Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

เชียงรายสู้ศึกปีใหม่ 2569 ผสานประเพณีชาติพันธุ์กับเมืองศิลปะ ดึงนักท่องเที่ยวโตสวนกระแสเศรษฐกิจ

เชียงรายติด Top 3 จุดหมายปีใหม่ 2569 สวนกระแสรายได้ท่องเที่ยวรวมที่คาดหดตัว 2–9%

เชียงราย, 27 ธันวาคม 2568 – ในขณะที่ภาพรวมรายได้การท่องเที่ยวช่วงเทศกาลปีใหม่ 2569 ของประเทศไทยถูกประเมินว่าจะชะลอตัวลง จากผลกระทบทั้งเศรษฐกิจและสถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างประเทศ จังหวัดเชียงรายกลับสร้างภาพจำใหม่ให้วงการท่องเที่ยวไทย ด้วยการก้าวขึ้นมาเป็น “จังหวัดยอดนิยมอันดับ 3” ในกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวไทย และมียอดผู้เยี่ยมเยือนเพิ่มขึ้นถึง 22% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า สวนทางกับรายได้รวมทั้งระบบที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) คาดว่าจะหดตัวลงระหว่าง 2–9%

บทบาทของเชียงรายในปีใหม่นี้จึงไม่ได้เป็นเพียง “จังหวัดปลายทาง” แต่กำลังกลายเป็นตัวอย่างของเมืองท่องเที่ยวภูเขาที่สามารถใช้ทุนทางวัฒนธรรมและวิถีชุมชนบนดอยมาขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก ในช่วงเวลาที่ตลาดต่างประเทศยังซบเซา และความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยการเดินทางในภูมิภาคยังเผชิญแรงสั่นสะเทือนอยู่ตลอดเวลา

ภาพใหญ่ปีใหม่ 2569 รายได้รวมลด แต่ “ไทยเที่ยวไทย” ยังยืนได้

นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการ ททท. เปิดเผยการคาดการณ์สถานการณ์ท่องเที่ยวช่วงเทศกาลปีใหม่ 2569 ว่า ในภาพรวมทั้งตลาดต่างประเทศและในประเทศ ระหว่างวันที่ 20 ธันวาคม 2568 – 1 มกราคม 2569 ประเทศไทยคาดว่าจะมีรายได้จากการท่องเที่ยวรวมอยู่ที่ราว 70,105 – 76,500 ล้านบาท ลดลงประมาณ 2–9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

เมื่อลงลึกในรายละเอียด ททท. แบ่งการประเมินออกเป็น 2 ตลาดหลัก ได้แก่

  1. ตลาดต่างประเทศ (20 ธ.ค. 2568 – 1 ม.ค. 2569)
  • คาดจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ 1.4–1.5 ล้านคน ลดลง 6–12% เมื่อเทียบปีที่ผ่านมา
  • คาดสร้างรายได้ 51,600–58,000 ล้านบาท ลดลง 4–15%
    ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนว่า แม้ประเทศไทยยังคงเป็นจุดหมายสำคัญของนักท่องเที่ยวต่างชาติ แต่ปัจจัยลบหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นเหตุอุทกภัยในภาคใต้ซึ่งกระทบเส้นทางหลักของนักท่องเที่ยวมาเลเซีย หรือความตึงเครียดบริเวณชายแดนไทย–กัมพูชา ที่ทำให้หลายประเทศออกคำแนะนำการเดินทาง (Travel Advisory) ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักเดินทางในกลุ่มที่อ่อนไหวต่อประเด็นความปลอดภัย
  1. ตลาดในประเทศ (31 ธ.ค. 2568 – 4 ม.ค. 2569)
  • คาดผู้เยี่ยมเยือนชาวไทย 4.96 ล้านคน-ครั้ง เพิ่มขึ้น 7%
  • คาดรายได้ท่องเที่ยว 18,500 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7%
    ตลาดในประเทศจึงกลายเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในการประคองอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยในช่วงรอยต่อปลายปีนี้ โดยได้รับอานิสงส์จากหลายปัจจัย ทั้งวันหยุดยาว 5 วันติดต่อกัน อากาศหนาวเย็นที่ดึงให้คนไทยออกเดินทางสู่ภาคเหนือ รวมถึงการจัดงานเคาท์ดาวน์ปีใหม่ในหลายจังหวัดทั่วประเทศ

ในเชิงภูมิภาค ททท. ประเมินว่าภาคตะวันออกจะเป็นพื้นที่ที่สร้างรายได้สูงสุดในช่วงปีใหม่ อยู่ที่ประมาณ 3,820 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9% รองลงมาคือภาคเหนือ 3,710 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 12% และกรุงเทพมหานคร 3,400 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6% ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าพื้นที่ภูเขาและเมืองใหญ่ยังคงเป็นแม่เหล็กสำคัญของ “ไทยเที่ยวไทย”

และในแผนที่การท่องเที่ยวภาคเหนือปีนี้ จังหวัดเชียงรายกำลังกลายเป็นตัวแปรสำคัญที่น่าจับตา

เชียงรายเบียดขึ้น Top 3 ยอดนิยม คนไทยเที่ยวเพิ่ม 22%

ตามการคาดการณ์ของ ททท. สำหรับช่วงหยุดยาวปีใหม่ 31 ธันวาคม 2568 – 4 มกราคม 2569 จังหวัดที่มีจำนวนผู้เยี่ยมเยือนชาวไทยมากที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่

  • อันดับ 1 กรุงเทพมหานคร 502,400 คน-ครั้ง เพิ่มขึ้น 5%
  • อันดับ 2 อุดรธานี 130,440 คน-ครั้ง เพิ่มขึ้น 5%
  • อันดับ 3 เชียงราย 97,230 คน-ครั้ง เพิ่มขึ้นสูงถึง 22%

ตัวเลข 97,230 คน-ครั้ง แม้ดูน้อยกว่ากรุงเทพฯ อยู่หลายเท่า แต่เมื่อพิจารณาในเชิง “อัตราการเติบโต” จะเห็นได้ว่าจังหวัดเชียงรายเติบโตสวนกระแสหลายพื้นที่ และขยับตัวเร็วกว่าหลายเมืองท่องเที่ยวหลักในภูมิภาคเดียวกัน

การที่เชียงราย ซึ่งถูกจัดให้อยู่ในกลุ่ม “เมืองรอง” ในหลายมาตรการด้านภาษีท่องเที่ยว กลับกลายเป็นจังหวัดที่มีอัตราการเติบโตของผู้มาเยือนสูงกว่าหลายเมืองใหญ่ เป็นคำตอบในตัวเองว่าทุนทางธรรมชาติและวัฒนธรรมของจังหวัดเริ่มถูกมองเห็นมากขึ้นในสายตาคนไทย

ส่วนหนึ่งมาจากการทำงานเชิงรุกของหน่วยงานภาครัฐและท้องถิ่นที่พยายามสร้างกิจกรรมใหม่ ๆ ให้เชียงรายไม่ใช่เพียงเมืองที่คนแวะมา “ถ่ายรูปครั้งเดียวแล้วผ่านไป” แต่เป็นเมืองที่สามารถวางแผนพักค้างหลายคืน เชื่อมโยงการท่องเที่ยวจากยอดดอยสู่ตัวเมือง และจากตัวเมืองต่อไปยังชุมชนรอบนอก

Soft Power ชาติพันธุ์–ภูเขา–ศิลปะ ฐานรากความสำเร็จ

หนึ่งในองค์ประกอบที่ช่วยผลักดันให้เชียงรายโดดเด่นในช่วงปีใหม่นี้ คือการนำ “ประเพณีบนดอย” มายกระดับเป็น Soft Power ที่จับต้องได้

เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2568 เวลา 15.00 น. ณ ลานกิจกรรมศูนย์บริการนักท่องเที่ยวภูชี้ฟ้า บ้านร่มฟ้าไทย ตำบลตับเต่า อำเภอเทิง นายชูชีพ พงษ์ไชย ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานในพิธีเปิดงานประเพณีปีใหม่ม้งตำบลตับเต่าและกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวภูชี้ฟ้า ประจำปี 2568

งานดังกล่าวจัดขึ้นระหว่างวันที่ 26–27 ธันวาคม 2568 มีกิจกรรมทั้งขบวนแห่จาก 14 หมู่บ้าน การแข่งขันยิงหน้าไม้ การตีลูกข่าง การโยนลูกช่วง การตำข้าวปุก และการแสดงศิลปวัฒนธรรมอีกหลากหลายรูปแบบ พร้อมซุ้มนิทรรศการวิถีชีวิตและสินค้าชุมชนของชาวม้งในพื้นที่

ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายระบุในพิธีเปิดว่า การจัดงานครั้งนี้ไม่เพียงเพื่อความสนุกสนานของคนในชุมชน แต่มีเป้าหมายชัดเจนในการ “ส่งเสริม ฟื้นฟู และอนุรักษ์ขนบธรรมเนียมประเพณีของท้องถิ่น” ควบคู่ไปกับการเปิดโอกาสให้เด็กและเยาวชนได้แสดงความสามารถเชิงสร้างสรรค์ และสร้างความรักความสามัคคีระหว่างคนในและนอกพื้นที่

เมื่อประเพณีปีใหม่ม้งถูกเชื่อมโยงเข้ากับภูมิทัศน์ของภูชี้ฟ้า จุดชมทะเลหมอกชื่อดังของเชียงราย ฤดูกาลท่องเที่ยวปลายปีจึงไม่ได้ขายเพียง “วิวสวย” แต่ขายเรื่องราวของผู้คนที่อยู่ร่วมกับภูเขา ทำให้การเดินทางขึ้นดอยของนักท่องเที่ยวไทยมีความหมายลึกซึ้งกว่าเพียงการขึ้นไปดูพระอาทิตย์ขึ้น

ในอีกด้านหนึ่ง การจัดงาน “Amazing Thailand Countdown 2026” ที่เชียงรายได้รับการสนับสนุนจาก ททท. ให้เป็นหนึ่งใน 7 จังหวัดเคาท์ดาวน์ทั่วประเทศ ก็ช่วยเติมสีสันให้ตัวเมืองเชียงรายมีชีวิตชีวาในยามค่ำคืน ทั้งบริเวณหอนาฬิกาเฉลิมพระเกียรติและแลนด์มาร์กสำคัญอื่น ๆ ปลายปีนี้จึงเป็นครั้งที่เชียงรายสามารถเชื่อม “ดอยสูงยามเช้า” เข้ากับ “เมืองศิลปะยามค่ำคืน” ได้อย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น

มาตรการรัฐ–เที่ยวดีมีคืน–เที่ยวบินใหม่ กลไกหนุนเมืองรอง

อีกปัจจัยที่ช่วยขับเคลื่อนให้เชียงรายเติบโตโดดเด่น คือบทบาทของมาตรการภาครัฐด้านภาษีและการเดินทาง โดยเฉพาะโครงการ “เที่ยวดีมีคืน 2568” ซึ่งเปิดโอกาสให้ประชาชนสามารถนำค่าใช้จ่ายด้านท่องเที่ยวมาลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 20,000 บาท โดยหากเลือกเดินทางไปเมืองรองจะได้รับสิทธิ “คูณ 1.5 เท่า”

เชียงรายซึ่งถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มเมืองรองในหลายมาตรการ จึงได้ประโยชน์จากการออกแบบนโยบายในลักษณะนี้โดยตรง ทั้งฝั่งผู้ประกอบการที่มีลูกค้าเพิ่มขึ้น และฝั่งผู้เดินทางที่รู้สึกว่าการขึ้นเหนือไปเยือนเชียงราย “คุ้มค่า” ทั้งในเชิงประสบการณ์และภาษี

ควบคู่กันนั้น การเพิ่มเที่ยวบินและเส้นทางบินใหม่ในช่วงปลายปี โดยเฉพาะเที่ยวบินตรงและเที่ยวบินเช่าเหมาลำจากจีน ไต้หวัน ญี่ปุ่น และยุโรปตะวันออก เข้าสู่กรุงเทพฯ ภูเก็ต และเชียงราย ช่วยคลี่คลายปัญหาคอขวดด้านอุปทานที่ประเทศไทยเผชิญในช่วงฟื้นตัวหลังโควิด เมืองที่มีสนามบินอย่างเชียงรายจึงสามารถรับนักท่องเที่ยวได้โดยตรง ทั้งชาวไทยจากภูมิภาคอื่นและนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ต้องการต่อเครื่องจากเมืองหลัก

ต่างชาติชะลอตัวจากภัยธรรมชาติ–การเมือง แต่ยังมีสัญญาณบวก

อย่างไรก็ดี แม้เชียงรายและเมืองท่องเที่ยวหลายแห่งในไทยจะเดินหน้าสร้างกิจกรรมอย่างต่อเนื่อง ตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติในภาพรวมยังคงเผชิญแรงกดดันอย่างชัดเจน

ททท. รายงานว่า ระหว่าง 20 ธันวาคม 2568 – 1 มกราคม 2569 ความต้องการเดินทางจากต่างประเทศมีแนวโน้มชะลอ โดยเฉพาะตลาดมาเลเซียซึ่งได้รับผลกระทบจากอุทกภัยภาคใต้ ในพื้นที่หลักอย่างอำเภอหาดใหญ่และตลาดกิมหยง ส่งผลให้จำนวนนักท่องเที่ยวมาเลเซียที่เดินทางเข้าไทยในช่วง 1–12 ธันวาคม 2568 ลดลงถึง 27% จากปีก่อน และเมื่อตัดเฉพาะการเดินทางผ่านด่านสงขลาและสตูล ตัวเลขลดลงถึง 48% และ 83% ตามลำดับ

ในขณะเดียวกัน ปัญหาความไม่สงบชายแดนไทย–กัมพูชา ที่ปะทุขึ้นตั้งแต่ต้นเดือนธันวาคม 2568 บริเวณจังหวัดชายแดน 7 แห่งของไทย ก็กลายเป็นอีกหนึ่งปัจจัยบั่นทอนความเชื่อมั่น แม้ไทยจะไม่ได้ถูกประกาศห้ามเดินทางในภาพรวม แต่หลายประเทศได้ออก Travel Advisory ให้หลีกเลี่ยงพื้นที่ชายแดนดังกล่าว ส่งผลให้นักท่องเที่ยวจากตลาดที่อ่อนไหวต่อความเสี่ยงด้านความปลอดภัย เช่น ฮ่องกง เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น จีน และออสเตรเลีย ชะลอการเดินทางในช่วงปีใหม่

อย่างไรก็ดี ยังมีสัญญาณเชิงบวกจากตลาดระยะไกล เช่น ยุโรป อเมริกา และเอเชียใต้ (โดยเฉพาะอินเดีย) ซึ่งมียอดจองล่วงหน้าเพิ่มขึ้นราว 6% เมื่อเทียบปีที่ผ่านมา ขณะที่ภาพลักษณ์ของประเทศไทยในสายตานักท่องเที่ยวจีนเริ่มดีขึ้นหลังการเสด็จเยือนจีนของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระราชินี สื่อสารถึงความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดระหว่างสองประเทศ และกระตุ้นการค้นหาข้อมูลการเดินทางมาไทยบนแพลตฟอร์มอย่าง Baidu และ Ctrip เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะเส้นทางภูเก็ต กรุงเทพฯ และเชียงใหม่

เชียงรายเอง แม้ยังไม่ติดอันดับ Top 5 เมืองที่นักท่องเที่ยวต่างชาติจองมากที่สุด (ได้แก่ กรุงเทพฯ ภูเก็ต เชียงใหม่ กระบี่ และเกาะสมุย) แต่การมีเที่ยวบินเช่าเหมาลำและเที่ยวบินตรงเพิ่มขึ้นในฤดูกาลนี้ ก็ถือเป็น “การปูทาง” สำหรับการยกระดับบทบาทของจังหวัดบนแผนที่ท่องเที่ยวของชาวต่างชาติในระยะกลางและระยะยาว

ปีใหม่ 2569 เชียงรายในฐานะ “เมืองขุนเขา–วัฒนธรรม–สุขภาวะ”

การที่เชียงรายสามารถเติบโตด้านจำนวนผู้เยี่ยมเยือนชาวไทยได้ถึง 22% ท่ามกลางภาพรวมรายได้ท่องเที่ยวทั้งระบบที่คาดว่าจะหดตัวลง 2–9% แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า แนวทางการพัฒนาการท่องเที่ยวที่เน้นการใช้ทุนวัฒนธรรมชาติพันธุ์ ธรรมชาติบนภูเขา และกิจกรรมสร้างสรรค์ในเมือง กำลังเดินมาถูกทาง

จากประเพณีปีใหม่ม้งที่ภูชี้ฟ้า ไปจนถึงกิจกรรมเคาท์ดาวน์ในตัวเมือง และการเชื่อมกับเทศกาลอื่น ๆ ในช่วงเวลาใกล้เคียง เช่น มหกรรมไม้ดอกอาเซียนเชียงราย 2025 หรือกิจกรรม Learning Space เมืองแห่งการเรียนรู้ ทั้งหมดนี้ช่วยให้เชียงรายไม่ใช่เพียง “จุดหมายปลายทางรูปสวย” แต่เป็นพื้นที่ที่นักท่องเที่ยวสามารถใช้เวลาเรียนรู้ สัมผัสวิถีชีวิต และสร้างความทรงจำร่วมกับชุมชนได้อย่างแท้จริง

เมื่อมองไปข้างหน้า หากจังหวัดสามารถต่อยอดยุทธศาสตร์สู่การเป็น “Wellness City บนขุนเขา” ผสานสุขภาวะกายใจเข้าไว้กับธรรมชาติ ชา กาแฟ อาหารท้องถิ่น และวัฒนธรรมชาติพันธุ์ เชียงรายย่อมมีศักยภาพที่จะดึงดูดนักท่องเที่ยวคุณภาพสูงทั้งไทยและต่างชาติให้กลับมาเยือนซ้ำในระยะยาว

ท่ามกลางโลกที่ความไม่แน่นอนกลายเป็นเรื่องปกติ เมืองที่ยืนอยู่ได้คือเมืองที่รู้จักตัวเอง เข้าใจทุนของตัวเอง และเล่าเรื่องของตนอย่างตรงไปตรงมา เชียงรายในปีใหม่ 2569 จึงไม่ใช่เพียงจังหวัดที่ “ติด Top 3 ยอดนิยม” แต่เป็นกรณีศึกษาว่าการลงทุนกับวัฒนธรรมท้องถิ่นและความเข้มแข็งของชุมชนบนดอย สามารถแปลงเป็นตัวเลขเศรษฐกิจที่จับต้องได้ แม้ในปีที่ภาพรวมอุตสาหกรรมยังเต็มไปด้วยความท้าทายก็ตาม

สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • แถลงข่าวผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์
  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
MOST POPULAR
FOLLOW ME
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

เชียงรายเร่งเครื่องยุทธศาสตร์เมืองขุนเขาศิลปะ หลังอโกด้าเผยยอดค้นหาที่พักเดินป่าพุ่งแต่ไร้ชื่อเชียงราย

เชียงรายเร่งเครื่องชูศักยภาพ “เมืองแห่งขุนเขา” หลังอโกด้าชี้เทรนด์เดินป่าพุ่ง แต่ไร้ชื่อติดโผจังหวัดยอดนิยม

เชียงราย, 27 ธันวาคม 2568 – ท่ามกลางลมหนาวที่พัดพาให้นักท่องเที่ยวทั่วประเทศมุ่งหน้าขึ้นภูเขาและเข้าป่า ตามกระแส “ฤดูเดินป่าเมืองไทย” ที่กำลังมาแรงในช่วงปลายปี 2568 ต่อเนื่องสู่ต้นปี 2569 ข้อมูลจากแพลตฟอร์มท่องเที่ยวระดับโลก “อโกด้า (Agoda)” กลับสร้างคำถามสำคัญให้กับจังหวัดเชียงราย เมื่อสถิติการค้นหาที่พักเพื่อการเดินป่าเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดในหลายจังหวัด แต่ “เชียงราย” ซึ่งมีภูมิประเทศภูเขารายล้อมและชื่อเสียงด้านศิลปวัฒนธรรม กลับไม่ติดรายชื่อจังหวัดที่ได้รับการค้นหามากที่สุดในช่วงไฮซีซันดังกล่าว

ในขณะที่เชียงใหม่ ตาก เลย และกาญจนบุรี กลายเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมของนักเดินป่าในสายตาผู้ใช้แพลตฟอร์มดิจิทัล เชียงรายจึงจำเป็นต้อง “เร่งโชว์ว่ามีเขา” และเร่งสื่อสารจุดแข็งของตนเองให้ชัดเจนมากขึ้น ทั้งในฐานะเมืองศิลปะ เมืองชายแดนสามเหลี่ยมทองคำ และเมืองขุนเขาที่มีอัตลักษณ์ชาติพันธุ์หลากหลาย เพื่อไม่ให้ถูกมองข้ามในแผนการเดินทางของนักท่องเที่ยวรุ่นใหม่ที่มองหาประสบการณ์เชิงลึกและยั่งยืน

เทรนด์เดินป่าพุ่งกว่า 200% แต่เชียงราย “ไม่ติดโผ”

ข้อมูลจากอโกด้าในช่วงเดือนตุลาคม 2568 ระบุว่า การค้นหาที่พักสำหรับการเดินป่าในประเทศไทยเพื่อเข้าพักระหว่างเดือนพฤศจิกายน 2568 ถึงกุมภาพันธ์ 2569 เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เมื่อเทียบกับช่วงฤดูร้อนก่อนหน้า โดยจังหวัดเชียงใหม่มียอดการค้นหาที่พักเพิ่มขึ้นสูงสุดถึง 254% รองลงมาคือจังหวัดตาก 230% จังหวัดเลย 190% และจังหวัดกาญจนบุรี 95%

ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนอย่างชัดเจนว่า ฤดูหนาวปีนี้ไม่ใช่เพียง “ฤดูหนาวธรรมดา” แต่เป็นฤดูกาลที่นักท่องเที่ยวไทยและต่างชาติแสวงหาประสบการณ์ใกล้ชิดธรรมชาติ เดินป่า ศึกษาเส้นทางธรรมชาติ และสัมผัสภูมิประเทศเชิงเขาในรูปแบบลึกซึ้งมากขึ้น

ในรายงาน Travel Outlook Report ของอโกด้า ยังชี้ให้เห็นแนวโน้มที่สำคัญว่า ชาวเอเชียมากกว่าหนึ่งในสาม หรือราว 35% วางแผนท่องเที่ยวภายในประเทศมากขึ้น จากเดิมเพียง 15% ในปีก่อนหน้า โดยให้เหตุผลสำคัญสองประการ คือ

  1. ค่าใช้จ่ายที่เข้าถึงได้
  2. ความต้องการค้นหาจุดหมายปลายทางใหม่ที่มีเสน่ห์ทางวัฒนธรรมและวิถีชีวิตเฉพาะถิ่น

ซึ่งหากพิจารณาในมุมศักยภาพ จังหวัดเชียงรายถือเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่ “ตอบโจทย์ทั้งสองข้อ” อย่างครบถ้วน ทั้งด้านภูมิประเทศภูเขาสลับซับซ้อน พื้นที่ป่าต้นน้ำ บทบาทเมืองศิลปะ และความหลากหลายของกลุ่มชาติพันธุ์ แต่การที่เชียงรายยังไม่ปรากฏชื่ออยู่ในกลุ่มจังหวัดที่ถูกค้นหามากที่สุดบนแพลตฟอร์มระดับโลก ย่อมสะท้อนโจทย์ใหญ่ด้าน “การสื่อสารและการตลาดเชิงภาพลักษณ์” ของจังหวัดในเวทีดิจิทัล

ถอดบทเรียนจาก 4 เส้นทางเดินป่าดาวเด่น โจทย์ท้าทายของ “เมืองขุนเขาเชียงราย”

อโกด้าได้หยิบยก 4 เส้นทางเดินป่าในประเทศไทยขึ้นมาแนะนำในฐานะจุดหมายที่ตอบโจทย์นักเดินป่ายุคใหม่ ได้แก่

  • กิ่วแม่ปาน จังหวัดเชียงใหม่ – เส้นทางศึกษาธรรมชาติระยะประมาณ 3.2 กิโลเมตร โดดเด่นด้วยป่ามอส ทุ่งหญ้าริมสันเขา และจุดชมพระอาทิตย์ขึ้นเหนือทะเลหมอก เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้นและครอบครัว
  • ดอยทูเล จังหวัดตาก – ยอดดอยสูงราว 1,350 เมตร ต้องอาศัยทักษะการเดินป่า ผ่านทั้งป่าทึบและสันเขาคดโค้ง เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการทดสอบขีดจำกัดของตนเอง
  • ภูกระดึง จังหวัดเลย – ภูเขายอดตัดที่เป็น “หมุดหมายในฝัน” ของใครหลายคน ด้วยเส้นทางที่ค่อนข้างชันและใช้พลัง แต่ตอบแทนด้วยภาพป่ากว้างสุดสายตาและหน้าผาชมพระอาทิตย์ขึ้น–ตก
  • เขาช้างเผือก จังหวัดกาญจนบุรี – จุดเด่นอยู่ที่ “สันคมมีด” เส้นทางสันเขาแคบที่ต้องใช้สติและความระมัดระวังสูง แลกกับวิว 360 องศาบนยอดสูงกว่า 1,200 เมตร

เส้นทางเหล่านี้มีจุดร่วมสำคัญคือ “ภาพจำที่ชัดเจน” ในมุมมองของนักท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเป็นทะเลหมอกแนวสันเขา สันคมมีดที่ท้าทาย หรือยอดภูยอดตัดที่กลายเป็นสัญลักษณ์ การตอกย้ำภาพจำผ่านการสื่อสารออนไลน์และรีวิว ทำให้ชื่อของเส้นทางเหล่านี้ติดตลาดและถูกค้นหาซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ในทางกลับกัน แม้เชียงรายจะมีภูมิประเทศและทรัพยากรธรรมชาติที่สามารถพัฒนาเส้นทางเดินป่าคุณภาพสูงได้เช่นกัน ทั้งพื้นที่ดอยสูงชายแดน วิถีชีวิตชาติพันธุ์บนแนวสันเขา และป่าต้นน้ำ แต่การขาด “แบรนดิ้งเส้นทางเดินป่า” ที่ชัดเจนและการประชาสัมพันธ์อย่างต่อเนื่อง ทำให้จังหวัดยังไม่สามารถก้าวเข้าสู่ความรับรู้ในระดับเดียวกับจังหวัดคู่แข่งเหล่านี้บนแพลตฟอร์มดิจิทัล

เชียงรายรุกกลับ ผสานศิลปะ–วัฒนธรรม–ขุนเขา สร้างภาพจำเมืองสร้างสรรค์

เพื่อรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าว จังหวัดเชียงรายไม่ได้เลือกเพียงการโปรโมต “ภูเขาและป่าไม้” แบบตรงไปตรงมาเท่านั้น แต่เลือกเดินเกมในแนวทางที่ต่างออกไป คือการผสาน “ศิลปะ แสงสี วัฒนธรรม และวิถีชุมชนบนดอย” ให้กลายเป็นภาพจำใหม่ของเมืองที่เชื่อมโยงทั้งกลางวันและกลางคืน

ตลอดช่วงปลายปี 2568 ถึงต้นปี 2569 จังหวัดเชียงรายขับเคลื่อนชุดกิจกรรมทางการท่องเที่ยวและการเรียนรู้เชิงสร้างสรรค์อย่างต่อเนื่อง อาทิ

  1. งาน “หลงแสง เวียงเจียงฮาย Light Festival 2568”
    จัดขึ้นระหว่างวันที่ 20 ธันวาคม 2568 – 24 มกราคม 2569 เปลี่ยนโฉมเขตเทศบาลนครเชียงรายให้กลายเป็น “เมืองศิลปะยามค่ำคืน” ภายใต้แนวคิด Heart Art Light ผ่านการออกแบบเส้นทาง “ออกเดินทางตามแสงศิลป์” ครอบคลุม 7 จุดสำคัญ ทั้งย่านขนส่งใจกลางเมือง ถนนบรรพปราการ วัดมิ่งเมือง ประตูเชียงใหม่ อนุสาวรีย์พ่อขุนเม็งรายมหาราช ถนนสิงหไคล และสวนตุงและโคมเฉลิมพระเกียรติฯ

ภายในงานยังมีกิจกรรม “นักเดินทางแห่งแสง (Light Traveler)” เชิญชวนนักท่องเที่ยวสะสมตราประทับครบทั้ง 7 จุด เพื่อนำไปแลกรับของที่ระลึก สร้างแรงจูงใจให้ผู้มาเยือนใช้เวลาเดินเท้า สัมผัสเมืองในมุมมองใหม่ และเชื่อมโยงเส้นทางศิลปะเข้ากับย่านธุรกิจ ร้านอาหาร และที่พักในตัวเมืองโดยตรง

  1. กิจกรรม “Learning Space” เมืองแห่งการเรียนรู้
    วันที่ 24–29 ธันวาคม 2568 จังหวัดเชียงรายจัดกิจกรรม Learning Space ณ สถานีขนส่งผู้โดยสารจังหวัดเชียงราย แห่งที่ 1 เพื่อเชื่อมโยงแนวคิด “เมืองแห่งการเรียนรู้” ขององค์การยูเนสโก เข้ากับการท่องเที่ยว โดยคัดเลือกแหล่งเรียนรู้ 30 แห่งในจังหวัด แบ่งเป็น 6 ด้าน อาทิ ศิลปะและสถาปัตยกรรม อาหาร ชา กาแฟ ธรรมชาติและการเกษตร ศาสนา วัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ วิถีผ้าล้านนาและชาติพันธุ์ ไปจนถึงกีฬาและสุขภาพ

กิจกรรมดังกล่าวทำให้ภาพของเชียงรายไม่ได้จำกัดอยู่แค่ “เมืองผ่าน” หรือ “เมืองปลายทางริมชายแดน” แต่กลายเป็นพื้นที่ที่นักเดินทางสามารถมาเรียนรู้ ทดลอง ลงมือทำ และซึมซับองค์ความรู้จากชุมชนท้องถิ่นได้อย่างเป็นระบบ

  1. ท่องเที่ยวเชิงชาติพันธุ์ที่บ้านผาหมี – “ตามหารากชู ชูรสชาติแห่งดอย”
    ในฝั่งภูเขาชายแดน อพท.เชียงรายและภาคีท้องถิ่นได้พัฒนาโมเดลการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ในหมู่บ้านอาข่าบนดอย อำเภอแม่สาย ผ่านกิจกรรมเรียนรู้ “น้ำพริกรากชู” สมุนไพรหายากที่เป็นหัวใจของรสชาติอาหารอาข่า เชื่อมโยงเรื่องราวอาหาร วิถีเกษตรบนพื้นที่สูง และภูมิปัญญาการอยู่ร่วมกับป่าต้นน้ำ

ประสบการณ์เหล่านี้สอดคล้องกับแนวโน้มการท่องเที่ยวเชิงลึกที่นักเดินทางสนใจมากขึ้น คือไม่ได้ต้องการเพียงภาพสวย ๆ จากยอดดอย แต่ต้องการ “เข้าใจชีวิตผู้คนบนภูเขา” ผ่านอาหาร ภาษา และความเชื่อ ซึ่งเชียงรายมีต้นทุนทางสังคมและวัฒนธรรมที่เข้มแข็งอยู่แล้ว

  1. มหกรรมไม้ดอกอาเซียนเชียงราย 2025 ณ หนองหลวง
    ในมิติของธรรมชาติระดับพื้นราบ จังหวัดเชียงรายยังจัดงานมหกรรมไม้ดอกอาเซียนเชียงราย 2025 ระหว่างวันที่ 19 ธันวาคม 2568 – 7 มกราคม 2569 ณ หนองหลวง อำเภอเวียงชัย แหล่งน้ำธรรมชาติขนาดใหญ่ของจังหวัด ภายใต้แนวคิดเชื่อมโยง “นทีแห่งศรัทธา” เข้ากับการท่องเที่ยวเชิงนิเวศและการพักผ่อน

การใช้หนองหลวงเป็นเวทีนำเสนอทั้งไม้ดอกศิลปะจัดสวน กิจกรรมทางวัฒนธรรม และตลาดชุมชน เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของการผสาน “ทรัพยากรน้ำ–ธรรมชาติ–เศรษฐกิจฐานราก” เข้าด้วยกัน เพื่อขยายการท่องเที่ยวออกจากตัวเมืองไปสู่พื้นที่รอบนอกอย่างเป็นระบบ

จากตัวเลขออนไลน์สู่ชีวิตจริง เมื่อ “การมองไม่เห็นในหน้าจอ” ไม่ได้แปลว่า “ไม่มีอยู่จริง”

แม้ตัวเลขจากแพลตฟอร์มดิจิทัลอย่างอโกด้าจะแสดงให้เห็นว่าเชียงรายยังไม่ถูกค้นหาเทียบเท่าจังหวัดอื่น ๆ ในฐานะจุดหมายเดินป่า แต่ในเชิงพื้นที่จริง จังหวัดกลับมีการขยับตัวอย่างต่อเนื่องในหลากหลายมิติ ทั้งด้านศิลปะ วัฒนธรรม และการท่องเที่ยวเชิงเรียนรู้

ความท้าทายสำคัญจึงไม่ใช่เพียงการ “สร้างสินค้าท่องเที่ยวใหม่” แต่คือการเชื่อมโยงสินค้าที่มีอยู่เดิมให้กลายเป็น “ภาพจำเดียวกัน” ในน้ำหนักเดียวกับที่คนจดจำกิ่วแม่ปาน ดอยทูเล ภูกระดึง หรือเขาช้างเผือก

หากเชียงรายสามารถเล่าเรื่อง “เมืองแห่งขุนเขาศิลปะและชาติพันธุ์” ให้ชัดเจนบนแพลตฟอร์มออนไลน์ จัดทำเส้นทางเดินป่าเชื่อมโยงหมู่บ้านชาติพันธุ์ แหล่งเรียนรู้ และงานเทศกาลแสงสี–ไม้ดอกเข้าด้วยกันอย่างมีโครงสร้าง จะช่วยให้จังหวัดก้าวเข้าสู่กลุ่ม “จุดหมายเดินป่าที่ต้องมาเยือนอย่างน้อยหนึ่งครั้งในชีวิต” ได้ไม่ยากนัก

เสียงจากภาคการท่องเที่ยว ยุคของการเดินทางที่ต้องมี “ความหมาย”

อรรคพร รอดคง ผู้อำนวยการประจำประเทศไทยของอโกด้า เคยกล่าวสะท้อนมุมมองนักเดินทางยุคใหม่ว่า ฤดูเดินป่าในประเทศไทยเป็นช่วงเวลาพิเศษที่ผู้คนต้องการกลับไปใกล้ชิดธรรมชาติ และแพลตฟอร์มท่องเที่ยวมีเป้าหมายเพื่อช่วยให้การวางแผนเดินทางเป็นเรื่องง่ายและเข้าถึงได้ ไม่ว่าจะเป็นเส้นทางสำหรับครอบครัวหรือเส้นทางท้าทายสำหรับผู้มีประสบการณ์

ในอีกด้านหนึ่ง ผู้บริหารท้องถิ่นเชียงราย ทั้งจากจังหวัด เทศบาลนครเชียงราย และหน่วยงานด้านการท่องเที่ยว ได้ย้ำอย่างต่อเนื่องว่า แนวทางการพัฒนาการท่องเที่ยวของเชียงรายในวันนี้ ไม่ได้มองเพียง “จำนวนนักท่องเที่ยว” แต่ให้ความสำคัญกับการเป็นเมืองท่องเที่ยวสร้างสรรค์ เมืองแห่งการเรียนรู้ และเมืองที่การท่องเที่ยวช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตชุมชนอย่างแท้จริง

เมื่อภาพจากฝ่ายเอกชนระดับโลกและฝ่ายท้องถิ่นมาตัดกัน จุดร่วมที่ชัดคือ “การเดินทางที่มีความหมาย” – ซึ่งหากเชียงรายสามารถสื่อสารได้ว่า การขึ้นมาบนภูเขาเชียงรายไม่ใช่เพียงการชมวิว แต่คือการเรียนรู้ชีวิตผู้คน การชิมอาหารจากสมุนไพรบนดอย การฟังเรื่องเล่าจากผู้เฒ่าชาติพันธุ์ และการเดินตามเส้นแสงศิลปะในตัวเมืองยามค่ำคืน เมืองแห่งขุนเขาแห่งนี้ย่อมมีศักยภาพเพียงพอที่จะก้าวขึ้นไปอยู่ในความสนใจของนักเดินป่าในอนาคตอันใกล้

จาก “เมืองถูกมองข้ามบนหน้าจอ” สู่ “เมืองที่ต้องมองเห็นด้วยสองเท้า”

กรณีที่ชื่อของเชียงรายไม่ติดอันดับต้น ๆ ในสถิติการค้นหาที่พักสำหรับเดินป่าบนแพลตฟอร์มอโกด้าอาจสะท้อนข้อจำกัดด้านการสื่อสารเชิงการตลาดและการสร้างภาพจำในโลกออนไลน์ แต่ในอีกมุมหนึ่ง นี่อาจเป็น “สัญญาณเตือนเชิงบวก” ให้จังหวัดหันมาทบทวนและเร่งวางยุทธศาสตร์การท่องเที่ยวเชิงขุนเขาอย่างจริงจังมากขึ้น

เชียงรายในวันนี้มีเครื่องมืออยู่ในมือครบถ้วน ทั้งต้นทุนภูเขาและป่าต้นน้ำ ความหลากหลายของชาติพันธุ์ จิตวิญญาณของเมืองศิลปะ เทศกาลแสงสี–ไม้ดอก ไปจนถึงพื้นที่เรียนรู้ของคนทุกวัย หากสามารถนำทั้งหมดมาเรียงร้อยเป็นเส้นทางเดียวกันภายใต้ภาพลักษณ์ “เมืองขุนเขาสร้างสรรค์แห่งล้านนาเหนือ” และขยายเรื่องราวเหล่านี้ให้ไปปรากฏบนจอมือถือของนักเดินทางในภูมิภาคเอเชียได้อย่างต่อเนื่อง เชียงรายก็มีโอกาสอย่างยิ่งที่จะเปลี่ยนจาก “เมืองที่ไม่ติดโผค้นหา” ให้กลายเป็น “เมืองที่ต้องไปให้เห็นด้วยตาตัวเองสักครั้ง”

ท้ายที่สุด การเดินป่าที่มีความหมายอาจไม่ได้เริ่มต้นจากการพิมพ์คำว่า “เดินป่าที่ไหนดี” ลงในช่องค้นหาเท่านั้น แต่อาจเริ่มต้นจากการที่เมืองหนึ่งลุกขึ้นมาเชื่อมั่นในตัวเอง เล่าเรื่องของตนให้ชัด และยืนหยัดว่าบนขุนเขาเชียงราย ยังมีเรื่องราวอีกมากมายที่รอให้ผู้คนก้าวเท้าเข้าไปค้นพบ

สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • Travel Outlook Report – แพลตฟอร์มการท่องเที่ยวอโกด้า (Agoda)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
MOST POPULAR
FOLLOW ME
Categories
ENVIRONMENT

มาตรการแก้ฝุ่น PM 2.5 เชียงรายปี 2569 ชูนวัตกรรมไบโอชาร์และสวนลดฝุ่น สร้างเศรษฐกิจสีเขียว

เชียงรายรุกนวัตกรรมและมาตรการเข้ม สู้ศึกฝุ่น PM 2.5 ปี 2569

เชียงราย,26 ธันวาคม 2568 – ขณะที่ฤดูหนาวกำลังเข้าสู่จังหวัดเชียงราย ท่ามกลางบรรยากาศที่เย็นสบาย ภาพของทิวทัศน์ธรรมชาติที่สวยงามกลับถูกบดบังด้วยความกังวลเรื่องหมอกควันและฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ที่กำลังจะกลับมาอีกครั้ง แต่ในปีนี้ จังหวัดเชียงรายไม่ได้นิ่งนอนใจ หากแต่ได้เตรียมความพร้อมรับมือด้วยมาตรการที่เข้มข้นและนวัตกรรมที่น่าจับตามอง พร้อมสร้างแบบอย่างใหม่ในการแก้ปัญหามลพิษทางอากาศอย่างยั่งยืน

สถานการณ์ปัจจุบัน เฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด

ข้อมูลล่าสุดเมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2568 รายงานสถานการณ์จุดความร้อน (Hotspots) ในจังหวัดเชียงรายพบจำนวน 6 จุด กระจายอยู่ที่อำเภอแม่ฟ้าหลวง 2 จุด อำเภอขุนตาล 2 จุด อำเภอแม่สรวย 1 จุด และอำเภอเชียงของ 1 จุด โดยส่วนใหญ่พบในพื้นที่นาข้าวและพื้นที่เกษตรกรรมอื่นๆ แม้ว่าค่าฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 จากสถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศในเมืองเชียงราย แม่สาย และเชียงของ ยังอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานไม่เกิน 37.5 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร แต่ทุกภาคส่วนต่างตระหนักดีว่านี่เป็นเพียงช่วงเริ่มต้นของปัญหาที่อาจบานปลายได้หากไม่มีการป้องกันอย่างจริงจัง

นายกฤษ อุตตมะเวทิน รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะทำงานบริหารจัดการปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5 ภาคการเกษตร ครั้งที่ 4/2568 ว่า สถานการณ์จุดความร้อนในพื้นที่เกษตรกรรมระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม – 11 ธันวาคม 2568 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 มีแนวโน้มดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แต่ยังคงต้องเฝ้าระวังในพื้นที่ภาคเหนือที่มีจุดความร้อนสะสมสูงสุด ได้แก่ จังหวัดอุตรดิตถ์ 176 จุด เชียงราย 158 จุด และพิจิตร 105 จุด

ภาพรวมระดับประเทศ ลดลงแต่ยังไม่พอ

ตัวเลขสถิติจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์แสดงให้เห็นความก้าวหน้าที่น่าชื่นชม ประเทศไทยมีจำนวนจุดความร้อนสะสมทั้งหมดทั่วประเทศลดลง 43% จาก 4,862 จุดในปี 2567 เหลือ 2,772 จุดในปี 2568 โดยเฉพาะจุดความร้อนในพื้นที่เกษตรกรรมลดลงถึง 49% จาก 3,025 จุด เหลือ 1,533 จุด ในส่วนของจุดความร้อนในเขตปฏิรูปที่ดิน (สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม) ก็ลดลง 44%

แต่สิ่งที่น่าสนใจและเป็นบทเรียนสำคัญคือ แม้ภาคเกษตรจะลดการเผาลงได้มากกว่า 40% แต่ปัญหาฝุ่น PM 2.5 โดยรวมยังคงมีอยู่ โดยเฉพาะในเขตตัวเมืองที่ค่าฝุ่นกลับสูงขึ้นก่อนฤดูการเผาในภาคเกษตรจะเริ่มต้น สะท้อนให้เห็นว่าปัญหามาจากหลายแหล่งกำเนิดและปัจจัยทางอุตุนิยมวิทยา ไม่เพียงแต่ภาคเกษตรเท่านั้นที่ต้องแก้ไขปัญหา แต่ทุกฝ่ายต้องร่วมมือกันอย่างจริงจัง

ข้อมูลจากกรุงเทพมหานครระบุถึงสาเหตุการเกิดฝุ่น PM 2.5 หลัก 3 ประการ ได้แก่ สภาพอากาศปิด โดยเฉพาะในช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงมีนาคมของทุกปี การเผาไหม้ของเครื่องยนต์ในเขตเมือง และการเผาชีวมวลในภาคเกษตรกรรม ปัญหาเหล่านี้ล้วนเกิดจากฝีมือมนุษย์ จึงน่าจะสามารถบริหารจัดการได้หากมีความตั้งใจและความร่วมมือจากทุกภาคส่วน

มาตรการ “งดเผาเด็ดขาด” จากกองอำนวยการจังหวัด

กองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย (กอปภ.จ.เชียงราย) ได้ออกประกาศขอความร่วมมือเชิงรุกอย่างชัดเจน โดยขอให้งดการเผาในที่โล่งทุกชนิดระหว่างวันที่ 1 มกราคม – 13 กุมภาพันธ์ 2569 พร้อมกำหนดมาตรการหลายด้านเพื่อลดปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็ก

การประกาศดังกล่าวเกิดขึ้นจากความตระหนักว่าในช่วงฤดูหนาวต่อเนื่องจนถึงฤดูร้อนของทุกปี มักเกิดสถานการณ์ปัญหาไฟป่าและฝุ่นละอองขนาดเล็กมีค่าสูงเกินมาตรฐานในหลายพื้นที่ ประกอบกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศที่เป็นสาเหตุสำคัญก่อให้เกิดวิกฤตมลพิษหมอกควัน ส่งผลกระทบต่อการดำรงชีวิต เศรษฐกิจ สังคม สุขภาพ คุณภาพสิ่งแวดล้อม และทัศนวิสัยในการคมนาคมทั้งทางบกและทางอากาศ

มาตรการสำคัญที่กำหนดขึ้น ประกอบด้วย

  1. การควบคุมการเผาอย่างเข้มงวด ขอความร่วมมืองดการเผาทุกประเภท ทั้งเศษวัสดุทางการเกษตรและขยะมูลฝอยในที่โล่ง ทั้งในเขตเมืองและเขตชนบท รวมถึงในสถานที่ราชการ เอกชน ที่สาธารณประโยชน์ พื้นที่เกษตรกรรม บ้านเรือนที่อยู่อาศัย และพื้นที่อื่นๆ โดยให้ปรับเปลี่ยนวิธีการกำจัดจากการเผาเป็นการนำไปใช้ประโยชน์หรือย่อยสลายด้วยวิธีที่เหมาะสม
  2. การบริหารจัดการแหล่งกำเนิดมลพิษ กำหนดให้มีการควบคุมฝุ่นละอองและฝุ่นควันจากถนน การก่อสร้างอาคาร การประกอบกิจการอุตสาหกรรม และโรงงาน โดยใช้อุปกรณ์หรือเครื่องมือในการป้องกัน มีการเก็บกวาดวัสดุที่ก่อให้เกิดฝุ่นละออง การล้างถนนและสถานที่ประกอบการ รวมถึงการฉีดพ่นละอองน้ำเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นในอากาศ โดยเฉพาะในช่วงเวลา 06.00 – 08.00 น. และ 18.00 – 20.00 น. หรือตามความเหมาะสม
  3. การจัดการมลพิษจากการจราจร ตรวจและแก้ไขปัญหารถควันดำทั้งรถยนต์ขนาดเล็กและขนาดใหญ่ เข้มงวดให้รถบรรทุก รถขนส่งสินค้า รถขนย้ายวัสดุก่อสร้าง และรถขนส่งพืชผลทางการเกษตร ใช้ผ้าใบปกคลุมให้มิดชิด พร้อมทั้งรณรงค์ลดการใช้รถยนต์ส่วนตัวในช่วงเวลาที่ค่ามลพิษทางอากาศสูง
  4. การควบคุมโรงงานอุตสาหกรรม ให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบโรงงานที่มีความเสี่ยงในการปล่อยฝุ่นละออง หากตรวจพบว่ามีการปล่อยมลพิษทางอากาศเกินกว่ามาตรฐาน ให้ดำเนินการแก้ไขตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด
  5. การจัดทำห้องปลอดฝุ่น (Safety Zone) กำหนดให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลจัดทำห้องปลอดฝุ่นในพื้นที่รับผิดชอบ เพื่อเตรียมความพร้อมรองรับกลุ่มเปราะบางในสถานการณ์วิกฤตหมอกควันที่มีค่าฝุ่นละอองสูงเกินเกณฑ์มาตรฐาน

นวัตกรรมเปลี่ยน “เศษวัสดุ” เป็น “ผลิตภัณฑ์มูลค่าสูง”

หากมาตรการข้างต้นเป็นการแก้ปัญหาแบบตัดวงจรการเผา นวัตกรรมที่จังหวัดเชียงรายนำเสนอในครั้งนี้คือการเปลี่ยนต้นตอของปัญหาให้กลายเป็นโอกาสทางเศรษฐกิจ ภายใต้แนวคิดเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) ที่ทั่วโลกให้ความสำคัญ

เมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2568 นายรุจิศักดิ์ รังษี รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานเปิดการอบรมเชิงปฏิบัติการและงาน Kick off เปิดตัว “โครงการนวัตกรรมผลิตภัณฑ์มูลค่าสูงเพื่อแก้ปัญหา PM 2.5 ในพื้นที่ภาคเหนืออย่างยั่งยืน” ณ วัดหนองปึ๋ง ตำบลจันจว้าใต้ อำเภอแม่จัน โดยมีผู้แทนจากหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน สถาบันการศึกษา ผู้นำชุมชน เกษตรกร และยุวชนจากโรงเรียนในพื้นที่เข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง

โครงการนี้เป็นความตั้งใจของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โดยสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) ภายใต้การสนับสนุนทุนวิจัยจากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) มุ่งนำวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม มาขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาหมอกควันและฝุ่นละออง PM 2.5 อย่างครบวงจร ตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ

นวัตกรรมที่โดดเด่นประกอบด้วย

  1. แอปพลิเคชันบริหารจัดการวัสดุเหลือทิ้ง เป็นแพลตฟอร์มกลางเชื่อมโยงเกษตรกรกับผู้ประกอบการที่ต้องการวัสดุเหลือทิ้ง สร้างธรรมาภิบาลในการจัดการทรัพยากร เปลี่ยนเศษวัสดุให้เกิดมูลค่าและลดปัญหาการเผาอย่างเป็นระบบ
  2. การแปรรูปเศษวัสดุเป็นผลิตภัณฑ์มูลค่าสูง นำเปลือกข้าวโพด ตอซังข้าว และเศษไม้มาแปรรูปเป็นภาชนะรักษ์โลก ถาดรองไข่ คอนกรีตบล็อกประสานจากไบโอชาร์ และถ่านไบโอชาร์ ช่วยหมุนเวียนทรัพยากรกลับมาใช้ใหม่อย่างคุ้มค่า
  3. เทคโนโลยีเตาเผาต่อเนื่อง พัฒนาเตาเผาสำหรับไบโอชาร์ที่เชื่อมต่อกับเตาเผาเซรามิก เพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน ลดมลพิษจากการเผาไหม้ และสามารถกักเก็บน้ำส้มควันไม้ได้ 100% เพื่อส่งเสริมการเกษตรปลอดภัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
  4. เจลหน่วงไฟจากธรรมชาติ วิจัยและพัฒนาเพื่อลดความรุนแรงของไฟป่า ปกป้องระบบนิเวศและสุขภาวะของประชาชน โดยใช้วัตถุดิบที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม 100%
  5. วัสดุกรองอากาศประสิทธิภาพสูง พัฒนาจากไบโอชาร์ สามารถลดค่าฝุ่น PM 2.5 ได้ถึง 85-98% รวมถึงการนำไปประยุกต์ใช้ในงานถนนลาดยางมะตอย เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและสารพิษก่อมะเร็งบนท้องถนน

ผลสำเร็จของโครงการจะถูกต่อยอดผ่านการจัดตั้ง “ศูนย์ฝึกอบรมอาชีพและสาธิตการแปรรูปวัสดุชีวภาพ” เพื่อมอบให้เป็นแหล่งเรียนรู้คู่ชุมชน ณ ตำบลจันจว้า อำเภอแม่จัน สร้างความเชื่อมั่นว่านวัตกรรมของไทยสามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากควบคู่กับการรักษาสิ่งแวดล้อมได้อย่างยั่งยืน

สวนต้นแบบลดฝุ่น” และเกษตรทางเลือก

นอกจากนวัตกรรมที่ต้องอาศัยเทคโนโลยีแล้ว การใช้พลังของธรรมชาติในการดักจับฝุ่นก็เป็นอีกหนึ่งแนวทางที่น่าสนใจ เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2568 สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) และสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) ร่วมกันเปิดตัว “สวนต้นแบบลดฝุ่น PM 2.5” ณ โรงเรียนเทศบาล 6 นครเชียงราย อำเภอเมืองเชียงราย

นางสาวเสาวนีย์ มุ่งสุจริตการ รองผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ กล่าวว่า โครงการนี้เป็นความร่วมมือที่ได้พัฒนาสวนต้นแบบซึ่งใช้ประโยชน์จากไม้ดอกไม้ประดับท้องถิ่นเป็นกลไกในการลดฝุ่นในเขตเมือง พร้อมทั้งสนับสนุนให้ชุมชนปรับเปลี่ยนแนวทางการเกษตรจากระบบที่มีการเผามาเป็นการใช้วัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตรเป็นวัสดุปลูก ซึ่งนอกจากจะช่วยลดปัญหาฝุ่น PM 2.5 และจุดความร้อนแล้ว ยังช่วยเพิ่มพื้นที่สีเขียว ส่งเสริมสิ่งแวดล้อมที่ดี และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่

ดร.พงศธร ประภักรางกูล รองผู้ว่าการวิจัยและพัฒนาด้านอุตสาหกรรมชีวภาพ สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย อธิบายว่า กิจกรรมนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ “การปลูกเลี้ยงไม้ดอกไม้ประดับเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มและลดมลภาวะฝุ่น PM 2.5” โดย วว. และมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ได้ร่วมกับโรงเรียนเทศบาล 6 นครเชียงราย จัดทำสวนต้นแบบเพื่อแสดงศักยภาพของไม้ดอกไม้ประดับในการลดฝุ่นในเขตเมือง

ทีมนักวิจัย วว. ลงพื้นที่จังหวัดเชียงรายและพะเยา มีเกษตรกรสมัครเข้าร่วมโครงการกว่า 50 ราย โดยได้รับการสนับสนุนให้ปลูกไม้ตัดดอก เช่น ดอกแอสเตอร์ หญ้าหางกระต่าย มากาเร็ต ดอกกระดาษ คัตเตอร์ เบญจมาศ และแกลดิโอลัส รวมถึงไม้ดอกเพื่อการแปรรูป เช่น เก๊กฮวย กระเจี๊ยบแดง คาโมมายล์ และอัญชัน ซึ่งสามารถแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์อบแห้งเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มได้

ที่สำคัญคือ โครงการนี้ยังมีการใช้ประโยชน์จากวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร เช่น ฟางข้าว ซังข้าวโพด และชานอ้อย มาพัฒนาเป็นวัสดุปรับปรุงดินและวัสดุคลุมดินสำหรับการปลูกเลี้ยงไม้ดอกไม้ประดับ ก่อให้เกิดรายได้ที่มั่นคงกว่า 35,000 บาทต่อราย

ดร.วันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย กล่าวว่า จังหวัดเชียงรายยินดีเป็นอย่างยิ่งที่คณะนักวิจัยได้พัฒนาสวนต้นแบบลดฝุ่น PM 2.5 แห่งนี้ เพื่อเป็นพื้นที่เรียนรู้ด้านสิ่งแวดล้อมและเป็นตัวอย่างของการนำไม้ดอกไม้ประดับท้องถิ่นมาใช้ในการลดฝุ่นในเขตเมืองอย่างสร้างสรรค์ การมีสวนต้นแบบลดฝุ่นในโรงเรียนเช่นนี้ นอกจาก

จะช่วยป้องกันผลกระทบจากฝุ่น PM 2.5 ต่อเด็กนักเรียนแล้ว ยังเป็นพื้นที่การเรียนรู้ที่ช่วยปลูกจิตสำนึกด้านสิ่งแวดล้อมให้กับเยาวชนซึ่งจะเป็นพลังสำคัญในการพัฒนาชุมชนในอนาคต

ถอดบทเรียนความสำเร็จจาก “โมเดลอ้อยและน้ำตาล”

หนึ่งในแนวทางที่น่าสนใจที่สุดของการแก้ปัญหาฝุ่น PM 2.5 คือการถอดบทเรียนจากความสำเร็จของอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาล ซึ่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์นำมาปรับใช้เพื่อสร้างแรงจูงใจให้เกษตรกร

สำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย (สอน.) กระทรวงอุตสาหกรรม ได้กำหนดมาตรการที่ชัดเจนในการแก้ไขปัญหาการเผาอ้อยเพื่อลดปัญหาฝุ่นมลพิษ PM 2.5 ฤดูการผลิตปี 2568/2569 โดยการประชุมคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย (กอน.) ครั้งที่ 9/2568 มีมติเห็นชอบราคาอ้อยขั้นต้นฤดูการผลิตปี 2568/2569 ในอัตรา 890 บาทต่อตัน ที่ระดับความหวาน 10 ซี.ซี.เอส. พร้อมกำหนดอัตราขึ้นลงของราคาอ้อยที่ 53.40 บาทต่อ 1 หน่วย ซี.ซี.เอส.

มาตรการจูงใจที่สำคัญ ได้แก่

  1. มาตรการด้านราคา กำหนดราคาอ้อยขั้นต้นที่ชัดเจนเพื่อสร้างความมั่นใจให้เกษตรกร พร้อมโบนัสสำหรับอ้อยสดสะอาด 100%
  2. การควบคุมการรับอ้อยเผา กำหนดให้โรงงานน้ำตาลรับอ้อยเผาเข้าหีบได้ไม่เกิน 20% ต่อวัน และให้โรงงานหยุดรับอ้อยเข้าหีบตั้งแต่วันที่ 27 ธันวาคม 2568 ถึงวันที่ 4 มกราคม 2569 รวมถึงรับเฉพาะอ้อยสดเข้าหีบตั้งแต่เริ่มต้นหีบอ้อยจนถึงวันเด็ก (วันที่ 10 มกราคม 2569)
  3. โครงการคนละครึ่ง Farmer Plus สนับสนุนเครื่องสาง-ตัด-กวาด-อัด-สับคลุก เพื่อการตัดอ้อยสด โดยให้โรงงานรวมกลุ่มชาวไร่อ้อยมากกว่า 4,515 กลุ่ม มีจำนวนเกษตรกรชาวไร่อ้อยรวมกลุ่มกว่า 60,000 ราย ภาครัฐสนับสนุนจัดหาอุปกรณ์ในอัตราครึ่งหนึ่งของราคาซื้อตามนโยบายคนละครึ่งของรัฐบาล
  4. มาตรการทางภาษี การลดหย่อนภาษีให้แก่โรงงานน้ำตาลที่รับอ้อยเผาตามเกณฑ์ที่กำหนด และขอลดหย่อนภาษีให้แก่ผู้ประกอบการโรงไฟฟ้าชีวมวลที่รับซื้อใบและยอดอ้อยเป็นเชื้อเพลิง
  5. การส่งเสริมการลงทุน พิจารณาสนับสนุนการผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และการนำเข้ารถตัดอ้อยแบบปลอดอากร เพื่อให้โรงงานน้ำตาลและเกษตรกรชาวไร่อ้อยสามารถนำเข้ารถตัดอ้อยใหม่ขนาดใหญ่จากต่างประเทศมาใช้งาน

มาตรการระดับกระทรวง ครบวงจรและเป็นระบบ

กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้เตรียมมาตรการกำจัดปัญหาฝุ่นละอองในปีงบประมาณ 2569 อย่างครอบคลุม ประกอบด้วย

  1. การดัดแปรสภาพอากาศ จัดตั้งหน่วยปฏิบัติการในพื้นที่เสี่ยงเกิดมลภาวะในช่วงเดือนธันวาคม 2568 – พฤษภาคม 2569 ซึ่งในช่วงที่ผ่านมามีการปฏิบัติการดัดแปรสภาพอากาศเพื่อบรรเทาปัญหาฝุ่นจำนวน 12 วัน พบว่าค่าคุณภาพอากาศ (AQI) ดีขึ้น 83.33% และปริมาณฝุ่นลดลงเฉลี่ย 36.6%
  2. การขยาย GAP ปลอดการเผา กำหนดเป้าหมายขยายการรับรองมาตรฐานการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดี (Good Agricultural Practices – GAP) ปลอดการเผาให้ได้ 10,000 แปลง โดยส่งเสริมให้เกษตรกรปรับเปลี่ยนการปลูกพืชมูลค่าสูงแทนข้าวโพด และแนะนำให้ใช้จุลินทรีย์ย่อยสลายตอซังลดการเผา ในปี 2568 มาตรฐาน GAP PM2.5 Free Plus ได้ให้การรับรองเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดไปแล้ว 4,431 แปลง จากพื้นที่ทั้งหมด 41,055 ไร่
  3. การส่งเสริมการไถกลบตอซัง ส่งเสริมการไถกลบตอซังและผลิตปุ๋ยอินทรีย์เพื่อลดการเผาในพื้นที่เป้าหมายรวม 23,000 ไร่ ซึ่งในปี 2568 พบว่าพื้นที่รณรงค์ 73 จังหวัด มีจุด Hotspot ลดลง 35.59% และสามารถลดการปล่อย PM2.5 ได้ถึง 160 ตัน
  4. โครงการ “ฟางมา…วัวอิ่ม” พัฒนาเทคโนโลยีจัดการเศษวัสดุการเกษตรเป็นอาหารสัตว์ โดยในปี 2568 ดำเนินการในพื้นที่ 4,300 ไร่ ลดปริมาณฝุ่นได้ประมาณ 14,000 กิโลกรัม และกำหนดเป้าหมายปี 2569 ส่งเสริมในพื้นที่ไม่น้อยกว่า 2,700 ไร่
  5. โครงการ “ฟางมา…ปลาโต” นำฟางข้าวและตอซังมาสร้างอาหารธรรมชาติในบ่อปลา โดยในปี 2568 ใช้เศษวัสดุ 278,146 กิโลกรัม จาก 4 จังหวัด (เชียงราย พะเยา นครพนม และกาฬสินธุ์) ช่วยลดการเกิด PM 2.5 ได้ถึง 3,431 กิโลกรัม และกำหนดแผนปี 2569 ขยายผลเป็น 10 จังหวัด เกษตรกร 250 ราย ตั้งเป้าลดการเผาตอซัง 100,000 กิโลกรัม
  6. โครงการลดการเผาในเขตปฏิรูปที่ดิน ปี 2569 มีเป้าหมาย 12,000 ไร่ เกษตรกร 1,200 ราย ใน 55 จังหวัด โดยจัดตั้งศูนย์รณรงค์หยุดเผาในเขตปฏิรูปที่ดิน ซึ่งได้เปิดศูนย์ในภาคเหนือแล้ว 17 แห่ง และมีแผนจะเปิดในภาคตะวันออกเฉียงเหนืออีก 20 ศูนย์ และภาคกลาง 18 ศูนย์เพิ่มเติม

การปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์การทำงาน

นายกฤษ อุตตมะเวทิน รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้มอบแนวทางปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์การทำงานให้กับหน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรฯ เพื่อมุ่งหน้าสู่การบริหารจัดการเชิงรุกที่มีข้อมูลเป็นฐาน (Data-Driven Management) โดยถอดแบบความสำเร็จจากสำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย (สอน.) กระทรวงอุตสาหกรรม ที่มีมาตรการทางกฎหมาย การส่งเสริม และการเพิ่มมูลค่าในการแก้ไขปัญหาการเผาอ้อยอย่างชัดเจน

โดยขอให้จัดตั้งกลุ่มภารกิจ (Cluster) รับผิดชอบเฝ้าระวังพื้นที่การเกษตรเป็นรายภูมิภาค ได้แก่ สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมเป็นหัวหน้ากลุ่มเฝ้าระวังพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กรมการข้าวเป็นหัวหน้ากลุ่มเฝ้าระวังพื้นที่ภาคเหนือ กรมส่งเสริมการเกษตรเป็นหัวหน้ากลุ่มเฝ้าระวังพื้นที่ภาคกลาง และสำนักแผนงานและโครงการพิเศษ สำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ฝ่ายเลขานุการเป็นหัวหน้ากลุ่มเฝ้าระวังพื้นที่ภาคใต้ เพื่อให้การติดตามและแก้ไขปัญหามีความเป็นเอกภาพและวัดผลได้อย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น ซึ่งถือเป็นการยกระดับการทำงานจากการเป็นเพียง “คณะประชุม” สู่การเป็น “คณะทำงานบริหารจัดการ” อย่างแท้จริง

จากวิกฤตสู่โอกาส

การที่จังหวัดเชียงรายและหน่วยงานต่างๆ เตรียมพร้อมรับมือกับปัญหาฝุ่น PM 2.5 ในปี 2569 ด้วยมาตรการที่หลากหลายและครอบคลุมนี้ แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงกระบวนทัศน์ที่สำคัญ จากการมองปัญหาเป็นเพียงวิกฤตที่ต้องแก้ไข มาสู่การมองเป็นโอกาสในการสร้างระบบเศรษฐกิจและสังคมใหม่ที่ยั่งยืน

การผสมผสานระหว่างมาตรการทางกฎหมายที่เข้มงวด นวัตกรรมที่สร้างมูลค่าเพิ่ม การใช้ประโยชน์จากธรรมชาติ และการสร้างแรงจูงใจทางเศรษฐกิจ คือสูตรสำเร็จที่จังหวัดเชียงรายกำลังนำเสนอให้กับประเทศ แม้ว่าตัวเลขสถิติจะแสดงให้เห็นว่าปัญหาลดลงอย่างชัดเจน แต่การที่ค่าฝุ่นในเขตเมืองยังคงสูงขึ้นก็เตือนใจเราว่า ปัญหานี้ไม่ใช่ความรับผิดชอบของภาคเกษตรเพียงอย่างเดียว แต่ทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกันอย่างจริงจัง

จังหวัดเชียงรายตั้งเป้าเป็นจังหวัดต้นแบบที่ใช้ทั้ง “กฎหมายเข้ม” และ “นวัตกรรมสร้างรายได้” เพื่อคืนอากาศบริสุทธิ์ให้ประชาชนอย่างยั่งยืน หากความพยายามเหล่านี้ประสบความสำเร็จ จะไม่เพียงแต่แก้ปัญหาฝุ่น PM 2.5 เท่านั้น แต่จะสร้างแบบอย่างของการพัฒนาที่ยั่งยืนตามหลักเศรษฐกิจสีเขียวที่สามารถขยายผลไปสู่พื้นที่อื่นๆ ทั่วประเทศได้

การต่อสู้กับฝุ่น PM 2.5 ในปี 2569 จะเป็นการทดสอบที่สำคัญ ว่าประเทศไทยจะสามารถเปลี่ยนวิกฤตให้กลายเป็นโอกาสได้หรือไม่ และจังหวัดเชียงรายกำลังนำทางด้วยความมุ่งมั่นและนวัตกรรมที่น่าจับตามอง

สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • เขียนโดย : กันณพงศ์ ก.บัวเกษร
  • เรียบเรียงโดย : มนรัตน์ ก.บัวเกษร
  • กองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย (กอปภ.จ.เชียงราย)
  • กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
  • สำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย (สอน.) กระทรวงอุตสาหกรรม
  • สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.)
  • สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
MOST POPULAR
FOLLOW ME
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

อย่าทุบถ้าไม่ปรึกษา! บทเรียนจากวัดป่าอ้อร่มเย็น เมื่อความเจริญปะทะงานศิลป์ระดับศิลปินแห่งชาติ

สะเทือนใจเมืองศิลปะเชียงราย กรณีทุบทำลายงานศิลป์วัดป่าอ้อร่มเย็น ศิลปินแห่งชาติ–ศิลปินท้องถิ่นรุดลงพื้นที่ เจรจายุติการรื้อถอน ชูเป็นกรณีศึกษา “อย่าทำลายงานศิลปะโดยไม่ปรึกษา”

เชียงราย, 26 ธันวาคม 2568 – เหตุการณ์ทุบทำลายงานศิลปะภายในวัดป่าอ้อร่มเย็น ตำบลนางแล อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย กลายเป็นประเด็นร้อนที่ส่งแรงสะเทือนไปทั้งวงการศิลปะและสังคมออนไลน์ในช่วงปลายปี 2568 หลังมีการเผยแพร่ภาพและคลิปวิดีโอการรื้อถอนกำแพงดินและจิตรกรรมฝาผนังซึ่งสร้างสรรค์โดยศิลปินชื่อดังของจังหวัดเชียงราย จนเกิดคำถามสำคัญต่อแนวทางการอนุรักษ์มรดกทางศิลปวัฒนธรรมในเมืองที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางว่าเป็น “เมืองศิลปะ” ของภาคเหนือ

กรณีนี้เริ่มต้นจากการตัดสินใจของทางวัดที่ต้องการขยายพื้นที่และปรับปรุงอาคารเดิมให้รองรับการใช้ประโยชน์มากขึ้น นำไปสู่การสั่งรื้อถอนบางส่วนของอาคารและผลงานศิลปะโดยไม่ได้มีการหารือกับศิลปินเจ้าของผลงานล่วงหน้า ก่อนที่กระแสวิพากษ์วิจารณ์จะปะทุขึ้นในโลกออนไลน์ และท้ายที่สุดทำให้ศิลปินระดับแถวหน้าของเชียงรายต้องลงพื้นที่ด้วยตนเอง เพื่อยุติความเสียหายที่อาจลุกลามไปมากกว่านี้

ผลงาน “แรไอเทม” กลางวัดของเมืองศิลปะ

ผลงานที่ได้รับความเสียหายภายในวัดป่าอ้อร่มเย็นครั้งนี้ประกอบด้วยผลงานสถาปัตยกรรมกำแพงดินและจิตรกรรมไทยฝาผนังซึ่งถูกระบุจากคนในพื้นที่ว่าเป็น “แรไอเทม” (Rare Item) ของตำบลนางแล ทั้งในแง่คุณค่าทางศิลปะและในฐานะหมุดหมายทางวัฒนธรรมที่เชื่อมโยงจิตวิญญาณของศิลปินกับชุมชน

กำแพงดินและองค์ประกอบทางสถาปัตยกรรมถูกออกแบบและปั้นโดยอาจารย์สมลักษณ์ ปันติบุญ ศิลปินแห่งชาติ ปี 2567–2568 สาขาประติมากรรมเซรามิก ผู้ก่อตั้ง “บ้านดอยดินแดง” แหล่งเรียนรู้ศิลปะเซรามิกที่เป็นที่รู้จักทั้งในระดับประเทศและต่างประเทศ ขณะที่งานจิตรกรรมไทยฝาผนังภายในอาคารเป็นผลงานของอาจารย์ทรงเดช ทิพย์ทอง อดีตนายกสมาคมขัวศิลปะ หนึ่งในศิลปินสำคัญที่มีบทบาทในการขับเคลื่อนเชียงรายสู่การเป็นเมืองศิลปะร่วมสมัย

ที่สำคัญคือ ผลงานทั้งสองส่วนนี้ ศิลปินสร้างให้ “โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย” ถือเป็นการอุทิศแรงงานและศักยภาพเชิงศิลป์ให้แก่วัดและชุมชนในฐานะศรัทธาและการทำบุญรูปแบบหนึ่ง จึงไม่ใช่เพียงงานตกแต่งอาคาร แต่เป็นสัญลักษณ์ของความร่วมมือระหว่างศิลปินและสถาบันศาสนาในการยกระดับพื้นที่วัดให้กลายเป็นพื้นที่เรียนรู้ด้านศิลปะและจิตวิญญาณควบคู่กัน

การตัดสินใจรื้อถอน “รู้เท่าไม่ถึงการณ์” จุดชนวนคำถามใหญ่เรื่องการอนุรักษ์

ต้นตอของเหตุการณ์มาจากความต้องการขยายและปรับปรุงพื้นที่ของวัดเพื่อรองรับการใช้งานที่มากขึ้น รักษาการเจ้าอาวาสวัดป่าอ้อร่มเย็นยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่าเป็นการตัดสินใจที่ “รวดเร็วเกินไป” และเป็นผลมาจาก “ความคิดแว้บเดียว” ที่มุ่งเน้นไปที่ประโยชน์ใช้สอยของอาคาร โดยไม่ได้หยุดคิดให้รอบด้านถึงคุณค่าทางศิลปะที่ถูกสร้างไว้

ในคลิปคำชี้แจงต่อหน้าศิลปินและสาธารณชน รักษาการเจ้าอาวาสกล่าวในทำนองว่า ตน “ลืมนึกถึงความงามของศิลปะ” และคิดเพียงว่าเมื่อรื้อถอนแล้ว ต่อไปสามารถ “ขอความเมตตา” จากอาจารย์สมลักษณ์และอาจารย์ทรงเดชให้กลับมาสร้างผลงานใหม่ได้อีก แต่เมื่อมองย้อนกลับไปจึงตระหนักว่า แนวคิดเช่นนี้ทำให้ “ศิลปะเสียหาย” และเป็นสิ่งที่ “คิดไม่ถึงจริง ๆ” ว่าจะนำมาซึ่งผลกระทบทางจิตใจต่อผู้คนจำนวนมากในสังคม

คำยอมรับว่า “รู้เท่าไม่ถึงการณ์” จากผู้นำทางศาสนาในครั้งนี้จึงสะท้อนช่องว่างที่ยังมีอยู่มากในเรื่องการจัดการและอนุรักษ์งานศิลปะในวัด ซึ่งมักถูกมองเป็นเพียงองค์ประกอบประกอบอาคาร ไม่ใช่มรดกวัฒนธรรมร่วมสมัยที่ต้องได้รับการดูแลอย่างเป็นระบบ

ศิลปินลงพื้นที่แต่เช้ามืด “เบรกทัน” ก่อนความเสียหายลุกลาม

กระแสความไม่พอใจในสังคมเริ่มปะทุขึ้นหลังมีผู้ใช้เฟซบุ๊กเผยแพร่ภาพการทุบกำแพงดินและงานจิตรกรรม พร้อมข้อความสะท้อนความตกใจและสะเทือนใจว่า “ตกใจ ใจหายมาก ร้อนขอบตาหมดเลย มันเป็นเรื่องจริงเหรอ” ภาพเหล่านี้แพร่กระจายอย่างรวดเร็วในสื่อออนไลน์ จนดึงดูดความสนใจของคนในวงการศิลปะและประชาชนทั่วไป

อาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ศิลปินชื่อดังชาวเชียงราย เจ้าของวัดร่องขุ่น และบุคคลที่มีบทบาทสำคัญในการสร้างภาพจำ “เชียงรายเมืองศิลปะ” เปิดเผยผ่านคลิปวิดีโอว่า เมื่อทราบข่าวในคืนวันที่ 25 ธันวาคม 2568 ตนรู้สึก “ร้อนรน” และคิดในใจว่าผลงานทั้งหมดอาจถูกทุบทำลายไปแล้ว จึงรีบโทรศัพท์หาอาจารย์ทรงเดชและอาจารย์สมลักษณ์ตั้งแต่เวลาประมาณตีสี่ ก่อนจะนัดหมายกันเดินทางมา “เบรก” เหตุการณ์ที่วัดแต่เช้ามืดในวันถัดมา

เมื่อมาถึงพื้นที่ อาจารย์เฉลิมชัยพบว่า งานจิตรกรรมของอาจารย์ทรงเดชบางส่วนถูกทุบไปแล้ว แต่ตัวอาคาร ระเบียง และองค์ประกอบภายนอกจำนวนมากยังคงอยู่ในสภาพเดิม เขาจึงใช้โอกาสนี้ในการพูดคุยกับรักษาการเจ้าอาวาสต่อหน้าศิลปินทั้งสอง และขอให้ “ยุติการทุบและการรื้อถอนทุกอย่างไว้เพียงเท่านี้” พร้อมเสนอให้ใช้โอกาสนี้เป็นจุดเริ่มต้นของการ “ปรึกษาหารือร่วมกัน” ว่าจะปรับปรุงอาคารอย่างไรโดยยังคงรักษาคุณค่าทางศิลปะให้มากที่สุด

อาจารย์เฉลิมชัยยังกล่าวต่อสาธารณชนอย่างชัดเจนว่า เหตุการณ์ครั้งนี้ควรถูกใช้เป็น “กรณีศึกษา” หรือ “ตัวอย่างเตือนใจ” ต่อวัดและผู้ดูแลสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ทั่วประเทศว่า

“อย่าทำ ถ้าจะปรับปรุงหรือรื้ออะไรที่มีงานศิลปะอยู่ ต้องปรึกษาศิลปินเขาก่อน…ความคิดง่าย ๆ ของเรา ถ้าไม่คิดให้รอบด้าน มันนำมาซึ่งความเสียหายที่เอาคืนไม่ได้”

ภาพก่อนถูกรื้อ

จากโบสถ์หนึ่งหลัง สู่คำถามใหญ่ของ “เมืองศิลปะ”

เหตุการณ์ที่วัดป่าอ้อร่มเย็นสะท้อนให้เห็นข้อขัดแย้งที่พบได้ในหลายพื้นที่ของประเทศไทย นั่นคือ ความตึงเครียดระหว่าง “ความต้องการใช้ประโยชน์พื้นที่ของวัดและชุมชน” กับ “ความจำเป็นในการอนุรักษ์งานศิลปะและมรดกวัฒนธรรม” โดยเฉพาะในจังหวัดเชียงรายที่แบรนด์ “เมืองศิลปะ” ถูกสร้างขึ้นจากการทำงานของศิลปินและเครือข่ายศิลปะอย่างยาวนาน

ผลงานของอาจารย์สมลักษณ์ ปันติบุญ และอาจารย์ทรงเดช ทิพย์ทอง ไม่ได้มีมูลค่าเฉพาะในตลาดศิลปะ หากแต่มีคุณค่าเชิงสัญลักษณ์ในฐานะงานของศิลปินที่เติบโตจากแผ่นดินเชียงราย และย้อนกลับมาสร้างสรรค์ให้กับวัดในท้องถิ่นของตนเอง การทุบทำลายโดยไม่ปรึกษาศิลปินจึงถูกมองว่าเป็นการ “ตัดขาดสายใย” ระหว่างศิลปิน ชุมชน และศาสนสถานอย่างน่าเสียดาย

ในมุมมองเชิงโครงสร้าง เหตุการณ์นี้ยังสะท้อนข้อจำกัดด้านระบบการคุ้มครองงานศิลปะร่วมสมัยในวัด ซึ่งส่วนใหญ่ไม่ได้ถูกขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานหรือมรดกทางวัฒนธรรมอย่างเป็นทางการ ทำให้ไม่มีกรอบการกำกับดูแลที่ชัดเจน วัดจำนวนมากจึงใช้ดุลยพินิจภายในตัดสินใจปรับปรุงอาคารตามความจำเป็น โดยไม่ได้มีที่ปรึกษาด้านศิลปะหรือสถาปัตยกรรมเข้ามาร่วมพิจารณาอย่างเป็นระบบ

เสียงสะท้อนและการยอมรับผิด จุดเริ่มต้นของการฟื้นฟูความเชื่อมั่น

แม้เหตุการณ์ครั้งนี้จะสร้างความสะเทือนใจต่อผู้คนในวงกว้าง แต่การออกมายอมรับอย่างตรงไปตรงมาของรักษาการเจ้าอาวาสว่า “คิดไม่รอบด้าน” และ “รู้เท่าไม่ถึงการณ์” รวมถึงการยอมยุติการรื้อถอนทันทีเมื่อศิลปินเดินทางมาพูดคุย ถือเป็นก้าวแรกของการฟื้นฟูความเชื่อมั่นระหว่างวัด ศิลปิน และชุมชน

อาจารย์เฉลิมชัยยืนยันต่อสาธารณชนว่า จากนี้ไปจะไม่มีการทุบหรือรื้อถอนเพิ่มเติม และจะให้ศิลปินเจ้าของผลงานคืออาจารย์สมลักษณ์และอาจารย์ทรงเดช เข้ามามีส่วนร่วมในการออกแบบแนวทางปรับปรุงอาคาร เพื่อให้ตอบโจทย์การใช้งานของวัด ในขณะเดียวกันก็พยายามรักษาและฟื้นฟูคุณค่าทางศิลปะเท่าที่จะทำได้

ท่าทีดังกล่าวส่งสัญญาณสำคัญไปยังวงการศิลปะและสาธารณชนว่า แม้ความเสียหายบางส่วนจะไม่อาจย้อนกลับไปแก้ไขได้ แต่กระบวนการ “รับผิด–ปรับแก้–ร่วมคิด” ที่เกิดขึ้นหลังเหตุการณ์ อาจกลายเป็นต้นแบบใหม่ของการแก้ปัญหาความขัดแย้งระหว่างการใช้ประโยชน์พื้นที่และการอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมในอนาคต

บทเรียนเชิงนโยบาย จากกรณีศึกษาหนึ่งวัด สู่แนวคิดอนุรักษ์งานศิลป์ระดับจังหวัด

เมื่อพิจารณาในระดับกว้าง เหตุการณ์วัดป่าอ้อร่มเย็นไม่ได้เป็นเพียงปัญหาของวัดหนึ่งแห่ง แต่เป็น “กระจกสะท้อน” ระบบนิเวศศิลปวัฒนธรรมของเชียงรายและประเทศไทยในภาพรวม

ประการแรก กรณีนี้ชี้ให้เห็นความจำเป็นในการมี “กลไกปรึกษาหารือ” ระหว่างวัด ศิลปิน หน่วยงานท้องถิ่น และผู้เชี่ยวชาญด้านอนุรักษ์ ก่อนจะมีการรื้อถอนหรือปรับปรุงพื้นที่ที่มีงานศิลปะคุณค่า ในจังหวัดเชียงรายซึ่งมีวัดและสถานที่สำคัญที่ศิลปินร่วมสมัยสร้างผลงานไว้จำนวนมาก การจัดทำ “ฐานข้อมูลผลงานศิลป์ในวัด” อย่างเป็นระบบ จะช่วยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถประเมินผลกระทบและวางแผนการปรับปรุงอาคารได้อย่างรอบคอบมากขึ้น

ประการที่สอง เหตุการณ์นี้สะท้อนถึงความจำเป็นของการสร้าง “ความรู้เท่าทันด้านศิลปะ” ให้แก่ผู้บริหารวัดและคณะกรรมการศาสนสถาน โดยเฉพาะในจังหวัดที่มีแบรนด์ด้านศิลปะชัดเจน เช่น เชียงราย การอบรมหรือเวิร์กช็อประหว่างศิลปิน ผู้นำศาสนา และหน่วยงานรัฐ อาจช่วยลดโอกาสเกิดเหตุการณ์ “รู้เท่าไม่ถึงการณ์” แบบเดียวกันนี้ในอนาคต

ประการที่สาม ในมิติของนโยบายวัฒนธรรมระดับจังหวัด กรณีนี้อาจกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการทบทวนแนวทาง “เชียงรายเมืองศิลปะ” ว่าจะก้าวต่อไปอย่างไรให้สมดุลระหว่างการท่องเที่ยว เศรษฐกิจ และการดูแลมรดกทางศิลปะที่กระจายอยู่ในวัดและชุมชนต่าง ๆ ทั่วจังหวัด

ปิดฉากด้วยคำเตือน “อย่าทำ” และคำชวน “มาดูด้วยตาตัวเอง”

ท้ายที่สุด อาจารย์เฉลิมชัยใช้เหตุการณ์นี้สื่อสารไปถึงพุทธศาสนิกชนและผู้สนใจงานศิลปะว่า ใครที่เดินทางมาเชียงรายและตั้งใจไปเยือนบ้านดอยดินแดง บ้านของอาจารย์สมลักษณ์ ควรแวะไปชมวัดป่าอ้อร่มเย็นที่ตำบลนางแล ซึ่งอยู่ก่อนถึงดอยดินแดง เพื่อสัมผัสผลงานที่ยังหลงเหลืออยู่ด้วยสายตาตนเอง พร้อมทั้งตระหนักถึงความเปราะบางของงานศิลปะที่อาจหายไปได้ในพริบตาหากขาดการดูแลอย่างเหมาะสม

ในขณะเดียวกัน เขาย้ำอย่างชัดเจนว่ากรณีนี้ควรเป็น “คลิปตัวอย่าง” ให้ทุกวัดและทุกหน่วยงานจำไว้ว่า

“อย่าทำ…อย่าทุบ อย่ารื้อ งานศิลปะทิ้ง โดยไม่คิดและไม่ปรึกษา เพราะความคิดง่าย ๆ แค่ขยายอาคาร หรืออยากให้ใช้ประโยชน์มากขึ้น หากไม่มองถึงคุณค่าทางศิลปะ มันอาจแลกมาด้วยการสูญเสียที่ไม่มีวันย้อนคืน”

เหตุการณ์ที่วัดป่าอ้อร่มเย็นจึงมิได้เป็นเพียงข่าวเศร้าของวงการศิลป์เชียงราย แต่เป็น “บทเรียนร่วมกัน” ของทั้งวัด ศิลปิน ชุมชน และหน่วยงานรัฐ ว่าการรักษามรดกทางศิลปะให้คงอยู่คู่สังคมไทยนั้น ต้องเริ่มจากการมองเห็นคุณค่าบนผืนดินของตนเอง ก่อนที่ผลงานอันล้ำค่าจะกลายเป็นเพียง “ภาพในความทรงจำ” ของผู้ที่เคยได้มีโอกาสเห็นมาก่อนเท่านั้น

สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • เขียนโดย : กันณพงศ์ ก.บัวเกษร
  • เรียบเรียงโดย : มนรัตน์ ก.บัวเกษร
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
MOST POPULAR
FOLLOW ME
Categories
AROUND CHIANG RAI TRAVEL

7 แลนด์มาร์คแสงศิลป์ หลงแสง เวียงเจียงฮาย Light Festival 2568 ปลุกมนต์เสน่ห์ล้านนายามค่ำคืน

เชียงรายเปิดเมืองศิลปะยามค่ำคืน “หลงแสง เวียงเจียงฮาย Light Festival 2568” ขับเคลื่อนยุทธศาสตร์เมืองท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์สู่สายตาชาวโลก

เชียงราย, 25 ธันวาคม 2568 – แสงสีที่ค่อย ๆ ทอประกายเหนือท้องฟ้ายามค่ำคืนใจกลางเมืองเชียงรายในช่วงปลายเดือนธันวาคมปีนี้ ไม่ได้เป็นเพียงฉากสวยงามของเทศกาลท่องเที่ยวปลายปีเท่านั้น หากยังสะท้อน “ทิศทางใหม่” ของจังหวัดเชียงรายที่กำลังก้าวสู่การเป็นเมืองท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ตามยุทธศาสตร์อาเซียนฉบับใหม่ และแนวคิด “เมืองแห่งการเรียนรู้” ขององค์การยูเนสโก ผ่านการจัดงาน “หลงแสง เวียงเจียงฮาย Light Festival 2568 – Heart Art Light” ควบคู่กับกิจกรรม “Learning Space” ที่บูรณาการการท่องเที่ยวเข้ากับการเรียนรู้อย่างเป็นระบบ

การขับเคลื่อนดังกล่าวเกิดขึ้นท่ามกลางความท้าทายด้านเศรษฐกิจและผลกระทบจากอุทกภัยที่เพิ่งผ่านมาไม่นาน แต่จังหวัดเชียงรายเลือกตอบโจทย์ด้วย “ศิลปะ แสง สี และอัตลักษณ์ท้องถิ่น” เพื่อฟื้นความเชื่อมั่น กระจายรายได้สู่ชุมชน และสร้างภาพจำใหม่ให้กับเมืองศิลปะแห่งล้านนาเหนือ

“Heart Art Light” ปลุกชีพเมืองเก่าให้มีชีวิตในยามค่ำคืน

ค่ำวันที่ 24 ธันวาคม 2568 ที่สถานีขนส่งแห่งที่ 1 หรือ Downtown ใจกลางเมืองเชียงราย เนืองแน่นไปด้วยประชาชนและนักท่องเที่ยวที่มารอชมพิธีเปิดงาน “หลงแสง เวียงเจียงฮาย Light Festival 2568” อย่างเป็นทางการ

บนเวทีหลัก นายชูชีพ พงษ์ไชย ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ร่วมกับ นายวันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย และ นางสาวนพรัตน์ ศตะรัตน์ ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงราย กดปุ่มเปิดม่านแสงสีภายใต้แนวคิด “Heart Art Light” สื่อถึง “หัวใจ–ศิลปะ–แสง” ที่ถูกนำมาผสานเข้าด้วยกันเพื่อบอกเล่าเรื่องราวของเมืองเชียงรายในมิติใหม่

เทศกาลครั้งนี้จัดขึ้นระหว่างวันที่ 20 ธันวาคม 2568 – 24 มกราคม 2569 โดยเป็นความร่วมมือระหว่างสำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงรายและเทศบาลนครเชียงราย ตั้งเป้าให้เป็นแม่เหล็กดึงดูดนักท่องเที่ยวช่วงปลายปีต่อเนื่องถึงต้นปีใหม่ และเป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนา “เมืองท่องเที่ยวยามค่ำคืน” อย่างจริงจัง

ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายระบุว่า การใช้ศิลปะและวัฒนธรรมเป็นจุดขาย ไม่เพียงสร้างบรรยากาศให้เมืองมีชีวิตชีวา แต่ยังสร้างความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยและบ่งชี้ว่าจังหวัดมีความพร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยวตลอดทั้งปี สอดคล้องกับนโยบาย “เที่ยวเชียงรายได้ทั้งปี มีดีทุกอำเภอ” ที่จังหวัดผลักดันอย่างต่อเนื่อง

7 เส้นทางแสงศิลป์ เล่าเรื่องเมืองเก่าในรูปแบบร่วมสมัย

หัวใจของเทศกาล “หลงแสง เวียงเจียงฮาย” คือการชวนผู้มาเยือน “ออกเดินทางตามแสงศิลป์” ผ่าน 7 จุดสำคัญทั่วเขตเทศบาลนครเชียงราย ซึ่งถูกออกแบบด้วยงานแสงร่วมสมัยผสมผสานกับประวัติศาสตร์และความเชื่อของชุมชน ได้แก่

  1. Downtown สถานีขนส่งแห่งที่ 1 – จุดเริ่มต้นของเส้นทางและศูนย์กลางการเดินทางของผู้คน
  2. ถนนบรรพปราการ – เส้นทางที่สะท้อนภาพเมืองเก่า ผ่านลำแสงและการจัดวางสื่อศิลปะที่เชื่อมโยงประวัติศาสตร์การก่อกำเนิดเมืองเชียงราย
  3. วัดมิ่งเมือง – ศาสนสถานสำคัญที่ถูกเติมชีวิตด้วยการจัดแสงอย่างประณีต ให้ผู้มาเยือนสัมผัสความศรัทธาในมิติใหม่
  4. ประตูเชียงใหม่ –แลนด์มาร์กเชิงสัญลักษณ์ของการเชื่อมต่อเมืองเก่าและเมืองใหม่
  5. ถนนสิงหไคล – ถนนสายเศรษฐกิจที่กลายเป็นพื้นที่จัดแสดงศิลปะแสงและกิจกรรมทางวัฒนธรรม
  6. อนุสาวรีย์พ่อขุนเม็งรายมหาราช – ศูนย์รวมจิตใจของชาวเชียงรายที่ส่องสว่างด้วยการออกแบบแสงที่ให้เกียรติประวัติศาสตร์การสถาปนาเมือง
  7. สวนตุงและโคมเฉลิมพระเกียรติ 75 พรรษา – พื้นที่สาธารณะที่ปรับแต่งด้วยแสงสีและตุงโคมล้านนา สร้างประสบการณ์เดินชมงานยามค่ำคืนอย่างรื่นรมย์

แต่ละจุดไม่ได้เป็นเพียงจุดถ่ายภาพ หากถูกออกแบบให้ “เล่าเรื่อง” ผ่านการผสมผสานระหว่างแสง สี เสียง และองค์ประกอบศิลป์ร่วมสมัย เพื่อให้ผู้เดินชมสามารถรับรู้ทั้งอดีต ปัจจุบัน และจิตวิญญาณของเมืองในคราวเดียวกัน

เพื่อเพิ่มการมีส่วนร่วมของนักท่องเที่ยว ยังมีกิจกรรม นักเดินทางแห่งแสง (Light Traveler)” ให้ผู้ร่วมงานเดินทางเยี่ยมชมครบทั้ง 7 จุด รับตราประทับใน Passport ของเทศกาล และนำไปแลกรับของที่ระลึกจำนวนจำกัด กลไกเล็ก ๆ นี้ไม่เพียงสร้างสีสัน แต่ยังเป็นเครื่องมือกระจายผู้คนไปทั่วเขตเมือง ลดความแออัด และเพิ่มโอกาสให้ร้านค้า–ผู้ประกอบการในจุดต่าง ๆ ได้รับรายได้มากขึ้น

นายวันชัย จงสุทธานามณี ระบุในพิธีเปิดว่า หลังสถานการณ์อุทกภัย เทศบาลนครเชียงรายจำเป็นต้องสร้าง “สัญญาณเชิงบวก” ให้กับทั้งคนในพื้นที่และนักท่องเที่ยว กิจกรรมด้านศิลปะและการท่องเที่ยวที่จัดต่อเนื่องปลายปีนี้จึงมีเป้าหมายชัดเจนในการฟื้นฟูบรรยากาศเมืองและกระจายรายได้สู่ผู้ประกอบการรายย่อยในเขตเทศบาล

“Learning Space” พื้นที่เรียนรู้ที่เชื่อมเมืองท่องเที่ยวกับเมืองแห่งการเรียนรู้

หากเทศกาลแสงสีเป็นการเล่าเรื่องเมืองในยามค่ำคืน กิจกรรม “Learning Space” ที่เปิดตัวในวันที่ 24 ธันวาคม 2568 ณ อาคารสถานีขนส่งผู้โดยสารจังหวัดเชียงรายแห่งที่ 1 คือ “อีกครึ่งหนึ่ง” ของยุทธศาสตร์ที่นำการท่องเที่ยวมาผูกกับการพัฒนาคนและชุมชน

กิจกรรมนี้จัดขึ้นระหว่างวันที่ 24–29 ธันวาคม 2568 รวม 6 วัน ภายใต้โครงการปีส่งเสริมการท่องเที่ยวท้องถิ่นจังหวัดเชียงราย มีเป้าหมายชัดเจนในการสร้าง ตลาดการเรียนรู้” ที่เชื่อมต่อแหล่งเรียนรู้ในจังหวัดเข้ากับเส้นทางท่องเที่ยว เพื่อสนับสนุนแนวคิด “เมืองแห่งการเรียนรู้” ตามกรอบขององค์การยูเนสโก

ภายในงานมีการรวบรวม แหล่งเรียนรู้ 30 แห่ง จากทั่วจังหวัด แบ่งออกเป็น 6 ด้านสำคัญ ได้แก่

  1. ศิลปะและสถาปัตยกรรม
  2. อาหาร ชา และกาแฟ
  3. ธรรมชาติและการเกษตร
  4. ศาสนา วัฒนธรรม ประเพณีและประวัติศาสตร์
  5. วิถีชีวิต ผ้าล้านนา และชาติพันธุ์
  6. กีฬา นันทนาการ และสุขภาพ

แต่ละแหล่งเรียนรู้ได้นำเสนอทั้งนิทรรศการ เวิร์กช็อป และการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ เพื่อให้ผู้มาเยือนได้สัมผัส “ของจริง” ทั้งในแง่ภูมิปัญญาและเศรษฐกิจ โดยเฉพาะกลุ่มชุมชนที่พัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์

นายชูชีพ พงษ์ไชย เน้นย้ำในพิธีเปิดว่า การพัฒนาการท่องเที่ยวของเชียงรายจะต้องไม่หยุดอยู่เพียงการเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยว แต่ต้องเป็นเครื่องมือในการพัฒนาคนและชุมชนให้เข้มแข็ง สร้าง “รายได้” ควบคู่กับ “รากฐานความรู้” เพื่อให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างสมดุลและยั่งยืน

ด้านนายวันชัย จงสุทธานามณี มองว่า Learning Space คือเวทีที่เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการขนาดเล็ก แหล่งเรียนรู้ในชุมชน และกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ ได้แสดงศักยภาพต่อสายตานักท่องเที่ยว รวมทั้งเชื่อมโยงกับผู้ประกอบการด้านท่องเที่ยวรายใหญ่ในอนาคต

ขณะเดียวกัน นางสาวนพรัตน์ ศตะรัตน์ ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงราย ชี้ว่ากิจกรรม Learning Space เป็นอีกก้าวสำคัญในการยกระดับการท่องเที่ยวเชียงรายให้เข้าสู่มาตรฐาน “การท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ” ที่ให้ความสำคัญกับประสบการณ์ที่มีความหมายต่อผู้เดินทาง มากกว่าการท่องเที่ยวแบบแวะถ่ายภาพแล้วจากไป

ครัวอาข่าบ้านผาหมี และ “รากชู” สมุนไพรที่เล่าเรื่องชาติพันธุ์บนโต๊ะอาหาร

หนึ่งในไฮไลต์ของ Learning Space ปีนี้ คือการนำเสนอ “การท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์บ้านผาหมี” ตำบลห้วยน้ำขุ่น ซึ่งเป็นชุมชนชาวอาข่าที่ได้รับการยอมรับในด้านกาแฟคุณภาพและการจัดการท่องเที่ยวโดยชุมชน

ภายใต้แนวคิด ตามหารากชู ชูรสชาติแห่งดอย สูตรลับแห่งขุนเขา” นักท่องเที่ยวได้เรียนรู้การทำอาหารอาข่า โดยเฉพาะเมนูน้ำพริกรากชูที่ใช้สมุนไพรหายากรสเผ็ดร้อนเป็นส่วนผสมหลัก “รากชู” ไม่ได้เป็นเพียงวัตถุดิบในครัว แต่เป็นตัวแทนภูมิปัญญาการกินของชาวอาข่าที่ผูกพันกับภูเขาและป่าไม้รอบหมู่บ้านมาหลายชั่วอายุคน

การนำเรื่องราวของรากชูและครัวอาข่ามาเชื่อมกับเทศกาลแสงสีและพื้นที่การเรียนรู้ ทำให้ผู้มาเยือนได้สัมผัสเชียงรายในฐานะ “เมืองหลากหลายชาติพันธุ์” ที่มีทั้งศิลปะร่วมสมัยและภูมิปัญญาดั้งเดิมอยู่ร่วมกันอย่างกลมกลืน ซึ่งสอดคล้องกับกรอบแผนการท่องเที่ยวอาเซียน ปี 2569–2573 ที่เน้นการท่องเที่ยวคุณภาพสูง เคารพวัฒนธรรมท้องถิ่น และไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง

ขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก ผ่านเทศกาลแสง–เทศกาลดอกไม้–งานประเพณีสำคัญ

เทศกาล “หลงแสง เวียงเจียงฮาย Light Festival 2568” ไม่ได้ถูกออกแบบให้โดดเดี่ยว หากเชื่อมต่อกับปฏิทินการท่องเที่ยวสำคัญของจังหวัดอย่างเป็นระบบ

ช่วงเวลาเดียวกัน จังหวัดเชียงรายยังจัด มหกรรมไม้ดอกอาเซียนเชียงราย 2025 ณ หนองหลวง ระหว่างวันที่ 19 ธันวาคม 2568 – 7 มกราคม 2569 ซึ่งเป็นงานระดับภูมิภาคที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวจำนวนมาก และเตรียมต่อเนื่องด้วย งานพ่อขุนเม็งรายมหาราช ระหว่างวันที่ 26 มกราคม – 4 กุมภาพันธ์ 2569

การวางปฏิทินเช่นนี้ทำให้เชียงรายมี “คลื่นนักท่องเที่ยว” ต่อเนื่องหลายสัปดาห์ สร้างโอกาสในการจับจ่ายใช้สอยแก่ผู้ประกอบการโรงแรม ร้านอาหาร ร้านกาแฟ รถเช่า และสินค้า OTOP ทั่วจังหวัด โดยเฉพาะในเขตเทศบาลนครเชียงรายและอำเภอใกล้เคียง

แม้จะยังไม่มีตัวเลขสถิติรายได้จากเทศกาลหลงแสงฯ อย่างเป็นทางการ แต่จากประสบการณ์ในหลายจังหวัดที่ใช้เทศกาลแสงสีเป็นเครื่องมือดึงดูดนักท่องเที่ยว พบว่ารูปแบบกิจกรรมยามค่ำคืนมีแนวโน้มช่วยเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวพักค้างคืน และเพิ่มค่าใช้จ่ายต่อหัวของนักท่องเที่ยวได้อย่างมีนัยสำคัญ เมื่อผนวกกับกิจกรรม Learning Space ที่เปิดพื้นที่ให้ชุมชน นำสินค้าและองค์ความรู้ของตนเองมาเสนอโดยตรง ยิ่งทำให้เม็ดเงินจากการท่องเที่ยวมีโอกาส “ไหลลงสู่ฐานราก” มากขึ้น

เชียงรายบนเส้นทางเมืองท่องเที่ยวสร้างสรรค์ ศิลปะ วัฒนธรรม และการเรียนรู้ในทิศทางเดียวกัน

หากมองภาพรวม จะเห็นได้ว่าการจัดงานหลงแสงฯ และ Learning Space ในปลายปี 2568 ไม่ใช่กิจกรรมเฉพาะครั้ง แต่เป็นส่วนหนึ่งของ “โมเสกยุทธศาสตร์” ที่จังหวัดเชียงรายกำลังประกอบขึ้น

ด้านหนึ่ง เมืองกำลังใช้ศิลปะและแสงสีสร้างภาพลักษณ์ใหม่ของพื้นที่เมืองเก่า ยกระดับให้เป็นเมืองท่องเที่ยวสร้างสรรค์ที่สามารถแข่งขันได้ในระดับภูมิภาค ดึงดูดทั้งนักท่องเที่ยวไทยและต่างชาติที่มองหาประสบการณ์ท่องเที่ยวเชิงศิลปะและวัฒนธรรม

อีกด้านหนึ่ง จังหวัดกำลังผลักดันแนวคิดเมืองแห่งการเรียนรู้ ผ่านการเชื่อมโยงแหล่งเรียนรู้ 30 แห่ง ครอบคลุมทั้งศิลปะ อาหาร ธรรมชาติ ศาสนา วิถีชีวิต และกีฬา ให้เป็น “ห้องเรียนเปิด” สำหรับทั้งนักท่องเที่ยวและคนในพื้นที่

เมื่อสองมิตินี้มาบรรจบกัน เชียงรายจึงไม่ได้เป็นเพียง “เมืองแวะเที่ยว” หากกำลังกลายเป็นพื้นที่ที่ผู้มาเยือนสามารถใช้เวลาเรียนรู้ ทำกิจกรรม และใช้จ่ายในชุมชนได้มากขึ้น ขณะเดียวกัน คนเชียงรายเองก็ได้เห็นคุณค่าของภูมิปัญญาและพื้นที่ของตนในมิติที่ลึกกว่าเดิม

แสงสีที่ปลุกเมือง…และปลุกอนาคตเศรษฐกิจท้องถิ่น

แสงจากเทศกาล “หลงแสง เวียงเจียงฮาย Light Festival 2568” อาจดับลงเมื่อถึงวันที่ 24 มกราคม 2569 แต่คำถามสำคัญสำหรับเชียงรายคือ แสงจากการพัฒนาเมืองเชิงสร้างสรรค์และการเรียนรู้จะส่องทางไปได้ไกลเพียงใด

จากการออกแบบกิจกรรมที่เน้นการมีส่วนร่วมของชุมชน การใช้ศิลปะและอัตลักษณ์ชาติพันธุ์เป็นจุดขาย และการวางปฏิทินท่องเที่ยวเชื่อมโยงกันทั้งเทศกาลแสง เทศกาลดอกไม้ และงานประเพณีสำคัญ สะท้อนให้เห็นว่าจังหวัดกำลังเดินบนเส้นทางที่ชัดเจนในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากผ่านการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ

หากสามารถรักษาความต่อเนื่องของนโยบาย พัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานรองรับนักท่องเที่ยว และสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างภาครัฐ เอกชน และชุมชนอย่างแข็งแรง เชียงรายย่อมมีศักยภาพที่จะยืนยันสถานะ “เมืองท่องเที่ยวสร้างสรรค์แห่งล้านนาเหนือ” ได้อย่างเต็มภาคภูมิ

สำหรับนักท่องเที่ยว การออกเดินทางตามแสงศิลป์ทั้ง 7 จุด การชิมน้ำพริกรากชูบนดอยสูง หรือการเรียนรู้เรื่องราวของผ้าล้านนาใน Learning Space อาจเป็นเพียงประสบการณ์หนึ่งค่ำคืน แต่สำหรับชุมชนท้องถิ่น แสงเหล่านี้คือความหวังใหม่ของรายได้ โอกาส และอนาคตที่ยั่งยืนกว่าเดิม

สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • เทศบาลนครเชียงราย
  • สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงราย
  • ข่าวประชาสัมพันธ์กิจกรรม “หลงแสง เวียงเจียงฮาย Light Festival 2568 – Heart Art Light”
  • ข่าวประชาสัมพันธ์กิจกรรม “Learning Space” และปีส่งเสริมการท่องเที่ยวท้องถิ่นจังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
MOST POPULAR
FOLLOW ME
Categories
AROUND CHIANG RAI ENVIRONMENT

ส่อง “เวียงแก่นโมเดล” เพาะเห็ดฟางจากซังข้าวโพด นวัตกรรมลดเผา-ลดหมอกควันข้ามแดนที่ยั่งยืน

เปลี่ยนเศษวัสดุเป็นรายได้ “เวียงแก่นโมเดล” เพาะเห็ดฟางจากซังข้าวโพด ทางรอดใหม่ลดเผา–ลดหมอกควันข้ามแดน

เชียงราย, 25 ธันวาคม 2568 – ทุกฤดูแล้งของภาคเหนือ ภาพควันไฟที่ลอยคลุ้งเหนือภูเขาและไร่นาในหลายจังหวัดมักหวนกลับมาเป็นวาระแห่งชาติอยู่เสมอ การเผาฟางข้าว เปลือกข้าวโพด และซังข้าวโพดหลังการเก็บเกี่ยว แม้จะเป็นวิธีจัดการเศษวัสดุที่คุ้นชินของเกษตรกร แต่กลับกลายเป็นต้นทางสำคัญของปัญหาฝุ่น PM 2.5 และหมอกควันข้ามแดนที่กระทบต่อทั้งสุขภาพประชาชนและภาพลักษณ์การท่องเที่ยวของไทยและประเทศเพื่อนบ้าน

ท่ามกลางโจทย์ใหญ่ที่ยืดเยื้อมานาน อำเภอเวียงแก่น จังหวัดเชียงราย ซึ่งเป็นพื้นที่เกษตรกรรมและชายแดนที่ต้องเผชิญกับปัญหาหมอกควันอย่างต่อเนื่อง กำลังทดลอง “คำตอบใหม่” ที่ไม่ได้เริ่มต้นจากห้องประชุม แต่เริ่มต้นจาก “กองซังข้าวโพด” ที่เคยถูกเผาทิ้ง

เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2568 ที่ผ่านมา สถาบันสิ่งแวดล้อมไทย (TEI) ภายใต้โครงการ “พัฒนาความร่วมมือเมืองคู่ขนาน ไทย–ลาว–เมียนมา เพื่อขับเคลื่อนการจัดการและลดมลพิษหมอกควันข้ามแดน” ที่ได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) หรือ สวก. และสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ได้ร่วมกับทีมพัฒนาชุมชนและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอำเภอเวียงแก่น จัดกิจกรรมอบรมเชิงปฏิบัติการ “การเพาะเห็ดฟางและเห็ดแชมปิญองจากเปลือกข้าวโพดและซังข้าวโพด เศษวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร ชุมชนลดการเผา”

เป้าหมายไม่ใช่เพียงให้เกษตรกร “เรียนรู้วิธีเพาะเห็ด” แต่คือการสร้างโมเดลจัดการวัสดุเหลือใช้ที่เป็นรูปธรรม เห็นรายได้จริง จนกลายเป็นแรงจูงใจให้ชุมชน “เลิกเผาอย่างสมัครใจ”

จากเวียงแก่นสู่บ้านป่าจั่น เรียนรู้จากชุมชนต้นแบบที่เปลี่ยนซังข้าวโพดเป็นเห็ดเศรษฐกิจ

การอบรมครั้งนี้นำผู้นำชุมชน เกษตรกร เจ้าหน้าที่พัฒนาชุมชน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในอำเภอเวียงแก่น จำนวน 30 คน เดินทางไปศึกษาดูงาน ณ บ้านป่าจั่น หมู่ 7 ตำบลเวียงกาหลง อำเภอเวียงป่าเป้า จังหวัดเชียงราย ชุมชนต้นแบบที่พิสูจน์แล้วว่า “เปลือกและซังข้าวโพด” สามารถกลายเป็นฐานรายได้ใหม่ได้จริง

กิจกรรมจัดขึ้นในรูปแบบ “เรียนรู้จากของจริง” โดยมี

  • คุณวิลาวรรณ น้อยภา หัวหน้าโครงการฯ มอบหมายให้
  • คุณศุภาพิชญ์ สงคำ ผู้ประสานงานโครงการ พร้อมด้วยคณะวิจัย ร่วมออกแบบกระบวนการเรียนรู้
    และได้รับเกียรติจาก
  • คุณวรากร วังฐาน รองนายกเทศบาลตำบลเวียงกาหลง ให้การต้อนรับ
  • คุณสันต์ณรงค์ วีระชาติ ผู้ใหญ่บ้านป่าจั่น เป็นวิทยากรถ่ายทอดประสบการณ์การเพาะเห็ดฟางและเห็ดแชมปิญองจากเปลือกและซังข้าวโพดที่ปฏิบัติจริงในชุมชน

บ้านป่าจั่นเคยเผชิญโจทย์ไม่ต่างจากเวียงแก่น คือมีเศษวัสดุทางการเกษตรจำนวนมาก โดยเฉพาะฟางข้าว เปลือกข้าวโพด และซังข้าวโพดที่ถูกเผาทิ้งเป็นประจำทุกปี การเปลี่ยนวิธีคิดจาก “ของเหลือทิ้ง” ให้เป็น “วัตถุดิบเพาะเห็ด” จึงไม่ใช่เพียงการทดลองเชิงเทคนิค แต่เป็นการทดลอง “เปลี่ยนวิถี” ของทั้งชุมชน

จากการถ่ายทอดของผู้ใหญ่บ้านป่าจั่น เกษตรกรในพื้นที่ใช้เปลือกและซังข้าวโพดมาผ่านกระบวนการหมักและปรับสภาพให้เป็นวัสดุเพาะเห็ด ทั้งเห็ดฟางและเห็ดแชมปิญอง เมื่อเก็บผลผลิตแล้ว วัสดุที่เหลือหรือ “กากเห็ด” ยังสามารถนำไปเป็นปุ๋ยอินทรีย์หรือวัสดุปรับปรุงดินในแปลงเกษตร ช่วยลดต้นทุนปุ๋ยเคมีและปิดวงจรการใช้ทรัพยากรอย่างครบถ้วน

ผลลัพธ์ที่จับต้องได้คือ เกษตรกรมีรายได้เสริมหมุนเวียนจากการขายเห็ด ขณะเดียวกัน พื้นที่เผาในที่โล่งก็ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ นี่คือ “รูปธรรม” ที่เวียงแก่นตั้งใจจะนำกลับไปขยายผลในพื้นที่ของตนเอง

ฟางข้าว–ซังข้าวโพด จากต้นเหตุหมอกควัน สู่วัตถุดิบสร้างมูลค่า

ข้อมูลจากการดำเนินโครงการระบุว่า ฟางข้าว เปลือกข้าวโพด และซังข้าวโพด เป็นเศษวัสดุที่มีปริมาณมหาศาลในอำเภอเวียงแก่น และ “ขาดรูปแบบการจัดการที่เหมาะสม” มายาวนาน เกษตรกรจำนวนมากจึงเลือกใช้วิธีเผาทิ้งในช่วงเตรียมแปลงเพาะปลูก สร้างทั้งจุดความร้อน (Hotspot) และฝุ่น PM 2.5 ที่ลอยสะสมในบรรยากาศ

โครงการของ TEI เลือกมองวัสดุเหล่านี้ผ่านมุมมองใหม่ โดยเน้นแนวคิด 3 มิติหลัก

  1. หมุนวนทรัพยากร (Circular Resource Use)
    แทนที่จะปล่อยให้ฟางและซังข้าวโพดกลายเป็นภาระของสิ่งแวดล้อม โครงการชี้ให้เห็นว่าทุกกองซังข้าวโพดสามารถแปลงร่างเป็นโรงเรือนเพาะเห็ดได้ หากมีการจัดการที่เหมาะสม เกษตรกรจะได้วัตถุดิบเพาะเห็ดที่หาได้ในพื้นที่ตนเองโดยไม่ต้องซื้อจากภายนอก
  2. สร้างรายได้เสริมอย่างเป็นรูปธรรม
    เห็ดฟางและเห็ดแชมปิญองเป็นสินค้าที่ตลาดต้องการสม่ำเสมอ ราคาจำหน่ายต่อกิโลกรัมสูงกว่าเมล็ดข้าวโพดหรือฟางแห้งหลายเท่า และมีรอบการเก็บเกี่ยวสั้น เมื่อเกษตรกรเห็นตัวเลขกำไรที่เกิดขึ้นจริงจากการเพาะเห็ด ก็มีแรงจูงใจชัดเจนที่จะหันหลังให้การเผา
  3. คืนอินทรียวัตถุสู่ผืนดิน
    หลังเก็บเห็ดแล้ว กากเห็ดที่เหลือไม่ได้ถูกทิ้งเป็นขยะ หากแต่นำกลับไปใช้เป็นปุ๋ยอินทรีย์หรือวัสดุปรับปรุงดินในไร่นา ช่วยเพิ่มอินทรียวัตถุในดินและลดต้นทุนปุ๋ยเคมีในระยะยาว

คุณศุภาพิชญ์ สงคำ ผู้ประสานงานโครงการ ระบุในเวทีอบรมว่า การสร้างรูปธรรมที่ “เห็นกำไรจริง” เป็นหัวใจสำคัญของการเปลี่ยนพฤติกรรมการเผา หากเกษตรกรสามารถเปลี่ยนกองซังข้าวโพดให้กลายเป็นรายได้ในครัวเรือน เขาย่อมมีเหตุผลเพียงพอที่จะหยุดจุดไฟด้วยตัวเอง

เมืองคู่ขนาน ไทย–ลาว–เมียนมา เชื่อมโมเดลเวียงแก่นสู่การแก้ปัญหาหมอกควันข้ามแดน

กิจกรรมในเวียงแก่นไม่ใช่โครงการเดี่ยว หากเป็นส่วนหนึ่งของกรอบความร่วมมือ “เมืองคู่ขนาน ไทย–ลาว–เมียนมา” ที่มุ่งหวังลดมลพิษหมอกควันข้ามแดนอย่างเป็นระบบ ภายใต้การสนับสนุนด้านวิชาการและงบประมาณจาก สวก. และ วช.

โจทย์สำคัญของกรอบความร่วมมือนี้คือ การหาวิธีจัดการเชื้อเพลิงทางการเกษตรที่เหมาะสมกับบริบทของพื้นที่ชายแดน ซึ่งมีทั้งไร่ข้าวโพดขนาดใหญ่ พื้นที่สูง และชุมชนชาติพันธุ์หลากหลาย การออกแบบโมเดลที่ใช้วัสดุในชุมชน สร้างรายได้จริง และสามารถถ่ายทอดได้โดยไม่ซับซ้อน จึงเป็นเงื่อนไขสำคัญ หากต้องการให้ประเทศเพื่อนบ้านนำไปปรับใช้ร่วมกันในระยะยาว

เวียงแก่นซึ่งมีพรมแดนติดสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว จึงถูกมองว่าเป็น “พื้นที่ทดลองเชิงยุทธศาสตร์” เพราะหากโมเดลเพาะเห็ดจากซังข้าวโพดประสบความสำเร็จและขยายครอบคลุมทั้งอำเภอภายในปี 2569 ตามเป้าหมายที่ผู้นำชุมชนตั้งไว้ ก็จะสามารถนำไปแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับชุมชนฝั่งลาวและเมียนมาที่เผชิญปัญหาคล้ายกันได้โดยตรง

 

ประโยชน์รอบด้านของ “เห็ดเวียงแก่นโมเดล”

จากการสังเคราะห์ข้อมูลของโครงการ สามารถสรุปประโยชน์ของโมเดลเพาะเห็ดจากซังข้าวโพดใน 4 มิติหลัก ดังนี้

  1. มิติสิ่งแวดล้อม
    การนำฟางข้าวและซังข้าวโพดมาใช้เพาะเห็ดแทนการเผา ช่วยลดจำนวนจุดความร้อน (Hotspot) และปริมาณฝุ่น PM 2.5 จากการเผาในที่โล่ง ซึ่งเป็นต้นเหตุสำคัญของปัญหาหมอกควันในลุ่มน้ำโขงตอนบน แม้จะยังไม่มีตัวเลขเชิงสถิติหลังดำเนินการเต็มรูปแบบ แต่แนวโน้มการลดพื้นที่เผาจะชัดเจนขึ้นเมื่อชุมชนหันมาใช้วัสดุเหล่านี้ในโรงเรือนเพาะเห็ดอย่างแพร่หลาย
  2. มิติเศรษฐกิจครัวเรือน
    การเพาะเห็ดฟางและเห็ดแชมปิญองเปิดโอกาสให้เกษตรกรมีรายได้เสริมที่หมุนเวียนรวดเร็ว ลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาผลผลิตทางการเกษตรเพียงชนิดเดียว ขณะเดียวกัน ครัวเรือนยังลดค่าใช้จ่ายด้านอาหาร เพราะสามารถบริโภคเห็ดที่เพาะเองได้โดยไม่ต้องซื้อจากตลาด
  3. มิติการเกษตรและคุณภาพดิน
    กากเห็ดหลังการเพาะถือเป็นอินทรียวัตถุคุณภาพดี เมื่อนำกลับไปปรับปรุงดินในแปลงเกษตร จะช่วยเพิ่มธาตุอาหารและโครงสร้างดินให้ร่วนซุยขึ้น เกษตรกรสามารถลดการใช้ปุ๋ยเคมีและสารปรับปรุงดินจากภายนอก ซึ่งไม่เพียงช่วยลดต้นทุน แต่ยังลดความเสี่ยงด้านสุขภาพจากการสัมผัสสารเคมีโดยตรง
  4. มิติสังคมและการพัฒนาศักยภาพผู้นำ
    การอบรมเชิงปฏิบัติการครั้งนี้เน้นการสร้าง “ผู้นำชุมชนที่มีความรู้” หรือ Smart Leader ให้มีทักษะทั้งด้านเทคนิคการเพาะเห็ดและความเข้าใจด้านสิ่งแวดล้อม ผู้นำเหล่านี้จะกลับไปเป็นฟันเฟืองสำคัญในการถ่ายทอดองค์ความรู้สู่ชุมชนของตนเอง ผ่านกิจกรรมฝึกอบรมย่อยหรือโครงการนำร่องในแต่ละหมู่บ้าน

ก้าวต่อไปของเวียงแก่น เป้าหมาย “เกษตรปลอดการเผา” ภายในปี 2569

หลังการศึกษาดูงานที่บ้านป่าจั่น ผู้นำชุมชน ตัวแทนท้องถิ่น และผู้บริหารโครงการมีความเห็นร่วมกันว่า เวียงแก่นจำเป็นต้อง “ยกระดับ” การเรียนรู้ครั้งนี้ให้เข้าสู่กระบวนการวางแผนพัฒนาท้องถิ่นอย่างเป็นทางการ

ทิศทางต่อไปของเวียงแก่นจึงประกอบด้วย 3 แนวทางหลัก

  1. บรรจุโมเดลเพาะเห็ดลงในแผนงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
    องค์การบริหารส่วนตำบลและเทศบาลในพื้นที่จะพิจารณาจัดสรรงบประมาณสนับสนุนโรงเรือนต้นแบบ อุปกรณ์เพาะเห็ด และการอบรมต่อเนื่อง เพื่อให้ครัวเรือนสนใจสามารถเข้าร่วมได้จริง ไม่เป็นเพียง “ความรู้บนกระดาษ”
  2. ขยายผลให้ครอบคลุมทุกตำบลในอำเภอเวียงแก่น
    จากกลุ่มนำร่อง 30 คนในครั้งแรก แผนงานระยะกลางมุ่งหวังให้มีครัวเรือนเข้าร่วมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนครอบคลุมทุกตำบลภายในปี 2569 ซึ่งจะทำให้เวียงแก่นเข้าใกล้เป้าหมาย “อำเภอเกษตรปลอดการเผา” อย่างเป็นรูปธรรม
  3. เชื่อมโยงเครือข่ายกับชุมชนรอบนอกและประเทศเพื่อนบ้าน
    เมื่อเวียงแก่นมีตัวอย่างความสำเร็จมากพอ โครงการเมืองคู่ขนาน ไทย–ลาว–เมียนมา สามารถใช้เวียงแก่นเป็น “ฐานเรียนรู้” ให้ชุมชนจากฝั่งลาวและเมียนมาเข้ามาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เพื่อลดการเผาในระดับลุ่มน้ำและภูมิภาคต่อไป

เห็ดฟางหนึ่งดอก… จุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงทั้งระบบ

กรณีศึกษา “เพาะเห็ดฟางจากซังข้าวโพดที่เวียงแก่น” ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า การแก้ปัญหาหมอกควันและไฟป่าที่หยั่งรากลึกในโครงสร้างเศรษฐกิจและวิถีชีวิตของชุมชน ไม่อาจแก้ได้ด้วยคำขอร้องหรือมาตรการบังคับใช้กฎหมายเพียงอย่างเดียว

เมื่อเกษตรกรถูกขอให้ “หยุดเผา” แต่ยังไม่มีทางเลือกอื่นในการจัดการเศษวัสดุและสร้างรายได้ การเผาย่อมกลับมาในทุกฤดู แต่เมื่อการเผาถูกแทนที่ด้วยกิจกรรมที่สร้างรายได้จริง เพิ่มคุณภาพดิน และลดต้นทุนในระยะยาว เช่น การเพาะเห็ดจากซังข้าวโพด พฤติกรรมการเผาก็เริ่มมี “คู่แข่งที่น่าสนใจกว่า” ขึ้นมาทันที

โมเดลเวียงแก่นยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น แต่ทิศทางที่เห็นชัดคือ การแก้ปัญหาหมอกควันต้องเดินคู่กันทั้ง มิติสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ ครัวเรือน และการเสริมพลังผู้นำชุมชน หากทุกภาคส่วนยังคงจับมือกันแน่นเช่นที่เกิดขึ้นในเวทีวันที่ 23 ธันวาคม 2568 วันหนึ่งในอนาคต “กองซังข้าวโพดที่ลุกเป็นไฟ” อาจถูกจดจำในฐานะภาพอดีต ขณะที่ “โรงเรือนเห็ดฟางในเวียงแก่น” กลายเป็นสัญลักษณ์ของการเปลี่ยนผ่านสู่เกษตรปลอดการเผาที่จับต้องได้จริง

สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • สถาบันสิ่งแวดล้อมไทย (TEI)
  • โครงการพัฒนาความร่วมมือเมืองคู่ขนาน ไทย–ลาว–เมียนมา เพื่อขับเคลื่อนการจัดการและลดมลพิษหมอกควันข้ามแดน
  • สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) – สวก.
  • สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.)
  • เทศบาลตำบลเวียงกาหลง และชุมชนบ้านป่าจั่น ตำบลเวียงกาหลง อำเภอเวียงป่าเป้า จังหวัดเชียงราย
  • ทีมพัฒนาชุมชนและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอำเภอเวียงแก่น จังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
MOST POPULAR
FOLLOW ME
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

ยุทธศาสตร์ดอยหลวง 2569 ป้องกันไฟป่าเชิงรุก 875 กม. ยกระดับท่องเที่ยวสกายวอล์กและคุณภาพชีวิตชุมชน

ดอยหลวง” ผนึกกำลัง 3 จังหวัดสู้ไฟป่ากางแผนแนวกันไฟ 875 กม. หนุนบิ๊กโปรเจกต์สกายวอล์ก–ถ้ำผาโขง ยกระดับการท่องเที่ยวควบคู่การอนุรักษ์ผืนป่าอย่างยั่งยืน

เชียงราย, 25 ธันวาคม 2568 – ท่ามกลางสัญญาณเตือนเรื่องวิกฤตหมอกควันและไฟป่าที่มีแนวโน้มรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่องในภาคเหนือ อุทยานแห่งชาติดอยหลวงซึ่งครอบคลุมพื้นที่ 3 จังหวัด คือ เชียงราย พะเยา และลำปาง กำลังเดินหน้าแผนปฏิบัติการเชิงรุกครั้งสำคัญ ทั้งในมิติการป้องกันไฟป่า การพัฒนาสาธารณูปโภคในชุมชนรอบผืนป่า และการยกระดับแหล่งท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ใหม่อย่าง “สกายวอล์กกว๊านพะเยา” และ “ถ้ำผาโขง” เพื่อพิสูจน์ว่าการอนุรักษ์และการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติสามารถเดินไปด้วยกันได้ หากมีการวางแผนอย่างเป็นระบบและให้ชุมชนมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง

แผนรับมือหมอกควัน–ไฟป่า จาก “ดับไฟ” สู่ “สร้างภูมิคุ้มกัน” ให้ผืนป่า 3 จังหวัด

เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2568 เวลา 09.30 น. ณ ห้องประชุมปูแกง ที่ทำการอุทยานแห่งชาติดอยหลวง ตำบลแม่เย็น อำเภอพาน จังหวัดเชียงราย ได้มีการจัดประชุมคณะกรรมการที่ปรึกษาอุทยานแห่งชาติดอยหลวง (Protected Area Committee – PAC) ครั้งที่ 1/2569 โดยมี นายอุดม ปกป้องบวรกุล นายอำเภอพาน ทำหน้าที่ประธานการประชุม

การประชุมครั้งนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นของ “ฤดูกาลรับมือไฟป่าปี 2569” อย่างเป็นทางการ เพราะนอกจากจะมีการรายงานผลการดำเนินงานในปีงบประมาณ 2568 และแผนงานปีงบประมาณ 2569 แล้ว ยังเน้นย้ำการตั้งรับสถานการณ์หมอกควันและไฟป่าที่อาจเกิดขึ้นในช่วงฤดูแล้งที่จะมาถึงด้วยมาตรการแบบบูรณาการ

ในที่ประชุมมีผู้แทนจากหน่วยงานสำคัญเข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง อาทิ

  • นายปัณณวิชญ์ ภูริรักษ์พิติกร หัวหน้าอุทยานแห่งชาติดอยหลวง
  • นายรัชพล งามกระบวน ผู้อำนวยการสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย จังหวัดเชียงราย
  • ร้อยตำรวจเอกนภสินธุ์ สอนใจ รองผู้บังคับกองร้อยตำรวจตระเวนชายแดนที่ 323
    พร้อมคณะกรรมการและเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องใน 3 จังหวัด เข้าร่วมแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นและวางกรอบความร่วมมือ

แกนกลางของแผนคือการปฏิบัติงานภายใต้ “ศูนย์สั่งการและติดตามสถานการณ์ไฟป่าและหมอกควัน พื้นที่บูรณาการเชิงพื้นที่อุทยานแห่งชาติดอยหลวง” ซึ่งมีภารกิจหลักในการบริหารจัดการเชื้อเพลิงและลดความเสี่ยงไฟป่าอย่างเป็นระบบ

ตัวเลขสำคัญที่สะท้อนขนาดของภารกิจ ได้แก่

  • แนวกันไฟระยะทางรวม 875 กิโลเมตร – ถือเป็นแนวกันไฟขนาดใหญ่ที่ครอบคลุมพื้นที่เสี่ยงทั้ง 3 จังหวัด มีเป้าหมายเพื่อลดโอกาสการลุกลามของไฟจากพื้นที่ป่าเข้าสู่ชุมชน และจากพื้นที่เกษตรเข้าป่าอนุรักษ์
  • กำลังพล 525 คน – จัดตั้งเป็นชุดปฏิบัติการเฝ้าระวังและควบคุมสถานการณ์ตามจุดเสี่ยงต่าง ๆ ทั่วพื้นที่อุทยานฯ
  • จุดจอดอากาศยาน 6 จุด และแหล่งน้ำดับไฟป่า 21 จุด – ถูกจัดเตรียมเพื่อรองรับการสนับสนุนทางอากาศในกรณีที่เกิดไฟป่าขนาดใหญ่ รวมทั้งเพิ่มความคล่องตัวในการลำเลียงกำลังพลและอุปกรณ์ดับไฟเข้าพื้นที่ได้อย่างทันท่วงที
  • ระบบสื่อสารออนไลน์แบบ Real-time – ใช้สำหรับรายงานสถานการณ์และรับคำสั่งจากศูนย์สั่งการเพื่อลดระยะเวลาการตอบสนองในช่วงนาทีวิกฤต

การกำหนดแนวกันไฟระยะทางกว่า 875 กิโลเมตร บ่งชี้ชัดถึงระดับความรุนแรงของความเสี่ยงที่หน่วยงานในพื้นที่ประเมินไว้ เพราะในอดีต ไฟป่าจำนวนไม่น้อยเริ่มจากการเผาเศษวัสดุการเกษตรหรือการหาของป่าแล้วลุกลามเข้าเขตอุทยานฯ จนกลายเป็นปัญหาหมอกควันข้ามอำเภอและข้ามจังหวัด การวางแนวกันไฟจึงเป็นเสมือน “กำแพงป้องกันชั้นแรก” ที่ต้องทำให้ครบถ้วนก่อนฤดูไฟป่าจะมาถึง

พัฒนาแหล่งท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ สกายวอล์กกว๊านพะเยา–ถ้ำผาโขง แลนด์มาร์กใหม่ของภาคเหนือ

คู่ขนานกับการเตรียมรับมือไฟป่า คณะกรรมการ PAC ยังใช้เวทีเดียวกันนี้ในการติดตามความคืบหน้าโครงการพัฒนาพื้นที่เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตและเศรษฐกิจของชุมชนรอบอุทยานแห่งชาติดอยหลวง โดยเฉพาะโครงการด้านการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ที่ถูกจับตามองอย่างใกล้ชิด ได้แก่

สกายวอล์กกว๊านพะเยา เปิดมุมมองใหม่ให้ “ทะเลสาบเมืองเหนือ”

ที่ประชุมได้รับทราบผลการพิจารณาโครงการปรับปรุงภูมิทัศน์และพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว จุดชมวิวกว๊านพะเยา ซึ่งเป็นหนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของจังหวัดพะเยา แนวคิดหลักคือการก่อสร้าง ทางเดินชมธรรมชาติยกระดับ หรือ Skywalk เพื่อให้นักท่องเที่ยวสามารถมองเห็นทัศนียภาพของกว๊านพะเยาในมุมสูง เชื่อมต่อทิวเขาและผืนน้ำเข้าด้วยกันอย่างกลมกลืน

หากโครงการดังกล่าวเดินหน้าได้ตามแผน กว๊านพะเยามีโอกาสก้าวจากการเป็น “จุดแวะพัก” ระหว่างการเดินทางของนักท่องเที่ยว ให้กลายเป็น “จุดหมายปลายทางหลัก” ที่นักเดินทางตั้งใจมาเยือนโดยเฉพาะ อันจะช่วยเพิ่มระยะเวลาการพักค้าง (Length of Stay) และเม็ดเงินใช้จ่ายในพื้นที่ได้อย่างมีนัยสำคัญ

ถ้ำผาโขง แลนด์มาร์กพันปีบนผืนป่าดอยหลวง

อีกหนึ่งโครงการที่ได้รับความสนใจจากที่ประชุมคือ แนวทางการพัฒนา ถ้ำผาโขง ซึ่งตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติดอยหลวง อำเภอพาน จังหวัดเชียงราย ถ้ำแห่งนี้เป็นถ้ำโบราณอายุกว่าพันปี ภายในมีหินงอกหินย้อยรูปร่างสวยงามและมีลำน้ำไหลผ่าน สร้างบรรยากาศเฉพาะตัวที่แตกต่างจากแหล่งท่องเที่ยวอื่นในพื้นที่

PAC ได้หารือแนวทางในการพัฒนาให้ถ้ำผาโขงเป็นแลนด์มาร์กสำคัญของอำเภอพาน โดยให้ความสำคัญกับการออกแบบเส้นทางท่องเที่ยวที่คำนึงถึงความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว และไม่กระทบต่อระบบนิเวศภายในถ้ำ พร้อมสร้างกิจกรรมเชื่อมโยงกับชุมชน เช่น การท่องเที่ยวโดยชุมชน (Community-based Tourism) ร้านค้าผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น และการฝึกอบรมมัคคุเทศก์ท้องถิ่น

แนวคิดการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวในลักษณะนี้สะท้อนแนวทาง “ใช้การท่องเที่ยวเป็นแรงจูงใจในการอนุรักษ์” เพราะเมื่อชุมชนเห็นว่าทรัพยากรธรรมชาตินำมาซึ่งรายได้ที่มั่นคง ก็จะยิ่งตระหนักถึงความสำคัญของการรักษาป่าและถ้ำให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น

สาธารณูปโภคพื้นฐาน เสริมคุณภาพชีวิตชุมชนรอบอุทยานฯ เพื่อลดแรงกดดันต่อป่า

นอกจากโครงการท่องเที่ยว ที่ประชุม PAC ยังได้ร่วมพิจารณาโครงการพัฒนาพื้นที่และสาธารณูปโภคในชุมชนรอบอุทยานฯ หลายโครงการ ซึ่งล้วนมุ่งเป้าไปที่การยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน และลดแรงจูงใจในการบุกรุกหรือใช้ป่าอย่างไม่เหมาะสม

โครงการสำคัญประกอบด้วย

  1. โครงการก่อสร้างถังเก็บน้ำและลานคอนกรีตเสริมเหล็กในพื้นที่ตำบลสันกลาง อำเภอพาน จังหวัดเชียงราย
    – เพิ่มความมั่นคงด้านน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภคและการเกษตร ลดความจำเป็นของชุมชนในการขยายพื้นที่ปลูกพืชเข้าไปในเขตป่าเพื่อแสวงหาแหล่งน้ำใหม่
  2. โครงการจัดซื้อโคมไฟถนนพลังงานแสงอาทิตย์ และโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านถนนและอาคารอเนกประสงค์ในตำบลท่าก๊อ อำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย
    – โคมไฟถนนพลังงานแสงอาทิตย์ช่วยเพิ่มความปลอดภัยในการเดินทางในเวลากลางคืน ลดอุบัติเหตุ และส่งเสริมกิจกรรมเศรษฐกิจยามค่ำคืนในชุมชน ขณะที่การปรับปรุงถนนช่วยให้การเข้าถึงบริการของรัฐและตลาดมีประสิทธิภาพมากขึ้น
  3. โครงการก่อสร้างถนนคอนกรีตเสริมเหล็กในตำบลวังทอง อำเภอวังเหนือ จังหวัดลำปาง
    – ถนนที่ดีช่วยลดต้นทุนขนส่งสินค้าเกษตรและผลิตภัณฑ์ชุมชน ช่วยให้ชาวบ้านมีรายได้เพิ่มขึ้น โดยไม่ต้องพึ่งพาการบุกรุกพื้นที่ป่าเพื่อหาทรัพยากรเสริม
  4. โครงการฝายพร้อมระบบส่งน้ำในตำบลบ้านสาง อำเภอเมืองพะเยา จังหวัดพะเยา
    – เป็นการจัดการน้ำในระดับลุ่มน้ำย่อย ช่วยชะลอน้ำและลดการพังทลายของหน้าดิน พร้อมเติมน้ำใต้ดินให้ระบบนิเวศป่าไม้ใกล้เคียง

แม้โครงการเหล่านี้จะดูเป็นงานก่อสร้างพื้นฐานทั่วไป แต่ในมุมของการบริหารจัดการพื้นที่อนุรักษ์ การมีระบบน้ำ ถนน และไฟฟ้าที่เพียงพอในชุมชนรอบป่า คือ “เงื่อนไขสำคัญ” ที่ทำให้ประชาชนไม่จำเป็นต้องพึ่งพาป่าในรูปแบบที่เสี่ยงต่อการเกิดไฟหรือความเสียหายทางระบบนิเวศ

กล่าวได้ว่า แนวคิด “ป่าอยู่ได้ คนอยู่ดี” ถูกนำมาปฏิบัติในรูปธรรมผ่านการลงทุนด้านสาธารณูปโภคเช่นนี้เอง

ข้อสังเกตเชิงนโยบาย โมเดลการบริหารจัดการพื้นที่คุ้มครองข้ามจังหวัด

จากภาพรวมการประชุม PAC ครั้งที่ 1/2569 จะเห็นได้ว่า อุทยานแห่งชาติดอยหลวงกำลังทดสอบโมเดลการบริหารจัดการพื้นที่คุ้มครองที่มีลักษณะ “ข้ามจังหวัด” อย่างเต็มรูปแบบ ทั้งในเชิงการป้องกันไฟป่า การพัฒนาการท่องเที่ยว และการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่รอบผืนป่า

ประเด็นสำคัญที่น่าสนใจมีอย่างน้อย 3 ด้าน คือ

  1. การมีเวทีร่วมระหว่างภาครัฐส่วนกลาง–ส่วนภูมิภาค–ท้องถิ่น
    หัวหน้าอุทยานฯ นายอำเภอ ผู้แทน ตชด. สื่อมวลชน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ได้มานั่งโต๊ะเดียวกันเพื่อตรวจสอบแผนงานและแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นอย่างเป็นระบบ ทำให้ทุกฝ่ายเห็นภาพเดียวกันเกี่ยวกับความเสี่ยงและแนวทางตอบสนองต่อสถานการณ์ไฟป่าและหมอกควัน
  2. การเชื่อมโยงงานอนุรักษ์กับการพัฒนาเศรษฐกิจชุมชน
    โครงการสกายวอล์กกว๊านพะเยาและถ้ำผาโขง รวมถึงโครงสร้างพื้นฐานในตำบลต่าง ๆ ยืนยันว่า การอนุรักษ์ไม่ได้แยกขาดจากการสร้างรายได้ให้ชุมชน หากแต่ถูกออกแบบให้เกื้อกูลกัน – เมื่อคนมีรายได้จากการท่องเที่ยวและเกษตรกรรมที่พึ่งพาทรัพยากรอย่างยั่งยืน ก็จะมีแรงจูงใจในการช่วยดูแลป่าไปพร้อมกับเจ้าหน้าที่
  3. การบริหารจัดการเชื้อเพลิงอย่างเป็นระบบ
    ตัวเลขแนวกันไฟ 875 กิโลเมตร ชุดปฏิบัติการ 525 คน และจุดสนับสนุนดับไฟป่าหลายสิบจุด แสดงให้เห็นว่าหน่วยงานในพื้นที่ไม่ได้เตรียมพร้อมเพียงในระดับ “โครงการระยะสั้น” แต่กำลังสร้างโครงสร้างถาวรสำหรับการรับมือไฟป่าที่อาจเกิดซ้ำทุกปี ซึ่งเป็นแนวทางที่สอดคล้องกับแนวคิดการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในระยะยาว

หากแผนเหล่านี้เดินหน้าได้อย่างต่อเนื่อง อุทยานแห่งชาติดอยหลวงอาจกลายเป็นตัวอย่างสำคัญของการบริหารจัดการพื้นที่ป่าต้นน้ำที่เชื่อมโยงกับหลายจังหวัด และใช้กลไกคณะกรรมการที่ปรึกษาเป็นเครื่องมือหลักในการประสานผลประโยชน์ของทุกฝ่าย

 “ดอยหลวง” บทพิสูจน์ว่าการอนุรักษ์และการท่องเที่ยวไปด้วยกันได้

การประชุมคณะกรรมการที่ปรึกษาอุทยานแห่งชาติดอยหลวง ครั้งที่ 1/2569 ในครั้งนี้ จึงไม่ใช่เพียงพิธีกรรมเชิงเอกสาร หากแต่เป็นจุดเริ่มต้นของ ยุทธศาสตร์ “ผืนป่าปลอดไฟ ชุมชนอยู่ดี การท่องเที่ยวเติบโตอย่างสมดุล”

บนแนวกันไฟยาว 875 กิโลเมตร มีกำลังพล 525 ชีวิตที่เตรียมพร้อมสละแรงกายแรงใจเพื่อปกป้องป่าต้นน้ำของ 3 จังหวัด ในขณะเดียวกัน บนเส้นทางสกายวอล์กกว๊านพะเยาและภายในถ้ำผาโขงแห่งอนาคต ก็กำลังรอนักท่องเที่ยวที่จะเข้ามาสัมผัสความงดงามของธรรมชาติและเรียนรู้คุณค่าของผืนป่าดอยหลวงผ่านมุมมองใหม่ ๆ

คำถามสำคัญที่สังคมต้องร่วมกันตอบ คือ เราจะช่วยเสริมพลังให้โมเดล “ป่าอยู่ได้ คนอยู่ดี” นี้เติบโตต่อไปได้อย่างไร ไม่ว่าจะผ่านการท่องเที่ยวอย่างรับผิดชอบ การสนับสนุนสินค้าชุมชน หรือการร่วมเป็นเครือข่ายเฝ้าระวังไฟป่าในฐานะพลเมือง

เพราะท้ายที่สุดแล้ว ความสำเร็จของอุทยานแห่งชาติดอยหลวงไม่ได้วัดจากจำนวนโครงการที่ได้รับอนุมัติเท่านั้น แต่จะวัดจากจำนวนวันในแต่ละปีที่ผืนป่าปลอดควันไฟ และจำนวนรอยยิ้มของประชาชนที่สามารถอยู่ร่วมกับทรัพยากรธรรมชาติได้อย่างภาคภูมิและยั่งยืน

สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • อุทยานแห่งชาติดอยหลวง
  • สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย จังหวัดเชียงราย (สวท.เชียงราย)
  • กองร้อยตำรวจตระเวนชายแดนที่ 323
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
MOST POPULAR
FOLLOW ME
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เปิดมหกรรมไม้ดอกอาเซียนเชียงราย 2025 ยกระดับท่องเที่ยวสุขภาวะปลอดบุหรี่ 100%

สายนทีแห่งศรัทธา” ทูลกระหม่อมหญิงฯ เสด็จเปิดมหกรรมไม้ดอกอาเซียนเชียงราย 2025
พลิกโฉมเมืองดอกไม้สู่เมืองท่องเที่ยวสุขภาวะ หนุนเศรษฐกิจฐานรากในยุคท่องเที่ยวโลกชะลอตัว

เชียงราย, 25 ธันวาคม 2568 – ในห้วงเวลาที่ภาคการท่องเที่ยวไทยกำลังเผชิญแรงกดดันจากเศรษฐกิจโลกและการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ยังไม่กลับสู่ระดับก่อนโควิด จังหวัดเชียงรายเลือกตอบโจทย์ด้วย “ดอกไม้ ศิลปะ และสุขภาวะ” ผ่านการจัดงาน มหกรรมไม้ดอกอาเซียนเชียงราย 2025 (Chiang Rai Flower and Art Festival 2025)” ที่ไม่เพียงเป็นเทศกาลชมดอกไม้ฤดูหนาว หากยังถูกออกแบบให้เป็นกลไกฟื้นเศรษฐกิจฐานราก เชื่อมโยงอัตลักษณ์ 19 กลุ่มชาติพันธุ์กับมาตรการพื้นที่ปลอดบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้า 100% เพื่อยกระดับภาพลักษณ์เชียงรายสู่ “เมืองท่องเที่ยวคุณภาพที่เป็นมิตรต่อสุขภาพ” อย่างเป็นรูปธรรม

ภาพใหญ่ท่องเที่ยวไทยปลายปี ตัวเลขชะลอ แต่เชียงรายเดินเกมสวนกระแส

รายงานวิเคราะห์ของ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย (KResearch) ประเมินว่า ในช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ระหว่างวันที่ 31 ธันวาคม 2568 – 4 มกราคม 2569 การท่องเที่ยวไทยยังมีปัจจัยลบหลายด้าน ทั้งจากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว ราคาตั๋วเครื่องบินที่สูงขึ้น และจำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่ยังไม่ฟื้น ส่งผลให้รายได้ท่องเที่ยวรวมคาดอยู่ที่ราว 38,500 ล้านบาท ลดลงประมาณ 3.3% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันปีก่อน โดยแบ่งเป็นรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติราว 23,500 ล้านบาท (ลดลง 6%) และรายได้จากนักท่องเที่ยวไทยเที่ยวในประเทศราว 15,000 ล้านบาท (เติบโตเพียง 1.2%)

ในขณะที่ภาพรวมประเทศเผชิญแรงกดดัน ตัวเลขจาก การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ชี้ว่าเดือนธันวาคม 2568 คาดว่าจำนวนผู้เยี่ยมเยือนชาวไทยจะอยู่ที่ราว 19.04 ล้านคน-ครั้ง ลดลงประมาณ 1% และรายได้จากการท่องเที่ยวภายในประเทศราว 108,766 ล้านบาท ลดลง 2% เมื่อเทียบกับปีก่อน แม้ยอดสะสมทั้งปีจะยังขยายตัวอยู่บ้าง แต่ทิศทางเดือนส่งท้ายปีสะท้อนสัญญาณชัดเจนว่า นักท่องเที่ยวมีพฤติกรรมใช้จ่ายรัดกุมมากขึ้น

ในบริบทเช่นนี้ งานมหกรรมไม้ดอกอาเซียนเชียงราย 2025 จึงไม่ได้เป็นเพียง “เทศกาลฤดูหนาวยอดนิยม” แต่คือยุทธศาสตร์สำคัญที่จังหวัดนำมารองรับเม็ดเงินท่องเที่ยวช่วงโค้งสุดท้ายของปี โดยอาศัยจุดแข็งด้านภูมิอากาศเย็นสบาย ทิวทัศน์ริมแม่น้ำกก และทุนวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์จำนวนมาก ผสานกับนโยบายกระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศ “เที่ยวดีมีคืน 2568” ที่ให้สิทธิประโยชน์ด้านภาษีกับการเดินทางสู่จังหวัดเมืองรอง ซึ่ง ttb analytics ประเมินว่าจะช่วยดันรายได้ภาคโรงแรม จากเดิมที่คาดหดตัว 0.4% ให้กลับมาขยายตัวได้ราว 1.6% โดยเฉพาะในจังหวัดเมืองรองที่มีสัดส่วนรายได้ราว 28% ของทั้งประเทศ

เชียงรายจึงเลือกใช้ “เทศกาลดอกไม้” เป็นเวทีหลักในการแปลงเม็ดเงินนโยบายสู่เศรษฐกิจจริงของชุมชน

พิธีเปิด “สายนทีแห่งศรัทธา” ศิลปะดอกไม้ที่เชื่อมสถาบันพระมหากษัตริย์กับหัวใจคนเมืองเหนือ

เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2568 บรรยากาศริมแม่น้ำกกที่สวนไม้งาม อำเภอเมืองเชียงราย ถูกแต่งแต้มด้วยดอกไม้หลากสีสันต้อนรับพระราชอาคันตุกะสำคัญ เมื่อ ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี เสด็จทรงเป็นองค์ประธานในพิธีเปิด “มหกรรมไม้ดอกอาเซียนเชียงราย 2025” ท่ามกลางการเฝ้ารับเสด็จของข้าราชการ ทหาร ตำรวจ แม่บ้านมหาดไทย ผู้นำชุมชน ประชาชน และสื่อมวลชนจำนวนมาก

งานปีนี้จัดขึ้นภายใต้แนวคิดหลัก สายนทีแห่งศรัทธา ธ สถิตในใจตราบนิจนิรันดร์” เพื่อเทิดพระเกียรติและน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณของ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ผู้ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณต่อการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและงานหัตถศิลป์ไทยอย่างกว้างขวาง

ในพิธีเปิด นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย และประธานสมาพันธ์องค์การบริหารส่วนจังหวัดภาคเหนือคนล่าสุด ได้กราบทูลรายงานว่า จังหวัดเชียงรายมุ่งพัฒนาเมืองท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ ควบคู่กับการรักษาทรัพยากรธรรมชาติและวิถีชีวิตของประชาชนในพื้นที่ โดยใช้เทศกาลดอกไม้ครั้งนี้เป็นเครื่องมือเชื่อมโยงเศรษฐกิจฐานรากกับการอนุรักษ์วัฒนธรรมของกว่า 19 กลุ่มชาติพันธุ์ ที่อาศัยอยู่ในจังหวัด

นอกจากข้าราชการระดับสูงแล้ว ยังมีตัวแทนจากภาคประชาสังคมและสื่อท้องถิ่นเข้าร่วมในพิธี อาทิ มนรัตน์ ก.บัวเกษร ประธานกรรมการบริหารสำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์ ซึ่งได้รับเข็มที่ระลึกภายในงาน สะท้อนความร่วมมือระหว่างหน่วยงานรัฐกับสื่อท้องถิ่นในการประชาสัมพันธ์เชียงรายสู่สายตานักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างประเทศ

งานมหกรรมถูกกำหนดจัดระหว่างวันที่ 18 ธันวาคม 2568 – 7 มกราคม 2569 ครอบคลุมช่วงวันหยุดยาวปีใหม่ที่มีอุณหภูมิเฉลี่ยของจังหวัดอยู่ในระดับเย็นสบาย เหมาะกับการท่องเที่ยวพักผ่อนรับลมหนาว

“Reflect of Seasons” 4 ฤดูกาล 1 พื้นที่ริมกก ดึงศิลปะ–ชาติพันธุ์–เศรษฐกิจฐานรากมาบรรจบกัน

หัวใจของงานปีนี้คือการออกแบบพื้นที่จัดแสดงในธีม “Reflect of Seasons” แบ่งสวนดอกไม้ออกเป็น 4 โซนตามฤดูกาล ได้แก่ Summer, Rainy, Winter และ Spring ถ่ายทอดความงดงามของไม้ดอกไม้ประดับนานาพันธุ์ ผ่านการจัดภูมิทัศน์ แสง สี เสียง และงานศิลปะร่วมสมัยที่สะท้อนอัตลักษณ์ล้านนา

ผู้มาเยือนสามารถเดินชมดอกไม้ท่ามกลางลวดลายลายไทยประยุกต์ ศิลปะจัดวาง และมุมถ่ายภาพที่ออกแบบให้รองรับทั้งนักท่องเที่ยวกลุ่มครอบครัว กลุ่มคู่รัก นักท่องเที่ยวเชิงศิลปะ ไปจนถึงกลุ่ม Content Creator ที่ต้องการภาพถ่ายคุณภาพสูงสำหรับเผยแพร่บนสื่อสังคมออนไลน์

ภายในงานยังมี

  • นิทรรศการพระราชกรณียกิจ ของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง
  • เวทีการแสดงจากเยาวชนและกิจกรรม “Chiang Rai Talent” เปิดพื้นที่ให้คนรุ่นใหม่แสดงความสามารถ
  • ตลาดสินค้าชุมชนและผลิตภัณฑ์ OTOP จากทุกอำเภอ
  • โซน Food Truck และร้านอาหารพื้นถิ่นที่เปิดให้บริการทั้งกลางวันและกลางคืน

ความโดดเด่นอีกประการหนึ่งคือ การขยายพื้นที่กิจกรรมไปยัง อำเภอเวียงชัย และ อำเภอแม่สาย ผ่านสวนไม้ดอกและกิจกรรมเชิงวัฒนธรรมที่ถ่ายทอด “เรื่องเล่าท้องถิ่น” ของแต่ละพื้นที่อย่างเฉพาะเจาะจง เช่น การแสดงชาติพันธุ์ลีซูในข่วงวัฒนธรรม และการจำหน่ายสินค้าชุมชนที่ผูกโยงกับเอกลักษณ์ชนเผ่า

การออกแบบงานในลักษณะนี้ ทำให้เทศกาลไม้ดอกไม่จำกัดตัวเองอยู่เฉพาะ “สวนดอกไม้ริมกก” แต่กลายเป็น “เครือข่ายเทศกาล” ที่กระจายรายได้และจำนวนนักท่องเที่ยวออกไปสู่ชุมชนโดยรอบ เพิ่มโอกาสให้ผู้ประกอบการรายย่อย เกษตรกร และกลุ่มชาติพันธุ์สามารถเข้าถึงรายได้จากการท่องเที่ยวได้อย่างทั่วถึงมากขึ้น

ปฏิบัติการ “งานใหญ่ปลอดบุหรี่” เชียงรายยกระดับมาตรฐานสุขภาพนักท่องเที่ยว

อีกหนึ่งมิติที่สะท้อนการมุ่งสู่เมืองท่องเที่ยวสุขภาวะคือ การยกระดับมาตรการ งานใหญ่ปลอดบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้า 100%” ภายในพื้นที่จัดงานมหกรรมไม้ดอกอาเซียนเชียงราย 2025

เมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2568 นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย มอบหมายให้ นายญาณาฤทธิ์ หนสมสุข และ นายวิมล รู้ทำนอง รองปลัด อบจ. พร้อมบุคลากรกองสาธารณสุข ให้การต้อนรับคณะเจ้าหน้าที่จาก กรมควบคุมโรค, สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย, สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 1 เชียงใหม่, สถานีตำรวจภูธรเมืองเชียงราย และ กรมการปกครองจังหวัดเชียงราย ในการลงพื้นที่ตรวจสอบและบังคับใช้กฎหมายตาม พระราชบัญญัติควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ พ.ศ. 2560

การดำเนินงานเชิงรุกดังกล่าวครอบคลุมทั้ง

  • การตรวจเตือนร้านอาหาร ร้านเครื่องดื่ม และจุดให้บริการต่าง ๆ
  • การประชาสัมพันธ์ข้อกฎหมายเกี่ยวกับการจำหน่ายและการสูบผลิตภัณฑ์ยาสูบ รวมถึงบุหรี่ไฟฟ้าในพื้นที่สาธารณะ
  • การจัดระเบียบพื้นที่สูบบุหรี่และป้ายเตือนให้ชัดเจน

เป้าหมายไม่ใช่เพียงการป้องกันการกระทำผิดตามกฎหมาย แต่เพื่อสร้างบรรยากาศของงานให้เป็น “เขตปลอดควัน” ที่เอื้อต่อสุขภาพของเด็ก เยาวชน ผู้สูงอายุ และนักท่องเที่ยวทุกกลุ่ม สอดคล้องกับแนวทาง “Chiang Rai Wellness City” ที่จังหวัดประกาศชูเป็นยุทธศาสตร์หลักในช่วงปลายปี 2568

มาตรการดังกล่าวยังช่วยเสริมภาพลักษณ์เชียงรายในสายตานักท่องเที่ยวต่างชาติ ที่ให้ความสำคัญกับมาตรฐานสุขภาพและความปลอดภัยของพื้นที่จัดงานขนาดใหญ่ ซึ่งถือเป็นเกณฑ์สำคัญในการเลือกจุดหมายปลายทางท่องเที่ยวในยุคหลังโควิด

อทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย ได้รับเลือกเป็น ประธานสมาพันธ์องค์การบริหารส่วนจังหวัดภาคเหนือ

เศรษฐกิจฐานราก–ศิลปะ–ท่องเที่ยว ฟันเฟืองเล็กจำนวนมากที่ขับเคลื่อนเครื่องยนต์ใหญ่ของจังหวัด

เบื้องหลังทุ่งดอกไม้และแสงสีที่สวยงาม คือโครงสร้างเศรษฐกิจฐานรากที่ถูกออกแบบให้ได้ประโยชน์จากเทศกาลนี้มากที่สุด

  1. การกระจายรายได้สู่ชุมชน
    การจัดพื้นที่ตลาด OTOP และโซน Food Truck ภายในงาน เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการรายย่อย เกษตรกร และกลุ่มชาติพันธุ์นำผลิตภัณฑ์เข้ามาจำหน่าย ตั้งแต่อาหารพื้นถิ่น งานหัตถกรรม ไปจนถึงผลิตภัณฑ์เกษตรแปรรูป การขยายกิจกรรมไปยังอำเภอเวียงชัยและแม่สายยิ่งช่วยให้รายได้จากนักท่องเที่ยวถูกแบ่งปันไปยังชุมชนรอบนอก ไม่กระจุกตัวอยู่เฉพาะในตัวเมือง
  2. การใช้ทุนวัฒนธรรม (Cultural Capital) เพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ
    การแสดงลีซูที่ข่วงวัฒนธรรม การสาธิตงานหัตถกรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ และการเล่าเรื่องผ่านนิทรรศการ ทำให้ “วัฒนธรรม” ไม่ได้ถูกวางแสดงในฐานะสิ่งของโบราณ หากแต่กลายเป็นประสบการณ์ที่นักท่องเที่ยวพร้อมจ่ายเงินเพื่อสัมผัส เพิ่มโอกาสในการขายสินค้าและบริการต่อยอด เช่น โฮมสเตย์ การนำเที่ยวชุมชน หรือเวิร์กช็อปศิลปะ
  3. พลังบูรณาการของภาครัฐ–เอกชน–สถาบันศึกษา
    การจัดงานครั้งนี้ได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานหลากหลาย ตั้งแต่ อบจ.เชียงราย ททท. สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัด หน่วยงานสาธารณสุข สถาบันการศึกษา ไปจนถึงภาคธุรกิจและสื่อท้องถิ่น ความร่วมมือในลักษณะเครือข่ายเช่นนี้ช่วยลดต้นทุนในการจัดงาน กระจายความเสี่ยง และสร้างฐานข้อมูลร่วมที่สามารถนำไปใช้วางแผนเทศกาลในปีต่อ ๆ ไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ด้านนโยบายมหภาค ttb analytics ประเมินว่า มาตรการ “เที่ยวดีมีคืน 2568” สามารถสร้างเม็ดเงินเพิ่มเติมเข้าสู่ภาคโรงแรมและท่องเที่ยวไทยราว 5,900 ล้านบาท โดยคาดว่า SMEs โรงแรมและที่พักในเมืองรอง ซึ่งกระจายอยู่ในจังหวัดต่าง ๆ รวมถึงเชียงราย จะเป็นกลุ่มที่ได้รับอานิสงส์สำคัญ รายได้อาจขยับเพิ่มขึ้นถึง 3.5% เมื่อเทียบปีก่อน หากสามารถดึงดูดทั้งตลาดประชุม–สัมมนา และนักท่องเที่ยวทั่วไปได้อย่างต่อเนื่อง

เทศกาลไม้ดอกอาเซียนเชียงราย 2025 จึงทำหน้าที่เป็น “ท่อส่ง” เม็ดเงินส่วนหนึ่งจากมาตรการของภาครัฐลงสู่ชุมชนอย่างเป็นรูปธรรม ผ่านการจับจ่ายของนักท่องเที่ยวในพื้นที่จริง

บทบาท อบจ.เชียงราย จากผู้จัดงานดอกไม้สู่ผู้นำเมืองท่องเที่ยวสุขภาวะ

ตลอดหลายปีที่ผ่านมา “มหกรรมไม้ดอกเชียงราย” เคยถูกมองในฐานะงานเทศกาลชมดอกไม้ฤดูหนาวที่มีชื่อเสียง แต่การปรับโฉมเป็น มหกรรมไม้ดอกอาเซียนเชียงราย 2025” ภายใต้การนำของ นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย ทำให้งานนี้ก้าวไปไกลกว่านั้น

การเป็นนายก อบจ.ที่ได้รับความไว้วางใจให้ดำรงตำแหน่ง ประธานสมาพันธ์องค์การบริหารส่วนจังหวัดภาคเหนือ สะท้อนบทบาทของ “นายก นก” ในการเชื่อมโยงเชียงรายกับเครือข่ายจังหวัดอื่น ๆ ในภูมิภาค ซึ่งเปิดโอกาสให้เชียงรายนำเสนอศักยภาพด้านการท่องเที่ยวและวัฒนธรรมในเวทีระดับภูมิภาคมากยิ่งขึ้น

คำกล่าวเชิญชวน “มาเชียงรายรอบนี้ ได้ครบทั้งดอกไม้ ของกิน ของฝาก และวัฒนธรรม” ไม่ได้เป็นเพียงสโลแกนเชิงการตลาด หากแต่สะท้อนวิสัยทัศน์ในการพัฒนาเมืองให้เป็น แพ็กเกจประสบการณ์” ที่รวบทุกมิติของการท่องเที่ยวไว้ในจังหวัดเดียว ตั้งแต่ธรรมชาติ ศิลปะ อาหาร ไปจนถึงสุขภาวะและความปลอดภัย

ในระยะยาว หากเชียงรายสามารถรักษามาตรฐานเทศกาลดอกไม้ให้มีคุณภาพสูง ควบคู่กับการยกระดับมาตรการด้านสุขภาพและการบริหารจัดการนักท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง เมืองแห่งนี้ย่อมมีศักยภาพก้าวสู่การเป็นหนึ่งใน “ศูนย์กลางการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและสุขภาวะ” ของภูมิภาคลุ่มน้ำโขงได้ไม่ยาก

ดอกไม้ ศรัทธา และความยั่งยืนของเมืองท่องเที่ยว

“มหกรรมไม้ดอกอาเซียนเชียงราย 2025” จึงมิใช่แค่ภาพจำของทะเลดอกไม้ริมกก หากแต่เป็นภาพแทนของ “สายนทีแห่งศรัทธา” ที่เชื่อมสถาบันพระมหากษัตริย์ ชุมชนท้องถิ่น ศิลปะชาติพันธุ์ และนโยบายสาธารณะเข้าด้วยกัน ท่ามกลางกระแสการท่องเที่ยวโลกที่ผันผวน

บทความข่าวชิ้นนี้จัดทำขึ้นจากการรวบรวมข้อมูลที่เผยแพร่สาธารณะ รายงานวิจัยเชิงเศรษฐกิจ และคำชี้แจงของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไม่ได้มีสถานะเป็นงานวิชาการหรือบทความเชิงวิจัย หากมีข้อคลาดเคลื่อนในเชิงวิชาการหรือข้อมูลใดไม่ครบถ้วน ผู้เขียนยินดีอย่างยิ่งหากนักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญด้านการท่องเที่ยวจะเข้ามาเพิ่มเติมและเสนอแนะ เพื่อให้การใช้ “ดอกไม้และศิลปะ” เป็นเครื่องมือฟื้นเศรษฐกิจและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนเชียงราย เดินไปบนเส้นทางที่มั่นคงและยั่งยืนยิ่งขึ้นในอนาคต

สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • ศูนย์วิจัยกสิกรไทย (KResearch)
  • ttb analytics
  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)
  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
MOST POPULAR
FOLLOW ME
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

ชี้เป้าเชียงรายติด Top 5 เมืองรองยอดนิยม มั่นใจยุทธศาสตร์ Wellness กู้รายได้ท่องเที่ยว

เชียงรายชูยุทธศาสตร์ “Wellness City” สู้ศึกส่งท้ายปี 2568 ผนึกศิลปะท้องถิ่น–มาตรการรัฐ ดึงนักท่องเที่ยวคุณภาพท่ามกลางพายุปัจจัยลบ

เชียงราย, 24 ธันวาคม 2568 – ย่างเข้าสู่ช่วงโค้งสุดท้ายของปีท่ามกลางอากาศหนาวเย็นปลายธันวาคม จังหวัดเชียงรายกำลังเร่งเครื่องขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การท่องเที่ยวครั้งสำคัญ ภายใต้แนวคิด “เชียงรายเมืองแห่งสุขภาพ (Chiang Rai Wellness City)” เพื่อช่วงชิงเม็ดเงินท่องเที่ยวในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2569 ท่ามกลางสัญญาณชะลอตัวของตลาดท่องเที่ยวไทยทั้งจากปัจจัยเศรษฐกิจโลก อุปสงค์นักท่องเที่ยวต่างชาติที่อ่อนแรง และภาวะหนี้ครัวเรือนในประเทศที่ยังอยู่ในระดับสูง

แม้บรรยากาศท่องเที่ยวช่วงปลายปีโดยรวมยังเผชิญความท้าทาย แต่เชียงรายเลือกเดินเกมเชิงรุก โดยวางยุทธศาสตร์ควบคู่สองแกนหลัก ได้แก่ การสร้างความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยและสุขภาวะ และการใช้ Soft Power ด้านศิลปะวัฒนธรรม เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวคุณภาพและกระจายรายได้ลงสู่ชุมชนเมืองรองให้มากที่สุด

ภาพใหญ่การท่องเที่ยวไทยปลายปี รายได้หด 3.3% ต่างชาติยังไม่ฟื้น

ข้อมูลจากศูนย์วิจัยกสิกรไทย (KResearch) ประเมินว่า ในช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ระหว่างวันที่ 31 ธันวาคม 2568 – 4 มกราคม 2569 กิจกรรมท่องเที่ยวของไทยจะสร้างรายได้ราว 38,500 ล้านบาท ลดลงประมาณ 3.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สะท้อนแรงกดดันจากทั้งตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติและกำลังซื้อของคนไทยที่เริ่มชะลอตัว

หากแยกตามที่มา รายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติถูกคาดหมายว่าจะอยู่ที่ราว 23,500 ล้านบาท หดตัวประมาณ 6% เมื่อเทียบปีต่อปี จากปัจจัยหลักคือการฟื้นตัวที่ล่าช้าของตลาดระยะใกล้ โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีนที่ยังต่ำกว่าจุดสูงสุดกว่า 60% ขณะที่รายได้จากนักท่องเที่ยวไทยเที่ยวในประเทศคาดว่าจะอยู่ที่ราว 15,000 ล้านบาท เติบโตเพียง 1.2% และเติบโตไม่เท่ากันในแต่ละภูมิภาค

ในมุมมองของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ข้อมูล “แนวโน้มการท่องเที่ยวตลาดในประเทศ – ธันวาคม 2568” ชี้ว่า เดือนธันวาคมเพียงเดือนเดียวคาดว่าจะมีจำนวนผู้เยี่ยมเยือนชาวไทยประมาณ 19.04 ล้านคน-ครั้ง ลดลงราว 1% และสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวราว 108,766 ล้านบาท ลดลงประมาณ 2% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า อย่างไรก็ดี หากดูตัวเลขสะสมทั้งปี 2568 คาดว่าจำนวนผู้เยี่ยมเยือนชาวไทยจะอยู่ที่ประมาณ 206.63 ล้านคน-ครั้ง เพิ่มขึ้น 3% และสร้างรายได้รวม 1.16 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 4% สะท้อนว่าตลาดในประเทศยังเป็นฐานสำคัญในการพยุงเศรษฐกิจท่องเที่ยวไทยในภาวะที่ต่างชาติยังไม่กลับมาสู่ระดับเดิม

ด้านตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติ ททท.ประเมินว่า เดือนธันวาคม 2568 จะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทยราว 3.2 ล้านคน ลดลงราว 11% เมื่อเทียบกับปีก่อน ขณะที่จำนวนสะสมทั้งปีอยู่ที่ราว 32.8 ล้านคน ลดลงประมาณ 8% โดยสัดส่วนนักท่องเที่ยวจากตลาดระยะใกล้ (Short-haul) ยังเป็นฐานหลักราว 67% ส่วนตลาดระยะไกล (Long-haul) ราว 33%

เมื่อพิจารณาตามสัญชาติ จีนยังคงเป็นตลาดหลักแต่ตัวเลขเดือนธันวาคม 2568 ถูกคาดว่าจะอยู่ที่ราว 352,000 คน ลดลงราว 34% ขณะที่สัญชาติที่มีทิศทางดีขึ้น ได้แก่ รัสเซีย (+18%) อินเดีย (+12%) สหราชอาณาจักร เยอรมนี และฝรั่งเศสที่ยังขยายตัวเป็นบวก สอดคล้องกับข้อมูล Forward Booking เดือนพฤศจิกายนที่สะท้อนว่าตลาดยุโรปและสหรัฐอเมริกายังมีความต้องการเดินทางสูง แต่ภาพรวมการจองตั๋วเครื่องบินเข้าประเทศไทยยังติดลบประมาณ 3%

ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนชัดเจนว่า ภาคการท่องเที่ยวไทยในปี 2568 และต่อเนื่องสู่ต้นปี 2569 มิได้อยู่ในภาวะ “ฟื้นตัวเต็มแรง” แต่กลับเผชิญแรงเสียดทานจากเศรษฐกิจโลก ราคาตั๋วเครื่องบิน และความไม่แน่นอนด้านภูมิรัฐศาสตร์ ส่งผลให้ธุรกิจโรงแรมขนาดใหญ่ของไทยมีแนวโน้มรายได้หดตัวราว 2.1% ขณะที่โรงแรมขนาดเล็กและที่พักในเมืองรองยังพอรักษาการเติบโตที่ประมาณ 1.5% จากกำลังซื้อคนไทยในประเทศ

ในบริบทเช่นนี้ เมืองรองที่มีจุดขายเฉพาะอย่างเชียงรายจึงมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการดูดซับอุปสงค์การท่องเที่ยวภายในประเทศ และช่วยกระจายรายได้ลงสู่ภูมิภาค

เชียงรายเร่งเครื่อง “Wellness City” ย้ำปลอดภัย–สิ่งแวดล้อมดี–เดินทางสะดวก

ท่ามกลางแรงกดดันดังกล่าว จังหวัดเชียงรายเลือกตอบโจทย์ผ่านยุทธศาสตร์ “Wellness City” โดยใช้การประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อพัฒนาและแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ (กรอ.) เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2568 เป็นเวทีสำคัญในการกำหนดทิศทาง

การประชุมดังกล่าวจัดขึ้น ณ ห้องประชุมธรรมลังกา ชั้น 3 ศาลากลางจังหวัดเชียงราย โดยมีนายชูชีพ พงษ์ไชย ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธาน พร้อมด้วยรองผู้ว่าราชการจังหวัด หัวหน้าส่วนราชการ และผู้แทนจากภาครัฐ–เอกชนเข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง ที่ประชุมเห็นพ้องในหลักการว่า หากเชียงรายต้องการยืนหยัดในฐานะจุดหมายปลายทางในช่วงที่ตลาดรวมชะลอตัว จำเป็นต้องสร้าง “ความเชื่อมั่น” ใน 3 มิติหลัก ได้แก่

  1. ความปลอดภัยระดับสูงสุด
    จังหวัดได้บูรณาการการทำงานของตำรวจ ทหาร ฝ่ายปกครอง และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของนักท่องเที่ยว ตั้งแต่การกวาดล้างอาชญากรรม การควบคุมจุดเสี่ยง ไปจนถึงการรณรงค์วินัยจราจรช่วงเทศกาลปีใหม่ ซึ่งมีนักท่องเที่ยวหนาแน่นเป็นพิเศษ
  2. สิ่งแวดล้อมเพื่อสุขภาพ (Healthy Environment)
    เชียงรายมุ่งลดปัญหามลพิษและขยะท่องเที่ยว โดยเชื่อมโยงมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมเข้ากับการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและธรรมชาติ เช่น การจัดระเบียบแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติ การบริหารจัดการขยะในชุมชนท่องเที่ยว และการสื่อสารให้ผู้ประกอบการโรงแรม–ร้านอาหารยกระดับมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อม เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวกลุ่มใส่ใจสุขภาพ
  3. การอำนวยความสะดวกด้านการเดินทางและบริการ
    จังหวัดเตรียมพร้อมด้านโครงข่ายคมนาคม การจัดระบบจราจรในตัวเมือง จุดบริการข้อมูลท่องเที่ยว และการเพิ่มความสะดวกในการรับ–ส่งนักท่องเที่ยวที่สนามบิน ท่ารถ และด่านพรมแดน เพื่อรองรับทั้งตลาดในประเทศและนักท่องเที่ยวข้ามแดนจาก สปป.ลาว และเมียนมา

เชียงรายเตรียมใช้เวทีประชุมกรมการจังหวัดและแถลงข่าวในวันที่ 25 ธันวาคม 2568 เพื่อย้ำภาพลักษณ์ “Chiang Rai Wellness City” ให้ชัดเจนขึ้นในสายตาสาธารณชน ว่าเป็นเมืองที่ผู้คนอยู่ดี มีสุข ปลอดภัย และพร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยวคุณภาพทุกช่วงเวลา ไม่ใช่เพียงฤดูกาลท่องเที่ยวปลายปีเท่านั้น

บ้านซ่อนศิลป์” เส้นทางศิลปะตัวอย่างของการใช้ Soft Power ขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก

นอกจากการสร้างความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยแล้ว เชียงรายยังเดินเกมรุกด้าน Soft Power ผ่าน “ศิลปะท้องถิ่น” ซึ่งเป็นทุนทางวัฒนธรรมที่จังหวัดมีอยู่แล้วในระดับแนวหน้าของประเทศ

เมื่อวันที่ 23–24 ธันวาคม 2568 สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงรายได้จัดกิจกรรม Chiangrai Life Artist Studio for Tourism Media FamTrip ครั้งที่ 2 ภายใต้เส้นทาง “บ้านซ่อนศิลป์ (Hidden Artistic Homes)” เชิญสื่อมวลชนและผู้มีบทบาทในวงการท่องเที่ยวลงพื้นที่สัมผัสประสบการณ์ตรงกับชุมชนศิลปะเชียงราย

เส้นทางเริ่มต้นที่ Miramar Coffee Cafe & Roaster คาเฟ่ที่ผสานบรรยากาศการพักผ่อนเข้ากับพื้นที่สร้างสรรค์ ก่อนเดินทางต่อไปยัง บ้านหลายสี แหล่งเรียนรู้ศิลปะที่รวบรวมผลงานจากศิลปินหลากหลายแขนง สะท้อนอัตลักษณ์ของชุมชนที่ใช้ศิลปะเป็นภาษาหลักในการเล่าเรื่อง

จากนั้นคณะได้เดินทางสู่ ศรีดอนมูลอาร์ตสเปซ อำเภอเชียงแสน พิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงผลงานประติมากรรมและเซรามิกของอาจารย์ศรีวรรณ เจนหัตถการกิจ ศิลปินชื่อดังระดับนานาชาติ ผู้เข้าร่วมได้สัมผัสผลงานสีสันจัดจ้าน รายละเอียดซับซ้อน และมุมมองเชิงปรัชญาที่สะท้อนทั้งความเป็นล้านนา และสภาวะทางสังคมร่วมสมัย

ปิดท้ายวันแรกที่ หอศิลป์อาจารย์นริศ รัตนวิมล ซึ่งนำเสนอผลงานแกะสลักหิน ถ่ายทอดวิถีชีวิตและความเรียบง่ายของผู้คนเชียงรายผ่านเส้นสายที่เฉียบคมแต่ทรงพลัง สร้างความประทับใจและแรงบันดาลใจให้ผู้ร่วมกิจกรรมอย่างมาก

กิจกรรม FamTrip เส้นทาง “บ้านซ่อนศิลป์” ไม่ได้เป็นเพียงการเยี่ยมชมสถานที่ท่องเที่ยวเชิงศิลปะ แต่เป็นกลไกเชื่อมโยงระหว่างศิลปินท้องถิ่น ชุมชน และอุตสาหกรรมท่องเที่ยวในภาพใหญ่ ช่วยกระจายรายได้สู่สตูดิโอขนาดเล็กและครัวเรือนรอบข้าง ขณะเดียวกันก็เสริมภาพลักษณ์เชียงรายในฐานะ “เมืองศิลปะและการออกแบบ” ที่สอดคล้องกับสถานะเมืองสร้างสรรค์ของยูเนสโก

เมืองรองได้อานิสงส์ “เที่ยวดีมีคืน 2568” – เชียงรายเก็บเกี่ยวอย่างไร

ในเชิงเศรษฐศาสตร์การท่องเที่ยว ttb analytics ประเมินว่า มาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศ “เที่ยวดีมีคืน 2568” ซึ่งประกอบด้วยมาตรการลดหย่อนภาษีสำหรับบุคคลธรรมดา–นิติบุคคล และการเร่งรัดเบิกจ่ายงบประมาณสัมมนาภาครัฐ น่าจะสร้างเม็ดเงินเข้าสู่ภาคโรงแรมและท่องเที่ยวไทยเพิ่มเติมราว 5,900 ล้านบาท และมีส่วนช่วยให้รายได้ภาคโรงแรมปี 2568 จากที่เดิมคาดว่าจะหดตัว 0.4% พลิกกลับมาขยายตัวราว 1.6%

จุดที่น่าสนใจคือ มาตรการดังกล่าวออกแบบให้ “เมืองรอง” ได้รับสิทธิประโยชน์สูงกว่าเมืองหลัก เช่น

  • บุคคลธรรมดาที่ท่องเที่ยวในเมืองรองสามารถนำค่าใช้จ่ายมาลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 20,000 บาท และคิดเป็น 1.5 เท่าของฐานภาษี
  • นิติบุคคลที่จัดอบรม–สัมมนาในจังหวัดเมืองรอง สามารถนำค่าใช้จ่ายมาหักภาษีได้ 2 เท่า

เมื่อเชื่อมโยงกับโครงสร้างภาคโรงแรมของไทยในปัจจุบัน ซึ่งมีสัดส่วนรายได้จากเมืองรองราว 28% และมี SMEs เป็นผู้เล่นหลัก การที่เชียงรายถูกจัดอยู่ในกลุ่มจังหวัดเมืองรองที่มีศักยภาพสูงจึงทำให้จังหวัดอยู่ในตำแหน่ง “ได้เปรียบเชิงนโยบาย” ในปีที่ตลาดรวมชะลอ

ข้อมูลจาก ททท. ระบุว่า ในกลุ่ม “เมืองท่องเที่ยวน่าเที่ยว 55 จังหวัด” เชียงรายถูกจัดอยู่ใน 5 อันดับแรกที่มีแนวโน้มได้รับความนิยมในเดือนธันวาคม โดยคาดว่าจะมีจำนวนผู้เยี่ยมเยือนชาวไทยราว 599,500 คน เพิ่มขึ้นประมาณ 2% เมื่อเทียบกับปีก่อน สะท้อนว่าภายใต้ภาพรวมประเทศที่ชะลอลง เมืองรองที่มีจุดขายเฉพาะและเข้าถึงได้ง่ายยังสามารถรักษาโมเมนตัมการเติบโตได้

เมื่อประกอบกับยุทธศาสตร์ “Wellness City” และการปั้นเส้นทาง Soft Power อย่าง “บ้านซ่อนศิลป์” เชียงรายจึงมีโอกาสสูงที่จะดึงเม็ดเงินจากกลุ่มนักท่องเที่ยวไทยที่มีกำลังซื้อและใส่ใจคุณภาพประสบการณ์ แทนที่จะพึ่งพาตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่

Wellness, Art และความปลอดภัย สามเสาหลักของเมืองท่องเที่ยวคุณภาพ

จากการรวบรวมข้อมูลเชิงนโยบายและกรณีศึกษากิจกรรมต่าง ๆ ในช่วงปลายปี 2568 สามารถสังเคราะห์ “สามเสาหลัก” ของยุทธศาสตร์การท่องเที่ยวเชียงรายในระยะสั้น–กลางได้ดังนี้

  1. สุขภาวะองค์รวม (Holistic Wellness)
    ไม่เพียงเน้นแหล่งท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติและอากาศหนาว หากยังให้ความสำคัญกับการจัดการสิ่งแวดล้อม มลพิษ และความเป็นระเบียบของเมือง เพื่อให้ทั้งนักท่องเที่ยวและคนในพื้นที่มีคุณภาพชีวิตที่ดี แนวคิดนี้สอดคล้องกับเทรนด์การท่องเที่ยวสุขภาพระดับโลกที่มุ่งหา “เมืองน่าอยู่” มากกว่า “เมืองเที่ยวเร็วแล้วไป”
  2. ศิลปะและวัฒนธรรมในฐานะ Soft Power
    เส้นทาง “บ้านซ่อนศิลป์” เป็นตัวอย่างชัดเจนว่าศิลปะสามารถแปลงเป็นรายได้ทางเศรษฐกิจได้จริง ผ่านการเปิดบ้าน–สตูดิโอให้เป็นจุดหมายปลายทางท่องเที่ยว เชื่อมโยงกับคาเฟ่ โลคัลแบรนด์ และผลิตภัณฑ์ชุมชน ขณะเดียวกันก็สร้างพื้นที่ให้ศิลปินรุ่นใหม่ได้เติบโตโดยไม่ต้องย้ายถิ่นฐานไปเมืองใหญ่
  3. ความปลอดภัยและการบริหารจัดการเมือง
    การประชุม กรอ. และการเตรียมแถลงข่าว “Wellness City” สะท้อนว่าจังหวัดให้ความสำคัญกับมิตินี้อย่างจริงจัง ไม่ว่าจะเป็นการจัดระบบจราจร การจัดการจุดเสี่ยงอาชญากรรม การตั้งจุดบริการนักท่องเที่ยว รวมถึงการประสานงานกับหน่วยงานความมั่นคงในพื้นที่ชายแดน เพื่อสร้างความมั่นใจให้ทั้งนักท่องเที่ยวไทยและต่างชาติว่าการเดินทางมาเชียงราย “ปลอดภัยและเป็นมิตร”

เมื่อสามเสาหลักนี้ทำงานสอดประสานกัน เชียงรายย่อมมีศักยภาพที่จะพัฒนาตนเองจาก “เมืองหนาวปลายปี” ไปสู่ “เมืองท่องเที่ยวคุณภาพทั้งปี” ที่รองรับทั้งการท่องเที่ยวระยะสั้น การพักผ่อนเชิงสุขภาพ การท่องเที่ยวเชิงศิลปะ–วัฒนธรรม ตลอดจนการจัดอบรมสัมมนาของภาคเอกชนและหน่วยงานรัฐ

เชียงรายในสมรภูมิท่องเที่ยวใหม่ – ฟันฝ่าสถานการณ์โลกด้วยทุนท้องถิ่น

เมื่อพิจารณาบริบทการท่องเที่ยวไทยปี 2568–2569 ที่เผชิญแรงกดดันรอบด้าน ตั้งแต่จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ยังต่ำกว่าก่อนโควิด ราคาตั๋วเครื่องบินที่สูงขึ้น เศรษฐกิจโลกที่เปราะบาง ไปจนถึงภาระหนี้ครัวเรือนของคนไทย การคาดหวังว่าภาคการท่องเที่ยวจะกลับไปเติบโตแบบก้าวกระโดดในระยะสั้นย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย

อย่างไรก็ตาม ทิศทางที่เชียงรายเลือกเดินผ่านยุทธศาสตร์ “Chiang Rai Wellness City” และการขับเคลื่อน Soft Power ศิลปะท้องถิ่น แสดงให้เห็นว่าจังหวัดไม่ได้รอให้เม็ดเงินจากนักท่องเที่ยวต่างชาติไหลกลับมาเอง หากแต่พยายาม “ออกแบบอนาคตของตนเอง” ด้วยทุนที่มีอยู่แล้วในพื้นที่ ทั้งภูมิประเทศอันงดงาม อากาศเย็นสบาย วัฒนธรรมหลากหลาย และชุมชนศิลปินที่แข็งแรง

ในเชิงนโยบาย ระยะถัดไปเชียงรายอาจต้องเร่งต่อยอดในประเด็นสำคัญ เช่น

  • ยกระดับมาตรฐานสถานประกอบการด้านสุขภาพและ Wellness ให้ได้การรับรองในระดับประเทศ–นานาชาติ
  • พัฒนาระบบข้อมูลท่องเที่ยวเชิงลึกของจังหวัด เพื่อใช้วางแผนการตลาดและติดตามผลมาตรการต่าง ๆ อย่างเป็นระบบ
  • สร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างจังหวัดเมืองรองภาคเหนือ เพื่อออกแบบเส้นทางท่องเที่ยวร่วมกัน ลดการแย่งชิงนักท่องเที่ยว และเพิ่มระยะเวลาพำนักเฉลี่ย

ท้ายที่สุด แม้บทวิเคราะห์ข่าวชิ้นนี้จะสะท้อนภาพรวมจากข้อมูลเผยแพร่สาธารณะและคำชี้แจงของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไม่ใช่งานวิชาการหรือรายงานเชิงวิจัย หากแต่มีเป้าหมายเพื่อเชื่อมโยงตัวเลขเชิงสถิติกับความเคลื่อนไหวในพื้นที่จริง เพื่อให้ผู้อ่านที่สนใจข่าวสารเชิงลึกสามารถใช้ประกอบการตัดสินใจเชิงนโยบาย ธุรกิจ หรือการวางแผนเดินทางท่องเที่ยวของตนเองต่อไป หากมีส่วนใดคลาดเคลื่อนในเชิงวิชาการ ยินดีอย่างยิ่งหากผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์การท่องเที่ยวและการพัฒนาพื้นที่จะเข้ามาเพิ่มเติมข้อเท็จจริงและข้อเสนอแนะ เพื่อให้การขับเคลื่อนเชียงรายสู่เมืองท่องเที่ยวคุณภาพเป็นไปอย่างแม่นยำและยั่งยืนมากที่สุด

สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • ศูนย์วิจัยกสิกรไทย (KResearch)
  • ttb analytics
  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)
  • สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
MOST POPULAR
FOLLOW ME
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY EDITORIAL

เชียงราย 2569 กางแผนยุทธศาสตร์ลุ่มน้ำโขง ชูนวัตกรรม AI และ Medical Hub แก้ปมเศรษฐกิจยั่งยืน

เชียงราย 2569 ยุทธศาสตร์ลุ่มน้ำโขงบนเส้นพรมแดนแห่งโอกาส และความยั่งยืนที่ต้องแลกด้วยนวัตกรรม

เชียงราย, 22 ธันวาคม 2568 – ท่ามกลางกระแสลมหนาวที่พัดผ่านเทือกเขาถนนธงชัยในเช้าวันที่ 22 ธันวาคม 2568 จังหวัดเชียงรายไม่ได้เป็นเพียงจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวที่ถวิลหาความงามของธรรมชาติอีกต่อไป แต่กำลังกลายเป็น “สนามทดลอง” ของยุทธศาสตร์การปรับตัวครั้งยิ่งใหญ่ของประเทศไทยในภูมิภาคลุ่มน้ำโขง. หลังจากผ่านพ้นปี 2567 ที่ทิ้งรอยแผลลึกจากอุทกภัยครั้งรุนแรงที่สุดในรอบศตวรรษ วันนี้เชียงรายกำลังยืนอยู่บนรอยต่อของความท้าทายและการคลี่คลายปมปัญหาที่สะสมมานาน ท่ามกลางตัวเลขทางเศรษฐกิจที่ทั้งน่ากังวลและน่าตื่นเต้นในเวลาเดียวกัน.

จากวิกฤตสายน้ำสู่ความยั่งยืนถาวร

จุดเริ่มต้นของความเปลี่ยนแปลงเริ่มขึ้นที่อำเภอแม่สาย เมืองหน้าด่านที่เคยบอบช้ำจากมวลน้ำป่า ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรี ได้ลงพื้นที่ติดตามความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาที่ต้องเปลี่ยนจาก “การเยียวยา” เป็น “การสร้างโครงสร้างพื้นฐานถาวร”. ปมปัญหาเรื่องน้ำท่วมซ้ำซากที่ทำลายย่านเศรษฐกิจแม่สายได้รับแนวทางคลี่คลายผ่านการประสานงานกับกรมโยธาธิการและผังเมืองเพื่อออกแบบพนังกันน้ำถาวรริมแม่น้ำสาย.

“การแก้ไขปัญหาแม่สายต้องแก้เรื่องอุทกภัยก่อน… การแก้ปัญหาแบบยั่งยืนต้องทำพนังถาวรริมน้ำสาย” คือคำยืนยันจากรองนายกรัฐมนตรีที่สะท้อนถึงการเปลี่ยนผ่านสู่ความมั่นคง. ไม่เพียงเท่านั้น ปัญหาสิ่งแวดล้อมที่ต้นน้ำยังถูกหยิบยกขึ้นมาจัดการ โดยมีการประสานให้หยุดการทำเหมืองต้นน้ำเพื่อลดสารปนเปื้อนในน้ำอุปโภคบริโภคของชาวเชียงรายและเชียงแสน ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของประชากรกว่า 1.29 ล้านคนในพื้นที่.

เข็มทิศเศรษฐกิจลุ่มน้ำโขงและความผันผวนของตัวเลข

ในมิติของตัวเลขเศรษฐกิจ ข้อมูลจากสำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงรายในปี 2568 เผยให้เห็นภาพของ “ความย้อนแย้งที่น่าสนใจ”. แม้ในครึ่งปีแรก (ม.ค.-มิ.ย. 2568) มูลค่าการค้าผ่านแดนจะสูงถึง 38,438.22 ล้านบาท แต่เมื่อเข้าสู่ไตรมาสที่ 3 สถานการณ์ในประเทศเพื่อนบ้านอย่างเมียนมาได้กลายเป็นปัจจัยลบที่ทำให้การค้าหดตัวอย่างรุนแรงถึง 66.9% ในเดือนสิงหาคม.

อย่างไรก็ตาม ปมเศรษฐกิจนี้เริ่มคลี่คลายด้วย “เส้นทาง R3A” หรือทางด่วนผลไม้ ซึ่งมีสัดส่วนมูลค่าการค้าสูงถึง 73.5% ของการค้าทั้งหมดในจังหวัด. ความหวังใหม่ยังฝากไว้กับความร่วมมือไทย-สปป.ลาว โดยนางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้ตั้งเป้าหมายเชิงรุกเพื่อดันมูลค่าการค้าชายแดนให้แตะ 11,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี 2570.

การเชื่อมโยงนี้จะแข็งแกร่งยิ่งขึ้นด้วยการเปิดสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 5 (บึงกาฬ-บอลิคำไซ) ในวันที่ 25 ธันวาคมนี้ ซึ่งจะทำงานควบคู่ไปกับสะพานมิตรภาพแห่งที่ 4 ในเชียงราย เพื่อเปลี่ยน สปป.ลาว จากประเทศที่ไร้ทางออกสู่ทะเล (Land-locked) ให้กลายเป็นศูนย์กลางการเชื่อมโยง (Land-linked) ที่มีไทยเป็นพันธมิตรหลัก.

พลังของเอกชนและการปรับตัวด้วย AI

ขณะที่ภาพรวมเศรษฐกิจดูมีความเสี่ยง แต่ภาคเอกชนรายใหญ่อย่าง บริษัท อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ ILM กลับพบ “ขุมทรัพย์” ในเชียงราย. ในงาน Opportunity Day ประจำไตรมาส 3 ปี 2568 ผู้บริหาร ILM ได้เปิดเผยข้อมูลที่น่าตกใจว่า สาขาเชียงรายสามารถทำยอดขายได้ “ดีกว่าเป้ามาก” โดยเติบโตสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ถึง 30%.

คุณเอกลักษณ์ ปฐมาศยนันท์ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส สายพัฒนาธุรกิจ ILM ระบุว่าเชียงรายเป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีศักยภาพสูงเกินคาด. สิ่งที่น่าสนใจคือการนำเทคโนโลยี AI เข้ามาใช้ในกระบวนการ Predictive Management เพื่อจัดการ Inventory ให้แม่นยำขึ้น ลดปัญหาการขาดแคลนสินค้า (Shortage) และสินค้าล้นสต็อก (Overstock). นี่คือตัวอย่างของการใช้ “นวัตกรรม” เพื่อรับมือกับความผันผวนของกำลังซื้อและสถานการณ์ภัยธรรมชาติที่ไม่อาจคาดเดา.

นอกจากนี้ ILM ยังมองเห็นโอกาสจากพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป โดยสินค้ากลุ่ม Customiz Product อย่าง “Unique” และสินค้ากลุ่ม Solid Wood ที่เน้นความยั่งยืน (ESG) กลายเป็นตัวขับเคลื่อนใหม่ (New S-Curve) ที่ทำให้บริษัทสามารถรักษาอัตรากำไรขั้นต้น (GP) จากการขายให้เติบโตขึ้น 3.9% แม้ในสภาวะเศรษฐกิจที่อ่อนแอ.

การแพทย์นำการเมือง และความยั่งยืนของมนุษย์

ปมสุดท้ายที่ได้รับการคลี่คลายคือเรื่อง “ความเหลื่อมล้ำและสิทธิมนุษยชน” ผ่านบทบาทของมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง (มฟล.). โรงพยาบาลศูนย์การแพทย์ มฟล. ได้ยกระดับสู่การเป็น Medical Hub ที่ไม่ได้รักษาแค่โรค แต่รักษา “มิตรภาพชายแดน”. ผศ.ดร.มัชฌิมา นราดิศร อธิการบดี มฟล. เน้นย้ำว่าการหยิบยื่นโอกาสในการเข้าถึงการรักษาที่มีคุณภาพให้กับเพื่อนบ้านโดยไม่แบ่งแยกฐานะ คือการสร้างความไว้วางใจที่เป็นรากฐานของสันติภาพ.

ความสำเร็จที่เป็นรูปธรรมคือการนำเทคโนโลยีระดับโลก เช่น เครื่องเวชศาสตร์ความดันบรรยากาศสูง (HBOT) มาใช้รักษาแผลเบาหวาน ซึ่งในอดีตผู้ป่วยต้องเดินทางไกลถึงเชียงใหม่. ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือภารกิจทางสังคมในการ “ตรวจ DNA เพื่อพิสูจน์สถานะบุคคล” ให้แก่กลุ่มคนไร้สัญชาติ เพื่อให้พวกเขาเข้าถึงสิทธิขั้นพื้นฐาน. สิ่งนี้คือการคลี่คลายปมปัญหาทางสังคมที่ฝังรากลึกในพื้นที่ชายแดนเชียงรายมาอย่างยาวนาน.

เชียงรายในฐานะ “เข็มทิศ” ของภูมิภาค

เชียงรายในวันที่ 22 ธันวาคม 2568 ไม่ใช่เพียงเมืองที่มีตัวเลขการส่งออกผักผลไม้เพิ่มขึ้น 62.72% ผ่านท่าเรือเชียงแสนเท่านั้น แต่คือเมืองที่กำลังสร้างระบบระเบียบการรายงานผลคุณภาพน้ำและอากาศร่วมกับ 4 ประเทศ เพื่อสู้กับปัญหา PM 2.5 และสิ่งแวดล้อมข้ามพรมแดน.

การตัดสินใจของนักลงทุนและประชาชนในวันนี้ ต้องมองให้ลึกกว่ายอดขายที่ลดลงในบางเดือน แต่ต้องมองถึง “โครงสร้าง” ที่กำลังถูกปฏิรูป. ตั้งแต่พนังกันน้ำถาวรที่แม่สาย, เส้นทางรถไฟลาว-จีนที่เชื่อมต่อกับถนน R3A, ไปจนถึงการใช้ AI ในการดำเนินธุรกิจ และการแพทย์ที่ไร้พรมแดน.

สถิติชวนคิด

  • 30%: คือยอดขายที่เกินเป้าของ ILM ในเชียงราย สะท้อนกำลังซื้อท้องถิ่นที่ยังคงซ่อนอยู่.
  • 73.5%: คือความสำคัญของเส้นทาง R3A ที่เป็นเส้นเลือดใหญ่ทางการค้า.
  • 11,000 ล้านดอลลาร์: คือเป้าหมายการค้าไทย-ลาว ปี 2570 ที่เชียงรายเป็นกุญแจสำคัญ.

เชียงรายกำลังพิสูจน์ว่า แม้จะมีความผันผวนเพียงใด แต่หากมีการวางรากฐานด้วยความเข้าใจในยุทธศาสตร์พื้นที่และการใช้นวัตกรรมอย่างถูกจุด ปมปัญหาที่ดูเหมือนจะแก้ไม่ได้ ก็สามารถกลายเป็นโอกาสที่ไม่มีใครเทียบเคียงได้ในภูมิภาคลุ่มน้ำโขงแห่งนี้.

สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • เขียนโดย : กันณพงศ์ ก.บัวเกษร
  • เรียงเรียงโดย : มนรัตน์ ก.บัวเกษร
  • สถิติเศรษฐกิจและผลประกอบการ: รายงาน Opportunity Day Q3/2025 บมจ. อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ (SET Thailand).
  • นโยบายรัฐบาลและการจัดการอุทกภัย: สำนักประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย และถ้อยแถลงรองนายกรัฐมนตรี (ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า).
  • การค้าชายแดนและความร่วมมือระหว่างประเทศ: กระทรวงพาณิชย์ (นางศุภจี สุธรรมพันธุ์) และสำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงราย.
  • ยุทธศาสตร์ความเชื่อมโยงลุ่มน้ำโขง: กรมเอเชียตะวันออก กระทรวงการต่างประเทศ (สะพานมิตรภาพไทย-ลาว).
  • นวัตกรรมการแพทย์และสังคม: โรงพยาบาลศูนย์การแพทย์ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง.
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
MOST POPULAR
FOLLOW ME