Categories
NEWS SOCIETY & POLITICS

ผลงานโครงการโรงเรียนเชียงรายรู้เท่าทันภัยออนไลน์

ผลงานโครงการโรงเรียนเชียงรายรู้เท่าทันภัยออนไลน์

Facebook
Twitter
Email
Print

เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2566 ที่ห้องประชุมภูชี้ฟ้า โรงแรมภูฟ้าวารีเชียงราย รีสอร์ท ตำบลท่าสุด อำเภอเมืองเชียงราย นายวัลลภ ไม้จำปา ศึกษาธิการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานพิธีเปิด “เวทีนำเสนอผลงานโครงการโรงเรียนเชียงรายเท่าทันภัยออนไลน์” ภายใต้การสนับสนุนของกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ โดยทางมูลนิธิเพื่อยุติการแสวงหาประโยชน์ทางเพศจากเด็ก ได้ดำเนินกิจกรรมโครงการโรงเรียนเชียงรายเท่าทันภัยออนไลน์ ร่วมกับ สำนักงานศึกษาธิการจังหวัดเชียงราย สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเชียงราย และสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงราย เขต 3 ซึ่งเป็นโครงการที่มีส่วนช่วยขับเคลื่อน และผลักดันให้มีการจัดการเรียนรู้เรื่องการรู้เท่าทันสื่อ เท่าทันภัยออนไลน์ ในสถานศึกษา จำนวน 20 แห่ง ในจังหวัดเชียงราย 

รวมถึงพัฒนาศักยภาพครูผู้สอน บุคลากรทางการศึกษาให้เกิดความรู้ ความเข้าใจ และส่งเสริมให้ครูผู้สอนสามารถนำกระบวนการ ทักษะความรู้ไปขยายผลต่อในสถานศึกษา และมีทักษะในการจัดกระบวนการเรียนรู้ที่ยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง ผ่านกระบวนการ Active Learning ซึ่งนับว่าเป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับสถานศึกษา ครูผู้สอน และเด็กนักเรียนที่ได้เข้าร่วมโครงการ โดยมี นางสาวเกษณี จันทร์ต๊ะ ผู้จัดการโครงการมูลนิธิ ECPAT ผู้บริหารสถานศึกษา บุคลากรทางการศึกษา และนักเรียน เข้าร่วมนำเสนอผลงานฯ ในครั้งนี้ด้วย

นางสาวเกษณี จันทร์ตระกูล ผู้จัดการโครงการมูลนิธิ ECPAT กล่าวว่า โครงการ “โรงเรียนเชียงรายเท่าทันภัยออนไลน์” ได้รับการสนับสนุนจากกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ซึ่งดำเนินการในพื้นที่ 20 โรงเรียนของจังหวัดเชียงราย ร่วมกับสำนักงานศึกษาธิการจังหวัดเชียงราย สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเชียงราย และสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงราย เขต 3 ระยะเวลาโครงการ 1 ปี คือ มิถุนายน 2565 – พฤษภาคม 2566 เป้าหมายของโครงการ คือ 

เพื่อพัฒนาศักยภาพครูผู้สอนในสถานศึกษาให้มีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับแนวทางการจัดกระบวนการเรียนการสอน เรื่อง รู้เท่าทันภัยออนไลน์ ส่งเสริมให้สถานศึกษามีการจัดการเรียนการสอน เรื่อง รู้เท่าทันภัยออนไลน์ แก่เด็กนักเรียนอย่างต่อเนื่อง และจัดให้มีสื่อการเรียนการสอนเกี่ยวกับภัยออนไลน์สำหรับสถานศึกษาที่มีประสิทธิภาพ และเด็กนักเรียนสามารถเข้าถึงได้
ทางด้าน นายวัลลภ ไม้จำปา ศึกษาธิการจังหวัดเชียงราย กล่าวอีกว่า 

โครงการโรงเรียนเชียงรายเท่าทันภัยออนไลน์ ที่สะท้อนให้เห็นถึงผลลัพธ์ ความสำเร็จ ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นทั้งกับเด็กนักเรียน ครูผู้สอน และสถานศึกษา ซึ่งจากการดำเนินงานโครงการ พบว่า เด็กนักเรียนที่ได้เรียนเรื่องเท่าทันภัยออนไลน์มีความรู้และทักษะในการดูแลปกป้องตนเองจากภัยออนไลน์ได้ดีขึ้น รู้จักแหล่งให้ความช่วยเหลือ ครูผู้สอนสามารถทำหน้าที่เป็นผู้จัดกระบวนการเรียนรู้ได้อย่างดี เน้นการเรียนรู้ผ่านกิจกรรม สื่อวิดีโอ ข่าว และการคิดวิเคราะห์ และมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการสอนตามความเหมาะสมตามวัยของเด็กนักเรียน ยิ่งกว่านั้นสถานศึกษาเองก็ให้ความสำคัญและส่งเสริมครู ส่งเสริมนักเรียนในการเรียนรู้เรื่องความปลอดภัยบนโลกออนไลน์ ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าชื่นชมอย่างยิ่ง และสอดคล้องกับทักษะการใช้สื่อในศตวรรษที่ 21
Facebook
Twitter
Email
Print

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

Facebook
Twitter
Email
Print
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
MOST POPULAR
NEWS UPDATE
Categories
NEWS SOCIETY & POLITICS

ประกันสังคม จ.เชียงราย เพิ่มศักยภาพ ขับเคลื่อนความคุ้มครองแรงงานอิสระ

ประกันสังคม จ.เชียงราย เพิ่มศักยภาพ ขับเคลื่อนความคุ้มครองแรงงานอิสระ

Facebook
Twitter
Email
Print

เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2566 นางภัทราวดี สุทธิธนกูล รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานเปิดโครงการพัฒนาศักยภาพแกนนำเครือข่ายประกันสังคม ประจำปี 2566 ที่โรงแรมทีค การ์เด้น รีสอร์ท ตำบลบ้านดู่ อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย โดยสำนักงานประกันสังคมจังหวัดเชียงราย ได้ดำเนินโครงการพัฒนาศักยภาพแกนนำเครือข่ายประกันสังคม ประจำปี 2566 จำนวน 2 ครั้งๆ ละ 90 คน เพื่อยกระดับบทบาทหน้าที่ของแกนนำเครือข่ายประกันสังคม 

ในฐานะตัวแทนขับเคลื่อนการขยายความคุ้มครองประกันสังคม สู่แรงงานนอกระบบในระดับพื้นที่ เพิ่มศักยภาพและเสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับการประกันสังคมมาตรา 40 สิทธิประโยชน์ที่พึงได้รับตามกฎหมาย เทคนิคการทำงาน รวมทั้งเทคโนโลยีที่จำเป็นในการปฏิบัติงานประกันสังคมมาตรา 40 ให้กับแกนนำเครือข่ายประกันสังคม สามารถนำไปขยายความคุ้มครองประกันสังคมสู่แรงงานนอกระบบ และแลกเปลี่ยนประสบการณ์ของแกนนำเครือข่ายประกันสังคม ในการขับเคลื่อนการขยายความคุ้มครองประกันสังคม สู่แรงงานนอกระบบในระดับพื้นที่โดยตรง

นางวิไลพร วงษ์อัยรา ประกันสังคมจังหวัดเชียงราย กล่าวว่า ปัจจุบันจังหวัดเชียงรายมีเครือข่ายประกันสังคมมาตรา 40 รวมทั้งสิ้น 225 ราย สำนักงานประกันสังคมมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องสร้างกลไกในการมีส่วนร่วมของภาครัฐ และภาคประชาชน ที่เป็นกระบอกเสียงกระจายในการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์สร้างความรู้ ความเข้าใจ รณรงค์ และโน้มน้าวกระตุ้นให้แรงงานอิสระตระหนักถึงความสำคัญในการสร้างหลักประกันทางสังคม และคุณภาพชีวิต ทั้งในวัยทำงาน และวัยเกษียณ ที่ดีขึ้น ตลอดจนสามารถนำไปสู่การขยายผลการให้ความคุ้มครองประกันสังคมมาตรา 40 ได้อย่างเป็นรูปธรรม สอดคล้องตามนโยบายประกันสังคมทั่วไทยของประเทศ 

เพื่อเป็นการขับเคลื่อนการประกันสังคมมาตรา 40 ด้วยการให้บุคคลภายนอกเข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินงาน และมีการจ่ายค่าตอบแทนให้แก่บุคคลภายนอกที่มาร่วมเป็นเครือข่ายตามความเหมาะสม อีกทั้งยังเป็นการสร้างเครือข่ายประกันสังคมมาตรา 40 ภาคประชาชนแบบมีส่วนร่วม รวมทั้งสร้างขวัญกำลังใจ และแรงจูงใจในการปฏิบัติงานอย่างทุ่มเท เสียสละ และอุทิศตน ในการร่วมผลักดัน และขับเคลื่อนการให้ความคุ้มครองแรงงานอิสระให้บรรลุผลสัมฤทธิ์ มีผลงานประจักษ์ (Best Practice) ต่อไป
Facebook
Twitter
Email
Print

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

Facebook
Twitter
Email
Print
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
NEWS SOCIETY & POLITICS

เชียงราย ถอดบทเรียนปัญหาหมอกควันไฟป่า และ PM2.5 เพื่อแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน

เชียงราย ถอดบทเรียนปัญหาหมอกควันไฟป่า และ PM2.5 เพื่อแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน

Facebook
Twitter
Email
Print

เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2566 ผศ.ดร.นิอร ศิริมงคลเลิศกุล คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลเชียงราย ผศ.ดร.จิราพร ขุนศรี คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย ผศ.ดร.นพชัย ฟองอิสสระ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย ดร.อภิญญา ดิสสะมาน สถาบันพระปกเกล้า ได้เป็นวิทยากรในการ ถอดบทเรียน การเผาและการจัดการเชื้อเพลิงกับปัญหาไฟและฝุ่นในชุมชน ด้วยวิธี “การประชาเสวนา” (Citizen Dialogue) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการวิจัย “การยกระดับการบริหารเชื้อเพลิงหรือการชิงเผาด้วยนวัตกรรม Burn Check ในชุมชนเสี่ยงต่อการเผา” ซึ่งได้รับการสนับสนุนทุนวิจัยโดย หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) โดยมี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนาเชียงราย เป็นหัวหน้าโครงการ

ในการถอดบทเรียนในครั้งนี้ ได้มี นายอุดม ปกป้องบวรกุล นายอำเภอแม่สรวย ได้นำคณะวิจัย พบปะกับ ผู้บริหาร ผู้นำชุมชนในพื้นที่ องค์การบริหารส่วนตำบลท่าก๊อ และองค์การบริหารส่วนตำบลแม่พริก อ.แม่สรวย จ.เชียงราย เพื่อร่วมกันถอดบทเรียนการเกิดปัญหาหมอกควันไฟป่า ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดฝุ่นละอองขนาดเล็ก หรือ PM2.5 ในพื้นที่ อ.แม่สรวย จ.เชียงราย เพื่อเป็นการนำข้อมูลที่ได้มานำเสนอเป็นนโยบายในการแก้ไขปัญหาในปีต่อไปอย่างเป็นรูปธรรม และถาวร

นายอุดม ปกป้องบวรกุล กล่าวว่า ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ได้สั่งการให้ทุกตำบลให้ไปถอดบทเรียนว่าไฟป่ามันเกิดจากอะไรแล้วยังมีวิธีจัดการหรือแก้ไขปัญหายังไงในเบื้องต้น จึงได้ชวน สถาบันการศึกษาในพื้นที่มาถอดบทเรียน ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีข้อมูลการเกิดจุดความร้อนหรือฮอตปอตในพื้นที่ ตำบลท่าก๊อ ตั้งแต่วันที่ 15 กุมภาพันธ์ถึง 30 เมษายน ซึ่งมากกว่าทุกตำบลในแม่สรวย และช่วงบ่ายก็จะไปถอดบทเรียนในพื้นที่ตำบลแม่พริกซึ่งมีข้อมูลการเกิดฝุ่นความร้อนน้อยที่สุดของทั้งอำเภอแม่สรวย ซึ่งบริบทของ อำเภอแม่สรวย อยู่ในเขตป่าไม้ 9-18.6% เหลือพื้นที่ที่ไม่ได้อยู่ในเขตป่าไม่ถึง 2% หรือประมาณ 14,000 ไร่ แต่ข้อมูลการออกโฉนดมีมากกว่า เพราะบางพื้นที่อาจจะมีการออกโฉนดทับซ้อนที่ในป่าสงวน บางพื้นที่มีการยึดถือครอบครองทำประโยชน์มาก่อนแล้ว ไม้เข้ามาประกาศทีหลังอันนี้เป็นประเด็นที่ผมคิดว่าน่าจะเป็นประเด็นที่สำคัญ การแก้ไขปัญหาจึงขึ้นกับบริบทแต่ละพื้นที่เพราะฉะนั้น จึงได้มีการเชิญนักวิชาการจาก 3 สถาบัน มาทำวิจัยเรื่องการบริหารจัดการเชื้อเพลิงผ่านระบบแอปพลิเคชั่นเบิร์นเช็ค โดยจะนำความคิดเห็นของประชาชนมาประกอบ เป็น 5 เหตุปัญหาการแก้ไขปัญหาและก็การกระบวนการในอนาคตของภาพรวมทั้ง อำเภอแม่สรวยและเราก็จะนำความเห็นเหล่านี้ไปนำเสนอ ผู้ว่าราชการจังหวัด หัวหน้าส่วนจังหวัดให้ได้พิจารณา

นายชยพล สุกิจยา หน.ฝ่ายป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย อบต.ท่าก๊อ กล่าวว่า ที่ผ่านมาการจัดการและป้องกันการเกิดปัญหาไฟป่า เจ้าหน้าที่มีหน้าที่ตัดสินใจใช้อำนาจอย่างเด็ดขาดเกินบทบาทของท้องถิ่น และได้พยายามได้ประสานส่วนงานที่เกี่ยวข้อง ในปีนี้ทางอำเภอ และทางฝ่ายอุทยานที่เกี่ยวข้องเข้าได้เข้ามาเพื่อแก้ไขปัญหา ซึ่งปีนี้อาจจะไม่ทันแต่ปีหน้าต้องมาวางแผนกันใหม่ ซึ่งปัญหามันเกิดขึ้นภาพรวมเป็นวงกว้างแต่การบริหารจัดการคือต่างคนต่างทำโดยที่ไม่ได้มาสรุปกันว่าเราจะทำยังไง เช่นถ้าขาดแคลนการปฏิบัติหน้าที่กำลังด้านงบประมาณท้องถิ่นจะสนับสนุนอะไร ฝ่ายปกครองจะสนับสนุนอะไร ป่าไม้อุทยานมีหน้าที่โดยตรงมีการสนับสนุนด้านกำลังคนหรืองบประมาณก็นำมาหารือกันเพื่อวางแผนแล้วก็แบ่งหน้าที่การทำงาน

“วิธีแก้ไขแนวทางระยะยาวในพื้นที่ของตำบลท่า คือให้ทุกหน่วยงานมาวางแผนร่วมกันและหาหามาตรการวิธีการในการป้องกันปัญหาไฟป่าทำเป็นระยะยาวนะครับไม่ใช่ว่ามาสถานการณ์ไปป่าหมอกควันครั้งหนึ่งอยากให้มีการขับเคลื่อนเป็นภาพรวมขับเคลื่อนไปตลอดทั้งปี”หน.ฝ่ายป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย อบต.ท่าก๊อ

ด้าน ว่าที่ร้อยตรี ชลิต ศรีจันทร์แก้ว รองปลัด อบต.แม่พริก กล่าวว่า ในส่วนของอบตแม่พริกได้มีการระดมความร่วมมือภาคส่วนในการแก้ไขปัญหา ซึ่งจุดเด่นของตำบลแม่พริกที่สามารถบริหารจัดการไฟป่าได้ประสบผลสำเร็จในระดับหนึ่งนั่นก็คือผู้นำท้องถิ่นผู้นำท้องที่แล้วก็รวมถึงประชาชนทุกภาคส่วนร่วมในพื้นที่ ดังนั้นเมื่อมีนโยบายจากภาครัฐในการสั่งการในเรื่องการจัดการป้องกันไฟฟ้าในพื้นที่ก็จะสามารถระดมความร่วมมือบูรณาการได้อย่างเป็นรูปธรรม นอกจากนี้ทางอบตแม่พริกก็ยังมีการกำหนดหลักเกณฑ์ในเรื่องของการจัดการพื้นที่ป่า ชุมชนใดมีการตัดไม้ทำลายป่าหรือว่าเผาป่าก็จะถูกปรับ 

โดยงบประมาณในการพัฒนาพื้นที่หมู่บ้านก็เป็นข้อตกลงร่วมกันระหว่าง อบต.ผู้นำท้องถิ่น ท้องที่และประชาชน ซึ่งถือว่าเป็นมาตรการที่เกิดจากการมีส่วนร่วมของคนในชุมชนและมีการถือปฏิบัติจนถึงทุกวันนี้ ในส่วนบทบาทของท้องถิ่นในการป้องกันปัญหาไฟป่าก็คงจะเหมือนกับท้องถิ่นอื่นๆแต่ในส่วนของตำบลแม่พริกที่เรามีการสนับสนุนส่งเสริมที่อาจจะแตกต่างจากพื้นที่อื่นคือเราได้มีการส่งเสริมในเรื่องของการให้มีอาชีพในชุมชน เพื่อที่เขาจะสามารถลดความเหลื่อมล้ำในสังคมและก็ลดความเหลื่อมล้ำทางอาชีพ เราได้มีการประสานไปยังโครงการหลวงประสานไปยังหน่วยงานภาครัฐต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเป็นสำนักงานพลังงานจังหวัดเชียงราย รวมไปถึงหน่วยงานต่างๆ ได้เข้าไปบูรณาการทำงานร่วมกันในพื้นที่ในการสร้างอาชีพให้กับคนในชุมชนแต่ปัญหาที่เกิดขึ้นในไฟป่า ปัญหาไฟป่าที่เกิดขึ้นในตำบลมีการลักลอบตัดแล้วก็มีการเผาป่าเพื่อวัตถุประสงค์อย่างอื่น เช่นการบริโภคในครัวเรือนหรือการขายซึ่งตรงนี้ปัจจัยสำคัญที่เป็นสาเหตุนั่นก็คือความยากจนถ้าเราสามารถแก้ปัญหาคนกลุ่มเหล่านี้ได้เราก็จะสามารถให้เขามีอาชีพที่ไม่ต้องไปเผาป่าอีกต่อไป
 
“ข้อเสนอในเชิงนโยบายอยากจะให้ภาครัฐได้ให้ความสำคัญในเรื่องของการนำองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยีมาใช้โดยเปลี่ยนจากการเผาป่าให้พืชให้ผลิตไม้ต่างๆมีมูลค่าในการทำรายได้ให้กับคนในชุมชน อยากจะเสนอในเชิงนโยบายในเรื่องของการให้มีนวัตกรรมมีเทคโนโลยีที่เหมาะสมในพื้นที่แต่ละชุมชนเพราะว่าในแต่ละชุมชนก็จะมีปัญหาที่เกิดจากไฟป่าไม่เหมือนกัน จึงอยากจะขอเสนอให้ทางมหาวิทยาลัยได้จัดให้มีการลงพื้นที่โดยนักศึกษาร่วมกันแล้วก็กำหนดเป็นแนวทางเป็นนวัตกรรมที่เหมาะสมก็จะสามารถได้เทคโนโลยีที่สอดคล้องกับสภาพในพื้นที่แล้วปัจจัยตรงนี้จะช่วยให้สิ่งที่ชาวบ้านมองว่าเป็นขยะเป็นสิ่งที่ไม่มีค่าให้เป็นมูลค่ามีรายได้ในชุมชนเขาก็จะไม่เผาป่าเพราะเขามองว่าสิ่งที่เขาเผาป่ามันคือสิ่งที่มีมูลค่ามีรายได้ให้กับเขา”รองปลัด อบต.แม่พริก

นายสรวิชญ์ ธิวงศ์ ผญบ.บ้านโฮ่ง ม.10 ต.แม่พริก กล่าวว่า หลังจากได้ร่วมให้ข้อมูลกับทางทีมวิจัยในวันนี้ก็ได้สรุปปัญหาที่ในชุมชนตำบลในพริกได้ดำเนินการมา แต่ก็ในบริบทของตำบลในพริกมีการบริหารจัดการเรื่องการเผาหรือว่าการป้องกันถือว่าอยู่ในระดับที่ระดับที่ดีในการที่จะส่งเสริมหรือสนับสนุนในการใช้งานงบประมาณหรือว่านวัตกรรมใหม่ๆที่เกี่ยวกับการดับไฟหรือว่าป้องกันภัยที่ดีที่สุดที่ผ่านมานี่พี่น้องประชาชนเข้าใจเข้าใจในกฎระเบียบของชุมชนไม่ว่าจะเป็นของทางภาครัฐ หรือว่าทางตำบล
Facebook
Twitter
Email
Print

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

Facebook
Twitter
Email
Print
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
NEWS TOP STORIES

“ศิธา” รีบแจงหลัง “ชลน่าน” ติงเสียมารยาท หวังว่าพรรคเพื่อไทยตอบคำถามประชาชน

“ศิธา” รีบแจงหลัง “ชลน่าน” ติงเสียมารยาท หวังว่าพรรคเพื่อไทยตอบคำถามประชาชน

Facebook
Twitter
Email
Print

เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2566 เมื่อเวลา 21.00 น. น.ต.ศิธา ทิวารี ประธานคณะกรรมการอำนวยการและพัฒนาและเลขาธิการพรรคไทยสร้างไทย โพสต์ข้อความผ่านทวิตเตอร์ส่วนตัว @SitaDivari กรณีที่หัวหน้าพรรคเพื่อไทย นายแพทย์ ชลน่าน ศรีแก้ว ออกมาฝากถึงตนในมุมของการเสียมารยาท จึงขอชี้แจงว่า เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2566 ในการแถลงข่าวเซ็น MOU ว่า

ตามที่หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ได้ออกมาฝากถึงผมในมุมของการ #เสียมารยาท นั้น ผมขออนุญาตชี้แจง ดังนี้ เมื่อวานนี้ ในการแถลงข่าวเซ็น MOU จัดตั้งรัฐบาลร่วมกัน ผมได้ตั้งคำถามไปยัง 8พรรคการเมือง ว่า “ท่านจะสร้างความเชื่อมั่นให้กับพี่น้องประชาชน ว่าท่านจะยืนตัวตรง สู้กับกลไกที่เผด็จการฝังไว้ในบทเฉพาะกาล 5ปีแรกของ รธน.60 โดยกำหนดให้ สว.มีสิทธิ์เลือกนายกฯ ด้วยการเซ็น #AdvanceMOU อีก1ฉบับ ระบุว่าท่านจะทำงานร่วมกัน 

 

ตามฉันทานุมัติของประชาชน ที่มีให้กับพรรคฝ่ายประชาธิปไตย (หรือพรรคร่วมฝ่ายค้านเดิม) ไม่ว่าท่านจะเป็นรัฐบาล หรือฝ่ายค้านร่วมกันก็ตาม” ได้หรือไม่ เนื่องจากการแถลงข่าวยืดเยื้อเกินเวลา ผมจึงบอกว่า “จะตอบทั้ง 8พรรค” หรือ “จะตอบเฉพาะ 2พรรคใหญ่” คือ #ก้าวไกล และ #เพื่อไทย เพื่อไม่ให้เสียเวลาก็ได้ คุณพิธา ได้กดไมค์ตอบผมทันที ว่าเป็นไปได้ที่จะลงนามใน Advance MOU ร่วมกับในอนาคตอันใกล้ ส่วนคุณหมอชลน่าน ไม่ตอบคำถามผม 

 

แต่ได้ตอบคำถาม ที่นักข่าวฝากให้ผมถามให้ ผมจึงได้ย้ำคำถามไปอีกครั้ง ผมก็ได้รับคำตอบจากคุณพิธาคนเดียว ส่วนคุณหมอชลน่าน ไม่ตอบเช่นเดิม เมื่อถึงจุดนี้ผมพอจะเข้าใจว่า คำถามของผมคุณหมอชลน่านไม่ได้ลืมที่จะตอบ แต่อาจเป็นคำถามที่หัวหน้าพรรคเพื่อไทยอึดอัดที่จะตอบ ผมจึงยุติการตั้งคำถาม หลังจากแถลงข่าวเสร็จ เราก็ไปนั่งทานข้าว และพูดคุยชนแก้วกันอย่างชื่นมื่น โดยที่คุณหมอก็พูดคุยกับผมตามปกติ ไม่ได้มีการคาดคั้น หรือชี้แจง จากทั้งสองฝ่ายแต่อย่างใด 

 

ผมไม่ทราบว่า หลังจากนั้น คุณหมอโดนใครตำหนิ หรือไปรับบรีฟจากใครมา อยู่ๆวันนี้จึงงัวเงีย ออกมาพูดกับสาธารณชนว่า เป็นการเสียมารยาท และฝากหัวหน้าพรรคฯมาอบรมผม ด้วย โดยในมุมมองผมนั้น ทั้งตามมารยาทที่คุณหมอหยิบยกมาอ้าง และเนื่องจากที่เป็นลูกผู้ชายด้วยกันทั้งคู่นั้น ทั้งต่อหน้าและลับหลัง เราก็ควรจะพูดคุยด้วยอารมณ์และความรู้สึก และ Messages เดียวกัน ไม่ใช่ดื่มกิน ชื่นมื่นกันเป็นชั่วโมง แต่พอวันรุ่งขึ้นกลับตาลปัด มาพูดถึงกันในเชิงลบ ผ่านสื่อมวลชนเช่นนี้ 

 

สำหรับผม การที่พรรคการเมืองจะออกมายืนยัน เพื่อความเชื่อมั่นของพี่น้องประชาชนนั้น มันยิ่งใหญ่กว่าการเสียมารยาทของผมเพียงแค่คนเดียวมากนัก ดังนั้นการที่ผมจะเอาตัวเองเข้าแลก เพื่อประโยชน์ของประชาชนส่วนใหญ่เช่นนี้ ผมไม่ได้กังวลต่อคำสบประมาท ว่าเป็นการเสียมารยาท แต่อย่างใด ถ้าจะให้พูดให้เคลียร์คัท “ผมไม่ได้กลัวการเสียมารยาท มากไปกว่า กลัวการสืบทอดอำนาจของเผด็จการ” เลย ส่วนในมุมการรักษามารยาท ที่คุณหมอกำหนดบรรทัดฐานมานั้น 

 

เมื่อทราบความอึดอัดของหมอชลน่านเช่นนี้ ผมก็คงไม่ไปถามอะไรถึงเรื่องนี้อีก ในทำนองเดียวกัน หากหลังจากนี้มีประชาชนผู้ลงคะแนน ให้กับพรรคร่วมฝ่ายค้านเดิมร่วม 25ล้านคน หรือสื่อมวลชนทั่วไป จะมีใครไปถามหมอแทนประชาชน ถึงจุดยืน Advance MOU นี้อีก ผมก็หวังว่า ท่านหัวหน้าพรรคเพื่อไทย จะรักษามารยาท ด้วยการตอบคำถามต่อพี่น้องประชาชนด้วย ครับ

 

โดยต้นเรื่องในครั้งนี้มาจากรายการสดออนไลน์เพจข่าวสด ในยูทูปชื่อรายการว่าอยากมีเรื่องคุย ตอน “เจาะ MOU 8 พรรค เดินหน้าจัดตั้งรัฐบาล” ซึ่งได้เชิญสามตัวแทนพรรคการเมืองพูดคุย ประกอบด้วย นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ หัวหน้าพรรคไทยสร้างไทย และ พ.ต.อ.เอกทวี สอดส่อง เลขาธิการพรรคประชาชาติ

Facebook
Twitter
Email
Print

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :ทวิตเตอร์ @SitaDivari

Facebook
Twitter
Email
Print
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
HEALTH SOCIAL & LIFESTYLE

น้ำมันเขียวฤทธิ์เย็น ตราประสมบุญ ช่วยนวดคลายเส้น แก้ลมวิงเวียน แก้พิษจากแมลงกัดต่อย แก้ลม ลดอาการไอ ไม่เป็นความจริง

น้ำมันเขียวฤทธิ์เย็น ตราประสมบุญ ช่วยนวดคลายเส้น แก้ลมวิงเวียน แก้พิษจากแมลงกัดต่อย แก้ลม ลดอาการไอ **ไม่เป็นความจริง**

Facebook
Twitter
Email
Print

วันที่ 23 พฤษภาคม 2566  ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม ประเทศไทย เปิดเผยข่าวปลอม อย่าแชร์! น้ำมันเขียวฤทธิ์เย็น ตราประสมบุญ ช่วยนวดคลายเส้น แก้ลมวิงเวียน แก้พิษจากแมลงกัดต่อย แก้ลม จุกเสียด ลดอาการไอ เจ็บคอ ทาแผลร้อนใน ปวดฟัน ปวดเหงือก บทสรุปของเรื่องนี้คือ : ไม่พบผลิตภัณฑ์สมุนไพรดังกล่าวได้รับการอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาแต่อย่างใด หน่วยงานที่ตรวจสอบ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข

ตามที่มีการโฆษณาถึงน้ำมันเขียวฤทธิ์เย็น ตราประสมบุญ ช่วยนวดคลายเส้น แก้ลมวิงเวียน แก้พิษจากแมลงกัดต่อย แก้ลม จุกเสียด ลดอาการไอ เจ็บคอ ทาแผลร้อนใน ปวดฟัน ปวดเหงือก ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงโดยสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข พบว่าข้อมูลดังกล่าวนั้น เป็นข้อมูลเท็จ

จากที่มีผู้โพสต์ให้ข้อมูลว่า น้ำมันเขียวฤทธิ์เย็น ตราประสมบุญ ช่วยนวดคลายเส้น แก้ลมวิงเวียน แก้พิษจากแมลงกัดต่อย แก้ลม จุกเสียด ลดอาการไอ เจ็บคอ ทาแผลร้อนใน ปวดฟัน ปวดเหงือก ทางสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข ได้ตรวจสอบข้อมูลและชี้แจงว่า ผลิตภัณฑ์สมุนไพรประสมบุญ น้ำมันเขียวฤทธิ์เย็น เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีสูตรส่วนประกอบของสมุนไพร โดยมีการกล่าวอ้างสรรพคุณ คือ ใช้ทาถูนวดคลายเส้น แก้ลมวิงเวียน แก้พิษจากแมลงกัดต่อย แก้ลม จุกเสียด ลดอาการไอ เจ็บคอ ทาแผลร้อนใน ปวดฟัน ปวดเหงือก หยดใส่น้ำ เพียง 1 – 2 หยด แล้วดื่ม ซึ่งไม่พบผลิตภัณฑ์สมุนไพรดังกล่าวได้รับการอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาแต่อย่างใด

ดังนั้นขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อข้อมูลดังกล่าว และขอความร่วมมือไม่ส่ง หรือแชร์ข้อมูลดังกล่าวต่อในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่าง ๆ และเพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์สุขภาพ สามารถติดตามได้ที่เว็บไซต์ www.fda.moph.go.th หรือหากพบผลิตภัณฑ์ที่ต้องสงสัย สามารถแจ้งร้องเรียนได้ที่สายด่วน 1556

บทสรุปของเรื่องนี้คือ : ไม่พบผลิตภัณฑ์สมุนไพรดังกล่าวได้รับการอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาแต่อย่างใด

Facebook
Twitter
Email
Print

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม ประเทศไทย 

Facebook
Twitter
Email
Print
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
NEWS TOP STORIES

“วิษณุ” ชี้กรณีศาลตีตก พ.ร.ก.อุ้มหาย ครม.ไม่ต้องรับผิดชอบ เพราะยุบสภาแล้ว

“วิษณุ” ชี้กรณีศาลตีตก พ.ร.ก.อุ้มหาย ครม.ไม่ต้องรับผิดชอบ เพราะยุบสภาแล้ว

Facebook
Twitter
Email
Print

เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 23 พฤษภาคม ที่ทำเนียบรัฐบาล นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีศาลรัฐธรรมนูญตีตกร่าง พ.ร.ก.แก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย (พ.ร.บ.อุ้มหาย) คณะรัฐมนตรี (ครม.) ต้องรับผิดชอบอะไรหรือไม่ ว่าหากสภาและรัฐบาลยังอยู่ รัฐบาลต้องแสดงความรับผิดชอบด้วยวิธีลาออก หรือยุบสภา แต่เมื่อตอนนี้ยุบสภาไปแล้ว รัฐบาลสิ้นสุดแล้ว และรัฐธรรมนูญกำหนดให้รัฐบาลอยู่รักษาการก็ต้องอยู่ รัฐมนตรีแต่ละคนอาจจะลาออกได้ แต่คณะรัฐมนตรีพ้นไปไม่ได้ ไม่เช่นนั้นจะไม่มีรัฐมนตรีที่จะทำงาน เพราะจะตั้งรัฐมนตรีใหม่ก็ตั้งไม่ได้ ฉะนั้น ความรับผิดชอบตรงนี้จบไปพร้อมกับการยุบสภา

ผู้สื่อข่าวถามว่าให้รัฐมนตรีรักษาการลาออกเพื่อให้ปลัดกระทรวงต่างๆ มาทำหน้าที่แทน นายวิษณุกล่าวว่า ทำไม่ได้ ปลัดกระทรวงขึ้นมาใช้อำนาจรัฐมนตรีไม่ได้ เว้นแต่กรณีเดียวที่รัฐธรรมนูญเขียนไว้ซึ่งไม่ใช่เรื่องนี้ อย่างไรก็ตาม 3 เดือนที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เตรียมการหาอุปกรณ์ต่างๆ โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ ก่อนที่ศาลจะตัดสิน แม้จะไม่ 100 เปอร์เซ็นต์ก็ตาม และวันนี้ก็มีการเสนอเข้าที่ประชุม ครม.แต่งตั้งคณะกรรมการตาม พ.ร.บ.อุ้มหาย มา 6-7 คน

Facebook
Twitter
Email
Print

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

Facebook
Twitter
Email
Print
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
CULTURE

วธ. จับมือซีมีโอ สปาฟารวมอาเซียน แลกเปลี่ยนความรู้ประเพณี-ศิลปวัฒนธรรม

วธ. จับมือซีมีโอ สปาฟารวมอาเซียน แลกเปลี่ยนความรู้ประเพณี-ศิลปวัฒนธรรม

Facebook
Twitter
Email
Print

วธ. จับมือซีมีโอ สปาฟา จัดโครงการ RAIN MOTIONS: CONNECTING (WITH) THE SKIES OF SOUTHEAST ASIA ดึง 10 ประเทศสมาชิกอาเซียนและประเทศติมอร์ เลสเตแลกเปลี่ยนความรู้-ประเพณี-ศิลปวัฒนธรรม-สร้างสรรค์ศิลปะการแสดงเกี่ยวข้องกับน้ำและฝนของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ใช้มิติวัฒนธรรมเผยแพร่แลกเปลี่ยนศิลปวัฒนธรรมร่วมกัน เพื่อสานสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศ

เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2566 นายเขมชาติ เทพไชย ผู้อำนวยการศูนย์ระดับภูมิภาคว่าด้วยโบราณคดีและวิจิตรศิลป์ของซีมีโอและนางสาวดารุณี ธรรมโพธิ์ดล ที่ปรึกษากระทรวงวัฒนธรรมด้านต่างประเทศ ร่วมเป็นประธานพิธีเปิดโครงการ RAIN MOTIONS: CONNECTING (WITH) THE SKIES OF SOUTHEAST ASIA ณ ห้องออดิทอเรียม หอศิลป์ร่วมสมัยราชดำเนิน ชั้น 1 สำหรับกิจกรรมของโครงการดังกล่าวเป็นกิจกรรมบรรยายและสัมมนา “Rain Motions: Connecting (with) the Skies of Southeast Asia” และร่วมแลกเปลี่ยนความรู้ความคิดเห็น รวมถึงรับชมการแสดง ซึ่งเป็นผลผลิตจากการนำองค์ความรู้ทั้งด้านวิชาการและการแสดง จากทั้ง 11 ประเทศ มาสร้างสรรค์เป็นการแสดงร่วมทั้งในรูปแบบดั้งเดิมและแบบร่วมสมัยได้อย่างน่าสนใจ แก่สื่อมวลชน และแขกผู้มีเกียรติที่เข้าร่วมงาน

โครงการ Rain Motions: Connecting (with) the Skies of Southeast Asia เป็นความร่วมมือระหว่างกระทรวงวัฒนธรรมแห่งประเทศไทยและศูนย์ระดับภูมิภาคว่าด้วยโบราณคดีและวิจิตรศิลป์ของซีมีโอ (SEAMEO Regional Centre for Archaeology and Fine Arts: SEAMEO SPAFA) โดยได้รับการสนับสนุนจากกองทุนวัฒนธรรมอาเซียน เปิดโอกาสให้นักวิชาการและนักแสดงจากประเทศสมาชิกอาเซียนทั้ง 10 ประเทศ ได้แก่ ประเทศบรูไน ดารุสซาลาม กัมพูชา อินโดนีเซีย ลาว มาเลเซีย เมียนมา ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ไทย และเวียดนาม รวมถึงอีก 1 ประเทศ คือ ประเทศติมอร์-เลสเต ได้นำเสนอแนวปฏิบัติทางประเพณี พิธีกรรม ตลอดจนความเชื่อและความศรัทธาที่เกี่ยวข้องกับน้ำและฝน ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มุ่งเน้นการนำเสนอในมุมมองใหม่ ทั้งการแลกเปลี่ยนทางวิชาการ และการสร้างสรรค์การแสดง ตามนโยบายของ วธ. นโยบายมุ่งขับเคลื่อนงานด้านศาสนา ศิลปะ และวัฒนธรรม ให้ก้าวสู่พื้นที่ทางวัฒนธรรมใหม่ๆ ใช้มิติวัฒนธรรมเผยแพร่แลกเปลี่ยนศิลปวัฒนธรรมไทยในเวทีโลก เพื่อสานสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศ ยกระดับความสัมพันธ์ด้านวัฒนธรรมกับต่างประเทศ และสร้างภาพลักษณ์ของประเทศไทย ทั้งนี้ งานดังกล่าวเป็นการจัดกิจกรรมต่อเนื่องมาจากการประชุมเชิงปฏิบัติการผ่านระบบการประชุมทางไกล เมื่อระหว่างเดือนมกราคม – เดือนเมษายน 2566 ที่ผ่านมา

ทั้งนี้ พิธีกรรมต่าง ๆ ความเชื่อและความศรัทธาที่เกี่ยวข้องกับน้ำและฝนในภูมิภาค ถือเป็นจุดกำเนิดแห่งชีวิตตามความคิดความเชื่อของชาติพันธุ์ต่างๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมโยงระหว่างโลกแห่งธรรมชาติและโลกแห่งจิตวิญญาณ ตลอดจนการรักษาความสงบเรียบร้อยและความสามัคคีภายในแต่ละชุมชน ซึ่งพิธีกรรมและความเชื่อเหล่านี้บางส่วนได้รับการสืบทอดและยังคงปฏิบัติมาจนถึงปัจจุบัน เพื่อยึดเหนี่ยวจิตใจของชุมชน นับเป็นกลไกสำคัญต่อการสืบสานวัฒนธรรมทางความเชื่อและประวัติศาสตร์ของชุมชนรวมถึงเศรษฐกิจระดับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อีกด้วย ในการนี้ กระทรวงวัฒนธรรมหวังเป็นอย่างยิ่งว่า การจัดกิจกรรมโครงการครั้งนี้จะนำไปสู่การสร้างความตระหนักรู้และต่อยอดองค์ความรู้ที่เกี่ยวข้องกับความเชื่อและแนวทางการปฏิบัติที่เกี่ยวข้องกับน้ำและฝน ให้เป็นที่ประจักษ์ต่อสายตาประชาชนทั้งในระดับประเทศ ระดับภูมิภาคและระดับสากลสืบไป

Facebook
Twitter
Email
Print

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงวัฒนธรรมด้านต่างประเทศ

Facebook
Twitter
Email
Print
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
FEATURED NEWS NEWS

“SME D Bank” ผนึก “บางจากฯ” หนุนเอสเอ็มอี สร้างและขยายธุรกิจ ร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย

“SME D Bank” ผนึก “บางจากฯ” หนุนเอสเอ็มอี สร้างและขยายธุรกิจ ร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย

Facebook
Twitter
Email
Print

SME D Bank จับมือบางจากฯ ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางด้านธุรกิจ สนับสนุน ผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (Small and Medium Enterprise) หรือเอสเอ็มอี ในสถานีบริการน้ำมันบางจาก เพิ่มโอกาสการเข้าถึงเงินทุนเพื่อสร้างและขยายธุรกิจใหม่ ร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้พัฒนาอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน  

นายโมกุล โปษยะพิสิษฐ์ รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank  กล่าวว่า ในฐานะสถาบันการเงินของรัฐที่มุ่งมั่นช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทยมาต่อเนื่อง ด้วยบริการการเงินควบคู่กับการพัฒนา เพื่อให้เติบโตอย่างเข้มแข็งและยั่งยืน  โดย SME D Bank พร้อมสนับสนุนด้านการเงินผ่านสินเชื่อต่างๆ  วงเงินรวมกว่า  25,000 ล้านบาท  วงเงินกู้สูงสุด 50 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยพิเศษสุด เริ่มต้น 4.5% ต่อปี ผ่อนนานสูงสุดถึง 15 ปี  สำหรับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่ดำเนินธุรกิจสถานีบริการน้ำมันบางจากอยู่แล้ว รวมถึงผู้ประกอบการธุรกิจร้านค้าและซัพพลายเชน (supply chain) หรือผู้สนใจจะลงทุนเปิดร้านในสถานีบริการน้ำมันบางจาก เพื่อให้มีเงินทุนไปขยาย ปรับเปลี่ยน  ลงทุนขยายสาขาหรือเสริมสภาพคล่อง

ขณะเดียวกัน SME D Bank จะสนับสนุนด้านการพัฒนาครบวงจรควบคู่กันไปด้วย ผ่านโครงการ SME D Coach จัดโปรแกรมเพิ่มศักยภาพธุรกิจให้แก่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่เป็นสมาชิกและคู่ค้าของบางจากฯ เช่น โปรแกรมความรู้ด้านมาตรฐาน พัฒนาบรรจุภัณฑ์ บัญชี เตรียมพร้อมเข้าถึงแหล่งทุน และหลักการทำแฟรนไชส์ เป็นต้น   ความร่วมมือกับบางจากฯ ในครั้งนี้จะมีส่วนสำคัญที่จะช่วยให้ธนาคารสามารถเข้าไปสนับสนุนผู้ประกอบการเอสเอ็มอีได้อย่างกว้างขวาง เพราะบางจากฯ มีเครือข่ายธุรกิจเกี่ยวโยงกับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีจำนวนมาก ประกอบกับทำเลที่ตั้งสถานีบริการน้ำมันบางจากอยู่ในย่านชุมชน นอกจากคู่ค้าจะได้รับประโยชน์แล้ว ยังส่งต่อคุณค่าไปสู่ชุมชนโดยรอบ ทำให้เงินหมุนเวียน กระจายรายได้ ช่วยสร้างงาน สร้างอาชีพ  ยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในชุมชน และขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างเข้มแข็งและยั่งยืน

นายสมชัย เตชะวณิช ประธานเจ้าหน้าที่การตลาด กลุ่มธุรกิจการตลาด บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บางจากฯ ร่วมมือกับพันธมิตรที่ดำเนินธุรกิจกลางและขนาดย่อม (SME) ที่มีศักยภาพหลากหลายแบรนด์ เพื่อสร้างสรรค์สถานีบริการน้ำมันบางจากให้มีผลิตภัณฑ์และบริการคุณภาพสูงที่หลากหลายและครบครัน สร้างโอกาสให้ผู้ประกอบการรายย่อยได้มีช่องทางจำหน่ายสินค้าในทำเลที่ตั้งที่เข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้มากขึ้น ทั้งยังตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มลูกค้าทุกวัยตามแนวคิด Greenovative Destination for  Intergeneration โดยการร่วมมือระหว่างบางจากฯ และ SME D Bank ในครั้งนี้ ทำให้คู่ค้าของบางจากฯ เข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายขึ้น และมีต้นทุนทางการเงินที่ลดลง ซึ่งจะช่วยให้มีโอกาสในการลงทุนสร้างและขยายธุรกิจให้เติบโตอย่างมั่นคง ที่ผ่านมา บางจากฯ  มีนโยบายการดำเนินธุรกิจโดยส่งเสริมเศรษฐกิจชุมชนมาอย่างยาวนาน เช่น การนำผลิตภัณฑ์แปรรูปจากกลุ่มชุมชนมาเป็นของสมนาคุณลูกค้าผู้ใช้น้ำมันบางจาก เป็นต้น เพื่อร่วมสร้างงาน สร้างรายได้ให้คนไทยซึ่งจะช่วยให้สังคมไทยเข้มแข็งอย่างยั่งยืน  

นอกจากนั้น บางจากฯ และ SME D Bank ยังมีแผนร่วมกันจัดกิจกรรม Market Place นำสินค้าจากผู้ประกอบการเอสเอ็มอีรายย่อยทั่วประเทศที่ผ่านการคัดเลือก มาจำหน่ายในสถานีบริการน้ำมันบางจากและจัดกิจกรรมจับคู่ธุรกิจ (Matching) เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการรายย่อยที่มีศักยภาพในท้องถิ่น ได้เปิดร้านในสถานีบริการน้ำมันบางจาก และในอนาคตสองหน่วยงานจะร่วมกันสนับสนุนผู้ประกอบการเอสเอ็มอีอย่างต่อเนื่องในหลากหลายมิติ  เพื่อร่วมกันเป็นพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างเข้มแข็งและยั่งยืนต่อไป

Facebook
Twitter
Email
Print

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : SME D Bank

Facebook
Twitter
Email
Print
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
FEATURED NEWS NEWS

คปภ. ชวนใช้บริการ “กูรูประกันภัย” กรมธรรม์ออนไลน์ เผยมีผู้ใช้ทะลุ 179,082 ครั้ง

กรมศุลกากร อัญเชิญพระบรมรูปพระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5

Facebook
Twitter
Email
Print

สำนักงาน คปภ. พัฒนาและต่อยอดเว็บไซต์เพื่อเปรียบเทียบผลิตภัณฑ์ประกันภัย ภายใต้ชื่อ “กูรูประกันภัย” (https://guruprakanphai.oic.or.th) เพื่อรองรับสังคมไทยที่ก้าวเข้าสู่ยุคเศรษฐกิจดิจิทัล

ดร. สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) เปิดเผยว่า สำนักงาน คปภ. ได้มีการปรับตัวให้เข้าสู่ยุค Next Normal อย่างต่อเนื่องด้วยการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการดำเนินการทั้งด้านการกำกับและส่งเสริมภาคธุรกิจประกันภัย การคุ้มครองสิทธิประโยชน์ด้านการประกันภัยให้มีความสะดวก รวดเร็ว และง่ายต่อการเข้าถึงข้อมูลผ่านทางเว็บไซต์และการใช้เครือข่ายสังคมออนไลน์ในรูปแบบต่าง ๆ  โดยเฉพาะการเข้าถึงข้อมูลการเปรียบเทียบผลิตภัณฑ์ประกันภัยต่าง ๆ เพื่อให้ประชาชนมีทางเลือกและเข้าถึงผลิตภัณฑ์ประกันภัยให้มีความเหมาะสมกับตนเองและครอบครัวอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ดังนั้น สำนักงาน คปภ. จึงได้พัฒนาและต่อยอดเว็บไซต์เพื่อเปรียบเทียบผลิตภัณฑ์ประกันภัยภายใต้ชื่อ “กูรูประกันภัย” (https://guruprakanphai.oic.or.th) เพื่อรองรับสังคมไทยที่ก้าวเข้าสู่ยุคเศรษฐกิจดิจิทัล ทำให้เกิดโอกาสทางธุรกิจที่จะเข้าถึงผู้เอาประกันภัยผ่านการทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์มากขึ้น โดยสำนักงาน คปภ. กำหนดให้บริษัทประกันภัย นายหน้าประกันภัยและธนาคารที่ทำการเสนอขายประกันภัยผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์ (Online) ต้องขึ้นทะเบียนกิจกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อให้เกิดความมั่นใจว่าระบบสารสนเทศมีความมั่นคงปลอดภัย และต่อมาได้พัฒนาระบบเว็บไซต์เพื่อตรวจสอบการขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการที่ขายกรมธรรม์ทางอิเล็กทรอนิกส์ ระบบค้นหาและเปรียบเทียบแบบประกันภัย และระบบการให้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับประกันภัยและการทำธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ที่มีความมั่นคงปลอดภัย ซึ่งทำให้เกิดประโยชน์และเกิดความเชื่อมั่นต่อประชาชนในการทำธุรกรรมประกันภัยผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์ โดยเว็บไซต์กูรูประกันภัย นอกจากประชาชนสามารถเข้าไปใช้บริการผ่านทาง https://guruprakanphai.oic.or.th แล้ว ยังสามารถเข้าไปใช้บริการผ่านทางเว็บไซต์ https://www.oic.or.th/th/consumer โดยกด link เข้าไปใน banner กูรูประกันภัยได้อีกทาง โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ซึ่งนับตั้งแต่เปิดให้บริการในปี 2563 จนถึงปัจจุบันมีประชาชนเข้าไปใช้บริการเว็บไซต์กูรูประกันภัยแล้ว จำนวนกว่า 179,082 ครั้ง

เลขาธิการ คปภ. กล่าวด้วยว่า เว็บไซต์กูรูประกันภัย ถือเป็นช่องทางสำคัญในการเข้าถึงข้อมูลการเปรียบเทียบ ผลิตภัณฑ์ประกันภัยต่าง ๆ  ประกอบด้วย 3 ระบบ คือ ระบบแรก ตรวจสอบการขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการที่ขายกรมธรรม์ทางอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อเสริมสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ประชาชนที่สนใจซื้อผลิตภัณฑ์ประกันภัยผ่านทางระบบอิเล็กทรอนิกส์ สามารถตรวจสอบรายชื่อบริษัทประกันภัย นายหน้าประกันภัย และธนาคาร ที่ขึ้นทะเบียนเป็นผู้ดำเนินกิจกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ตามประกาศสำนักงาน คปภ. ก่อนตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์ประกันภัยผ่านทางระบบอิเล็กทรอนิกส์

ระบบที่ 2 ประชาชนผู้เอาประกันภัยสามารถค้นหาและเปรียบเทียบแบบประกันภัย เพื่อส่งเสริมกลไกทางการตลาด การแข่งขันทางด้านราคา และเป็นการให้ข้อมูลแก่ประชาชนที่สนใจได้รับข้อมูลที่สามารถนำมาใช้ในการประกอบการตัดสินใจเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ประกันภัยผ่านทางระบบอิเล็กทรอนิกส์ เช่น เบี้ยประกันภัย เงื่อนไขการประกันภัย และข้อยกเว้น โดยปัจจุบันระบบเปรียบเทียบของเว็บไซต์นี้ สามารถเปรียบเทียบผลิตภัณฑ์ประกันภัย ประกอบด้วย ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล ประกันภัยการเดินทาง และประกันชีวิต โดยผู้สนใจสามารถกำหนดปัจจัยในการพิจารณาผลิตภัณฑ์ประกันภัยได้ เพื่อให้ตรงความต้องการของตนเอง

สำหรับระบบค้นหาผลิตภัณฑ์ประกันภัย ผู้สนใจสามารถค้นหาแบบประกันภัยได้ ทั้งประเภทผลิตภัณฑ์ประกันภัย ชื่อแบบประกันภัย ชื่อบริษัทประกันภัย

ระบบที่ 3 ระบบการให้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการประกันภัยและการทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อเป็นแหล่งข้อมูลและส่งเสริมให้ประชาชนมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ประกันภัยต่าง ๆ และการซื้อผลิตภัณฑ์ประกันภัยทางอิเล็กทรอนิกส์

นอกจากการจัดทำเว็บไซต์กูรูประกันภัยแล้ว สำนักงาน คปภ. ยังได้จัดทำ OIC Gateway ซึ่งเป็นระบบให้ผู้เอาประกันภัยสามารถมาตรวจสอบข้อมูลกรมธรรม์ประกันภัยที่ผู้เอาประกันภัยซื้อ เช่น เลขที่กรมธรรม์ประกันภัย บริษัทที่รับประกันภัย ระยะเวลาคุ้มครอง และข้อมูลความคุ้มครองเบื้องต้น และปัจจุบันระบบดังกล่าวยังได้มีการพัฒนา เพื่อเพิ่มความสามารถสามารถในการแสดงข้อมูลให้ผู้เอาประกันภัยทราบมากขึ้น เช่น สรุปจำนวนเงินเอาประกันภัยทั้งหมด สิทธิประโยชน์ทางภาษี เป็นต้น

“สำนักงาน คปภ. มีความมุ่งมั่นที่จะทำให้ประชาชนสามารถเข้าถึงระบบประกันภัยได้อย่างสะดวก รวดเร็ว และเหมาะสมกับความเสี่ยง โดยนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาพัฒนาการให้บริการประชาชนด้านประกันภัยอย่างเต็มรูปแบบเพื่อให้ประชาชนสามารถใช้ระบบประกันภัยเป็นเครื่องมือในการบริหารจัดการความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้นจึงอยากเชิญชวนประชาชนที่มีความสนใจจะเลือกผลิตภัณฑ์ประกันภัยประเภทต่าง ๆ ให้เหมาะสมกับความสามารถในการชำระเบี้ยและความต้องการที่แท้จริง สามารถเข้าไปที่เว็บไซต์กูรูประกันภัยเพื่อศึกษาข้อมูลก่อนการพิจารณาตัดสินใจเลือกผลิตภัณฑ์ประกันภัย” เลขาธิการ คปภ. กล่าวในตอนท้าย

Facebook
Twitter
Email
Print

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงาน คปภ.

Facebook
Twitter
Email
Print
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
NEWS NEWS UPDATE

กรมศุลกากร อัญเชิญพระบรมรูปพระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5

กรมศุลกากร อัญเชิญพระบรมรูปพระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5

Facebook
Twitter
Email
Print

เมื่อวันอาทิตย์ที่ 21 พฤษภาคม 2566 ที่ผ่านมา เวลา 11.29 น. สมเด็จพระพุทธพจนวชิรมุนี เจ้าอาวาสวัดเครือวัลย์วรวิหาร เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ และนายพชร อนันตศิลป์ อธิบดีกรมศุลกากร เป็นประธานฝ่ายฆราวาส ในพิธีอัญเชิญพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ประดิษฐานบนแท่นฐานพระบรมราชานุสาวรีย์ ร่วมด้วยคณะผู้บริหาร เจ้าหน้าที่กรมศุลกากร และแขกผู้มีเกียรติเข้าร่วมพิธีฯ ณ กรมศุลกากร คลองเตย

นายพชร อนันตศิลป์ อธิบดีกรมศุลกากร เปิดเผยว่า กรมศุลกากร เป็นหน่วยงานที่ตั้งขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงครองราชย์ พระองค์ได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้รวมการภาษีขาเข้า 100 ชัก 3 กับการภาษีขาออกเบ็ดเสร็จ เข้าด้วยกัน และตั้งเป็นกรมศุลกากรเพื่อทำหน้าที่จัดเก็บภาษีขาเข้า – ขาออกเป็นรายได้ของแผ่นดิน กอปรกับตราสัญลักษณ์ของกรมศุลกากรได้ใช้รูปพระเกี้ยวหรือจุลมงกุฎ เป็นตราสัญลักษณ์มาโดยตลอด นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้  ที่พระองค์ท่านทรงให้กำเนิดกรมศุลกากร ซึ่งนำความเจริญรุ่งเรืองมาสู่ประเทศไทยจวบจนปัจจุบัน

กรมศุลกากร จึงก่อสร้างพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ขึ้นที่บริเวณด้านหน้าอาคาร 1 กรมศุลกากร เพื่อน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายเป็นราชสักการะและน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและสถาบันพระมหากษัตริย์ที่มีต่อระบบการจัดเก็บภาษีอากรของประเทศไทยและกรมศุลกากร ก่อให้เกิดประโยชน์แก่ปวงชนชาวไทยสืบจนปัจจุบันและเพื่อร่วมเฉลิมพระเกียรติในวาระครบ 168 ปีหรือ 14 รอบในวันคล้ายวันพระราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2565

สำหรับพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้สร้างในพระอิริยาบถประทับเก้าอี้สูง 1.99 เมตร มีแท่นรองรับเป็นศิลาหินอ่อนสามชั้น สูงจากพื้นรวมทั้งหมดประมาณ 5.25 เมตร และกรมศุลกากรได้ทำหนังสือขออนุญาตในการจัดสร้างพระบรมราชานุสาวรีย์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

โดยกรมศุลกากรได้มีพิธีวางศิลาฤกษ์แท่นประดิษฐานพระบรมราชานุสาวรีย์ฯ เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2565 โดยสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ เลขานุการสมเด็จพระสังฆราช วัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ และนายพชร อนันตศิลป์ อธิบดีกรมศุลกากร เป็นประธานฝ่ายฆราวาส ณ บริเวณหน้าอาคาร 1 กรมศุลกากรและเมื่อวันจันทร์ที่ 12 ธันวาคม 2565 มีพิธีเททองหล่อพระบรมรูป พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 โดยสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (อมฺพรมหาเถร) สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปริณายก เสด็จเป็นองค์ประธานฝ่ายสงฆ์ และนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานฝ่ายฆราวาส ณ พระอุโบสถ วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม ราชวรวิหาร เขตพระนคร กรุงเทพฯ

Facebook
Twitter
Email
Print

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กรมศุลกากร

Facebook
Twitter
Email
Print
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE