Categories
HEALTH

“วัยรุ่นท้องพุ่ง” อายุ 10-14 ปี ขอคำปรึกษาเพิ่ม รัฐเร่งแก้ปัญหา

ปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นไทยพุ่งสูง รัฐเร่งดำเนินมาตรการป้องกัน

อัตราการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นไทยเพิ่มขึ้น เกินมาตรฐานสากลของ UN

กรุงเทพฯ, 3 มีนาคม 2568 – นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยข้อมูลจาก กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข เกี่ยวกับ ปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นไทยในปี 2567 โดยพบว่า อัตราการคลอดบุตรในช่วงอายุ 10 – 14 ปี เพิ่มขึ้นเป็น 0.93 ต่อพันคน ซึ่งสูงกว่าปี 2566 ที่อยู่ที่ 0.77 ต่อพันคน และเกินกว่าเป้าหมายของ องค์การสหประชาชาติ (UN) ที่กำหนดไว้ไม่เกิน 0.7 ต่อพันคน

ยอดขอคำปรึกษาเรื่องตั้งครรภ์ไม่พร้อมเพิ่มขึ้น

ข้อมูลจาก DOH Dashboard ระบุว่า ในปี 2567 มีวัยรุ่นอายุ 10 – 14 ปี ขอรับคำปรึกษาเกี่ยวกับการตั้งครรภ์ไม่พร้อม ผ่านช่องทางออนไลน์และสายด่วน รวม 46,893 ราย หรือเฉลี่ย 128 รายต่อวัน ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปี 2566 ที่มีจำนวน 44,574 ราย

สาเหตุหลักของการตั้งครรภ์ไม่พร้อมในวัยรุ่น

จากการวิเคราะห์ข้อมูลพบว่าสาเหตุหลักของปัญหานี้ประกอบด้วย:

  1. ขาดความรู้และความเข้าใจเรื่องเพศศึกษา – วัยรุ่นจำนวนมากไม่ได้รับความรู้เกี่ยวกับการคุมกำเนิดอย่างถูกต้อง ทำให้ไม่สามารถป้องกันตนเองได้
  2. การถูกล่วงละเมิดทางเพศ – เป็นปัจจัยสำคัญที่ต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน เนื่องจากเด็กหญิงวัยต่ำกว่า 15 ปี จำนวนไม่น้อยถูกล่วงละเมิดทางเพศโดยคนใกล้ชิด
  3. ขาดแหล่งให้คำปรึกษาที่เข้าถึงได้ง่าย – แม้ว่าจะมีสายด่วน 1663 และช่องทางออนไลน์ แต่ยังมีเด็กหญิงจำนวนมากที่ไม่รู้ว่าตนเองสามารถขอความช่วยเหลือได้จากช่องทางเหล่านี้

มาตรการเร่งด่วนของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหา

เพื่อลดอัตราการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น รัฐบาลได้ดำเนินมาตรการเร่งด่วน ดังนี้:

  1. ให้ความรู้เรื่องเพศศึกษาเชิงรุกในโรงเรียนและครอบครัว – สนับสนุนให้โรงเรียนสอนเพศศึกษาอย่างครอบคลุมและส่งเสริมให้พ่อแม่ให้ความรู้กับบุตรหลาน
  2. ขยายช่องทางให้คำปรึกษาที่เข้าถึงง่าย – เปิดช่องทางออนไลน์และโซเชียลมีเดียให้วัยรุ่นสามารถขอคำปรึกษาได้อย่างสะดวก
  3. ส่งเสริมการใช้ถุงยางอนามัยและยาคุมกำเนิด – กระจายถุงยางอนามัยและยาคุมกำเนิดให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น
  4. พัฒนาโครงการช่วยเหลือแม่วัยใส – สนับสนุนให้แม่วัยรุ่นสามารถศึกษาต่อและเข้าถึงโอกาสทางอาชีพ

ข้อคิดเห็นจากทั้งสองมุมมอง

  • ฝ่ายสนับสนุนมาตรการของรัฐ มองว่ามาตรการป้องกันและให้ความรู้เชิงรุกเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อช่วยลดอัตราการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น และสนับสนุนให้เด็กหญิงที่ตั้งครรภ์ไม่พร้อมสามารถเข้าถึงโอกาสทางการศึกษาและอาชีพ
  • ฝ่ายที่กังวล ตั้งข้อสังเกตว่าปัญหาหลักยังคงอยู่ที่ โครงสร้างสังคมและการล่วงละเมิดทางเพศ ซึ่งต้องการการแก้ไขในเชิงลึกมากกว่าการให้ความรู้และการแจกอุปกรณ์ป้องกันเพียงอย่างเดียว

สถิติที่เกี่ยวข้องกับข่าว

จากข้อมูลของ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข และองค์การสหประชาชาติ (UN) พบว่า:

  • อัตราการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นไทยอายุ 10 – 14 ปี ในปี 2567 เพิ่มขึ้นเป็น 0.93 ต่อพันคน เกินเป้าหมายของ UN ที่กำหนดไว้ไม่เกิน 0.7 ต่อพันคน
  • จำนวนวัยรุ่นที่ขอคำปรึกษาเรื่องตั้งครรภ์ไม่พร้อมเพิ่มขึ้นเป็น 46,893 รายในปี 2567 หรือเฉลี่ย 128 รายต่อวัน
  • เด็กหญิงวัยต่ำกว่า 15 ปี จำนวนมากเป็นเหยื่อของการล่วงละเมิดทางเพศ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญของการตั้งครรภ์ไม่พร้อม
  • UN ระบุว่า ประเทศที่มีอัตราการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นต่ำที่สุดมักมีการให้ความรู้เรื่องเพศศึกษาตั้งแต่อายุยังน้อยและเปิดโอกาสให้วัยรุ่นเข้าถึงบริการอนามัยการเจริญพันธุ์ได้ง่าย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข / องค์การสหประชาชาติ (UN) / DOH Dashboard

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
MOST POPULAR
FOLLOW ME
Categories
NEWS UPDATE

ให้คะแนนรัฐบาล ‘นิด้าโพล’ เผย 6 เดือน “แพทองธาร” ทำงาน

นิด้าโพลเผยผลสำรวจ 6 เดือนรัฐบาลแพทองธาร ประชาชนพอใจบางนโยบายแต่ยังมีข้อกังวล

ประชาชนให้คะแนนรัฐบาลครบรอบ 6 เดือน – การทำงานของแต่ละกระทรวงแตกต่างกัน

เชียงราย, 2 มีนาคม 2568 – ศูนย์สำรวจความคิดเห็น นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นประชาชนเกี่ยวกับผลงานของ รัฐบาลภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร หลังดำรงตำแหน่งครบ 6 เดือน โดยทำการสำรวจระหว่างวันที่ 24-26 กุมภาพันธ์ 2568 จากกลุ่มตัวอย่างประชาชนอายุ 18 ปีขึ้นไปทั่วประเทศ รวมจำนวน 1,310 คน

การสำรวจใช้วิธีสุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน (Multi-stage Sampling) และเก็บข้อมูลผ่านการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ โดยมีค่าความเชื่อมั่นที่ ร้อยละ 97.0 ผลสำรวจสะท้อนความคิดเห็นของประชาชนต่อรัฐบาล รวมถึงการทำงานของกระทรวงต่าง ๆ ในช่วงครึ่งปีแรกของรัฐบาล

ความพึงพอใจต่อภาพรวมการทำงานของรัฐบาล

จากผลสำรวจ 34.58% ของประชาชนระบุว่าไม่ค่อยพอใจ กับการทำงานของรัฐบาล รองลงมา 32.60% ค่อนข้างพอใจ, 20.00% ไม่พอใจเลย และ 12.82% พอใจมาก สะท้อนให้เห็นว่าแม้ประชาชนบางส่วนจะเห็นว่านโยบายบางด้านมีความก้าวหน้า แต่ยังมีข้อกังวลในบางประเด็น

เมื่อถามถึงความพึงพอใจต่อ การทำงานของนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตรโดยตรง พบว่า 32.60% ของประชาชนไม่ค่อยพอใจ, 31.76% ค่อนข้างพอใจ, 22.28% ไม่พอใจเลย และ 13.36% พอใจมาก แสดงให้เห็นว่าความคิดเห็นของประชาชนต่อผลงานนายกรัฐมนตรีมีทั้งบวกและลบอย่างสมดุล

ความเชื่อมั่นต่อรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาประเทศ

  • 36.41% ของประชาชนระบุว่าไม่ค่อยเชื่อมั่น
  • 26.26% ไม่เชื่อมั่นเลย
  • 25.04% ค่อนข้างเชื่อมั่น
  • 12.29% เชื่อมั่นมาก

แสดงให้เห็นว่าประชาชนยังมีความกังวลเกี่ยวกับแนวทางการแก้ปัญหาประเทศของรัฐบาล แม้ว่าจะมีบางส่วนที่ให้การสนับสนุน

การประเมินผลงานของแต่ละกระทรวง

เมื่อแยกผลสำรวจตาม กระทรวงหลัก ๆ พบว่าประชาชนมีความคิดเห็นที่หลากหลาย โดยมีคะแนนพอใจและไม่พอใจที่แตกต่างกัน

กระทรวงที่ได้รับคะแนนค่อนข้างดี

  1. กระทรวงสาธารณสุข
    • ค่อนข้างพอใจ: 32.45%
    • พอใจมาก: 17.02%
    • ไม่ค่อยพอใจ: 29.16%
    • ไม่พอใจเลย: 19.08%
    • ไม่มีข้อมูล: 2.29%
  2. กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
    • ค่อนข้างพอใจ: 32.14%
    • พอใจมาก: 15.04%
    • ไม่ค่อยพอใจ: 27.25%
    • ไม่พอใจเลย: 17.02%
    • ไม่มีข้อมูล: 8.55%
  1. กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
    • ค่อนข้างพอใจ: 33.44%
    • พอใจมาก: 10.76%
    • ไม่ค่อยพอใจ: 31.00%
    • ไม่พอใจเลย: 19.69%
    • ไม่มีข้อมูล: 5.11%

กระทรวงที่ได้รับคะแนนต่ำ

  1. กระทรวงมหาดไทย
    • ไม่ค่อยพอใจ: 36.03%
    • ไม่พอใจเลย: 24.27%
    • ค่อนข้างพอใจ: 26.26%
    • พอใจมาก: 11.91%
    • ไม่มีข้อมูล: 1.53%
  2. กระทรวงกลาโหม
    • ไม่ค่อยพอใจ: 36.56%
    • ไม่พอใจเลย: 21.60%
    • ค่อนข้างพอใจ: 28.63%
    • พอใจมาก: 10.31%
    • ไม่มีข้อมูล: 2.90%
  3. กระทรวงพาณิชย์
    • ไม่ค่อยพอใจ: 35.95%
    • ไม่พอใจเลย: 26.49%
    • ค่อนข้างพอใจ: 25.80%
    • พอใจมาก: 9.39%
    • ไม่มีข้อมูล: 2.37%

ข้อคิดเห็นจากสองมุมมอง

  • ฝ่ายที่สนับสนุนรัฐบาล: เห็นว่ารัฐบาลภายใต้การนำของแพทองธาร ชินวัตร ได้ดำเนินนโยบายหลายด้านที่เป็นประโยชน์ โดยเฉพาะด้านสาธารณสุข การท่องเที่ยว และสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ยังมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่อาจส่งผลดีในระยะยาว
  • ฝ่ายที่วิพากษ์วิจารณ์: มีข้อกังวลเกี่ยวกับความสามารถในการบริหารจัดการของรัฐบาล โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจและความมั่นคง นอกจากนี้ยังมีเสียงสะท้อนว่ารัฐบาลยังต้องเร่งแก้ไขปัญหาปากท้องและการบริหารงบประมาณให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

สถิติที่เกี่ยวข้องกับข่าว

จากข้อมูลของ นิด้าโพล และ สำนักงานสถิติแห่งชาติ พบว่า:

  • ในช่วง 6 เดือนแรกของรัฐบาล แพทองธาร ชินวัตร มีการออกนโยบายใหม่กว่า 50 ฉบับ
  • อัตราความเชื่อมั่นของประชาชนต่อรัฐบาลในช่วงครึ่งปีแรกอยู่ที่ 37.3%
  • กระทรวงที่ได้รับคะแนนความพึงพอใจสูงสุด ได้แก่ กระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
  • กระทรวงที่ได้รับคะแนนความพึงพอใจต่ำสุด ได้แก่ กระทรวงมหาดไทยและกระทรวงกลาโหม

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : นิด้าโพล / สำนักงานสถิติแห่งชาติ / สำนักวิจัยเศรษฐกิจและสังคม

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
TOP STORIES

นายกฯ ลุยสระแก้ว! ปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ “ไม่จบไม่เลิก”

นายกฯ ย้ำเดินหน้าปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ “ไม่จบ ไม่เลิก” ลงพื้นที่ชายแดนสระแก้ว

ตรวจด่านคลองลึก อรัญประเทศ ติดตามมาตรการสกัดอาชญากรรมข้ามชาติ

กรุงเทพฯ, 27 กุมภาพันธ์ 2568 – นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เตรียมลงพื้นที่ ด่านคลองลึก อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว ตรงข้ามกับบ้านปอยเปต ประเทศกัมพูชา ในวันศุกร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ 2568 เพื่อตรวจสอบมาตรการปราบปราม แก๊งคอลเซ็นเตอร์และอาชญากรรมออนไลน์ พร้อมร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านในการสกัดกั้นปัญหาให้หมดไปจากสังคมไทย

ผู้นำรัฐบาลพร้อมคณะลงพื้นที่ หารือมาตรการสกัดอาชญากรรมข้ามแดน

นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรีจะเดินทางพร้อมคณะรัฐมนตรีและผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ อาทิ:

  • นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
  • นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
  • นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
  • นายสรวงศ์ เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
  • พลตำรวจเอก กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ

โดยนายกรัฐมนตรีจะประชุมหารือที่ กองทัพบก ร.12 พัน.3 รอ. ใน อ.อรัญประเทศ เพื่อติดตามความคืบหน้าการดำเนินมาตรการและเยี่ยมชมศูนย์คัดแยกเหยื่อขบวนการคอลเซ็นเตอร์

เดินหน้าปิดช่องทางอาชญากรรม ดำเนินมาตรการเข้มงวด

ภายหลังจากการประชุม นายกรัฐมนตรีจะเดินทางไป ด่านพรมแดนบ้านคลองลึก ตรวจสอบมาตรการที่รัฐบาลมีคำสั่งให้ งดส่งน้ำมันเชื้อเพลิงและตัดกระแสไฟฟ้าในพื้นที่ชายแดน ทั้งฝั่งตะวันตกและฝั่งตะวันออกของประเทศ เพื่อลดการสนับสนุนกิจกรรมผิดกฎหมายของกลุ่มอาชญากรรมข้ามชาติ

ต่อจากนั้น นายกรัฐมนตรีจะลงพื้นที่ ตลาดเบญจวรรณ อ.อรัญประเทศ เพื่อตรวจสอบการลดกำลังส่งสัญญาณการสื่อสาร และมาตรการ ตัดสายสัญญาณโทรศัพท์และอินเทอร์เน็ต ในบริเวณสถานีรถไฟคลองลึก ซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญของขบวนการคอลเซ็นเตอร์ข้ามชาติ

ไม่จบ ไม่เลิก” นายกฯ ยืนยันมาตรการต้องเข้มข้นจนกว่าปัญหาจะหมดไป

นายกรัฐมนตรีเน้นย้ำว่า มาตรการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์จะดำเนินต่อไปอย่างเข้มข้น จนกว่าปัญหาจะหมดสิ้นไปจากสังคมไทย “รัฐบาลไทยจะไม่ยอมให้ขบวนการคอลเซ็นเตอร์หรือรูปแบบการหลอกลวงใด ๆ กลับมาแผ่ขยายในประเทศอีก” นายจิรายุ กล่าว

สถิติและข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับอาชญากรรมออนไลน์

  • ปี 2567 มีการร้องเรียนเกี่ยวกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์มากกว่า 300,000 รายการ
  • ความเสียหายจากการฉ้อโกงทางโทรศัพท์และออนไลน์สูงถึง 12,000 ล้านบาท
  • รัฐบาลสั่งตัดไฟฟ้าและสัญญาณโทรศัพท์ในพื้นที่เป้าหมายกว่า 50 จุดทั่วประเทศ
  • มีการจับกุมผู้ต้องหาเกี่ยวข้องกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์กว่า 2,500 รายในปีที่ผ่านมา

นายกรัฐมนตรีและทีมงานคาดหวังว่าการดำเนินมาตรการในครั้งนี้จะสามารถลดจำนวนอาชญากรรมข้ามชาติ และฟื้นฟูความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยในสังคมไทยในระยะยาว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
SOCIETY & POLITICS

‘สมศักดิ์’ โต้ 9 หมื่นล้าน ค่ารักษาต่างด้าว ตัวเลขคลาดเคลื่อน

สภาพัฒน์เผย ไทยจ่ายค่ารักษาพยาบาลคนต่างด้าว 9.2 หมื่นล้านบาท กระทบหนักพื้นที่ชายแดน

ค่าใช้จ่ายพุ่งสูง แพทย์ชายแดนรับภาระหนัก

ตาก, 26 กุมภาพันธ์ 2568 – สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยรายงานภาวะสังคมไทยไตรมาส 4 และภาพรวมปี 2567 พบว่า ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพที่เรียกเก็บไม่ได้จากคนต่างด้าวสูงถึง 9.2 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2565 ถึง 8.2 เท่า โดยกว่าร้อยละ 81.1 มาจากพื้นที่ชายแดนไทย-เมียนมา โดยเฉพาะจังหวัดตาก

เหตุผลที่ไทยต้องแบกรับภาระค่ารักษาพยาบาล

จากข้อมูลเชิงลึกของหน่วยบริการสาธารณสุขในจังหวัดตาก พบปัจจัยสำคัญที่ทำให้คนต่างด้าวเข้ามารับการรักษาในไทย ได้แก่:

  1. ขาดแคลนสถานพยาบาลในเมียนมา ส่งผลให้ผู้ป่วยต้องข้ามแดนเข้ามารับการรักษา โดยส่วนใหญ่มักมีอาการป่วยหนักและไม่สามารถชำระค่ารักษาได้
  2. กลุ่มคนไร้สัญชาติที่เกิดในไทย แต่ไม่ได้รับสิทธิรักษาภายใต้กองทุน ท.99 ทำให้ต้องพึ่งพาสาธารณสุขของไทย
  3. โรงพยาบาลชายแดนต้องรับมือกับโรคติดต่อร้ายแรง แพทย์ชายแดนต้องให้บริการตรวจรักษาในประเทศเพื่อนบ้านเพื่อลดความเสี่ยงของการแพร่ระบาดในไทย

ผลกระทบต่อระบบสาธารณสุขไทย

  • บุคลากรทางการแพทย์ขาดแคลน ทำให้การให้บริการล่าช้าและมีภาระงานหนักขึ้น
  • งบประมาณโรงพยาบาลตึงตัว ต้องรองรับภาระค่าใช้จ่ายโดยไม่ได้รับการชดเชยเต็มจำนวน
  • การแพร่ระบาดของโรคติดต่อในพื้นที่ชายแดน สร้างความกังวลด้านสาธารณสุข

รัฐมนตรีสาธารณสุขแจงตัวเลข สศช. คลาดเคลื่อน

เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2568 ที่กระทรวงสาธารณสุข นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ชี้แจงว่าตัวเลขค่าใช้จ่ายค่ารักษาพยาบาลคนต่างด้าวที่ สศช. รายงานว่า 9.2 หมื่นล้านบาท เป็นข้อมูลที่คลาดเคลื่อน และไม่สามารถเกิดขึ้นได้จริง โดยงบประมาณหลักประกันสุขภาพรวมต่อปีอยู่ที่ประมาณ 1.5 แสนล้านบาท ดังนั้นการที่ค่ารักษาคนต่างด้าวจะสูงถึง 9 หมื่นล้านบาทเป็นไปไม่ได้

“ตัวเลขที่แท้จริงอยู่ที่ประมาณ 2,050 ล้านบาท ซึ่งลดลงจากปีก่อนประมาณ 500 ล้านบาท โดยตัวเลขดังกล่าวยังต้องมีการตรวจสอบเพิ่มเติม” นายสมศักดิ์กล่าว

แนวทางแก้ไขปัญหาสาธารณสุขชายแดน

  1. การจัดสรรงบประมาณให้เหมาะสม เพื่อให้โรงพยาบาลชายแดนสามารถให้บริการได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  2. ยกระดับมาตรฐานการสาธารณสุขชายแดน โดยประสานงานกับหน่วยงานในประเทศและองค์กรต่างชาติ
  3. เร่งพิสูจน์สิทธิของบุคคลไร้สถานะ เพื่อลดภาระของโรงพยาบาลในพื้นที่ชายแดน

สถิติและข้อมูลสำคัญที่เกี่ยวข้อง

  • ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของคนต่างด้าวที่เรียกเก็บไม่ได้ปี 2567 อยู่ที่ 2,050 ล้านบาท
  • งบประมาณที่ใช้รองรับคนต่างด้าวในโรงพยาบาลชายแดนลดลง 500 ล้านบาทจากปีก่อน
  • ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยในการรักษาคนต่างด้าวต่อคนต่ำกว่า 2,000 บาท
  • 81.1% ของค่าใช้จ่ายเกิดขึ้นในพื้นที่ชายแดนไทย-เมียนมา

นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวเพิ่มเติมว่า ตัวเลข 9.2 หมื่นล้านบาทที่เผยแพร่โดย สศช. ยังไม่ได้รับการตรวจสอบอย่างเป็นทางการ และอาจเกิดจากข้อผิดพลาดด้านการบันทึกข้อมูล เช่น การบันทึกค่ารักษาซ้ำซ้อนหรือคำนวณผิดพลาด

กระทรวงสาธารณสุขเตรียมประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ข้อมูลที่ถูกต้อง พร้อมเสนอแนวทางบริหารจัดการงบประมาณด้านสุขภาพให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

เตือนภัย มือถือติดแอปเงินกู้เถื่อน ‘จิราพร’ สั่งเร่งแก้ไข

รัฐมนตรีสำนักนายกฯ ถกด่วน! แนวทางป้องกันแอปเงินกู้เถื่อน ย้ำหน่วยงานต้องช่วยเหลือผู้บริโภคเต็มที่

กรุงเทพฯ, 26 กุมภาพันธ์ 2568 (Reuters) – นางสาวจิราพร สินธุไพร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมติดตามแนวทางการกำกับดูแลกรณี โทรศัพท์เคลื่อนที่ที่มีการติดตั้งแอปพลิเคชันกู้เงินเถื่อน โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุมเพื่อหาแนวทางป้องกันและแก้ไขปัญหาดังกล่าว

หน่วยงานภาครัฐเร่งแก้ไขปัญหาหลังพบผู้บริโภคได้รับผลกระทบ

การประชุมจัดขึ้นเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2568 เวลา 09.30 น. ณ ห้องประชุม 302 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม ได้แก่

  • สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.)
  • สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง
  • กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
  • ธนาคารแห่งประเทศไทย
  • สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
  • สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.)
  • สำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ
  • กองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (ปคบ.)

แอปพลิเคชันเงินกู้ผิดกฎหมายกระทบผู้บริโภคหลายราย

นางสาวจิราพร สินธุไพร เปิดเผยหลังการประชุมว่า มีประชาชนจำนวนมากได้รับความเดือดร้อนจากแอปพลิเคชันเงินกู้เถื่อน เช่น สินเชื่อความสุข” และ “Fineasy” ซึ่งมีการคิดดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด อีกทั้งยังพบว่ามีการ ติดตั้งแอปพลิเคชันเหล่านี้โดยไม่ได้รับอนุญาตบนโทรศัพท์มือถือของผู้ใช้บริการ

การประชุมวันนี้มุ่งเน้นการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นและป้องกันไม่ให้เกิดซ้ำอีก โดย สคบ. ได้รับมอบหมายให้เร่งดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ และธนาคารแห่งประเทศไทยจะรับผิดชอบดูแลด้านการปล่อยสินเชื่อผิดกฎหมาย” รัฐมนตรีกล่าว

มาตรการช่วยเหลือผู้บริโภคและแนวทางป้องกันในอนาคต

รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีระบุว่า สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ กำลังดำเนินการแก้ไขกฎหมายเพื่ออุดช่องโหว่ที่ปัจจุบันยังไม่มีหน่วยงานใดกำกับดูแลโดยตรง พร้อมกำหนดมาตรการเพิ่มเติมดังนี้

  1. การตรวจสอบและบล็อกแอปพลิเคชันเงินกู้เถื่อน – กระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมมือกับ กสทช. และผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือเพื่อตรวจสอบและลบแอปพลิเคชันที่ผิดกฎหมาย
  2. การดำเนินคดีต่อผู้ประกอบการที่ละเมิดกฎหมาย – ปคบ. และ สคบ. จะดำเนินคดีต่อผู้ให้บริการแอปพลิเคชันเงินกู้เถื่อนและผู้เกี่ยวข้อง
  3. การให้ความรู้แก่ประชาชน – หน่วยงานภาครัฐจะเพิ่มมาตรการประชาสัมพันธ์เพื่อให้ประชาชนรู้เท่าทันภัยจากแอปพลิเคชันเงินกู้เถื่อน

ช่องทางร้องเรียนสำหรับผู้ที่ได้รับความเสียหาย

ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากแอปพลิเคชันเงินกู้เถื่อนสามารถร้องเรียนผ่านช่องทางต่อไปนี้:

  1. ระบบออนไลน์
    • เว็บไซต์ https://complaint.ocpb.go.th
    • แอปพลิเคชัน OCPB Connect
    • Chat Bot พี่ปกป้อง”
  2. สายด่วน สคบ. โทร 1166
  3. เดินทางไปแจ้งเรื่องร้องเรียนด้วยตนเองที่
    • ศูนย์รับเรื่องร้องทุกข์ผู้บริโภค (ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษาฯ อาคารบี ชั้น 1 กรุงเทพฯ)
    • ศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดทุกจังหวัด
    • เทศบาลและองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.)

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  • จำนวนผู้ร้องเรียนกรณีแอปเงินกู้เถื่อนในปี 2567: 7,846 ราย (ที่มา: สคบ.)
  • แอปเงินกู้เถื่อนที่ถูกตรวจสอบและปิดไปในปี 2567: 58 แอปพลิเคชัน (ที่มา: กสทช.)
  • อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยของแอปเงินกู้เถื่อนที่พบ: 120 – 300% ต่อปี (ที่มา: ธนาคารแห่งประเทศไทย)
  • ยอดความเสียหายจากแอปเงินกู้เถื่อนในปี 2567: ประมาณ 650 ล้านบาท (ที่มา: สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง)
  • จำนวนผู้บริโภคที่ได้รับผลกระทบทางข้อมูลส่วนบุคคลจากแอปเงินกู้เถื่อน: มากกว่า 20,000 ราย (ที่มา: สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล)

หน่วยงานเร่งดำเนินการปกป้องผู้บริโภค

การประชุมครั้งนี้เป็น อีกก้าวสำคัญในการเร่งหามาตรการป้องกันและช่วยเหลือผู้บริโภคที่ได้รับผลกระทบจากแอปเงินกู้เถื่อน โดยรัฐบาลเน้นย้ำว่า จะดำเนินการอย่างจริงจังเพื่อปกป้องสิทธิของประชาชน และลดความเสี่ยงจากการถูกหลอกลวงทางการเงินในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
TOP STORIES

ชาวบ้านคัดค้านกฎหมายป่าใหม่ กระทบวิถีชีวิตรัฐบาลต้องฟังเสียง

ชาวบ้านรวมตัวคัดค้าน พ.ร.ฎ. ป่าอนุรักษ์กว่า 5,000 คน ชุมนุมศาลากลางเชียงใหม่

เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2567 ณ ศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่ ‘สมัชชาชุมชนคนอยู่กับป่า’ (สชป.) พร้อมชาวบ้านกว่า 5,000 คนรวมตัวแสดงพลังคัดค้านการออกพระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ.) โครงการอนุรักษ์และดูแลทรัพยากรธรรมชาติในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ โดยยื่นหนังสือเรียกร้องต่อ ประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี ผู้แทนนายกรัฐมนตรี เพื่อให้รัฐบาลพิจารณาแก้ไขปัญหาที่อาจส่งผลกระทบต่อประชาชนกว่า 1.8 ล้านคนที่อาศัยในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ทั่วประเทศ

ประเด็นปัญหาและข้อเรียกร้อง

นายวิชิต เมธาอนันต์กุล ผู้แทน สชป. ระบุว่า พ.ร.ฎ. ดังกล่าวมีข้อบัญญัติหลายมาตราที่กระทบสิทธิชุมชน เช่น

  • มาตรา 5: จำกัดการอยู่อาศัยในพื้นที่อนุรักษ์เพียง 20 ปี ขัดต่อวิถีชีวิตของชาวบ้าน
  • มาตรา 10: กำหนดพื้นที่ใช้ประโยชน์ครัวเรือนละไม่เกิน 40 ไร่
  • มาตรา 11: ผู้มีสิทธิต้องไม่มีที่ดินนอกเขตอุทยานฯ ส่งผลต่อครอบครัวที่มีที่ดินหลายแห่ง

ทั้งนี้ สชป. ได้เรียกร้องให้รัฐบาลดำเนินการ 4 ประการ ได้แก่

  1. ยุติการประกาศใช้ พ.ร.ฎ. ทั้งสองฉบับ
  2. จัดตั้งคณะทำงานรับฟังความคิดเห็นจากชุมชนในพื้นที่อนุรักษ์
  3. แก้ไข พ.ร.บ. ที่เกี่ยวข้อง โดยมีส่วนร่วมจากชุมชน
  4. ชะลอการประกาศพื้นที่อุทยานแห่งชาติและเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า 23 แห่ง

การเจรจาและผลสรุป

หลังการยื่นหนังสือ ผู้แทนรัฐบาล นำโดย ประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และคณะ ได้เจรจากับแกนนำผู้ชุมนุม โดยมีการจัดทำบันทึกข้อตกลงร่วมกัน ซึ่งรัฐบาลรับหลักการทั้ง 4 ข้อ และจะนำเสนอต่อนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีต่อไป

สมคิด เชื้อคง รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ชี้แจงว่า รัฐบาลตระหนักถึงปัญหาที่ชาวบ้านเผชิญ และพร้อมปรับปรุงแก้ไขกฎหมายให้สอดคล้องกับความต้องการของชุมชน

ปฏิกิริยาหลังเจรจา

หลังจากเจรจาเสร็จสิ้น แกนนำ สชป. ได้อ่านแถลงการณ์ยืนยันเจตนารมณ์และแจกบันทึกข้อตกลงแก่ผู้ชุมนุม พร้อมเรียกร้องให้ประชาชนในชุมชนติดตามและร่วมผลักดันการแก้ไขปัญหาอย่างต่อเนื่อง

จุดเริ่มต้นสำคัญ

การชุมนุมครั้งนี้นับเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของการขับเคลื่อนปัญหาสิทธิชุมชนในพื้นที่อนุรักษ์ โดยผู้แทน สชป. ได้เน้นย้ำให้ประชาชนร่วมมือกันต่อสู้เพื่อสิทธิและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ที่ได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : lannernews

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
SOCIETY & POLITICS

นายกฯ ยืนยันรัฐบาลทำดีที่สุดแล้ว หลังส่งพิจารณา ร่าง พ.ร.บ.เงินกู้ 5 แสนล้าน

 
 

9 ธันวาคม 2566 เวลา 11.00 น. ณ อำเภอท่ามะกา จังหวัดกาญจนบุรี นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังให้สัมภาษณ์ถึงโครงการเติมเงินดิจิทัล วอลเล็ต 10,000 บาทให้กับประชาชน ว่า ตามที่นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังได้กล่าวไปแล้วว่าได้ยื่นไปยังคณะกรรมการกฤษฎีกาให้พิจารณาร่าง พ.ร.บ.เงินกู้ 5 แสนล้านบาทแล้ว  ส่วนกฤษฎีกาจะส่งกลับมาภายในกี่วันนั้น ยังไม่ทราบยืนยันว่าทำดีที่สุดแล้ว ให้เหตุผลดีที่สุดแล้ว และไม่ต้องมีการใช้คำว่า ล็อบบี้กัน 

ส่วนเนื้อหาที่ส่งให้กฤษฎีกาตีความนั้น นายกฯ กล่าวว่า เป็นเรื่องที่เราได้พูดคุยกันอยู่ว่าเร่งด่วนจำเป็นหรือเปล่า ซึ่งเราให้ข้อมูลว่า เรามั่นใจเป็นเรื่องเร่งด่วนจำเป็นอย่างที่บอกเรื่องดิจิทัลวอลเล็ต  เรื่องการปรับหนี้นอกระบบเป็นการยกระดับ ไม่ใช่โยนภาระให้กับนายจ้างไปอย่างเดียว  ตนเองพยายามลดค่าใช้จ่ายที่ไม่เป็นธรรมให้กับพี่น้องประชาชนที่อยู่ชายขอบของสังคม หากดิจิทัลได้ออกมาใช้ในเดือนพฤษภาคมคิดดูว่าเงินเข้าระบภาษี 4-5 แสนล้านบาท การจ้างงานการผลิตจะสูงขึ้นหรือไม่ นายจ้างจะได้มีรายได้สูงขึ้น จะมีการทำการผลิตมีการขายของมากขึ้นหรือไม่ต้องควบคู่กันไป  

นายกฯ กล่าว ขอวิงวอนและอ้อนวอน พร้อมมั่นใจว่าดิจิทัลวอลเล็ต จะออกตามกำหนดคือเดือนพฤษภาคม 2567 ยังไม่ได้มีอะไรชี้วัดมา ว่าจะไม่สำเร็จ ซึ่งหากมีปัญหา ก็ต้องดูว่าปัญหาคืออะไร คำถามที่ออกมา ข้อโต้แย้งที่ออกมาคืออะไร แล้วค่อยว่ากัน

ส่วนมีการพยายามสร้างวาทกรรมออกมาว่า “ใช้เงินได้ไม่ทุกคน แต่เป็นหนี้ทั่วถึง” นั้น นายกรัฐมนตรี      กล่าวว่า ก็เป็นวาทกรรมไป ตนเองเชื่อว่าเราอธิบายกันมาเยอะแล้ว คนรวยก็บอกว่าฟังคำแนะนำของผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยอยู่แล้ว ว่าอย่าไปแจกคนรวยไม่ต้องแจก จึงมีคำถามไปว่าอะไรคือคนรวย มีการชี้ว่าคนรวยมีเงินฝากไม่ถึง 500,000 บาทรายได้ต่อเดือนต้องไม่ถึง 70,000 บาท ก็พยายามรับฟังอยู่

ผู้สื่อข่าวถามว่า มีคนตั้งข้อสังเกตว่ารัฐบาลไปทุ่มเวลาให้กับโครงการเงินดิจิทัล 10,000 บาทจนทำร่างพ.ร.บ.งบประมาณปี 67 ล่าช้านั้น นายกฯ กล่าวว่า พวกท่านเห็นตนเองทำแต่ดิจิทัลวอลเล็ตหรือเปล่า ซึ่งเมื่อวานไปไหนมา ทำเรื่องอะไรทำหนี้นอกระบบ  สัปดาห์ที่แล้วไปดูเรื่องชายแดนที่สระแก้ว  2 อาทิตย์ก่อนบินไปเอเปค ซึ่งตนเองทำอยู่เรื่องเดียวหรือไม่ โดยวันที่12 ธ.ค.นี้ ก็จะทำเรื่องหนี้ในระบบอีก ไม่ได้ทำเรื่องเดียว เรื่องการท่องเที่ยวก็ทำ ในช่วงค่ำวันนี้จะบินไปเชียงราย ยืนยันทำหลายเรื่องและทำเต็มที่ทุกเรื่อง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :  ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

จ้างงาน 3,594 คน เพิ่มขึ้น 9% หลังต่างชาติลงทุนในไทยปี 66 เพิ่มขึ้น

 

วันที่ 20 สิงหาคม 2566 นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงความคืบหน้าการลงทุนในประเทศไทย ช่วง 7 เดือน ปี 2566 (ม.ค.-ก.ค.) มีการอนุญาตให้คนต่างชาติเข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจในประเทศไทย ภายใต้ พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ.2542 จำนวน 377 ราย เพิ่มขึ้น 17% เป็นการลงทุนผ่านช่องทางการขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว จำนวน 122 ราย และการขอหนังสือรับรองการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว จำนวน 255 ราย เม็ดเงินลงทุนทั้งสิ้น 58,950 ล้านบาท ลดลง 20% เกิดการจ้างงานคนไทย 3,594 คน เพิ่มขึ้น 9% โดยชาวต่างชาติที่เข้ามาลงทุน 5 อันดับแรก ได้แก่ ญี่ปุ่น 84 ราย เงินลงทุน 19,893 ล้านบาท สหรัฐฯ 67 ราย เงินลงทุน 3,044 ล้านบาท สิงคโปร์ 61 ราย เงินลงทุน 12,925 ล้านบาท จีน 28 ราย เงินลงทุน 11,663 ล้านบาท และเยอรมนี 16 ราย เงินลงทุน 1,298 ล้านบาท
 
ส่วนการลงทุนในพื้นที่ EEC ของนักลงทุนต่างชาติ ในช่วง 7 เดือน ปี 2566 (ม.ค.-ก.ค.) นางสาวรัชดา กล่าวว่า มีนักลงทุนต่างชาติสนใจลงทุนในพื้นที่ EEC จำนวน 73 ราย คิดเป็น 19% ของจำนวนนักลงทุนทั้งหมด มูลค่าการลงทุนในพื้นที่ EEC 12,348 ล้านบาท คิดเป็น 21% ของเงินลงทุนทั้งหมด เป็นนักลงทุนจากญี่ปุ่น 31 ราย ลงทุน 5,379 ล้านบาท จีน 12 ราย ลงทุน 893 ล้านบาท เกาหลีใต้ 5 ราย ลงทุน 287 ล้านบาท และประเทศอื่น ๆ อีก 25 ราย ลงทุน 5,789 ล้านบาท โดยธุรกิจที่ลงทุน เช่น บริการให้คำปรึกษาแนะนำด้านการบริหารจัดการกระบวนการผลิตในอุตสาหกรรมต่าง ๆ บริการทางวิศวกรรมและเทคนิค เช่น การออกแบบเครื่องจักร เครื่องกล เครื่องมือและอุปกรณ์ บริการรับจ้างผลิตเครื่องจักร และชิ้นส่วนของเครื่องจักรสำหรับอุตสาหกรรม บริการรับจ้างผลิตชิ้นส่วนยานพาหนะ และบริการออกแบบแม่พิมพ์โลหะสำหรับผลิตชิ้นส่วนยานยนต์
        
อย่างไรก็ตาม เฉพาะเดือน ก.ค.2566 นางสาวรัชดา กล่าวเพิ่มเติมว่า มีการอนุญาตให้คนต่างชาติประกอบธุรกิจในประเทศไทย จำนวน 51 ราย เป็นการลงทุนผ่านช่องทางการขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว จำนวน 20 ราย และการขอหนังสือรับรองการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว จำนวน 31 ราย เม็ดเงินลงทุนทั้งสิ้น 10,023 ล้านบาท จ้างงานคนไทย 372 คน ส่วนใหญ่เป็นนักลงทุนจากญี่ปุ่น สิงคโปร์ และสหรัฐฯ
 
“จากนโยบายของรัฐบาล ภายใต้การนำของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เน้นส่งเสริมสนับสนุนการลงทุน พร้อมอำนวยความสะดวกในทุกๆ ด้านให้นักลงทุนชาวต่างชาติ ทำให้นักลงทุนเกิดความเชื่อมั่น สนใจลงทุนในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง ผลจากการขับเคลื่อนนโยบาย นอกจากจะมีรายได้เข้าสู่ประเทศไทยแล้ว คนไทยยังได้รับประโยชน์จากการถ่ายทอดเทคโนโลยีอันเป็นองค์ความรู้เฉพาะด้านโดยตรงจากประเทศผู้เข้ามาลงทุนให้แก่คนไทย เช่น องค์ความรู้เกี่ยวกับการพัฒนาโปรแกรมแอปพลิเคชันเพื่อความปลอดภัยและการจัดการข้อมูลส่วนตัว องค์ความรู้เกี่ยวกับเทคนิคการพัฒนาเว็บไซต์ และ Data Analysis เพื่อการพัฒนาเว็บไซต์และวิเคราะห์ข้อมูลในการทำการตลาด และองค์ความรู้เกี่ยวกับการทดสอบสมรรถนะของรถยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์เพื่อการวิจัยและพัฒนา เป็นต้น ” นางสาวรัชดา กล่าว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักนายกรัฐมนตรี

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

​รัฐบาลโปรโมทความสำเร็จโลจิสติกส์กลไกเชื่อมภูมิภาคอาเซียน

 

 วันนี้ 6  สิงหาคม  2566   นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้ความสำคัญกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอย่างต่อเนื่อง จึงเป็นผลให้เกิดผลสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรมแก่อุตสาหกรรมโลจิสติกส์ ทั้งนี้ รัฐบาลร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้จัดงานแสดงสินค้าโลจิสติกส์ TILOG-LogistiX 2023 ระหว่างวันที่ 17-19 สิงหาคม 2566 ณ อาคาร 98 ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา เพื่อเป้าประสงค์ในการสร้างเครือข่ายพันธมิตร จับคู่ทางธุรกิจของผู้ให้บริการ และผู้ใช้บริการโลจิสติกส์ ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ รวมถึงพัฒนาศักยภาพผู้ให้บริการโลจิสติกส์ ทั้งภาคการผลิต ภาคบริการ และภาคการส่งออก ให้สามารถแข่งขันได้ในเวทีโลก

รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า งานแสดงสินค้าโลจิสติกส์ TILOG – LOGISTIX 2023 เป็นความร่วมมือของกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ กับบริษัท RX Tradex และภาคเอกชน ภายใต้แนวคิด “Smart and Green Logistics for Sustainable Tomorrow : ขับเคลื่อนธุรกิจไทยสู่อนาคตสีเขียวด้วยโลจิสติกส์อัจฉริยะรักษ์โลก” เพื่อเป็นเวทีแสดงศักยภาพของไทยในการเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ในภูมิภาคอาเซียน ให้เป็นที่ยอมรับในเวทีการค้าโลก โดยมุ่งเน้นการปรับตัวในด้านการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมด้วยเทคโนโลยีโลจิสติกส์ยุคใหม่ พร้อมกระตุ้นให้ผู้ประกอบการตื่นตัว และให้ความสำคัญกับการปรับตัวภายใต้แนวคิดเรื่อง Green โดยในงานนี้มีผู้จัดแสดงกว่า 415 แบรนด์ จาก 25 ประเทศทั่วโลก ซึ่งคาดการณ์ว่า จะมีผู้เข้าชมงานกว่า 9,000 ราย พร้อมตั้งเป้ามูลค่าเจรจาทางธุรกิจกว่า 4,000 ล้านบาท

นอกจากนี้ ยังมีการจัดแสดงนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ตอบโจทย์โลจิสติกส์ยุคดิจิทัล ที่ช่วยลดต้นทุน และเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการด้านโลจิสติกส์ เช่น ระบบวางแผนและจัดการเส้นทางการขนส่งสินค้า ระบบการจัดการคลังสินค้า การรักษาความปลอดภัย รวมทั้ง ระบบคลังสินค้าอัจฉริยะที่ใช้พลังงานแสงอาทิตย์ หุ่นยนต์หยิบสินค้าที่เคลื่อนที่ได้อย่างอิสระทุกแนวในคลังสินค้า และหุ่นยนต์คัดแยกสินค้าและระบบสายพานลำเลียง รถโฟล์คลิฟท์ ที่ขับเคลื่อนด้วยแบตเตอรีลิเธียม เป็นต้น  

โดยปัจจุบันรัฐบาลมีแผนปฏิบัติการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ของประเทศไทย ฉบับที่ 13 (พ.ศ. 2566 – 2570) เพื่อให้ระบบโลจิสติกส์เป็นกลไกที่สำคัญในการผลักดันให้ประเทศไทยเป็นประตูการค้าที่สำคัญในอนุภูมิภาคและภูมิภาค ประกอบไปด้วย 5 แนวการพัฒนา ดังนี้
1. การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวก
2. การยกระดับมาตรฐานและเพิ่มมูลค่าโซ่อุปทาน 
3. การพัฒนาพิธีการศุลกากร กระบวนการนำเข้า – ส่งออกที่เกี่ยวข้อง และการอำนวยความสะดวกในการขนส่งระหว่างประเทศ
4. การพัฒนาศักยภาพผู้ให้บริการโลจิสติกส์ไทย
5. การส่งเสริมวิจัยและพัฒนานวัตกรรม การพัฒนาบุคลากร และการติดตามผลด้านโลจิสติกส์  ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals : SDGs) เเห่งสหประชาชาติด้วย

“นายกรัฐมนตรีมีวิสัยทัศน์ในการพัฒนาโครงสร้างของประเทศให้มีศักยภาพเป็นที่ยอมรับจากทั่วโลก ซึ่งเมื่อประกอบกับข้อได้เปรียบทางภูมิศาสตร์ของประเทศ เชื่อมั่นว่าไทยจะก้าวเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ของภูมิภาค การจัดงานดังกล่าว จะเป็นโอกาสดี เอื้อต่อการสร้างเครือข่ายพันธมิตรทางเศรษฐกิจ การค้า และเพิ่มจำนวนการลงทุนในประเทศ รองรับขีดความสามารถและความพร้อมในการแข่งขันต่อไป” นางสาวรัชดาฯ กล่าว

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักนายกรัฐมนตรี

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News