเชิงรุกและบูรณาการระหว่างหน่วยงาน

เจ้าหน้าที่ได้แจ้งข้อกล่าวหาแก่ผู้ต้องหาทั้งหมด และนำตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.บ้านดู่ ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สถานีตำรวจท่องเที่ยว 2 กองกำกับการ 2 กองบังคับการตำรวจท่องเที่ยว 2 (ส.ทท.2 กก.2 บก.ทท.2)
  •  ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดเชียงราย (ตม.เชียงราย)
  •  กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว (บช.ทท.)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

น้ำท่วมใหญ่ 2567 ทิ้งปัญหาไว้ใต้ดิน! ทส. สั่ง คพ. ตรวจ 18 แห่ง ฟื้นความเชื่อมั่นแหล่งน้ำชุมชน

วิกฤตน้ำใช้ลุ่มน้ำกก! รัฐบาลสั่ง “ป้องกันก่อนป่วย” สั่งล้างบ่อบาดาล 4 จุดเสี่ยงทันที

เชียงราย, 25 ตุลาคม 2568 — ในช่วงปลายฤดูฝนของจังหวัดเชียงราย ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ชาวบ้านคาดหวังว่าน้ำจะใสสะอาดและเริ่มกลับมาใช้ได้ตามปกติหลังน้ำหลากผ่านไป กลับกลายเป็นจุดเริ่มต้นของความกังวลครั้งใหม่ เมื่อมีการส่งสัญญาณเตือนถึง “การปนเปื้อนสารหนู” ในน้ำประปาหมู่บ้านบางแห่ง ในพื้นที่ลุ่มน้ำกกและพื้นที่ใกล้เคียง กระทั่งปัญหาดังกล่าวถูกยกระดับสู่เรื่องเร่งด่วนระดับรัฐบาลกลางและลงพื้นที่ตรวจสอบโดยตรงจากกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ภายใต้การกำกับของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายสุชาติ ชมกลิ่น ซึ่งได้รับข้อสั่งการโดยตรงจากนายกรัฐมนตรี นายอนุทิน ชาญวีระกูล

การเคลื่อนไหวดังกล่าวไม่ได้เป็นเพียงการตรวจสอบคุณภาพน้ำเท่านั้น แต่สะท้อนโจทย์ที่ใหญ่กว่า นั่นคือ “ความเชื่อมั่นต่อแหล่งน้ำกินน้ำใช้ของชุมชน” ในจังหวัดชายแดนภาคเหนือซึ่งเพิ่งผ่านเหตุอุทกภัยครั้งใหญ่ในปี 2567 และยังคงฟื้นตัวจากผลกระทบด้านโครงสร้างพื้นฐาน สิ่งแวดล้อม และสุขภาพประชาชน

วิกฤตน้ำใช้ในพื้นที่ลุ่มน้ำกก จากคำถามของชาวบ้านสู่ภารกิจระดับรัฐ

จุดเริ่มต้นของเรื่องนี้เกิดจากความกังวลของชุมชนในพื้นที่ริมแม่น้ำกก แม่น้ำรวก แม่น้ำสาย และแม่น้ำโขง ทั้งในอำเภอเมืองเชียงรายและอำเภอใกล้เคียง โดยเฉพาะพื้นที่ประปาหมู่บ้านที่ใช้น้ำบาดาลเป็นแหล่งผลิต เมื่อน้ำลดจากเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ในปีที่ผ่านมา หลายชุมชนพบว่าน้ำมีสีและตะกอนผิดปกติ จนนำไปสู่การร้องเรียนและการตั้งข้อสงสัยว่าแหล่งน้ำใต้ดินอาจได้รับผลกระทบจากน้ำหลากหรือตะกอนที่ถูกพัดพามากับกระแสน้ำหลากอย่างฉับพลัน

เพื่อคลี่คลายปัญหาและตอบสนองต่อข้อร้องเรียนอย่างเป็นรูปธรรม ทส. ได้สั่งการให้กรมควบคุมมลพิษ (คพ.) ร่วมกับกรมทรัพยากรน้ำบาดาล สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเชียงราย (ทสจ.เชียงราย) เทศบาล องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ผู้นำชุมชน ผู้ใหญ่บ้าน และประชาชนในพื้นที่ ลงพื้นที่ตรวจสอบคุณภาพน้ำประปาหมู่บ้านอย่างเร่งด่วน ระหว่างวันที่ 17–19 ตุลาคม 2568

นายสุรินทร์ วรกิจธำรง อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ เปิดเผยถึงผลการตรวจสอบเบื้องต้นเมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2568 ว่า มีการลงพื้นที่ตรวจคุณภาพน้ำในระบบประปาหมู่บ้านรวมทั้งสิ้น 18 แห่ง ครอบคลุมทั้งแหล่งน้ำประปาภูเขา น้ำบาดาล และน้ำผิวดิน ในตำบลแม่ยาว ตำบลดอยฮาง ตำบลรอบเวียง ตำบลริมกก ในอำเภอเมืองเชียงราย ตำบลเวียงเหนือ อำเภอเวียงชัย ตำบลดงมหาวัน อำเภอเวียงเชียงรุ้ง ตำบลหนองป่าก่อ อำเภอดอยหลวง ตำบลท่าข้าวเปลือก อำเภอแม่จัน และตำบลบ้านแซว อำเภอเชียงแสน

การสุ่มตรวจดังกล่าวไม่ได้ทำเฉพาะในจุดจ่ายน้ำปลายทางเท่านั้น แต่รวมไปถึงการเก็บตัวอย่างน้ำดิบก่อนเข้าระบบกรอง ซึ่งถือเป็นจุดสำคัญในการประเมินความปลอดภัยของทั้งระบบ เพราะหากน้ำดิบมีการปนเปื้อนสูงกว่ามาตรฐาน ก็อาจส่งผลต่อประสิทธิภาพของระบบกรองและความปลอดภัยของผู้ใช้น้ำในระยะยาว

ผลตรวจสารหนู พบปนเปื้อน 4 จุด แต่ยังอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน

จากการตรวจวัดสารหนูเบื้องต้นด้วยชุดตรวจภาคสนามในพื้นที่ทั้ง 18 แห่ง พบว่า มี 4 แห่งที่ตรวจพบการปนเปื้อนสารหนู แบ่งเป็น

  1. น้ำดิบ (ก่อนเข้าระบบกรอง) จำนวน 3 แห่ง
    • หมู่ 3 เทศบาลตำบลดอยฮาง อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย
    • หมู่ 4 บ้านเมืองงิม ตำบลริมกก อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย
    • หมู่ 12 บ้านสันต้นแหน ตำบลเวียงเหนือ อำเภอเวียงชัย จังหวัดเชียงราย
  2. น้ำประปาหมู่บ้าน (น้ำที่จ่ายให้ประชาชนหลังการปรับปรุงคุณภาพน้ำ) จำนวน 1 แห่ง
    • หมู่ 5 บ้านป่ายางมน ตำบลรอบเวียง อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย

อย่างไรก็ตาม นายสุรินทร์ย้ำว่า การปนเปื้อนสารหนูที่ตรวจพบในทั้ง 4 แห่งยังอยู่ในระดับ “ไม่เกินมาตรฐาน” ซึ่งหมายความว่า ณ เวลาตรวจวัด คุณภาพน้ำยังไม่ถูกจัดให้อยู่ในระดับอันตรายตามเกณฑ์ด้านสาธารณสุข

แต่ประเด็นสำคัญคือ แม้ “ไม่เกินมาตรฐาน” หน่วยงานก็ยังไม่ปล่อยผ่าน

นายสุชาติ ชมกลิ่น รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ให้ความเห็นอย่างชัดเจนว่า “การปนเปื้อนที่มียังอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน แต่อย่างไรก็ตาม การที่มีสารปนเปื้อนอยู่ในน้ำประปาหมู่บ้าน แม้ว่าจะอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าเกณฑ์ แต่ก็เป็นสิ่งที่ต้องเร่งดำเนินการปรับปรุงแก้ไขเพื่อสุขภาพของพี่น้องประชาชน”

คำกล่าวนี้สะท้อนแนวทางการทำงานของรัฐบาลในลักษณะเชิงรุก คือ ไม่รอให้สถานการณ์เลวร้ายจนเป็นวิกฤตด้านสุขภาพแล้วค่อยแก้ แต่เลือกที่จะ “ป้องกันก่อนป่วย” ผ่านมาตรการสิ่งแวดล้อมและโครงสร้างน้ำสะอาดในระดับชุมชน

น้ำท่วมใหญ่ปี 2567 ตัวแปรสำคัญที่อาจฝังปัญหาไว้ใต้ดิน

การตรวจพบสารหนูไม่ใช่จุดจบของการวิเคราะห์ แต่เป็นจุดเริ่มต้นของ “การหาสาเหตุ” เนื่องจากสารหนูเป็นธาตุที่อาจเกิดขึ้นได้จากทั้งกระบวนการทางธรรมชาติ (เช่น แร่ธาตุในชั้นดินใต้ดินบางพื้นที่) และกิจกรรมของมนุษย์ (เช่น การรั่วไหลของของเสียหรือดินตะกอนจากพื้นที่ที่ถูกพัดพา)

นายสุชาติระบุว่า ปัจจัยหนึ่งที่กำลังได้รับการพิจารณาคือ เหตุการณ์ “น้ำท่วมใหญ่จังหวัดเชียงราย พ.ศ. 2567” ซึ่งส่งผลกระทบรุนแรงต่อหลายชุมชนในพื้นที่ลุ่มน้ำกกและลำน้ำสาขา น้ำหลากที่รุนแรงอาจพัดพาดิน ตะกอน หรือสารปนเปื้อนลงสู่พื้นที่ต่ำและซึมลงบ่อบาดาล โดยเฉพาะบ่อที่ไม่มีระบบป้องกันตะกอนหรือไม่มีการบำรุงรักษาอย่างสม่ำเสมอ

รองนายกรัฐมนตรีกล่าวต่อว่า “การปนเปื้อนที่เกิดขึ้นอาจมาจากสาเหตุอื่นที่ไม่ได้มาจากแหล่งน้ำบาดาลที่ใช้ในการผลิตน้ำประปาหมู่บ้านโดยตรง เนื่องจากเมื่อปีที่ผ่านมาจังหวัดเชียงรายมีน้ำท่วมใหญ่ อาจมีการพัดพาสารปนเปื้อนมาตกตะกอนในบ่อน้ำบาดาลที่ใช้ผลิตน้ำประปาหมู่บ้านได้”

ในแง่นี้ สถานการณ์น้ำท่วมไม่ได้จบลงเมื่อระดับน้ำลด แต่ทิ้งมรดกปัญหาทางสิ่งแวดล้อมที่ซ่อนอยู่ในบ่อบาดาล ซึ่งเป็นแหล่งน้ำดื่มและน้ำใช้สำคัญของชนบท การที่ตะกอนสะสมอยู่ก้นบ่อและในระบบปรับปรุงคุณภาพน้ำ สามารถกลายเป็น “แหล่งเสี่ยงเรื้อรัง” หากไม่มีการดูแลบ่ออย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง

คำสั่งเร่งด่วน เป่าล้างบ่อบาดาล – ตรวจซ้ำ – สร้างความเชื่อมั่น

หลังได้รับรายงานผลตรวจเบื้องต้น นายสุชาติได้สั่งการโดยตรงให้ดำเนินมาตรการ 2 ระยะ คือ มาตรการแก้ไขทันที และมาตรการติดตามผล

มาตรการเร่งด่วนประกอบด้วย

  1. การล้างบ่อบาดาลเชิงรุก
    สั่งให้กรมควบคุมมลพิษ สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเชียงราย และกรมทรัพยากรน้ำบาดาล ทำการ “เป่าล้างบ่อบาดาล” ทั้ง 4 จุดที่ตรวจพบสารหนูทันที พร้อมดำเนินการขจัดตะกอนและตะกอนแขวนลอยที่อาจเป็นตัวพาสารปนเปื้อน ซึ่งรวมถึงการปรับสภาพระบบกรองและการตรวจสอบความสมบูรณ์ของระบบกรองประปาหมู่บ้าน
  2. การตรวจวัดคุณภาพน้ำซ้ำ
    หลังการล้างบ่อ จะมีการเก็บตัวอย่างน้ำและตรวจวิเคราะห์ซ้ำ เพื่อยืนยันว่าการปนเปื้อนลดลงและอยู่ในระดับปลอดภัย พร้อมจัดทำรายงานสรุปผลเพื่อสื่อสารกับผู้นำท้องถิ่นและชาวบ้านในพื้นที่โดยตรง

มาตรการทั้งสองถือเป็นการทำงานเชิงระบบ คือ ไม่เพียงแก้ที่อาการ (ค่าปนเปื้อน) แต่แก้ที่ต้นตอ (ตะกอนและการบำรุงรักษาบ่อ) และไม่เพียงแก้ในเชิงเทคนิค แต่รวมถึงการ “สื่อสารความเสี่ยง” เพื่อฟื้นความเชื่อมั่นของประชาชน

ในทางสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม ความเชื่อมั่นไม่ใช่เรื่องรอง แต่เป็นเงื่อนไขสำคัญที่ทำให้ชุมชนยังยอมใช้น้ำในระบบที่รัฐจัดหาโดยไม่ตื่นตระหนกหรือหันไปใช้น้ำที่ไม่ได้ผ่านกระบวนการบำบัด ซึ่งอาจยิ่งเสี่ยงกว่า

ทำไม “ไม่เกินมาตรฐาน” แต่ยังต้องเร่งแก้?

คำถามสำคัญที่เกิดขึ้นในสังคมคือ เมื่อหน่วยงานยืนยันว่าค่าที่ตรวจพบ “ยังไม่เกินมาตรฐาน” เหตุใดจึงต้องเร่งล้างบ่อบาดาลและตรวจซ้ำ เหตุใดจึงต้องตั้งทีมลงพื้นที่หลายหน่วยงานพร้อมกันในเวลาอันสั้น

คำตอบนี้สะท้อนวิธีคิดด้านการจัดการสิ่งแวดล้อมเชิงป้องกัน (precautionary approach) ที่รัฐบาลกลางต้องการใช้ในพื้นที่เชียงราย ซึ่งเป็นจังหวัดที่เผชิญความเสี่ยงสิ่งแวดล้อมซ้ำซาก ทั้งดินถล่ม น้ำป่าไหลหลาก น้ำท่วมฉับพลัน และภัยแล้งสลับในบางฤดู

หากชุมชนป้อนสัญญาณความเสี่ยงเข้าระบบรัฐ แล้วรัฐนิ่งเฉย ความรู้สึก “ไม่ปลอดภัย” จะเร่งขยายเป็นความไม่ไว้วางใจต่อระบบน้ำประปาหมู่บ้านโดยรวม ส่งผลกระทบในระยะยาว เช่น ประชาชนหันไปใช้น้ำบาดาลส่วนตัวที่ไม่ได้ตรวจคุณภาพ ไม่มีระบบกรอง ไม่มีการกำจัดโลหะหนักและจุลินทรีย์ ซึ่งจะยิ่งเสี่ยงต่อสุขภาพมากกว่าในเชิงโครงสร้าง

การเร่งจัดทีมตรวจสอบ 18 หมู่บ้านใน 9 ตำบล 7 อำเภอจึงไม่ใช่เพียงการตอบสนองคำสั่งของฝ่ายบริหารระดับสูง แต่คือการสร้าง “โครงสร้างความไว้วางใจ” ระหว่างรัฐกับชุมชน ว่าประชาชนในพื้นที่ไม่ได้ถูกปล่อยให้อยู่กับความเสี่ยงลำพัง

เชียงราย จังหวัดชายแดนกับต้นทุนความเปราะบางด้านทรัพยากรน้ำ

เชียงรายเป็นจังหวัดชายแดนที่ตั้งอยู่บนพื้นที่รับน้ำจากลุ่มน้ำหลายสาย ทั้งแม่น้ำกก แม่น้ำรวก แม่น้ำสาย และแม่น้ำโขง ลักษณะภูมิประเทศที่มีทั้งพื้นที่ราบลุ่มริมน้ำ พื้นที่รอยต่อภูเขา–ที่ราบเชิงเขา และพื้นที่เมืองที่กำลังขยายตัว ทำให้ปัญหา “คุณภาพน้ำ” ไม่ใช่ปัญหาของคนปลายน้ำเพียงฝ่ายเดียว แต่เป็นปัญหาที่เชื่อมโยงตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ

เมื่อเกิดอุทกภัยครั้งใหญ่ เช่นที่เชียงรายประสบในปี 2567 น้ำหลากที่รุนแรงไม่ได้ทิ้งไว้เพียงร่องรอยความเสียหายของบ้านเรือนและพื้นที่เกษตร แต่ยังรวมถึงตะกอนดินและสารต่าง ๆ ที่ไหลลงสู่พื้นที่ลุ่มต่ำ ซึ่งจำนวนไม่น้อยจากตะกอนเหล่านี้อาจซึมสะสมลงไปในชั้นบ่อบาดาลที่ชุมชนใช้เป็นต้นทางของระบบประปาหมู่บ้าน

การที่หน่วยงานภาครัฐยอมรับในเชิงนโยบายว่า การปนเปื้อนอาจเชื่อมโยงกับ “น้ำท่วมใหญ่ พ.ศ. 2567” เป็นสัญญาณว่าสถานการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติไม่ใช่เรื่องชั่วคราว แต่กำลังกลายเป็นปัจจัยโครงสร้างด้านสาธารณสุขของจังหวัดชายแดน ซึ่งจำเป็นต้องวางแผนระยะยาวทั้งในมิติการจัดแหล่งน้ำสำรอง การยกระดับระบบกรอง และการเฝ้าระวังคุณภาพน้ำเชิงพื้นที่

กล่าวอีกแบบคือ ตั้งแต่นี้ไป ทุกครั้งที่เชียงรายถูกน้ำท่วมใหญ่ หน่วยงานน้ำและสิ่งแวดล้อมอาจต้องมองเลยกว่าการซ่อมสะพานหรือขุดลอกแม่น้ำ แต่ต้องลงไปถึง “ไส้ในของระบบน้ำดื่มหมู่บ้าน” ด้วย

บทบาทของส่วนกลางกับท้องถิ่น รัฐบาลสั่งการ – ท้องถิ่นร่วมปฏิบัติ

อีกประเด็นสำคัญของกรณีเชียงรายครั้งนี้ คือรูปแบบการประสานงานระหว่างส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และท้องถิ่น ซึ่งเป็นตัวอย่างของการทำงานแบบบูรณาการ

ข้อมูลที่เปิดเผยระบุชัดว่า การตรวจสอบคุณภาพน้ำครั้งนี้ไม่ได้เป็นเพียงภารกิจของกรมควบคุมมลพิษในฐานะหน่วยงานวิเคราะห์คุณภาพสิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่ยังมีกรมทรัพยากรน้ำบาดาลเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านโครงสร้างบ่อและระบบน้ำใต้ดิน สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเชียงรายทำหน้าที่เชื่อมหน่วยงานรัฐกับชุมชนในพื้นที่ ขณะที่เทศบาล อบต. ผู้ใหญ่บ้าน และประชาชนในพื้นที่ เข้าร่วมทั้งการเก็บตัวอย่าง การให้ข้อมูลในพื้นที่จริง และการติดตามผล

โครงสร้างแบบนี้แตกต่างจากการแก้ปัญหาแบบบนลงล่าง (top-down) ที่มักจะจบลงด้วยการประกาศคำสั่ง แต่ไม่ถึงมือประชาชน เพราะในกรณีนี้ ฝ่ายปฏิบัติการในพื้นที่สามารถลงมือ “เป่าล้างบ่อบาดาล” และประสานการใช้น้ำชั่วคราวได้ทันทีเมื่อได้รับคำสั่ง ไม่ต้องรอการเดินเรื่องใหม่อีกหลายขั้น

ความหมายเชิงสังคม น้ำประปาหมู่บ้านไม่ใช่แค่สาธารณูปโภค แต่เป็น “ความมั่นคงของชีวิตประจำวัน”

สำหรับครัวเรือนในระดับชุมชน ประปาหมู่บ้านไม่ใช่เพียงท่อน้ำ แต่มันคือเส้นเลือดหลักของชีวิตประจำวัน ตั้งแต่การหุงหาอาหาร การอาบน้ำ การดูแลเด็กเล็กและผู้สูงอายุ ไปจนถึงการทำการเกษตรขนาดย่อมในครัวเรือน

ดังนั้น เมื่อเกิดการพูดถึงคำว่า “ปนเปื้อนสารหนู” ในพื้นที่ แม้จะมีคำยืนยันว่า “ยังไม่เกินมาตรฐาน” คำนี้ก็เพียงพอที่จะทำให้ประชาชนจำนวนมากเกิดความกังวล ว่าน้ำที่ใช้ทุกวันปลอดภัยจริงหรือไม่ การต้มน้ำพอหรือไม่ ต้องซื้อน้ำดื่มเพิ่มหรือไม่ ครัวเรือนยากจนจะรับภาระได้อย่างไร สิ่งเหล่านี้เป็นคำถามที่เกิดขึ้นทันทีตามธรรมชาติของสังคมในภาวะเสี่ยง

นั่นคือเหตุผลที่รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ระบุว่า รัฐบาลให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการดำเนินการเชิงรุก และสั่งให้ “ตรวจซ้ำ” หลังการล้างบ่อ เพื่อให้มีหลักฐานรองรับในการสื่อสารกับประชาชน

กล่าวอีกนัยหนึ่ง การตรวจซ้ำไม่ใช่เพื่อตรวจระบบ แต่เพื่อตอบประชาชนตรง ๆ ว่า “ใช้น้ำได้หรือยัง” ด้วยข้อมูลวัดผลจริงหลังการฟื้นฟู

จากความกังวลสู่แผนฟื้นฟูระยะยาว

เมื่อพิจารณาทั้งกระบวนการจะเห็นว่าปมสำคัญของข่าวนี้มีอยู่สองชั้น

ชั้นแรก คือ ประเด็นด้านความปลอดภัยเฉพาะหน้า ซึ่งได้รับการตอบสนองด้วยการลงพื้นที่ตรวจวัดสารหนู การยืนยันค่าปนเปื้อน และคำสั่งล้างบ่อบาดาลในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงทั้งสี่จุด

ชั้นที่สอง คือ ประเด็นด้านความยั่งยืนของระบบน้ำสะอาดชุมชนในจังหวัดเชียงรายและจังหวัดใกล้เคียง ซึ่งได้รับการยกระดับสู่การทำงานร่วมกันของหลายหน่วยงาน ทั้งกรมควบคุมมลพิษ กรมทรัพยากรน้ำบาดาล สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเชียงราย รวมถึงองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยทั้งหมดอยู่ภายใต้กรอบนโยบายที่นายกรัฐมนตรีและรองนายกรัฐมนตรีสั่งการเพื่อคุ้มครองสุขภาพประชาชน

ในเชิงนโยบายสาธารณะ สิ่งนี้สะท้อนความพยายามสร้าง “มาตรฐานใหม่” ในการดูแลระบบประปาหมู่บ้าน ไม่ใช่แค่ซ่อมเฉพาะจุดเมื่อเสีย แต่ต้องบริหารจัดการเชิงป้องกัน ตรวจเฝ้าระวังหลังภัยพิบัติ และสื่อสารผลตรวจอย่างโปร่งใส

น้ำสะอาด คือศักดิ์ศรีของชุมชน

กรณีเชียงรายครั้งนี้ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า เรื่องน้ำไม่ใช่เพียงทรัพยากรธรรมชาติ แต่เป็นเรื่องของคุณภาพชีวิต ความไว้วางใจต่อรัฐ ความมั่นคงของชุมชน และความยั่งยืนในการฟื้นตัวหลังภัยพิบัติ

ในระยะสั้น การลงพื้นที่ตรวจ 18 จุด การพบการปนเปื้อนสารหนู 4 จุด (แม้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน) การสั่งการ “เป่าล้างบ่อบาดาล” ในพื้นที่เสี่ยง และการตรวจซ้ำ ล้วนเป็นมาตรการเชิงรุกที่ออกแบบมาเพื่อสร้างความเชื่อมั่นและป้องกันปัญหาสุขภาพในอนาคต

ในระยะยาว กรณีนี้ได้ส่งสัญญาณเตือนว่าหลังภัยพิบัติใหญ่ เช่น น้ำท่วมปี 2567 หน้าที่ของรัฐไม่ได้จบลงเมื่อระดับน้ำลด แต่เพิ่งเริ่มต้นในภารกิจที่ซับซ้อนกว่านั้น นั่นคือการฟื้นฟูทรัพยากรพื้นฐานที่สุดของชีวิตมนุษย์ น้ำที่ปลอดภัย

และในมุมของประชาชน สิ่งที่หลายคนต้องการอาจไม่ใช่เพียงการประกาศตัวเลขทางเทคนิค แต่คือการยืนยันที่ตรวจสอบได้ว่า “น้ำที่บ้านฉันยังปลอดภัยสำหรับคนในครอบครัว” ซึ่งเป็นเป้าหมายเดียวกับที่หน่วยงานรัฐระบุว่ากำลังเร่งดำเนินการอยู่ในขณะนี้

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.)
  • กรมควบคุมมลพิษ (คพ.) โดย นายสุรินทร์ วรกิจธำรง อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ
  • กรมทรัพยากรน้ำบาดาล
  • สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเชียงราย
  • เทศบาลและองค์การบริหารส่วนตำบลในพื้นที่ตรวจสอบคุณภาพน้ำประปาหมู่บ้านจังหวัดเชียงราย
  • ถ้อยแถลงของนายสุชาติ ชมกลิ่น รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
  • ข้อสั่งการของนายอนุทิน ชาญวีระกูล นายกรัฐมนตรี เกี่ยวกับการเฝ้าระวังและแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำประปาหมู่บ้านในจังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
TOP STORIES

โขน-ผ้าไทย-ป่า! 9 พระราชกรณียกิจที่ยังขับเคลื่อนเมืองไทย สู่ Soft Power ยั่งยืน

9 พระราชกรณียกิจ “สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง” โอบอุ้มประชาราษฎร์ให้ยั่งยืน—จากศิลปาชีพ ผืนป่า น้ำ และการศึกษา สู่ภูมิคุ้มกันสังคมไทยระยะยาว

ประเทศไทย, 25 ตุลาคม 2568 — ยามเช้าบนดอยสูงอันชื้นเย็นของภาคเหนือ เราเห็นเงาคนงานชุมชนเดินเรียงในแสงแรก หลายคนสวมซิ่นทอลวดลายดั้งเดิม บางคนอุ้มตะกร้าใส่เมล็ดพันธุ์แห้ง เตรียมลงแปลงผักตามรอยคันนาที่ถูกจัดแบบขั้นบันไดอย่างประณีต ภาพเล็กๆ เช่นนี้เกิดขึ้นพร้อมกันในหมู่บ้านนับพันทั่วประเทศ และล้วนมี “เส้นด้าย” เดียวกันผูกโยง—พระราชกรณียกิจของ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ที่ทรงบุกป่าฝ่าดอย โดยเสด็จ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ไปเยี่ยมราษฎรทุกภาคส่วนต่อเนื่องหลายทศวรรษ วางรากฐาน “อยู่ดีกินดี” ผ่านโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริที่ครอบคลุมศิลปวัฒนธรรม อาชีพ สุขภาพ ป่าไม้ น้ำ การศึกษา และการคุ้มครองผู้เปราะบาง

บนโอกาสแห่งการระลึกพระมหากรุณาธิคุณและสืบสานแนวทางพัฒนา ผู้สื่อข่าวได้ถอดบทเรียน 9 พระราชกรณียกิจ ที่ยังคงขับเคลื่อนอยู่ในพื้นที่จริง—ตั้งแต่ลุ่มน้ำที่ไหลลงทุ่ง ไปจนถึงเข็มทอที่เคลื่อนไปบนกี่—เพื่อชี้ให้เห็น “แกนหลักของเรื่อง” ว่าพระราชกรณียกิจเหล่านี้ไม่ใช่เพียงงานการกุศลเฉพาะหน้า หากคือ “ระบบนิเวศการพัฒนา” ที่ทำให้ประชาชนไทยมีภูมิคุ้มกันยั่งยืน

1) “ศิลปาชีพ” และการฟื้นผ้าไทย: จากงานบ้านเป็น “อุตสาหกรรมสร้างคุณค่า”

ในยามที่ผ้าไหมและหัตถกรรมพื้นบ้านเคยถูกเมิน พระองค์ทรงหยิบยกให้กลับมามีศักดิ์ศรี ตั้งแต่ พ.ศ. 2513 ที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือประสบอุทกภัยครั้งใหญ่ พระองค์มี พระราชเสาวนีย์ให้จัดตั้งงานส่งเสริมการทอผ้าไหม เพื่อให้ชาวบ้านมีรายได้ท่ามกลางวิกฤต ก่อเกิดโครงสร้าง มูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ (SUPPORT)” เป็นกลไกขับเคลื่อนอาชีพทั่วประเทศ

ผลลัพธ์เชิงรูปธรรม—ในระดับ “อัตลักษณ์ชาติ”—คือการที่ผ้าไทยก้าวพ้นความเป็นเครื่องนุ่งห่มท้องถิ่น สู่แฟชั่นร่วมสมัยที่คนทั้งโลกชื่นชม (พระองค์ทรงได้รับการยกย่องใน พ.ศ. 2505 ว่าเป็นหนึ่งในสตรีที่แต่งพระองค์งามที่สุดจากผู้เชี่ยวชาญแฟชั่นนานาชาติ) ขณะเดียวกัน นโยบายรัฐช่วงหลังยังต่อยอดการสวมใส่ผ้าไทยในชีวิตประจำวัน (คณะรัฐมนตรีเห็นชอบมาตรการ “สืบสาน อนุรักษ์ศิลป์ผ้าถิ่นไทย” ให้หน่วยงานส่งเสริมการแต่งผ้าไทยอย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 วัน) ทำให้ห่วงโซ่อุปทานทอผ้า—ปั่นไหม–ย้อมสีธรรมชาติ–ออกแบบ–แปรรูป—คึกคักขึ้น ผู้ทอมีอำนาจต่อรองมากขึ้น และชุมชนสามารถรักษาลวดลายเฉพาะถิ่นไว้ได้โดยมีตลาดรองรับ

แกนสำคัญ ไม่ใช่เพียง “ขายได้” แต่คือการยกระดับ “ความรู้-มาตรฐาน-การตลาด” จนผ้าไทยกลายเป็นสินค้าคุณภาพสูง ส่งมูลค่าเพิ่มกลับสู่มือชุมชน เป็น Soft Power ที่ทรงพลังกว่าการประชาสัมพันธ์ใดๆ

2) พระราชทานความคุ้มครองด้านสาธารณสุข: จากหน่วยแพทย์พระราชทานถึงยุคโรคอุบัติใหม่

การเดินทางไปทุกพื้นที่ทำให้พระองค์ทอดพระเนตรเห็น “ช่องว่างสุขภาพ” ของชนบท พระองค์จึงมีพระราชดำริให้จัด คณะแพทย์ตามเสด็จ วางฐานสู่ หน่วยแพทย์พระราชทาน” ที่ยังทำงานอยู่จนปัจจุบัน ควบคู่การสนับสนุนโครงการ หมอหมู่บ้าน” ให้ชาวบ้านรู้จักการดูแลสุขภาพเบื้องต้น ใช้ยาถูกวิธี และส่งต่อผู้ป่วยหนักได้ทันท่วงที

ในยุคโรคอุบัติใหม่อย่างโควิด-19 พระองค์ยังทรง พระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ และ อุปกรณ์ PAPR ให้โรงพยาบาลของรัฐหลายสังกัด เพื่อคุ้มครองบุคลากรด่านหน้า สะท้อน หลักคิด “คุ้มครองผู้คุ้มครองเรา” ที่ลดความสูญเสียเชิงระบบ หากคำนวณเชิงเศรษฐศาสตร์สุขภาพ การป้องกันบุคลากรหนึ่งคนให้ปลอดภัยย่อมแปลเป็นศักยภาพการดูแลผู้ป่วยนับร้อย—คือผลตอบแทนต่อสังคมที่สูงอย่างยิ่ง

3) “บ้านเล็กในป่าใหญ่”: ปรัชญาป่ากับน้ำ และการอยู่ร่วมกันของคนกับธรรมชาติ

พระราชดำรัสที่ชาวไทยคุ้นหู พระเจ้าอยู่หัวเป็นน้ำ ฉันจะเป็นป่า” ไม่ได้เป็นเพียงถ้อยคำไพเราะ แต่คือ ยุทธศาสตร์สิ่งแวดล้อม ที่จับต้องได้ โครงการ บ้านเล็กในป่าใหญ่” (Small House in the Big Forest) เริ่มที่ บ้านห้วยไม้หก อ.อมก๋อย จ.เชียงใหม่ (พ.ศ. 2534) เป็นต้นแบบการจัดการพื้นที่สูง: รักษาป่าดั้งเดิม ฟื้นฟูป่าเสื่อมโทรม จัดพื้นที่ทำกินให้ชัดเจน ส่งเสริมเกษตรที่ไม่ทำลายป่า และจัดหาแหล่งน้ำให้พอเพียง

จากต้นแบบดังกล่าว ขยายไปยังหลายจังหวัด—บ้านอุดมทรัพย์ (กำแพงเพชร), บ้านหนองห้า (พะเยา), ดอยฟ้าห่มปก (เชียงใหม่)—ผลสำคัญคือ “ยุติแรงดึงให้บุกรุกป่า” ด้วยการสร้างทางเลือกอาชีพที่มั่นคงกว่า และทำให้ป่ากลายเป็น สินทรัพย์สาธารณะ” ที่ชุมชนร่วมดูแล ไม่ใช่ทรัพยากรที่ถูกช่วงชิง

4) ฟื้น “โขน” สู่มรดกภูมิปัญญามนุษยชาติ: เมื่อศิลปะและอัตลักษณ์คือภูมิคุ้มกันทางวัฒนธรรม

พระองค์ทรงเล็งเห็นว่าศิลปะระดับชั้นสูงอย่าง โขน” กำลังเผชิญความเสี่ยงสูญหาย จึงมีพระราชเสาวนีย์ให้ ศึกษารากเหง้าเครื่องแต่งกาย–ดนตรี–ท่ารำ ตามราชประเพณี สร้างองค์ความรู้และฝึกช่างฝีมือรุ่นใหม่ให้ครบห่วงโซ่ จนเกิด โขนพระราชทาน” เรื่องรามเกียรติ์ (พ.ศ. 2552 เป็นต้นมา) ที่ยกระดับมาตรฐานทั้งศิลป์และระบบจัดการเบื้องหลัง

จุดคลี่คลายปม ในเวทีโลกเกิดขึ้นเมื่อ ยูเนสโก (UNESCO) ประกาศขึ้นทะเบียน โขนไทย” เป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของมนุษยชาติ พ.ศ. 2561 ไม่เพียงยืนยันความงาม หากยืนยัน “ความมีชีวิต” ของศิลปะไทยที่ยังถ่ายทอดต่อไปได้ พระราชกรณียกิจด้านวัฒนธรรมจึงไม่ใช่การห่อหุ้มของเก่า แต่คือการต่อชีวิตให้วัฒนธรรมยืนหยัดได้จริงในตลาดร่วมสมัย

5) ทรงอุปถัมภ์ศาสนา—เสริม “ทุนทางจิตใจ” ให้สังคมพหุวัฒนธรรม

พระองค์ทรงแสดงบทบาท ธรรมราชินี” ผ่านการเคารพและอุปถัมภ์ ทุกศาสนา—พุทธ คริสต์ อิสลาม พราหมณ์–ฮินดู ซิกข์—เพราะทรงเห็นว่าศาสนาเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจและชี้นำพฤติกรรมพลเมือง พระองค์โดยเสด็จในหลวงรัชกาลที่ 9 ในพระราชพิธีสำคัญทางศาสนาอย่างสม่ำเสมอ พร้อมทั้ง พระราชทานปัจจัยบำรุงสงฆ์ ดูแลพระภิกษุอาพาธ สนับสนุนโรงพยาบาลที่ให้บริการพระสงฆ์ และให้ความสำคัญกับมารยาทข้ามศาสนาในทุกพื้นที่ที่เสด็จฯ

เมื่อสังคมเผชิญความหลากหลายสูงขึ้น “ทุนทางจิตใจ” และ ทักษะอยู่ร่วมกัน คือภูมิคุ้มกันเชิงสถาบัน พระราชกรณียกิจด้านศาสนาจึงเป็นรากที่ทำให้สังคมไทยยืนตัวอยู่ได้ท่ามกลางความแตกต่าง

6) “สถาบันสิริกิติ์” และพิพิธภัณฑ์ “ศิลป์แผ่นดิน”: หล่อเลี้ยงฝีมือคน สร้างตลาดศิลป์ไทย

ผลงานประณีตศิลป์จาก โรงฝึกศิลปาชีพสวนจิตรลดา ที่พัฒนาต่อเนื่องเกือบ 40 ปี ได้ยกระดับเป็น สถาบันสิริกิติ์” (ตั้งแต่ 21 กันยายน 2553) ทำหน้าที่ทั้งพัฒนา–อนุรักษ์–เผยแพร่งานช่างไทยชั้นสูง เช่น ปักเส้นไหมโบราณ งานคร่ำ งานสานย่านลิเภา งานถนิมพิมพาภรณ์ ไปจนถึง เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์จำลอง อันวิจิตร

ปลายทางของการพัฒนาไม่หยุดที่ “ชิ้นงาน” แต่คือ พื้นที่เรียนรู้และตลาด อย่างพิพิธภัณฑ์ ศิลป์แผ่นดิน” (อ.ย.) ที่จัดแสดงงานช่างให้คนไทย–ชาวโลกได้สัมผัส สร้างมูลค่าเศรษฐกิจสร้างสรรค์ และทำให้ลูกหลานชาวไร่ชาวนากลายเป็นช่างฝีมืออาชีพ—นี่คือการยกระดับ “ทุนมนุษย์” ผ่านศิลป์และวัฒนธรรมอย่างแท้จริง

7) “ฟาร์มตัวอย่าง” ตามพระราชดำริ: ศูนย์เรียนรู้เกษตรครบวงจรและความมั่นคงในยามวิกฤต

ก่อกำเนิดที่ บ้านขุนแตะ อ.จอมทอง จ.เชียงใหม่ ฟาร์มตัวอย่างทำหน้าที่เป็น ห้องเรียนกลางแจ้ง ให้ประชาชนเข้าใจระบบเกษตรครบวงจร—ปลูกพืชผสมผสาน เลี้ยงสัตว์ ทำประมง ระบบน้ำ—โดยยึดหลัก พอเพียง–พึ่งตนเอง–หมุนเวียนทรัพยากร เมื่อถึงวิกฤตอย่างโควิด-19 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงสืบสานพระราชดำริและพระราชทานอนุญาตนำพื้นที่ ฟาร์มตัวอย่าง 30 แห่ง ใน 17 จังหวัด มาใช้ จ้างงานประชาชน ภายใต้โครงการ “ต้านภัยโควิด-19” ช่วยพยุงครัวเรือนที่ตกงานให้มีรายได้ระยะสั้น พร้อมถ่ายทอดทักษะอาชีพระยะยาว

ผลสะท้อนเชิงนโยบายคือ ฟาร์มไม่ใช่ “แปลงสาธิต” เฉยๆ แต่เป็น “เครื่องมือเสถียรภาพ” ของเศรษฐกิจชุมชนในช่วงผันผวน—เมล็ดพันธุ์ ความรู้ และตลาดชุมชนถูกออกแบบให้เชื่อมต่อกัน จนคนสามารถยืนได้ด้วยตัวเองหลังวิกฤต

8) พระเมตตาด้านสังคมสงเคราะห์: ปกป้องผู้เปราะบางในและนอกพรมแดน

ตั้งแต่การช่วยเหลือผู้เจ็บป่วยยากไร้ ไปจนถึงเหตุการณ์ผู้ลี้ภัยชายแดน—เช่น เหตุเขาล้าน จ.ตราด—พระองค์เสด็จฯ เยี่ยมผู้ลี้ภัยด้วยพระองค์เอง พระราชทานอาหาร ยา เครื่องนุ่งห่ม และ โปรดเกล้าฯ ให้สภากาชาดไทยร่วมกับกาชาดสากล เข้าไปช่วยอย่างเป็นระบบ พร้อมทั้งสนับสนุน การศึกษาทักษะอาชีพ เพื่อให้ผู้ลี้ภัยสามารถพึ่งพาตนในระยะยาว

สำหรับทหาร ตำรวจ อาสาสมัครผู้พลีชีพหรือบาดเจ็บ พระองค์ทรงก่อตั้ง มูลนิธิสายใจไทย เพื่อฟื้นฟูร่างกาย–จิตใจ–อาชีพ ให้สามารถกลับมาเป็นพลังครอบครัวอีกครั้ง ผลิตภัณฑ์หัตถกรรมของมูลนิธิยังเป็นทั้งรายได้และศักดิ์ศรีให้กับผู้เสียสละเหล่านี้

9) การศึกษาสำหรับเด็กด้อยโอกาส: “โรงเรียนเจ้าแม่หลวงอุปถัมภ์” และทุนการศึกษา

พระองค์ทรงเจาะจงดูแลพื้นที่ ห่างไกล ที่เด็กมีโอกาสน้อย ผ่านการพระราชทานทุนเริ่มต้นจัดตั้ง โรงเรียนเจ้าแม่หลวงอุปถัมภ์ ในพื้นที่ชายแดนและดอยสูง (เช่น บ้านห้วยขาน อ.ฝาง และ ต.แม่ริม จ.เชียงใหม่) โดยประสาน ตำรวจตระเวนชายแดน ดูแล ต่อมาขยายการสอนถึงระดับมัธยมต้น และที่สำคัญ—พระองค์ทรง รับนักเรียนยากจนไว้ในพระบรมราชานุเคราะห์ เกือบ 2,000 คน รวมถึงเด็กพิการให้เข้าศึกษาในโรงเรียนเฉพาะความสามารถ จนสามารถประกอบอาชีพดูแลตนเองได้

การศึกษาที่พระราชทานโอกาสเช่นนี้ แก้โจทย์ “ความเหลื่อมล้ำรุ่นสู่รุ่น” โดยตรง—เมื่อลูกหลานบนดอยอ่านออกเขียนได้ มีวิชาชีพ และกลับมาพัฒนาชุมชนตนเอง—ความมั่นคงชายแดนและการอยู่ร่วมกันในสังคมพหุวัฒนธรรมก็แข็งแรงขึ้นโดยอัตโนมัติ

เชียงรายในกระจกพระราชกรณียกิจ: จากป่า–ผ้า–พหุชนเผ่า สู่เมืองท่องเที่ยวยั่งยืน

หากซูมลงพื้นที่เชียงราย—จังหวัดชายแดนที่มีทั้งป่าเขาสลับซับซ้อนและความหลากหลายทางชาติพันธุ์—เราพบรอยพิมพ์ชัดเจนของพระราชกรณียกิจทั้ง 9 ด้าน

  • ป่าและน้ำ: แนวทาง “บ้านเล็กในป่าใหญ่” และการอนุรักษ์ดิน–น้ำถูกใช้เป็นต้นแบบในหลายลุ่มน้ำชายแดน ช่วยชะลอปัญหาดินถล่ม–น้ำหลาก และทำให้แปลงเกษตรบนพื้นที่สูงทำกินได้โดยไม่บุกรุกป่า
  • ศิลปาชีพ: ผ้าทอลวดลายล้านนาปรับตัวเป็นสินค้า Q (คุณภาพ) และสินค้าเชิงท่องเที่ยว สร้างรายได้เสริมให้ผู้หญิงและผู้สูงอายุในชนบท
  • การศึกษา: โรงเรียนในเครือข่ายตำรวจตระเวนชายแดนและโรงเรียนท้องถิ่นได้รับการพัฒนาต่อเนื่อง เด็กชาติพันธุ์เข้าถึงภาษาไทยและทักษะอาชีพมากขึ้น
  • สังคมสงเคราะห์และสุขภาพ: หน่วยแพทย์เคลื่อนที่–โครงการฟื้นฟูหลังภัยพิบัติ—ถูกใช้จริงในฤดูฝนยืดเยื้อของภาคเหนือ

เมื่อนำทั้งหมดมาประกอบกัน เชียงรายจึงมี “ทุนสังคม” สำคัญในการก้าวสู่ เมืองท่องเที่ยวคุณภาพ” อย่างที่จังหวัดพยายามผลักดันในช่วงไฮซีซัน—นักท่องเที่ยวที่มองหาประสบการณ์แท้จริงจะพบทั้งป่าแหล่งน้ำที่สมบูรณ์ ศิลป์ผ้าและกาแฟพิเศษของชุมชน และเรื่องเล่าการพัฒนาที่มีคนท้องถิ่นเป็นพระเอก

พลังที่ต่อยอดได้ของ “พระราชกรณียกิจแบบระบบ”

หัวใจของพระราชกรณียกิจทั้ง 9 ด้านคือ ความต่อเนื่อง” และ “การทำงานเชิงระบบ”—ไม่ใช่โครงการฉาบฉวย แต่เป็น แพลตฟอร์ม ที่ให้คนตัวเล็กสามารถลุกขึ้นยืนได้ ท่ามกลางโลกที่ผันผวนกว่าเดิม

  • ถ้าต้องการลดความยากจนอย่างถาวร: ต้องสร้างทั้ง รายได้ (ศิลปาชีพ–ฟาร์มตัวอย่าง–ตลาดสร้างสรรค์) และ ลดความเสี่ยง (สุขภาพ–การอนุรักษ์ป่า–การศึกษา)
  • ถ้าต้องการคุมวิกฤตสาธารณสุข: ต้องเสริม ระบบคุ้มครองด่านหน้า และ ความรู้ชุมชน ให้รับมือได้ก่อนป่วยหนัก
  • ถ้าต้องการให้วัฒนธรรมอยู่ได้: ต้องทำให้ ศิลป์–การตลาด–การถ่ายทอดช่าง เชื่อมกัน

เพราะฉะนั้น เมื่อสังคมไทยเดินหน้าสู่นโยบายพัฒนารอบใหม่ บทเรียนจากพระราชกรณียกิจของสมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวงคือ ทำเล็กให้ลึก ทำช้าให้ยั่งยืน” แล้วปล่อยให้ผลลัพธ์ขยายตัวด้วยพลังของชุมชนเอง

เสียงทอผ้าบนกี่ไม้ยังดังแผ่วในยามสาย ขณะน้ำที่ไหลตามฝายชะลอค่อยๆ เติมความชุ่มชื้นสู่ทุ่ง หากมองเครือข่ายเหล่านี้จากบนฟ้า เราจะเห็นเป็นเส้นเลือดฝอยของประเทศ—เส้นเลือดที่พระราชกรณียกิจได้วางไว้ให้หล่อเลี้ยง “หัวใจ” ของประชาชนอย่างสม่ำเสมอ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • มูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ (SUPPORT Foundation)
  • สถาบันสิริกิติ์ (โรงฝึกศิลปาชีพสวนจิตรลดาเดิม) / พิพิธภัณฑ์ “ศิลป์แผ่นดิน”
  • กรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย
  • กรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม / UNESCO
  • สำนักนายกรัฐมนตรี / กรมประชาสัมพันธ์
  • กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช / กรมป่าไม้
  • สำนักงานตำรวจตระเวนชายแดน / กระทรวงศึกษาธิการ
  • สภากาชาดไทย / คณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ (ICRC)
  • มูลนิธิสายใจไทย
  • สำนักราชเลขาธิการ / สำนักพระราชวัง
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

“ธรรมนัสโมเดล” ถึงเวียงป่าเป้า! รมช.เกษตรฯ มอบ “โฉนดเกษตร” พร้อมเร่งกู้ชีพพื้นที่หลังภัยพิบัติ

ธรรมนัสโมเดล” ถึงเวียงป่าเป้า รมช.เกษตรฯ มอบโฉนดเพื่อการเกษตร–โฉนดต้นไม้ 265 ราย เดินหน้าฟื้นฟูพื้นที่เกษตรเสียหายหลังพายุ “ยางิ” ปักหมุดความมั่นคงที่ดิน–ทุน–ดิน เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตชาวเชียงราย

เชียงราย, 24 ตุลาคม 2568 — เช้าวันฟ้าหลังฝนที่อำเภอเวียงป่าเป้า บริเวณลานกิจกรรมของสหกรณ์การเกษตรเวียงป่าเป้า จำกัด คลาคล่ำไปด้วยเกษตรกรจากหลายตำบล ผู้คนสวมหมวกผ้าคลุมไหล่ รอคอยเอกสารชิ้นสำคัญในชีวิตการทำกิน เสียงประกาศบนเวทีดังชัด “โฉนดเพื่อการเกษตร และโฉนดต้นไม้ พร้อมมอบแล้ว” และทันทีที่ชื่อนายแรกถูกเรียก เสียงปรบมือก็ลั่นขึ้นเป็นระลอก ความหวังเรื่อง “หลักประกัน” ที่จับต้องได้กำลังงอกงามกลางหุบเขาเชียงราย

พิธีมอบเอกสารสิทธิครั้งนี้นำโดย นายนเรศ ธำรงค์ทิพยคุณ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ทำหน้าที่ประธานในพิธี มอบ โฉนดเพื่อการเกษตร 250 ราย และ โฉนดต้นไม้ 15 ราย รวม 265 ราย แก่เกษตรกรในเขตปฏิรูปที่ดินของอำเภอเวียงป่าเป้า โดยมี นายประสงค์ หล้าอ่อน รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย กล่าวต้อนรับ และ นายเศรษฐเกียรติ กระจ่างวงษ์ เลขาธิการสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) รายงานวัตถุประสงค์และภาพรวมโครงการ

ภาพของซองเอกสารสีขาวเรียงรายบนโต๊ะยาวสะท้อนนโยบายที่รัฐบาลผลักดันต่อเนื่อง ภายใต้การกำกับของ ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งมุ่งแก้ปมเชิงโครงสร้างเรื่อง “ความมั่นคงในที่ดิน” ของเกษตรกรไทย และเชื่อมต่อสู่ความมั่นคงทางรายได้และคุณภาพชีวิตในระยะยาว

 “โฉนดเพื่อการเกษตร” คือกุญแจไขสู่ทุนและโอกาส

ส.ป.ก. ก่อตั้งตั้งแต่ปี 2518 เพื่อจัดการปัญหาการขาดแคลนที่ดินทำกิน ลดความเหลื่อมล้ำ และยกระดับประสิทธิภาพการใช้ที่ดิน เครื่องมือสำคัญในระยะหลังคือการ ปรับปรุงเอกสารสิทธิ ส.ป.ก. 4-01 ให้เป็น “โฉนดเพื่อการเกษตร” ซึ่งสามารถใช้เป็น หลักประกันทางเศรษฐกิจ เข้าถึงแหล่งทุน สินเชื่อและบริการทางการเงินได้ง่ายขึ้น ส่งผลให้เกษตรกรวางแผนลงทุนพัฒนาอาชีพได้อย่างมั่นคง

นายนเรศ ธำรงค์ทิพยคุณ กล่าวบนเวทีว่าวันนี้ไม่ใช่แค่มอบเอกสาร แต่คือการส่งต่อโอกาส “การมอบโฉนดครั้งนี้เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลและกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อเพิ่มสิทธิ์และโอกาสให้เกษตรกรในเขตปฏิรูปที่ดินสามารถใช้ที่ดินได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย เข้าถึงแหล่งทุน และยกระดับคุณภาพชีวิตได้อย่างยั่งยืน” คำกล่าวสั้นกระทัดรัด แต่มีน้ำหนักต่อชีวิตหลายครัวเรือน

ด้าน นายเศรษฐเกียรติ กระจ่างวงษ์ อธิบาย “โฉนดเพื่อการเกษตร” ว่าเป็นหัวใจของการปฏิรูปที่ดินยุคใหม่ เพราะเชื่อมโยง “สิทธิในที่ดิน” เข้ากับ “ทุนและตลาด” ทำให้เกษตรกรต่อยอดได้จริง ตั้งแต่การปรับปรุงระบบน้ำ การซื้อเครื่องจักรขนาดเล็ก ไปจนถึงการเปลี่ยนผ่านสู่เกษตรคุณภาพสูงและเกษตรยั่งยืน

ข้อมูลสำคัญระดับจังหวัด สะท้อนความก้าวหน้าในภาพใหญ่ของเชียงราย คือ มีพื้นที่เขตปฏิรูปที่ดินรวมประมาณ 932,061 ไร่ จัดสรรให้เกษตรกรแล้วกว่า 76,000 ราย รวมกว่า 583,000 ไร่ และ ปรับปรุงเอกสารสิทธิเป็นโฉนดเพื่อการเกษตรแล้วกว่า 22,000 ราย รวมกว่า 178,000 ไร่ ส่วนในอำเภอเวียงป่าเป้า มีเกษตรกรได้รับจัดสรรที่ดินกว่า 3,800 ราย รวมกว่า 32,000 ไร่ ตัวเลขเหล่านี้ทำให้วันนี้ไม่ใช่เหตุการณ์โดดเดี่ยว แต่คือจิ๊กซอว์อีกชิ้นในแผนงานระยะยาวของพื้นที่

เมื่อ “ดิน–น้ำ–โครงสร้าง” บาดเจ็บจากภัยพิบัติ

ช่วงบ่าย คณะรัฐมนตรีช่วยฯ เคลื่อนคาราวานไปยัง โรงเรียนดอยเวียงผาพิทยา ตำบลเวียง เพื่อประชุมติดตามการฟื้นฟูพื้นที่การเกษตรที่ได้รับผลกระทบจากอิทธิพล พายุ “ยางิ” เมื่อเดือนกันยายน 2567 ภาพจำของคนเวียงป่าเป้าคือสายน้ำเชี่ยวและดินโคลนหนาทึบกวาดผ่านทุ่งนาทุ่งข้าวโพด เหลือร่องรอยคล้ายรอยแผลเป็นบนภูมิประเทศ

ดร.สุมิตรา วัฒนา รองอธิบดี รักษาราชการแทนอธิบดีกรมพัฒนาที่ดิน รายงานว่า พายุครั้งนั้นสร้างความเสียหายในพื้นที่ บ้านแม่ปูนล่าง ตำบลเวียง เป็นบริเวณกว้าง รวมกว่า 12,000 ไร่ โดยเฉพาะนาข้าวและข้าวโพดราว 400 ไร่ ที่ถูกตะกอนดินทับถมจนหน้าดินเสียสมดุล การฟื้นฟูจึงต้องใช้ทั้งวิทยาศาสตร์ดินและการมีส่วนร่วมของชุมชน

แผนฟื้นฟูแบบเป็นขั้นตอน ของกรมพัฒนาที่ดินประกอบด้วย

  • สำรวจและออกแบบระบบอนุรักษ์ดินและน้ำแบบมีส่วนร่วมรายแปลง เพื่อให้มาตรการเหมาะกับลักษณะพื้นที่จริง
  • อนุรักษ์ดินและน้ำในพื้นที่ป่าแม่ลาวฝั่งซ้าย (ได้รับอนุญาตจากสำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 2 เชียงราย) เน้น จัดระบบขั้นบันไดดิน ฝายชะลอน้ำ และคูเบนน้ำ เพื่อลดความเร็วการไหลบ่าของน้ำและพัดพาตะกอน
  • ปรับปรุงพื้นที่นาที่ถูกตะกอนทับถม 350 ไร่ ด้วยการปรับระดับแปลงนา เติมอินทรียวัตถุ และปรับปรุงโครงสร้างดิน
  • สนับสนุนพืชปุ๋ยสด วัสดุปรับปรุงดิน และปุ๋ยหมัก เพื่อคืนความอุดมสมบูรณ์อย่างยั่งยืน
  • ถ่ายทอดองค์ความรู้เรื่องหญ้าแฝก ให้เกษตรกรใช้เป็นแนวกันชะล้างพังทลาย ลดความเสี่ยงดินถล่มในฤดูฝนหน้า

การฟื้นฟูเช่นนี้ไม่ได้ให้ผลลัพธ์ทันที แต่เป็นการ “รักษาแผลลึก” ให้ดินกลับมาแข็งแรง ซึ่งเมื่อผนวกกับ “โฉนดเพื่อการเกษตร” ที่เพิ่งได้ จะทำให้เกษตรกรมีทั้ง สิทธิในที่ดิน และ ศักยภาพของดิน ไปพร้อมกัน

จากใบตองรองข้าวสู่เอกสารรองชีวิต

บนเก้าอี้แถวหลังเวที ชายชาวนาในวัยห้าสิบปลายก้มลงลูบซองเอกสาร เขาเล่าว่าพายุปีที่แล้วพัดตะกอนเข้าทุ่งข้าวจนเทือกดินเสียรูป ต้องทำนาแบบไม่รู้ผล “แต่พอมีทีมกรมพัฒน์ฯ เข้ามาช่วยวางคันนาใหม่ สอนปลูกหญ้าแฝก แถมวันนี้ได้โฉนดเพื่อการเกษตรอีก ก็คงกล้าคุยกับธนาคารเรื่องน้ำและเครื่องสูบแล้ว” ประโยคสั้นอาจไม่ใช่คำสัมภาษณ์อย่างเป็นทางการ หากคือภาพสะท้อนโครงสร้างโอกาสที่เปลี่ยนไป

เรื่องเล่าทำนองนี้ทำให้พิธีมอบเอกสารสิทธิไม่ใช่เรื่อง “พิธีกรรม” แต่เป็นจุดเริ่มของ เส้นทางทุน–ความรู้–การตลาด ที่เกษตรกรจะก้าวเดินต่อไป

ความมั่นคง 3 มิติ “ที่ดิน–ทุน–ดิน” และผลต่อเศรษฐกิจฐานราก

  1. มิติที่ดิน (Land Security)
    โฉนดเพื่อการเกษตรช่วยรับรองสิทธิการใช้ประโยชน์ในที่ดินที่ชัดเจน ลดความเสี่ยงข้อพิพาท และเพิ่มความสามารถในการวางแผนระยะยาว เปิดทางสู่การรวมกลุ่มจัดการน้ำ การรับรองมาตรฐาน GAP/ออร์แกนิก และการเชื่อมโยงสหกรณ์
  2. มิติทุน (Financial Inclusion)
    เอกสารสิทธิรูปแบบใหม่นี้ถูกออกแบบให้ใช้เป็นหลักประกัน จึงช่วยให้เข้าถึงแหล่งทุนดอกเบี้ยเหมาะสม เกิดการลงทุนย่อยจำนวนมาก เช่น ระบบน้ำหยด โรงเรือนเพาะปลูก เครื่องจักรกลขนาดเล็ก ซึ่งสร้าง ผลิตภาพ และ รายได้ต่อไร่ ที่สูงขึ้นกว่าการทำแบบเดิม
  3. มติดิน (Soil Health & Climate Resilience)
    แผนฟื้นฟูหลังพายุยางิที่เน้น “โครงสร้างดิน–ระบบชะลอน้ำ–หญ้าแฝก” ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นต่อสภาพอากาศสุดขั้ว และลดความเสี่ยงซ้ำซากในฤดูฝนหน้า เมื่อดินดี น้ำดี การผลิตก็กลับมาเร็วขึ้น ต้นทุนลดลง และวงจรหนี้ระยะสั้นของเกษตรกรคลายตัว

เชิงเศรษฐกิจระดับท้องถิ่น ผลคูณจากการลงทุนเล็กๆ หลายร้อยแปลงสามารถขับเคลื่อน ห่วงโซ่ธุรกิจชุมชน ตั้งแต่ร้านปุ๋ย–เครื่องมือเกษตร–ช่างซ่อม–ขนส่ง ไปจนถึงตลาดชุมชนและท่องเที่ยวชุมชน ที่เชื่อมกับภาพรวมของจังหวัดที่กำลังผลักดัน “เมืองท่องเที่ยวคุณภาพ” คู่ขนานไปกับ “เมืองเกษตรคุณภาพสูง”

บทบาทสหกรณ์และท้องถิ่นสะพานเชื่อมรัฐสู่ไร่นา

การมอบโฉนดวันนี้เกิดขึ้นที่ สหกรณ์การเกษตรเวียงป่าเป้า ซึ่งทำหน้าที่เป็น “ศูนย์รวม” ของข้อมูล สมาชิก และบริการทางการเงินของเกษตรกรในพื้นที่ สหกรณ์มีบทบาทสำคัญสามด้าน

  • คัดกรอง–ยืนยันข้อมูลแปลง เพื่อความถูกต้องของเอกสารสิทธิ
  • ออกแบบผลิตภัณฑ์ทางการเงินร่วมธนาคารคู่ค้าสหกรณ์ ให้สอดรับฤดูกาลผลิต
  • ทำตลาดร่วม ช่วยรวมผลผลิตและยกระดับคุณภาพเพื่อให้ขายได้ราคาดีขึ้น

องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในเวียงป่าเป้ายังเดินหน้าจัดการโครงสร้างพื้นฐานหมู่บ้าน เช่น ถนนคันนา ฝายในลำเหมือง และพื้นที่ปลอดภัยจากอุทกภัย ร่วมกับหน่วยงานกระทรวงเกษตรฯ เพื่อให้ผลของ “เอกสารสิทธิ + การฟื้นฟูดิน” ส่งผลจริงในไร่นา

ตัวเลขสำคัญที่ควรรู้ (เชียงรายและเวียงป่าเป้า)

  • มอบเอกสารสิทธิวันนี้โฉนดเพื่อการเกษตร 250 ราย, โฉนดต้นไม้ 15 ราย รวม 265 ราย
  • เชียงรายทั้งจังหวัด เขตปฏิรูปที่ดินรวม ประมาณ 932,061 ไร่; จัดสรรแล้วกว่า 76,000 ราย รวมกว่า 583,000 ไร่; ปรับเป็น โฉนดเพื่อการเกษตรกว่า 22,000 ราย รวมกว่า 178,000 ไร่
  • เวียงป่าเป้า เกษตรกรได้รับจัดสรรที่ดินกว่า 3,800 ราย รวมกว่า 32,000 ไร่
  • ความเสียหายจากพายุ “ยางิ”  พื้นที่เกษตรเสียหายรวมกว่า 12,000 ไร่; แปลงข้าว–ข้าวโพดเสียหายราว 400 ไร่; โครงการปรับปรุงพื้นที่นาที่ถูกตะกอนทับถม 350 ไร่

ตัวเลขเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงสถิติ แต่คือ แนวเส้นทาง ของการทำงานเชิงระบบ ตั้งแต่ปฏิรูปที่ดินจนถึงการพัฒนาดิน ช่วยให้ประชาชนเห็นภาพก้าวต่อไปของอำเภอและจังหวัด

มองไปข้างหน้า จาก “เอกสารในมือ” สู่ “รายได้ในกระเป๋า”

การได้โฉนดเพื่อการเกษตรคือจุดเริ่ม ไม่ใช่ปลายทาง เพื่อให้ เงินลงทุน กลายเป็น รายได้ อย่างยั่งยืน หน่วยงานเกี่ยวข้องควรเดินหน้า 5 ประเด็นเร่งด่วน

  1. แพ็กเกจสินเชื่อชลประทานย่อย–ระบบน้ำอัจฉริยะ สำหรับแปลงนาและพืชไร่ที่ผ่านการฟื้นฟู ช่วยลดความเสี่ยงภัยแล้งสั้นและยกระดับคุณภาพผลผลิต
  2. แผนปรับตัวภัยพิบัติชุมชน จัดทำแผนที่เสี่ยงน้ำหลาก–ดินถล่ม ควบคู่ระบบเตือนภัยและประกันภัยพืชผลภาคสมัครใจ
  3. เร่งเครื่องมาตรฐานคุณภาพ เช่น GAP/เกษตรอินทรีย์ เพื่อให้เข้าถึงตลาดที่ราคาดีกว่า และสอดรับดีมานด์ผู้บริโภคยุคใหม่
  4. ส่งเสริมรวมกลุ่มการตลาดผ่านสหกรณ์ เชื่อมอีคอมเมิร์ซท้องถิ่นและตลาดท่องเที่ยวจังหวัด สร้างเรื่องเล่าต้นทาง–ปลายทาง
  5. ติดตามประเมินผลแบบโปร่งใส เผยแพร่ความคืบหน้าฟื้นฟูรายตำบล เปิดข้อมูลให้สาธารณชนติดตามได้

หากทำครบวงจร “ที่ดินมั่นคง–ดินแข็งแรง–ทุนเข้าถึงง่าย–ตลาดรองรับ” จะช่วยยกระดับรายได้ต่อไร่ ลดการโยกย้ายแรงงาน และสร้างภูมิคุ้มกันให้เกษตรกรเวียงป่าเป้าผ่านฤดูกาลที่ผันผวน

ทำให้ “โฉนด” มีชีวิต

โฉนดเพื่อการเกษตร และ โฉนดต้นไม้ เป็นเอกสารที่สัมผัสได้ แต่ “ชีวิต” ของมันเริ่มต้นเมื่อถูกนำไปใช้จริง แปลเป็นเครดิตน้ำ แปลเป็นระบบสูบน้ำพลังงานสะอาด แปลเป็นคันนาขั้นบันไดที่ลดการชะล้าง หรือแปลเป็นโรงเรือนที่ต่อยอดรายได้แกนที่สองของครัวเรือน เมื่อบวกกับกระบวนการฟื้นฟูดินอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ภาพใหญ่ที่เห็นคือ ความมั่นคงสามชั้น ของเกษตรกร คือ สิทธิในที่ดิน–การเข้าถึงทุน–ความอุดมสมบูรณ์ของดิน ซึ่งจะหนุนคุณภาพชีวิตอย่างยั่งยืน

สุดท้าย พิธีวันนี้ไม่เพียง “มอบกระดาษ” หากคือการส่งมอบความเชื่อมั่น เกษตรกรในเวียงป่าเป้าไม่ได้เดินลำพัง แต่มีรัฐ สหกรณ์ ท้องถิ่น และวิทยาศาสตร์ดินเดินไปด้วยกัน บนถนนสายยาวของการฟื้นฟูหลังพายุและการอยู่ร่วมกับภูมิอากาศที่ผันผวน

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
  •  สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.)
  • กรมพัฒนาที่ดิน
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY NEWS UPDATE

จากโลกออนไลน์สู่ยอดจอง! เปิดยุทธศาสตร์คว้าโอกาส เมื่อเชียงรายถูกค้นหามากที่สุด

เชียงรายคว้าอันดับ 1 เมืองน่าเที่ยวจาก Google Trends—แรงดันดีมานด์ปลายปีหนุนเมืองรองโดดเด่น รับสัญญาณไฮซีซันและมาตรการรัฐ

เชียงราย, 24 ตุลาคม 2568 — เสียงลมหนาวเริ่มแตะยอดดอยพอดี ขณะที่ “เชียงราย” ผงาดขึ้นอันดับ 1 เมืองน่าเที่ยวจากการค้นหาใน Google Trends (ข้อมูล ณ 24 กันยายน 2568) พร้อมแรงเสริมจากบทวิเคราะห์แนวโน้มการท่องเที่ยวของ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ที่ชี้ว่าดีมานด์เดินทางช่วงไฮซีซันยังแข็งแรง โดยเฉพาะกลุ่มเมืองรองในภาคเหนือ สัญญาณทั้งหมดกำลังสอดรับกันอย่างลงตัว ทั้งสภาพอากาศเย็นสบาย เทศกาลปลายปี กิจกรรมเชิงวัฒนธรรม และแพ็กเกจการตลาดที่ถูกจังหวะ

ภาพที่เกิดขึ้นไม่ได้เป็นเพียง “กระแสออนไลน์” หากสะท้อนการตัดสินใจจริงของผู้เดินทาง ทั้งนักท่องเที่ยวไทยและต่างชาติที่กำลังล็อกเส้นทางปลายปี ขณะที่ฝั่งผู้ประกอบการท่องเที่ยวและชุมชนเจ้าบ้านเริ่มเร่งเครื่องรับลูก เพื่อเปลี่ยนยอดค้นหาให้เป็น “ยอดจอง–ยอดใช้จ่าย” ที่วัดได้ในระบบเศรษฐกิจท้องถิ่น

เศรษฐกิจดีมานด์ปลายปีมาแรง เมืองรองได้อานิสงส์ชัด

การติดอันดับ 1 ใน Google Trends ชี้ให้เห็น “อุปสงค์แฝง” ที่กำลังจะปลดล็อกสู่การเดินทางจริง โดยบทวิเคราะห์ แนวโน้มการท่องเที่ยวตลาดในประเทศ เดือนตุลาคม 2568 ของ ททท. ประเมินว่า เดือนนี้จะมีผู้เยี่ยมเยือนชาวไทยราว 16.28 ล้านคน–ครั้ง และสร้างรายได้ท่องเที่ยวราว 93,857 ล้านบาท แม้ภาพรวมจะชะลอเล็กน้อยเมื่อเทียบปีก่อน แต่สัดส่วนการเดินทางสู่ “เมืองท่องเที่ยว” นอกเมืองหลักขยับขึ้นต่อเนื่อง สอดคล้องกับโมเมนตัมของเชียงรายที่ขึ้นแท่นเมืองน่าเที่ยวอันดับต้นในโลกออนไลน์

ฝั่ง “ปัจจัยสนับสนุน” ททท.ระบุข้อได้เปรียบสำคัญไว้ 3 มิติ

  1. มาตรการกระตุ้นช่วง Green Season และเทศกาลต่อเนื่องปลายปี
    งานวัฒนธรรมและกิจกรรมดนตรีช่วยกระจายผู้คนสู่เมืองรอง ขณะที่คอนเทนต์เชิงท้องถิ่นดึงดูดเจเนอเรชันใหม่ได้ดี
  2. ฤดูกาลท่องเที่ยวเริ่มหนาวเย็น
    อุณหภูมิที่ลดลงทำให้กิจกรรมกลางแจ้งเป็นที่นิยม การเดินป่า กางเต็นท์ และล่าสายหมอกช่วยต่อยอดที่พักและบริการชุมชน
  3. อีเวนต์ดนตรีและกิจกรรมเอาต์ดอร์
    เทศกาลดนตรีและงานวิ่งปลายปีดึงเม็ดเงินท่องเที่ยวคุณภาพ โดยเฉพาะกลุ่ม Gen Y–Z ที่เน้นประสบการณ์และพร้อมจ่าย

ในอีกด้านหนึ่ง ปัจจัยอุปสรรค ยังมีให้จับตา ทั้งค่าครองชีพที่ยังสูง ภาระครัวเรือน และการท่องเที่ยวต่างประเทศที่กลับมาคึกคักในบางตลาด ทว่าเมื่อซ้อนทับกับจุดแข็งเชิงภูมิอากาศและคอนเทนต์เฉพาะถิ่น เมืองรองที่เตรียมตัวดีจะ “รับแรงส่ง” ได้มากกว่าค่าเฉลี่ย ซึ่งเชียงรายอยู่ในจังหวะนั้นพอดี

เชียงรายในเลนส์ข้อมูล ความสนใจพุ่ง–จุดขายชัด–แบรนด์ชุมชนแข็ง

1) สัญญาณความสนใจชัดเจน
การขึ้นอันดับ 1 เมืองน่าเที่ยวใน Google Trends สะท้อนการค้นหาที่เข้มข้น ทั้งคำหลักเกี่ยวกับ วัดร่องขุ่น–บ้านดำ–ไร่ชาฉุยฟง–ขุนน้ำนางนอน–ถนนคนเดิน รวมถึงกิจกรรมฤดูหนาว เช่น ลานดอกไม้–งานแสงสี–วิ่งเทรล ข้อมูลระดับพื้นที่ยังชี้ว่าการค้นหา “ที่พักเชียงราย” และ “คาเฟ่วิวภูเขา” เพิ่มขึ้นต่อเนื่องช่วงปลายกันยายน–ตุลาคม

2) จุดแข็งด้านความปลอดภัยและไลฟ์สไตล์
เชียงรายถูกยกให้เป็นหนึ่งในเมืองที่ปลอดภัยสำหรับนักท่องเที่ยวเดี่ยวและกลุ่มผู้หญิง/ดิจิทัลโนแมดในเอเชีย จุดเด่นนี้เสริมความเชื่อมั่นด้านการเดินทางคนเดียวและการทำงานระยะไกล (Work from Anywhere) ที่กำลังเป็นกระแส

3) Soft Power เชิงพื้นที่
เมืองศิลปะและกาแฟคือภาพจำที่ชัด วัดร่องขุ่นของเฉลิมชัย–พิพิธภัณฑ์บ้านดำของถวัลย์–ย่านคาเฟ่กาแฟพิเศษจากดอยแม่สลอง–แม่จัน–แม่ฟ้าหลวง เชื่อมโยงวัฒนธรรม–ธรรมชาติ–วิถีหมอกหนาวได้ลื่นไหล เหมาะกับการออกแบบเส้นทาง 2–3 คืน ที่จับคู่ได้ทั้งเมือง–ชานเมือง–ชายแดน

4) ความพร้อมรองรับดีมานด์จริง
สนามบิน การคมนาคมข้ามจังหวัด และคลัสเตอร์ที่พักระดับกลาง–เล็กของชุมชน เติบโตควบคู่กับผู้ประกอบการรุ่นใหม่ที่เน้นประสบการณ์และมาตรฐานสะอาดปลอดภัย ซึ่งเป็นเกณฑ์ที่นักท่องเที่ยวยุคหลังโควิดให้ความสำคัญ

ภาพใหญ่ในประเทศ โครงสร้างการเดินทางเดือนตุลาคม 2568

รายงานทิศทางตลาดในประเทศของ ททท. ชี้ว่า เมืองท่องเที่ยว นอกกลุ่ม “เมืองหลัก” กำลังแย่งส่วนแบ่งผู้เยี่ยมเยือนได้ดีขึ้น โดยแรงขับมาจาก 4 ตัวแปร

  • งานเทศกาล–วัฒนธรรม–ดนตรี ที่เกิดถี่ขึ้น
  • แพ็กเกจโปรโมชันร่วมเอกชน ที่ลด Pain Point ค่าเดินทางและที่พัก
  • คอนเทนต์สื่อออนไลน์ ที่ลงพื้นที่จริง ทำให้ “หมุดหมายรอง” โดดเด่น
  • สภาพอากาศเย็นลง ที่เร่งให้คนอยากออกนอกเมืองใหญ่

ในเชิงอุปทานฝั่งที่พักและเที่ยวบิน เดือนตุลาคมยังมีที่นั่งรวมราว 4 ล้านที่นั่ง เพิ่มขึ้นจากปีก่อน ขณะที่สัดส่วนเส้นทางบินสู่ภาคเหนือยังแข็งแรง ทำให้การเชื่อมต่อระหว่างเชียงราย–เชียงใหม่–แพร่–น่าน สามารถออกแบบทริปเชื่อมโยงแบบ “Multi-City” ได้คล่องตัว

นักท่องเที่ยวต่างชาติ โกลเดนวีกหนุนหน้าเอเชีย–ไฟลต์ใหม่ช่วยกระจายตัว

ด้านตลาดต่างชาติ รายงาน แนวโน้มเดือนตุลาคม 2568 คาดนักท่องเที่ยวต่างชาติราว 2.62 ล้านคน ลดลงเล็กน้อยจากปีก่อน แต่มี “แรงหนุนเฉพาะจังหวะ” ที่สำคัญ ได้แก่

  • เทศกาล China Golden Week ช่วงปลายกันยายนถึงต้นตุลาคม ที่ดันการจองล่วงหน้าขึ้น
  • Forward Booking รวม เติบโต +1.8% โดยตลาดที่โตเด่น คือ อิสราเอล–สหราชอาณาจักร–จีน
  • เส้นทางบินใหม่ 50 เส้นทาง ในหลายภูมิภาค ที่ช่วยเพิ่มความถี่และกระจายผู้โดยสาร

กลุ่ม Short-haul Top 5 ยังนำโดย มาเลเซีย–จีน–อินเดีย–เกาหลีใต้–อินโดนีเซีย ส่วน Long-haul Top 5 ได้แก่ รัสเซีย–สหราชอาณาจักร–สหรัฐฯ–เยอรมนี–ฝรั่งเศส นักท่องเที่ยวต่างชาติที่ขึ้นเหนือมักจัดแพ็กเกจ “เชียงใหม่–เชียงราย” ในทริปเดียว เน้นธรรมชาติ ศิลปะ วัดดัง และคาเฟ่วิวขุนเขา ทำให้เชียงรายได้ส่วนแบ่ง “คืนพัก” เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงโลว์ซีซัน

เชียงรายต้องรับมืออะไร ค่าครองชีพ–โลจิสติกส์–คุณภาพบริการ

แม้สัญญาณเชิงบวกมีมาก แต่ ปัจจัยอุปสรรค ยังเป็นโจทย์ต้องติดตาม

  • ค่าครองชีพและค่าเดินทาง ที่กดดันการใช้จ่ายเฉลี่ยต่อทริปของนักท่องเที่ยวไทย
  • การดึงคนออกนอกเมืองใหญ่ ที่ยังต้องพึ่งอีเวนต์คุณภาพสูงและการสื่อสารเชิงกลยุทธ์
  • การแข่งขันจากต่างประเทศ เมื่อหลายประเทศอาเซียนเร่งแคมเปญราคาช่วงปลายปี
  • บริหารความหนาแน่น ในจุดท่องเที่ยวยอดนิยม ช่วงไพรม์ไทม์เช้า–เย็น เพื่อรักษาประสบการณ์

เชียงรายจึงต้อง “เก็บดีเทล” ให้ครบ โดยเฉพาะการจัดการคิวจุดชมวิว การจราจรในวันพีก สัญญาณอินเทอร์เน็ตในแหล่งท่องเที่ยว และการสื่อสารหลายภาษาในย่านท่องเที่ยวหลัก เพื่อคงมาตรฐานเมืองท่องเที่ยวคุณภาพในช่วงที่ดีมานด์พุ่งขึ้นอย่างพร้อมกัน

การบ้านเชิงนโยบาย–เอกชน–ชุมชน เปลี่ยนการค้นหาเป็นการจอง

1) นโยบาย–หน่วยงานท้องถิ่น
ควรวาง แผนปฏิบัติการ 60 วัน รับไฮซีซันครอบคลุม ความปลอดภัย–จราจร–สิ่งแวดล้อม–สื่อสารแบบเรียลไทม์ พร้อมตั้งจุดข้อมูลภาษาไทย–อังกฤษในย่านหลัก และเตรียมจุดปฐมพยาบาลในงานเทศกาล

2) เอกชน–ผู้ประกอบการ
ปรับแพ็กเกจ เที่ยวยาว–ใช้จ่ายยาว” ผ่านดีลที่พัก + ร้านอาหาร + คาเฟ่ + กิจกรรมท้องถิ่น เพิ่มมูลค่าต่อบิล แนะนำสินค้าชุมชนและทัวร์ครึ่งวัน เพื่อลด “เวลาว่าง” ในทริป และขยายการใช้จ่ายสู่ชุมชนรอบนอก

3) ชุมชน–ผู้ประกอบการรายย่อย
ยกระดับ Content–Commerce ให้เดินคู่กัน เน้นเรื่องเล่าท้องถิ่น บริการที่เป็นมิตร และมาตรฐานความสะอาด–ปลอดภัย พร้อมระบบจองง่ายบนแพลตฟอร์มยอดนิยม เพื่อลดขั้นตอนตัดสินใจ

ปลายฝนต้นหนาว หนึ่งวันในเชียงรายที่พูดด้วยตัวเอง

เริ่มเช้าด้วยหมอกบางๆ เหนือทุ่งชา นักท่องเที่ยวแวะจิบกาแฟดริปจากเมล็ดดอยแม่สลอง ก่อนมุ่งหน้าไป วัดร่องขุ่น แสงเช้าสะท้อนผิววิจิตรสีขาวโพลน จบช่วงสายที่ พิพิธภัณฑ์บ้านดำ ซึ่งเล่าเรื่องลึกของล้านนาในภาษาศิลป์ พอเที่ยงก็สลับไปร้านอาหารท้องถิ่นริมกก บ่ายแก่ๆ แวะ คาเฟ่วิวภูเขา ที่ชุมชนเจ้าบ้านลงมือชงด้วยใจ

ยามเย็นเดินควงแขนกันที่ ถนนคนเดินเชียงราย ดนตรีเปิดหมวกดังคลอ ผู้คนเลือกผ้าทอไทลื้อ ข้าวจี่ร้อนๆ ควันกรุ่น ช่วงเวลานี้อาจเป็น “จุดตัดสินใจ” ที่สำคัญที่สุด เพราะประสบการณ์จริงจะทำให้ทุกไลก์–ทุกการค้นหา กลายเป็น “รีวิวปากต่อปาก” ที่พาเพื่อนอีกหลายคนกลับมาในฤดูกาลหน้า

โอกาสของเมืองรองในหน้าหนาว ต้องคว้าด้วยคุณภาพ

การคว้าอันดับ 1 เมืองน่าเที่ยวใน Google Trends ไม่ใช่จุดหมาย แต่เป็น “จุดเริ่ม” เชียงรายมีทรัพยากรพร้อมทั้งธรรมชาติ ศิลปะ วัฒนธรรม กาแฟ และความปลอดภัย แต่เพื่อให้ผลลัพธ์ทางเศรษฐกิจจับต้องได้ ทุกภาคส่วนต้องบูรณาการอย่างมีวินัย ตั้งแต่คิวจุดชมวิวจนถึงห้องน้ำสาธารณะ ตั้งแต่มาตรฐานที่พักจนถึงถังขยะรีไซเคิล ตั้งแต่ข้อมูลเรียลไทม์จนถึงเจ้าบ้านที่ยิ้มต้อนรับอย่างเสมอต้นเสมอปลาย

ปลายปีนี้ “เมืองรองดาวรุ่ง” จึงไม่ได้ชนะกันที่แสงสีที่ดังที่สุด แต่ชนะกันที่รายละเอียดและความสม่ำเสมอที่สุด หากเชียงรายรักษาคุณภาพเสมอต้นเสมอปลายและต่อยอด Soft Power ให้คมชัด เชียงรายจะไม่ใช่เพียง “คำค้นหายอดนิยม” แต่จะเป็น “คำตอบ” ของนักเดินทางคุณภาพในระยะยาว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • Google Trends
  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)
  • ททท. แนวโน้มตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติ เดือนตุลาคม 2568
  • OAG / ระบบ ForwardKeys
  • ข้อมูลสาธารณะด้านความปลอดภัยนักเดินทาง/ผู้หญิงและดิจิทัลโนแมด
  • TAT Intelligence Center
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เทศบาลนครเชียงรายจัดใหญ่ ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ 5,000 โดส ต้อนรับฤดูกาลท่องเที่ยว

เชียงรายยกระดับ “เมืองสุขภาพดี เมืองท่องเที่ยวคุณภาพ” เทศบาลนครฯ ลั่นฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ 5,000 โดส-คัดกรองมะเร็งปากมดลูกฟรี รองรับไฮซีซัน พร้อมแผนสกัดระบาดเชิงรุกทั้งเมือง

เชียงราย, 23 ตุลาคม 2568 — ปลายฝนต้นหนาว กับโจทย์สุขภาพที่ต้องตัดสินใจเร็ว สายลมหนาวแรกพัดผ่านลุ่มน้ำกก ผู้คนเริ่มนึกถึงเทศกาลท่องเที่ยวปลายปี ร้านอาหารและโรงแรมทยอยเตรียมรับแขก ช่วงเวลาเดียวกัน สถานการณ์ไข้หวัดใหญ่ในภาคเหนือยังสูงกว่าค่าเฉลี่ยประเทศ ตัวเลขสะสมของจังหวัดเชียงรายปี 2567 พุ่งแตะ 9,190 ราย สะท้อน “ภาระโรค” ที่กดดันระบบสุขภาพและเศรษฐกิจท้องถิ่นพร้อมกัน เทศบาลนครเชียงรายจึงขยับเชิงรุก เปิดแผนฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ 5,000 โดสควบคู่คัดกรองมะเร็งปากมดลูกฟรี สร้างภูมิคุ้มกันสาธารณะก่อนนักท่องเที่ยวนับแสนเดินทางเข้าจังหวัด

ข่าวนี้ไม่ใช่เพียงกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์ แต่คือ “ยุทธศาสตร์เมือง” ที่ผสานสุขภาพกับท่องเที่ยวเข้าด้วยกัน ตั้งกรอบคิดว่า สุขภาพที่ดีคือรากฐานของคุณภาพชีวิต และเป็นเงื่อนไขสำคัญของเศรษฐกิจบริการในเมืองท่องเที่ยว

ภาพรวมสถานการณ์ เชียงรายติดกลุ่มอัตราป่วยสูงของประเทศ สายพันธุ์หลักยังเป็น A/H1N1

ข้อมูลระบาดวิทยาจากสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย ระบุจำนวนผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ปี 2567 สะสม 9,190 ราย คิดเป็นอัตราป่วย 797.17 ต่อประชากรแสนคน เมื่อเทียบกับช่วงต้นปี 2568 เชียงรายถูกจัดเป็นจังหวัดอัตราป่วยสูงลำดับต้น ๆ ของประเทศ รองจากพะเยาและลำพูน แนวโน้มสอดคล้องกับภาพรวมภาคเหนือที่มีฤดูหนาวยาวนาน ทำให้การรวมกลุ่มในอาคารเพิ่มขึ้นและเอื้อต่อการแพร่เชื้อ

กรมควบคุมโรคชี้ว่า สายพันธุ์ที่พบมากในรอบปีคือไข้หวัดใหญ่ชนิด A/H1N1 (2009) ซึ่งรวมอยู่ในวัคซีนตามฤดูกาล แต่ประสิทธิผลต่อประชากรขึ้นกับ “ความครอบคลุม” ของการฉีดและพฤติกรรมป้องกันโรคในชุมชน หากครอบคลุมต่ำ วัคซีนย่อมปกป้องระดับชุมชนได้ไม่เต็มที่

ภาระโรคสูงกว่าค่าเฉลี่ย ต้องอธิบาย “ฐานประชากร” ให้ตรงกัน

จำนวนผู้ป่วย 9,190 รายทำให้หลายฝ่ายตั้งคำถามถึงอัตราป่วยที่รายงาน เทศบาลนครฯ และ สสจ.เชียงราย จึงร่วมกันทบทวน “ตัวหาร” ที่ใช้คำนวณอัตราป่วย ต่อแสนประชากร เพื่อให้การสื่อสารต่อสาธารณะชัดเจน การระบุฐานประชากรอย่างโปร่งใสช่วยให้ผู้กำหนดนโยบายจัดสรรวัคซีน ยาต้านไวรัส และบุคลากรได้ตรงจุด และยังทำให้ผู้ประกอบการท่องเที่ยวเห็นภาพความเสี่ยงจริงในพื้นที่

เด็กเล็ก-วัยเรียนเป็นตัวขับการระบาด โรงเรียนจึงคือสนามปฏิบัติการสำคัญ

ข้อมูลระดับประเทศปี 2567 ชี้ว่า กลุ่มอายุ 0–4 ปี และ 5–14 ปี มีอัตราป่วยต่อแสนประชากรสูงสุด สถานศึกษา สถานเลี้ยงเด็ก และกิจกรรมรวมกลุ่มจึงกลายเป็น “จุดขยายสัญญาณ” การแพร่เชื้อ เทศบาลนครฯ เตรียมใช้มาตรการ 3 ชั้นในเขตเมือง ได้แก่

  1. ปรับมาตรฐานสุขาภิบาลโรงเรียน เน้นล้างมือ สวมหน้ากากเมื่อป่วย และทำความสะอาดพื้นผิวสัมผัสถี่ขึ้น
  2. ระบบคัดกรองอาการรายวัน และนโยบายให้หยุดเรียนเมื่อมีไข้หรือไอ เพื่อหยุดวงจรการแพร่เชื้อ 3–7 วัน
  3. การฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่แก่กลุ่มเสี่ยงตามเกณฑ์ของกระทรวงสาธารณสุข รวมถึงบุคลากรด่านหน้าในภาคบริการ

เชียงรายคือเมืองชายแดน การเฝ้าระวังด่านควบคุมโรคต้องพร้อม

เชียงรายมีด่านแม่สาย เชียงแสน และสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 4 เชียงของ ซึ่งรองรับการเดินทางและขนส่งระหว่างประเทศอย่างคึกคัก เทศบาลนครฯ ประสานคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดและด่านควบคุมโรคติดต่อ เพื่อเฝ้าระวังเชิงรุก ตรวจจับคลัสเตอร์จากผู้เดินทาง และติดตามสายพันธุ์ที่หมุนเวียน หากพบสัญญาณผิดปกติ จะสื่อสารเตือนภัยอย่างตรงจุดแก่ผู้ประกอบการท่องเที่ยวและสาธารณชนในเมือง

วัคซีนความมั่นใจนักเดินทาง” ทำไม 5,000 โดสจึงสำคัญ

เทศบาลนครเชียงราย โดยนายกวันชัย จงสุทธานามณี วางกลยุทธ์ฉีดวัคซีน 5,000 โดสสำหรับกลุ่มเสี่ยงในเมือง โดยเน้นผู้ทำงานสัมผัสนักท่องเที่ยว เช่น พนักงานโรงแรม ร้านอาหาร คนขับรถรับจ้าง ไกด์ แม่ค้า และประชาชนทั่วไปในย่านท่องเที่ยว เหตุผลมี 4 ประการ

  • ลดความรุนแรงของโรค วัคซีนช่วยลดโอกาสปอดบวมและการนอนโรงพยาบาล
  • คงเสถียรภาพธุรกิจบริการ ลดการลาป่วยพร้อมกันจำนวนมากในไฮซีซัน
  • สร้างความเชื่อมั่นนักท่องเที่ยว เมืองที่ให้ความสำคัญด้านสุขภาพดึงดูดนักเดินทางคุณภาพ
  • เสริมระบบเตือนภัยชุมชน เมื่อประชาชนฉีดวัคซีนมากพอ สัญญาณผู้ป่วยรุนแรงจะลดลง ทำให้หน่วยงานมุ่งทรัพยากรไปยังจุดที่จำเป็นที่สุด

นอกจากนี้ เทศบาลยังจัดคัดกรองมะเร็งปากมดลูก ฟรี เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตสตรี และตอกย้ำว่า นโยบายสุขภาพเมืองต้องครอบคลุมโรคเรื้อรังและคัดกรองเชิงป้องกันควบคู่โรคระบาด

เสียงจากผู้นำท้องถิ่น “สุขภาพที่ดี คือรากฐานของการท่องเที่ยวที่ยั่งยืน”

นายวันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย กล่าวในพิธีเปิดว่า เทศบาลต้องทำมากกว่าการดูแลพื้นฐานเมือง เป้าหมายคือทำให้ชาวเมืองและผู้มาเยือน “รู้สึกปลอดภัย” เพราะความปลอดภัยด้านสุขภาพแปลงเป็นความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจได้ทันที มาตรการครั้งนี้จึงไม่ใช่เพียงงานสาธารณสุข แต่คือการคุ้มครองแบรนด์ “เชียงรายเมืองท่องเที่ยวคุณภาพ”

ด้านนายณรงค์ ลือชา รองนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเชียงราย เสริมว่า วัคซีนตามฤดูกาลช่วยลดความรุนแรงได้ชัดเจน โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้สูงอายุ ผู้มีโรคเรื้อรัง เด็กเล็ก และหญิงตั้งครรภ์ การมารับบริการให้ทันก่อนหน้าหนาว คือการปกป้องครอบครัวและลดภาระระบบสุขภาพในช่วงพีก

ขับเคลื่อนแบบ “หนึ่งเมือง หนึ่งแนวร่วม” รายชื่อหน่วยงานหลัก

การรณรงค์ครั้งนี้เกิดจากความร่วมมือของทั้งภาครัฐ ภาควิชาการ และภาคประชาชน

  • เทศบาลนครเชียงราย (กองการแพทย์ และเครือข่าย อสส.)
  • สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย
  • โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ และเครือข่ายบริการปฐมภูมิ
  • ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 1/1 เชียงราย
  • สำนักงานสาธารณสุขอำเภอเมืองเชียงราย
  • สมาคมผู้ประกอบการท่องเที่ยว ภาคเอกชน และสถาบันการศึกษาในพื้นที่

โครงสร้างความร่วมมือแบบ “หนึ่งเมือง หนึ่งแนวร่วม” ทำให้การสื่อสารและการจัดคิวฉีดวัคซีนเชื่อมกับไทม์ไลน์ท่องเที่ยวได้อย่างลื่นไหล ลดคอขวด และกระจายบริการไปยังชุมชนสำคัญทั้งฝั่งตะวันออก-ตะวันตกของตัวเมือง

เชิงปฏิบัติการฉีดที่ไหน-อย่างไร-ใครได้ก่อน

เทศบาลกำหนด จุดฉีดเคลื่อนที่ ในตลาดท่องเที่ยว ถนนคนเดิน ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว และศูนย์สุขภาพชุมชนในเขตเทศบาล จัดทีมพยาบาล-เวชปฏิบัติครอบครัว และหน่วยเวชศาสตร์ครอบครัวจากโรงพยาบาลเครือข่ายลงพื้นที่ในวันพีค โดยใช้ระบบจองคิวผ่านไลน์ออฟฟิเชียลเทศบาล พร้อมรับ “วอล์ก-อิน” สำหรับกลุ่มเสี่ยงที่ระบุไว้

กลุ่มเป้าหมายลำดับแรก ได้แก่ ผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไป ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง 7 กลุ่มโรค บุคลากรภาคบริการท่องเที่ยว เด็กเล็กตามดุลยพินิจของแพทย์ และหญิงตั้งครรภ์ ทั้งหมดต้องผ่านการประเมินความพร้อมเบื้องต้นและได้รับคำแนะนำการดูแลหลังฉีด

บทเรียนจากปีก่อนเมื่อ “สื่อสารความเสี่ยง” คือกุญแจ

รายงานผลการฉีดวัคซีนปี 2567 สะท้อนว่า บางกลุ่มยังปฏิเสธรับวัคซีนจากความเข้าใจคลาดเคลื่อน เทศบาลจึงปรับแผนสื่อสารใหม่ ใช้ อินโฟกราฟิกง่าย ๆ สรุปประโยชน์และผลข้างเคียงที่พบบ่อย พร้อมคลิปสั้นจากแพทย์โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ ตอบคำถามยอดฮิต เช่น “ฉีดแล้วป่วยได้ไหม” “คนเป็นภูมิแพ้ฉีดได้หรือไม่” และ “เว้นระยะกับวัคซีนอื่นเท่าใด” นอกจากนี้ ยังเปิดสายด่วนให้คำปรึกษาก่อนตัดสินใจ เพื่อเพิ่มอัตรารับวัคซีนจริง

ควบคุมโรคแบบ “แพ็กเกจ” หน้ากาก-ล้างมือ-อากาศถ่ายเท-หยุดเมื่อป่วย

เทศบาลย้ำว่า วัคซีนไม่ใช่ “ยาวิเศษ” หากประชาชนละเลยมาตรการพื้นฐาน จึงเดินหน้ารณรงค์ “แพ็กเกจ 4 ข้อ” คือ สวมหน้ากากเมื่อป่วย ล้างมือบ่อย เปิดหน้าต่างให้อากาศถ่ายเท และหยุดเรียนหรือหยุดงานเมื่อมีไข้ไอเจ็บคอ พร้อมแนะให้ใช้ ATK คัดกรองเมื่อเริ่มมีอาการ เพื่อแยกตัวได้เร็ว ลดโอกาสแพร่เชื้อในที่ทำงานและสถานศึกษา

มองผ่านเลนส์เศรษฐกิจเมืองค่าเสียโอกาสของการ “ป่วยพร้อมกัน”

ผู้ประกอบการโรงแรมและร้านอาหารในตัวเมืองสะท้อนตรงกันว่า ปลายปีคือช่วงทำรายได้หลัก หากพนักงานลาป่วยพร้อมกัน 10–20% การให้บริการสะดุดทันที ต้นทุนจ้างงานชั่วคราวสูงขึ้น และความพึงพอใจนักท่องเที่ยวลดลง มาตรการฉีดวัคซีนและคัดกรองเชิงรุกจึงช่วย “ล็อกเสถียรภาพ” การให้บริการ และปกป้องชื่อเสียงเมืองในช่วงที่ผู้คนจับจ่ายสูง

ความพร้อมของระบบรักษาโฟกัสการคัดกรองเร็ว-รักษาเร็ว

โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์เตรียมคลินิกทางเดินหายใจช่วงพีก พร้อมแนวปฏิบัติการใช้ยาต้านไวรัสตามเกณฑ์แพทย์และระยะเวลาที่เหมาะสม ย้ำว่า ผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยงควรมาพบแพทย์เร็วเพื่อประเมินภาวะแทรกซ้อน เช่น ปอดอักเสบ นอกจากนี้ ระบบส่งต่อโรงพยาบาลชุมชน-ศูนย์สุขภาพชุมชนในเขตเทศบาลถูกตั้งค่าไว้ล่วงหน้า เพื่อรองรับกรณีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นเฉียบพลัน

คัดกรองมะเร็งปากมดลูกฟรียกระดับคุณภาพชีวิตสตรีในเมือง

การคัดกรองมะเร็งปากมดลูกจัดควบคู่ในจุดฉีดวัคซีนหลายแห่ง เพื่อให้สตรีวัยทำงานเข้าถึงบริการได้สะดวก เทศบาลเน้นย้ำว่า มะเร็งปากมดลูก “ป้องกันและรักษาหายได้” หากตรวจพบเร็ว การผนวกบริการคัดกรองเข้ากับแผนวัคซีนจึงช่วยประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายของประชาชน และสะท้อนแนวทาง “เมืองสุขภาพดี” ที่มองสุขภาพแบบองค์รวม

จากข้อมูลสู่ยุทธศาสตร์ปีหน้าวัคซีน-ข้อมูล-ความร่วมมือ ต้องเดินพร้อมกัน

บทเรียนปี 2567 บอกเราว่า ภาระโรคสูงไม่ได้มาจากเชื้ออย่างเดียว แต่เกิดจากพฤติกรรม การเข้าถึงวัคซีน ความหนาวยาวนาน และการรวมกลุ่มในอาคารมากขึ้น เมืองจึงต้องยกระดับ 3 เรื่อง

  1. วัคซีน เพิ่มครอบคลุมในกลุ่มเสี่ยง โดยเฉพาะเด็กเล็ก-วัยเรียน-ผู้สูงอายุ-ผู้มีโรคเรื้อรัง และแรงงานท่องเที่ยว
  2. ข้อมูล ปรับมาตรฐานฐานประชากรในการคำนวณอัตราป่วย ให้หน่วยงานและสาธารณชนใช้ตัวเลขชุดเดียวกัน
  3. ความร่วมมือ ร้อยเครือข่ายภาครัฐ-เอกชน-ชุมชน ให้สื่อสารความเสี่ยงไปในทิศทางเดียว นำไปสู่การตัดสินใจที่รวดเร็วและมีวินัยร่วมกัน

เมืองท่องเที่ยวคุณภาพ เริ่มจากคนเมืองที่สุขภาพดี

การฉีดวัคซีน 5,000 โดสและคัดกรองมะเร็งปากมดลูกฟรี คือก้าวแรกในฤดูกาลนี้ แต่สาระสำคัญยิ่งกว่าคือ “วิธีคิด” ที่วางสุขภาพไว้เคียงข้างเศรษฐกิจ เทศบาลนครเชียงรายแสดงบทบาทเจ้าบ้านที่ดีด้วยมาตรการเชิงระบบ เชื่อมโรงเรียน โรงพยาบาล ตลาดท่องเที่ยว และด่านพรมแดนเข้าด้วยกัน เมื่อคนเมืองแข็งแรง นักท่องเที่ยวมั่นใจ และธุรกิจบริการเดินได้ต่อเนื่อง ภาพ “เชียงราย เมืองสุขภาพดี เมืองท่องเที่ยวคุณภาพ” ก็ไม่ใช่สโลแกน หากเป็นความจริงที่สัมผัสได้

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย (สสจ.เชียงราย)
  • กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข
  • ศูนย์เฝ้าระวังทางระบาดวิทยา เขตสุขภาพที่ 1
  • โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์
  • คู่มือสื่อสารความเสี่ยงไข้หวัดใหญ่ กรมควบคุมโรค
  • สำนักทะเบียนกลาง/สถิติทางการจังหวัดเชียงราย
  • เทศบาลนครเชียงราย
  • ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 1/1 เชียงราย
  • คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานสาธารณสุขอำเภอเมืองเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News