Categories
CULTURE

ขับเคลื่อนวัฒนธรรมบ้านศรีดอนชัย พัฒนาต่อยอด 10 สุดยอดเที่ยวชุมชนยลวิถี

 
วันอาทิตย์ที่ 6 สิงหาคม 2566ณ ชุมชนคุณธรรมฯ บ้านศรีดอนชัย อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย โดยนายพิสันต์ จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย มอบหมายให้นางสาวกฤษยา จันแดง ผู้อำนวยการกลุ่มกิจการพิเศษ พร้อมด้วยนางกัลยา แก้วประสงค์ นักวิชาการวัฒนธรรมชำนาญการ รับผิดชอบงานขับเคลื่อนเที่ยวชุมชน ยลวิถี และงานพัฒนาผลิตภัณฑ์วัฒนธรรมไทย และนางสุพรรณี เตชะตน นักวิชาการวัฒนธรรมชำนาญการรับผิดชอบงานชุมชนวัฒนธรรมไทยสร้างเสริมเศรษฐกิจ (ตลาดวัฒนธรรม) ให้ลงพื้นที่ชุมชนคุณธรรมฯ บ้านศรีดอนชัย ดำเนินการขับเคลื่อนงานวัฒนธรรม ดังนี้
 
ร่วมประชุมหารือแนวทางการดำเนินการจัด “กาดลื้อศรีดอนชัย” ภายใต้โครงการชุมชนวัฒนธรรมไทยสร้างเสริมเศรษฐกิจ ซึ่งได้รับสนับสนุนงบประมาณดำเนินการจากกรมส่งเสริมวัฒนธรรม โดยมีพระครูสุจิณวรคุณ เจ้าคณะตำบลศรีดอนชัย/เจ้าอาวาสวัดท่าข้ามศรีดอนชัย เป็นประธานปรึกษาหารือ ที่ประชุมเห็นพ้องกำหนดจัดกาดลื้อศรีดอนชัย ครั้งที่ 1 ในวันเสาร์ที่ 2 กันยายน 2566 ณ วัดท่าข้ามศรีดอนชัย
 
ปรึกษาหารือแนวทางการพัฒนาต่อยอดผลิตภัณฑ์ทางวัฒนธรรมไทย ของชุมชนคุณธรรมฯ บ้านศรีดอนชัย ร่วมกับนางแว่นแก้ว ภิรมย์พลัด ประธานกลุ่มสตรีทอผ้าศรีดอนชัย และนางผดุง สุทธิประทีป ประธานกลุ่มสัมมาชีพ
และติดตามการถ่ายทำสื่อวีดิทัศน์ “ข้ามทุกข์ พบสุข ที่วัดท่าข้ามศรีดอนชัย” กิจกรรมการนำอัตลักษณ์ชุมชน มาสร้างเสน่ห์ด้านการท่องเที่ยวการนำทุนทางวัฒนธรรม (5F/5F+) มาพัฒนาต่อยอดเป็นสินค้าและบริการทางวัฒนธรรม โดยการคิดค้นหรือพัฒนาจุดแข็งวัฒนธรรมใหม่ๆ สร้างโอกาสด้านการท่องเที่ยว ภายใต้โครงการพัฒนาศักยภาพและความพร้อมสุดยอดชุมชนต้นแบบ “เที่ยวชุมชน ยลวิถี” จังหวัดเชียงราย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สนง.วัฒนธรรม เชียงราย

กฤษยา จันแดง, กัลยา แก้วประสงค์, สุพรรณี เตชะตน : รายงาน/ภาพ
อภิชาต กันธิยะเขียว : บรรณาธิการ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
CULTURE

การประชุมคณะสงฆ์จังหวัดเชียงราย สมัยสามัญ ครั้งที่ 4/2566

พระเดชพระคุณพระพุทธิญาณมุนี (ประเสริฐ ปญฺญาวชิโร) เจ้าคณะจังหวัดเชียงราย เจ้าอาวาสวัดพระธาตุผาเงา อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย เป็นประธานการประชุมคณะสงฆ์จังหวัดเชียงราย สมัยสามัญ ครั้งที่ 4/2566 ระดับเจ้าคณะจังหวัด รองเจ้าคณะจังหวัด เจ้าคณะอำเภอ รองเจ้าคณะอำเภอ และเลขานุการ ในวันศุกร์ที่ 4 สิงหาคม 2566 เวลา 13.00 – 17.00 น. ณ ห้องประชุมชั้น 1 วิทยาลัยสงฆ์เชียงราย (ดอยจำปี) มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย โดยมีประเด็นสำคัญของการประชุมฯ ดังนี้
 
1. การดำเนินงานโครงการ “หมู่บ้านรักษาศีล 5” ในปี 2566
2. การดำเนินงานหน่วยอบรมประชาชนประจำตำบล (อ.ป.ต.)
3. การดำเนินงานโครงการวัด ประชา รัฐ สร้างสุข ด้วยกิจกรรม 5 ส.
4. การบริหารจัดการพุทธมณฑลสมโภส 750 ปี เมืองเชียงราย
5. การบริหารจัดการวิทยาลัยสงฆ์เชียงราย (มจร.)
6. การสอบธรรมสนามหลวง ประจำปี 2566
7. การจัดพิธีเจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตตภาวนาถวายพระราชกุศล สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 12 สิงหาคม 2566
8. เจ้าภาพเสากลาง วิหารพระเจ้าเม็งราย
9. การจัดตั้งกองทุนฌาปนกิจสงเคราะห์คณะสงฆ์จังหวัดเชียงราย
10. การตรวจการคณะสงฆ์และประชุมพระสังฆาธิการ
11. กำหนดงานมุทิตาจิตแก่พระภิกษุสามเณรผู้สอบพระปริยัติธรรมแผนกบาลีได้ ประจำปี 2566
12. การอบรมนักธรรมก่อนสอบธรรมสนามหลวง ประจำปี 2566
13. โครงการอบรมบาลีก่อนสอบภาค 6 ปีที่ 1
14. นโยบายและแผนยุทธศาสตร์การปฏิรูปกิจการพระพุทธศาสนา คณะสงฆ์จังหวัดเชียงราย
 
ในโอกาสนี้ นายพิสันต์ จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย มอบหมายให้ นายสุพจน์ ทนทาน นักวิชาการวัฒนธรรมชำนาญการ ข้าราชการสำนักวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย เข้าร่วมการประชุมฯ พร้อมทั้งแจ้งประเด็นสำคัญ ดังนี้
1. ขอความร่วมมือศูนย์ศึกษาพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์จังหวัดเชียงราย 104 ศูนย์ จัดส่งรายงานประจำปี พ.ศ. 2566 เพื่อรวบรวม สรุป และส่งให้ กรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม ต่อไป
2. แจ้งการโอนเงินอุดหนุนศูนย์ศึกษาพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์ รอบที่ 2 และรอบที่ 3
3. การติดตามประเมินผลศูนย์ศึกษาพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์ ประจำปี พ.ศ. 2566
 
ทั้งนี้ การประชุมฯ เป็นไปด้วยความเรียบร้อยและบรรลุผลสำเร็จทุกประการ
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สนง.วัฒนธรรม เชียงราย

พัชรนันท์ แก้วจินดา , สุพจน์ ทนทาน : รายงาน 
สุพจน์ ทนทาน : ภาพ 
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

ท่องเที่ยวไทย 7 เดือน 1.084 ล้านล้านบา มาเลเซียมาเยือนเยอะสุด

เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2566 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาได้รายงานถึงข้อมูลการท่องเที่ยวไทยที่ขณะนี้เป็นภาคเศรษฐกิจที่ขยายตัวได้ต่อเนื่อง เป็นแรงสนับสนุนสำคัญของเศรษฐกิจ โดยใน 7 เดือนแรกของปี 66 (ม.ค.-ก.ค.) ภาคการท่องเที่ยวสร้างภายได้จากนักท่องเที่ยวชาวไทยและต่างชาติรวมกัน 1,084,575 ล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นรายได้ที่มาจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ 638,161 ล้านบาท
 
ทางด้านจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาตินั้น ก็คาดว่าจะเป็นไปตามเป้าหมายที่รัฐบาลได้ตั้งไว้ไม่น้อยกว่า 25 ล้านคน โดยตั้งแต่ต้นปีจนถึง 30 ก.ค. 66 มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าประเทศไทยแล้ว 15,322,175 คน เพิ่มขึ้นร้อยละ 384 เมื่อเทียบกับช่วง 7 เดือนแรกของปี 65  ซึ่ง 5 อันแรกของประเทศต้นทางที่เดินทางมาไทยมากที่สุด ได้แก่

1)มาเลเซีย 2,439,710 คน

2) จีน 1,839,660 คน

3)เกาหลีใต้ 907,463 คน

4) อินเดีย 885,772 คน และ

5) รัสเซีย 854,946 คน
 
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า นอกจากจะเป็นผลจากสถานการณ์โควิด19 ที่คลี่คลายแล้ว การจัดกิจกรรมกระตุ้นการท่องเที่ยวทั้งตลาดในและต่างประเทศอย่างต่อเนื่องตามนโยบายของรัฐบาล ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.) จังหวัด และท้องถิ่น เป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการเติบโตที่เกิดขึ้น
 
ทั้งนี้ ระหว่างวันที่ 2-6 ส.ค. 66 ททท. ได้จัดงาน “เทศกาลเที่ยวเมืองไทย ครั้งที่ 41 ประจำปี 2566” (TTF2023) ที่ ฮอลล์ 5-8 ชั้น LG ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โดยจะเป็นงานใหญ่ที่กระตุ้นการเดินทางท่องเที่ยวในประเทศในช่วงที่เหลือของปีนี้  โดยงานจะเน้นการถ่ายทอดวัฒนธรรม วิถีชีวิต อัตลักษณ์ กระตุ้นให้เกิดการรับรู้ถึงแหล่งท่องเที่ยวที่ไม่เคยเห็น (Unseen) ของ 5 ภูมิภาคทั่วประเทศ มีพันธมิตรด้านการท่องเที่ยวทั้งภาครัฐและเอกชนเข้าร่วมในงานที่แบ่งการจัดงานซึ่งแบ่งการจัดงานเป็น 8 โซน และมีกิจกรรมให้ความบันเทิงจากศิลปินมากมาย
 
ประชาชนสามารถเข้าร่วมงานได้ฟรี โดยสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ TAT Contact Center 1672 หรือที่เว็บไซต์ thai.tourismthailand.org/Articles/ttf2023

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
TRAVEL

ภูเขียว-น้ำหนาว-ภูกระดึงขึ้นทะเบียนอุทยานมรดกอาเซียน

เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2566 นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียนด้านสิ่งแวดล้อม ครั้งที่ 34 (34th Meeting of the ASEAN Senior Officials on the Environment : 34th ASOEN) วันที่ 1 สิงหาคม 2566 ได้พิจารณารับรองการขึ้นทะเบียนอุทยานมรดกอาเซียน (ASEAN Heritage Park: AHP) ของประเทศไทย จำนวน 2 แห่ง ได้แก่ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูเขียวและอุทยานแห่งชาติน้ำหนาว เป็นอุทยานมรดกอาเซียนแห่งที่ 56 และอุทยานแห่งชาติภูกระดึง เป็นอุทยานมรดกอาเซียนแห่งที่ 57 และได้พิจารณารับรองให้โรงเรียนสาธิตเทศบาลบ้านหัวหิน เข้ารับรางวัลโรงเรียนที่มีกระบวนการจัดการเรียนการสอนสิ่งแวดล้อมดีเด่น ระดับชาติ และระดับนานาชาติ กลุ่ม ASEAN “ASEAN Eco-Schools” ระดับมัธยมศึกษาและระดับประถมศึกษา รวมทั้งรับรองให้นายมนตรี เจือไธสง เข้ารับรางวัลนักวิจัย / ครูผู้สอนสิ่งแวดล้อมศึกษาดีเด่น ระดับชาติและระดับนานาชาติ กลุ่ม ASEAN “ASEAN Youth Eco-Champions Award”
 
ทั้งนี้ ประเทศไทยมีพื้นที่ที่ได้รับการรับรองเป็นอุทยานมรดกอาเซียน ได้แก่ อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ อุทยานแห่งชาติตะรุเตา กลุ่มอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์ หมู่เกาะสิมิลันและอ่าวพังงา กลุ่มป่าแก่งกระจาน ประกอบด้วย อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน อุทยานแห่งชาติกุยบุรี และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าแม่น้ำภาชี อุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม-เขตห้ามล่าสัตว์ป่าหมู่เกาะลิบง อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะอ่างทอง และอุทยานแห่งชาติเขาสก
 
รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวเพิ่มเติมว่า จากการที่ คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้เห็นชอบการนำเสนอ อุทยานแห่งชาติภูกระดึง และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูเขียว อุทยานแห่งชาติน้ำหนาว ให้เป็นอุทยานมรดกแห่งอาเซียน เมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2565 หลายภาคส่วนได้ร่วมกันเตรียมเอกสารนำเสนอข้อมูลพื้นที่ ตลอดจนเร่งระดมสรรพกำลังเพื่อให้สามารถผ่านเกณฑ์การประเมินได้ ซึ่งไทยมีความโดดเด่นหลายประการ อาทิ การอนุรักษ์ธรรมชาติ และความหลากหลายทางชีวภาพ มีพื้นที่ที่มีความเชื่อมโยงกับประเพณีวัฒนธรรมท้องถิ่น
 
“โลกมีการตื่นตัวเรื่องปัญหาสิ่งแวดล้อมมากขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ รัฐบาลไทยให้ความสำคัญและเร่งพัฒนาแนวความคิดของคนไทยอย่างต่อเนื่องในทุกมิติ การสนับสนุนให้พื้นที่ในประเทศเป็นเขตอุทยานแห่งชาติ เพื่อเป็นพื้นที่คุ้มครอง รักษาสภาพธรรมชาติ ร่วมกับให้เกิดประโยชน์กับมนุษย์ควบคู่ไปด้วย ซึ่งอุทยานแห่งชาติจะช่วยรักษาสภาวะสมดุลธรรมชาติ พร้อมกันนี้ รัฐบาลสนับสนุนให้ระบบการศึกษาไทยให้ความสำคัญกับการศึกษาด้านสิ่งแวดล้อมสร้างการตระหนักรู้ตั้งแต่เยาวชน ซึ่งเชื่อมั่นว่าจะส่งผลต่อการส่งเสริมการพัฒนาอย่างยั่งยืนในอนาคต” นางสาวรัชดาฯ กล่าว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักนายกรัฐมนตรี

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
SOCIETY & POLITICS

มทบ.37 เชียงราย ร่วมเจ้าหน้าที่เกษตร ฝึกอบรมงานผ้าปักลายพระราชทาน

 

เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 66 เวลา 09.00 น. ร.ท. วชิรศักดิ์ ตันชัยสิริมณีกุล หน.ชป.โครงการฯ บ้านห้วยหยวกป่าโซ พร้อมด้วยกำลังพล ร่วมกับเจ้าหน้าที่เกษตรในโครงการฯ อำนวยความสะดวก ให้กับ นายพงศกร ไกรกิจราษฎฐ์ ครูศูนย์ฝึกและพัฒนาอาชีพ จังหวัดเชียงราย และคณะ ที่มาทำการฝึกอบรมงานผ้าปักลายพระราชทาน (ผ้าลายดอกรักราชกัญญา) ให้กับราษฎรบ้านห้วยหยวกป่าโซ ต.แม่สลองใน อ.แม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
SOCIETY & POLITICS

จ.สงขลา จับกุมบุหรี่หนีภาษี กว่า 5 แสนซอง มูลค่ากว่า 42 ล้าน

สรรพสามิตจับกุมผู้กระทำผิดบุหรี่หนีภาษีล็อตใหญ่ โดยสำนักงานสรรพสามิตภาคที่ 9 และสำนักงานสรรพสามิตพื้นที่สงขลา พร้อมบูรณาการร่วมกับภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ทั้งกองทัพเรือภาคที่ 2 ศร.ชล.ภาค 2  ฝ่ายปกครอง ศุลกากรภาคที่ 4 และ กอ.รมน. สงขลา ร่วมกันจับกุมผู้กระทำผิด พรบ.ภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 บุหรี่หนีภาษียี่ห้อ Gold Mount ล็อตใหญ่จำนวน 532,500 ซอง ประมาณการมูลค่าสินค้า 42,000,000 บาท ประมาณการมูลค่าภาษี 33,400,000 บาท ณ สถานที่เกิดเหตุบริเวณท่าเทียบเรือ อ.จะนะ จ.สงขลา  

นายเกรียงไกร พัฒนาภรณ์ รองอธิบดีกรมสรรพสามิต ในฐานะโฆษกกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า “วันที่ 3 สิงหาคม 2566 ภายใต้การอำนวยการของ ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพสามิต นายวิวัฒน์ เขาสกุล ที่ปรึกษาด้านยุทธศาสตร์ภาษีสรรพสามิต โดยการผนึกกำลังในการจัดการของผู้อำนวยการสำนักงานสรรพสามิตภาคที่ 9 สรรพสามิตพื้นที่สงขลา ผอ.สตป.สภ.9 รักษาการ หน.ฝ่ายป้องกันและปราบปราม สำนักงานสรรพสามิตภาคที่ 9 หน.ฝ่ายป้องกันและปราบปราม สำนักงานสรรพสามิตพื้นที่สงขลา และสรรพสามิตพื้นที่สาขาเมืองสงขลา สายตรวจสำนักงานสรรพสามิตภาคที่ 9 สายตรวจสำนักงานสรรพสามิตพื้นที่สงขลา บูรณาการร่วมกับกองทัพเรือภาคที่ 2 ศร.ชล. ภาค 2 ฝ่ายปกครอง ศุลกากรภาคที่ 4 กอ.รมน. สงขลา ร่วมกันจับกุมผู้กระทำผิด พ.ร.บ.ภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 ที่ลักลอบนำบุหรี่ต่างประเทศที่มิได้เสียภาษีแบบทันท่วงที ณ สถานที่เกิดเหตุบริเวณ ท่าเทียบเรือ อ.จะนะ จ.สงขลา”  
 
สำหรับผลการจับกุมนั้น สามารถจับผู้ต้องหาได้จำนวน 15 คน โดยมีของกลางประกอบด้วย 1. รถยนต์กระบะตู้ทึบ จำนวน 8 คัน 2. เรือประมง จำนวน 1 ลำ และ 3. ยาสูบต่างประเทศ ยี่ห้อ Gold Mount ที่มิได้เสียภาษีสรรพสามิต จำนวน 532,500 ซอง โดยกรมสรรพสามิตได้ทำการจับกุม และได้มีการประมาณการมูลค่าสินค้า 42,000,000 บาท ประมาณการภาษี 33,400,000 บาท โดยมีการส่งดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
 
นายเกรียงไกร กล่าวเพิ่มเติมว่า “กรมสรรพสามิตได้ให้ความสำคัญในการปราบปรามและจับกุมผู้กระทำความผิดตาม พ.ร. บ.ภาษีสรรพสามิต 2560 อย่างเคร่งครัด โดยครั้งนี้เป็นการจับกุมล็อตใหญ่ที่หากเล็ดลอดไปได้จะสร้างความเสียหายเป็นอย่างมาก ทั้งในเรื่องของความชอบธรรมที่ต้องมีให้กับผู้ประกอบการที่เสียภาษีโดยสุจริต รวมถึงการดูแลความปลอดภัยด้านสุขภาพของพี่น้องประชาชนชาวไทยจากการได้รับสินค้าปลอมแปลงที่อาจเกิดปัญหาหรือส่งผลต่อสุขภาพของพี่น้องประชาชน”  
      
ทั้งนี้ หากประชาชนท่านใดทราบเบาะแสหรือพบเห็นการกระทำความผิดเกี่ยวกับสินค้าที่ต้องเสียภาษีสรรพสามิตสามารถแจ้งโดยตรงได้ที่กรมสรรพสามิต หรือสำนักงานสรรพสามิตพื้นที่ทุกแห่งทั่วประเทศหรือ สายด่วน 1713 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง หรืออีเมล์ excise_hotline@excise.go.th

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานสรรพสามิตภาคที่ 9

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
EDITORIAL

อังกฤษชื่นชมไทย ตัดสินใจรวดเร็ว “ห้ามนำเข้า ห้ามขาย บุหรี่ไฟฟ้า”

ผศ.ดร.นพ.วิชช์ เกษมทรัพย์ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและจัดการความรู้เพื่อการควบคุมยาสูบ (ศจย.) กล่าวว่า เมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ.2566 สองวันหลังจากที่รัฐบาลออสเตรเลียประกาศนโยบายห้ามนำเข้าบุหรี่ British Medical Journal ชองประเทศอังกฤษ ได้เผยแพร่ความเห็นทางวิชาการว่า นโยบายการปราบปรามอย่างเด็ดขาดดังกล่าว เพราะความกังวลเกี่ยวกับการแพร่กระจายของบุหรี่ไฟฟ้าในตลาดมืด จะส่งผลให้มีการเสพติดในกลุ่มเยาวชนเพิ่มมากขึ้น โดยระบุว่า การแพร่ระบาดบุหรี่ไฟฟ้าในกลุ่มเยาวชนมิใช่ความเสี่ยง แต่เป็นหายนะทางด้านสาธารณสุข ในขณะที่ยกตัวอย่างประเทศอื่นๆ เช่น ประเทศไทยเป็นกรณีศึกษาที่ตัดสินใจอย่างรวดเร็วในการใช้มาตรการห้ามนำเข้าและห้ามขายบุหรี่ไฟฟ้า มาตั้งแต่ พ.ศ.2557

“ซึ่งแนวคิดการห้ามบุหรี่ไฟฟ้านี้ มีพื้นฐานจากการทบทวนวรรณกรรมอย่างเป็นระบบ (systematic review) ดังนี้ 1) บุหรี่ไฟฟ้ามีนิโคตินซึ่งเป็นสารเสพติดและสารพิษต่างๆ เทียบเท่ากับหรือมากกกว่าบุหรี่ปกติ ส่งผลกระทบต่อทุกระบบของร่างกายทั้งระยะสั้นและระยะยาว ทั้งผู้สูบและผู้อยู่ใกล้ชิด โดยเฉพาะทำลายสมองของเยาวชน 2) ไม่มีหลักฐานงานวิจัยยืนยันว่าบุหรี่ไฟฟ้าช่วยเลิกบุหรี่มวน 3) บุหรี่ไฟฟ้ายังเป็นจุดเริ่มต้นในการเสพติดบุหรี่มวนหรือสารเสพติดประเภทอื่นในเยาวชนต่อเนื่องตลอดชีวิต 4) ด้วยรูปลักษณ์และสารปรุงแต่งกลิ่นรสของบุหรี่ไฟฟ้า สร้างความยั่วยวนใจ ให้วัยรุ่นหันมาทดลองสูบบุหรี่ไฟฟ้า รวมทั้งการโหมโฆษณา ประชาสัมพันธ์ และการระดมขายในสื่อออนไลน์ ซึ่งผู้ที่นิยมใช้สื่อเหล่านี้คือเยาวชน จึงเกิดการระบาดอย่างกว้างขวางในกลุ่มเยาวชน ทั้งนี้เสรีภาพของเยาวชนเป็นหลักการที่สำคัญ แต่ไม่ควรถูกบริษัทผู้ผลิตบุหรี่ไฟฟ้านำมาบิดเบือนหลอกล่อโดยการตลาดล่าเหยื่อให้เสพติดเป็นนักสูบหน้าใหม่ และ 5) บทเรียนและประสบการณ์ของประเทศต่างๆ พบว่ายังไม่มีมาตรการอื่นใดที่มีประสิทธิภาพในการปกป้องเยาวชนไม่ให้เข้าถึง และริลองเสพบุหรี่ไฟฟ้าได้ ดังนั้นการคงมาตรการห้ามนำเข้าและห้ามขายบุหรี่ไฟฟ้า และเร่งบังคับใช้กฎหมาย เป็นสิ่งที่ดีที่สุด” ผศ.ดร.นพ.วิชช์ กล่าว

ในเรื่องที่ไทยได้รับการชื่นชมนี้ ศ.นพ.ประกิต วาทีสาธกกิจ ประธานมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ กล่าวว่า น่าสนใจที่สภาผู้แทนราษฎรชุดใหม่ให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาบุหรี่ไฟฟ้า ที่กำลังระบาดในเด็กนักเรียนและเยาวชนทั่วประเทศ โดยการประชุมสภาผู้แทนราษฎร วันที่ 3 สิงหาคม นี้ มีวาระ 6.4 ที่เสนอให้มีการตั้งกรรมาธิการวิสามัญ เพื่อศึกษาผลประโยชน์ของการมีกฏหมายควบคุมกำกับบุหรี่ไฟฟ้า เพื่อให้เหมาะสมกับบริบทของความเป็นจริงในประเทศไทย สิ่งที่อยากจะฝากถึงสภาผู้แทนราษฎรชุดปัจจุบันคือ ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรชุดที่แล้ว มีการตั้งกรรมาธิการขึ้นศึกษาปัญหาบุหรี่มาแล้ว 2 ชุด เกิดการแทรกแซงของล็อบบี้ยิสต์บริษัทบุหรี่ ถึงขนาดมีการตั้งแกนนำล็อบบี้ยิสต์บุหรี่ไฟฟ้า 2 คน เข้าเป็นที่ปรึกษาอนุกรรมาธิการชุดหนึ่ง ซึ่งขัดกับพันธกรณีที่ประเทศไทยมี ภายใต้อนุสัญญาควบคุมยาสูบขององค์การอนามัยโลก ที่ห้ามแต่งตั้งผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับธุรกิจยาสูบ เป็นที่ปรึกษาในคณะกรรมการที่พิจารณานโยบายควบคุมยาสูบ จึงหวังว่ากรรมาธิการวิสามัญที่สภาผู้แทนราษฎรชุดใหม่จะตั้งขึ้น จะไม่เกิดเหตุการณ์ดังที่เกิดขึ้นกับกรรมาธิการที่ศึกษาเรื่องบุหรี่ไฟฟ้าในสภาผู้แทนราษฎรชุดที่แล้ว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ศูนย์วิจัยและจัดการความรู้เพื่อการควบคุมยาสูบ (ศจย.)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
SOCIETY & POLITICS

ผู้ว่าฯ รฟท. ลงพื้นที่เหตุรถไฟ ชนกระบะขนคนงานลากปลา

เมื่อ 4 สิงหาคม 2566 เวลา 02.20 น. ได้เกิดเหตุขบวนรถไฟบรรทุกสินค้าคอนเทนเนอร์ที่ 833 ดีเซลเลขที่ 5240 มีต้นทางจากไอซีดี ลาดกระบัง ปลายทางแหลมฉบัง ชนกับรถยนต์กระบะขนคนงานลากปลา ยี่ห้อ อีซูซุ สีบรอนซ์เงิน ทะเบียน 1 ฒฆ 5942 กรุงเทพมหานคร บริเวณทางลักผ่านที่ไม่ได้รับอนุญาต หลักกิโลเมตรที่ 43/9 ใกล้กับที่หยุดรถคลองอุดมชลจร อำเภอเมือง จังหวัดฉะเชิงเทรา ซึ่ง รฟท. ได้ติดตั้งป้าย และสัญญาณไฟเตือนครบถ้วนเพื่อพยายามช่วยในเรื่องความปลอดภัยให้มากที่สุดที่จะเป็นไปได้ อย่างไรก็ดี แม้ว่าพนักงานขับรถไฟได้ปฏิบัติตามข้อบังคับโดยการเปิดหวูดเตือนก่อนจะถึงทางลักผ่าน จำนวนถึง 3 ครั้ง แต่ด้วยระยะที่กระชั้นชิดทำให้ไม่สามารถหยุดขบวนรถได้ทัน เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต เป็นชาย 5 ราย และหญิง 3 ราย ส่วนผู้ได้รับบาดเจ็บเป็นชาย 4 ราย โดยมีอาการสาหัส 1 ราย มูลนิธิกู้ภัยฉะเชิงเทราได้เร่งนำตัวส่งโรงพยาบาลพุทธโสธร จังหวัดฉะเชิงเทรา ส่วนผู้เสียชีวิต ได้นำส่งโรงพยาบาลตำรวจ เพื่อรอการชันสูตรและให้ญาติติดต่อขอรับเพื่อนำไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อไป 

จากการสอบสวน นายวิชัย อยู่เล็ก อายุ 54 ปี ผู้ขับขี่รถยนต์กระบะคันเกิดเหตุ เล่าว่าขณะขับผ่านทางรถไฟ เห็นรถไฟกำลังวิ่งมา และได้ยินหวีดรถไฟแจ้งเตือนแล้ว จึงได้ชะลอรถ แต่คนในรถที่นั่งมาด้วยกันบอกให้ขับผ่านไปได้เลย ตนจึงขับผ่านทางตัดไปแต่ด้วยความกระชั้นชิด จึงทำให้รถไฟชนเข้าที่ท้ายของรถกระบะ 

นอกจากนี้ นายสุรพัศ ประสพ อายุ 20 ปี ผู้รอดชีวิตที่นั่งมาในรถยนต์กระบะ เล่าถึงเหตุการณ์ว่า ขณะรถกระบะกำลังจะขับข้ามทางรถไฟ ตนเองเห็นว่ามีขบวนรถไฟพุ่งใกล้เข้ามาในระยะอีกเพียงไม่กี่เมตร และได้ยินเสียงคนงานที่นั่งมาด้วยกันร้องบอกคนขับรถว่าให้รีบข้ามไป แต่ตนเองมองว่าไม่น่าจะทันจึงตัดสินใจกระโดดลงจากรถ โดยยืนยันว่าระหว่างที่รถยนต์จะข้ามทางรถไฟได้ยินเสียงหวีดรถรถไฟดังลั่นถึง 3 ครั้ง แต่คนขับรถกระบะก็ไม่สนใจ จนเกิดเหตุดังกล่าว

หลังเกิดเหตุ นายนิรุฒ มณีพันธ์ ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย พร้อมคณะผู้บริหาร และเจ้าหน้าที่ฝ่ายที่เกี่ยวข้องของ รฟท. ได้ลงพื้นที่เกิดเหตุเพื่อให้ความช่วยเหลือ และดูแลผู้ที่ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตจากอุบัติเหตุในครั้งนี้ โดยในเบื้องต้นได้สั่งการให้กองพนักงานสัมพันธ์และสวัสดิการ ฝ่ายทรัพยากรบุคคล ติดต่อให้ความช่วยเหลือในด้านมนุษยธรรมตามระเบียบของ รฟท. กับครอบครัวผู้บาดเจ็บและผู้เสียชีวิตต่อไป ซึ่ง รฟท. ขอแสดงความเสียใจต่อครอบครัวของผู้เสียชีวิต และผู้ได้รับบาดเจ็บมา ณ โอกาสนี้

รายชื่อผู้ได้รับบาดเจ็บ จำนวน 4 ราย ประกอบด้วย
1. นายวรพล ม่วงสี อายุ 25 ปี 
2. นายจตุพร แก้วโรจน์ อายุ 26 ปี 
3. นายสุพรรณ โพธิ์รักษา อายุ 25 ปี 
4. นายสุรพัศ ประสพ อายุ 20 ปี

รายชื่อผู้เสียชีวิต จำนวน 8 ราย ประกอบด้วย
1. นายสุนทร บัวทอง อายุ 55 ปี
2. นางวารี ภู่ถาวร อายุ 64 ปี
3. น.ส.สุลีรัตน์ ไวว่อง อายุ 22 ปี
4. นายสุรพล อยู่เล็ก อายุ 60 ปี
5. นายณัฐชัย เหยี่ยว อายุ 18 ปี
6. นายธนาวัฒน์ ลิ้มเจริญวิวัฒน์ อายุ 27 ปี
7. นายสายยนต์ โพธิ์รักษ์ อายุ 62 ปี 
8. นางสุนทรี โพธิ์รักษ์ อายุ 55 ปี 

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าทางดังกล่าวจะเป็นทางลักผ่าน แต่เพื่อพยายามที่จะลดอุบัติเหตุให้มากที่สุด รฟท. จึงได้ดำเนินการติดตั้งสัญญาณเตือน ป้ายจราจร ไฟกะพริบป้ายข้อความเตือนทั้งสองด้านมีเครื่องหมายจราจรครบถ้วน เพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุ รวมถึง เพื่อความปลอดภัยของผู้โดยสาร และประชาชนที่ใช้เส้นทางสัญจรผ่านจุดดังกล่าว

ซึ่งนายนิรุฒ มณีพันธ์ ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย ได้ให้ความสำคัญต่อการแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุบริเวณทางผ่านเสมอระดับอย่างจริงจัง โดยมุ่งเน้นการให้ความรู้แก่ประชาชนและชุมชนใกล้เคียง เพื่อสร้างความตระหนักให้กับผู้อยู่อาศัยในพื้นที่ ได้คำนึงถึงความปลอดภัยและการปฏิบัติตามกฎจราจรก่อนข้ามทางผ่านเสมอระดับ ตลอดจนการให้ความสำคัญกับป้ายสัญลักษณ์เตือน เพื่อลดการเกิดอุบัติเหตุ ในส่วนมาตรการแก้ปัญหาในระยะเร่งด่วน ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่เกี่ยวข้องเร่งสรุปจำนวนทางลักผ่านที่ผิดกฎหมายเพื่อดำเนินการแก้ปัญหาปิดจุดทางลักผ่านต่างๆ หรือประสานหน่วยงานท้องถิ่นที่ดูแลรับผิดชอบถนนที่ตัดผ่านทางรถไฟสนับสนุนงบประมาณในการติดตั้งเครื่องกั้นอัตโนมัติ ซึ่งที่ผ่านมา หาก รฟท. เข้าไปดำเนินการปิดทางลักผ่านต่างๆ ก็จะได้รับการร้องเรียนจากประชาชนในพื้นที่ขอให้เปิดเส้นทางลักผ่านเพื่อใช้ในการสัญจร หรือลักลอบเปิดใช้ทางลักผ่านโดยไม่ได้รับอนุญาตจาก รฟท. แต่อย่างใด

ปัจจุบันโครงข่ายทางรถไฟทั่วประเทศ มีทางผ่านเสมอระดับทางรถไฟและรถยนต์ จำนวน 2,697 แห่ง แบ่งเป็น ทางต่างระดับที่ได้รับอนุญาต 546 แห่ง (Overpass, Underpass, Box underpass, U-Turn, U-Turn,Box Underpass) ทางเสมอระดับที่ได้รับอนุญาต 1,458 แห่ง (เครื่องกั้นถนนอัตโนมัติ, มีพนักงานควบคุม, ป้ายจราจร/สัญญาณต่างๆ) และทางลักผ่าน 693 แห่ง (ติดตั้งเครื่องกั้นถนนฯ , ติดตั้งป้ายจราจรสัญญาณต่าง ๆ , ทางลอด, ทางที่ไม่ได้รับการติดตั้งป้ายจราจร/สัญญาณใดๆ) รฟท. ขอให้ประชาชนผู้ใช้ทางผ่านเสมอระดับทางรถไฟ-รถยนต์ ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 63 ในทางเดินรถตอนใดที่มีทางรถไฟผ่าน ไม่ว่าจะมีเครื่องหมายระหว่างรถไฟหรือไม่ ถ้าทางรถไฟนั้นไม่มีสัญญาณระวังรถไฟหรือสิ่งปิดกั้นผู้ขับขี่ต้องลดความเร็วของรถและหยุดรถห่างจากทางรถไฟในระยะไม่น้อยกว่า 5 เมตร เมื่อเห็นว่าปลอดภัยแล้วจึงจะขับรถผ่านไปได้

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : การรถไฟแห่งประเทศไทย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
SOCIETY & POLITICS

ปลัดฯ ณัฐพล นำทีมผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม เข้าเฝ้าสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เพื่อทูลเกล้าฯ ถวายเงินรายได้จากการออกร้านในงานกาชาด

เมื่อ 3 สิงหาคม 2566 เวลา 08.00 น. ที่ผานมา ดร.ณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วยคณะผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม เข้าเฝ้าสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เพื่อทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายเงินรายได้จากการออกร้านกระทรวงอุตสาหกรรม ภายในงานกาชาดประจำปี 2565 จำนวนทั้งสิ้น 6,007,896.46 บาท (หกล้านเจ็ดพันแปดร้อยเก้าสิบหกบาทสี่สิบหกสตางค์) โดยเสด็จพระราชกุศลบำรุงสภากาชาดไทย ณ วังสระปทุม

กระทรวงอุตสาหกรรม ได้ร่วมออกร้านในงานกาชาด ประจำปี 2565 ณ บริเวณสวนลุมพินี ระหว่างวันที่ 8 – 18 ธันวาคม 2565 ที่ผ่านมา ภายใต้แนวคิด “อุตสาหกรรมรวมใจ ใต้ร่มพระบารมี สดุดี 90 พรรษา” เพื่อเป็นการร่วมเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงเจริญพระชนมพรรษา 90 พรรษา และทรงดำรงตำแหน่งองค์สภานายิกาสภากาชาดไทย ครบ 66 ปี และเพื่อเป็นการประชาสัมพันธ์ภารกิจของกระทรวงอุตสาหกรรม ภายใต้นโยบาย MIND ใช้หัวและใจปั้นอุตสาหกรรมคู่ชุมชน โดยภายในร้านกระทรวงอุตสาหกรรมได้จัดกิจกรรมการเล่นเกมส์กระสวยอวกาศเพื่อลุ้นโชครางวัลมากมาย รวมทั้งการจำหน่ายสลากกาชาดร้านกระทรวงอุตสาหกรรม อีกจำนวน 60,000 ใบ ในราคาใบละ 100 บาท ด้วย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงอุตสาหกรรม

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
FEATURED NEWS

EXIM BANK ปรับแผนรับมือเศรษฐกิจ ‘ช่วยเหลือ เติมกำลังใจ’

EXIM BANK ปรับกลยุทธ์สายงานธุรกิจ SMEs ในช่วงครึ่งหลังของปี 2566 เน้นทำงานเชิงรุกด้วยกลยุทธ์ “รับมือ ช่วยเหลือ เติมกำลังใจ” สานพลังกับหน่วยงานพันธมิตรภาครัฐและเอกชนในการแสวงหาลูกค้าใหม่ เยี่ยมเยียนและเช็กสุขภาพลูกค้าเดิม เติมเงินทุน ออกผลิตภัณฑ์การเงินที่สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้า บริหารความเสี่ยงในทุกมิติอย่างเหมาะสม มุ่งยกระดับประสิทธิภาพของภาคธุรกิจตลอดทั้ง Supply Chain อย่างเป็นมืออาชีพ โดยสอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงและมีความท้าทายรอบด้าน

ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) มอบนโยบายและประชุมร่วมกับผู้บริหารและพนักงานสาขาและธุรกิจ SMEs ของ EXIM BANK ณ EXIM BANK สำนักงานใหญ่ เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2566 โดยบอกเล่าภาพรวมสถานการณ์เศรษฐกิจไทยในปัจจุบันว่า จากจำนวน SMEs ไทยกว่า 3 ล้านราย ในจำนวนนี้มีเพียง 1 ล้านรายเท่านั้นที่เข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบ และกลายเป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPLs) จำนวน 7.4% และมีบริษัทอีกจำนวนหนึ่งที่แม้ยังไม่ปิดกิจการแต่เริ่มมีสัญญาณที่จะไม่สามารถชำระหนี้ได้หรือที่เรียกว่า Zombie Firms และหากสถานการณ์เศรษฐกิจยังคงอึมครึมเช่นนี้ คาดว่าในสิ้นปีนี้ จำนวน NPLs และ Zombie Firms จะเพิ่มสัดส่วนขึ้นอีก ดังนั้น EXIM BANK จึงต้องปรับเปลี่ยนกระบวนการทำงานให้ “รบอย่างมีกลยุทธ์” ช่วยผู้ประกอบการ SMEs ต่อสู้กับความท้าทายและความผันผวนของเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทย อีกทั้งยังเป็นช่วงดอกเบี้ยขาขึ้น โดยดูแลทั้งลูกค้าเดิมและลูกค้าใหม่อย่างเต็มที่ และนำเสนอทางแก้ไขปัญหาธุรกิจอย่างครบวงจร (Total Solutions) ภายใต้บทบาทธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งประเทศไทย โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง

กรรมการผู้จัดการ EXIM BANK กล่าวว่า ท่ามกลางปัจจัยท้าทายต่าง ๆ นโยบายของ EXIM BANK ต่อลูกค้า SMEs คือ การ ‘รับมือ ช่วยเหลือ เติมกำลังใจ’ โดยเจ้าหน้าที่ EXIM BANK ต้องออกเยี่ยมลูกค้า SMEs ทุกราย เพื่อตรวจเช็กสุขภาพธุรกิจและสอบถามความต้องการที่จะให้ EXIM BANK ช่วยเหลือ โดยเฉพาะลูกค้าที่เก่งและดี EXIM BANK พร้อมสนับสนุนการขยายธุรกิจและให้วงเงินสินเชื่อเพิ่มเติม อย่างไรก็ตาม การให้สินเชื่อต้องอยู่บนหลักเกณฑ์ที่ถูกต้อง เงื่อนไขและหลักประกันเหมาะสม มีการบริหารความเสี่ยงที่รัดกุม มุ่งยกระดับประสิทธิภาพของภาคธุรกิจตลอดทั้ง Supply Chain อย่างเป็นมืออาชีพ ทั้งนี้ EXIM BANK จะพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการเงินใหม่ ๆ สำหรับลูกค้า SMEs อย่างต่อเนื่องโดยสอดคล้องกับความต้องการของลูกค้า นำผลที่ได้รับจากออกไปเยี่ยมเยียนลูกค้ามาวิเคราะห์และพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการเงินให้สอดคล้องกัน ซึ่งจะส่งผลดีต่อการทำการตลาดของธนาคารในการเพิ่มจำนวนลูกค้าใหม่และสนับสนุนช่วยเหลือลูกค้ากลุ่มเดิมให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ขณะเดียวกันก็เป็นการสร้างโอกาสในการเข้าถึงและสนับสนุน SMEs ไทยที่มีศักยภาพให้เติบโตและขยายธุรกิจสู่ตลาดโลกได้มากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขับเคลื่อนการเติบโตของภาคการส่งออกและเศรษฐกิจไทยในปี 2566

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News