Categories
FEATURED NEWS NEWS

ตรวจเครดิตบูโรง่ายๆ ผ่าน “เป๋าตังเปย์” ได้แล้ว วันนี้

ตรวจเครดิตบูโรง่ายๆ ผ่าน “เป๋าตังเปย์” ได้แล้ว วันนี้

Facebook
Twitter
Email
Print

ธนาคารกรุงไทยร่วมกับบริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติ (เครดิตบูโร) ให้บริการตรวจข้อมูลเครดิต และเครดิตสกอริ่ง ผ่าน “เป๋าตังเปย์”  ซูเปอร์วอลเล็ตยอดนิยมของคนไทย บนแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” เพิ่มช่องทางให้ประชาชนตรวจสุขภาพทางการเงินได้สะดวก รวดเร็ว ครบทุกข้อมูลสินเชื่อ ทุกสถานะบัญชี ป้องกันภัยไซเบอร์ทางการเงิน เลือกรับรายงานทางอีเมลภายใน 24 ชั่วโมง หรือรับผลทางไปรษณีย์ภายใน 7 วันทำการ ยกระดับบริการเพื่อให้ประชาชน ตรวจเครดิตบูโรได้ง่ายในทุกช่องทางของธนาคาร  ตอบโจทย์วิถีชีวิตยุคดิจิทัล

ขั้นตอนตรวจเครดิตบูโรผ่านเป๋าตังเปย์ บนแอปฯ เป๋าตัง ทำได้โดย คลิกที่ “เป๋าตังเปย์” และเลือก “ตรวจเครดิตบูโร” ซึ่งประชาชนสามารถเลือกรายงานข้อมูลได้ 2 ประเภท คือ 1.ข้อมูลเครดิต 2.ข้อมูลเครดิตและคะแนนเครดิต (เครดิตสกอริ่ง)  ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่  www.ncb.co.th  หากพบปัญหาในการรับข้อมูลเครดิต ติดต่อ consumer@ncb.co.th หรือ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ Krungthai Contact Center โทร. 02-111-1111

ทั้งนี้ เครดิตบูโรและธนาคารกรุงไทย  ให้ความสำคัญและสนับสนุนการเข้าถึงข้อมูลเครดิตผ่านช่องทางดิจิทัลอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นประโยชน์สำหรับประชาชนทุกกลุ่ม ในการตรวจสอบข้อมูลเครดิตของตนเองให้ถูกต้อง ป้องกันภัยไซเบอร์ และเป็นการเตรียมความพร้อมก่อนขอสินเชื่อจากสถาบันการเงิน นอกจากนี้ ยังเป็นการส่งเสริมการสร้างวินัยทางการเงินให้กับประชาชน “ออมก่อนกู้ คิดก่อนใช้ มีวินัย เมื่อมีหนี้” รู้จักวางแผนทางการเงิน ตระหนักถึงความสำคัญของการออม และมีวินัยในการชำระหนี้ รักษาเครดิตของตนเอง เพื่อสร้างความมั่นคงทางการเงินและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นในระยะยาว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ธนาคารกรุงไทย

Facebook
Twitter
Email
Print
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
MOST POPULAR
NEWS UPDATE
Categories
FEATURED NEWS NEWS

เตือน! ใช้ป้ายทะเบียนรถปลอม มีความผิดฐานปลอมเอกสารราชการ

เตือน! ใช้ป้ายทะเบียนรถปลอม มีความผิดฐานปลอมเอกสารราชการ

Facebook
Twitter
Email
Print

นายเสกสม อัครพันธุ์ รองอธิบดีกรมการขนส่งทางบก และโฆษกกรมการขนส่งทางบกกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า ป้ายทะเบียนรถถือเป็นเอกสารที่ทางราชการออกให้โดยแสดงว่ารถยนต์ มอเตอร์ไซค์ หรือยานพาหนะนั้น ๆ ได้รับการจดทะเบียนอย่างถูกต้องตามกฎหมาย และออกให้ใช้เฉพาะสำหรับรถคันที่จดทะเบียนไว้ 1 คัน ต่อ 1 หมายเลขทะเบียนเท่านั้น โดยข้อมูลหมวดอักษร หมายเลขทะเบียน จังหวัด ที่ปรากฏในสมุดคู่มือจดทะเบียนรถและเครื่องหมายแสดงการเสียภาษี (ป้ายวงกลม) ต้องถูกต้องและตรงกัน ณ ปัจจุบัน ตามที่มีข่าวปรากฏในสื่อสังคมออนไลน์มีมิจฉาชีพใช้ป้ายทะเบียนปลอมที่ผิดกฎหมายในหลายกรณี อาทิ ใช้ป้ายทะเบียนด้านหน้ารถและด้านหลังรถเป็นคนละหมายเลขกัน ใช้ป้ายทะเบียนรถที่หมายเลขไม่ตรงกับสมุดคู่มือจดทะเบียนรถ ใช้ทะเบียนรถป้ายแดงปลอม หรือใช้ป้ายทะเบียนที่มีพื้นหลังเป็นลวดลายกราฟิกแต่ไม่ใช่ป้ายทะเบียนรถเลขสวยที่มีลักษณะพิเศษ (ป้ายประมูล) รวมถึงประชาชนอาจหลงเชื่อซื้อป้ายทะเบียนรถผ่านอินเทอร์เน็ต มีความเสี่ยงจะได้ป้ายทะเบียนปลอมและสูญเสียทรัพย์สิน กรมการขนส่งทางบก (ขบ.) ขอเตือนผู้ที่ทำป้ายทะเบียนปลอมจะมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 265 ฐานปลอมเอกสารราชการ ส่วนเจ้าของรถที่ใช้แผ่นป้ายทะเบียนดังกล่าวจะมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 268 ฐานใช้เอกสารราชการปลอม มีความผิดต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 6 เดือน ถึง 5 ปี และปรับตั้งแต่ 10,000 บาท ถึง 100,000 บาท นอกจากนี้ มีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ มาตรา 11 ฐานติดแผ่นป้ายทะเบียนรถไม่ถูกต้องตามที่ทางราชการกำหนดปรับสูงสุดไม่เกิน 2,000 บาท

รองอธิบดีกรมการขนส่งทางบก กล่าวเพิ่มเติมว่า ป้ายทะเบียนที่ถูกต้องตามกฎหมายออกโดย ขบ. สามารถสังเกตได้จากตัวย่อนูน ขส ที่มุมด้านล่างขวา ต้องมีลายน้ำตราเครื่องหมายราชการ ขบ. (รูปมาตุลีเทพบุตรขับรถเทียมม้า) ปรากฏในแผ่นป้ายทะเบียนรถ ลักษณะของสีแผ่นป้ายทะเบียนจะมีความสด สะท้อนแสง ตัวหนังสือหมวดอักษร ตัวเลขมีความคมชัด และจะต้องตรงกันกับสมุดคู่มือจดทะเบียนรถ ในส่วนของป้ายแดงแต่ละบริษัทตัวแทนจำหน่ายรถจะมีหมวดและหมายเลขป้ายแดงหมุนเวียนต้องใช้คู่กับสมุดคู่มือประจำรถและใบอนุญาตให้ใช้รถด้วย โดยผู้ใช้รถป้ายแดงต้องจดบันทึกข้อมูลการใช้รถลงในสมุดคู่มือประจำรถข้อมูลดังกล่าวได้แก่ ชื่อ – นามสกุลผู้ขับรถ ชื่อชนิดรถ หมายเลขตัวรถ หมายเลขเครื่องยนต์ ความประสงค์ในการขับรถยนต์ วันเดือนปีและระยะเวลาที่นำรถออกไปใช้ สำหรับผู้ซื้อรถป้ายแดงต้องตรวจสอบจำนวนวันการใช้รถขณะติดป้ายแดงต้องไม่เกิน 30 วัน นับจากวันรับรถ

นอกจากนี้ป้ายทะเบียนรถเลขสวยลักษณะพิเศษ (ป้ายประมูล) ที่ถูกต้องตามกฎหมายจะมีลักษณะ คือ พื้นหลังจะเป็นลวดลายกราฟิกมีตัวย่อ ขส ที่มุมด้านขวาล่าง และมีคำหรือข้อความที่มีตัวอักษร 2 ตัว ผสมสระหรือวรรณยุกต์ หรือตัวอักษรมากกว่า 2 ตัว โดยสามารถใช้ตัวอักษรผสมสระ หรือวรรณยุกต์ได้ หมายเลข ตัวอักษร สระรวมแล้วต้องไม่เกิน 7 หลัก และต้องไม่มีข้อความลักษณะต้องห้าม เช่น ข้อความที่ส่อไปในทางลามกอนาจาร หรือหยาบคาย ขัดต่อความสงบเรียบร้อย ศีลธรรมหรือวัฒนธรรมอันดี

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กรมการขนส่งทางบก

Facebook
Twitter
Email
Print
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
NEWS TOP STORIES

กกต. ประกาศผลเลือกตั้งเป็นทางการ มีคนใช้สิทธิ 75.71% ก้าวไกลเก้าอี้หายไป 1 ที่นั่ง

กกต. ประกาศผลเลือกตั้งเป็นทางการ มีคนใช้สิทธิ 75.71% ก้าวไกลเก้าอี้หายไป 1 ที่นั่ง

Facebook
Twitter
Email
Print
เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2566 สำนักงาน กกต.ได้มีการตรวจสอบความถูกต้องของการนับคะแนนเลือกตั้งส.ส.ครบทั้ง 400 เขต มีผู้มาใช้สิทธิ 39,514,973 คน คิดเป็นร้อยละ 75.71 จากผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั้งหมด 52,195,920 คน

 

โดยการเลือกตั้งส.ส.แบบแบ่งเขตเลือกตั้ง 

– มีบัตรดี 37,190,071 บัตร คิดร้อยละ 94.12 

– บัตรเสีย 1,457,899 บัตร คิดเป็นร้อยละ3.69 

– ไม่บัตรไม่ประสงค์เลือกผู้ใด 866,885 บัตร คิดเป็นร้อยละ 2.19 

 

ซึ่งผลการนับคะแนนแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง
1. พรรคเพื่อไทย ได้ส.ส. 112 คน 
2.พรรคก้าวไกล ได้ส.ส. 112 คน 

3.พรรคภูมิใจไทยได้ส.ส. 68 คน

4.พรรคพลังประชารัฐ ได้ส.ส. 39 คน

5.พรรครวมไทยสร้างชาติ ได้ส.ส. 23 คน 

6.พรรคประชาธิปัตย์ ได้ส.ส. 22 คน 

7.พรรคชาติไทยพัฒนา ได้ส.ส. 9 คน 

8.พรรคประชาชาติ ได้ส.ส. 7 คน 

9.พรรคไทยสร้างไทย ได้ส.ส. 5 คน

10.พรรคเพื่อไทรวมพลัง ได้ส.ส. 2 คน 

11.พรรคชาติพัฒนากล้า ได้ส.ส. 1 คน

 

กรณีดังกล่าวเป็นเพียงผลการนับคะแนนเลือกตั้งอย่างเป็นทางการเท่านั้น ยังไม่ใช่การพิจารณาประกาศรับรองผลการเลือกตั้งของกกต. ส่วนการเลือกตั้งส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ 

 – มีผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้ง39,514,964 

 – มีบัตรดี 37,522,746 บัตร คิดเป็นร้อยละ 94.96 

 – บัตรเสีย 1,509,836 บัตร คิดเป็นร้อยละ 3.82 

 – บัตรไม่ประสงค์เลือกผู้ใด 482,303 บัตร คิดเป็นร้อยละ 1.22 

 

โดยผลการคิดคำนวณ คะแนนค่าเฉลี่ยส.ส. 1คน คือ 375,227.34 คะแนน ส่งผลทำให้ทำให้ส.ส.บัญชีรายชื่อ 100 คน ประกอบด้วย

1.พรรคก้าวไกลได้คะแนน 14,438,851 คะแนน ได้ส.ส. 39 คน 

2. พรรคเพื่อไทย ได้คะแนน 10,962,522 คะแนน ได้ส.ส. 29 คน 

3. พรรครวมไทยสร้างชาติ ได้คะแนน 4,766,408 คะแนน ได้ส.ส. 13 คน 

4. พรรคภูมิใจไทย ได้คะแนน 1,138,202 คะแนน ได้ส.ส.3 คน 

5.พรรคประชาธิปัตย์ได้คะแนน 925,349 คะแนน ได้ส.ส. 3 คน 

6. พรรคประชาชาติ ได้คะแนน 602,645 คะแนน ได้ส.ส. 2 คน 

7. พรรคพลังประชารัฐ ได้คะแนน 537,625 คะแนน ได้ส.ส. 1 คน 

8.พรรคเสรีรวมไทย ได้คะแนน 351,376 คะแนน ได้ส.ส. 1 คน 

9.พรรคไทยสร้างไทย ได้คะแนน 340,178 คะแนน ได้ส.ส. 1 คน 

10. พรรคประชาธิปไตยใหม่ ได้คะแนน 273,428 คะแนน ได้ส.ส. 1 คน 

11.พรรคใหม่ ได้คะแนน 249,731 คะแนน ได้ส.ส. 1 คน พรรค 

12. ชาติพัฒนากล้า ได้คะแนน 212,676 คะแนน ได้ส.ส. 1 คน 

13. พรรคท้องที่ไทย ได้คะแนน 201,411 คะแนน ได้ส.ส. 1 คน 

14.พรรคชาติไทยพัฒนา ได้คะแนน 192,497 คะแนนได้ส.ส. 1 คน 

15.พรรคเป็นธรรมได้คะแนน 184,817 คะแนนได้ส.ส. 1 คน 

16.พรรคพลังสังคมใหม่ ได้คะแนน 177,379 คะแนนได้ส.ส. 1 คน 

17. พรรคครูไทยเพื่อประชาชนได้คะแนน 175,182 คะแนน ได้ส.ส. 1 คน

โดยจากรายงานประกาศ กกต.ประจำเขตเลือกตั้งที่ 3 จ.ปราจีนบุรี เรื่องผลการนับคะแนน ส.ส.แบบแบ่งเขตเลือกตั้ง(ส.ส. 6/1 )นั้นพบว่านายสฤษดิ์ บุตรเนียร จากพรรคภูมิใจไทยเป็นผู้ได้รับเลือกตั้ง ทำให้จำนวนส.ส.แบบแบ่งเขตเลือกตั้งของพรรคก้าวไกล คือ 112 ที่นั่ง และพรรคภูมิใจไทย 68 ที่นั่ง ซึ่งกรณีดังกล่าวเป็นเพียงผลการนับคะแนนเลือกตั้งอย่างเป็นทางการเท่านั้น ยังไม่ใช่การพิจารณาประกาศรับรองผลการเลือกตั้งของกกต.

 

อย่างไรก็ตาม เมื่อรวมจำนวนส.ส.ทั้งแบบแบ่งเขตและบัญชีรายชื่อแล้ว 
1.พรรคก้าวไกล ได้ส.ส.รวม 151 คน 
2.พรรคเพื่อไทย 141 คน 
3.พรรคภูมิใจไทย 71 คน 
4.พรรคพลังประชารัฐ 40 คน 
5.พรรครวมไทยสร้างชาติ 36 คน 
6.พรรคประชาธิปัตย์ 25 คน 
7.พรรคชาติไทยพัฒนา 10 คน 
8.พรรคประชาชาติ 9 คน 
9.พรรคไทยสร้างไทย 6 คน 
10.พรรคชาติพัฒนากล้า 2 คน 
11.พรรคเพื่อไทรวมพลัง 2 คน
12.พรรคเสรีรวมไทย 1 คน 
13.พรรคประชาธิปไตยใหม่ 1 คน
14.พรรคใหม่ 1 คน
15.พรรคท้องที่ไทย 1 คน
16.พรรคเป็นธรรม 1 คน
17.พรรคพลังสังคมใหม่ 1 คน
18.พรรคครูไทยเพื่อประชาชน 1 คน
Facebook
Twitter
Email
Print

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กกต.

Facebook
Twitter
Email
Print
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
NEWS SOCIETY & POLITICS

รองปลัดฯ ณัฏฐิญา ขานรับนโยบาย BCG เร่งปั้นผู้ประกอบการกว่า 80 ราย

รองปลัดฯ ณัฏฐิญา ขานรับนโยบาย BCG เร่งปั้นผู้ประกอบการกว่า 80 ราย

Facebook
Twitter
Email
Print

เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2566 นางสาวณัฏฐิญา เนตยสุภา รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานเปิดสัมมนาชี้แจงแนวทางการดำเนินโครงการและถ่ายทอดองค์ความรู้การพัฒนาอุตสาหกรรมที่ยั่งยืนตามแนวคิด BCG ภายใต้โครงการการส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรมที่ยั่งยืนตามแนวคิด BCG ณ ห้องประชุมชุณหะวัณ ชั้น 3 อาคารสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และผ่านระบบ Zoom Meeting โดยมีนายจักรพันธ์ เด่นดวงบริพันธ์ ผู้อำนวยการกองยุทธศาสตร์และแผนงาน สำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวรายงาน และ ดร.ศรวณีย์ สิงห์ทอง ผู้อำนวยการฝ่ายนโยบายเพื่ออนาคตที่ยั่งยืน ดร.ชนิดา แสนสะอาด ผู้เชี่ยวชาญนโยบาย ฝ่ายนโยบายเพื่ออนาคตที่ยั่งยืน จากสำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) ร่วมเป็นวิทยากร

รองปลัดฯ กล่าวว่า BCG Model เป็นนโยบายที่รัฐบาลและกระทรวงอุตสาหกรรม มุ่งมั่นผลักดันให้เป็นเครื่องมือที่ช่วยพัฒนาหรือยกระดับปรับเปลี่ยนอุตสาหกรรมเข้าสู่วิถีใหม่ ช่วยติดปีกภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมให้มีขีดความสามารถในการแข่งขันที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สอดรับกับการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรม เทคโนโลยี และเป็นไปตามประชาคมโลก พร้อมส่งเสริมและพัฒนาสถานประกอบการใน 4 มิติประกอบด้วย ความสำเร็จทางธุรกิจ การดูแลสังคมและชุมชนโดยรอบ การดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม รวมถึงการกระจายรายได้และสร้างชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีให้กับประชาชน

สำหรับกิจกรรมดังกล่าว มีเป้าหมายให้คำปรึกษาผู้ประกอบการ จำนวน 80 กิจการทั่วประเทศ โดยมีผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน เข้าไปให้คำปรึกษาแนะนำ เพื่อช่วยเสริมสร้างให้สถานประกอบการมีการประกอบการที่ดีตามนโยบาย MIND 4 มิติ พัฒนาสถานประกอบการให้มีกระบวนการผลิตที่ยั่งยืน ช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมสู่สังคมคาร์บอนต่ำ และมีการใช้ทรัพยากรในภาคอุตสาหกรรมอย่างเหมาะสม ด้วยการปรับปรุงผลิตภาพการผลิต ลดต้นทุน หรือสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์ด้วยการประกอบกิจการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ภายใต้แนวคิด BCG ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการปรับตัวต่อยุคสมัยและยกระดับสถานประกอบการให้มีประสิทธิภาพ นำไปสู่การเติบโตอย่างเข้มแข็งและยั่งยืน

Facebook
Twitter
Email
Print

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงาน คปภ. 

Facebook
Twitter
Email
Print
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
NEWS SOCIETY & POLITICS

คปภ. ช่วยเหลือด้านประกันภัย โรงเรียนวัดเนินปอ จ.พิจิตร กรณีพายุพัดถล่มหลังคาโดม

คปภ. ช่วยเหลือด้านประกันภัย โรงเรียนวัดเนินปอ จ.พิจิตร กรณีพายุพัดถล่มหลังคาโดม

Facebook
Twitter
Email
Print
จากกรณีพายุฝนกระหน่ำและลูกเห็บตก บริเวณบ้านเนินปอ จ.พิจิตร ความแรงลมได้พัดหลังคาโดมของโรงเรียนวัดเนินปอ พังถล่มลงมาทับนักเรียน โค้ชฝึกสอนฟุตบอล และประชาชนที่หลบฝนอยู่ในบริเวณดังกล่าว เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 7 ราย และบาดเจ็บ 18 ราย

ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) เปิดเผยว่า จากกรณีพายุฝนกระหน่ำและลูกเห็บตก บริเวณบ้านเนินปอ หมู่ 1 ตำบลเนินปอ อำเภอสามง่าม จังหวัดพิจิตร ทำให้ไฟฟ้าดับเป็นวงกว้าง ต้นไม้ล้ม อาคารบ้านเรือนของชาวบ้านพังเสียหายจำนวนมาก และความแรงลมได้พัดหลังคาโดมของโรงเรียนวัดเนินปอ พังถล่มลงมาทับนักเรียน โค้ชฝึกสอนฟุตบอล และประชาชนที่หลบฝนอยู่ในบริเวณดังกล่าว เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 7 ราย และบาดเจ็บ 18 ราย โดยผู้บาดเจ็บถูกนำส่งเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลสามง่าม 13 ราย และโรงพยาบาลพิจิตร จำนวน 5 ราย เหตุเกิดเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2566 นั้น เบื้องต้นได้สั่งการให้สายคุ้มครองสิทธิประโยชน์ บูรณาการร่วมกับสายส่งเสริมและประกันภัยภูมิภาค สำนักงาน คปภ. ภาค 2 (นครสวรรค์) และสำนักงาน คปภ. จังหวัดพิจิตร ในฐานะเจ้าของพื้นที่เกิดเหตุ ตรวจสอบการทำประกันภัยพร้อมทั้งติดตามรายงานความเสียหายอย่างเร่งด่วนผ่าน Platform การรายงานข้อมูลกรณีอุบัติภัยกลุ่มหรือรายใหญ่ด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ รวมทั้งให้ลงพื้นที่เพื่ออำนวยความสะดวกด้านประกันภัยให้กับครอบครัวของผู้ประสบภัยอย่างเต็มที่ เพื่อให้ระบบประกันภัยช่วยบรรเทาความเดือดร้อนให้กับครอบครัวของผู้เสียชีวิตได้อย่างมีประสิทธิภาพและเป็นธรรม

ทั้งนี้ ได้รับรายงานจากสำนักงาน คปภ. จังหวัดพิจิตร ซึ่งได้ลงพื้นที่ทันทีพบว่า ผู้ประสบภัยที่เสียชีวิตทั้ง 7 ราย ประกอบด้วย นักเรียนโรงเรียนวัดเนินปอ 2 ราย โค้ชฝึกสอนฟุตบอล 1 ราย ประชาชน 2 ราย และนักเรียนโรงเรียนเนินปอรังนกชนูทิศ 2 ราย และจากการตรวจสอบการทำประกันภัยเบื้องต้นพบว่าโรงเรียนวัดเนินปอ ทำประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล ไว้กับบริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) เริ่มคุ้มครองวันที่ 15 พฤษภาคม 2566 สิ้นสุดความคุ้มครองวันที่ 15 พฤษภาคม 2567 โดยกรมธรรม์ให้ความคุ้มครองสำหรับเป็นค่ารักษาพยาบาลตามจริงไม่เกินวงเงินจำนวน 6,000 บาท ความคุ้มครองกรณีเสียชีวิตภายนอกโรงเรียนจำนวน 60,000 บาทต่อราย และความคุ้มครองกรณีนักเรียนเสียชีวิตภายในโรงเรียนจำนวน 120,000 บาทต่อราย

สำหรับการติดตามค่าสินไหมทดแทนให้กับครอบครัวของผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ครั้งนี้ สำนักงาน คปภ. จังหวัดพิจิตร ได้ประสานงานไปยังบริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) แล้ว ซึ่งบริษัทตกลงจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้แก่ทายาทผู้ประสบภัยที่เสียชีวิตในวันศุกร์ที่ 26 พฤษภาคม 2566 โดยนักเรียนโรงเรียนวัดเนินปอ 2 ราย จะได้รับค่าสินไหมทดแทนรายละ 120,000 บาท ส่วนโค้ชฝึกสอนฟุตบอลจะได้รับค่าสินไหมทดแทนจำนวน 560,000 บาท โดยได้รับความคุ้มครองจากบริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) จำนวน 60,000 บาท และจากการทำประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคลไว้กับบริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) เริ่มคุ้มครองวันที่ 27 มกราคม 2566 สิ้นสุดความคุ้มครองวันที่ 26 มกราคม 2567 โดยกรมธรรม์ประกันภัยให้ความคุ้มครองกรณีเสียชีวิต จำนวน 500,000 บาท  ในส่วนของนักเรียนโรงเรียนเนินปอรังนกชนูทิศ 2 ราย ตรวจสอบพบว่าทางโรงเรียนฯ ได้ทำประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล ไว้กับบริษัท ชับบ์สามัคคีประกันภัย จำกัด (มหาชน) เริ่มคุ้มครองวันที่ 1 พฤษภาคม 2566 สิ้นสุดความคุ้มครองวันที่ 1 พฤษภาคม 2567 โดยกรมธรรม์ให้ความคุ้มครองสำหรับเป็นค่ารักษาพยาบาลตามจริงไม่เกินวงเงินจำนวน 10,000 บาท และความคุ้มครองกรณีเสียชีวิตจำนวน 100,000 บาท ซึ่งบริษัทตกลงจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้แก่ทายาทผู้ประสบภัยที่เสียชีวิต จำนวน 2 รายๆ ละ 100,000 บาท  และประชาชน 2 ราย ที่เสียชีวิตด้วยนั้น ในเบื้องต้นจากการตรวจสอบยังไม่พบข้อมูลการทำประกันภัยแต่อย่างใด ทั้งนี้หากตรวจสอบพบว่ามีการทำประกันภัยภายหลัง สำนักงาน คปภ. จะช่วยประสานงานอำนวยความสะดวกและติดตามอย่างใกล้ชิดให้บริษัทประกันภัยจ่ายค่าสินไหมทดแทนอย่างถูกต้อง รวดเร็ว และเป็นธรรมต่อไป สำหรับผู้บาดเจ็บ 18 ราย ที่เข้ารับการรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลสามง่าม และโรงพยาบาลพิจิตร ทางสำนักงาน คปภ. จังหวัดพิจิตร ได้ประสานบริษัทประกันภัยและโรงพยาบาล เพื่อรับรองสิทธิค่ารักษาพยาบาลให้กับผู้บาดเจ็บที่มีสิทธิเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

นอกจากนี้ สำนักงาน คปภ. จะบูรณาการการทำงานร่วมกับสมาคมประกันชีวิตไทย และสมาคมประกันวินาศภัยไทย เพื่อตรวจสอบเพิ่มเติมว่าผู้ประสบภัยที่เสียชีวิตจากอุบัติเหตุครั้งนี้มีการทำประกันภัยประเภทอื่น ๆ ไว้ด้วยหรือไม่ หากตรวจสอบพบภายหลังว่าผู้ประสบภัยมีการทำประกันภัยประเภทอื่น ๆ เพิ่มเติมอีกก็จะช่วยประสานงานให้ได้รับค่าสินไหมทดแทนเพิ่มเติมตามสัญญาประกันภัยที่ระบุไว้

“สำนักงาน คปภ. ขอแสดงความเสียใจอย่างยิ่งกับครอบครัวของผู้ประสบภัยที่เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บจากภัยธรรมชาติในครั้งนี้ และพร้อมจะดูแลในด้านประกันภัยอย่างเต็มที่ ทั้งนี้อุบัติเหตุเกิดขึ้นได้ทุกที่ ทุกเวลาและกับทุกคน เพื่อความอุ่นใจควรให้ความสำคัญกับการทำประกันภัยเพื่อให้ระบบประกันภัยช่วยบริหารความเสี่ยงและเยียวยาความสูญเสียต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพหากต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือไม่ได้รับความเป็นธรรมด้านประกันภัย ติดต่อสายด่วน คปภ. 1186” เลขาธิการ คปภ. กล่าวในตอนท้าย

Facebook
Twitter
Email
Print

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงาน คปภ. 

Facebook
Twitter
Email
Print
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
FEATURED NEWS NEWS

“ปตท.สผ.” ผนึก “กรุงไทย” นำร่องลงทุนบริหาร สภาพคล่องเชื่อมโยงคาร์บอนเครดิต ครั้งแรกในไทย

“ปตท.สผ.” ผนึก “กรุงไทย” นำร่องลงทุนบริหารสภาพคล่องเชื่อมโยงคาร์บอนเครดิต ครั้งแรกในไทย

Facebook
Twitter
Email
Print

ปตท.สผ. ร่วมกับ ธ.กรุงไทย นำร่องโครงการลงทุนเพื่อบริหารสภาพคล่องของ ปตท.สผ. เชื่อมโยงคาร์บอนเครดิต ระยะเวลา 1 ปี เป็นครั้งแรกของประเทศ พร้อมนำผลตอบแทนบางส่วนซื้อคาร์บอนเครดิตคุณภาพ

นายสัมฤทธิ์ สำเนียง รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มงานการเงินและการบัญชี บริษัท ปตทสำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน ) หรือ ปตท.สผ. กล่าวว่า ปตท.สผ. มีเป้าหมายการดำเนินงานเพื่อปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ ภายในปี 2593 (Net Zero Greenhouse Gas Emissions by 2050) ตามที่ประเทศไทยประกาศเจตนารมณ์ในการประชุม COP26 ซึ่งการที่จะบรรลุเป้าหมายดังกล่าวนั้น บริษัทได้บริหารจัดการการสำรวจและผลิตปิโตรเลียม (E&P Portfolio) ซึ่งเป็นธุรกิจหลักของบริษัท รวมถึงดำเนินกิจกรรมเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากกระบวนการผลิต และกิจกรรมที่ชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เช่น การปลูกป่า และโครงการบลูคาร์บอน เป็นต้น นอกจากนี้ การบริหารจัดการทางการเงินและรักษาโครงสร้างทางการเงินที่แข็งแกร่งของบริษัท ยังเป็นอีกแนวทางหนึ่งที่จะช่วยสนับสนุนเป้าหมายดังกล่าวด้วยเช่นกัน การลงทุนเพื่อบริหารสภาพคล่องของ ปตท.สผ. ในครั้งนี้ นอกจากจะเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการสภาพคล่องแล้ว ยังสามารถนำผลตอบแทนจากการลงทุนบางส่วนไปซื้อคาร์บอนเครดิตที่มีคุณภาพ รวมทั้งการลงทุนในโครงการที่สนับสนุนการบริหารจัดการการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในอนาคต ถือได้ว่าเป็นครั้งแรกที่มีการนำนวัตกรรมทางการเงินมาใช้ เพื่อส่งเสริมเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ ซึ่งเป็นอีกส่วนสำคัญที่จะช่วยสนับสนุนการสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนร่วมกัน

นายรวินทร์ บุญญานุสาสน์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานธุรกิจตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ธนาคารมุ่งมั่นพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการด้านตลาดเงินตลาดทุนอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าทั้งกลุ่มนิติบุคคล และนักลงทุนในทุกมิติ ทั้งการปฏิวัติการออกหุ้นกู้เอกชนในรูปแบบหุ้นกู้ดิจิทัล ที่เปิดโอกาสให้นักลงทุนสามารถเข้าถึงการลงทุนในหุ้นกู้ทั้งตลาดแรก และตลาดรอง ได้อย่างทั่วถึงและเท่าเทียม สะดวกและปลอดภัย อีกทั้งบริการด้าน การบริหารจัดการความเสี่ยงทางการเงินของนิติบุคคล ภายใต้กรอบการพัฒนาอย่างยั่งยืน และในครั้งนี้ธนาคารกรุงไทยได้นำประสบการณ์ความเชี่ยวชาญด้านการบริหารเงินลงทุนสำหรับสภาพคล่องของบริษัท มาผนวกกับเป้าหมายด้านการเติบโตอย่างยั่งยืน จับมือกับปตท.สผ. ดำเนินโครงการลงทุนเพื่อบริหารสภาพคล่องเชื่อมโยงคาร์บอนเครดิต (Carbon Credit Linked Investment Program) ถือเป็นประวัติการณ์ใหม่ ครั้งแรกในไทยที่ นำนวัตกรรมด้านการเงิน มาบริหารจัดการด้านการลงทุนให้กับลูกค้า เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ทั้งด้านการสร้างผลตอบแทนจากการลงทุน และตอบโจทย์นโยบายด้านการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขององค์กร โดยธนาคารสนับสนุนการจัดหาคาร์บอนเครดิตให้กับปตท.สผ.เพิ่มเติม หากปตท.สผ.สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ตามดัชนีชี้วัดความสำเร็จ (KPI) ที่ธนาคารกำหนด ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของการสนับสนุนให้บรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ของประเทศในปี 2593 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions) ในปี 2608

“นับเป็นอีกก้าวสำคัญที่กรุงไทย และปตท.สผ.ได้ร่วมสร้างนวัตกรรมทางการเงินใหม่ให้ตลาดเงินและตลาดทุนไทย หลังประสบความสำเร็จในการปฏิวัติการลงทุนของประเทศ ด้วยหุ้นกู้ดิจิทัลครั้งแรกในเอเชีย พร้อมทำสัญญาอนุพันธ์เพื่อป้องกันความเสี่ยงทางการเงิน อ้างอิงผลการดำเนินงานด้านความยั่งยืน (ESG-Linked Cross Currency Swap) เป็นครั้งแรกในประเทศ สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจโดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคมและธรรมาภิบาล (ESG) ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้าน ESG Financial Solution ของธนาคาร ที่เดินหน้าพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน ที่ตอบโจทย์เรื่องการพัฒนาอย่างยั่งยืน (SDGs) ของสหประชาชาติ (UN) โดยเฉพาะ SDGs ข้อ 13 เรื่องการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เป็นการขับเคลื่อนธุรกิจและเศรษฐกิจประเทศให้เติบโตอย่างยั่งยืน ตามวิสัยทัศน์ กรุงไทย เคียงข้างไทย สู่ความยั่งยืน”

PTTEP and Krungthai initiate Thailand’s first carbon credit linked investment program

PTTEP together with Krungthai Bank have jointly promoted sustainable finance through the introduction of a one-year carbon credit linked investment program for PTTEP’s liquidity management, which is the first of its kind in Thailand. Part of the returns will be used to purchase high-quality carbon credits, thereby contributing to the achievement of the greenhouse gas (GHG) reduction goal.

Sumrid Sumneing, Executive Vice President, Finance and Accounting Group at PTT Exploration and Production Public Company Limited (PTTEP), said that PTTEP is committed to achieving Net Zero GHG emissions by 2050, aligning with Thailand’s net zero pledge at COP26. To reach this aspirational goal, the company focuses on managing its exploration and production (E&P) portfolio, which constitutes its core business, and executes GHG emissions reduction plan from the production process. Additionally, PTTEP undertakes GHG offsetting initiatives such as forestation and blue carbon projects. The company recognizes that effective financial management and maintaining a robust capital structure can also be another approach contributing to this goal. By implementing the innovative carbon credit linked investment program, PTTEP aims to enhance liquidity management while using part of the returns from investments to purchase high-quality carbon credits and invest in projects that support GHG emissions management in the future. This groundbreaking financial approach represents the first instance of utilizing financial innovation to support a net zero GHG emissions target, playing a pivotal role in promoting mutual sustainable growth.

Rawin Boonyanusasna, Senior Executive Vice President of the Global Markets Group at Krungthai Bank, emphasized the bank’s unwavering commitment to developing new capital market products and services that cater to the requirements of corporate clients and investors. Past accomplishments include the corporate digital bond, which facilitated trading in both primary and secondary markets, thereby ensuring inclusive, equitable, convenient, and secure access to corporate bond investments. Additionally, the bank provides risk management services for corporate clients. These offerings align with the sustainable development framework. On this occasion, Krungthai Bank leverages its extensive experience and expertise in investment management to enhance liquidity while embracing a sustainable growth agenda. Through a partnership with PTTEP, the bank introduces the carbon credit linked investment program, which marks a significant milestone as it represents the first-ever utilization of financial innovation in Thailand to manage investments for clients, concurrently pursuing investment returns and the organization’s GHG emissions reduction goals. The bank will assist PTTEP in the acquisition of additional carbon credits, contingent upon PTTEP achieving the GHG reduction key performance indicators (KPIs). This collaborative effort contributes to Thailand’s targets of achieving carbon neutrality by 2050 and net zero emissions by 2065.

“Krungthai Bank and PTTEP have achieved yet another significant milestone in financial innovation within the Thai capital market. Building on the success of revolutionizing investment in the country with Asia’s first digital corporate bond and ESG-Linked Cross Currency Swap, we reaffirm our commitment to conducting business with a strong focus on ESG (Environmental, Social, and Governance) principles. This collaboration with PTTEP further solidifies our position as a leading provider of ESG financial solutions, continuously developing new financial products and services that address the United Nations Sustainable Development Goals (SDGs), particularly SDG 13: Climate Action. Our aim is to drive sustainable growth for both our business and the Thai economy, aligning with our vision of ‘Growing Together for Sustainability’,” said Rawin.

Facebook
Twitter
Email
Print

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ปตท.สผ.

Facebook
Twitter
Email
Print
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
NEWS TOP STORIES

ชาวบ้านร้อง! พระเรี่ยไรเงินบริจาค อ้างวัดดังย่านริมกกทำโครงการปลูกป่า

ชาวบ้านร้อง! พระเรี่ยไรเงินบริจาค อ้างวัดดังย่านริมกกทำโครงการปลูกป่า

Facebook
Twitter
Email
Print

เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2566 สำนักข่าวออนไลน์นครเชียงรายนิวส์ ได้รับแจ้งจากชาวบ้านในอำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย ถึงกรณีที่มีพระสงฆ์รูปหนึ่ง จากวัดชื่อดัง ในตำบลริมกก อำเภอเมือง จังหวัดเชียงรายได้เชิญชวนชาวบ้านและญาติโยมผู้มีจิตศรัทธาร่วมทำบุญ เนื่องในวันวิสาขบูชา ใน “โครงการพระภัทรพลปลูกป่ารักน้ำ” ซึ่งมีการอ้างว่าได้ดำเนินการมาสองสามปี แต่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ โดยที่จะทำการเพาะปลูกต้นไม้ ณ สถานที่ เขตอุทยานแห่งชาติดอยพระพุทธบาท บ้านปูไข่ ตำบลบ้านดู่ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย เขต
ติดต่อกัน 5 ตำบล ได้แก่ ตำบลนางแล ตำบลท่าสุด ตำบลป่าตึง ตำบลแม่ยาว ตำบลบ้านดู่ รวม 5 ตำบล และอีก 2 อำเภอ จังหวัดเชียงราย

จากกรณีดังกล่าวนี้ทำให้ชาวบ้านเกิดความสงสัย ทางทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์จึงได้ทำการติดต่อสอบถามไปยังศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดเชียงราย สายด่วน 1567 โดยทางศูนย์ได้ชี้แจงว่า ไม่มีนโยบายการร่วมกับหน่วยงานอื่นเพื่อไปเรี่ยไรเงิน หรือทำโครงการเพื่อไปเก็บเงินชาวบ้าน

ด้านเจ้าอาวาสวัดดังย่านต.ริมกก อ.เมือง จ.เชียงรายกล่าวว่า ทางวัดไม่มีโครงการดังกล่าว และพระสงฆ์รูปที่กระทำการดังกล่าวนี้ ล่าสุดเจ้าคณะอำเภอสั่งให้ออกนอกพื้นที่แล้วและเคยกระทำผิดเช่นนี้มาก่อน โดยอ้างชื่อวัดอื่นเพื่อเรี่ยไรเงินจากชาวบ้าน โดยทางวัดได้มีการว่ากล่าวตักเตือนพระสงฆ์รูปนี้มาแล้วกว่า 3 ครั้ง และถึงแม้ว่าขณะนี้ทางวัดได้มีมติให้ออกจากวัดแล้วแต่พระสงฆ์รูปนี้ก็ยังมีการออกไปเรี่ยไรเงินจากชาวบ้านอยู่ 

ทางเจ้าอาวาสได้ย้ำมากับทางนครเชียงรายนิวส์ว่าทางวัดไม่ได้เกี่ยวข้องกับการเรี่ยไรเงินในครั้งนี้ ขอชาวเชียงรายที่พบพระสงฆ์เดินเรี่ยไรซองผ้าป่าอย่าหลงเชื่อโอนเงินใน“โครงการพระภัทรพลปลูกป่ารักน้ำ” และสังเกตุตราประทับของวัดในจดหมายที่ได้รับ


โดยคำสั่งมหาเถรสมาคม พ.ศ.2539 เรื่อง ควบคุมการเรื่ยไร ระบุว่า อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 15 ตรี แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.2505 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2535 มหาเถรสมาคมจึงออกคำสั่งไว้ ดังต่อไปนี้

ข้อ 1 คำสั่งมหาเถระสมาคมนี้ เรียกว่า “คำสั่งมหาเถรสมาคม เรื่อง ควบคุมการเรี่ยไร พ.ศ.2539”

ข้อ 2 คำสั่งมหาเถรสมาคมนี้ ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในแถลงการณ์คณะสงฆ์ เป็นต้นไป

ข้อ 3 ตั้งแต่วันใช้คำสั่งมหาเถรสมาคมนี้ ให้ยกเลิกคำสั่งมหาเถรสมาคม เรื่องควบคุมการเรี่ยไร พ.ศ.2527

ข้อ 4 ในคำสั่งนี้ การเรี่ยไร หมายถึง การขอรวมตลอดถึงการซื้อขายแลกเปลี่ยน ชดใช้ หรือบริการ ซึ่งมีการแสดงโดยตรงหรือโดยอ้อม ว่ามิใช่เป็นการซื้อขายแลกเปลี่ยน ชดใช้ หรือบริการ ตามธรรมดา และให้มีความหมายถึง การออกเรี่ยไร การแจกของฎีกา การบอกบุญบนรถโดยสาร การกั้นรถโดยสาร การใช้ยานพาหนะบรรทุกลูกนิมิต พระพุทธรูป ประพรมน้ำพระพุทธมนต์ การตั้งองค์กฐินผ้าป่าตามสถานที่ต่าง ๆ การบอกบุญโดยใช้บาตรจำลอง กระบอกไม้ไผ่ กระป๋องผ้าป่า การโฆษณาบอกบุญทางสถานีวิทยุกระจายเสียง ทางสถานีโทรทัศน์ หรือทางสื่อมวลชนอื่น ๆ เพื่อรวบรวมทรัพย์สินที่ได้มาทั้งหมดหรือบางส่วนไปใช้ในกิจการอย่างใดอย่างหนึ่ง

ข้อ 5 ห้ามมิให้วัดหรือพระภิกษุสามเณรทำการเรี่ยไร หรือมอบหมายหรือยินยอมให้ผู้อื่นทำการเรี่ยไร ทั้งโดยทางตรงและโดยทางอ้อม เพื่อประโยชน์แก่วัดหรือพระศาสนา หรือเพื่อประโยชน์อย่างอื่นใด แก่ตนหรือผู้อื่น เว้นแต่ในกรณีที่กำหนดไว้ในคำสั่งมหาเถรสมาคมนี้

ข้อ 6 ในกรณีที่มีการบำเพ็ญกุศลในวัด ซึ่งเป็นงานประจำปี หรืองานพิเศษ ถ้าจะมีการเรี่ยไร การโฆษณาเรี่ยไร และการรับเงิน หรือทรัพย์สินจากการเรี่ยไร ให้กระทำได้เฉพาะภายในบริเวณวัด ห้ามมิให้กระทำนอกบริเวณวัด

ข้อ 7 ให้มีคณะกรรมการควบคุมการเรี่ยไร 2 คณะ

(1) คณะกรรมการควบคุมการเรี่ยไรส่วนกลาง ซึ่งสมเด็จพระสังฆราชทรงแต่งตั้งตามมติมหาเถรสมาคม มีจำนวนไม่ต่ำกว่า 5 ไม่เกิน 9 มีอำนาจหน้าที่ ดังนี้

(1.1) อนุมัติและควบคุมการเรี่ยไรทั่วประเทศ

(1.2) อนุมัติและควบคุมการเรี่ยไร ทางสถานีวิทยุ ทางโทรทัศน์ และทางสื่อมวลชนอื่น ๆ

(1.3) เพิกถอนการเรี่ยไรทุกประเภทที่ผิดวัตถุประสงค์ หรือไม่เหมาะสม

(1.4) ปฏิบัติหน้าที่อื่นเกี่ยวกับการเรี่ยไรตามที่มหาเถรสมคมมอบหมาย

(2) คณะกรรมการควบคุมการเรี่ยไรส่วนจังหวัด ซึ่งเจ้าคณะจังหวัดเจ้าสังกัดแต่งตั้ง มีจำนวนไม่ต่ำกว่า 5 ไม่เกิน 9 โดยมีเจ้าคณะจังหวัดเป็นประธาน มีอำนาจหน้าที่ดังนี้

(2.1) อนุมัติและควบคุมการเรี่ยไรภายในจังหวัด

(2.2) อนุมัติและควบคุมการเรี่ยไรของจังหวัดอื่นที่มาขอเรี่ยไรในจังหวัดที่รับผิดชอบ

(2.3) เพิกถอนการเรี่ยไรภายในจังหวัดที่ผิดวัตถุประสงค์ หรือไม่เหมาะสม

(2.4) ปฏิบัติหน้าที่อื่นเกี่ยวกับการเรี่ยไรที่คณะกรรมการเรี่ยไรส่วนกลาง หรือมหาเภรสมาคมมอบหมาย

ข้อ 8 ถ้ามีกรณีจำเป็นจะต้องทำการเรี่ยไรนอกบริเวณวัด เพื่อก่อสร้างหรือปฏิสังขรณ์ถาวรวัตถุใด ถาวรวัตถุนั้นต้องได้มีการก่อสร้าง หรือปฏิสังขรณ์ไว้แล้วไม่น้อยกว่าครึ่งหนึ่งของงานก่อสร้าง หรือปฏิสังขรณ์ทั้งหมด และให้เจ้าอาวาสปฏิบัติดังต่อไปนี้

(1) ให้รายงานขออนุมัติการเรี่ยไร

(1.1) ในกรณีการเรี่ยไรภายในจังหวัด เสนอผู้บังคับบัญชาตามลำดับจนถึงเจ้าคณะอำเภอเจ้าสังกัด เมื่อเจ้าคณะอำเภอเจ้าสังกัดเห็นชอบแล้ว ให้เสนอไปยังคณะกรรมการควบคุมการเรี่ยไรส่วนจังหวัดพิจารณา โดยผ่านสำนักงานเจ้าคณะจังหวัด

ในกรณีที่มีความประสงค์จะทำการเรี่ยไรข้ามจังหวัด เมื่อได้รับอนุมัติให้ทำการเรี่ยไรภายในจังหวัดแล้ว ให้ทำเรื่องขอความเห็นชอบจากคณะกรรมการควบคุมการเรี่ยไรของจังหวัดที่จะข้ามไปเรี่ยไร โดยผ่านสำนักงานเจ้าคระจังหวัดเจ้าสังกัด

(1.2) ในกรณีการเรี่ยไรทั่วประเทศ เสนอผู้บังคับบัญชาตามลำดับจนถึงเจ้าคณะภาคเจ้าสังกัด เมื่อเจ้าคระภาคเจ้าสังกัดพิจารณาเห็นชอบแล้ว ให้เสนอไปยังคณะกรรมการควบคุมการเรี่ยไรส่วนกลาง เพื่อพิจารณาโดยผ่านสำนักเลขาธิการมหาเถรสมาคม

ในรายงานขออนุมัติทำการเรี่ยไรตามความใน (1.1) และ (1.2) ให้แสดงรายการก่อสร้างหรือปฏิสังขรณ์ จำนวนเงินหรือทรัพย์สินที่จะทำการเรี่ยไร กำหนดเวลาทำการเรี่ยไรและข้อความที่จะโฆษณาเรี่ยไร

(2) เมื่อได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการควบคุมการเรี่ยไรตามข้อ 7 (1) หรือ ข้อ 7 (2) แล้ว จึงให้จัดการขออนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมการเรี่ยไรต่อไป

(3) ในกรณีได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมการเรี่ยไรแล้ว ห้ามพระภิกษุสามเณรออกทำการเรี่ยไรด้วยตนเอง และต้องปฏิบัติให้ชอบด้วยวิธีการตามที่กำหนดไว้ในกฎหมายว่าด้วยการควบคุมการเรี่ยไรทุกประการ

(4) เมื่อครบกำหนดเวลาที่ได้รับอนุญาตให้ทำการเรี่ยไรแล้ว ให้รายงานยอดรายรับรายจ่าย เงินและทรัพย์สินในการเรี่ยไรเสนอผู้บังคับบัญชาตามลำดับ จนถึงคณะกรรมการควบคุมการเรี่ยไรตามข้อ 7 (1) หรือ ข้อ 7 (2) ที่อนุญาต ผ่านสำนักงานเจ้าคณะจังหวัดเจ้าสังกัด หรือสำนักงานเลขาธิการมหาเถรสมาคมแล้วแต่กรณี เมื่อได้ใช้จ่ายเงินหรือทรัพย์สินไปในการก่อสร้างหรือปฏิสังขรณ์ถาวรวัตถุนั้นเสร็จแล้ว ก็ให้รายงานตามลำดับดังกล่าวข้างต้น

ข้อ 9 พระภิกษุสามเณรรูปใดฝ่าฝืนคำสั่ง่มหาเถรสมาคม

(1) ถ้ามิได้เป็นพระสังฆาธิการ

(1.1) เมื่อเจ้าอาวาสเจ้าสังกัดได้ทราบความผิดนั้นแล้ว ให้จัดการให้พระภิกษุสามเณรรูปนั้นออกไปเสียจากวัด หากไม่ยอมออก เป็นการขัดคำสั่งของเจ้าพนักงานตามความในประมวลกฎหมายอาญา ให้ขออรักขาจากเจ้าหน้าที่ฝ่ายบ้านเมือง และให้บันทึกเหตุที่ให้ออกนั้นในหนังสือสุทธิด้วย หรือ

(1.2) เมื่อเจ้าคณะในเขตที่ความผิดนั้นเกิดขึ้นได้ทราบความผิดนั้นแล้ว ถ้าผู้ฝ่าฝืนมีสังกัดอยู่ในจังหวัดเดียวกัน ให้แจ้งแก่เจ้าอาวาสผ่านเจ้าคณะจังหวัดเจ้าสังกัด แต่ถ้ามีสังกัดอยู่ต่างจังหวัด ให้แจ้งแก่เจ้าอาวาสผ่านเจ้าคณะภาคเจ้าสังกัด เพื่อดำเนินการตามความใน (1.1)

(2) ถ้าเป็นพระสังฆาธิการ ให้เจ้าคณะเจ้าสังกัดพิจารณาลงโทษฐานละเมิดจริยาพระสังฆาธิการตามควรแก่กรณี แต่ถ้าพระส้งฆาธิการได้กระทำผิดในเขตจังหวัดที่ตนมิได้สังกัดอยู่ ให้เจ้าคณะในเขตที่ความผิดนั้นเกิดขึ้นแจ้งแก่เจ้าคระเจ้าสังกัดของผู้กระทำผิดเพื่อดำเนินการดังนี้

(2.1) ในกรุงเทพมหานคร ให้แจ้งแก่เจ้าคณะกรุงเทพมหานคร

(2.2) ในจังหวัดอื่น ให้แจ้งแก่เจ้าคณะจังหวัด หรือเจ้าคณะภาค แล้วแต่จะเห็นสมควร

(2.3) ถ้าปรากฏว่าความผิดตามกรณี (1) หรือ (2) เป็นความผิดอาญาด้วย ย่อมจะมีโทษตามกฎหมายอีกต่างหากจากโทษที่ได้รับจากเจ้าอาวาสหรือเจ้าคณะเจ้าสังกัด

ข้อ 10 คำสั่งมหาเถรสมาคมนี้ มิให้ใช้บังคับแก่การเรี่ยไร ดังต่อไปนี้

(1) การเรี่ยไรในทางการคณะสงฆ์ หรือ

(2) การเรี่ยไรที่มหาเถรสมาคมอนุมัติเฉพาะเรื่อง

สั่ง ณ วันที่ 4 สิงหาคม 2539

Facebook
Twitter
Email
Print

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรานิวส์

Facebook
Twitter
Email
Print
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
NEWS SOCIETY & POLITICS

เปิดโครงการพัฒนาและเพิ่มประสิทธิภาพ ในการจัดทำแผนพัฒนา อบจ.เชียงราย

เปิดโครงการพัฒนาและเพิ่มประสิทธิภาพ ในการจัดทำแผนพัฒนา อบจ.เชียงราย

Facebook
Twitter
Email
Print

เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2566 เวลา 09.30 น. นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการพัฒนาและเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดทำแผนพัฒนาองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย โดยมี นายรามิล พัฒนมงคลเชฐ ปลัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย กล่าวรายงานถึงวัตถุประสงค์ของโครงการฯ ณ ห้องประชุมธรรมปัญญา ในการนี้ นายจีรพงษ์ พุทธวงค์ วิทยากรจากสำนักงานจังหวัดเชียงราย บรรยายและให้ความรู้เกี่ยวกับแนวทางการจัดทำและประสานแผนพัฒนาท้องถิ่น

องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย ได้เล็งเห็นความสำคัญในการจัดทำแผนพัฒนาท้องถิ่นในภาพรวมของจังหวัด ให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผล จึงได้จัดโครงการพัฒนาและเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดทำแผนพัฒนาองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ทุกภาคส่วนได้มีส่วนร่วมและบูรณาการร่วมกัน ในการแก้ไขปัญหาความต้องการและความเดือดร้อนของประชาชนในพื้นที่จังหวัดเชียงรายอย่างเป็นรูปธรรม ถูกต้องตามระเบียบกระทรวงมหาดไทย
Facebook
Twitter
Email
Print

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย

Facebook
Twitter
Email
Print
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
NEWS SOCIETY & POLITICS

ประธาน​แม่บ้าน​มหาดไทย​เชียงราย​ ลง​พื้นที่​ ติดตาม “ผ้าลายดอกรักราชกัญญา”

ประธานแม่บ้านมหาดไทยเชียงราย ลงพื้นที่ ติดตาม “ผ้าลายดอกรักราชกัญญา”

Facebook
Twitter
Email
Print

เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2566 นางสุภาเพ็ญ ศิริมาตย์ ประธานแม่บ้านมหาดไทยจังหวัดเชียงราย ลงพื้นที่เยี่ยมให้กำลังใจสมาชิกศิลปาชีพ และกลุ่มผู้ผลิต ผู้ประกอบการ OTOP ในพื้นที่อำเภอพญาเม็งราย จังหวัดเชียงราย ณ ห้องประชุมที่ว่าการอำเภอพญาเม็งราย โดยมีนายชูสวัสดิ์ สวัสดี นายอำเภอพญาเม็งราย พร้อมด้วยนางโสภิชา หงษ์คำ พัฒนาการอำเภอพญาเม็งราย แม่บ้านมหาดไทยอำเภอพญาเม็งราย ผู้ผลิต ผู้ประกอบการ OTOP ประเภทผ้า สมาชิกกลุ่มศิลปาชีพ ในพื้นที่อำเภอพญาเม็งราย ร่วมให้การต้อนรับและนำเสนอข้อมูลการพัฒนาผลิตภัณฑ์

ในการนี้ นายวิทยา ชุมภูคำ พัฒนาการจังหวัดเชียงราย มอบหมายให้นางอำไพ บัวระดก ผู้อำนวยการกลุ่มงานยุทธศาสตร์การพัฒนาชุมชน พร้อมด้วยนายปรีชา ปวงคำ ผู้อำนวยการกลุ่มงานส่งเสริมการพัฒนาชุมชน และทีมงานนักวิชาการสำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดเชียงราย ร่วมลงพื้นที่ติดตามสนับสนุนข้อมูลเพื่อส่งเสริมการพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานผลิตภัณฑ์ให้เป็นไปตามแนวทาง หลักเกณฑ์การประกวด รวมทั้งส่งเสริมการผลิตและจำหน่ายเพื่อสร้างรายได้ให้กับกลุ่มและชุมชนอย่างยั่งยืน
 
ในโอกาสนี้ นางสุภาเพ็ญ ศิริมาตย์ ประธานแม่บ้านมหาดไทยจังหวัดเชียงราย และคณะ ได้พบปะและมอบแนวทางการพัฒนาผลิตภัณฑ์ เพื่อสร้างรายได้แก่กลุ่ม และเชิญชวนส่งผลงานเข้าร่วมการประกวดผ้าลายพระราชทาน “ผ้าลายดอกรักราชกัญญา” และงานหัตถกรรม โดยมอบหมายให้สำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดเชียงราย ร่วมสนับสนุนการดำเนินงาน
 
ทั้งนี้ ผู้สนใจสามารถส่งผลงานและใบสมัครเข้าร่วมการประกวดฯ ได้ที่สำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดเชียงราย และสำนักงานพัฒนาชุมชนอำเภอทุกแห่ง ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม – 4 สิงหาคม 2566
Facebook
Twitter
Email
Print

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : Cddchiangrai

Facebook
Twitter
Email
Print
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
NEWS SOCIETY & POLITICS

เชียงราย เดินหน้าพัฒนาผลิตภัณฑ์ ชุมชน-ตอบโจทย์ นักเดินทางกำลังซื้อสูง

เชียงราย เดินหน้าพัฒนาผลิตภัณฑ์ ชุมชน-ตอบโจทย์ นักเดินทางกำลังซื้อสูง

Facebook
Twitter
Email
Print

เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2566 ที่ร้านสวรรค์บนดิน ฟาร์ม แอนด์ ที ต.ริมกก อ.เมืองเชียงราย นายสมหวัง บุญระยอง รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานเปิดโครงการบูรณาการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงธุรกิจ ไมซ์สร้างสรรค์ รวมพลังชุมชนภาคเหนือยกระดับการพัฒนา และการมีส่วนร่วม สู่ Product MICE Premium จังหวัดเชียงราย โดยมีนางศุภาดา ชัยวงษ์ ผู้แทนสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) นำหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน เข้าร่วม ซึ่งผู้เข้าร่วมการประชุมจะได้รับความรู้จากวิทยากรผู้ชำนาญการ รวมไปถึงการแลกเปลี่ยนข้อมูลของผู้ประกอบการด้วยกัน เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ และการส่งเสริมช่องทางการตลาดอีกด้วย

นางศุภาดา ชัยวงษ์ ผู้แทนสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) กล่าวว่า Product MICE Premium โปรเจ็กต์ของทีเส็บ (TCEB) สำนักงานภาคเหนือ เป็นโครงการสนับสนุนการนำอัตลักษณ์ หรือภูมิปัญญาท้องถิ่นของชุมชนมาต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์ ซึ่งเป็นสินค้าโดยช่างฝีมือท้องถิ่น เช่น อาหาร ของชำร่วย หรือของฝาก ตอบโจทย์นักเดินทางไมซ์ (นักท่องเที่ยวกำลังซื้อสูง) ซึ่งจะช่วยสร้างมูลค่าเพิ่ม ยกระดับการพัฒนาสินค้าผ่านวัฒนธรรม วิถีชีวิต และทรัพยากรชุมชนให้เกิดประโยชน์ กระตุ้นเศรษฐกิจ รวมถึงสร้างความแตกต่างให้นักท่องเที่ยวที่มาเยือนเกิดความประทับใจ

ด้านนายสมหวัง บุญระยอง รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย กล่าวว่า จังหวัดเชียงรายเป็น 1 ใน 4 ของพื้นที่ภาคเหนือ ที่ทางทีเส็บให้ความสำคัญ ในฐานะเมืองที่มีศักยภาพ ทั้งยังเป็นพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ มีพรมแดนเชื่อมต่อกับประเทศเพื่อนบ้าน (ลาว และเมียนมา) ซึ่งสามารถใช้กลไกไมซ์ เป็นเครื่องมือสร้างเครือข่ายในการบริหารจุดแข็งร่วมกัน และเตรียมพร้อมสู่การขยายความร่วมมือไปยังประเทศในกลุ่มอนุภาคลุ่มน้ำโขง หรือ Greater Mekong Subregion (GMS) ในอนาคต และยังเป็นชุมชนที่มีเอกลักษณ์หลากหลายทางชาติพันธุ์ ซึ่งสินค้าของที่ระลึก หรือของชำร่วยเป็นหนึ่งในสินค้าที่มีชื่อเสียงอยู่แล้ว หากได้รับการพัฒนาให้สินค้าที่สามารถสะท้อนอัตลักษณ์ที่โดดเด่น ของจังหวัดเชียงรายได้ จะทำให้เป็นที่จดจำสำหรับผู้มาเยือน

รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย กล่าวต่อไปว่า การพัฒนาสินค้าหรือของชำร่วย จึงจำเป็นต้องดำเนินการโดยอ้างอิงข้อมูลอื่น ที่เป็นตัวตนของจังหวัดเชียงราย ทำให้สินค้าหรือของชำร่วยของเรา มีอัตลักษณ์ที่โดดเด่น เป็นที่จดจำ อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มคุณค่าสินค้าให้ดูดี น่าใช้ น่าซื้อ อยู่ในระดับพรีเมี่ยม และสามารถนำไปใช้งานได้จริงในชีวิตประจำวัน ต่อไป
Facebook
Twitter
Email
Print

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

Facebook
Twitter
Email
Print
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE