Categories
ECONOMY

มติ ครม. ประกันรายได้ชาวสวน พร้อมดันส่งออกน้ำมันปาล์มลดผลผลิตส่วนเกิน

มติ ครม. ประกันรายได้ชาวสวน พร้อมดันส่งออกน้ำมันปาล์มลดผลผลิตส่วนเกิน

Facebook
Twitter
Email
Print

นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงมติคณะรัฐมนตรี (30 พฤษภาคม 2566)  รับทราบสรุปมติการประชุมคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติครั้งที่ 1/2566 เมื่อวันที่ 3 พ.ค. 2566 โดยมีพล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ  เป็น ประธานในการประชุม  ได้ทบทวนและพิจารณา และมีมติเห็นชอบดำเนินโครงการผลักดันการส่งออกน้ำมันปาล์มเพื่อลดผลผลิตส่วนเกิน ปี 2566 และโครงการประกันรายได้ เกษตรกรชาวสวนปาล์มน้ำมัน ปี 2565-2566   จากการคาดการณ์ว่า ปริมาณน้ำมันดิบที่ผลิตอาจได้มากกว่าความต้องการใช้ในแต่ละเดือน เนื่องจากความต้องการใช้ในประเทศยังไม่กลับสู่สภาวะปกติ อาจส่งผลต่อเสถียรภาพของราคาและกระทบต่อรายได้   สรุปรายละเอียด ดังนี้
 
1. โครงการผลักดันการส่งออกน้ำมันปาล์มเพื่อลดผลผลิตส่วนเกิน ปี 2566 
 
(1) วัตถุประสงค์  :  เพื่อลดปริมาณน้ำมันปาล์มส่วนเกินในประเทศให้เข้าสู่ระดับสมดุล และยกระดับราคาปาล์มทะลายที่เกษตรกรขายให้สูงขึ้น
(2) การดำเนินโครงการ  สนับสนุนค่าบริหารจัดการการส่งออกเฉพาะปาล์มน้ำมันดิบ 150,000 ตัน เช่น ค่าขนส่ง ค่าคลังจัดเก็บ และค่าปรับปรุง โดยมีเงื่อนไขการสนับสนุนค่าบริหารจัดการส่งออก เมื่อระดับสต็อก น้ำมันปาล์มดิบในประเทศสูงกว่า 300,000 ตัน และราคาน้ำมันปาล์มดิบในประเทศสูงกว่าราคาตลาดโลก ทั้งนี้ เพื่อให้การบริหาร จัดการมีความยืดหยุ่นและทันต่อเหตุการณ์ เห็นควรกำหนดให้ เงื่อนไขระดับสต็อกน้ำมันปาล์มดิบขั้นต่ำไว้ที่ 250,000 ตัน และให้คณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ (กนป.) เป็นผู้มีอำนาจในการพิจารณา
(3) งบประมาณและแหล่งงบประมาณ  : 309 ล้านบาท (งบกลางฯ) แบ่งเป็น ค่าบริหารจัดการให้แก่ผู้ส่งออกตามโครงการ ปริมาณ 150,000 ตัน อัตรากิโลกรัมละ 2 บาท รวมเป็น 300 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานของส่วนราชการ 9 ล้านบาท (ไม่เกินร้อยละ 3 ของวงเงินดำเนินการ)
(4) ระยะเวลาดำเนินการ   ระยะเวลาส่งออก ตั้งแต่ได้รับการอนุมัติ-กันยายน 2566 โดยระยะเวลาโครงการ ตั้งแต่ได้รับการอนุมัติ-ธันวาคม 2566
 
2. โครงการประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนปาล์มน้ำมัน ปี 2565-2566
 
(1) วัตถุประสงค์ เพื่อช่วยเหลือด้านรายได้ของเกษตรกรชาวสวนปาล์มน้ำมัน และบรรเทาความเดือดร้อนของเกษตรกรจากปัญหาผลผลิตล้นตลาด และราคาผลผลิตตกต่ำ
(2) การดำเนินโครงการ   ช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกปาล์มน้ำมันในกรณีที่ราคาขายปาล์มน้ำมัน ในประเทศตกต่ำผ่านการประกันราคาปาล์มน้ำมัน (ผลปาล์มทะลาย อัตราน้ำมันร้อยละ18) ราคา กก. ละ 4 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 25 ไร่ และต้องเป็นพื้นที่ปลูกต้นปาล์มที่ให้ผลผลิตแล้ว โดยจะจ่ายเงินชดเชย ส่วนต่างระหว่างราคาเป้าหมายกับราคาตลาดอ้างอิงให้แก่เกษตรกร ทุก 30 วัน
(3) งบประมาณและแหล่งงบประมาณ  : 3,133.17  ล้านบาท (ธ.ก.ส. สำรองจ่ายจากแหล่งเงินทุนของ ธ.ก.ส. และขอรับจัดสรรงบฯ ประจำปี เพื่อให้รัฐบาลชำระคืนตามที่เกิดขึ้นจริง) แบ่งเป็น วงเงินชดเชยส่วนต่างรายได้ 3,075.00 ล้านบาท และวงเงินบริหารจัดการของ ธ.ก.ส.  58.17 ล้านบาท
(4) ระยะเวลาดำเนินการ   ระยะเวลาการจ่ายเงิน เดือน กันยายน  2565 – สิงหาคม 2566 โดยระยะเวลาโครงการ เดือน กันยายน 2565 -ธ.ก.ส. ได้รับการชดเชยงบฯ ตามที่ทดรองจ่าย
 
ทั้งนี้  หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินโครงการฯ ให้เป็นไปตามระเบียบ กกต. ว่าด้วยการใช้ทรัพยากรของรัฐหรือบุคลากรของรัฐเพื่อกระทำการใดซึ่งจะมีผลต่อการเลือกตั้ง พ.ศ. 2563  รวมถึงพิจารณากรอบวงเงินงบฯ ตามความจำเป็นและเหมาะสม ตาม ม. 28  แห่ง พ.ร.บ. วินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 ด้วย
 
นอกจากนี้  ที่ประชุม กปน.  ยังหารือถึงแนวทางการจัดทำโครงสร้างราคาปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์ม  เพราะเดิมราคาปาล์มน้ำมัน ซึ่งยังไม่มีการกำหนดโครงสร้างราคาที่แน่นอน ใช้อ้างอิงจากราคาของความต้องการในตลาด (Demand-Supply) ซึ่งมีความผันผวนไม่แน่นอน ส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพ ของราคาน้ำมันปาล์มและรายได้ของเกษตรกร  จึงมอบหมายให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวตกรรม  และ สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) สนับสนุนทุนเพื่อศึกษาสมการโครงสร้างราคาปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มทั้ง พร้อมทั้งรับฟังความคิดเห็นของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 6 เดือน รวมทั้งให้ สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร ยกร่างคำสั่งแต่งตั้ง คณะทำงานร่วมภาครัฐ เอกชน และเกษตรกรในจำนวนที่เท่าเทียมกัน เสนอประธานคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติพิจารณา

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักนายกรัฐมนตรี

Facebook
Twitter
Email
Print
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
MOST POPULAR
Categories
All

ศุลกากรนิวซีแลนด์ลงนามโครงการผู้ประกอบการระดับมาตรฐานเออีโอ

ศุลกากรนิวซีแลนด์ลงนาม โครงการผู้ประกอบการระดับมาตรฐานเออีโอ

Facebook
Twitter
Email
Print

เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2566  นายพชร อนันตศิลป์ อธิบดีกรมศุลกากร และ Ms. Christine Stevenson ตำแหน่ง Comptroller and Chief Executive ของศุลกากรนิวซีแลนด์ ได้ลงนามความตกลงยอมรับร่วมกัน (Mutual Recognition Arrangement: MRA) สำหรับโครงการผู้ประกอบการระดับมาตรฐานเออีโอ (Authorized Economic Operators: AEO) ระหว่างกรมศุลกากรและศุลกากรนิวซีแลนด์ ในการประชุม WCO Asia Pacific Regional Head of Customs Administration Conference ครั้งที่ 24 ณ เมืองเพิร์ท เครือรัฐออสเตรเลีย

สำหรับผลจากการลงนามในครั้งนี้ จะทำให้ผู้ส่งของออกระดับมาตรฐานเออีโอของประเทศไทยได้รับการอำนวยความสะดวกในการปฏิบัติพิธีการศุลกากร เมื่อส่งของออกไปยังประเทศนิวซีแลนด์ ซึ่งความตกลงยอมรับร่วมกัน (Mutual Recognition Arrangement: MRA) ฉบับนี้  จัดเป็นความตกลงฯ ในระดับทวิภาคี ลำดับที่ 6 ที่ประเทศไทยได้ลงนามโดยสมบูรณ์ ร่วมกับหน่วยงานศุลกากรของประเทศต่าง ๆ ต่อจาก เขตบริหารพิเศษฮ่องกง เกาหลีใต้ สิงคโปร์ ออสเตรเลีย และญี่ปุ่น

ในด้านความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างประเทศไทยและประเทศนิวซีแลนด์ มีความเข้มแข็งด้วยมูลค่าทางการค้ารวมทั้งสิ้น กว่า 4.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (รอบปีบัญชี มิถุนายน 2565) ดังนั้น เพื่อส่งเสริมให้เกิดความปลอดภัยและความมีประสิทธิภาพของห่วงโซ่อุปทานและการค้าระหว่างประเทศของทั้งสองประเทศ กรมศุลกากรและศุลกากรนิวซีแลนด์จึงได้เริ่มการเจรจาการจัดทำความตกลงดังกล่าว ตั้งแต่ เดือนพฤษภาคม ปี 2564 และได้ดำเนินการตรวจสถานประกอบการร่วมกัน (Joint Site Validation) ในปี 2565
         
ทั้งนี้ กรมศุลกากรได้ดำเนินโครงการผู้ประกอบการระดับมาตรฐานเออีโอตามกรอบมาตรฐานความปลอดภัย SAFE Framework of Standards to Secure and Facilitate Global Trade (SAFE Framework) ขององค์การศุลกากรโลก (World Customs Organization: WCO) มาอย่างต่อเนื่อง โดยมีนโยบายขยายการจัดทำ MRA กับหน่วยงานศุลกากรของประเทศอื่น ๆ ต่อไป เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกทางการค้าให้แก่ผู้ประกอบการระดับมาตรฐานเออีโอของประเทศไทยต่อไป

AEO-MRA Signing Ceremony between the Customs Department of the Kingdom of Thailand and the New Zealand Customs Service

On 29 May 2023, Mr. Patchara Anuntasilpa, Director-General of the Thai Customs Department and Ms. Christine Stevenson, Comptroller and Chief Executive of the New Zealand Customs Service have officially signed the Mutual Recognition Arrangement (MRA) on Authorized Economic Operators (AEO) between the Customs Department of the Kingdom of Thailand and the New Zealand Customs Service at the 24th World Customs Organization regional heads meeting held in Perth, Australia. Upon the execution of this MRA, Thai AEOs would be able to enjoy the benefits of trade facilitation on customs procedures when exporting to New Zealand. This MRA will become the 6th fully executed MRA that Thailand has entered into, following the MRAs with other customs administrations; Hong Kong, South Korea, Singapore, Australia, and Japan.

Thailand and New Zealand has been having a well-established trading relationship, with two-way trade worth $4.4 billion for the year ended in June 2022. Accordingly, to enhance the cooperation between the customs administrations to strengthen the security and the efficiency of the supply chain, as well as the international trade, the Thai Customs Department and the New Zealand Customs started the negotiation on this MRA in May 2021, and both continued to conduct Joint-site Validation in 2022.

Thai Customs Department has been implementing the AEO program under the SAFE Framework of Standards to Secure and Facilitate Global Trade, governed by World Customs Organization, and will continue working toward establishing MRAs with other customs authorities to facilitate international trade for Thai AEOs.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กรมศุลกากร 

Facebook
Twitter
Email
Print
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS

“สุวิมล” โพสต์แถลงการณ์ ผ่านสื่อถึงเพื่อนๆ โซเชียล

“สุวิมล” โพสต์แถลงการณ์ ผ่านสื่อถึงเพื่อนๆ โซเชียล

Facebook
Twitter
Email
Print

เมื่อวันอังคารที่ 30 พฤษภาคม 2566 นางสุวิมล ปันนาง รองผู้อำนวยการวิทยาลัยอาชีวศึกษาเชียงรายแจ้งแถลงการณ์ผ่านสื่อ ถึงเพื่อนๆ

ข้าพเจ้านางสุวิมล ปันนาง รองผู้อำนวยการวิทยาลัยอาชีวศึกษาเชียงราย ขอโทษที่ข้าพเจ้าเคยโพสต์ผ่านบัญชีเฟซบุ๊ก “สุวิมล พาณิชย์” เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2564 ที่ผ่านมา ว่า. รับราชการมา 32 ปีโดยประมาณ. ฉันไม่เคยพบเห็น.ใคร.อุบาทว์.เหมือนนางคนนี้เลย..ปปชจำา.มาไวไว.เด้อ.วิทนไม่ได้แล้วค่ะ. และอำนาจมืดของนางเยอะค่ะ..สั่งให้นางช.เจ้าหน้าที่การเงิน.ประกาศเรียกนักการให้ขนย้ายหลักฐานการเงินไปทำลายที่บ้านพักครู(ชี้เป้าหมายค่ะ..วิ)..

ข้อความทั้งหมดที่ข้าพเจ้าได้เผยแพร่บนสื่อออนไลน์ ข้าพเจ้าไม่มีเจตนาทำให้ใครคนใดคนหนึ่งได้รับความเสียหายใดใดทั้งสิ้น. เกิดขึ้นโดยข้าพเจ้ามิได้กลั่นกรองข้อมูลให้ครบถ้วนเสียก่อนและได้กระทำไปโดยขาดความยั้งคิดไตร่ตรอง การที่ข้าพเจ้าโพสต์ลงเฟสบุ๊คของข้าพเจ้าเอง โดยไม่ได้แท็กผู้ใด..เนื่องจากข้าพเจ้ารู้เท่าไม่ถึงการณ์.และไม่คิดว่าการกระทำนั้นจะเป็นความผิด..หากข้อความใดที่ข้าพเจ้าได้โพสต์..ทำให้กระทบผู้หนึ่งผู้ใด.

ข้าพเจ้าสำนึกผิดแล้ว จึงขอถือโอกาสนี้โพสต์แถลงการณ์ผ่านสื่อ ให้เพื่อนๆ เฟสบุ๊คของข้าพเจ้าหรือผู้ที่พบเห็นข้อความด้วกล่าวขอโทษ.ท่านด้วย..เพราะไม่ได้มีเจตนาให้ใครเสียหายเลย..

นางสุวิมล ปันนาง
30/5/2565

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : บัญชีเฟซบุ๊กนางสุวิมล ปันนาง

Facebook
Twitter
Email
Print
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
CULTURE

วธ. ร่วมกับภาครัฐ เอกชน จัดงานเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ทั่วประเทศ

วธ. ร่วมกับภาครัฐ เอกชน จัดงานเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ทั่วประเทศ

Facebook
Twitter
Email
Print

วธ. ร่วมกับภาครัฐ เอกชน จัดงานเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ทั่วประเทศ บำเพ็ญกุศลถวายพระราชกุศล กิจกรรมทางศาสนา นิทรรศการ การแสดงศิลปวัฒนธรรมไทย ชมนิทรรศการอาภรณ์ 5 การสร้างสรรค์ทางวัฒนธรรม : สุโขทัย ณ หอศิลป์ราชดำเนิน น้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ

นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เปิดเผยว่า กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) มีนโยบายเทิดทูนสถาบันชาติ ศาสนาและพระมหากษัตริย์ และเสริมสร้างค่านิยม อัตลักษณ์ไทยและความเป็นไทย รวมทั้งสืบสาน รักษาและต่อยอดมรดกทางศิลปวัฒนธรรมของไทย วธ.จึงร่วมกับหน่วยงานรัฐ เอกชน และเครือข่ายทางวัฒนธรรม จัดงานเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา วันที่ 3 มิถุนายน 2566 ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค เพื่อน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณที่พระองค์ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจนานัปการ เพื่อประโยชน์สุขของพสกนิกรชาวไทย ทางวธ.จึงจัดกิจกรรมทางศาสนาเฉลิมพระเกียรติในหลายพื้นที่เพื่อเป็นสิริมงคล

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวว่า สำหรับกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค โดยหน่วยงานต่าง ๆ สังกัดวธ. จัดตกแต่งสถานที่ ประดับธงชาติคู่กับธงพระนามาภิไธย ส.ท. จัดตั้งโต๊ะหมู่บูชาประดิษฐานพระฉายาลักษณ์พร้อมเครื่องราชสักการะ ซึ่งในส่วนกลางจัดกิจกรรม ได้แก่ สำนักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรมจัดทำวีดีทัศน์และนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติฯ พิธีถวายราชสักการะและลงนามถวายพระพร นอกจากนี้ กรมการศาสนา ได้เชิญชวนผู้นำองค์การทางศาสนา หน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน ตลอดจนพสกนิกรทุกหมู่เหล่าทั่วประเทศ ร่วมกันบำเพ็ญกุศลถวายพระราชกุศล ในส่วนกลางจัดที่วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม ในวันที่ 1 มิถุนายน 2566 โดยจัดพิธีเจริญพระพุทธมนต์ นิทรรศการเฉลิมพระเกียรติฯ และกิจกรรมสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ภายในวัด อาทิ พระพุทธชินราช พระประธานในพระอุโบสถ รวมถึงจัดงานส่งเสริมพระพุทธศาสนา เนื่องในเทศกาลวันวิสาขบูชา พุทธศักราช 2566 ระหว่างวันที่ 2-3 มิถุนายน 2566 ณ วัดสระเกศ เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพมหานคร โดยมีกิจกรรมประกอบด้วย กิจกรรมทางพระพุทธศาสนา กิจกรรมส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรม การสาธิตสืบสานประเพณีกวนข้าวทิพย์ การแสดงศิลปวัฒนธรรมไทย การสาธิตและจัดแสดงผลิตภัณฑ์ชุมชน ด้านสำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัยจัดนิทรรศการอาภรณ์ 5 การสร้างสรรค์ทางวัฒนธรรม : สุโขทัย เพื่อเฉลิมพระเกียรติฯ ณ หอศิลป์ร่วมสมัย ราชดำเนิน ขณะเดียวกัน ในส่วนภูมิภาคจัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติฯ เช่น พิธีเจริญพระพุทธมนต์สมโภชพระเจดีย์หรือพระพุทธรูปสำคัญประจำจังหวัด นิทรรศการน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณหรือวีดีทัศน์ที่เกี่ยวข้อง 

ทั้งนี้ วธ.ขอเชิญชวนเครือข่ายทางวัฒนธรรม พสกนิกรชาวไทยร่วมลงนามถวายพระพรสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา วันที่ 3 มิถุนายน 2566 ผ่านระบบออนไลน์ที่เว็บไซต์หน่วยงานราชการในพระองค์ www.royaloffice.th และร่วมกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติฯ เพื่อแสดงออกถึงความจงรักภักดีและน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณโดยพร้อมเพรียงกัน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงวัฒนธรรม

Facebook
Twitter
Email
Print
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS NEWS UPDATE

สหรัฐฯ อนุมัตินำเข้าส้มโอผลสดของไทย ยกระดับคุณภาพผลไม้สด

สหรัฐฯ อนุมัตินำเข้าส้มโอผลสดของไทย ยกระดับคุณภาพผลไม้สด

Facebook
Twitter
Email
Print

เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2566 นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รับทราบรายงานจาก สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ถึงการดำเนิน “โครงการศึกษาผลการฉายรังสีต่อคุณภาพหลังการ เก็บเกี่ยวมะม่วงมหาชนกและส้มโอเพื่อการส่งออกประเทศสหรัฐอเมริกา” รวมถึงความสำเร็จในการส่งออกส้มโอสด หลังกระทรวงเกษตรสหรัฐฯ อนุญาตให้ไทยสามารถส่งออกส้มโอสด ด้วยวิธีการฉายรังสี เข้าสู่สหรัฐฯ ได้เป็นครั้งแรก และไม่จำกัดสายพันธุ์ เชื่อมั่นความสำเร็จสามารถกำหนดคุณภาพสินค้าผลไม้สดไทย ให้ตรงตามมาตรฐานสหรัฐฯ เพิ่มโอกาสในการส่งออกผลไม้สดไทยไปต่างประเทศ

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า สถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ (สทน.) และ มหาวิทยาลัยนเรศวร ร่วมกันทำ “โครงการศึกษาผลการฉายรังสีต่อคุณภาพหลังการ เก็บเกี่ยวมะม่วงมหาชนกและส้มโอเพื่อการส่งออกประเทศสหรัฐอเมริกา” ด้วยความมุ่งมั่นเพื่อขับเคลื่อนการส่งออกผลไม้สดด้วยการฉายรังสีก่อนส่งออกไปสหรัฐอเมริกาตามข้อกำหนดมาตรการป้องกันไม่ให้ไข่แมลงศัตรูพืชที่อาจติดไปฟักเป็นตัวและเกิดการแพร่กระจายของแมลงในประเทศปลายทาง โดยเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2566 ณ ศูนย์ฉายรังสี สถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ มีเจ้าหน้าที่ของหน่วยงาน Animal and Plant Health Inspection Service (APHIS) จากกระทรวงเกษตรของสหรัฐอเมริการ่วมดำเนินการ 

ทั้งนี้ สทน. พร้อมทำหน้าที่ตัวกลาง ประสานงานการส่งออก การสำรวจตลาด ทิศทางของตลาดส้มโอ ยืนยันว่าการฉายรังสีผลไม้ทุกชนิดเป็นกระบวนการที่ปลอดภัยไม่มีรังสีตกค้าง มั่นใจได้ในคุณภาพ และความปลอดภัยต่อผู้บริโภค และทีมนักวิจัยยินดีให้คำปรึกษาให้กับเกษตรกร ชาวสวน ผู้ประกอบการ ถึงการปฏิบัติ การดำเนินการ ในการยกระดับคุณภาพของผลไม้ไทย รวมทั้งจัดอบรมให้ความรู้ให้กับเกษตรกรไทยในอนาคต และคณะผู้วิจัยจะนำส้มโอฉายรังสีไปจัดแสดงในงาน Natural Products Expo East 2023 ณ เมืองฟิลาเดลเฟีย รัฐเพนซิลเวเนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา ระหว่างวันที่ 20-23 กันยายน พ.ศ. 2566 

นอกจากนี้ กรมวิชาการเกษตรยังได้เปิดเผยว่า กระทรวงเกษตรสหรัฐฯ ได้อนุญาตให้ไทยสามารถส่งออกส้มโอสด ด้วยวิธีการฉายรังสี เข้าสู่สหรัฐอเมริกาได้เป็นครั้งแรก และไม่จำกัดสายพันธุ์ นับเป็นผลไม้สดไทยชนิดที่ 8 ที่ได้รับอนุญาตให้นำเข้า จากเดิมที่มีมะม่วง มังคุด เงาะ ลำไย ลิ้นจี่ สับปะรด และแก้วมังกร โดยในเดือนมิถุนายนนี้ ส้มโอผลสดของไทยล็อตแรกที่ผ่านการตรวจสอบและปิดผนึกตู้ขนส่งแล้ว จะขนส่งทางอากาศไปยังสหรัฐฯ อย่างไรก็ดี สหรัฐฯ ได้กำหนดเงื่อนไขการส่งออกว่า ต้องเป็นผลผลิตจากแหล่งผลิตที่ได้รับการรับรอง GAP โรงคัดบรรจุได้รับการรับรองตามมาตรฐาน GMP มีการทำความสะอาดและกำจัดแมลงศัตรูพืช และเชื้อรา ตามคำแนะนำของกรมวิชาการเกษตร อย่างเคร่งครัด รวมทั้งผู้ส่งออกต้องลงทะเบียนด้วย

“นายกรัฐมนตรียินดีต่อความสำเร็จในการส่งออกส้มโอสดของไทย และขอบคุณการทำงานของทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทุกภาคส่วนที่มีจิตใจที่จะร่วมพัฒนาประเทศ ซึ่งนายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นและให้กำลังใจว่าทุกการวิจัยมักจะนำมาซึ่งสิ่งที่เกิดประโยชน์กับประเทศ ในส่วนของสินค้าเกษตรไทย เป็นสินค้าที่มีคุณภาพ รัฐบาลพร้อมสนับสนุนให้ปฏิบัติตามกฎ ระเบียบของประเทศปลายทาง เพื่อเป็นมาตรฐาน และเป็นชื่อเสียงของสินค้าไทย” นายอนุชาฯ กล่าว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ

Facebook
Twitter
Email
Print
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS NEWS UPDATE

เตือนประชาชน อย่าหลงเชื่อแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ย้ำกรมที่ดินไม่โทรหาประชาชน-ไม่ขอแอดไลน์

เตือนประชาชน อย่าหลงเชื่อแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ย้ำกรมที่ดินไม่โทรหาประชาชน-ไม่ขอแอดไลน์

Facebook
Twitter
Email
Print

เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2566 นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า ขณะนี้ปรากฏกลุ่มมิจฉาชีพแก๊งคอลเซ็นเตอร์ แอบอ้างเรื่อง การสำรวจผู้เสียภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง หลอกลวงประชาชนที่ถือกรรมสิทธิ์ห้องชุดในพื้นที่ทั่วประเทศ ซึ่งกรมที่ดิน กระทรวงมหาดไทย ได้ประชาสัมพันธ์แจ้งเตือนที่หน้าเว็บไซต์กรมที่ดิน www.dol.go.th ว่า กรมที่ดิน “ไม่โทรหา ไม่ขอแอดไลน์ ไม่มีหน้าที่เก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง”

นายอนุชากล่าวว่า กรมที่ดินได้ออกหนังสือแจ้งเตือน ด้วยมีกลุ่มมิจฉาชีพแก๊งคอลเซ็นเตอร์ปลอมหนังสือราชการของกรมที่ดิน โดยแอบอ้าง เรื่อง “การสำรวจผู้เสียภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง” จะโทรศัพท์หาประชาชนแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายกองทะเบียนออนไลน์ (E-Service) และส่งหนังสือปลอมทางไลน์ รวมทั้งพูดจาหว่านล้อมให้ประชาชนหลงเชื่อให้ดำเนินการผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ (E-Service) และดาวน์โหลดหรืออัปเดตข้อมูลผ่านทางลิงก์หรือเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันที่ส่งให้ สาเหตุสำคัญที่ประชาชนหลงเชื่อ เนื่องจากมีการแจ้งข้อมูลส่วนบุคคลที่ระบุไว้ในหนังสือปลอม ถูกต้องตรงกับข้อมูลของประชาชน ซึ่งเป็นข้อมูลอาคารชุดในพื้นที่ทั่วประเทศ ส่งผลให้ประชาชนหลงเชื่อว่าเป็นเจ้าหน้าที่ของกรมที่ดินจริง อันเป็นเหตุให้ประชาชนหลงเชื่อและตกเป็นเหยื่อกลุ่มมิจฉาชีพแก๊งคอลเซ็นเตอร์ จนได้รับความเสียหายเป็นภัยต่อประชาชน 
  
กรมที่ดินพิจารณาแล้วเห็นว่า ปัจจุบันกลุ่มมิจฉาชีพแก๊งคอลเซ็นเตอร์ยังคงดำเนินการหลอกลวงประชาชนอย่างต่อเนื่องแพร่หลายทุกวัน โดยนำข้อมูลส่วนบุคคลที่ระบุไว้ในหนังสือกรมที่ดินปลอม โดยเฉพาะข้อมูลเกี่ยวกับอาคารชุด ทำให้ประชาชนหลงเชื่อว่าเป็นเจ้าหน้าที่ของกรมที่ดินโทรศัพท์ติดต่อไปจริง ฉะนั้น เพื่อมิให้เกิดความเสียหายต่อประชาชนมากกว่านี้ อธิบดีกรมที่ดินจึงมีหนังสือถึงนายกสมาคมอาคารชุดไทย ขอความร่วมมือประชาสัมพันธ์กลโกงกลุ่มมิจฉาชีพแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ให้ผู้ประกอบการธุรกิจอาคารชุด ผู้จัดการนิติบุคคลอาคารชุด และประชาชนทราบอย่างแพร่หลายและอย่าหลงเชื่อการแอบอ้างของกลุ่มมิจฉาชีพดังกล่าว 

นายอนุชาย้ำถึงกลโกงมิจฉาชีพแก๊งคอลเซ็นเตอร์ จะโทรหาประชาชนผู้มีชื่อถือกรรมสิทธิ์ในห้องชุด หลอกว่ายังไม่ได้ชำระภาษี ให้แอดไลน์ เพื่อส่งหนังสือกรมที่ดินปลอมที่มีข้อมูลส่วนบุคคล พยายามพูดให้ประชาชนหลงเชื่อเลือกวิธีดำเนินการทาง E-Service แล้วมิจฉาชีพจะส่งลิงก์ให้กดเข้าเว็บไซต์หรือแอปพิเคชันกรมที่ดินปลอมให้ หลอกให้ประชาชนกดดาวน์โหลดเพื่อติดตั้งโปรแกรมและควบคุมโทรศัพท์ จากนั้น โทรศัพท์จะขึ้นข้อความว่า “ระหว่างทำการตรวจสอบห้ามใช้งานโทรศัพท์” ระหว่างรอ ระบบจะทำงานตามเปอร์เซ็นต์หน้าจอ ดูดเงินของประชาชนผู้เสียหายจนหมดบัญชี ทั้งนี้ กรมที่ดินได้แนะวิธีป้องกันดังนี้ 

1. อย่ากดลิงก์แปลกปลอมในแหล่งที่ไม่รู้จัก เว็บไซต์ปลอมมักลงท้ายด้วย .cc 
2. เว็บไซต์กรมที่ดินจริง ชื่อ www.dol.go.th สามารถกดเมนูหน้าเว็บไซต์ได้ทุกเมนู และไม่มีเมนูให้ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน 
3. อย่าดาวน์โหลดแอปพลิเคชันที่ไม่ผ่านการยืนยันโดยแพลตฟอร์มที่น่าเชื่อถือ 
4. ไม่ควรผูกบัตรเครดิต ไว้กับบัตรเดบิตหรือบัญชีธนาคาร 
5. หากพลาดพลั้งดาวน์โหลดแล้ว ให้ตัดอินเทอร์เน็ตหรือปิดเครื่อง และถอดซิมโทรศัพท์ แล้วรีบโทรศัพท์อายัดบัญชีกับธนาคารทันที 

“กรมที่ดินได้ประชาสัมพันธ์แจ้งเตือนประชาชนอย่างต่อเนื่อง เพื่อป้องกันความเสียหายที่จะเกิดกับประชาชนจึงขอย้ำเตือนประชาชนที่อาจถูกกลุ่มมิจฉาชีพแก๊งคอลเซ็นเตอร์โทรมาหลอกลวง ว่า กรมที่ดินไม่โทรหา ไม่ขอแอดไลน์ ไม่มีหน้าที่เก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง หากประชาชนเจอมิจฉาชีพหลอกดูดเงิน ขอให้โทรแจ้ง Call center กรมที่ดิน โทร 0 2141 5555 หรือแจ้งที่กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โทร 1441” นายอนุชา กล่าว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กรมที่ดิน

Facebook
Twitter
Email
Print
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS SOCIETY & POLITICS

โฆษกรัฐบาล ฝากข้อคิดนร.-นศ. ไม่สร้างความขัดแย้ง พูดคุยด้วยเหตุผล

โฆษกรัฐบาล ฝากข้อคิดนร.-นศ. ไม่สร้างความขัดแย้ง พูดคุยด้วยเหตุผล

Facebook
Twitter
Email
Print

เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2566  เวลา 08.30 น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังใน) ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มอบหมาย นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ให้โอวาทแก่คณะนักเรียน นักศึกษา จากโครงการพัฒนาเยาวชนคนรุ่นใหม่กับการเรียนรู้วิถีประชาธิปไตย ในโอกาสเข้ามาศึกษาดูงานทำเนียบรัฐบาล จัดโดยสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา

 

โอกาสนี้ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมืองฯ กล่าวต้อนรับและแสดงความยินดีกับคณะนักเรียน นักศึกษา ที่ได้รับการคัดเลือกเข้าร่วมโครงการพัฒนาเยาวชนคนรุ่นใหม่กับการเรียนรู้วิถีประชาธิปไตย ของสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ซึ่งถือเป็นกิจกรรมที่ดีอย่างมาก ที่ทุกคนจะได้มาศึกษาเรียนรู้ถึงความสำคัญของวัฒนธรรมการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข รวมถึงการมาศึกษาดูงานในทำเนียบรัฐบาล ซึ่งเป็นศูนย์บัญชาการของรัฐบาลและนายกรัฐมนตรี โดยอาคาร ตึกและห้องต่าง ๆ ภายในทำเนียบรัฐบาล เช่น ตึกไทยคู่ฟ้า ตึกนารีสโมสร ตึกภักดีบดินทร์ ตึกสันติไมตรี ฯลฯ เป็นสถานที่สำคัญ ที่นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีใช้ในการประชุมและหารือกับคณะบุคคลต่าง ๆ ทั้งในประเทศและจากต่างประเทศ รวมถึงการประชุมคณะรัฐมนตรีในการขับเคลื่อนนโยบายสำคัญของรัฐบาลไปสู่การปฏิบัติให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชนและประเทศชาติ 

 

รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมืองฯ ได้กล่าวถึงบทบาทหน้าที่และอำนาจของฝ่ายบริหารในประเด็นสำคัญต่าง ๆ ในการทำงานและขับเคลื่อนประเทศของรัฐบาลปัจจุบัน ทั้งเรื่องของความจำเป็นและความสำคัญของการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี 6 ด้าน คือ 

1. ยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคง 

2. ยุทธศาสตร์ด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขัน 

3. ยุทธศาสตร์การพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ 

4. ยุทธศาสตร์ด้านการสร้างโอกาสความเสมอภาคทางสังคม 

5. ยุทธศาสตร์ด้านการสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม 

6. ยุทธศาสตร์ด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐ 

 

เพื่อเป็นทิศทางและกรอบแนวทางในการพัฒนาประเทศไทยไปสู่อนาคตให้มีความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน โดยมีแผนการดำเนินการระดับต่าง ๆ รองรับนำไปสู่การปฏิบัติให้เกิดผลเป็นรูปธรรมตามเป้าหมาย ซึ่งมีความสอดคล้องเชื่อมโยงกันอย่างเป็นระบบ ทั้งแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ แผนการปฏิรูประเทศ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับต่าง ๆ (ปัจจุบันเป็นแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13) ตลอดจนนโยบายและแผนพัฒนาระดับชาติว่าด้วยความมั่นคงฯ 

 

ทั้งนี้ สิ่งสำคัญของยุทธศาสตร์ชาตินั้น รัฐบาลให้ความสำคัญที่จะให้มีการปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับทิศทางของการพัฒนาประเทศในด้านต่าง ๆ ทั้งเรื่องอุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศ ได้แก่ 

1) อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ (Next – Generation Automotive) 

2) อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ (Smart Electronics) 

3) อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวกลุ่มรายได้ดีและการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Affluent, Medical and Wellness Tourism)  

4) อุตสาหกรรมการเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ (Agriculture and Biotechnology) 

5) อุตสาหกรรมการแปรรูปอาหาร (Food for the Future) รวมทั้งกลุ่มอุตสาหกรรมอนาคต (New S-curve)  คือ 

  • 1) อุตสาหกรรมหุ่นยนต์ (Robotics) 
  • 2) อุตสาหกรรมการบินและโลจิสติกส์ (Aviation and Logistics)  
  • 3) อุตสาหกรรมเชื้อเพลิงชีวภาพและเคมีชีวภาพ (Biofuels and Bio chemicals) 
  • 4) อุตสาหกรรมดิจิตอล (Digital) และ
  • 5) อุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจร (Medical Hub) 

นอกจากนี้ รัฐบาลยังให้ความสำคัญที่จะให้ยุทธศาสตร์ฯ สามารถปรับให้สอดคล้องและทันกับการพัฒนาและการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ของโลก โดยเฉพาะการพัฒนาและสร้างความเจริญเติบโตของประเทศไทยที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาของทั่วโลกที่ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมและการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เพื่อร่วมกันลดโลกร้อน ทั้งนี้ ในส่วนของประเทศไทย เมื่อปี 2564 ณ เมืองกลาสโกว์ สหราชอาณาจักร นายกรัฐมนตรีได้กล่าวถ้อยแถลงต่อที่ประชุมระดับผู้นำ (World Leaders Summit) ในการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (United Nations Framework Convention on Climate Change Conference of the Parties: UNFCCC COP) (COP26) 

 

โดยได้ประกาศเจตนารมณ์ว่า ไทยพร้อมยกระดับการแก้ไขปัญหาภูมิอากาศอย่างเต็มที่ด้วยทุกวิถีทาง เพื่อบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน ภายในปี ค.ศ. 2050 และบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ได้ในปี ค.ศ. 2065 ซึ่งขณะนี้รัฐบาลได้ดำเนินการในเรื่องนี้อย่างจริงจัง ผ่านการขับเคลื่อนนโยบาย BCG Model ซึ่งเป็นการพัฒนาเศรษฐกิจแบบองค์รวมที่มุ่งเน้นการพัฒนา 3 เศรษฐกิจไปพร้อมกัน ได้แก่ เศรษฐกิจชีวภาพ (Bioeconomy) มุ่งสร้างมูลค่าเพิ่มของทรัพยากรชีวภาพ เชื่อมโยงกับเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) คำนึงถึงการใช้ทรัพยากรให้เกิดความคุ้มค่าหรือยาวนานที่สุด และเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) การพัฒนาเศรษฐกิจโดยคำนึงถึงความยั่งยืนของทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม 

 

ซึ่งได้รับความชื่นชมและยอมรับจากต่างประเทศในเวทีการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ค.ศ. 2022 ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ โดยเกิดการรับรอง “เป้าหมายกรุงเทพฯ” ว่าด้วยเศรษฐกิจชีวภาพ-เศรษฐกิจหมุนเวียน-เศรษฐกิจสีเขียว (Bangkok Goals on BCG Model) ในการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ค.ศ. 2022 ได้สำเร็จ ถือเป็นกรอบการดำเนินการกำหนดเป้าหมายร่วมกันเพื่อให้ภูมิภาคเอเซีย-แปซิฟิก เจริญเติบโตอย่างเข้มแข็ง สมดุล มั่นคง และยั่งยืน ดังนั้น จึงขอให้ทุกคนนำความรู้นี้ไปปรับใช้ให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของโลก และร่วมกันขับเคลื่อนนโยบาย BCG Model ไปสู่เป้าหมายที่กำหนดไว้ร่วมกัน

 

ในตอนท้าย รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมืองฯ ได้ฝากข้อคิดให้กับคณะนักเรียน นักศึกษาจากโครงการพัฒนาเยาวชนคนรุ่นใหม่กับการเรียนรู้วิถีประชาธิปไตย กรณีเรื่องของความไม่เข้าใจกันและความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันว่า เหตุการณ์หรือเรื่องต่างๆ ที่เกิดขึ้นขอให้ทุกคนได้มีการพิจารณาพูดคุยกันด้วยเหตุด้วยผล เพราะแม้อยู่หรือพบในเหตุการณ์เดียวกัน แต่ละคนจะมีมุมมองความคิดเห็นที่ต่างกัน ขึ้นอยู่กับมุมมองและจุดที่แต่ละคนยืนอยู่ ดังนั้น ทุกคนต้องพูดคุยกันด้วยเหตุด้วยผล เอาใจเขามาใส่ใจเราโดยไม่แบ่งแยกกันว่าเป็นฝ่ายใด ทั้งนี้ ในฐานะโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ก็พยายามที่จะทำความเข้าใจสร้างความรัก ความสามัคคี สร้างความปรองดอง และไม่สร้างความขัดแย้งให้เกิดขึ้นในสังคมและประเทศไทย 

 

โดยใช้หลักทฤษฎีว่าทุกคนมีมุมมองที่ต่างกันได้ แต่ทำอย่างไรที่เราจะพูดกันด้วยเหตุด้วยผล เพื่อให้บ้านเมืองมีความสงบสุข มีความรักสามัคคีกัน และประเทศเดินหน้าขับเคลื่อนต่อไปอย่างมั่นคงและยั่งยืน 

 

ด้านผู้แทนคณะนักเรียน นักศึกษาฯ ได้กล่าวขอบคุณรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ให้การต้อนรับคณะนักเรียน นักศึกษาจากโครงการพัฒนาเยาวชนคนรุ่นใหม่กับการเรียนรู้วิถีประชาธิปไตย อย่างอบอุ่นและรับความรู้ในด้านต่าง ๆ เกี่ยวกับบทบาทหน้าที่และอำนาจของฝ่ายบริหาร 

 

โดยเฉพาะบริหารงานของรัฐบาลผ่านการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติ การปฏิรูปประเทศ และนโยบายสำคัญของรัฐบาลในการนำไปสู่การปฏิบัติให้เกิดผลเป็นรูปธรรม เกิดประโยชน์ต่อประชาชนทุกภาคส่วนอย่างแท้จริง พร้อมกันนี้ตัวแทนคณะนักเรียน นักศึกษาฯ ยังได้กล่าวถึงความประทับใจต่อคำถามของโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ว่า “โตขึ้นอยากเป็นอะไร” ซึ่งหากตอบตอนนี้ขอตอบว่า “โตขึ้นอยากเป็นโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี” เพราะคนปัจจุบันท่านทำหน้าที่เป็นแบบอย่างไว้ดีที่สุดแล้ว

 

สำหรับโครงการพัฒนาเยาวชนคนรุ่นใหม่กับการเรียนรู้วิถีประชาธิปไตย กำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 28 – 30 พฤษภาคม 2566 ณ โรงแรมริเวอร์ไซด์ และอาคารรัฐสภา กรุงเทพมหานคร มีกลุ่มเป้าหมายคือ นักเรียน นักศึกษาจากสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยจากจังหวัดต่าง ๆ ในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จำนวน 150 คน 

 

เพื่อส่งเสริมให้เด็กและเยาวชนได้ตระหนักถึงความสำคัญของวัฒนธรรมการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และเพื่อพัฒนาศักยภาพของเยาวชนให้สามารถนำความรู้ที่ได้รับ ไปเผยแพร่ให้กับสถาบันการศึกษาของตนเอง อีกทั้งเสริมสร้างภาพลักษณ์และทัศนคติที่ดีต่อวุฒิสภาให้เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางต่อไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักนายกรัฐมนตรี

Facebook
Twitter
Email
Print
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS SOCIETY & POLITICS

อบจ.เชียงราย เปิดโครงการภัยจากสารเคมี และการจัดการพื้นที่ชุ่มน้ำอย่างยั่งยืน

อบจ.เชียงราย เปิดโครงการภัยจากสารเคมี และการจัดการพื้นที่ชุ่มน้ำอย่างยั่งยืน

Facebook
Twitter
Email
Print

เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2566 ห้องประชุมสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย มอบหมายให้ นางทรงศรี คมขำ รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย เป็นประธานเปิดโครงการสร้างความตระหนักรู้ภัยจากสารเคมีปราบศัตรูพืช และการจัดการพื้นที่ชุ่มน้ำอย่างยั่งยืน เพื่อมุ่งสู่การมีสุขภาพดี

จากนโยบายขององค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย ที่มุ่งเน้นการมีคุณภาพชีวิตที่ดีของพี่น้องชาวเชียงรายทั้ง 18 อำเภอ องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย ได้จัดสรรทรัพยากรที่มีอยู่ เพื่อจัดบริการสาธารณะที่สนับสนุน และเอื้อต่อการมีสุขภาพที่ดีในทุกมิติ และในปีงบประมาณ พ.ศ.2566 นี้องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย ได้รับการถ่ายโอนสถานีอนามัยเฉลิมพระเกียรติ 60 พรรษา นวมินทราชินี และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล จำนวน 118 แห่ง 
 
เพื่อเป็นเครือข่ายร่วมขับเคลื่อนการจัดบริการสุขภาพปฐมภูมิให้แก่พี่น้องชาวจังหวัดเชียงราย ร่วมกับพี่น้ององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น อีกจำนวน 143 แห่ง การจัดการด้านอนามัยสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ของจังหวัดเชียงราย นับว่าเป็นส่วนที่สำคัญยิ่งต่อการขับเคลื่อนวิสัยทัศน์ “เชียงรายเมืองน่าอยู่อย่างยั่งยืน ภายใน ปี 2570” การจัดทำโครงการสร้างความตระหนักรู้ภัยจากสารเคมีปราบศัตรูพืชและการจัดการพื้นที่ชุ่มน้ำอย่างยั่งยืนเพื่อมุ่งสู่การมีสุขภาพดี ในครั้งนี้ จะเห็นได้ว่าองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย ได้นำฐานข้อมูลปริมาณขยะอันตรายชุมชน ที่ได้ดำเนินการมา 6 ปี 
 
ซึ่งได้รับความร่วมมือจากพี่น้ององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จังหวัดเชียงรายทุกแห่ง ตามนโยบาย 3 พี่น้องท้องถิ่นรวมใจ ชุมชน และการมีส่วนร่วม ได้รวบรวมและนำส่งขยะอันตรายชุมชน แก่องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงรายเป็นประจำทุกปี นำมาวิเคราะห์หาปัจจัยเสี่ยงที่เอื้อต่อการเกิดโรคมะเร็งในพื้นที่จังหวัดเชียงราย เพื่อป้องกันสิ่งคุกคามด้านสุขภาพตาม นโยบายโฮงยาใกล้บ้าน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : อบจ.เชียงราย

Facebook
Twitter
Email
Print
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS SOCIETY & POLITICS

พช.เมืองเชียงราย สร้างการมีส่วนร่วม แบ่งปัน ทักษะ การพัฒนาคุุณภาพชีวิต

พช.เมืองเชียงราย สร้างการมีส่วนร่วม แบ่งปัน ทักษะ การพัฒนาคุุณภาพชีวิต

Facebook
Twitter
Email
Print

เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2566 นางสาวชาลิสา กาปัญญา พัฒนาการอำเภอเมืองเชียงราย นำเจ้าหน้าที่พัฒนาชุมชน เยี่ยมเยียน ให้กำลังใจ และติดตามผลการขับเคลื่อนการพัฒนาศูนย์เรียนรู้โคกหนองนา การประเมินจัดระดับศูนย์เรียนรู้ ความเชี่ยวชาญ ในพื้นที่ตำบลท่าสาย ตำบลห้วยสัก ตำบลแม่ยาว ต่อจากนั้น ได้ประสานงานการสร้างความต่อเนื่องและต่อยอดกิจกรรมการพัฒนาตำบลเข้มแข็ง หมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียงในพื้นที่ตำบลแม่กรณ์ การขับเคลื่อนกิจกรรมน้อมนำแนวพระราชดำริของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี สู่ปฏิบัติการสร้างความมั่นคงทางอาหาร บ้านนี้มีรัก ปลูกผักกินเอง บ้านนี้มีรัก ปลูกผักแบ่งปัน ทางนี้มีผล ผู้คนรักกัน ขยายผลในโรงเรียนบ้านแม่กรณ์ โดยร่วมกับผู้นำท้องที่ ท้องถิ่น และแม่บ้านมาดไทยอำเภอเมืองเชียงราย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สพอ.เมืองเชียงราย

Facebook
Twitter
Email
Print
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS SOCIETY & POLITICS

มทบ.37 จัดกำลังพล ร่วมก่อสร้างฝายชะลอน้ำ โครงการบ้านเล็กในป่าใหญ่ อ.แม่สรวย

มทบ.37 จัดกำลังพล ร่วมก่อสร้างฝายชะลอน้ำ โครงการบ้านเล็กในป่าใหญ่ อ.แม่สรวย

Facebook
Twitter
Email
Print

เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2566  เวลา 09.00 น. ร.ต.พัฒน์ธนะ ศรีเทพธำรงค์ หน.ชป.ประสานงานและคุ้มครองป้องกันชุมชน โครงการบ้านเล็กในป่าใหญ่ ตามพระราชดำริ บ.ห้วยหญ้าไซ อ.แม่สรวย จ.เชียงราย จัดกำลังพล ร่วมกับเจ้าหน้าที่และราษฎรในโครงการฯ ทำการก่อสร้างฝายชะลอน้ำแบบคอกหมู ในพื้นที่หมู่บ้านโครงการฯ บ.ห้วยหญ้าไซ ต.ป่าแดด อ.แม่สรวย จ.เชียงราย เพื่อดักตะกอนดิน ป้องกันน้ำหลาก กักเก็บน้ำไว้ใช้ในฤดูแล้ง และเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ป่าต้นน้ำ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

Facebook
Twitter
Email
Print
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News