Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

คลังเชียงรายเผย! อัตราเบิกจ่ายงบปี 68 พุ่ง 81.25% สะท้อนบริหารงานมีประสิทธิภาพ

คลังเชียงรายชี้เบิกจ่ายงบปี 68 พุ่ง 81.25%! สะท้อนบริหารงานมีประสิทธิภาพ ประชาชนได้รับประโยชน์เต็มที่

เชียงราย, 4 สิงหาคม 2568 – ตัวเลขที่มากกว่าคำว่า “สำเร็จ”
ท่ามกลางยุคที่งบประมาณของรัฐกลายเป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนาทุกพื้นที่ “สำนักงานคลังจังหวัดเชียงราย” ได้รายงานสถิติที่น่าพอใจเป็นอย่างยิ่ง เมื่อ ณ สิ้นเดือนกรกฎาคม 2568 จังหวัดเชียงรายมีอัตราการเบิกจ่ายงบประมาณโดยรวมสูงถึง 81.25% ของงบทั้งหมดที่ได้รับจัดสรร ประเด็นนี้ไม่ใช่เพียงตัวเลขที่สูงเมื่อเทียบกับเป้าหมายเชิงนโยบาย แต่เป็นสัญญาณเชิงบวกที่บอกถึง “ความเข้มแข็งในการบริหารจัดการ” และสะท้อนความจริงใจของหน่วยงานรัฐในการใช้เงินภาษีประชาชนอย่างคุ้มค่าและโปร่งใส

เจาะลึกตัวเลข งบประจำเบิกจ่ายเกือบเต็ม งบลงทุนเดินหน้าเป็นรูปธรรม

ผลการเบิกจ่ายงบประมาณของเชียงรายในปีนี้แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพในการดำเนินโครงการต่าง ๆ อย่างแท้จริง

  • งบประมาณโดยรวม: จังหวัดเชียงรายได้รับงบประมาณทั้งสิ้น 17,770.63 ล้านบาท และสามารถเบิกจ่ายไปแล้วถึง 81.25% ซึ่งถือเป็นหนึ่งในจังหวัดที่มีอัตราการเบิกจ่ายสูงในภูมิภาคเหนือ
  • งบประจำ: มีอัตราการเบิกจ่ายถึง 89.82% สะท้อนให้เห็นว่าการบริหารค่าใช้จ่ายประจำ เช่น เงินเดือนเจ้าหน้าที่รัฐ, ค่าสาธารณูปโภค, ค่าดูแลและบำรุงรักษาสถานที่สำคัญต่างๆ ดำเนินไปอย่างราบรื่น หน่วยงานสามารถให้บริการประชาชนได้อย่างต่อเนื่อง ไม่สะดุด
  • งบลงทุน: เบิกจ่ายไปแล้ว 70.31% ของยอดที่ได้รับ ซึ่งแม้จะต่ำกว่างบประจำแต่ยังถือว่าสูงเมื่อเทียบกับขนาดของโครงการและระยะเวลาดำเนินการ โดยงบลงทุนส่วนใหญ่ใช้ในโครงการขนาดใหญ่ อาทิ การสร้างถนน สะพาน โรงพยาบาล อาคารเรียน และโครงสร้างพื้นฐานอื่น ๆ ที่จำเป็นต่อคุณภาพชีวิตประชาชน

ผลสัมฤทธิ์ที่เห็นได้จริงประชาชนได้อะไร

  • บริการรัฐต่อเนื่อง รวดเร็ว: งบประจำที่เบิกจ่ายได้เกือบเต็ม ส่งผลโดยตรงต่อประสิทธิภาพของหน่วยงานรัฐ ประชาชนจึงสามารถเข้าถึงบริการต่าง ๆ ได้อย่างสะดวก ทั้งงานทะเบียน งานสาธารณสุข งานสวัสดิการ และงานราชการในชีวิตประจำวัน
  • โครงสร้างพื้นฐานเติบโตอย่างเป็นรูปธรรม: งบลงทุนที่เบิกจ่ายไปแล้วกว่า 70% ช่วยผลักดันให้โครงการก่อสร้างสำคัญๆ ของจังหวัดเดินหน้าไม่หยุดยั้ง ถนน สะพาน สถานศึกษา สถานพยาบาลต่างๆ กำลังอยู่ในขั้นตอนดำเนินงานหรือใกล้เสร็จสมบูรณ์ ส่งผลให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น เข้าถึงสิ่งอำนวยความสะดวกสมัยใหม่ได้มากขึ้น
  • เศรษฐกิจท้องถิ่นหมุนเวียน กระจายรายได้: การอัดฉีดงบประมาณสู่โครงการต่างๆ ในจังหวัด ส่งผลให้เกิดการจ้างงานในท้องถิ่น เกิดการสั่งซื้อวัสดุและบริการจากผู้ประกอบการในพื้นที่ ทำให้เม็ดเงินไหลเวียนและกระจายรายได้สู่ชุมชน ลดปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ
  • ขับเคลื่อนสังคมอย่างยั่งยืน: งบประมาณที่ได้รับการบริหารอย่างมีประสิทธิภาพนี้ ช่วยสร้างฐานรากของสังคมที่แข็งแรง ทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐาน การสาธารณสุข การศึกษา และการพัฒนาสังคมอย่างรอบด้าน

เชียงรายโมเดล ‘รัฐโปร่งใส’ – พัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชน

การบริหารงบประมาณให้มีประสิทธิภาพสูงเช่นนี้ นอกจากจะบ่งบอกถึงทักษะและความตั้งใจของผู้บริหารจังหวัดและหน่วยงานราชการ ยังเป็นเครื่องมือที่ช่วยสร้างความมั่นใจและศรัทธาให้กับประชาชนในฐานะ “เจ้าของงบประมาณ” ที่แท้จริง ทั้งยังเป็นต้นแบบของการนำเงินภาษีไปใช้ตามวัตถุประสงค์หลัก ไม่รั่วไหล ไม่ตกค้างในระบบ ให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับสังคม

ด้วยอัตราการเบิกจ่าย 81.25% เชียงรายสามารถยืนหยัดในฐานะจังหวัดที่เดินหน้านโยบาย “รัฐโปร่งใส พัฒนาคุณภาพชีวิต” ได้อย่างแท้จริง ส่งสัญญาณบวกไปยังหน่วยงานราชการทุกระดับ ทั้งการจัดสรรงบประมาณปีหน้า และการตรวจสอบถ่วงดุลระหว่างภาครัฐกับประชาชน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • • สำนักงานคลังจังหวัดเชียงราย
    • รายงานผลการเบิกจ่ายงบประมาณประจำปี 2568 จังหวัดเชียงราย
    • ข้อมูลประกอบจากเว็บไซต์ข่าวภาครัฐและการประชุมคณะกรรมการกลั่นกรองงบประมาณจังหวัด
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

คืนโอกาสให้เด็กเชียงราย! ม.ราชภัฏฯ-ม.จีน ร่วมฟื้นฟูโรงเรียนหลังน้ำท่วม

น้ำใจจากจีนถึงเชียงราย ม.ราชภัฏเชียงรายผนึกกำลัง Pu’er University ฟื้นฟูการศึกษา 13 โรงเรียนที่ถูกน้ำท่วมด้วย ‘สื่อการเรียนรู้ผ่านการเล่น’

เชียงราย, 4 สิงหาคม 2568 – รอยยิ้มหลังวิกฤตจุดเริ่มต้นของการฟื้นฟูจากมหาอุทกภัย แม้เวลาจะผ่านจากเหตุการณ์อุทกภัยครั้งใหญ่ที่ถาโถมเข้าใส่จังหวัดเชียงรายในปี 2567 ไปเกือบปีแล้ว แต่ภาพความเสียหาย โดยเฉพาะในภาคการศึกษายังคงชัดเจน โรงเรียนหลายแห่งต้องสูญเสียทั้งอุปกรณ์ ห้องเรียน สื่อการสอน และความมั่นใจในอนาคตของเด็กๆ ซึ่งเป็นอนาคตของชาติ อย่างไรก็ตาม วันนี้ ความหวังได้หวนคืนสู่ห้องเรียนอีกครั้ง เมื่อ “มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย” (มร.ชร.) ได้จับมือกับ “Pu’er University” สาธารณรัฐประชาชนจีน ส่งมอบ “สื่อการเรียนรู้ผ่านการเล่น” สู่โรงเรียน 13 แห่งในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ ให้เด็กๆ ได้กลับมาสัมผัสประสบการณ์การเรียนรู้ที่มีคุณภาพ

ภารกิจฟื้นฟูการศึกษาหลังน้ำลด

เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2568 ณ ห้องประชุมพญามังราย สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงราย เขต 1 (สพป.เชียงราย เขต 1) ได้มีพิธีส่งมอบชุดสื่อการเรียนรู้โดยมีนายนิคม อัสสรัตนะสุขิน ผู้เชี่ยวชาญ และ ดร.ธีรวัฒน์ วังมณี ผู้อำนวยการกองพัฒนานักศึกษา พร้อมตัวแทนนักศึกษา จาก มร.ชร. ส่งมอบให้กับนายมรกต อนุเคราะห์ ผู้อำนวยการ สพป.เชียงราย เขต 1 เพื่อนำไปจัดสรรแก่โรงเรียน 13 แห่ง อันได้แก่ โรงเรียนผาขวางวิทยา, บ้านห้วยทรายขาว, บ้านน้ำลัด, บ้านเวียงกือนา, บ้านป่ายางหลวง, ห้วยพลูพิทยา, บ้านโป่งน้ำตก, บ้านป่ารวก (คุรุราษฎร์สงเคราะห์), ชุมชนบ้านแม่ข้าวต้มหลวง, บ้านผาเสริฐ, บ้านป่าสักไก่, บ้านถ้ำผาตอง และบ้านนางแลใน

เด็กนักเรียนและครูจากโรงเรียนที่ได้รับผลกระทบต่างซาบซึ้งในน้ำใจและความมุ่งมั่นของทั้งสองสถาบันอุดมศึกษาที่เล็งเห็นถึงหัวใจของการฟื้นฟู นั่นคือ “การคืนโอกาสการเรียนรู้ที่มีคุณภาพให้กับเด็กทุกคน” ซึ่งเหนือกว่าการบริจาคเพียงเพื่อบรรเทาทุกข์ระยะสั้น แต่เป็นการเสริมสร้างรากฐานทางการศึกษาในระยะยาว

สื่อการเรียนรู้ผ่านการเล่น นวัตกรรมแห่งความหวัง

หัวใจของการสนับสนุนในครั้งนี้อยู่ที่ “Learning Through Play” หรือ “การเรียนรู้ผ่านการเล่น” ซึ่งได้รับการยอมรับในระดับสากลว่าเป็นเครื่องมือสำคัญในการเสริมสร้างทักษะศตวรรษที่ 21 ไม่ว่าจะเป็นทักษะทางสังคม อารมณ์ การคิดวิเคราะห์ การสื่อสาร หรือการทำงานเป็นทีม นอกจากนี้ การเล่นยังช่วยลดความเครียดและความวิตกกังวลของเด็กที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติ เพิ่มพลังบวกและสร้างพื้นที่ปลอดภัยให้กับพวกเขาในการกลับคืนสู่การเรียนรู้

ตัวแทนครูในพิธีส่งมอบได้เล่าว่า “ตั้งแต่เกิดอุทกภัย เด็กๆ ขาดอุปกรณ์และของเล่นที่ส่งเสริมจินตนาการ ครูเองก็รู้สึกขาดแรงบันดาลใจในการจัดกิจกรรม เมื่อได้รับสื่อการเรียนรู้ชุดใหม่ ทุกคนต่างตื่นเต้น เด็กๆ กลับมาสนุกกับการเรียนมากขึ้น เห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของพวกเขาแล้ว รู้สึกได้ถึงพลังบวกที่ค่อยๆ กลับคืนมา”

บทพิสูจน์พลังความร่วมมือไทย-จีน

การร่วมมือกันระหว่าง มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย และ Pu’er University ไม่ใช่เพียงแค่การบริจาคเพื่อการกุศล แต่ยังเป็นสะพานสำคัญของการสร้างสัมพันธ์ทางวิชาการและวัฒนธรรมระหว่างไทย-จีน ทั้งสองสถาบันได้นำจุดแข็งของแต่ละฝ่ายมาผสมผสานกัน โดย มร.ชร. เข้าใจลึกซึ้งถึงบริบทชุมชน และ Pu’er University มีศักยภาพในการสนับสนุนสื่อการเรียนรู้รุ่นใหม่ การจับมือกันในครั้งนี้จึงทำให้ความช่วยเหลือมีความตรงจุดและเกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม

ไม่เพียงแค่นั้น โครงการนี้ยังเปิดโอกาสให้เกิดการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ทั้งด้านนวัตกรรมการศึกษา การพัฒนาเด็กและเยาวชน รวมถึงการขยายเครือข่ายเพื่อรองรับความท้าทายที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

ผลกระทบที่ยิ่งใหญ่ต่อเด็กเชียงรายและสังคม

แม้สื่อการเรียนรู้แต่ละชิ้นอาจดูเรียบง่าย แต่เมื่อรวมกันแล้วกลับมีอานุภาพมหาศาลในการเปลี่ยนชีวิตเด็กหลายร้อยคนให้กลับมามีไฟในการเรียนรู้ ปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงหลังวิกฤต และพร้อมเผชิญความท้าทายใหม่ๆ ข้อมูลจาก สพป.เชียงราย เขต 1 ระบุว่า เด็กนักเรียนใน 13 โรงเรียนที่ได้รับสื่อการสอนในครั้งนี้กว่า 1,400 คนจะได้รับประโยชน์โดยตรง ขณะที่ครูผู้สอนสามารถนำเครื่องมือดังกล่าวไปต่อยอดพัฒนาหลักสูตรให้ทันสมัยขึ้นได้

ฟื้นฟู-คืนโอกาส-สร้างอนาคต

สิ่งที่โครงการนี้สะท้อนออกมาชัดเจนคือ บทบาทของสถาบันอุดมศึกษาในฐานะ “ตัวกลาง” ของการฟื้นฟูทางสังคม ที่สามารถขับเคลื่อนความร่วมมือจากนานาชาติมาสู่ชุมชน โดยไม่เพียงเติมเต็มทรัพยากรที่ขาดแคลน แต่ยังปลุกพลังและความหวังให้กับผู้ได้รับผลกระทบ การนำ “Learning Through Play” มาเป็นแนวทางแก้ไขปัญหาการศึกษาในภาวะวิกฤต ยังเป็นโมเดลตัวอย่างที่ขยายผลต่อไปได้ในพื้นที่อื่นๆ ที่ประสบภัย

ไม่เพียงแค่เด็กเท่านั้นที่ได้รับประโยชน์ ครูและชุมชนก็กลับมามีความมั่นใจในศักยภาพของตนเอง และมีส่วนร่วมในการสร้างสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ที่มีความหมาย ซึ่งจะกลายเป็นต้นทุนสำคัญสำหรับการพัฒนาอย่างยั่งยืนของเชียงรายต่อไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงราย เขต 1 (สพป.เชียงราย เขต 1)

     

  • มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย

  • มหาวิทยาลัย Pu’er University สาธารณรัฐประชาชนจีน

  • ข้อมูลข่าวจากสื่อประชาสัมพันธ์ สพป.เชียงราย เขต 1

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

นวัตกรรมปกป้องป่า! อุทยานฯ ดอยหลวงใช้ Smart Patrol รวบชายพกปืนเข้าเขตห้าม

อุทยานแห่งชาติดอยหลวงยกระดับมาตรการปกป้องผืนป่า-สัตว์ป่า “Smart Patrol” จับชายวัย 67 ปี พกปืนลอบเข้าป่า ตอกย้ำยุทธศาสตร์เชิงรุก สู่การอนุรักษ์อย่างยั่งยืน

เชียงราย, 4 สิงหาคม 2568 – ปรากฏการณ์ “Smart Patrol”: อุทยานฯ ยุคใหม่ ที่เทคโนโลยีขับเคลื่อนการอนุรักษ์ ในขณะที่สังคมไทยกำลังจับตามองประเด็นสิ่งแวดล้อมและการรักษาความสมบูรณ์ของผืนป่าเป็นหัวใจสำคัญ หนึ่งในแนวหน้าอย่างอุทยานแห่งชาติดอยหลวง จังหวัดเชียงราย ก็ได้ยกระดับกลยุทธ์เชิงรุกด้วย “Smart Patrol” หรือการลาดตระเวนเชิงคุณภาพ ล่าสุดเมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2568 ได้เกิดเหตุการณ์สะท้อนความเข้มแข็งของมาตรการดังกล่าว เมื่อเจ้าหน้าที่ชุดสายตรวจสามารถจับกุมชายวัย 67 ปี พร้อมอาวุธปืน ขณะลอบเข้าไปในพื้นที่อุทยานโดยไม่ได้รับอนุญาต สร้างความประทับใจในประสิทธิภาพของการบังคับใช้กฎหมายและเทคโนโลยีสมัยใหม่

ที่มาเหตุการณ์ “Smart Patrol” พิสูจน์ฝีมือ

นายปัณณวิชญ์ ภูริรักษ์พิติกร หัวหน้าอุทยานแห่งชาติดอยหลวง รายงานว่าเจ้าหน้าที่ชุดสายตรวจได้ดำเนินการลาดตระเวนในพื้นที่บ้านผาตุ้ม ตำบลป่าหุ่ง ถึงบ้านวังชมภู ตำบลม่วงคำ อำเภอพาน จังหวัดเชียงราย ตามแผนลาดตระเวนคุณภาพ (Smart Patrol) ซึ่งใช้ระบบบันทึกข้อมูลการเดินทาง สังเกตการณ์ร่องรอยสัตว์ป่า และความผิดปกติที่อาจเกิดขึ้นตลอดเส้นทาง

ในระหว่างปฏิบัติการ เจ้าหน้าที่ได้สังเกตเห็นชายต้องสงสัยจึงเข้าตรวจสอบ พบว่านายผัด (สงวนนามสกุล) อายุ 67 ปี กำลังพกพาอาวุธปืนเข้าไปในเขตอุทยานโดยไม่มีใบอนุญาต ทั้งนี้ การกระทำดังกล่าวเข้าข่ายผิดกฎหมายชัดเจน ตามมาตรา 19(7) ประกอบมาตรา 45 แห่งพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562 ซึ่งห้ามนำอาวุธปืนเข้าสู่เขตอุทยานโดยไม่ได้รับอนุญาต

นายปัณณวิชญ์ได้สั่งการให้ควบคุมตัวนายผัดทันที ก่อนนำส่งพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย พร้อมเน้นย้ำถึงความสำคัญของการเฝ้าระวังและป้องกันการกระทำผิดในพื้นที่อนุรักษ์

Smart Patrol จากอดีตสู่ยุคดิจิทัล

นายเจษฎา เงินทอง ผู้อำนวยการสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 15 (เชียงราย) ระบุว่า ระบบ Smart Patrol ไม่เพียงแต่ช่วยให้เจ้าหน้าที่สามารถเฝ้าระวังได้ทั่วถึงยิ่งขึ้น แต่ยังเป็นการนำเทคโนโลยีเข้ามาเสริมงานอนุรักษ์ในรูปแบบที่ทันสมัย อาทิ การเก็บข้อมูลการพบร่องรอยสัตว์ การกระทำผิด การบันทึกตำแหน่งทางภูมิศาสตร์และสภาพแวดล้อมแบบเรียลไทม์ ตลอดจนสามารถนำข้อมูลที่ได้ไปวางแผนปรับปรุงการลาดตระเวนให้ตรงจุดมากขึ้น

Smart Patrol เปลี่ยนเกมอนุรักษ์ป่า

  1. เพิ่มประสิทธิภาพการลาดตระเวน:
    การมีฐานข้อมูลแน่นหนาและเป็นระบบ ช่วยให้เจ้าหน้าที่วางแผนงานได้ดีขึ้น สามารถวิเคราะห์พื้นที่เสี่ยงและจัดชุดลาดตระเวนในจุดที่มีโอกาสเกิดการกระทำผิดสูงได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดภาระงานที่ไม่จำเป็น และเพิ่มประสิทธิผลของแต่ละภารกิจ
  2. ลดความเสี่ยงต่อเจ้าหน้าที่:
    การมีข้อมูลล่าสุดจาก Smart Patrol ช่วยให้เจ้าหน้าที่สามารถประเมินสถานการณ์ล่วงหน้า ลดโอกาสเผชิญหน้ากับผู้กระทำผิดโดยไม่ทันตั้งตัว ทำให้การปฏิบัติงานปลอดภัยยิ่งขึ้น
  3. สร้างฐานข้อมูลงานอนุรักษ์ระยะยาว:
    ข้อมูลการลาดตระเวนและตรวจพบร่องรอยต่างๆ เมื่อสะสมเป็นระยะเวลานาน จะกลายเป็นฐานข้อมูลที่มีคุณค่า ช่วยวางนโยบายการอนุรักษ์ทั้งเรื่องการประเมินประชากรสัตว์ป่า การติดตามการเปลี่ยนแปลงของป่าไม้ รวมถึงการประเมินพื้นที่คุ้มครองเพิ่มเติมในอนาคต

มาตรการต่อเนื่องและความท้าทาย

เหตุการณ์ในครั้งนี้ตอกย้ำถึงความจำเป็นของการเฝ้าระวังเชิงรุกในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ โดยเฉพาะภัยคุกคามจากการล่าสัตว์ การลอบนำอาวุธเข้าพื้นที่ หรือการตัดไม้ทำลายป่า ซึ่งทุกปัญหาล้วนกระทบต่อความสมบูรณ์ของระบบนิเวศโดยรวม

แม้จะมีเทคโนโลยีช่วยเหลือ แต่งานลาดตระเวนยังต้องอาศัยความทุ่มเทของเจ้าหน้าที่ทั้งในเชิงปฏิบัติและความรู้ความเข้าใจในพื้นที่ เช่นเดียวกับการสร้างความร่วมมือกับชุมชนโดยรอบ เพื่อแจ้งเบาะแสและร่วมกันเฝ้าระวังพื้นที่อนุรักษ์

ก้าวสู่การอนุรักษ์ป่าไทยอย่างยั่งยืน

การจับกุมชายวัย 67 ปีที่ลักลอบพกอาวุธปืนเข้าสู่พื้นที่อุทยานในครั้งนี้ เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของประสิทธิภาพและความจำเป็นในการนำนวัตกรรมเทคโนโลยีอย่าง Smart Patrol มาประยุกต์ใช้ในงานอนุรักษ์ ตอกย้ำว่าการผสาน “มนุษย์” กับ “เทคโนโลยี” คือหนทางสำคัญในการปกป้องผืนป่าไทยในยุคสมัยใหม่

การลาดตระเวนเชิงคุณภาพ (Smart Patrol) มิได้หยุดเพียงการจับกุมผู้กระทำผิด แต่ยังเป็นกลไกสร้างฐานข้อมูลเชิงลึกเพื่อพัฒนางานอนุรักษ์ป่าไม้และสัตว์ป่าของไทยอย่างยั่งยืน ปลูกฝังจิตสำนึกให้สังคมร่วมกันรักษาทรัพยากรธรรมชาติซึ่งเป็นสมบัติของชาติให้คงอยู่อย่างมั่นคงต่อไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • นายปัณณวิชญ์ ภูริรักษ์พิติกร: หัวหน้าอุทยานแห่งชาติดอยหลวง
  • นายเจษฎา เงินทอง: ผู้อำนวยการสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 15 (เชียงราย)
  • พระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562 มาตรา 19(7) และมาตรา 45
  • ข่าวประชาสัมพันธ์อุทยานแห่งชาติดอยหลวง/กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช
  • กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ENTERTAINMENT FEATURED NEWS

เชียงรายเมืองแอนิเมชัน! “Little Fan” คว้า The Winner ส่วนทีมไทย “Little Angel” คว้า Thai Best

ภูแล” ปรากฏการณ์ใหม่ของวงการแอนิเมชันไทย: “Little Fan” คว้ารางวัล The Winner ท่ามกลาง 1,274 ผลงานจากทั่วโลก พร้อมชู “Little Angel” คว้า Thai Best Animation รางวัลพิเศษเพื่อทีมไทย

เชียงราย, 2 สิงหาคม 2568 – ในวันที่ประวัติศาสตร์แห่งวงการแอนิเมชันไทยได้ถือกำเนิดขึ้น เมื่อโรงภาพยนตร์เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ โรง 5 เซ็นทรัลเชียงราย กลายเป็นเวทีแห่งการเฉลิมฉลองความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของเทศกาลแอนิเมชันนานาชาติภูแล (Phulae International Animation Festival) 2025 ครั้งแรกของจังหวัดเชียงราย ที่ได้สร้างปรากฏการณ์ใหม่ให้โลกได้เห็นถึงศักยภาพของแอนิเมชันไทยบนเวทีระดับสากล

การจัดเทศกาลในครั้งแรกนี้ได้รับการตอบรับอย่างล้นหลามจากนักสร้างสรรค์ทั่วโลก ด้วยผลงานแอนิเมชันที่ส่งเข้าร่วมประกวดทั้งสิ้น 1,274 เรื่อง จาก 125 ประเทศ ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่น่าทึ่งสำหรับการจัดเทศกาลครั้งแรก และสะท้อนให้เห็นถึงความน่าเชื่อถือและมาตรฐานระดับสากลของเทศกาลแห่งนี้

พิธีประกาศผลและมอบรางวัลในครั้งนี้มีบุคคลสำคัญเข้าร่วมอย่างคับคั่ง โดยมีคุณเกษร กำเหนิดเพ็ชร ผู้อำนวยการสำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย กระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานในพิธี และคุณรัฐ จำปามูล ในฐานะ Festival Director ผู้เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของเทศกาลแห่งนี้ การมีส่วนร่วมของหน่วยงานระดับกระทรวงแสดงให้เห็นถึงความสำคัญและการสนับสนุนจากภาครัฐต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของประเทศ

The Winner Little Fan โดย Sveta Yuferova จากประเทศเยอรมัน
Sveta Yuferova ชาวเยอรมัน เจ้าของเรื่อง Little Fan

“Little Fan” สร้างประวัติศาสตร์คว้ารางวัล “The Winner”

ภายหลังการแข่งขันที่เข้มข้นและการพิจารณาอย่างรอบคอบจากคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ผลการตัดสินได้ปรากฏขึ้นแล้ว โดยมีแอนิเมชัน 5 เรื่องที่ผ่านเข้ารอบสุดท้ายเพื่อชิงรางวัลอันทรงเกียรติ

ผลงานที่คว้าสุดยอดรางวัล “The Winner” ได้แก่ “Little Fan” โดย Sveta Yuferova จากประเทศเยอรมนี ซึ่งเป็นผลงานที่บอกเล่าเรื่องราวของการค้นพบตัวเองผ่านมิตรภาพที่เติบโตขึ้นอย่างคาดไม่ถึงระหว่าง “Little Fan” และ “Origami Crane” ผลงานนี้ชวนให้ผู้ชมร่วมเดินทางไปกับโศกนาฏกรรมอันงดงามของชีวิต ด้วยเทคนิคการเล่าเรื่องที่ลึกซึ้งและภาพแอนิเมชันที่สื่ออารมณ์ได้อย่างน่าประทับใจ

First runner-up OUROBOROS โดย Yummy Films จากประเทศฝรั่งเศส
Second runner-up The Sprayer โดย Farnoosh Abedi จากสาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน

นอกจากรางวัลชนะเลิศแล้ว ยังมีการประกาศรางวัลอื่นๆ ดังนี้ รางวัล First Runner-up ได้แก่ “OUROBOROS” โดย Yummy Films จากประเทศฝรั่งเศส รางวัล Second Runner-up ได้แก่ “The Sprayer” โดย Farnoosh Abedi จากสาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน และรางวัล Honorable Mention จำนวน 2 รางวัล ได้แก่ “Town Hall Square” โดย Christian Kaufmann จากประเทศเยอรมนี และ “Little Angel” โดยทีมนักศึกษาไทยซึ่งประกอบด้วย นางสาวจิตกาญจน์ อาภาพันธ์ นางสาวทิพปภา สังข์ทอง และนางสาวพรพิชา ตันติอภิรมย์

Honorable mention Town Hall Square โดย Christian Kaufmann จากประเทศเยอรมัน
Honorable mention Little Angel โดย นางสาวจิตกาญจน์ อาภาพันธ์ / นางสาวทิพปภา สังข์ทอง / นางสาวพรพิชา ตันติอภิรมย์ จาก ประเทศไทย

รางวัลพิเศษ “Thai Best Animation” เชิดชูศักยภาพนักแอนิเมชันไทย

หนึ่งในไฮไลท์พิเศษของงานคือการมอบรางวัล “Thai Best Animation” ซึ่งเป็นรางวัลที่สร้างขึ้นเพื่อเชิดชูและส่งเสริมศักยภาพของนักแอนิเมชันไทย โดยผลงานที่ได้รับรางวัลนี้คือ “Little Angel” ซึ่งเป็นผลงานวิทยานิพนธ์ของทีมนักศึกษาสาว 3 คน ที่ใช้ความมุ่งมั่นและความทุ่มเทในการสร้างสรรค์ผลงานที่มีคุณภาพ

การได้รับรางวัลนี้ไม่เพียงแสดงถึงความสามารถของนักแอนิเมชันไทยรุ่นใหม่เท่านั้น แต่ยังเป็นการยืนยันถึงศักยภาพของการศึกษาด้านแอนิเมชันในประเทศไทยที่สามารถผลิตผลงานที่มีมาตรฐานระดับสากล รางวัลนี้ครอบคลุมการส่งเสริมศักยภาพของนักศึกษาด้านแอนิเมชันจากกว่า 40 สถาบันในไทย ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความครอบคลุมและการสนับสนุนอย่างทั่วถึง

คุณเกษร กำเหนิดเพ็ชร ได้กล่าวแสดงความยินดีและมอบรางวัลดังกล่าว ซึ่งเป็นการตอกย้ำถึงการสนับสนุนงานศิลปะและวัฒนธรรมร่วมสมัยจากภาครัฐ และเป็นสัญญาณที่ดีต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของประเทศในอนาคต

"Little Angel" โดยทีมนักศึกษาไทยซึ่งประกอบด้วย นางสาวจิตกาญจน์ อาภาพันธ์ นางสาวทิพปภา สังข์ทอง และนางสาวพรพิชา ตันติอภิรมย์

ภูแล” จากสับปะรดสู่สัญลักษณ์แห่งการต่อสู้

ชื่อ “ภูแล” ไม่ใช่เพียงแค่ชื่อของเทศกาลเท่านั้น แต่มีความหมายลึกซึ้งที่สะท้อนถึงปรัชญาและวิสัยทัศน์ของการจัดงาน คุณรัฐ จำปามูล ได้อธิบายถึงที่มาของชื่อ “ภูแล” ว่ามาจากสับปะรดภูแล ซึ่งเป็นพืชนักสู้ที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นของเชียงราย แม้จะมีขนาดเล็กเท่ากำปั้น แต่กลับมีรสชาติที่โดดเด่นและน่าจดจำ สามารถเติบโตได้ตลอดปี

การเปรียบเทียบนี้สะท้อนถึงแอนิเมชันไทยที่แม้จะเป็นศิลปะที่เพิ่งเริ่มต้นไม่นาน แต่ก็มีเอกลักษณ์โดดเด่นและน่าสนใจ มีความเฉพาะตัวและศักยภาพที่จะแข่งขันในระดับนานาชาติได้หากได้รับโอกาสและการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง งานนี้เป็นผลผลิตจากความฝันของคุณรัฐที่ต้องการจัดเทศกาลแอนิเมชันระดับโลกในเมืองที่มีเสน่ห์อย่างเชียงราย

เทศกาลยังมีมาสคอตน่ารักชื่อ “น้องลูกกุย” ซึ่งเป็นคำเมืองที่แปลว่า “กำปั้น” โดยผสมผสานสับปะรดภูแลเข้ากับ “แมงสี่หูห้าตา” สัตว์วิเศษในตำนานพื้นบ้านของเชียงราย เพื่อสื่อถึงความเป็นนักสู้และความใจสู้ ซึ่งเป็นจิตวิญญาณที่ต้องการส่งต่อให้นักแอนิเมชันรุ่นใหม่ของไทย

เป้าหมายยั่งยืนจากเทศกาลสู่เศรษฐกิจสร้างสรรค์

คุณเกษร กำเหนิดเพ็ชร ได้ชื่นชมโครงการนี้ว่า “เป็นโครงการที่มีผลกระทบในเชิงบวกมากๆ ในการพัฒนาศักยภาพของน้องๆ เยาวชนต่องานศิลปะและวัฒนธรรมร่วมสมัย” สิ่งที่น่าสนใจคือรางวัลที่มอบให้กับผู้ชนะทั้ง 5 รางวัลไม่ใช่เงินสด แต่เป็นทริปท่องเที่ยวเชียงรายสุดพิเศษ 3 วัน 2 คืน

การออกแบบรางวัลในรูปแบบนี้มีเป้าหมายที่ลึกซึ้ง เพื่อให้ผู้ที่ได้รับรางวัลได้สัมผัสกับศิลปะ วัฒนธรรม และความสวยงามของจังหวัดเชียงราย โดยหวังเป็นอย่างยิ่งว่าผู้ที่ได้รับรางวัลจะกลับไปบอกต่อและประชาสัมพันธ์เชียงรายให้เป็นที่รู้จักในระดับโลก ซึ่งเป็นกลยุทธ์การตลาดที่ชาญฉลาดในการสร้างการรับรู้และดึงดูดนักท่องเที่ยวระหว่างประเทศ

การจัดเทศกาลแอนิเมชันนานาชาติ “ภูแล” ในครั้งนี้ ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญในการสร้างการรับรู้ในระดับสากลให้เชียงรายโดดเด่นในฐานะ Digital Art City ซึ่งจะช่วยส่งเสริม Creative Economy และเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในการเผยแพร่ Soft Power ของไทย

ผลกระทบและแนวโน้มอนาคต

เทศกาล “ภูแล” ไม่เพียงแค่เป็นการประกวดแอนิเมชันธรรมดา แต่เป็นการวางรากฐานสำคัญของอุตสาหกรรมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของไทย การมีผลงานจากทั่วโลกส่งเข้าร่วมมากกว่า 1,000 เรื่องในปีแรกแสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการเติบโตอย่างรวดเร็ว

การเชื่อมโยงระหว่างแอนิเมชันกับการท่องเที่ยวผ่านรางวัลท่องเที่ยวเชียงรายเป็นนวัตกรรมที่น่าสนใจ ซึ่งอาจกลายเป็นต้นแบบสำหรับการจัดเทศกาลศิลปะอื่นๆ ในประเทศ นอกจากนี้ การสร้างโอกาสให้นักแอนิเมชันไทยจากกว่า 40 สถาบันได้แสดงผลงานยังเป็นการสร้างเครือข่ายและพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืน

การที่เชียงรายได้รับการยอมรับให้เป็นเจ้าภาพเทศกาลระดับนานาชาตินี้ยังสะท้อนถึงความพร้อมของเมืองในการเป็น Digital Art City ตามแนวทางเดียวกับเมืองคานส์ในประเทศฝรั่งเศสที่เป็นเมืองแห่งศิลปะภาพยนตร์ ซึ่งจะสร้างคุณค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจและยกระดับภาพลักษณ์ของจังหวัดในระยะยาว

ความสำเร็จของเทศกาล “ภูแล” ในปีแรกนี้เป็นสัญญาณที่ดีต่อการพัฒนาต่อเนื่อง คาดว่าในปีหน้าจะมีผลงานส่งเข้าร่วมเพิ่มขึ้น และอาจมีการขยายกิจกรรมเพิ่มเติม เช่น การจัด workshop และ masterclass กับผู้เชี่ยวชาญระดับสากล ซึ่งจะช่วยยกระดับศักยภาพของนักแอนิเมชันไทยให้ก้าวสู่ระดับโลกได้อย่างแท้จริง

ข้อมูลสรุป

  • งาน: พิธีประกาศผลและมอบรางวัลเทศกาลแอนิเมชันนานาชาติภูแล 2025
  • วันที่: วันเสาร์ที่ 2 สิงหาคม 2568 เวลา 16.30 – 19.00 น.
  • สถานที่: โรงภาพยนตร์เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ (โรง 5) เซ็นทรัลพลาซา เชียงราย
  • ผู้ชนะรางวัล The Winner: Little Fan โดย Sveta Yuferova จากประเทศเยอรมนี
  • รางวัลพิเศษ Thai Best Animation: Little Angel โดยทีมงานจากประเทศไทย
  • จำนวนผลงานที่ส่งเข้าประกวด: 1,274 เรื่อง จาก 125 ประเทศ
  • รางวัลสำหรับผู้ชนะ 5 อันดับแรก: ทริปท่องเที่ยวเชียงราย 3 วัน 2 คืน
คุณเกษร กำเหนิดเพ็ชร ผู้อำนวยการสำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย กระทรวงวัฒนธรรม
คุณรัฐ จำปามูล Festival Director

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย กระทรวงวัฒนธรรม
  • Sputnik Tales Studio (ผู้จัดงาน)
  • เอกสารประกอบการแถลงข่าวเทศกาลแอนิเมชันนานาชาติภูแล 2025
  • ข้อมูลจากคุณรัฐ จำปามูล (Festival Director)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
CULTURE

ผ้าไหมไทลื้อศรีดอนชัยจากผืนผ้าสู่งานออกแบบ ยกระดับเชียงรายสู่เมืองสร้างสรรค์โลก

ผ้าไหมไทลื้อศรีดอนชัย: จากผืนผ้าสู่งานออกแบบสร้างสรรค์ ปลุกพลังวัฒนธรรมพื้นถิ่น ยกระดับ “เชียงรายเมืองสร้างสรรค์โลก”

เชียงราย, 3 สิงหาคม 2568 – ณ ห้วงเวลาที่วัฒนธรรมพื้นบ้านจำนวนมากกำลังถูกกระแสโลกาภิวัตน์กลืนหาย “ผ้าไหมไทลื้อศรีดอนชัย” กลับโดดเด่นขึ้นมาเป็นสัญลักษณ์ของการอนุรักษ์และต่อยอดภูมิปัญญาพื้นถิ่นอย่างมีชั้นเชิง ด้วยการผนึกกำลังของชุมชน สถาบันวิชาการ หน่วยงานรัฐ และองค์กรระดับนานาชาติ ก่อให้เกิด “โมเดลการพัฒนาใหม่” ที่ผสมผสานมรดกวัฒนธรรมกับเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ผลักดันเชียงรายก้าวสู่เวทีเมืองสร้างสรรค์โลกของ UNESCO อย่างเป็นรูปธรรม

สมเด็จพระราชินีเสด็จทอดพระเนตรนิทรรศการ – ฟื้นมรดกภูมิปัญญาหลายชั่วคน

โอกาสสำคัญเกิดขึ้นเมื่อสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีเสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตรนิทรรศการเครือข่ายสตรีภาคเหนือ ณ กรุงเทพมหานคร เนื่องในวันสตรีไทย 2568 ภายในงาน รองศาสตราจารย์ ดร.พลวัฒ ประพัฒน์ทอง หัวหน้าสถาบันศิลปวัฒนธรรมและอารยธรรมลุ่มน้ำโขง ม.แม่ฟ้าหลวง ได้ถวายรายงานโครงการวิจัย “สืบสายลายเส้นไหมศรีดอนชัยใช้สร้างสรรค์” ที่ถือเป็นก้าวสำคัญของการคืนชีวิตให้ “ผ้าไหมไทลื้อศรีดอนชัย” บ้านศรีดอนชัย อ.เชียงของ จ.เชียงราย

ผ้าไหมไทลื้อที่เคยทอใช้ในครัวเรือนและพิธีกรรมชุมชน ปัจจุบันกำลังกลายเป็น “จุดเริ่มต้น” ของการยกระดับผู้หญิงและเยาวชนให้ก้าวสู่บทบาท “นักออกแบบ” ที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมของตนเองอย่างมั่นคง

โมเดล “โรงเรียนออกแบบ” – ปลุกจิตวิญญาณนักสร้างสรรค์ในชุมชน

หัวใจของความสำเร็จนี้คือโครงการ “สืบสายลายเส้นไหมศรีดอนชัยใช้สร้างสรรค์ (บพท.67)” ที่ได้รับทุนจากหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) และริเริ่ม “โรงเรียนออกแบบ” ภายในชุมชน โดยยกระดับทักษะ “ช่างทอผ้าสตรี” ให้เป็น “นักออกแบบร่วมสมัย” ผ่านกระบวนการเรียนรู้ที่ทันสมัย เช่น Body Mapping (แผนที่ร่างกาย) เพื่อให้คนในชุมชนได้สำรวจและตีความรากเหง้าของตนเอง ต่อยอดสู่คอนเซ็ปต์ “LUE LOVE LIVE ROOT (เป็นลื้อ รัก ราก วิถี)” สะท้อนความภูมิใจในอัตลักษณ์ของไทลื้ออย่างแท้จริง

หลักสูตร “การออกแบบพื้นถิ่น (Vernacular Design)” ถูกบูรณาการในโรงเรียนออกแบบของชุมชน สอนให้เยาวชนและผู้หญิงรู้จักใช้ศิลปะและความคิดสร้างสรรค์ในการแปลงร่างลายผ้าโบราณให้กลายเป็นผลงานร่วมสมัย สอดรับกับความต้องการของตลาดและอุตสาหกรรมแฟชั่นในโลกยุคใหม่

เครือข่ายความร่วมมือ สร้างพลังทวีคูณสู่เวทีโลก

โครงการนี้เติบโตได้อย่างแข็งแกร่งจากเครือข่ายพันธมิตรหลายฝ่าย ไม่ว่าจะเป็น มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง, หน่วยงานรัฐ, เทศบาลตำบลศรีดอนชัย, พิพิธภัณฑ์ลื้อลายคำ, พาณิชย์จังหวัดเชียงราย ตลอดจนเครือข่ายนักออกแบบ ทั้งหมดนี้ร่วมกันออกแบบระบบนิเวศทางวัฒนธรรมที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก โดยมี “ผ้าไหมไทลื้อศรีดอนชัย” เป็นหัวใจสำคัญ

ผลงานวิจัยและการมีส่วนร่วมของคนรุ่นใหม่ในชุมชนไม่ได้จบแค่การอนุรักษ์หัตถกรรมเดิม แต่เดินหน้าสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ สร้างพื้นที่ทางการตลาด จัดกิจกรรมเชิงวัฒนธรรม นำเสนอผลงานสู่สายตาสาธารณะ ทั้งในระดับประเทศและต่างประเทศ

เชียงรายเมืองสร้างสรรค์ – มรดกวัฒนธรรมสู่วิสัยทัศน์ระดับสากล

หนึ่งในเป้าหมายสูงสุดของโครงการนี้ คือการผลักดัน “เชียงราย” เข้าสู่เครือข่ายเมืองสร้างสรรค์ด้านการออกแบบของ UNESCO โดยใช้งานหัตถกรรมฝีมือสตรีเป็นเครื่องมือเสริมพลังท้องถิ่นและสร้างแบรนด์เชียงรายบนเวทีโลก

แนวคิดดังกล่าวสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) โดยเฉพาะข้อที่ 5 (ความเสมอภาคทางเพศ) และข้อที่ 11 (เมืองและชุมชนยั่งยืน) ขณะเดียวกันยังเป็นโมเดลฟื้นฟูเศรษฐกิจและจิตวิญญาณของเมืองตามแนวคิด “ฟื้นใจเมือง” ของ บพท. ที่เน้นการฟื้นคืนจิตวิญญาณชุมชนและสร้างพลังร่วมของคนท้องถิ่น

มุมมองนักวิเคราะห์ ผ้าไหมไทลื้อศรีดอนชัย กับเศรษฐกิจสร้างสรรค์ที่แท้จริง

ความสำเร็จในระยะแรกของโครงการนี้สะท้อนให้เห็นว่า “เศรษฐกิจฐานวัฒนธรรม” ไม่ได้เป็นแค่แนวคิดในตำรา แต่สามารถสร้างรายได้ เพิ่มคุณค่า สร้างแรงบันดาลใจ และส่งต่อองค์ความรู้สู่คนรุ่นใหม่อย่างเป็นรูปธรรม

จุดเด่นสำคัญคือ “การมีส่วนร่วม” ของชุมชน การถ่ายทอดภูมิปัญญาจากรุ่นสู่รุ่น การสนับสนุนของหน่วยงานรัฐและวิชาการอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการเปิดกว้างสู่ตลาดในระดับประเทศและต่างประเทศ หากหน่วยงานเกี่ยวข้องสามารถพัฒนาช่องทางการตลาด จัดทำฐานข้อมูลองค์ความรู้ และต่อยอดผลิตภัณฑ์อย่างเป็นระบบ เชียงรายจะกลายเป็น “ต้นแบบเมืองสร้างสรรค์” ที่ใช้มรดกวัฒนธรรมเป็นเครื่องจักรขับเคลื่อนเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน

บทสรุป

ผ้าไหมไทลื้อศรีดอนชัยจึงเป็นมากกว่าผ้าทอพื้นเมือง หากแต่เป็นสัญลักษณ์ของการปลุกพลังท้องถิ่น สร้างสรรค์คุณค่าทางวัฒนธรรม เชื่อมอดีตกับอนาคต และสร้างความมั่นคงให้สตรีและเยาวชนในบ้านเกิด นี่คือโมเดลใหม่ของการพัฒนาชุมชนที่ยั่งยืน “คนเชียงราย” ไม่เพียงเป็นผู้อนุรักษ์ แต่เป็น “นักสร้างสรรค์” ที่กล้าฝัน กล้าสร้าง และพร้อมเดินไปข้างหน้าบนเวทีโลก

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.)
  • หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.)
  • มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง
  • เทศบาลตำบลศรีดอนชัย อ.เชียงของ จ.เชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

วิกฤตลำไยภาคเหนือปี 68 ผลผลิตพุ่ง 1.69 ล้านตัน ราคาดิ่งต่ำสุดรอบ 11 ปี

วิกฤตลำไยภาคเหนือส่อรุนแรง ผลผลิตพุ่งแตะ 1.69 ล้านตัน ราคาดิ่งต่ำสุดรอบ 11 ปี กระทรวงพาณิชย์เดินหน้ามาตรการเร่งด่วน หวังประคองรายได้เกษตรกร

เชียงราย, 2 สิงหาคม 2568 – ในปี 2568 ภาคเหนือของไทยกำลังเผชิญกับ “พายุผลผลิตลำไย” ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ทั้งปริมาณที่ล้นตลาดและราคาที่ร่วงต่ำสุดในรอบกว่าทศวรรษ ทำให้ชีวิตของเกษตรกรผู้ปลูกลำไยกว่า 210,000 ครัวเรือนในจังหวัดเชียงราย เชียงใหม่ ลำพูน และพื้นที่ใกล้เคียงเผชิญภาวะวิกฤตหนัก ข้อมูลจากศูนย์วิจัยกสิกรไทยชี้ว่า ราคาลำไยเฉลี่ยเดือนกรกฎาคมปีนี้ตกลงมาอยู่ที่เพียง 14 บาทต่อกิโลกรัม ต่ำสุดในรอบ 10 ปี 11 เดือน นำไปสู่การเร่งออกมาตรการฉุกเฉินของกระทรวงพาณิชย์และทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

วิกฤตผลผลิตล้นตลาด จาก “ปีทอง” สู่ “ปีหนักใจ” เกษตรกร

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยวิเคราะห์ถึงปัจจัยเบื้องหลังการดิ่งของราคาลำไยในปีนี้ พบว่า “สภาพอากาศเอื้ออำนวย” ตลอดช่วงต้นปีทำให้ต้นลำไยออกดอกและติดผลดีมากกว่าทุกปี ส่งผลให้ผลผลิตพุ่งสูงถึง 1.69 ล้านตัน เพิ่มขึ้นถึง 19% จากปีก่อนหน้า และมากกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลังถึง 1.2 เท่า

นอกจากนี้ เกษตรกรยังเพิ่มการใช้สารกระตุ้นและบำรุงต้นจากแรงจูงใจของราคาที่ดีในปี 2566-67 ผลที่ตามมาคือ ปริมาณผลผลิตต่อไร่เพิ่มขึ้น 17.2% (จาก 856 เป็น 1,012 กิโลกรัม/ไร่) กลายเป็น “ผลไม้ล้นสวน” ในทุกหมู่บ้าน

แต่ในด้านเศรษฐกิจ กลับพบว่ารายได้เกษตรกรลดลงเฉลี่ย 23.6% เมื่อเทียบกับปีก่อน เพราะราคาขายตกต่ำสวนทางกับต้นทุนที่สูงขึ้น อีกทั้งการส่งออกลำไยสดของไทยที่เคยเติบโตสูงถึง 20.5% กลับชะลอตัวเหลือเพียง 4.7% เท่านั้นในปีนี้

ภาครัฐอัดฉีดมาตรการ “อุ้มลำไย” ทั่วภาคเหนือ

ท่ามกลางสัญญาณเตือนจากตลาด กระทรวงพาณิชย์โดยกรมการค้าภายในได้เร่งประชุมวอร์รูมและออกมาตรการเชิงรุกโดยทันที นายกรนิจ โนนจุ้ย รองอธิบดีกรมการค้าภายในเปิดเผยว่า หน่วยงานรัฐได้จับมือกับสำนักงานพาณิชย์จังหวัด เปิดจุดรับซื้อลำไยเพิ่มในพื้นที่วิกฤต เช่น เชียงใหม่ ลำพูน เชียงราย (โดยเฉพาะอำเภอสันป่าตอง จอมทอง ลี้ ป่าซาง พาน เทิง) พร้อมตั้งเป้าเพิ่มจุดรับซื้อให้ได้ 200 จุดใน 7 จังหวัดภาคเหนือ

มาตรการเด่นประกอบด้วย

  • เปิดจุดรับซื้อและร่อนลำไยเพื่อระบายผลผลิตด่วน
  • จัดกิจกรรมรณรงค์บริโภคลำไย และเชื่อมโยงเครือข่ายผู้ซื้อรายใหญ่ (เช่น CSR กับบริษัทเอกชน โรงงานแปรรูป ฯลฯ)
  • สนับสนุนกล่องบรรจุภัณฑ์ไปรษณีย์ฟรี ส่งเสริมการขายผ่านออนไลน์-ออฟไลน์
  • ประสานขายผ่านช่องทางใหม่ทั้งปั๊มน้ำมัน ตู้เต่าบิน สายการบินไทยแอร์เอเชีย และพันธมิตรค้าปลีก
  • วางเครือข่ายวอร์รูมเพื่อรายงานสถานการณ์และประสานการช่วยเหลือแบบเรียลไทม์

นายกรนิจเน้นย้ำว่า เกษตรกรหรือสถาบันเกษตรกรที่ประสบปัญหาการระบายผลผลิต สามารถแจ้งได้โดยตรงที่กรมการค้าภายในหรือสำนักงานพาณิชย์จังหวัด เพื่อให้เข้าถึงมาตรการช่วยเหลือโดยเร็วที่สุด

ความท้าทายและบทเรียน “เกษตรไทย” สู่อนาคต

แม้มาตรการฉุกเฉินของภาครัฐจะช่วยบรรเทาวิกฤตในระยะสั้น แต่ปัญหาพื้นฐานของลำไยไทยคือ “การพึ่งพาการขายผลสด” ที่ยังขาดการแปรรูป เพิ่มมูลค่า และขยายตลาดใหม่ในระยะยาว

  1. ความเสี่ยงจากฤดูการผลิตที่ซ้ำซ้อน – หากไม่มีการวางแผนร่วมกันระหว่างเกษตรกร โรงงาน ผู้ส่งออก ตลาดก็จะล้นปีเว้นปี วิกฤตราคาก็จะเกิดซ้ำ
  2. การขาดความหลากหลายของสินค้า – ตลาดหลักของลำไยสดคือจีน ซึ่งปีนี้อุปสงค์ชะลอตัวจากเศรษฐกิจภายในประเทศและนโยบายกีดกันสินค้าต่างชาติ
  3. ต้นทุนการขนส่งและปัญหาโลจิสติกส์ – เมื่อโรงอบเต็มหรือระบายผลผลิตไม่ทัน เกษตรกรต้องขายขาดทุนหรือทิ้งผลผลิตเสียเปล่า
  4. ขาดแรงจูงใจแปรรูปหรือปลูกพืชทางเลือก – การลงทุนแปรรูปลำไยยังมีน้อยเมื่อเทียบกับปริมาณผลผลิต

เส้นทางสู่การแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน

ผู้เชี่ยวชาญด้านเกษตรแนะว่า การขยายตลาดใหม่ เช่น การส่งออกลำไยอบแห้งไปยังอินเดีย เวียดนาม สหรัฐอเมริกา การสร้างแบรนด์ GI ลำไยไทย การผลักดันโรงงานแปรรูปขนาดเล็กในชุมชน และการวางแผนปลูกพืชหมุนเวียนคือหนทางที่ควรเดินคู่กับมาตรการอุ้มราคาทุกปี

เช่นเดียวกับที่จังหวัดเชียงรายเริ่มจัด “ตลาดลำไยกระท้อน” ให้เกษตรกรขายตรง ลดพึ่งพาพ่อค้าคนกลาง ต่อยอดเป็นกิจกรรมท่องเที่ยวเชิงเกษตรและตลาดสินค้าชุมชน ซึ่งเป็นแบบอย่างการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างที่ต้องการแรงสนับสนุนต่อเนื่อง

บทเรียนจาก “ลำไยพีคซีซั่น” สะท้อนเส้นทางปรับตัวของเกษตรไทย

แม้ภาครัฐและทุกฝ่ายจะทุ่มมาตรการฉุกเฉินเต็มที่ในปี 2568 แต่การเดินหน้าสร้างมูลค่าเพิ่ม และปรับกลยุทธ์เชิงระบบสำหรับเกษตรกรยังคงเป็นหัวใจสำคัญ เพราะหากปัญหานี้ไม่ได้รับการแก้ไขเชิงลึก วิกฤตผลผลิตล้นตลาดและราคาตกต่ำก็จะยังคงวนซ้ำไปอีกหลายปีข้างหน้า

การปรับตัวของเกษตรกรจากภายใน ด้วยการเน้นความยืดหยุ่นของการปลูกพืช ผลิตสินค้าแปรรูป และขยายตลาดใหม่ จึงเป็นหนทางเดียวที่จะทำให้เกษตรกรไทยยืนหยัดได้อย่างมั่นคงในสภาวะตลาดโลกที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • ศูนย์วิจัยกสิกรไทย
  • กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์
  • สำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงใหม่ ลำพูน เชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

รสชาติที่หายไป! แกงแคไก่เมืองเชียงรายชนะโหวตเมนูเชิดชูอาหารถิ่นประจำปี 68

 “แกงแคไก่เมือง” ทวงคืนรสชาติที่หายไป เชียงรายชู Soft Power อาหารถิ่นสู่เวทีชาติ

เชียงราย, 2 สิงหาคม 2568 – ท่ามกลางยุคสมัยที่อาหารฟิวชั่นและรสมือจากต่างชาติเข้ามาครองใจผู้บริโภคคนรุ่นใหม่ เมนูพื้นบ้านหลายอย่างกำลังถูกลืมเลือนจากสำรับอาหารไทย แต่ในปี 2568 นี้ สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงรายได้ให้ “แกงแคไก่เมือง” ของจังหวัดเชียงราย กลับกลายเป็นเมนูดาวเด่นที่ปลุกกระแสรักษ์ถิ่น จากการเปืดให้ชาวเชียงรายร่วมโหวต 1 จังหวัด 1 เมนู เชิดชูอาหารถิ่น ประจำปี 2568 “Thailand Best Local Food : รสชาติ…ที่หายไป The Lost Taste ปี 3” ซึ่งจัดโดยกรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม

แกงแคความหมายที่มากกว่าอาหารจานหนึ่ง

แกงแคไก่เมือง เป็นมากกว่าเมนูรสจัดจ้านในครัวคนเหนือ เพราะนี่คือ “ภูมิปัญญาการกิน” ที่สะท้อนความสัมพันธ์ระหว่างคนกับธรรมชาติและวิถีชีวิตบนผืนดินล้านนาแท้จริง แกงแคจึงไม่ใช่แค่แกงรวมผักหรืออาหารประจำฤดูกาล แต่เป็นสัญลักษณ์ของความหลากหลาย ความพอเพียง และการใช้ทรัพยากรอย่างรู้คุณค่า ในหนึ่งหม้อรวมทั้งผักจากสวนและจากป่า เช่น ผักเผ็ด ผักขี้หูด เห็ดลม มะเขือเปราะ หางหวาย และที่ขาดไม่ได้คือ “ไก่เมือง” หรือไก่พื้นบ้านที่เนื้อแน่น หอมหวาน ไม่ฉุนกลิ่นยา

จากการสืบค้นในตำนานอาหารพื้นเมือง คำว่า “แค” ในภาษาเหนือ หมายถึง การรวมผักหรือเครื่องปรุงหลายอย่างเข้าด้วยกัน โดยแต่ละบ้านอาจเลือกผักตามฤดูกาลหรือตามความอุดมสมบูรณ์ในช่วงนั้น เป็นความยืดหยุ่นที่เปิดโอกาสให้แต่ละครอบครัวใส่ “ลายเซ็นของตัวเอง” ลงในหม้ออาหาร

เชฟสะระแหน่  – ต้นตำรับความกลมกล่อม จากครัวชุมชนสู่เวทีชาติ

ในปีนี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านอาหารพื้นบ้านล้านนา “เชฟสะระแหน่” จากร้านสบันงาขันโตก จังหวัดเชียงราย ได้รับเชิญให้ถ่ายทอดเคล็ดลับการปรุงแกงแคไก่เมืองต้นตำรับ ซึ่งเขาเน้นย้ำถึง 3 หัวใจสำคัญที่ทำให้เมนูนี้ยังคงเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร

  1. วัตถุดิบสดใหม่จากท้องถิ่น โดยเฉพาะไก่เมืองพันธุ์พูหางดำจากเวียงชัย และผักปลอดสารที่ปลูกเองในสวน
  2. การเจียวเครื่องแกงและผัดไก่ด้วยไฟอ่อน เพื่อดึงรสชาติจากสมุนไพร เช่น กระเทียม พริกแห้ง ดีปลี และ “จี้ลี่ปากกา” หรือดีปลีพื้นบ้าน
  3. ลำดับการใส่ผัก ที่เริ่มจากผักแข็งก่อน เช่น หางหวาย ยอดมะพร้าวอ่อน ตามด้วยเห็ดลม มะเขือเปราะ ปิดท้ายด้วยผักอ่อนและสมุนไพรหอมฉุนที่ทำให้กลิ่นและรสชาติซับซ้อนขึ้น

เชฟสะระแหน่ กล่าวว่า “อาหารเหนือไม่มีสูตรตายตัว แกงแคจะอร่อยหรือไม่ขึ้นอยู่กับความใส่ใจและความรักในวัตถุดิบ อาหารไม่มีผิดถูก ทุกบ้านใส่ความเป็นตัวเองลงไปได้”

การทวงคืน “รสชาติที่หายไป” กับภารกิจอนุรักษ์ Soft Power อาหารไทย

โครงการ 1 จังหวัด 1 เมนูฯ ที่จัดมาอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 ไม่เพียงเป็นเวทีคัดสรรเมนูเด่น แต่เป็นเครื่องมือสำคัญในการ “ฟื้นชีวิต” ให้อาหารท้องถิ่น โดยเฉพาะในกลุ่มเยาวชน นักเรียน และนักท่องเที่ยว ในปีนี้ มีเมนูจาก 77 จังหวัดเข้าร่วมประกวดทั่วประเทศ โดยแกงแคไก่เมืองเชียงรายได้รับคะแนนโหวตสูงสุด สะท้อนการยอมรับในระดับชาติ

สิ่งที่น่าจับตาคือ “แกงแคไก่เมือง” จะไม่ได้หยุดอยู่ที่ตำรับในบ้านหรือบนโต๊ะอาหารท้องถิ่นอีกต่อไป แต่จะกลายเป็น Soft Power สำคัญด้านวัฒนธรรมและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ โดยกรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม เตรียมต่อยอดด้วยการเผยแพร่สูตรดั้งเดิม ส่งเสริมร้านอาหารในพื้นที่ให้ดึงเมนูนี้เข้าสู่เมนูหลัก ตลอดจนการสร้างฐานข้อมูลอาหารถิ่นเพื่อการเรียนรู้และประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อสมัยใหม่

ผลลัพธ์ที่กว้างขวาง “แกงแคไก่เมือง” กับอัตลักษณ์เชียงราย

ชัยชนะของแกงแคไก่เมืองในปี 2568 ไม่เพียงเป็นเรื่องราวของการแข่งขัน แต่เป็น “ชัยชนะของอัตลักษณ์” ที่เชื่อมโยงกับการท่องเที่ยวเชิงอาหาร เศรษฐกิจฐานราก และการอนุรักษ์ภูมิปัญญา

  1. ผลักดันเศรษฐกิจชุมชน: ร้านอาหาร โรงแรม และผู้ประกอบการในพื้นที่สามารถใช้เมนูนี้เป็นจุดขาย ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาลิ้มรสต้นตำรับถึงถิ่น
  2. กระตุ้นการผลิตวัตถุดิบปลอดภัย: การเน้นใช้วัตถุดิบพื้นบ้าน ทำให้เกษตรกรในชุมชนมีตลาดรองรับ ผลักดันให้เกิดการปลูกผักปลอดสาร พัฒนาอาชีพและรายได้
  3. สร้างความภาคภูมิใจในท้องถิ่น: เด็กและเยาวชนได้เรียนรู้รากเหง้าทางวัฒนธรรม พร้อมส่งต่อสูตรอาหารอย่างเป็นระบบ เป็นสะพานเชื่อมโยงอดีต-ปัจจุบัน-อนาคต

อาหารพื้นบ้านในฐานะ “มรดกที่กินได้”

เรื่องราวของแกงแคไก่เมืองในวันนี้ คือการยืนยันว่ามรดกทางวัฒนธรรมไม่ได้จำกัดอยู่แค่ศิลปะหรือวัตถุโบราณ แต่อยู่ใน “หม้อแกง” ของบ้านทุกหลัง และสามารถก้าวสู่ Soft Power ที่สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมได้อย่างแท้จริง

ขณะที่กรมส่งเสริมวัฒนธรรมยังอยู่ระหว่างรวบรวมและประกาศผลอย่างเป็นทางการสำหรับทุกจังหวัด แต่สิ่งที่เกิดขึ้นแล้วในเชียงรายคือ กระแสการตื่นตัว การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และความภาคภูมิใจของชุมชนที่ต้องการทวงคืน “รสชาติที่หายไป” ให้กลับมาเป็นหัวใจบนสำรับอาหารไทยอีกครั้ง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย
  • กรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม
  • สัมภาษณ์เชฟสะระแหน่  ร้านสบันงาขันโตก
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

อบจ.เชียงรายผนึกท้องถิ่น เปิด “ตลาดลำไยกระท้อน” สู้ราคาตกต่ำ สร้างรายได้ตรงให้เกษตรกร

อบจ.เชียงรายผนึกกำลังท้องถิ่น ดัน “ตลาดลำไยกระท้อน” สู้ราคาตกต่ำ “นายกนก” ชี้ชัดพร้อมหนุนเต็มที่ สร้างรายได้ตรงให้เกษตรกร

เชียงราย, 2 สิงหาคม 2568 – ในช่วงเวลาวิกฤตที่ราคาผลไม้เศรษฐกิจสำคัญของภาคเหนืออย่าง “ลำไย” และ “กระท้อน” ตกต่ำจนสร้างความเดือดร้อนแก่เกษตรกรในพื้นที่ องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เชียงราย ภายใต้การนำของ “นายกนก” นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ ไม่รอช้า เร่งเดินหน้าผนึกกำลังกับองค์กรปกครองท้องถิ่น จัดเวทีตลาดผลไม้เพื่อเกษตรกร พร้อมสนับสนุนงบประมาณการจัดงาน “วันลำไยกระท้อนของดีตำบลห้วยสัก” ประจำปี 2568 ขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม

การรวมพลังจากฐานรากเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาส

วันที่ 2 สิงหาคม 2568 เทศบาลตำบลห้วยสัก อำเภอเมืองเชียงราย คึกคักเป็นพิเศษจากการจัดพิธีเปิดงานวันลำไยกระท้อนของดีตำบลห้วยสัก โดยมี นายกนก – นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย เป็นประธาน ร่วมด้วยนายพิเศษ อาษา นายกเทศมนตรีตำบลห้วยสัก คณะผู้บริหาร สมาชิกสภา อบจ. เจ้าหน้าที่ และประชาชนกว่า 500 คนมาร่วมงานอย่างคับคั่ง

งานนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่ตลาดนัดผลไม้ แต่คือ “เวทีเชื่อมตรง” ระหว่างเกษตรกรและผู้บริโภค ลดการพึ่งพาพ่อค้าคนกลาง ซึ่งเป็นต้นเหตุสำคัญที่ทำให้ราคาผลผลิตตกต่ำ เกษตรกรถูกกดราคา และรายได้ไม่เป็นธรรม นอกจากผลไม้สดแล้ว ยังมีสินค้าแปรรูปจากลำไย กระท้อน ขนมพื้นบ้าน และผลิตภัณฑ์ OTOP จากกลุ่มอาชีพในชุมชน มาร่วมสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าเกษตรท้องถิ่น

พร้อมสู้ทุกปัญหาเพื่อชาวไร่

ในพิธีเปิดงาน นายกนกเน้นย้ำว่า “อบจ.เชียงราย ยืนยันจะอยู่เคียงข้างเกษตรกร พร้อมสนับสนุนงบประมาณและประสานกับทุกหน่วยงาน เพื่อเปิดตลาดตรง ให้เกษตรกรได้ขายสินค้าในราคายุติธรรม สร้างรายได้มั่นคงให้กับครอบครัว สร้างเศรษฐกิจฐานรากที่แข็งแกร่ง และพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชน”

นอกจากนั้น อบจ. ยังวางแผนต่อยอดตลาดผลไม้ในอนาคตให้สอดคล้องกับนโยบายพัฒนาเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวเชิงเกษตร เพิ่มกิจกรรมสร้างสีสัน เช่น ประกวดผลไม้สวยงาม สาธิตการแปรรูป การประกวดอาหารท้องถิ่น สร้างเสน่ห์และคุณค่าที่แตกต่าง

วิกฤตราคาสินค้าเกษตรจุดเปลี่ยนสู่การสร้างความยั่งยืน

ในแต่ละปี เมื่อถึงฤดูเก็บเกี่ยวลำไยและกระท้อน ผลผลิตมักล้นตลาด เกษตรกรถูกกดราคา บางปีราคาต่ำกว่าทุน แต่การจัด “ตลาดลำไยกระท้อน” ครั้งนี้ ไม่ใช่แค่การบรรเทาเฉพาะหน้า แต่เป็นการ “ปักหมุด” ให้เกิดรูปแบบการตลาดใหม่ที่เน้นการขายตรงจากผู้ผลิตสู่ผู้บริโภค หรือ “Direct to Consumer” โดยแท้จริง

โครงการนี้เป็นโมเดลการตลาดที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอย่าง อบจ. และเทศบาล ต่อยอดแนวคิดพึ่งตนเอง ลดการพึ่งพาพ่อค้าคนกลาง ช่วยให้เกษตรกรกำหนดราคาขายได้เอง ส่งเสริมการตั้งกลุ่มอาชีพ/วิสาหกิจชุมชน ร่วมคิด ร่วมพัฒนา และสร้างแบรนด์สินค้าท้องถิ่น

นอกจากนี้ ยังมีการรณรงค์ให้คนในพื้นที่และนักท่องเที่ยวเลือกซื้อผลผลิตในชุมชนเป็นอันดับแรก เกิดการกระจายรายได้ เพิ่มมูลค่าให้ผลผลิตด้วยการแปรรูปเป็นของฝากหรือขนมขบเคี้ยว สร้างความเข้มแข็งให้เศรษฐกิจฐานรากอย่างแท้จริง

บูรณาการพัฒนาเศรษฐกิจ-ท่องเที่ยว-วัฒนธรรม

งาน “วันลำไยกระท้อนของดีตำบลห้วยสัก” ไม่ได้จำกัดเฉพาะเกษตรกรรม หากแต่บูรณาการสู่การพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวชุมชน ภายในงานมีการแสดงศิลปวัฒนธรรมล้านนา นิทรรศการสินค้าชุมชน Workshop การทำขนมพื้นบ้าน การท่องเที่ยวสวนผลไม้เชิงเกษตร เพื่อสร้างความหลากหลายดึงดูดนักท่องเที่ยว เพิ่มโอกาสต่อยอดเป็นเทศกาลประจำปีที่สร้างรายได้และชื่อเสียงให้กับพื้นที่ในระยะยาว

จุดแข็งที่สำคัญคือการเปิดโอกาสให้ประชาชนทุกกลุ่มมีส่วนร่วม ตั้งแต่การวางแผน จัดเตรียมงาน ขายสินค้า ไปจนถึงกิจกรรมบนเวทีหลัก ช่วยให้เกิดความรู้สึกเป็นเจ้าของ สร้างความผูกพันและภาคภูมิใจในชุมชนของตน

 “เชียงรายโมเดล” – อบจ.นำร่องตลาดตรง สู้ปัญหาเกษตรกรยุคใหม่

จากวิกฤตราคาผลผลิตตกต่ำสู่โอกาสพัฒนาเศรษฐกิจชุมชน กรณีนี้สะท้อนการเปลี่ยนแปลงแนวคิดการบริหารองค์กรปกครองท้องถิ่น ที่ไม่เพียงแต่อาศัยงบประมาณภาครัฐช่วยเหลือเท่านั้น แต่ยังกล้า “ลงมือปฏิบัติจริง” ดึงคนในชุมชนและหน่วยงานท้องถิ่นเข้ามามีบทบาท ผลักดันให้เกิดโมเดลการตลาดที่เป็นธรรม เชื่อมตรงเกษตรกร-ผู้บริโภค เสริมสร้างการแปรรูปเพิ่มมูลค่า เปิดพื้นที่ให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และสร้างเครือข่ายเศรษฐกิจระดับรากฐาน

โมเดลนี้ยังสอดรับกับนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการกระจายอำนาจการตัดสินใจและขับเคลื่อนเศรษฐกิจจากท้องถิ่น ช่วยลดช่องว่างทางรายได้และสร้างภูมิคุ้มกันให้กับเศรษฐกิจฐานรากในระยะยาว

 “นายกนก” นำทีมขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก สร้างความยั่งยืนให้เชียงราย

การจัดงาน “วันลำไยกระท้อนของดีตำบลห้วยสัก” ปี 2568 คือจุดเริ่มต้นของความเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง เกษตรกรมีรายได้เพิ่ม ประชาชนมีงานทำ เศรษฐกิจชุมชนขยายตัว และเกิดต้นแบบการพัฒนาอย่างยั่งยืนที่สามารถต่อยอดในอนาคต

นี่คือบทพิสูจน์ถึงผู้นำท้องถิ่นที่ไม่เพียงแค่ “บริหารงบ” แต่ “เข้าใจหัวใจเกษตรกร” และกล้าขับเคลื่อนชุมชนให้ก้าวข้ามวิกฤตสู่โอกาสใหม่อย่างแท้จริง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย)
  • เทศบาลตำบลห้วยสัก
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ENVIRONMENT

สวนแม่ฟ้าหลวงคว้าตำแหน่ง “เขตอนุรักษ์ท้องฟ้ามืด” แห่งแรกในพื้นที่เอกชนของไทย

ดอยตุงสร้างประวัติศาสตร์ใหม่ สวนแม่ฟ้าหลวงคว้าตำแหน่ง “เขตอนุรักษ์ท้องฟ้ามืด” แห่งแรกในพื้นที่เอกชนของไทย

เชียงราย, 2 สิงหาคม 2568 – ปัญหามลภาวะทางแสงที่ทำให้ท้องฟ้ายามค่ำคืนสูญเสียความงาม สวนแม่ฟ้าหลวง โครงการพัฒนาดอยตุง จังหวัดเชียงราย กลับสามารถสร้างความภาคภูมิใจให้กับคนไทยทั้งประเทศ เมื่อได้รับการขึ้นทะเบียนเป็น “เขตอนุรักษ์ท้องฟ้ามืดในพื้นที่ส่วนบุคคล” (Dark Sky Conservation Area in a Private Area) อย่างเป็นทางการ ถือเป็นแห่งแรกและแห่งเดียวในประเภทนี้ของประเทศไทย

ความสำเร็จครั้งสำคัญนี้เกิดขึ้นภายใต้การดำเนินงานของมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ ซึ่งไม่เพียงแต่ตอกย้ำคุณค่าทางธรรมชาติของดอยตุงที่มีมาช้านาน แต่ยังเป็นการวางรากฐานสำคัญให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ดาราศาสตร์ที่ยั่งยืนในภูมิภาคอาเซียน

เส้นทางสู่ความสำเร็จที่ไม่ง่ายดาย

การได้รับการรับรองในครั้งนี้ผ่านกระบวนการคัดเลือกที่เข้มงวด เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2568 คุณวิสิษฐ์อร รัชตะนาวิน ผู้อำนวยการศูนย์พัฒนาและเผยแพร่องค์ความรู้ ในฐานะตัวแทนมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ได้เข้ารับมอบโล่รับรองอย่างเป็นทางการในโครงการ AMAZING DARK SKY IN THAILAND #Season 4 ซึ่งเป็นผลงานร่วมกันระหว่างการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) และสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) (NARIT)

ความสำเร็จนี้เกิดขึ้นจากการที่พื้นที่สวนแม่ฟ้าหลวงมีแนวทางการจัดการแสงสว่างที่เหมาะสมและเป็นมาตรฐาน โดยไม่ก่อให้เกิดมลภาวะทางแสง (Light Pollution) ทำให้ผู้มาเยือนสามารถชื่นชมความงดงามของท้องฟ้ายามค่ำคืนและดวงดาวนับล้านดวงได้อย่างชัดเจนด้วยตาเปล่า ซึ่งเป็นสิ่งที่หาได้ยากในปัจจุบัน

เกณฑ์มาตรฐานระดับโลกที่ท้าทาย

สำหรับการได้รับการรับรองเป็น “เขตอนุรักษ์ท้องฟ้ามืดในพื้นที่ส่วนบุคคล” นั้น NARIT ได้กำหนดเกณฑ์และกระบวนการรับรองที่เข้มงวดตามมาตรฐานสากล ซึ่งประกอบด้วยข้อกำหนดหลักที่ท้าทายดังนี้

ด้วยพื้นที่โล่งที่เหมาะสม สวนแม่ฟ้าหลวงมีพื้นที่โล่งสำหรับจัดกิจกรรมทางดาราศาสตร์ที่สามารถสังเกตการณ์ท้องฟ้าโดยรอบได้มากกว่า 70% ซึ่งเป็นไปตามข้อกำหนดขั้นต่ำที่กำหนดไว้

คุณภาพท้องฟ้าของพื้นที่นี้มีค่าความมืดท้องฟ้าสูงถึง 19 magnitude ต่อตารางฟิลิปดา และสามารถสังเกตเห็นวัตถุท้องฟ้าต่างๆ ด้วยตาเปล่าได้อย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นทางช้างเผือก กาแล็กซีอันดรอมีดา และกลุ่มดาวต่างๆ ที่สวยงาม

ในด้านการบริหารจัดการแสงสว่าง สวนแม่ฟ้าหลวงมีการควบคุมที่มีประสิทธิภาพใน 3 ปัจจัยสำคัญ ได้แก่ การควบคุมทิศทางแสงให้ส่องลงพื้นเท่านั้น การเลือกใช้อุณหภูมิแสงสว่างที่เหมาะสม และการมีระบบควบคุมเวลาเปิด-ปิดที่เข้มงวด รวมถึงการจำกัดความสว่างของแหล่งกำเนิดแสงภายนอกอาคารให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมและไม่ก่อให้เกิดแสงรบกวน

สิ่งที่สำคัญที่สุดคือพื้นที่โดยรอบปราศจากแสงรบกวนจากภายนอก และมีการศึกษาและอธิบายถึงสถานการณ์มลภาวะทางแสงโดยรอบพื้นที่จัดกิจกรรมอย่างละเอียด

มิติใหม่ของการอนุรักษ์ที่ครอบคลุมทุกชีวิต

การเป็นเขตอนุรักษ์ท้องฟ้ามืดมีความหมายที่ลึกซึ้งกว่าการเป็นเพียงจุดชมดาว เพราะการอนุรักษ์ท้องฟ้ามืดมีผลกระทบเชิงบวกต่อระบบนิเวศและสุขภาพของมนุษย์อย่างมหาศาล วัฏจักรธรรมชาติของแสงและความมืดเป็นสิ่งจำเป็นพื้นฐานต่อการทำงานของระบบนิเวศโลก

สำหรับสัตว์ป่า แสงประดิษฐ์ในเวลากลางคืนสร้างความเสียหายอย่างมากต่อพฤติกรรมตามธรรมชาติ เช่น การหากิน การอพยพตามฤดูกาล และกระบวนการสืบพันธุ์ที่สำคัญ นกอพยพหลงทางจากเส้นทางการบินที่ใช้มานานนับพันปี แมลงกลางคืนสูญเสียการนำทางจากแสงดวงจันทร์และดวงดาว ส่งผลให้ห่วงโซ่อาหารเกิดความเสียหาย

สำหรับพืชพรรณ กระบวนการสำคัญต่างๆ เช่น การออกดอก การเจริญเติบโต และการสังเคราะห์แสงในเวลากลางคืนก็ได้รับผลกระทบจากแสงประดิษฐ์เช่นกัน

ในส่วนของมนุษย์ แสงประดิษฐ์ที่มากเกินไปในเวลากลางคืนรบกวนการผลิตฮอร์โมนเมลาโทนินที่จำเป็นต่อการนอนหลับที่มีคุณภาพ ส่งผลให้เกิดปัญหาสุขภาพทั้งระยะสั้นและระยะยาว เช่น ความเครียด โรคซึมเศร้า และโรคไม่ติดต่อเรื้อรังต่างๆ

การลดมลภาวะทางแสงจึงเป็นมาตรการอนุรักษ์ที่ให้ประโยชน์หลายมิติ ทั้งการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ การปกป้องสุขภาพของมนุษย์ การประหยัดพลังงาน และการลดต้นทุนการดำเนินงานในระยะยาว

ประสบการณ์ท่องเที่ยวใหม่ที่ไม่เหมือนใคร

การขึ้นทะเบียนเป็นเขตอนุรักษ์ท้องฟ้ามืดครั้งนี้ เปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยวและผู้สนใจได้สัมผัสกับประสบการณ์การท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์รูปแบบใหม่ที่พิเศษและหาได้ยากในภูมิภาคนี้ ภายในพื้นที่สวนแม่ฟ้าหลวงมีการออกแบบกิจกรรมกลางคืนที่ผสานความงามของธรรมชาติเข้ากับองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์อย่างลงตัว

กิจกรรมเดินสำรวจความหลากหลายทางชีวภาพยามค่ำคืนจะให้ผู้เข้าร่วมได้สัมผัสกับชีวิตสัตว์ป่ากลางคืนที่มีเอกลักษณ์เฉพาะ ได้ฟังเสียงธรรมชาติยามค่ำคืนที่แตกต่างจากกลางวัน และได้เรียนรู้เกี่ยวกับการปรับตัวของสรรพสิ่งเพื่อความอยู่รอดในความมืด

การบรรยายเรื่องดวงดาวโดยวิทยากรผู้เชี่ยวชาญจะเป็นการเปิดหน้าต่างสู่จักรวาล ให้ผู้มาเยือนได้เรียนรู้เกี่ยวกับดาวเคราะห์ ดาวฤกษ์ กาแล็กซี และปรากฏการณ์ทางดาราศาสตร์ต่างๆ ที่สามารถสังเกตได้จากท้องฟ้าดอยตุง พร้อมทั้งเข้าใจถึงความสำคัญของการอนุรักษ์ท้องฟ้ายามราตรี

เพื่อรักษาคุณภาพของสิ่งแวดล้อมและมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับผู้เข้าร่วม กิจกรรมทั้งหมดจะมีการแจ้งให้ทราบล่วงหน้าเป็นระยะ และเปิดให้เฉพาะผู้ที่ลงทะเบียนล่วงหน้าเท่านั้น เพื่อควบคุมจำนวนผู้เข้าชมให้เหมาะสมและไม่ส่งผลกระทบต่อความสมดุลของระบบนิเวศ

โอกาสและความท้าทายในอนาคต

ความสำเร็จของสวนแม่ฟ้าหลวงในการกลายเป็นเขตอนุรักษ์ท้องฟ้ามืดแห่งแรกในพื้นที่เอกชนของไทย เป็นต้นแบบที่มีค่าอย่างยิ่งสำหรับพื้นที่อื่นๆ ที่มีศักยภาพในการพัฒนาในทิศทางเดียวกัน อย่างไรก็ตาม การขยายผลให้เกิดความยั่งยืนในระยะยาวยังต้องการการดำเนินการในหลายมิติ

การพัฒนากฎหมายและข้อบังคับระดับชาติเป็นสิ่งจำเป็นเร่งด่วน รัฐบาลควรพิจารณาการออกกฎหมายเฉพาะด้านมลภาวะทางแสงที่มีฟันเขี้ยวในการบังคับใช้ เพื่อให้มีกรอบการดำเนินงานที่ชัดเจนและครอบคลุมทั่วประเทศ

การส่งเสริมการมีส่วนร่วมของภาคเอกชนเป็นอีกปัจจัยสำคัญ NARIT และ ททท. ควรขยายความร่วมมือกับผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว โรงแรม รีสอร์ท และธุรกิจที่เกี่ยวข้อง เพื่อส่งเสริมการลงทุนในการปรับปรุงระบบแสงสว่างให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และพัฒนาแพ็กเกจการท่องเที่ยวเชิงดาราศาสตร์ที่หลากหลายและน่าสนใจ

การให้ความรู้และสร้างความตระหนักรู้แก่ประชาชนเป็นรากฐานสำคัญของการอนุรักษ์ ควรมีการรณรงค์อย่างต่อเนื่องเกี่ยวกับผลกระทบของมลภาวะทางแสงต่อสิ่งแวดล้อม สุขภาพ และมรดกทางวัฒนธรรม โดยเฉพาะการสร้างความเข้าใจให้กับชุมชนท้องถิ่นซึ่งเป็นผู้ที่อยู่ใกล้ชิดกับพื้นที่เหล่านี้มากที่สุด

การบูรณาการกับการวางแผนการใช้ที่ดินและการพัฒนาเมืองเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรพิจารณาการรวมข้อกำหนดและมาตรฐานด้านมลภาวะทางแสงเข้ากับแผนการพัฒนาพื้นที่ต่างๆ ทั้งในเมืองและชนบท เพื่อป้องกันการเกิดมลภาวะทางแสงใหม่และรักษาคุณภาพของท้องฟ้ายามค่ำคืนไว้สำหรับอนุชนคนรุ่นหลัง

มรดกอันล้ำค่าสำหรับคนไทยทุกคน

การขึ้นทะเบียนสวนแม่ฟ้าหลวงเป็นเขตอนุรักษ์ท้องฟ้ามืดไม่ใช่เพียงความสำเร็จของมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ เพียงหน่วยงานเดียว แต่เป็นความภาคภูมิใจและมรดกอันล้ำค่าที่มอบให้กับธรรมชาติและคนไทยทุกคน ความสำเร็จนี้เป็นสัญลักษณ์ของการที่ประเทศไทยสามารถนำแนวคิดการอนุรักษ์ในมิติใหม่มาปฏิบัติได้จริง และเป็นต้นแบบให้กับภูมิภาคอาเซียนและนานาประเทศ

ในยุคที่โลกกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และมลภาวะทุกรูปแบบกำลังคุกคามวิถีชีวิตของมนุษย์และสรรพสิ่ง การที่เรายังคงสามารถมองเห็นดวงดาวบนท้องฟ้าได้เหมือนที่บรรพบุรุษของเราเคยมองเห็น ถือเป็นสิ่งที่มีค่าอย่างล้ำลึก

สวนแม่ฟ้าหลวงแห่งนี้จึงไม่ใช่เพียงแค่สวนสาธารณะหรือแหล่งท่องเที่ยวธรรมดา แต่เป็นหน้าต่างสู่จักรวาลที่เปิดให้เราได้สัมผัสถึงความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติ เป็นห้องเรียนกลางแจ้งที่สอนให้เราเข้าใจถึงความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสิ่งแวดล้อม และเป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ที่เตือนใจเราให้ตระหนักถึงหน้าที่ในการรักษาและปกป้องความงามของโลกใบนี้ให้คงอยู่ตลอดไป

การที่เราจะร่วมกันปกป้องความมืดแห่งท้องฟ้ายามค่ำคืน และแสงแห่งดวงดาวนับล้านดวงให้คงอยู่สำหรับลูกหลานของเราในอนาคต นั่นคือภารกิจสำคัญที่สวนแม่ฟ้าหลวงได้เปิดทางไว้ให้เราทุกคนได้เดินตาม

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์: ข่าวสารและข้อมูลการขึ้นทะเบียนเขตอนุรักษ์ท้องฟ้ามืด
  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.): ข้อมูลโครงการ AMAZING DARK SKY IN THAILAND
  • สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) (NARIT): ข้อมูลการรับรองเขตอนุรักษ์ท้องฟ้ามืดและเกณฑ์การพิจารณา
  • โครงการพัฒนาดอยตุง (พื้นที่ทรงงาน) อันเนื่องมาจากพระราชดำริ: ข้อมูลพื้นฐานและปรัชญาการดำเนินงาน
  • International Dark-Sky Association (IDA): ข้อมูลการรับรองเขตอนุรักษ์ท้องฟ้ามืดประเภทต่างๆ และมาตรฐานสากล
  • เอกสาร “เขตอนุรักษ์ท้องฟ้ามืดในพื้นที่ส่วนบุคคล: แนวทางปฏิบัติ ประโยชน์ และโอกาสในประเทศไทย”
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ENVIRONMENT

ศาลปกครองสูงสุดสั่ง 4 จังหวัดภาคเหนือเป็นเขตควบคุมมลพิษ แก้ไขวิกฤต PM2.5

ศาลปกครองสูงสุดสั่ง 4 จังหวัดเหนือเป็นเขตควบคุมมลพิษ สู้วิกฤต PM2.5

เชียงราย, 1 สิงหาคม 2568 – ท้องฟ้าสีเทาหม่นที่ปกคลุมภาคเหนือของประเทศไทยทุกฤดูหนาวและต้นฤดูร้อน ได้กลายเป็นฝันร้ายที่คุ้นชินของชาวบ้านในจังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน และแม่ฮ่องสอน ฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ซึ่งเป็นภัยเงียบที่คร่าชีวิตและสุขภาพของผู้คนนับแสน ได้ผลักดันให้เกิดการต่อสู้ทางกฎหมายครั้งประวัติศาสตร์ และในวันนี้ ศาลปกครองสูงสุดได้ตัดสินให้คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติประกาศ 4 จังหวัดดังกล่าวเป็น “เขตควบคุมมลพิษ” ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงพฤษภาคมของทุกปี เพื่อยุติวิกฤตที่ยืดเยื้อมานานนับทศวรรษ

จุดเริ่มต้นของการต่อสู้เสียงจากประชาชน

เรื่องราวนี้เริ่มต้นจากนายภูมิ วชร เจริญผลิตผล ชาวบ้านจากอำเภอหางดง จังหวัดเชียงใหม่ ผู้ที่ต้องเผชิญกับผลกระทบจากหมอกควันไฟป่าทุกปีจนทนไม่ไหว เขาตัดสินใจยื่นฟ้องคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติต่อศาลปกครองในปี 2566 โดยชี้ว่าหน่วยงานนี้ละเลยหน้าที่ในการจัดการปัญหา PM2.5 ซึ่งส่งผลกระทบร้ายแรงต่อสุขภาพและคุณภาพชีวิตของประชาชนในภาคเหนือ “ทุกเช้าที่ตื่นมา ลูกผมไอจนแทบหายใจไม่ออก ผมทนเห็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้” นายภูมิเล่าด้วยน้ำเสียงหนักแน่นในวันแถลงข่าวหลังการพิจารณาคดี

คดีนี้ไม่ใช่แค่การต่อสู้ของนายภูมิเพียงคนเดียว แต่เป็นตัวแทนของชาวบ้านนับล้านที่ต้องสูดอากาศพิษเข้าไปในปอดทุกวัน ข้อมูลจากสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่ระบุว่า ในช่วงฤดูหมอกควันระหว่างปี 2561-2564 ผู้ป่วยด้วยโรคระบบทางเดินหายใจ โรคหัวใจ โรคตาอักเสบ และโรคผิวหนังใน 4 จังหวัดนี้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กและผู้สูงอายุ

การตัดสินใจที่สร้างประวัติศาสตร์

เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2568 ศาลปกครองสูงสุดได้มีคำพิพากษาที่อาจเปลี่ยนโฉมหน้าของการจัดการมลพิษในประเทศไทย โดยสั่งให้คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติใช้อำนาจตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535 ประกาศให้จังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน และแม่ฮ่องสอนเป็น “เขตควบคุมมลพิษ” ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงพฤษภาคม ซึ่งเป็นช่วงที่ค่าฝุ่น PM2.5 มักพุ่งสูงเกินมาตรฐานจนเป็นอันตรายต่อสุขภาพ

ศาลให้เหตุผลว่า คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติทราบถึงปัญหามลพิษ PM2.5 มานาน แต่การดำเนินการที่ผ่านมา เช่น แผนปฏิบัติการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติเพื่อแก้ไขปัญหาฝุ่นละออง ยังไม่เพียงพอที่จะลดระดับมลพิษให้ต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐานได้อย่างต่อเนื่อง ศาลชี้ว่า การที่หน่วยงานนี้ไม่ประกาศเขตควบคุมมลพิษในพื้นที่ที่มีปัญหาวิกฤต ถือเป็นการ “ละเลยต่อหน้าที่” ตามที่กฎหมายกำหนด

อย่างไรก็ตาม ศาลยังคำนึงถึงความสมดุลระหว่างการปกป้องสุขภาพประชาชนและผลกระทบต่อเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการท่องเที่ยวและการลงทุนในพื้นที่ จึงกำหนดให้การประกาศเขตควบคุมมลพิษมีผลเฉพาะในช่วงเวลาที่ปัญหาหมอกควันรุนแรงที่สุด เพื่อลดผลกระทบต่อภาพลักษณ์และเศรษฐกิจของจังหวัดเหล่านี้ในช่วงเวลาอื่นของปี

ผลกระทบของคำตัดสิน ก้าวแรกสู่ท้องฟ้าที่ใสสะอาด

การประกาศเขตควบคุมมลพิษจะนำมาซึ่งมาตรการที่เข้มข้นและเป็นรูปธรรมมากขึ้นในการจัดการปัญหา PM2.5 โดยคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติจะต้องดำเนินการภายใน 90 วันนับจากวันที่คำพิพากษาถึงที่สุด ซึ่งรวมถึงการออกประกาศในราชกิจจานุเบกษาและกำหนดมาตรการควบคุมมลพิษ เช่น การจำกัดการเผาในที่โล่ง การควบคุมมลพิษจากโรงงานและยานพาหนะ และการจัดสรรงบประมาณเพื่อแก้ไขปัญหาอย่างตรงจุด

นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อมจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ วิเคราะห์ว่า คำตัดสินนี้จะเป็นแรงกดดันให้หน่วยงานรัฐต้องทำงานอย่างบูรณาการมากขึ้น “การเป็นเขตควบคุมมลพิษจะให้อำนาจแก่หน่วยงานท้องถิ่นในการบังคับใช้กฎหมายที่เข้มงวด เช่น การปรับผู้ที่เผาในที่โล่งโดยไม่ได้รับอนุญาต หรือการสั่งปิดโรงงานที่ปล่อยมลพิษเกินมาตรฐาน นอกจากนี้ ยังจะกระตุ้นให้เกิดการลงทุนในเทคโนโลยีตรวจวัดและควบคุมมลพิษ รวมถึงการให้ความรู้แก่ประชาชนในพื้นที่”

ความท้าทายที่รออยู่ข้างหน้า

แม้คำพิพากษานี้จะเป็นชัยชนะครั้งสำคัญของประชาชน แต่การแก้ไขปัญหา PM2.5 ในระยะยาวยังคงเผชิญกับความท้าทายหลายประการ ประการแรกคือการจัดการแหล่งกำเนิดมลพิษที่หลากหลาย ตั้งแต่การเผาในภาคเกษตรกรรม ไฟป่า ไปจนถึงมลพิษข้ามพรมแดนจากประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือทั้งในระดับท้องถิ่นและนานาชาติ

ประการที่สองคือการสร้างความสมดุลระหว่างการบังคับใช้กฎหมายและการสนับสนุนชุมชนท้องถิ่น การเผาในที่โล่งมักเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตและการทำเกษตรกรรมของชาวบ้านในพื้นที่ การบังคับใช้กฎหมายที่เข้มงวดโดยไม่มีการให้ทางเลือกที่เหมาะสม เช่น การสนับสนุนเทคโนโลยีการจัดการเศษพืชผลเกษตร อาจสร้างความขัดแย้งและลดความร่วมมือจากชุมชน

สุดท้าย การติดตามและประเมินผลการดำเนินงานจะเป็นกุญแจสำคัญในการรับประกันว่ามาตรการต่างๆ จะนำไปสู่การลดมลพิษอย่างยั่งยืน หากในอนาคต ระดับ PM2.5 ลดลงอย่างต่อเนื่องจนต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐาน คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติสามารถพิจารณาเพิกถอนการประกาศเขตควบคุมมลพิษได้ ซึ่งจะเป็นสัญญาณของความสำเร็จในการแก้ไขปัญหานี้

จุดเปลี่ยนของการปกป้องสิ่งแวดล้อม

คำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดครั้งนี้ไม่เพียงแต่เป็นการแก้ไขปัญหา PM2.5 ในภาคเหนือเท่านั้น แต่ยังเป็นการย้ำเตือนถึงบทบาทของกระบวนการยุติธรรมในการปกป้องสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนในการมีสุขภาพและสิ่งแวดล้อมที่ดี นอกจากนี้ ยังสะท้อนถึงพลังของประชาชนในการผลักดันการเปลี่ยนแปลงผ่านการใช้สิทธิทางกฎหมาย

ในมุมมองของผู้เขียน คำตัดสินนี้เป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบายที่อาจนำไปสู่การจัดการสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืนมากขึ้นทั่วประเทศไทย อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จจะขึ้นอยู่กับความมุ่งมั่นของภาครัฐในการดำเนินการตามคำสั่งศาล ความร่วมมือจากทุกภาคส่วน และการสนับสนุนจากประชาชนในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อลดมลพิษ

สู่ท้องฟ้าที่ปลอดโปร่ง ความหวังของคนเหนือ

สำหรับชาวบ้านอย่างนายภูมิและครอบครัว คำตัดสินในวันนี้คือแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ “ผมหวังว่าลูกๆ จะได้หายใจอากาศที่สะอาด และไม่ต้องกลัวว่าวันหนึ่งจะป่วยเพราะฝุ่นควัน” เขากล่าวด้วยรอยยิ้มที่เปี่ยมด้วยความหวัง

เมื่อมองไปข้างหน้า การต่อสู้กับวิกฤต PM2.5 ในภาคเหนืออาจเป็นตัวอย่างให้กับพื้นที่อื่นๆ ในประเทศไทยและทั่วโลก ว่าด้วยพลังของประชาชน ความยุติธรรม และความร่วมมือ เราสามารถเอาชนะภัยคุกคามที่มองไม่เห็นแต่ร้ายแรงนี้ได้ และคืนท้องฟ้าสีครามให้กับลูกหลานของเราในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • ศาลปกครองสูงสุด: คำพิพากษาคดีนายภูมิ วชร เจริญผลิตผล ฟ้องคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (1 สิงหาคม 2568)
  • พระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535
  • สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่, เชียงราย, ลำพูน, และแม่ฮ่องสอน: รายงานสถิติผู้ป่วยโรคที่เกี่ยวข้องกับ PM2.5 (2561-2564)
  • กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม: แผนปฏิบัติการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติ “การแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง” (2566-2568)
  • รายงานสถานการณ์ไฟป่าและมลพิษทางอากาศในภาคเหนือ พ.ศ. 2566-2568, กรมควบคุมมลพิษ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News