Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ZINEWICH นิทรรศการศิลปะเชียงราย ดึงอดีต สู่เรื่องเล่าใหม่ สร้างแรงบันดาลใจเยาวชน

เชียงราย เมืองศิลปะที่ไม่หยุดนิ่ง กับบทบาทของ “ZINEWICH” นิทรรศการศิลปะร่วมสมัย เชื่อมอดีต สร้างเรื่องเล่าใหม่ของเชียงราย

เชียงราย, 6 กรกฎาคม 2568 – ในขณะที่โลกหมุนไปข้างหน้าและวัฒนธรรมท้องถิ่นเสี่ยงต่อการจางหาย จังหวัดเชียงรายกลับเลือกขับเคลื่อนอดีตให้เป็นส่วนหนึ่งของปัจจุบันและอนาคต ผ่านนิทรรศการศิลปะร่วมสมัย “ZINEWICH” แอ่วของเก่า เล่าของใหม่ ณ บ้านสิงหไคล มูลนิธิมดชนะภัย ใจกลางเมืองเชียงราย งานนี้ไม่ใช่แค่การเปิดพื้นที่ให้ศิลปินรุ่นใหม่ แต่เป็น “การปักหมุด” ให้เชียงรายบนแผนที่เมืองศิลปะของไทยอย่างแท้จริง

ที่ผ่านมา นิทรรศการ “ZINEWICH” ได้รับเกียรติจากนายวิญญู ทองทัน เลขานุการนายก อบจ.เชียงราย ผู้แทนนางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย เข้าร่วมในกิจกรรมท่ามกลางนักเรียน นักประวัติศาสตร์ นักท่องเที่ยว ศิลปิน และผู้หลงใหลศิลปะท้องถิ่นที่หลั่งไหลเข้าร่วมอย่างคึกคัก งานนี้ไม่เพียงแต่เติมสีสันให้เมืองเชียงรายในช่วงฤดูฝน แต่ยังสร้างบทสนทนาระหว่าง “อดีต” และ “ปัจจุบัน” ผ่านสายตาของคนรุ่นใหม่ที่ไม่จำกัดอยู่ในกรอบเดิม

บ้านสิงหไคลจากเรือนเก่า สู่ศูนย์กลางศิลปะร่วมสมัย

บ้านสิงหไคล มูลนิธิมดชนะภัย เป็นมากกว่าบ้านโบราณหรือพิพิธภัณฑ์ ด้วยภารกิจส่งเสริมการเรียนรู้และรณรงค์เรื่องสถาปัตยกรรมกับภัยพิบัติ ที่แห่งนี้ถูกเปลี่ยนให้เป็นจุดนัดพบของกิจกรรมทางสังคมและศิลปวัฒนธรรม บ้านสิงหไคลยืนหยัดเป็นพื้นที่ปลอดภัยสำหรับนักสร้างสรรค์ท้องถิ่นและนักเรียน นักศึกษา เปิดโอกาสให้ผู้สนใจได้สัมผัสผลงานศิลปะหมุนเวียนตลอดปีและเป็นจุดตั้งต้นของการสืบสานวัฒนธรรมด้วยวิธีใหม่ๆ ที่ตอบโจทย์โลกยุคดิจิทัล

“Illus Illy” พลังใหม่ของวงการสร้างสรรค์เชียงราย

เบื้องหลังนิทรรศการ “ZINEWICH” คือกลุ่ม “Illus Illy” ซึ่งเกิดจากการรวมตัวของศิลปินรุ่นใหม่ในเชียงรายเมื่อปี 2565 พวกเขาเชื่อว่าศิลปะคือสะพานที่เชื่อมอดีตและอนาคต โดยไม่ผูกติดกับขนบเดิม กลุ่มนี้เคยสร้างชื่อในเทศกาลสำคัญอย่าง Chiangrai Sustainable Design Week (CRSDW) และงาน Collateral event ในมหกรรม Thailand Biennale, Chiangrai 2023 จุดยืนสำคัญของ Illus Illy คือการผลักดัน “ศิลปะที่เล่าเรื่องท้องถิ่น” ให้กลายเป็นสิ่งร่วมสมัย ผ่านงานวาด ภาพประกอบ และหนังสือทำมือขนาดเล็ก (Zine)

“ZINEWICH”หนังสือเล่มเล็กกับการเล่าเรื่องใหญ่

ไฮไลต์ของนิทรรศการนี้อยู่ที่ Zine หรือหนังสือทำมือขนาดเล็กและภาพประกอบจาก 16 นักสร้างสรรค์ ที่บอกเล่าเรื่องราวประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และวิถีชีวิตเชียงรายในมุมมองร่วมสมัย “ZINEWICH” ไม่เพียงเป็นเวทีให้ศิลปินท้องถิ่นทดลองและถ่ายทอดความคิดสร้างสรรค์ แต่ยังเชิญชวนให้ผู้ชมโดยเฉพาะเยาวชน “อ่าน” และ “สัมผัส” ประวัติศาสตร์ในรูปแบบที่จับต้องได้

โครงการนี้เป็นส่วนหนึ่งของ “อิล-ลี-ลี้ อิลัสเชียงราย แอ่วของเก่า เล่าของใหม่” ได้รับการสนับสนุนจากกองทุนส่งเสริมศิลปะร่วมสมัย สำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย กระทรวงวัฒนธรรม สะท้อนถึงการบูรณาการนโยบายของรัฐกับพลวัตศิลปะร่วมสมัยในพื้นที่จริง

นายวิญญู ทองทัน ตัวแทน อบจ.เชียงราย กล่าวว่า “นิทรรศการนี้เป็นการผสานอดีตกับปัจจุบันอย่างสร้างสรรค์ ช่วยให้คนรุ่นใหม่เข้าถึงรากเหง้าทางวัฒนธรรม ไม่ใช่แค่เรียนจากตำรา แต่ได้สัมผัสผ่านมุมมองร่วมสมัย ซึ่ง อบจ. พร้อมสนับสนุนกิจกรรมสร้างสรรค์เช่นนี้ให้ต่อเนื่อง”

ศิลปะร่วมสมัยพลังขับเคลื่อนเมืองและผู้คน

ความสำคัญของ “ZINEWICH” ไม่ได้อยู่แค่ในตัวผลงานศิลปะ แต่ยังอยู่ที่การขยายพื้นที่ศิลปะในสังคมเชียงราย ศิลปินและนักเรียนที่เข้าร่วม ได้เรียนรู้การสร้างสรรค์ การทำงานร่วมกัน และการเล่าเรื่องอดีตให้คนรุ่นใหม่สนใจ

การใช้ Zine เป็นสื่อกลางในครั้งนี้ช่วยลดช่องว่างระหว่างประวัติศาสตร์กับผู้ชม ศิลปะจึงไม่ใช่เรื่องไกลตัวสำหรับนักเรียนหรือประชาชนอีกต่อไป นิทรรศการนี้เปิดให้เข้าชมฟรี กลางเมืองเชียงราย ทำให้ทั้งนักท่องเที่ยว นักเรียน และชุมชนเข้าถึงได้ง่าย ส่งผลดีต่อการสร้างเมืองศิลปะและท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม

ผลลัพธ์และความยั่งยืนศิลปะกับการพัฒนาเมืองเชียงราย

นิทรรศการ “ZINEWICH” เป็นตัวอย่างของการนำอดีตมาหลอมรวมกับปัจจุบันอย่างสร้างสรรค์ โดยมีเป้าหมายมากกว่าการโชว์ผลงาน นั่นคือการสร้างแรงบันดาลใจใหม่ๆ ให้เยาวชนเชียงรายตระหนักถึงรากเหง้าของตนเอง พร้อมเปิดกว้างรับความคิดใหม่ๆ จากศิลปะร่วมสมัย เชียงรายในวันนี้กำลังยืนอยู่บนจุดเปลี่ยนผ่านของการเป็น “เมืองศิลปะ” ที่เชื่อมโยงรากวัฒนธรรมกับโลกสมัยใหม่

นิทรรศการ “ZINEWICH” แอ่วของเก่า เล่าของใหม่ จัดแสดงระหว่างวันที่ 6 กรกฎาคม – 2 สิงหาคม 2568 ณ บ้านสิงหไคล มูลนิธิมดชนะภัย เปิดให้ชมฟรี (เว้นวันจันทร์) 10.00-16.00 น.

ข้อคิดและคำถามถึงสังคม

“คุณคิดว่าการนำเสนอประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมผ่านศิลปะที่เข้าถึงง่ายเช่นนี้ จะกระตุ้นให้คนรุ่นใหม่สนใจรากเหง้าของตนเองได้หรือไม่ และเชียงรายจะก้าวเป็นเมืองศิลปะอย่างยั่งยืนได้อย่างไร?”

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย)
  • บ้านสิงหไคล มูลนิธิมดชนะภัย
  • กลุ่ม Illus Illy
  • กองทุนส่งเสริมศิลปะร่วมสมัย สำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย กระทรวงวัฒนธรรม
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE FEATURED NEWS

พลังศิลปะพลิกชีวิต พุทธรักษ์ ดาษดา สู่มิติใหม่ 7-Eleven Art Gallery

เมื่อ 7-Eleven กลายเป็นแกลเลอรี่ศิลปะ เรื่องราวแห่งการสร้างสรรค์ที่เชื่อมโยงชุมชนกับศิลปะ

ในยามที่โลกกำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว และคนเราเริ่มมองหาความหมายใหม่ในชีวิตประจำวัน มีเรื่องราวหึ่งหนึ่งที่กำลังเกิดขึ้นอย่างเงียบๆ ในจุดที่เราไม่เคยคิดว่ามันจะเป็นไปได้ นั่นคือการเปลี่ยนโฉมร้านสะดวกซื้อธรรมดาให้กลายเป็นพื้นที่แห่งศิลปะ ที่ไม่เพียงแต่สร้างความสวยงาม แต่ยังเป็นสะพานเชื่อมระหว่างชุมชนกับความงาม สร้างเอกลักษณ์และเปิดโอกาสให้ศิลปินรุ่นใหม่ได้แสดงความสามารถ

เรื่องราวนี้เริ่มต้นจากโครงการ “7-Eleven Art Gallery” ซึ่งเกิดขึ้นจากแนวคิดที่ต้องการให้ร้านค้าปลีกเป็นมากกว่าแค่สถานที่ซื้อของ แต่เป็นส่วนหนึ่งของชุมชน เป็นจุดหมายปลายทางที่มีความหมาย และเป็นแลนด์มาร์คที่สะท้อนเอกลักษณ์ของแต่ละพื้นที่ ผ่านกระบวนการ Co-Creation ที่เชื่อมโยงงานศิลปะ วัฒนธรรม และแบรนด์เข้าด้วยกัน

การเดินทางสู่การเปลี่ยนแปลงในเชียงราย

ในจังหวัดเชียงราย ซีพี ออลล์ ได้ร่วมมือกับขัวศิลปะ (พิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัยเมืองเชียงราย) ในการสร้างงานศิลปะแห่งแรกที่ร้าน 7-Eleven สาขาหอนาฬิกา 2 ด้วยผลงานชื่อ “The Magical Land” ในปี 2024 ที่สื่อถึงความมหัศจรรย์ของวิถีชีวิตของผู้คน ความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติ และความหลากหลายทางศิลปะวัฒนธรรม รวมถึงพืชผลทางการเกษตรกรรมของชุมชนและเส้นทางท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่รวมเป็นจังหวัดเชียงราย

ความสำเร็จของงานชิ้นแรกนำไปสู่การสร้างสรรค์ผลงานที่สองที่สาขาชุมชนห้วยปลากั้ง ด้วยผลงานชื่อ “The Wonderland” ในปี 2025 ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวที่น่าสนใจยิ่งขึ้น

พุทธรักษ์ ดาษดา ศิลปินผู้ซ่อนเรื่องราวไว้ในชื่อ

เบื้องหลังความสำเร็จของผลงาน “The Wonderland” คือศิลปินหญิงชื่อ “อิ๋ม-พุทธรักษ์ ดาษดา” ซึ่งชื่อนี้เป็นชื่อจริงเสียงจริงที่มารดาตั้งให้ มิใช่ชื่อในวงการอย่างที่หลายคนเข้าใจ

ตามข้อมูลของ the cloud ชื่อของ อิ๋ม-พุทธรักษ์ ดาษดา คือ “ถ้ามี ‘ษา’ มันจะเหมือนดอกไม้ใช่ไหม ตั้งแต่เวลาใครประกาศชื่อเรา เขาจะเติม ‘ษา’ ให้ กลายเป็น ‘พุทธรักษา’ แม่บอกว่าอิ๋มเกิดวันพุธ เลยเป็นพุทธรักษ์” เธอชี้แจงท่ามกลางกรอบรูป เฟรมผ้าใบ แจกันดอกไม้ แมลงสตัฟฟ์ในขวดโหล และสารพัดของกระจุกกระจิกที่คับคั่งอยู่ในห้องทำงานของ ‘ดาษดาสตูดิโอ’

เรื่องราวของพุทธรักษ์เริ่มต้นจากการตัดสินใจที่กล้าหาญและเสี่ยงภัย นั่นคือการลาออกจากงานประจำเพื่อออกมาทำงานศิลปะเต็มตัว ด้วยการรวบรวมเงินเก็บทั้งหมดเพื่อจัดแสดงเดี่ยวครั้งแรกของตัวเอง (Solo Art Exhibition)

“ในระหว่างนั้นที่แสดงงาน ก็เจอผู้คนมากมายที่มาชมผลงาน พูดคุย ซัพพอร์ตผลงานและติดตามผลงานเสมอ จากครั้งนั้นมาจนถึงทุกวันนี้” เธอเล่าด้วยความซาบซึ้ง

สิ่งที่เป็นแรงขับเคลื่อนให้เธอทำงานต่อไปคือการได้รับกำลังใจจากผู้คนที่ติดตามผลงาน ไม่เพียงแต่การซื้อขายผลงานเท่านั้น แต่ยังมีคนเดินทางมาเยี่ยมชมสตูดิโอ ส่งกำลังใจ และบอกว่าผลงานของเธอเป็นแรงบันดาลใจและทำให้พวกเขาสบายใจเมื่อได้เห็น

กระบวนการสร้างสรรค์ที่ซับซ้อนแต่ลงตัว

การทำงาน Mural Art ขนาดใหญ่ไม่ใช่เรื่องง่าย พุทธรักษ์อธิบายกระบวนการทำงานที่ต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายฝ่าย มีทีมเพ้นท์ มีทีมติดตั้งนั่งร้านให้มีความปลอดภัย และตัวเธอเองเป็นคนออกแบบเรื่องราวทั้งหมดของงาน ลงพื้นที่สำรวจและนำมาเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ผลงานในแต่ละครั้ง

ทีมที่มาทำงานร่วมจะเป็นคนที่จบทางด้านศิลปะและนักศึกษาศิลปะที่ผ่านการคัดเลือก เพื่อให้งานลุล่วงด้วยความสมบูรณ์และตรงตามวิสัยทัศน์ของศิลปิน การมีทีมเวิร์คที่ดีทำให้สามารถรับงาน Mural Art ในพื้นที่ใหญ่ขึ้น หรือพื้นที่ที่ไม่เคยทำได้ในอนาคต

“The Wonderland” ผลงานที่เชื่อมโยงชุมชนกับศิลปะ

ผลงาน “The Wonderland” ที่สาขาห้วยปลากั้งไม่ใช่แค่ภาพสวยงามบนกำแพง แต่เป็นผลงานที่เกิดจากการลงพื้นที่อย่างจริงจัง พุทธรักษ์ได้ลงไปสำรวจพื้นที่ พูดคุยกับผู้คน จึงได้รู้ที่มาที่ไปของชื่อหมู่บ้านที่มีความเกี่ยวข้องกับปลากั้ง ซึ่งเป็นปลาสายพันธุ์หนึ่งที่ลักษณะคล้ายปลาช่อน ที่เมื่อก่อนเคยมีมากมายในลำธารของชุมชนแห่งนี้

ผลงานนี้เต็มไปด้วยสัญลักษณ์ที่มีความหมายลึกซึ้ง ทั้งดอกโบตั๋นที่เป็นเนื้อหาหลักของผลงาน มีสมญานามราชาแห่งเหล่ามวลดอกไม้ เป็นสัญลักษณ์ของความมั่งคั่ง ร่ำรวย โชคลาภ ความซื่อสัตย์ และมีเมตตา ทั้งยังเป็นสัญลักษณ์ของความมีเกียรติยศ

แมงสี่หูห้าตาจากตำนานล้านนาปรากฏอยู่ในผลงาน เป็นสัตว์ประหลาดตัวหนึ่งในตำนานว่าด้วยวัดพระธาตุดอยเขาควายแก้ว อำเภอเมืองเชียงราย ที่มีลักษณะมีหูสองคู่และตาห้าดวง รับประทานถ่านไฟร้อนเป็นอาหาร และถ่ายมูลเป็นทองคำ ตามความเชื่อของภาคเหนือเชื่อว่าเป็น “เทพเจ้าแห่งโชคลาภเงินทอง ความอุดมสมบูรณ์”

นกผีเสื้อในผลงานเป็นสิ่งมีชีวิตที่ศิลปินเพิ่มความแฟนตาซีเข้าไป เป็นตัวแทนที่แสดงถึงความอุดมสมบูรณ์ของพื้นที่โดยรอบและเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติอุทยานลำน้ำกก แม่น้ำในภาพเป็นสายธารที่หล่อเลี้ยงสัพชีวิตของผู้คน สัตว์ต่างๆ ผืนดิน ต้นไม้ ก่อให้เกิดเป็นชุมชนที่เชื่อมโยงและช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกัน

ปลากั้งที่บินตามดอกไม้เป็นการเปรียบเทียบกับผู้คนที่มาใช้ชีวิตและอาศัยชุมชนห้วยปลากั้งเป็นที่อยู่อาศัยและประกอบสัมมาอาชีพมาจนถึงปัจจุบันไม่ต่างจากเมื่อครั้งอดีต

เด็กในดอกไม้เป็นตัวแทนของผู้คนที่อยู่ร่วมกันในพื้นที่ ที่มีความหลากหลายทั้งเชื้อชาติ ภาษา วัฒนธรรมและประเพณี สื่อถึงการผลิบานของผู้คนในรุ่นต่อๆไป รวมถึงในวัดห้วยปลากั้งเองที่พระอาจารย์พบโชคยังอุปการะเด็กชายขอบที่ยากไร้ในการให้ที่พัก อาหาร และให้การศึกษากับเด็กๆเหล่านี้

ความลงตัวระหว่างศิลปะกับแบรนด์

สิ่งที่น่าสนใจในผลงานนี้คือการผสมผสานระหว่างเอกลักษณ์ของชุมชนกับอัตลักษณ์ของแบรนด์อย่างลงตัว พุทธรักษ์ได้สอดแทรกสีแดง ส้ม เขียว ขาว ซึ่งเป็นสีสัญลักษณ์ของ 7-Eleven เข้าไปในกลีบดอกไม้ของดอกโบตั๋นที่เป็นองค์ประกอบหลักของผลงาน เพื่อสื่อถึงการอยู่ร่วมกันระหว่างชุมชนและ 7-Eleven ที่ผสมกลมกลืนซึ่งกันและกันอย่างอ่อนน้อม พร้อมกับยินดีดูแลและช่วยเหลือกิจกรรมทางสังคมกับชุมชนโดยรอบ

พลังของศิลปะในการเปลี่ยนแปลงสังคม

เมื่อถูกถามถึงพลังของศิลปะในการสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกต่อผู้คนและสังคม พุทธรักษ์มองว่างานศิลปะในพื้นที่สาธารณะมีบทบาทสำคัญในการเชื่อมโยงและสร้างความเข้าใจระหว่างคนในชุมชน การที่ผู้คนได้เห็นเรื่องราวของตนเองถูกสะท้อนผ่านงานศิลปะ ทำให้เกิดความภูมิใจและความรู้สึกเป็นเจ้าของร่วมกัน

มากกว่านั้น งานศิลปะยังเป็นสื่อกลางในการถ่ายทอดเรื่องราว ประวัติศาสตร์ และภูมิปัญญาท้องถิ่นให้คนรุ่นใหม่ได้รับรู้และสืบทอดต่อไป เช่นเดียวกับการนำเรื่องราวของแมงสี่หูห้าตาจากตำนานล้านนามาสู่สายตาของคนรุ่นใหม่ในรูปแบบที่ทันสมัยและเข้าถึงได้ง่าย

ความฝันและเป้าหมายในอนาคต

พุทธรักษ์มีเป้าหมายที่ชัดเจนในการพัฒนาตัวเองและงานศิลปะ เธอกำลังเตรียมตัวและเก็บรวบรวมผลงานเพื่อจัดแสดงเดี่ยวที่ต่างประเทศ ซึ่งเป็นความฝันที่เธอหวังจะทำให้เป็นจริงในอนาคตอันใกล้

ในขณะเดียวกัน เธอยังคงสร้างสรรค์ผลงานอย่างต่อเนื่อง ไม่หยุดนิ่ง และมุ่งมั่นที่จะพัฒนาทักษะและเทคนิคของตนเองให้ดีขึ้นเรื่อยๆ

ข้อคิดสำหรับคนที่อยากก้าวเข้าสู่เส้นทางศิลปะ

สำหรับใครที่กำลังคิดจะเริ่มต้นหรือพัฒนาตนเองบนเส้นทางศิลปะ พุทธรักษ์มีข้อแนะนำที่มาจากประสบการณ์จริง เธอเชื่อมั่นว่าการทำงานด้านศิลปะ (Fine Art) สามารถเป็นอาชีพได้ สามารถหล่อเลี้ยงทางใจและทางกายให้เราไม่ต่างกันกับสายอาชีพอื่นๆเลย

“ในทางความสุนทรีย์ภายในจิตใจ จึงส่งผลมาสู่ทางกระบวนการการใช้ชีวิต ระบบการทำงาน เรารู้ว่าเรารัก เราชอบ และถนัดในด้านใด มีเป้าหมายและมุ่งมั่นทำอย่างจริงจังและต่อเนื่องไปเรื่อยๆ ไม่ท้อถอย หาความรู้ ศึกษาและฝึกฝนตัวเองอยู่เสมอ” เธอแนะนำ

เมื่อศิลปะกลายเป็นสะพานเชื่อมโลก

โครงการ 7-Eleven Art Gallery และผลงาน “The Wonderland” ของพุทธรักษ์ ดาษดา เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่าศิลปะมีพลังในการเปลี่ยนแปลงพื้นที่และสร้างความหมายใหม่ให้กับสิ่งที่เราคุ้นเคย ร้านสะดวกซื้อที่เคยเป็นแค่จุดซื้อของใช้ประจำวัน กลายเป็นจุดหมายปลายทางที่คนอยากแวะไปชม เป็นแลนด์มาร์คที่สร้างความภูมิใจให้กับชุมชน และเป็นพื้นที่ที่เชื่อมโยงอดีต ปัจจุบันน และอนาคตเข้าด้วยกัน

การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงแค่ในเชียงราย แต่เป็นส่วนหนึ่งของกระแสโลกที่กำลังให้ความสำคัญกับการนำศิลปะมาใช้ในพื้นที่สาธารณะ เพื่อสร้างคุณค่าทางสังคมและวัฒนธรรม มากกว่าการมองเพียงแค่ผลกำไรทางธุรกิจ

ผลงานของพุทธรักษ์แสดงให้เห็นว่าศิลปินรุ่นใหม่ของไทยมีความสะามารถและวิสัยทัศน์ที่จะสร้างงานศิลปะที่มีคุณค่าทั้งในด้านความงามและความหมายทางสังคม โดยไม่สูญเสียเอกลักษณ์ท้องถิ่นหรือความเป็นไทย

เรื่องราวนี้เป็นแรงบันดาลใจให้เราทุกคนได้เห็นว่า ศิลปะไม่ใช่สิ่งที่อยู่ห่างไกลหรือเข้าถึงได้ยาก แต่สามารถอยู่ร่วมกับเราในชีวิตประจำวันได้อย่างกลมกลืน และที่สำคัญคือ ศิลปะมีพลังในการสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกที่แท้จริงต่อสังคมและชุมชนของเรา

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักข่าว นครเชียงรายนิวส์
  • ขัวศิลปะเชียงราย (พิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัยเมืองเชียงราย)
  • ซีพี ออลล์
  • การสัมภาษณ์พิเศษกับ พุทธรักษ์ ดาษดา ศิลปินผู้สร้างสรรค์ผลงาน “The Wonderland”
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

เชียงรายชู Soft Power อาหาร! ดัน ‘แกงแค-ข้าวแรมฟืน’ สู่เวทีโลก

เชียงรายเดินหน้าคัดเลือกเมนูอาหารถิ่น สืบสานภูมิปัญญาท้องถิ่นสู่เวที “รสชาติ…ที่หายไป The Lost Taste” ต่อยอดสู่มรดกทางวัฒนธรรมไทย

เชียงราย, 12 มิถุนายน 2568 – ในยุคที่โลกเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและค่านิยมการบริโภคอาหารมีแนวโน้มถูกกลืนไปกับกระแสวัฒนธรรมสมัยใหม่ จังหวัดเชียงรายจึงได้เดินหน้านโยบายสำคัญในการอนุรักษ์และส่งเสริมอาหารถิ่นดั้งเดิม ด้วยการจัดประชุมคณะกรรมการคัดเลือกเมนูอาหารถิ่นประจำจังหวัด ณ ห้องประชุมเวียงกาหลง ชั้น 3 ศาลากลางจังหวัดเชียงราย เพื่อเฟ้นหาสุดยอดเมนูแห่งเอกลักษณ์เข้าสู่เวทีประกวด “รสชาติ…ที่หายไป The Lost Taste” ประจำปี 2568

เวทีแห่งความร่วมมือขับเคลื่อนวัฒนธรรม

การประชุมครั้งนี้ได้รับเกียรติจากนายนรศักดิ์ สุขสมบูรณ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธาน พร้อมด้วยนางสินีนาฏ ทองสุข นายกเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงราย และคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจากหลากหลายภาคส่วนทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และเครือข่ายชุมชน เข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง สะท้อนถึงความตื่นตัวในการอนุรักษ์ภูมิปัญญาอาหารท้องถิ่นให้อยู่คู่สังคมไทย

โดยสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงรายได้ร่วมขับเคลื่อนโครงการ “รสชาติ…ที่หายไป The Lost Taste” ภายใต้แนวคิด Thailand Best Local Food มุ่งเน้นการอนุรักษ์ ยกระดับ และสร้างความรู้ให้กับคนรุ่นใหม่ถึงคุณค่าทางวัฒนธรรมของอาหารถิ่น พร้อมนำเสนอวิถีการกินแบบดั้งเดิมที่มีรากฐานจากวัตถุดิบและภูมิปัญญาท้องถิ่น

5 เมนูชูอัตลักษณ์ ต่อยอดเศรษฐกิจสร้างสรรค์

ที่ประชุมมีมติร่วมกันคัดเลือก 5 เมนูเด่นของเชียงราย แบ่งเป็นอาหารคาว อาหารว่าง และอาหารหวาน โดยทุกเมนูผ่านเกณฑ์ที่กรมส่งเสริมวัฒนธรรมกำหนดและสะท้อนเอกลักษณ์ของชาวเชียงราย ได้แก่

  • อาหารคาว: “แกงแคไก่เมือง” อาหารพื้นบ้านทรงคุณค่าทางสมุนไพร, “น้ำพริกถั่วเน่า” เมนูเด็ดแห่งแดนเหนือ และ “ผัดรากชูหมู” อาหารพื้นถิ่นที่หากินยาก
  • อาหารว่าง: “ข้าวแรมฟืน” เมนูสุดสร้างสรรค์จากถั่วลันเตา
  • อาหารหวาน: “ขนมปาด” ขนมโบราณที่กำลังจะเลือนหาย

การคัดเลือกเมนูเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงการอนุรักษ์สูตรอาหารดั้งเดิมเท่านั้น แต่ยังเป็นจุดเริ่มต้นในการต่อยอดเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ ด้วยการเน้นใช้วัตถุดิบท้องถิ่น ส่งเสริมสมุนไพรในชุมชน และสนับสนุนการพัฒนาสินค้าชุมชนในรูปแบบอาหารสร้างสรรค์ เพื่อเชื่อมโยงสู่การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม

“The Lost Taste” เวทีพลิกฟื้นมรดกอาหารถิ่นสู่สากล

โครงการ “รสชาติ…ที่หายไป The Lost Taste” ปี 2568 นี้ ดำเนินการโดยกรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม ร่วมกับเครือข่ายท้องถิ่นทั่วประเทศ มีเป้าหมายเพื่อคัดเลือกเมนูอาหารถิ่นจากแต่ละจังหวัด เหลือเพียง 3 เมนูเด่นระดับชาติ และจะเปิดให้ประชาชนทั่วประเทศร่วมโหวตเมนูที่โดดเด่นที่สุดผ่านระบบออนไลน์ เพื่อปลุกกระแสตระหนักรู้และส่งเสริมคุณค่าทางวัฒนธรรมให้กับอาหารถิ่นที่ใกล้สูญหาย

การสืบสานที่มีชีวิต – จากรุ่นสู่รุ่น

ความสำคัญของโครงการนี้ไม่เพียงเน้นการประกวด หากยังเป็นการสืบทอดค่านิยมการบริโภคอาหารไทยที่มีคุณค่าทางวัฒนธรรม ปลูกฝังให้คนรุ่นใหม่เห็นคุณค่าของรากเหง้าท้องถิ่น โดยเฉพาะในยุคที่อิทธิพลจากต่างชาติเข้ามามีบทบาท การผลักดันให้เมนูอาหารถิ่นกลับมาเป็นที่รู้จัก ถือเป็นทั้งภารกิจเชิงวัฒนธรรมและการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก

ก้าวต่อไปสู่เวทีระดับประเทศ

สำหรับ 5 เมนูของเชียงรายที่ผ่านการคัดเลือกในวันนี้ จะถูกนำเสนอให้กรมส่งเสริมวัฒนธรรมเพื่อคัดเลือกในระดับประเทศต่อไป ให้เหลือเพียง 3 เมนูเท่านั้น ซึ่งการโหวตจะเปิดให้ประชาชนทั่วประเทศร่วมลงคะแนนเลือกเมนูที่ชื่นชอบผ่านระบบออนไลน์ เป็นการสร้างการมีส่วนร่วมและสร้างแรงบันดาลใจในการอนุรักษ์อาหารถิ่นอย่างยั่งยืน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย (12 มิถุนายน 2568)
  • กรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม
  • ข่าวสารราชการ กระทรวงวัฒนธรรม
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

มนต์ขลังริมโขง อ.เชียงของ จัดพิธีไหว้เจ้าพ่อปลาบึก

เชียงของจัดยิ่งใหญ่ พิธีบวงสรวงเจ้าพ่อปลาบึก ประจำปี 2568 อนุรักษ์วัฒนธรรมพื้นบ้าน

เปิดฉากพิธีบวงสรวงเจ้าพ่อปลาบึก ประเพณีสำคัญของชาวเชียงของ

เชียงราย, 18 เมษายน 2568 – เวลา 09.00 น. ณ ลานโพธิ์หน้าวัดหาดไคร้ ตำบลเวียง อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย ได้มีการจัดพิธีบวงสรวงเจ้าพ่อปลาบึก ประจำปี 2568 โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่ออนุรักษ์และสืบทอดประเพณีท้องถิ่นที่มีคุณค่าทางวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์อันยาวนานของชาวเชียงของ

พิธีนี้ได้รับเกียรติจาก นายอุดม ปกป้องบวรกุล นายอำเภอเชียงของ เป็นผู้กล่าวต้อนรับผู้เข้าร่วมพิธี และได้รับเกียรติจาก นายมนตรี ชัยกิจวัฒนะ หัวหน้ากลุ่มบริหารจัดการด้านการประมง ผู้แทนประมงจังหวัดเชียงราย มาเป็นประธานในพิธีกล่าวเปิดงาน โดยมีนายทรงศักดิ์ เรืองศรีมั่น ปลัดเทศบาลตำบลเวียงเชียงของ ปฏิบัติหน้าที่นายกเทศมนตรีตำบลเวียงเชียงของ เป็นผู้กล่าวรายงานความสำคัญของงานครั้งนี้

ที่มาของประเพณีบวงสรวงเจ้าพ่อปลาบึก

การบวงสรวงเจ้าพ่อปลาบึก เป็นพิธีกรรมที่ชาวบ้านหาดไคร้ ตำบลเวียง อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย ได้ปฏิบัติสืบทอดกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษ เนื่องจากชาวบ้านมีความเชื่อว่าปลาบึกในแม่น้ำโขงเป็นปลาที่มีเทพเจ้าคอยคุ้มครองรักษา การที่จะสามารถจับปลาบึกได้สำเร็จนั้น จำเป็นต้องมีการทำพิธีขออนุญาตต่อเทพเจ้าที่คุ้มครองปลา และปลุกขวัญแม่ย่านางเรือให้มีอานุภาพแกร่งกล้าเสียก่อน

แม้ปัจจุบันชาวบ้านจะไม่ได้มีการล่าปลาบึกแล้ว เนื่องจากการอนุรักษ์สายพันธุ์ปลาและความเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อม แต่ประเพณีบวงสรวงเจ้าพ่อปลาบึกยังคงถูกจัดขึ้นทุกปีอย่างต่อเนื่อง เพื่อรักษาขนบธรรมเนียมประเพณีที่ดีงามของหมู่บ้านที่สืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น และแสดงออกถึงความกตัญญูต่อเทพเจ้าที่เชื่อว่าปกปักษ์รักษาชุมชนให้อยู่ดีมีสุข

กิจกรรมสำคัญในงานพิธีบวงสรวง

ภายในงานครั้งนี้ มีกิจกรรมสำคัญหลายอย่าง ได้แก่ พิธีเลี้ยงลวงหรือบวงสรวงเจ้าพ่อปลาบึก พิธีฟ้อนบวงสรวง การแสดงทางวัฒนธรรมของชาวบ้านที่มีความวิจิตรงดงาม และสร้างความประทับใจแก่ผู้ร่วมงานเป็นอย่างมาก

นอกจากนี้ยังมีพิธีมอบพันธุ์ปลาและพิธีปล่อยปลาลงสู่แม่น้ำโขง ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการอนุรักษ์พันธุ์ปลาในแม่น้ำโขง และส่งเสริมให้ประชาชนตระหนักถึงความสำคัญของการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ โดยได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากเทศบาลตำบลเวียงเชียงของ

การมีส่วนร่วมของประชาชนและหน่วยงานในท้องถิ่น

พิธีบวงสรวงเจ้าพ่อปลาบึกในครั้งนี้ได้รับความสนใจจากประชาชนบ้านหาดไคร้และชาวอำเภอเชียงของเป็นจำนวนมาก ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความสามัคคีของคนในชุมชน และความร่วมมือร่วมใจในการอนุรักษ์และสืบทอดประเพณีอันดีงามของท้องถิ่น

นายมนตรี ชัยกิจวัฒนะ ประธานในพิธี ได้กล่าวเน้นย้ำถึงความสำคัญของการรักษาประเพณีและการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติว่า “ประเพณีบวงสรวงเจ้าพ่อปลาบึกไม่เพียงแต่เป็นการแสดงความเคารพต่อเทพเจ้าที่คุ้มครองปลา แต่ยังเป็นเครื่องมือสำคัญในการปลูกฝังจิตสำนึกเรื่องการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้กับประชาชนในชุมชน”

จุดวิเคราะห์และข้อเสนอแนะในการสืบทอดประเพณี

จากการจัดงานในครั้งนี้ เห็นได้ชัดว่าชุมชนมีความตระหนักถึงความสำคัญของประเพณีดั้งเดิม แต่เพื่อให้ประเพณีนี้ดำรงอยู่ต่อไปอย่างยั่งยืน ควรมีการส่งเสริมให้คนรุ่นใหม่มีส่วนร่วมในการจัดกิจกรรมมากขึ้น รวมถึงการให้ความรู้เรื่องประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมท้องถิ่น ผ่านสื่อและช่องทางการเรียนรู้ต่างๆ เพื่อให้ประเพณีดังกล่าวยังคงมีชีวิตชีวาและได้รับการสืบทอดอย่างมั่นคง

สถิติที่เกี่ยวข้องและแหล่งอ้างอิง

ข้อมูลจากกรมประมงระบุว่า ปลาบึกเป็นปลาน้ำจืดที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งพบมากในลุ่มแม่น้ำโขง โดยมีน้ำหนักเฉลี่ยประมาณ 150-250 กิโลกรัม และมีอายุเฉลี่ยประมาณ 50 ปี ปัจจุบันปลาบึกมีจำนวนลดลงมากจากเดิมกว่า 80% ในช่วง 50 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงและการประมงที่ขาดการควบคุม (ที่มา: กรมประมง, 2567)

ดังนั้น การจัดกิจกรรมปล่อยพันธุ์ปลาลงแม่น้ำโขง จึงเป็นมาตรการสำคัญในการอนุรักษ์พันธุ์ปลาบึกให้คงอยู่ และเป็นการกระตุ้นเตือนให้ประชาชนทุกภาคส่วนตระหนักถึงความสำคัญของการดูแลทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • กรมประมง
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

ศิลปินเชียงรายผนึกสิบสองปันนา สร้างสัมพันธ์ผ่านงานศิลปะ

ศิลปินเชียงรายร่วมสร้างสรรค์งานศิลปะกระชับสัมพันธ์กับศิลปินสิบสองปันนา

เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2568 ศิลปินไทยจากสมาคมขัวศิลปะเชียงรายได้เดินทางไปยังเขตปกครองตนเองสิบสองปันนา มณฑลยูนนาน สาธารณรัฐประชาชนจีน เพื่อศึกษาดูงานและร่วมสร้างสรรค์ผลงานจิตรกรรมร่วมกับกลุ่มศิลปินสิบสองปันนา โดยกิจกรรมในครั้งนี้มุ่งเน้นการแลกเปลี่ยนความรู้ด้านศิลปะ วัฒนธรรม และพระพุทธศาสนาระหว่างสองเมือง นับเป็นก้าวสำคัญในการกระชับความสัมพันธ์ระหว่างศิลปินทั้งสองประเทศให้แน่นแฟ้นและยั่งยืน

กิจกรรมสร้างสรรค์และแลกเปลี่ยนความรู้

คณะศิลปินไทยนำโดยสุวิทย์ ใจป้อม ประธานสมาคมขัวศิลปะเชียงราย พร้อมด้วยศิลปินทรงเดช ทิพย์ทอง, เสงี่ยม ยารังษี, พิชิต สิทธิวงศ์, กำธร สีฟ้า และคณะรวม 12 คน ได้ร่วมกับศิลปินสิบสองปันนาในการวาดภาพสถาปัตยกรรมอันโดดเด่น เช่น วัดไทยลื้อ หมู่บ้านชาวไทยลื้อบ้านหัวนา และแหล่งท่องเที่ยวสำคัญในพื้นที่สิบสองปันนา

การแลกเปลี่ยนในครั้งนี้ไม่เพียงเป็นการสร้างผลงานศิลปะ แต่ยังเป็นการแบ่งปันความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ ความเชื่อ และวิถีชีวิตของชาวไทยลื้อ ซึ่งสะท้อนผ่านงานจิตรกรรมที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว โดยผลงานเหล่านี้จะถูกนำมาจัดแสดงในนิทรรศการศิลปะเพื่อประชาสัมพันธ์ความงดงามของวัฒนธรรมท้องถิ่นในทั้งสองประเทศ

กระชับความสัมพันธ์เมืองพี่เมืองน้อง

นายสุวิทย์ ใจป้อม กล่าวว่าศิลปินจากเขตปกครองตนเองสิบสองปันนาและเชียงรายมีความสัมพันธ์กันมาอย่างยาวนานผ่านการแลกเปลี่ยนศิลปะและวัฒนธรรม รวมถึงการศึกษาในด้านพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของความสัมพันธ์ระหว่างสองเมือง

ในครั้งนี้ ศิลปินสิบสองปันนาได้แสดงความยินดีและตั้งใจอย่างยิ่งที่จะเดินทางมายังจังหวัดเชียงรายในอนาคตเพื่อตอบแทนการต้อนรับที่อบอุ่นและมิตรภาพอันดีจากศิลปินไทย การแลกเปลี่ยนนี้ยังเป็นโอกาสที่ดีในการแสดงผลงานศิลปะจากทั้งสองประเทศให้ผู้คนได้ชื่นชม พร้อมทั้งเรียนรู้วิถีชีวิตและวัฒนธรรมของกันและกัน

เชื่อมโยงศิลปะ วัฒนธรรม และการศึกษา

ในฐานะตัวแทนศิลปินไทย นายสุวิทย์ ใจป้อม ยังได้เชิญชวนให้ศิลปินจากสิบสองปันนาเยือนจังหวัดเชียงรายเพื่อร่วมงานด้านศิลปะและวัฒนธรรม โดยไทยพร้อมให้การต้อนรับและจัดกิจกรรมเพื่อสานสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น

กิจกรรมในครั้งนี้สะท้อนถึงความตั้งใจของศิลปินทั้งสองฝ่ายในการใช้ศิลปะเป็นสื่อกลางเพื่อกระชับความสัมพันธ์และแลกเปลี่ยนความรู้ระหว่างกันอย่างยั่งยืน

การเดินหน้าความสัมพันธ์ในอนาคต

ความสัมพันธ์ระหว่างศิลปินไทยและศิลปินสิบสองปันนาจะยังคงดำเนินต่อไปผ่านกิจกรรมแลกเปลี่ยนต่างๆ ในอนาคต อันเป็นโอกาสสำคัญในการสร้างสรรค์ผลงานที่ไม่เพียงแสดงถึงความงดงามของศิลปะ แต่ยังแสดงถึงพลังแห่งความร่วมมือระหว่างสองวัฒนธรรม

กิจกรรมดังกล่าวช่วยส่งเสริมชื่อเสียงของจังหวัดเชียงรายและเขตปกครองตนเองสิบสองปันนาให้เป็นที่รู้จักในระดับสากล และตอกย้ำถึงความสำคัญของศิลปะในฐานะสะพานเชื่อมโยงวัฒนธรรมและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สมาคมขัวศิลปะเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE