Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

‘เชียงราย’ ติดเมืองรองยอดฮิต นักท่องเที่ยวสูงก่อนโควิดบวก 130%

 

เมื่อวันที่ 30 ก.ค. 67 ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS ประเมินนักท่องเที่ยวต่างชาติมีแนวโน้มพื้นตัวต่อเนื่อง มีโอกาสแตะ 40 ล้านคน เท่ากับช่วงก่อนเกิดโควิด-19 หนุนให้รายได้ภาคท่องเที่ยวไทยแตะ 3 ล้านล้านบาท ในปี 2568 เปิด 6 เทรนด์การท่องเที่ยวยุคใหม่ ดึงดูดนักท่องเที่ยวศักยภาพ มีการใช้จ่ายสูง ช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มภาคการท่องเที่ยวไทยไม่ต่ำกว่า 1.35 แสนล้านบาท แนะผู้ประกอบการปรับรูปแบบบริการ สร้างโอกาสการเติบโตจากเทรนด์ท่องเที่ยวยุคใหม่

นายพชรพจน์ นันทรามาศ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ภาคการท่องเที่ยวที่เป็นเครื่องยนต์สำคัญของเศรษฐกิจไทย มีสัญญาณฟื้นตัวชัดเจน โดยคาดว่าในปี 2567 จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติมีโอกาสขึ้นไปแตะระดับ 36.5 ล้านคน และในปี 2568 มีโอกาสเข้าสู่ระดับเดียวกับช่วงก่อนโควิดที่ 40 ล้านคน แม้นักท่องเที่ยวจีนจะพื้นตัวได้ต่ำกว่าช่วงก่อนโควิดที่ระดับ 65%-90% โดยได้รับแรงสนับสนุนจากการเติบโตของ นักท่องเที่ยวกลุ่มหลักอย่างมาเลเซีย อินเดีย รัสเซีย และเกาหลีใต้ รวมถึงนักท่องเที่ยวกลุ่มยุโรป และตะวันออกกลาง ส่งผลให้รายได้รวมจากการท่องเที่ยวในปี 2567-2568 มีมูลค่าราว 2.65-3 ล้านล้านบาท

จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในช่วง 5 เดือนแรกฟื้นตัว 88% เทียบกับก่อนโควิด อยู่ในระดับใกล้เคียงค่าเฉลี่ยภูมิภาค แต่ยังต่ำกว่าญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และเวียดนาม ส่วน Top5 นักท่องเที่ยวต่างชาติครึ่งปีแรก ได้แก่ จีน 3.44 ล้านคน ฟื้นตัว 61% เทียบกับปี 62, มาเลเซีย 2.44 ล้านคน ฟื้นตัว 126%, อินเดีย 1.04 ล้านคน ฟื้นตัว 106%, เกาหลี 930,000 คน ฟื้นตัว 103% และรัสเซีย 920,000 คน ฟื้นตัว 112%…..นายพชรพจน์กล่าว

ภาพรวมการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติในช่วงครึ่งปีแรก 2567 เฉลี่ยอยู่ที่ 45,568 บาท/คน/ทริป ยังต่ำกว่าช่วงก่อนโควิด-19 (ปี 2562) อยู่เล็กน้อยราว 4.9% แต่สูงกว่าปี 2566 ที่มีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยอยู่ที่ 43,743 บาท/คน/ทริป ซึ่งต่ำกว่าช่วงก่อนโควิด-19 ถึง 8.7%

Top 10 จังหวัดที่ต่างชาตินิยมเดินทางไปท่องเที่ยวมากที่สุด คือ กรุงเทพ ชลบุรี ภูเก็ต สุราษฎร์ธานี สงขลา เชียงใหม่ กระบี่ พังงา อยุธยา และหนองคาย

โดยนักท่องเที่ยวใช้จ่ายไปกับค่าที่พักเพิ่มขึ้น 15% และค่ารักษาพยาบาลเพิ่มขึ้น 5.3% สวนทางกับค่าช้อปปิ้งที่ลดลง สะท้อนให้เห็นรูปแบบการท่องเที่ยวที่เปลี่ยนไป

สำหรับจำนวนนักท่องเที่ยวชาวไทยไทยสูงกว่าช่วงก่อนโควิด แต่การใช้จ่ายยังไม่ฟื้นตัว เฉลี่ยอยู่ที่ 3,503-4,708 บาท/คน/ทริป สะท้อนกำลังซื้อในประเทศยังอ่อนแอ อย่างไรก็ตามการกระจายรายได้สู่จังหวัดเมืองรองเริ่มมีสัญญาณที่ดีขึ้น โดยในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2567 มีสัดส่วนราว 13.4% ของรายได้จากภาคการท่องเที่ยวโดยรวม ปรับเพิ่มขึ้นจากช่วงก่อนโควิด ที่มีสัดส่วนเพียง 9.2%

โดยเมืองรองยอดฮิต 5 อันดับแรก คือ สุพรรณบุรี สมุทรสงคราม เชียงราย จันทบุรี และอุดรธานี้ มีจำนวนนักท่องเที่ยวฟื้นตัวได้สูงกว่าช่วงก่อนโควิด ที่ระดับ 130%-343% สะท้อนให้เห็นว่านักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติมีความสนใจที่จะเดินทางท่องเที่ยวในจังหวัดเมืองรองมากขึ้น

นายธนา ตุลยกิจวัตร นักวิเคราะห์ ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS กล่าวว่า พฤติกรรมของนักท่องเที่ยวเปลี่ยนแปลงไปจากช่วงก่อนโควิด ที่เน้นท่องเที่ยวแบบ Mass Tourism ไปสู่การท่องเที่ยวแบบเฉพาะเจาะจงมากขึ้น ผนวกรวมกับนโยบายด้าน Soft Power ที่ภาครัฐพยายามผลักดันอย่างต่อเนื่อง ทั้งด้านอาหารไทย และการท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ เกิดเป็นเทรนด์การท่องเที่ยวยุคใหม่ที่มีโอกาสสร้างมูลค่าเพิ่มให้ภาคการท่องเที่ยวไทยได้กว่า 1.35 แสนล้านบาท ประกอบด้วย

1.การท่องเที่ยวเชิงอาหาร (Gastronomy Tourism) โดยเฉพาะ Street Food ที่ได้รับความนิยมจาก นักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มขึ้นถึง 18.1% เมื่อเทียบกับช่วงก่อนโควิด

2.การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม (Cultural Tourism) เช่น เทศกาลสงกรานต์ที่ผ่านมา มีนักท่องเที่ยวเข้าร่วมงานกว่า 7.8 แสนคน สร้างรายได้มากถึง 2,880 ล้านบาท

3.การท่องเที่ยวตามรอยภาพยนตร์ ซีรีส์ หรือมิวสิกวิดีโอ (Film Tourism) ล่าสุดหลังจากที่มีการปล่อย MV เพลง “ROCKSTAR” ของ Lisa มีนักท่องเที่ยวตามไปถ่ายรูปเช็กอินที่ถนนเยาวราชจำนวนมาก รวมถึงละครเรื่องบุพเพสันนิวาส ที่ทำให้มีนักท่องเที่ยวสนใจเยี่ยมชมสถานที่ถ่ายทำต่าง ๆ เช่น วัดไชยวัฒนาราม เพิ่มขึ้น 3-4 เท่าตัว

4.การท่องเที่ยวแบบยั่งยืน (Sustainable Tourism) ซึ่งจากผลสำรวจโดย Booking.com พบว่า 3 ใน 4 ของนักท่องเที่ยวยุคใหม่ต้องการเดินทางท่องเที่ยวแบบอย่างยั่งยืนในอีก 12 เดือนข้างหน้า

5.กลุ่ม Digial Nomad Tourism เป็นกลุ่มที่มีศักยภาพที่เติบโตขึ้นตามกระแส “Workcation” รูปแบบการทำงานในโลกยุคใหม่ที่มีบทบาทมากขึ้นเรื่อย ๆ และมีการค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อคนที่สูงกว่านักท่องเที่ยวทั่วไปเกือบเท่าตัว ซึ่งกรุงเทพติดอันดับจุดหมายปลายทางยอดนิยมของนักท่องเที่ยวกลุ่ม Digial Nomad Tourism อันดับที่ 3 ของโลก และอันดับ 1 ของเอเชีย

6.การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Wellness Tourism) ที่มีโอกาสเติบโตไปพร้อมกับจำนวนผู้สูงอายุ และพฤติกรรมของคนทั่วโลกที่หันมาดูแลสุขภาพมากขึ้น

อย่างไรก็ตามยังมีโจทย์ท้าทายคือนักท่องเที่ยวจีนที่ยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ในระยะ 1-2 ปีข้างหน้า จากภาวะเศรษฐกิจ รวมถึงต้องจับตาประเด็นเรื่องความปลอดภัยในการเดินทางท่องเที่ยวในไทย เนื่องจากเป็นเรื่องที่ชาวจีนยังมีความกังวลค่อนข้างมาก โดยความเชื่อมั่นต่ำกว่าเพื่อนบ้านอย่างฮ่องกง สิงคโปร์ และญี่ปุ่น

ผลสำรวจความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยในการท่องเที่ยวต่างประเทศชองชาวจีน พบว่า 24% บอกว่าเที่ยวไทยปลอดภัย 39% บอกว่าไม่แน่ใจ และ 38% บอกว่าไม่ปลอดภัย นอกจากนี้ยังมีปัจจัยท้าทายจากต้นทุนภาคธุรกิจที่เพิ่มสูงขึ้น และปัญหาความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังมีความไม่แน่นอนสูง…..นายธนากล่าว

ด้านนางสาววีระยา ทองเสือ นักวิเคราะห์ ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS เสริมว่า ผู้ประกอบการไทยควรปรับตัวเพื่อคว้าโอกาสจากเทรนด์การท่องเที่ยวยุคใหม่ ดังนี้

1.ปรับรูปแบบผลิตภัณฑ์และบริการให้ตอบโจทย์ความ ต้องการของนักท่องเที่ยวที่มีความเฉพาะเจาะจงมากขึ้น เช่น ธุรกิจโรงแรมปรับปรุงที่พักให้สอดรับมาตรฐาน Green Hotel หรือเข้าร่วมโครงการ Sustainable Tourism Acceleration Rating (STAR) เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวสายรักษ์ธรรมชาติ

2.นำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในการดำเนินธุรกิจ เช่น ธุรกิจร้านอาหาร อาจนำหุ่นยนต์อัตโนมัติเข้ามาช่วยเสิร์ฟอาหาร เพื่อลดผลกระทบจากปัญหาขาดแคลนแรงงาน นอกจากนี้เสนอให้ภาครัฐพิจารณาแนวนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยว โดยมุ่งเน้นไปที่

 

  • เจาะตลาดนักท่องเที่ยวกลุ่มศักยภาพสูง โดยอาจเพิ่มทางเลือกในส่วนของประกันสุขภาพให้กับกลุ่ม Digital Nomad ที่มาขอ Destination Thailand Visa Revealed (DTV)
  • ผลักดันให้เกิดกระแสการเดินทางเที่ยวตลอดทั้งปี โดยเฉพาะในเมืองรอง โดยเชื่อมโยงกับกลุ่ม Welness Tourism ที่ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มผู้สูงวัยที่สามารถท่องเที่ยวในวันธรรมดาได้
  • เร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อให้เกิดการเชื่อมโยงเส้นทางท่องเที่ยวทั้งในประเทศ และระหว่างประเทศ รวมถึงสร้างระบบด้านความปลอดภัย ซึ่งเป็นเรื่องเร่งด่วนที่จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นและดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาเที่ยวไทยมากขึ้น

ภาคธุรกิจที่จะได้ประโยชน์จากการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัว ได้แก่

1.ธุรกิจโรงแรม เป็นธุรกิจแรก ๆ ที่ได้รับประโยชน์โดยตรงจากการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยว โดยเฉพาะโรงแรมที่ตั้งอยู่ในจังหวัดท่องเที่ยวหลัก เช่น กรุงเทพฯ ชลบุรี ภูเก็ต โดยโรงแรมระดับ 4-5 ดาวมีแนวโน้มฟื้นตัวได้ดีกว่าโรงแรมทั่วไป และมีอัตราการเข้าพักแรมเฉลี่ยกลับสู่ระดับเดียวกับช่วง Pre-Covid แล้ว

2.ธุรกิจสายการบิน โดย AOT ประเมินว่าในปี 2572 จะมีจำนวนผู้โดยสารสูงถึง 170 ล้านคน และในอีก 10 ปีข้างหน้า หรือปี 2577 จำนวนผู้โดยสารอาจแตะระดับ 210 ล้านคน ส่งผลให้ธุรกิจสายการบินยังมี้แนวโน้มที่จะขยายตัวได้อีกมาก

3.ธุรกิจร้านอาหาร อาหารกลุ่ม Street Food, Local Food, Fine Dining Thai Cuisine รวมถึงร้านอาหารประเภท Cafe ยังคงได้รับความนิยมุจากนักท่องเที่ยวต่างชาติอย่างต่อเนื่อง สอดคล้องตามคาดการณ์ของสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) ที่ประเมินว่าตลาดบริการอาหารของไทยในปี 2566-2571 จะเติบโตเฉลี่ยปีละ 6.72%

4.ธุรกิจค้าปลีก ได้รับอานิสงส์จากการใช้จ่ายในการซื้อสินค้าของนักท่องเที่ยวต่างชาติมีสัดส่วนกว่า 18.4% ของค่าใช้จ่ายทั้งหมดโดยสินค้ายอดนิยม 3 อันดับแรกที่นักท่องเที่ยวซื้อเป็นของฝากของที่ระลึก ได้แก่ เสื้อผ้า ผลิตภัณฑ์อาหารไทย และของที่ระลึกตามลำดับ มีการใช้จ่ายเฉลี่ยสูงถึง 2,621-5,331 บาท/คน/ทริป

5.ธุรกิจ Healthcare เป็นหนึ่งในธุรกิจที่จะได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวต่างชาติ และแนวโน้มการเติบโตของ Wellness Tourism สะท้อนจากสัดส่วนรายได้จากผู้ป่วยชาวต่างชาติ และรายได้ในธุรกิจ Wellness ของผู้ประกอบการรายใหญ่ที่มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น

ทั้งนี้ Krungthai COMPASS คาดการณ์ GDP ปีนี้จะเติบโตที่ 2.3% โดยยังไม่รวมผลของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างดิจิทัลวอลเล็ต โดยมีปัจจัยหลักการการบริโภคในประเทศ การลงทุน และการท่องเที่ยว ส่วนภาคการส่งออกยังท้าทาย จากภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ มาตรการกีดกันทางการค้าและกำแพงภาษี โดบคาดว่าส่งออกปีนี้จะเติบโตที่ 0.5-1%

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : Krungthai COMPASS

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
MOST POPULAR
FOLLOW ME
Categories
FEATURED NEWS

“กรุงไทย” ผนึก “IBM” ตั้งบริษัทร่วมทุน ขับเคลื่อนธุรกิจหลัก สร้างการเติบโตที่ยั่งยืน

 
ธนาคารกรุงไทย และ IBM ประกาศความร่วมมือ ตั้งบริษัทร่วมทุน “IBM Digital Talent for Business” มุ่งเสริมสร้างและพัฒนาศักยภาพบุคลากร ยกระดับโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีให้ทัดเทียมนานาชาติ เพิ่มขีดความสามารถการแข่งขัน พร้อมขับเคลื่อนธุรกิจหลักของธนาคารให้ตอบโจทย์ลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อการเติบโตขององค์กรอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน

นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ธนาคารกรุงไทยประกาศ ความร่วมมือเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์กับ IBM ผู้ให้บริการและผู้เชี่ยวชาญด้านไอทีระดับโลก โดยจัดตั้งบริษัท  ร่วมทุน IBM Digital Talent for Business (IBMDT) เพื่อยกระดับด้านไอทีของธนาคารในทุกมิติ มุ่งเน้นไปที่ การพัฒนาศักยภาพบุคลากร การดำเนินงานด้านไอที และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของธนาคาร ตามยุทธศาสตร์ที่วางไว้

ความร่วมมือในครั้งนี้ ตอบโจทย์ธนาคารในด้านการเสริมสร้างทักษะพนักงาน ทั้งการ Upskill และ Reskill ที่จำเป็นต่อการดำเนินงานในอนาคต ผ่านประสบการณ์ และความเชี่ยวชาญของ IBM รวมถึง การปรับวิธีการดำเนินงานต่างๆ ของส่วนงานไอที ทั้งสายงานเทคโนโลยีสารสนเทศ และบริษัท กรุงไทยคอมพิวเตอร์เซอร์วิสเซส จำกัด (KTCS) ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด มีความรวดเร็ว และคล่องตัวยิ่งขึ้น ตลอดจน ยกระดับเทคโนโลยีต่างๆ ของธนาคารให้ทันสมัย และสนับสนุนการทำงานได้มากขึ้น เช่น การนำ AI มาใช้ในกระบวนการภายในของธนาคาร เพื่อขับเคลื่อนธุรกิจหลักของธนาคารให้เติบโตอย่างยั่งยืน และตอบโจทย์ธุรกิจ ในอนาคต รวมถึงการส่งมอบประสบการณ์ที่ดียิ่งขึ้นให้กับลูกค้าและคู่ค้าของธนาคาร

“ธนาคารได้เรียนรู้และใช้ประโยชน์จากศักยภาพและความเชี่ยวชาญระดับโลกของ IBM ทั้งด้านเทคโนโลยีและทีมงานทักษะสูงจากหลากหลายวิชาชีพ มาทำงานร่วมกันเพื่อพัฒนาทักษะของพนักงาน และปรับปรุงรูปแบบการทำงานของธนาคารให้มีความคล่องตัวและรวดเร็วมากขึ้น รวมถึงการยกระดับโครงสร้างเทคโนโลยีของธนาคารให้ปลอดภัย มีเสถียรภาพ และมีประสิทธิภาพ รองรับการดำเนินธุรกิจธนาคารตามแผนงานในอนาคตที่จะมีการขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีนวัตกรรมมากขึ้นและสนับสนุนการดำเนินการตามยุทธศาสตร์ของธนาคาร พร้อมสร้างโอกาสใหม่ๆ ในการแข่งขันด้านธุรกิจการเงินแบบครบวงจร (Universal Banking) และเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้ธุรกิจหลักของธนาคารให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง”

นางลูลา โมฮานตี (Mrs. Lula Mohanty) Managing Partner ของ IBM Consulting ภูมิภาค Asia Pacific กล่าวว่า IBMDT จะผสานความเชี่ยวชาญด้านไอที ความสามารถในการบริหารจัดการนวัตกรรมใหม่ๆ รวมทั้งประสบการณ์ของ IBM Consulting ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนเป็นจุดแข็งของ IBM ที่เป็นที่ยอมรับทั่วโลกจากความสำเร็จในหลากหลายองค์กรที่ผ่านมา มาประสานกับวิธีการทำงานเฉพาะของ IBM ที่เรียกว่า IBM GarageTM โดยยึดแนวทางการทำงานภายใต้วัฒนธรรมของการ Co-Create แต่ยังคงความรวดเร็วในการดำเนินการ ในการสนับสนุนธนาคารอย่างเต็มที่เพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่ธนาคารต้องการ

ทั้งนี้ IBMDT จะทำงานอย่างใกล้ชิดกับส่วนงานต่างๆ ภายในธนาคาร เพื่อพัฒนาชิ้นงานและพัฒนาแนวทางการดำเนินงานร่วมกันเพื่อให้ได้ชิ้นงานที่มีคุณภาพ และตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าธนาคารให้ได้ตรงจุดมากขึ้น รวมถึงการนำเทคโนโลยีใหม่ๆ ซึ่ง IBM เอง ก็มีผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางที่หลากหลายด้าน เข้ามาช่วย ในการทำงานของกระบวนการต่างๆ เพื่อลดระยะเวลาและต่อยอดให้การพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการต่างๆ เป็นไปอย่างรวดเร็วมากยิ่งขึ้น

นอกจากนี้การจับมือกันเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ในครั้งนี้ ถือเป็นการยกระดับสัมพันธภาพอันดีระหว่างธนาคารกรุงไทย และ IBM ที่มีมายาวนานกว่า 30 ปี จากการทำงานร่วมกันที่ผ่านมาในการสนับสนุนธุรกิจหลักของธนาคาร และ IBM จะยังคงเดินหน้าในการสนับสนุนธนาคารอย่างเต็มความสามารถในการดำเนินธุรกิจภายใต้การเปลี่ยนแปลงด้านธุรกิจและเทคโนโลยีที่เป็นไปอย่างรวดเร็วต่อไป
 
 


Krungthai Bank and IBM establish joint venture to drive sustainable growth in traditional banking business

Bangkok, 1st September, 2023 — Krungthai Bank and IBM announced a strategic collaboration to form a new joint venture company, IBM Digital Talent for Business (IBMDT), to accelerate Krungthai’s technology workforce and infrastructure development. The initiative will enable the Bank to enhance its traditional banking businesses to respond to customer needs and expectations efficiently while working toward strong and sustainable growth.

IBMDT will focus on developing and enhancing the skills and capabilities of the Bank’s IT workforce and acquiring new tech and digital talent to support the bank’s operations. This collaboration aligns with Krungthai’s “7 North Star” strategies and is also a part of the key actions to move forward. This will thereby enable the bank to generate maximum benefit for its customers and partners.

Payong Srivanich, CEO, Krungthai Bank PCL, said, “IBMDT will be an important part that transforms the Bank’s IT infrastructure and introduces new ways of working to our traditional banking businesses. We must build future-ready skills as part of our two-banking-model strategy, which encompasses sustaining and enhancing traditional banking businesses in parallel with developing innovative, new businesses. Doing so will enable us to strengthen our competitive edge, attend to every facet of our customers’ needs, create new business opportunities, and improve the quality of life for many Thai people.”

This collaboration will allow the Bank to benefit from IBM’s expertise in technology and consulting, with the use of the globally proven IBM GarageTM methodology for greater agility and operational speed. IBMDT will contribute to modernizing and upgrading the Bank’s IT infrastructure, ensuring security, stability, and efficiency in support of the bank’s future plans to be more technology- and innovation-driven. It will also give Krungthai the next wave of competitive advantage in the global banking space, strengthen its traditional banking businesses, and enable sustainable core growth.

Lula Mohanty, Managing Partner of IBM Consulting, Asia Pacific, said, “IBMDT will leverage IBM Consulting’s expertise and experience in helping organizations successfully modernize and transform. Using the IBM GarageTM approach and agile principles, new products and services will be created quickly and scaled by integrated teams of talent, from developers, AI experts, data scientists, data architects to designers.”

This strategic partnership is the next phase of a relationship that spans more than 30 years, in which IBM has been trusted to support the Bank’s core business. The continued support will bring the best of IBM’s ability to reinforce the Bank as it embraces the rapid changes in business and technology.

To learn more about IBM’s insights and solutions for the financial services industry, please visit www.ibm.com/financial-services.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ธนาคารกรุงไทย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
CULTURE

กองทัพบก จับมือ กรุงไทย เปิดตัวแอปฯ “OOMSUB”

 
“กองทัพบก” ร่วมกับ “ธนาคารกรุงไทย” เปิดตัวแอปพลิเคชัน OOMSUB (ออมทรัพย์) ให้บริการกับกำลังพล สมาชิกกิจการออมทรัพย์ข้าราชการกองทัพบก (อทบ.) กรมสวัสดิการทหารบก ที่จะช่วยบริหารจัดการด้านการเงิน ครบ จบ ง่าย ในแอปฯเดียว ทั้งจัดการข้อมูลสมาชิก ตรวจสอบยอดเงินฝาก เงินกู้ และถอนดอกเบี้ย รวมถึงยื่นขอกู้ ได้ทันที ทุกที่ ทุกเวลา พร้อมฟีเจอร์พิเศษ “คู่คิด” ที่จะช่วยให้สมาชิก คิดคำนวณ ต่อยอดวางแผนด้านการเงิน เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงทางการเงินให้กับข้าราชการกองทัพบก เตรียมพร้อมชีวิตหลังวัยเกษียณราชการได้อย่างมีความสุข

พลเอกณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผู้บัญชาการทหารบก เปิดเผยว่า ที่ผ่านมา กองทัพบก ได้รับความร่วมมือจากธนาคารกรุงไทยในการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการเงินมาช่วยสนับสนุนภารกิจของกองทัพบก และการให้บริการกับกำลังพลมาโดยตลอด โดยในปีที่ผ่านมา ธนาคารกรุงไทย ได้เปิดสาขากองบัญชาการกองทัพบก เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับกำลังพล และในครั้งนี้ จากนโยบายการปฏิบัติงานการพัฒนาด้านกำลังพล ในการส่งเสริมสวัสดิการและยกระดับคุณภาพชีวิตของข้าราชการกองทัพบก จึงได้ประสานความร่วมมือกับทางธนาคารกรุงไทย ในการร่วมกันพัฒนาแอปพลิเคชัน OOMSUB (ออมทรัพย์) แอปฯที่จะช่วยให้กำลังพลซึ่งเป็นสมาชิกกิจการออมทรัพย์ข้าราชการกองทัพบก (อทบ.) สามารถบริหารจัดการเงิน อทบ. ได้สะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย  ผ่านสมาร์ทโฟนด้วยตัวเอง ได้ทันที ทุกที่ ทุกเวลา

นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย กล่าวว่า กรุงไทย ในฐานะธนาคารพาณิชย์ของรัฐ มุ่งมั่นพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการเงินอย่างต่อเนื่อง เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานและวิสัยทัศน์ด้านดิจิทัลของภาครัฐ ตอบโจทย์ผู้ใช้บริการ และยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทยทุกกลุ่ม รวมถึงข้าราชการกองทัพบก โดยที่ผ่านมาธนาคารได้นำเทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการเงินมาสนับสนุนบริการแก่กองทัพบกในหลายด้าน ทั้งด้านการบริหารจัดการทางการเงิน บนระบบ Krungthai Corporate Online ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานด้านงบประมาณและการเงินของหน่วยงานในกองทัพบก การพัฒนาบริการในระบบนิเวศที่สำคัญในชีวิตประจำวัน ทั้ง Smart Hospital กับโรงพยาบาลในสังกัดกองทัพบก  และ Smart Academy กับหน่วยงานด้านการศึกษา

ในครั้งนี้ ธนาคารได้ร่วมมือกับกองทัพบก พัฒนาแอปฯ OOMSUB (ออมทรัพย์)  ที่ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของข้าราชการกองทัพบกที่เป็นสมาชิก อทบ. ให้จัดการเงิน อทบ. ได้อย่างมั่นใจ โดยแอปฯ OOMSUB (ออมทรัพย์) ให้บริการอยู่บนระบบคลาวด์ ที่มีความปลอดภัยสูง ด้วยการเข้ารหัสข้อมูลที่มีความปลอดภัยสูงระดับมาตรฐานสากล ทำให้การทำธุรกรรมทางการเงินรวดเร็ว และปลอดภัย บนช่องทางดิจิทัลครบวงจร  

แอปฯ OOMSUB (ออมทรัพย์)  ครอบคลุมการให้บริการ ทั้งการตรวจสอบสถานภาพสมาชิก ตรวจสอบยอดเงิน อทบ. ทั้งเงินฝาก เงินกู้ และดอกเบี้ยสะสม สามารถยื่นเรื่องกู้เงิน และตรวจสอบสถานะการยื่นกู้ ที่ทำได้ง่าย ด้วยตนเอง ทุกที่ ทุกเวลา แบบออนไลน์ เรียลไทม์ รวมถึงสามารถส่งเงินฝากสะสมเพิ่ม หรือชำระหนี้ก่อนกำหนด ผ่านระบบรับชำระเงินจากทุกธนาคาร นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ “คู่คิด”  ที่ช่วยให้สมาชิกวางแผนด้านการเงิน ทั้งด้านการเก็บออมเงินและด้านการกู้เงิน เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงทางการเงินให้กับข้าราชการกองทัพบก เตรียมพร้อมชีวิต หลังวัยเกษียณราชการได้อย่างมีความสุข สามารถทำธุรกรรมได้อย่างมั่นใจ

โดยบริการทั้งหมดนี้เป็นการสนับสนุน วิสัยทัศน์และภารกิจด้านดิจิทัลของกองทัพบก เพื่อมุ่งหวังที่จะยกระดับคุณภาพชีวิตทางด้านการเงินให้กับข้าราชการกองทัพบกให้ดีขึ้นในทุกวัน เตรียมพร้อมชีวิตหลังวัยเกษียณราชการได้อย่างมีความสุข สอดคล้องกับภารกิจของธนาคาร ตามวิสัยทัศน์ “กรุงไทยเคียงข้างไทย สู่ความยั่งยืน”

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ธนาคารกรุงไทย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
FEATURED NEWS

“กรุงไทย” ร่วมงาน Thailand Future Careers 2023 มุ่งพัฒนา “คน” ตอบโจทย์ทักษะแห่งอนาคต

 

ธนาคารกรุงไทย ในฐานะธนาคารพาณิชย์ชั้นนำของประเทศ มุ่งมั่นพัฒนาทรัพยากรบุคคล ซึ่งถือเป็นปัจจัยสำคัญต่อการเติบโตของธุรกิจ โดยให้ความสำคัญกับการส่งเสริมและสนับสนุนการบริหารจัดการทรัพยากรบุคคลที่มีประสิทธิภาพ เพื่อเป็นแรงผลักดันองค์กรก้าวสู่เป้าหมายของการพัฒนาธุรกิจที่ยั่งยืน ท่ามกลางภาวะการแข่งขันที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ล่าสุด ธนาคารเข้าร่วมงาน Thailand Future Careers 2023 

 

เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2566 ซึ่งกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ร่วมกับคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ประกอบด้วย สมาคมธนาคารไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย จัดขึ้นเพื่อพัฒนาตลาดแรงงานของประเทศในทุกมิติ ทั้งการสำรวจและศึกษาความต้องการของภาคธุรกิจ เพื่อให้สถาบันการศึกษานำไปพัฒนาหลักสูตรผลิตบุคลากรให้สอดคล้องกับความต้องการของภาคเอกชน ตอบโจทย์โลกและสร้างทักษะแห่งอนาคต ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญในการขับเคลื่อนความสำเร็จของประเทศ และถือเป็นโจทย์ที่ท้าทายสำหรับภาคเศรษฐกิจที่แท้จริง ที่ภาครัฐ ภาคเอกชนและสถาบันการศึกษาต้องร่วมมือกันอย่างจริงจัง โดยมี  ดร.พชรพจน์ นันทรามาศ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ และ Chief Economist ธนาคารกรุงไทย ร่วมเสวนาหัวข้อ “Future Banking Careers” สะท้อนภาพรวมของทักษะที่จำเป็นสำหรับงานธนาคารในปัจจุบันและเทคโนโลยีที่จะมีความสำคัญในอีก 2-3 ปีข้างหน้า ตลอดจนแนวโน้มความต้องการทักษะใหม่ ๆ รวมทั้ง Soft Skills ที่จำเป็นต่อการทำงานในอนาคต

 

 

ธนาคารกรุงไทย มุ่งเน้นการพัฒนาด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการเงิน (Financial Innovation Technology) และเปิดกว้างให้คนรุ่นใหม่เข้ามาสร้างสรรค์ผลงานด้านนวัตกรรมอย่างเต็มที่ โดยมีการปรับปรุงและพัฒนาการดำเนินงานด้านการบริหารบุคลากรอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการ Upskill และ Reskill เพื่อพัฒนาขีดความสามารถของพนักงานอยู่เสมอ โดยเฉพาะทักษะด้านเทคโนโลยีให้พร้อมก้าวสู่ยุคดิจิทัลมากขึ้น ด้วยโปรแกรมการฝึกอบรมและกิจกรรมต่าง ๆ ได้แก่ โครงการ Krungthai Hackathon ที่มุ่งเน้นให้พนักงานจากทุกสายงานและกลุ่มอายุร่วมกันคิดค้นนวัตกรรมทางการเงินผ่านกระบวนการ Design Thinking ตลอดจนสนับสนุนให้พนักงานทุกคน กล้าเปลี่ยนเพื่อก้าวนำ และมีพันธกิจร่วมกัน คือ พร้อมปรับตัว พร้อมเติบโต และพร้อมเรียนรู้ เพื่อร่วมแรงร่วมใจก้าวทันการเปลี่ยนแปลง 

 

โดยธนาคารเปิดรับคนรุ่นใหม่ที่ต้องการความก้าวหน้า ด้วยงานที่ท้าทาย มีโอกาสร่วมงานกับบุคลากรชั้นนำ พร้อมความภาคภูมิใจที่ได้พัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการ ที่มีส่วนยกระดับคุณภาพชีวิตคนไทยให้ดีขึ้น ตลอดจนมีความยืดหยุ่นในการทำงานด้วยคอนเซ็ปต์ “Flexible Workplace” และสวัสดิการที่ครอบคลุมทุกวัตถุประสงค์ เช่น สินเชื่ออัตราดอกเบี้ยพิเศษสำหรับพนักงาน และทุนการศึกษาต่อต่างประเทศ ผู้ที่สนใจร่วมงานกับธนาคารกรุงไทย สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://hr.krungthai.com/Home/JoinUs

 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ธนาคารกรุงไทย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

“สลากดิจิทัล” บนแอปฯ เป๋าตัง ครบ 1 ปี คนถูกไปแล้ว 17,000 ล้านบาท

 

สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล และธนาคารกรุงไทย เผยความสำเร็จ 1 ปี  “สลากดิจิทัล” บนแอปฯ เป๋าตัง ช่วยให้คนไทยเข้าถึงสลากฯ ราคา 80 บาท มากกว่า 20 ล้านครั้งต่อเดือน เพิ่มช่องทางขายให้ผู้ค้ารายย่อยทั่วประเทศกว่า 38,000  ราย เผยมีผู้ถูกรางวัลแล้วกว่า 1 ล้านราย เป็นเงินรางวัลรวมกว่า 17,000 ล้านบาท

นายลวรณ แสงสนิท ประธานกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาล เปิดเผยว่า ตลอดระยะเวลา 1 ปีที่ผ่านมา สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลได้ร่วมกับธนาคารกรุงไทย พัฒนาช่องทางการซื้อ-ขาย “สลากดิจิทัล” ผ่านแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” นับเป็นความสำเร็จในการนำเทคโนโลยีมาช่วยยกระดับบริการของหน่วยงานรัฐ เพื่อให้คนไทยเข้าถึงสลากฯ ราคา 80 บาท  โดยเปิดจำหน่ายสลากดิจิทัลผ่านแอปฯ เป๋าตัง ครั้งแรก เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2565 (สลากงวดวันที่ 16 มิถุนายน 2565) จำนวน 5 ล้านใบ ราคาใบละ 80 บาท เพื่อแก้ปัญหาการขายสลากเกินราคา และสามารถตรวจสอบอายุของผู้ซื้อ เพื่อป้องกันการขายสลากให้ผู้ที่อายุต่ำกว่า 20 ปี มีการยืนยันสิทธิความเป็นเจ้าของสลาก และมีบริการเลือกรับเงินรางวัลที่สะดวก ปลอดภัย โดยสามารถโอนเงินรางวัลภายใน 2 ชั่วโมงหลังประกาศผลรางวัล สามารถอำนวยความสะดวกให้ประชาชนเข้าถึงบริการของหน่วยงานรัฐ สร้างความพึงพอใจและผลตอบรับที่ดีจากประชาชนผู้ซื้อสลากเป็นอย่างมาก

ทั้งนี้ ตั้งแต่งวดวันที่ 16 มิถุนายน  2565 จนถึงงวดวันที่ 16 มิถุนายน 2566 มีผู้ถูกรางวัลสลากดิจิทัลรวมทั้งสิ้น 1,135,099 ราย และมีสลากที่ถูกรางวัลแล้วรวม  5,045,409 ใบ คิดเป็นเงินรางวัลกว่า 17,000 ล้านบาท และมีผู้ถูกรางวัลที่ 1 รวมทั้งสิ้น 165 ราย โดยในงวดวันที่ 16 เมษายน  2566 มีผู้ซื้อสลากดิจิทัลผ่านแอปฯ เป๋าตัง ถูกรางวัลที่ 1 รายเดียวสูงสุดจำนวน 19 ใบ ได้รับเงินรางวัล 114,000,000 บาท

ตลอดระยะเวลา 1 ปีของการซื้อ-ขาย “สลากดิจิทัล” ผ่านแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” มีผู้ซื้อสลากดิจิทัลรวมกว่า 5.8 ล้านราย  มีสลากดิจิทัลที่จำหน่ายไปแล้วรวมทั้งสิ้น 356 ล้านใบ คิดเป็นมูลค่ากว่า 28,000 ล้านบาท เป็นของผู้ค้าสลากรายย่อยจากทั่วประเทศกว่า 38,000 ราย ซึ่งสามารถเข้าถึงกลุ่มผู้ใช้งานแอปฯ เป๋าตัง ที่ปัจจุบันมีจำนวนกว่า 40 ล้านราย และจำหน่ายสลากหมดก่อนถึงวันออกรางวัลทุกงวด  คาดว่าปีนี้ จะมีสลากดิจิทัลจำหน่ายบนแอปฯ เป๋าตังไม่น้อยกว่า 25 ล้านใบต่องวด  จากปัจจุบัน 18.6  ล้านใบต่องวด โดยจะพิจารณาให้สอดคล้องกับความต้องการที่แท้จริงของประชาชน

นอกจากนี้ในเดือน กรกฎาคม 2566 นี้จะมีการเปิดให้บริการฟีเจอร์ใหม่ “QR ขายสลากดิจิทัล” เพื่อเพิ่มช่องทางการซื้อ-ขายรูปแบบใหม่ให้แก่ผู้ซื้อและผู้ค้าสลากดิจิทัล ให้สามารถซื้อสลากดิจิทัลฯ ในรูปแบบ Face-to-Face ผ่านแอปฯ “ถุงเงิน” จากผู้ค้าสลากดิจิทัลโดยตรง โดยผู้ซื้อสามารถเลือกสลากฯ ที่ต้องการจากร้านค้า และสามารถใช้แอปฯ เป๋าตัง สแกนเพื่อซื้อสลากและชำระเงินได้ทันที

ประธานกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาล กล่าวต่อไปอีกว่า การจำหน่ายสลากกินแบ่งรัฐบาลขณะนี้ อยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน แม้ว่าจะมีช่องทางสลากดิจิทัลที่ทำให้ประชาชนสามารถซื้อสลากในราคา 80 บาทได้ แต่ในขณะเดียวกันก็ยังมีลูกค้าบางส่วนที่ต้องการสลากแบบใบอยู่ ทำให้การควบคุมราคายังเป็นไปได้ยาก ดังนั้นโครงการร้านค้าสลาก 80 ซึ่งดำเนินการมาเป็นเวลา 2 ปีแล้ว  ก็จะเป็นตัวเชื่อมให้ผู้ที่ต้องการซื้อสลากแบบใบ สามารถซื้อสลากได้ในราคา 80 บาทได้ แต่เนื่องจากเป็นการซื้อสลากที่ใด้ใบสลากไปครอบครอง ทำให้เกิดการเปลี่ยนมือเพื่อขายต่อเกินราคาได้ จึงมีการควบคุมการจ่ายเงินซื้อสลากผ่านแอปพลิเคชันเป๋าตังเท่านั้น ปัจจุบันมีจุดจำหน่ายสลาก 80 กระจายอยู่ทุกจังหวัดทั่วประเทศ 1,236 จุด และจะขยายจำนวนจุดจำหน่ายเพิ่มขึ้นในอนาคต

สำหรับสลากกินแบ่งรัฐบาลแบบตัวเลข 6 หลัก (L6) และสลากกินแบ่งรัฐบาลแบบตัวเลข 3 หลัก (N3) นั้น ขณะนี้ อยู่ระหว่างพิจารณาแนวทางการกำหนดประเภทและรูปแบบสลาก เพื่อนำเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรีพิจารณาเห็นชอบอีกครั้ง

นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย กล่าวว่า  ตลอดระยะเวลา 1 ปีที่ผ่านมา “สลากดิจิทัล” บนแอปฯ เป๋าตัง ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง สะท้อนถึงความสำเร็จของสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลและธนาคารกรุงไทย ในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง และนำมาต่อยอดแก้ปัญหาของประเทศ ช่วยให้ประชาชนเข้าถึงสลากฯ 80 บาทได้สะดวก ทั่วถึง และเท่าเทียม ด้วยจุดเด่นของแอปฯ “เป๋าตัง” ที่ได้รับการพัฒนาโดย Infinitas by Krungthai ให้เป็น Thailand Open Digital Platform เปิดกว้างให้ประชาชนทุกคนใช้งานได้ง่าย โดยไม่จำเป็นต้องมีบัญชีธนาคารกรุงไทย สอดคล้องกับวิถีชีวิตประจำวันในยุคดิจิทัล สะดวก รวดเร็ว และประชาชนคุ้นเคยเป็นอย่างดี จึงเป็นช่องทางการซื้อ-ขายสลากฯ ที่ตอบโจทย์ทั้งผู้ซื้อ และผู้จำหน่ายสลาก  

สำหรับประโยชน์ต่อผู้จำหน่ายสลากฯ คือ ลดค่าใช้จ่ายจากเดิมที่ขายบนแผง หรือเดินเร่ขาย เปลี่ยนมาขายบนแพลตฟอร์ม โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่ม แต่มีช่องทางและโอกาสในการขายเพิ่มขึ้น เพราะแอปฯ เป๋าตังเป็นศูนย์รวมผู้ซื้อจำนวนมาก จากผู้ใช้งานที่มีจำนวนรวมกว่า 40 ล้านราย ทำให้สลากฯ มีโอกาสถูกเลือกซื้อมากกว่าการวางขายตามปกติ นอกจากนี้ ยังมีเวลาขายมากขึ้น ตั้งแต่เวลา 06.00-23.00 น.  ส่วนประโยชน์ของผู้ซื้อสลากดิจิทัล  คือ ซื้อสลากฯ ได้ในราคา 80 บาท สามารถเลือกซื้อเลขสลากที่ต้องการได้สะดวก รวดเร็ว ไม่ต้องไปหาซื้อตามแผง กรณีถูกรางวัล ผู้ซื้อสลากฯ สามารถขึ้นเงินรางวัลได้ง่าย ด้วยการเลือกโอนเงินรางวัลเข้าบัญชีธนาคารกรุงไทยได้  

จากความสำเร็จในครั้งนี้ เชื่อว่าจะนำไปสู่ความร่วมมือด้านอื่นๆ ต่อไป โดยธนาคารกรุงไทย จะเดินหน้าพัฒนาประสิทธิภาพของแอปฯ เป๋าตัง อย่างต่อเนื่อง เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานของสำนักงานสลากฯ ทั้งในด้านศักยภาพการทำธุรกรรม พัฒนาระบบการขึ้นเงินรางวัลอัตโนมัติ เพิ่มความสะดวกให้ผู้ถูกรางวัล รวมถึงระบบการชำระเงินของผู้จำหน่ายสลาก ที่สามารถทำผ่านแอปฯ เป๋าตังได้ ช่วยลดปริมาณการทำรายการผ่านช่องทางสาขา หรือ ตู้ ATM นอกจากนี้ ยังร่วมกับสมาคมคนตาบอดแห่งประเทศไทย พัฒนาฟีเจอร์ “ตัวอ่านหน้าจอ” หรือ Voice Assistant ช่วยให้ผู้พิการทางสายตาเข้าถึงการซื้อ-ขายสลากดิจิทัล ผ่านแอปฯ เป๋าตังและถุงเงินได้สะดวก รวดเร็ว

“นวัตกรรมทางการเงินได้ถูกพัฒนามาเป็นลำดับ ตามบริบทของโลกที่เปลี่ยนไป เช่นกันกับธนาคารกรุงไทย  ที่ยังคงมุ่งมั่นขับเคลื่อนองค์กรด้วยนวัตกรรม และพัฒนาบริการทางการเงินเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของคนไทยทุกกลุ่มอย่างไม่หยุดยั้ง โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง สนับสนุนการดำเนินงานของภาครัฐ  ตอบโจทย์ การแก้ปัญหาและพัฒนาเศรษฐกิจประเทศอย่างยั่งยืน ตามวิสัยทัศน์ “กรุงไทย เคียงข้างไทย สู่ความยั่งยืน” 

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล และธนาคารกรุงไทย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
FEATURED NEWS

Krungthai Connext คว้ารางวัล LINE Thailand Awards 3 ปีซ้อน

 

ธนาคารกรุงไทย ประสบความสำเร็จในการพัฒนา Krungthai Connext ซึ่งเป็น LINE Official Account ของธนาคาร คว้ารางวัล Best Official Account in Bank & Finance จากเวที LINE Thailand Awards 2022 เป็นปีที่ 3 โดยในปี 2021 ได้รับรางวัล Best Official Account in Finance & Insurance และปี 2019 ได้รับรางวัล Best Official Account of The Year

งานประกาศรางวัล LINE Thailand Awards จัดขึ้น เพื่อเชิดชูความสำเร็จขององค์กรและแบรนด์ที่ใช้งานแพลตฟอร์มในเชิงธุรกิจได้อย่างสร้างสรรค์ ทรงประสิทธิภาพ นำไปสู่ความสำเร็จเชิงการตลาดอันโดดเด่น โดย Krungthai Connext เป็นช่องทางการให้บริการลูกค้าที่มีประสิทธิภาพ ด้วยบริการพิเศษเฉพาะตัว รายงานความเคลื่อนไหวของรายการบัญชี ทั้งเงินเข้าและเงิน แจ้งเตือนใช้จ่ายบัตรเดบิต บัตร Krungthai Travel Card บัตรกรุงไทย Fun Card บริการ Smart Alerts แจ้งเตือนการจ่ายบิลล่วงหน้า และวางแผนออมเงินในโอกาสพิเศษ ตั้งค่าแจ้งเตือนราคาทองคำและค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ เพื่อวางแผนการลงทุน นอกจากนี้ ยังมีฟีเจอร์ค้นหา ATM ใกล้บ้าน และบริการจองคิวใช้บริการสาขา ช่วยให้ลูกค้าวางแผนการทำธุรกรรมต่างๆ ได้สะดวก รวดเร็วขึ้น ตอกย้ำให้เห็นถึงการปรับตัวเข้าสู่ยุคดิจิทัล ด้วยการใช้แพลตฟอร์มในการสร้างการเติบโตให้ธุรกิจ ช่วยสร้างความประทับใจและสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า ส่งผลให้มีผู้ใช้งานเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด มีผู้ใช้งาน Krungthai Connext แล้วกว่า 21 ล้านราย

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : Krungthai Connext

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
FEATURED NEWS

“กรุงไทย” ก้าวนำเทรนด์ AI เปลี่ยนโลก 4 หุ้นเทคชั้นนำ ดีเดย์ 21 มิ.ย.นี้

นายรวินทร์ บุญญานุสาสน์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานธุรกิจตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ธนาคารกรุงไทยมุ่งมั่นพัฒนาตราสารแสดงสิทธิในหลักทรัพย์ต่างประเทศ (Depositary Receipts) หรือ DR80 เพื่อเพิ่มทางเลือกให้ผู้ลงทุนรายย่อยเข้าถึงการลงทุนในต่างประเทศได้ง่าย ด้วยสกุลเงินบาท โดยธนาคารได้เสนอขาย DR และ DRx อ้างอิงหุ้นต่างประเทศชั้นนำไปแล้ว 8 หลักทรัพย์ เช่น อาลีบาบา (BABA80) บีวายดี (BYDCOM80) แอปเปิล (AAPL80X)และเทสล่า (TSLA80X) ซึ่งมีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (มาร์เก็ตแคป) รวมกว่า 5,000 ล้านบาท

ล่าสุด ธนาคารเตรียมออก DR80 เสนอขายโดยตรง (Direct Listing) ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย อ้างอิงหุ้นเทคโนโลยีชั้นนำในสหรัฐอเมริกาและจีน จำนวน 4 หลักทรัพย์ เพื่อเปิดให้ผู้ลงทุนไทยเข้าถึงหุ้นผู้นำด้านเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI ของโลกที่มีการเติบโตสูง เพราะมีส่วนสำคัญในการยกระดับธุรกิจ รวมถึงวิถีชีวิตของคนทั่วโลก และ AI ยังเป็นเครื่องมือสำคัญของโลกในการนำนวัตกรรม เข้ามามีส่วนร่วมสร้างสรรค์โลกให้ยั่งยืน และก้าวสู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ของสหประชาชาติ ประกอบด้วย

DR อ้างอิงหุ้นสหรัฐฯ จำนวน 3 หลักทรัพย์ ออกและเสนอขายในรูปแบบ DRx (Fractional DR) ลงทุนได้เป็นหน่วยย่อยกว่า DR ทั่วไป นักลงทุนสามารถซื้อขายในลักษณะที่เป็น Fractional Share ได้ โดยมีขั้นต่ำอยู่ที่ 0.0001 หน่วย ซึ่งในครั้งนี้ ธนาคารได้ออก DRx อ้างอิง 3 หุ้นอเมริกาชั้นนำ เปิดซื้อขายตาม US Time Zones หรือ เวลา 20.00 – 04.00 น. (T+1) ตามเวลาไทย ได้แก่ 1. DRx อ้างอิงหุ้นสามัญบริษัท ไมโครซอฟท์ คอร์ปอเรชั่น (MSFT80X) ผู้ผลิตซอฟท์แวร์รายใหญ่ หนึ่งในผู้ถือหุ้นใหญ่ของ ChatGPT ซึ่งเป็น AI Chatbot ชื่อดังที่ถูกนำมาต่อยอดธุรกิจอย่างกว้างขวาง 2. DRx อ้างอิงหุ้นสามัญของ บริษัท อัลฟาเบท อิงค์ (GOOG80X) บริษัทแม่ของ Google ที่เปิดตัว Bard ซึ่งเป็น AI Chatbot คู่แข่งสำคัญของ ChatGPT และ New Bing 3. DRx อ้างอิงหุ้นสามัญของ บริษัท เอ็นวิเดีย คอร์ปอเรชั่น (NVDA80X) ผู้นำตลาด GPU หรือ การ์ดจอในธุรกิจเกม ที่ขยายธุรกิจไปสู่ยานยนต์ และ AI รวมถึง GPU ที่ใช้ประมวลผลของ ChatGPT และ AI ของผู้ให้บริการรายอื่น ๆ

DR อ้างอิงหุ้นจีน คือ DR อ้างอิงหุ้นสามัญของ บริษัท ไป่ตู้ อิงค์ (BIDU80) เปิดซื้อขายในเวลาทำการของตลาดหุ้นไทย แบบไม่หยุดพักการซื้อขายระหว่างวัน โดยบริษัทไป่ตู้ เป็นผู้ให้บริการ Search engine รายใหญ่ที่สุดของจีน สร้างรายได้กว่า 6 แสนล้านบาท ในปี 2565 มีผลิตภัณฑ์และบริการครอบคลุมหลายกลุ่มธุรกิจ เช่น Baidu App, Baidu Wiki, Baidu Map, Baidu Feed, iQIYI และ ERNIE Bot เป็นบริษัทระดับโลกที่มีการลงทุนและการพัฒนาเกี่ยวกับเทคโนโลยี AI ที่มีโอกาสเติบโตสูง

ทั้งนี้ ธนาคารเสนอขาย DR และ DRx 4 หลักทรัพย์ใหม่ เปิดโอกาสให้ผู้ลงทุนซื้อขายได้ทั้งช่วงกลางวัน สำหรับ DRและกลางคืน สำหรับ DRx ตั้งแต่วันที่ 21 มิถุนายน 2566 เป็นต้นไป สำหรับผู้สนใจ BIDU80 สามารถซื้อขายผ่านบัญชีหุ้นได้เลย ส่วนการลงทุนใน MSFT80X, GOOG80X และ NVDA80X ต้องเปิดบัญชีซื้อขาย DRx เพิ่ม โดยเปิดบัญชีกับผู้แนะนำการลงทุน หรือ เปิดบัญชีด้วยตัวเองผ่าน แอปพลิเคชัน “Streaming by Settrade” เลือก “My Menu” และเลือก “DRx” เพื่อแจ้งความประสงค์ขอเปิดบัญชี DRx ซึ่งส่งคำสั่งซื้อขายเป็นจำนวนเงินบาทหรือจำนวนหลักทรัพย์ได้ โดยใช้ PIN เดียวกับบัญชีหุ้นหลัก สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ธนาคารกรุงไทยทุกสาขา หรือ Krungthai Contact Center โทร. 02-111-1111 หรือที่ www.krungthai.com

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ธนาคารกรุงไทย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
FEATURED NEWS NEWS

“กรุงไทย” และ “กลุ่ม สิงห์ เอสเตท” ก้าวสู่ Net Zero เชื่อมโยงคาร์บอนเครดิต ครั้งแรกในไทย

“กรุงไทย” และ “กลุ่ม สิงห์ เอสเตท” ก้าวสู่ Net Zero เชื่อมโยงคาร์บอนเครดิต ครั้งแรกในไทย

Facebook
Twitter
Email
Print

นายเอกรัช ศรีอาระยันพงษ์ หัวหน้าสำนักงานผู้ว่าการ การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ขอเชิญชวนร่วมเปิดประสบการณ์ท่องเที่ยวทางรถไฟแนวใหม่ “นั่งรถไฟ KIHA183 ปลูกโกงกาง ที่บางปะกง” แบบวันเดย์ทริป เส้นทางกรุงเทพ – ฉะเชิงเทรา – กรุงเทพ วันที่ 4 มิถุนายน นี้ โดยพาอินเทรนด์ไปกับการท่องเที่ยวแนวใหม่ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Green Tourism)  นำผู้โดยสารเดินทาง ด้วยรถไฟไทยสไตล์ญี่ปุ่น KIHA 183  ร่วมกิจกรรมปลูกป่าโกงกาง ปล่อยปู สร้างบ้านปลาคอนโดปู เที่ยวบ้านสวนเมล่อน เรียนรู้การปลูก รับต้นกล้าเมล่อนกลับไปปลูกต่อที่บ้าน พร้อมสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์วัดกลางน้ำ ณ วัดหงส์ทอง และดื่มด่ำ ชมชิมช้อป ตลาดโบราณคลองสวน 100 ปี ศูนย์กลางการค้าที่สำคัญในอดีตที่ยังมีลมหายใจถึงปัจจุบัน  
 
สนใจรีบสำรองที่นั่งได้ตั้งแต่วันนี้ เพียง 1,499 บาท จำนวนจำกัด 200 ที่นั่งเท่านั้น  โดยราคาดังกล่าวรวมรถบัสปรับอากาศ พร้อมอาหาร 2 มื้อ มื้อเช้าสไตล์ญี่ปุ่น เบนโตะอาหารไทย และมื้ออาหารกลางวันแบบจัดเต็ม จองตั๋วได้ที่สถานีรถไฟและช่องทางจำหน่ายตั๋วในระบบออนไลน์ D-Ticket ของ รฟท. สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์บริการลูกค้าสัมพันธ์หมายเลขโทรศัพท์ 1690 ตลอด 24 ชั่วโมง
 
สำหรับรายละเอียดการเดินทาง เริ่มลงทะเบียน สถานีกรุงเทพ (หัวลำโพง) เวลา 07.00 น. จากนั้น 07.40 น.ออกเดินทางสู่จังหวัดฉะเชิงเทรา  ด้วยขบวนรถพิเศษโดยสารที่ 993/994  ระหว่างทางเสิร์ฟอาหารเช้า เบนโตะอาหารไทย พร้อมร่วมสนุกกับกิจกรรมระหว่างการเดินทางบนขบวนรถ KIHA 183 นอกจากนี้ผู้โดยสารจะได้พบกับจุด Unseen ซึ่งขบวนรถไฟจะจอดให้ผู้โดยสารชมวิวทิวทัศน์บริเวณกลางสะพานข้ามแม่น้ำบางปะกง มีลักษณะคล้ายรถไฟลอยน้ำเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ถึงสถานีชุมทางฉะเชิงเทรา เวลา 10.00 น. เดินทางต่อโดยรถบัสปรับอากาศ สู่ตำบลท่าพลับ อำเภอบ้านโพธิ์ เที่ยวบ้านสวนเมล่อน เรียนรู้การปลูกต้นกล้าเมล่อนที่ช่วยสร้างงานสร้างอาชีพให้แก่เกษตรกร และเดินทางต่อไปตำบลท่าข้าม อำเภอบางปะกง เยี่ยมชนแหล่งเรียนรู้ระบบนิเวศป่าซายเลน โรงเรียนพระพิมลเสนี (พร้อม หงสกุล) นำทุกท่านร่วมกิจกรรม “รักษ์สิ่งแวดล้อมลดโลกร้อน ร่วมปลูกป่าชายเลน ปล่อยปู สร้างบ้านปลาคอนโดปู” ร่วมกันพลิกฟื้นผืนป่าชายเลนของไทย

เวลา 12.30 น. รับประทานอาหารกลางวัน ออกเดินทางต่อไปที่วัดหงษ์ทอง หรือ วัดกลางน้ำ ริมฝั่งอ่าวไทยบริเวณบ่าชายเลน เยี่ยมชมความงาม เจดีย์สีทองอร่าม 3 ชั้น ชั้นล่างประดิษฐานหลวงพ่อพุทธโสธรจำลองและพระพุทธรูปอื่น ๆ ไว้ให้กราบไหว้ขอพร ส่วนชั้น 2 มี หุ่นขี้ผึ้งหลวงปู่สด หรือ พระมงคลเทพมุนี (สด จนทุสโร) วัดปากน้ำภาษีเจริญ องค์พระแก้วมรกตจำลองประดิษฐานอยู่ รวมถึงจัดแสดงภาพวาดพระมหากษัตริย์ตั้งแต่ในอดีตจนถึงรัชกาลปัจจุบัน ส่วนชั้นบนสุดเป็น จุดชมวิวสามารถมองเห็นวิวทะเล พอเวลาน้ำขึ้นทำให้ดูเหมือนอาคารนี้ลอยอยู่กลางน้ำ และยังมีพระธาตุคงคามหาเจดีย์ เจดีย์สีเหลืองทองที่บรรจุพระธาตุพระอรหันต์อยู่ภายใน ตลอดจนมีพระอุโบสถของ วัดหงษ์ทอง ที่ตั้งอยู่กลางทะเลเช่นเดียวกัน
 
เวลา 15.00 น. ออกเดินทางไป ตลาดคลองสวน 100 ปี ตลาดที่อยู่ในสองจังหวัด มีเพียงสะพานไม้สูง ๆ ข้ามแม่น้ำเป็นเส้นแบ่งเขต โดยมีความรุ่งเรืองตั้งแต่อดีตซึ่งเป็นทางผ่านของเรือขนส่งทั้งคนและสินค้าระหว่างบางกอกกับฉะเชิงเทรา ซึ่งสามารถเลือกชม ชิม  ช้อป สินค้าของฝาก อาหารคาวหวาน และของที่ระลึก ได้ตามอัธยาศัย จากนั้น 16.30 น.ออกเดินทางไปสถานีชุมทางฉะเชิงเทรา ถ่ายภาพที่ระลึกกับขบวนรถ KIHA 183 และเดินทางกลับสู่สถานีหัวลำโพง โดยระหว่างทางจอดรับส่งผู้โดยสาร ป้ายหยุดรถพระจอมเกล้า สถานีลาดกระบัง สถานีหัวหมาก สถานีคลองตัน สถานีมักกะสัน  ถึงสถานีหัวลำโพง โดยสวัสดิภาพ เวลา 18.30 น.  

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : การรถไฟแห่งประเทศไทย

Facebook
Twitter
Email
Print
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
FEATURED NEWS NEWS

ตรวจเครดิตบูโรง่ายๆ ผ่าน “เป๋าตังเปย์” ได้แล้ว วันนี้

ตรวจเครดิตบูโรง่ายๆ ผ่าน “เป๋าตังเปย์” ได้แล้ว วันนี้

Facebook
Twitter
Email
Print

ธนาคารกรุงไทยร่วมกับบริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติ (เครดิตบูโร) ให้บริการตรวจข้อมูลเครดิต และเครดิตสกอริ่ง ผ่าน “เป๋าตังเปย์”  ซูเปอร์วอลเล็ตยอดนิยมของคนไทย บนแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” เพิ่มช่องทางให้ประชาชนตรวจสุขภาพทางการเงินได้สะดวก รวดเร็ว ครบทุกข้อมูลสินเชื่อ ทุกสถานะบัญชี ป้องกันภัยไซเบอร์ทางการเงิน เลือกรับรายงานทางอีเมลภายใน 24 ชั่วโมง หรือรับผลทางไปรษณีย์ภายใน 7 วันทำการ ยกระดับบริการเพื่อให้ประชาชน ตรวจเครดิตบูโรได้ง่ายในทุกช่องทางของธนาคาร  ตอบโจทย์วิถีชีวิตยุคดิจิทัล

ขั้นตอนตรวจเครดิตบูโรผ่านเป๋าตังเปย์ บนแอปฯ เป๋าตัง ทำได้โดย คลิกที่ “เป๋าตังเปย์” และเลือก “ตรวจเครดิตบูโร” ซึ่งประชาชนสามารถเลือกรายงานข้อมูลได้ 2 ประเภท คือ 1.ข้อมูลเครดิต 2.ข้อมูลเครดิตและคะแนนเครดิต (เครดิตสกอริ่ง)  ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่  www.ncb.co.th  หากพบปัญหาในการรับข้อมูลเครดิต ติดต่อ consumer@ncb.co.th หรือ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ Krungthai Contact Center โทร. 02-111-1111

ทั้งนี้ เครดิตบูโรและธนาคารกรุงไทย  ให้ความสำคัญและสนับสนุนการเข้าถึงข้อมูลเครดิตผ่านช่องทางดิจิทัลอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นประโยชน์สำหรับประชาชนทุกกลุ่ม ในการตรวจสอบข้อมูลเครดิตของตนเองให้ถูกต้อง ป้องกันภัยไซเบอร์ และเป็นการเตรียมความพร้อมก่อนขอสินเชื่อจากสถาบันการเงิน นอกจากนี้ ยังเป็นการส่งเสริมการสร้างวินัยทางการเงินให้กับประชาชน “ออมก่อนกู้ คิดก่อนใช้ มีวินัย เมื่อมีหนี้” รู้จักวางแผนทางการเงิน ตระหนักถึงความสำคัญของการออม และมีวินัยในการชำระหนี้ รักษาเครดิตของตนเอง เพื่อสร้างความมั่นคงทางการเงินและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นในระยะยาว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ธนาคารกรุงไทย

Facebook
Twitter
Email
Print
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
FEATURED NEWS NEWS

“ปตท.สผ.” ผนึก “กรุงไทย” นำร่องลงทุนบริหาร สภาพคล่องเชื่อมโยงคาร์บอนเครดิต ครั้งแรกในไทย

“ปตท.สผ.” ผนึก “กรุงไทย” นำร่องลงทุนบริหารสภาพคล่องเชื่อมโยงคาร์บอนเครดิต ครั้งแรกในไทย

Facebook
Twitter
Email
Print

ปตท.สผ. ร่วมกับ ธ.กรุงไทย นำร่องโครงการลงทุนเพื่อบริหารสภาพคล่องของ ปตท.สผ. เชื่อมโยงคาร์บอนเครดิต ระยะเวลา 1 ปี เป็นครั้งแรกของประเทศ พร้อมนำผลตอบแทนบางส่วนซื้อคาร์บอนเครดิตคุณภาพ

นายสัมฤทธิ์ สำเนียง รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มงานการเงินและการบัญชี บริษัท ปตทสำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน ) หรือ ปตท.สผ. กล่าวว่า ปตท.สผ. มีเป้าหมายการดำเนินงานเพื่อปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ ภายในปี 2593 (Net Zero Greenhouse Gas Emissions by 2050) ตามที่ประเทศไทยประกาศเจตนารมณ์ในการประชุม COP26 ซึ่งการที่จะบรรลุเป้าหมายดังกล่าวนั้น บริษัทได้บริหารจัดการการสำรวจและผลิตปิโตรเลียม (E&P Portfolio) ซึ่งเป็นธุรกิจหลักของบริษัท รวมถึงดำเนินกิจกรรมเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากกระบวนการผลิต และกิจกรรมที่ชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เช่น การปลูกป่า และโครงการบลูคาร์บอน เป็นต้น นอกจากนี้ การบริหารจัดการทางการเงินและรักษาโครงสร้างทางการเงินที่แข็งแกร่งของบริษัท ยังเป็นอีกแนวทางหนึ่งที่จะช่วยสนับสนุนเป้าหมายดังกล่าวด้วยเช่นกัน การลงทุนเพื่อบริหารสภาพคล่องของ ปตท.สผ. ในครั้งนี้ นอกจากจะเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการสภาพคล่องแล้ว ยังสามารถนำผลตอบแทนจากการลงทุนบางส่วนไปซื้อคาร์บอนเครดิตที่มีคุณภาพ รวมทั้งการลงทุนในโครงการที่สนับสนุนการบริหารจัดการการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในอนาคต ถือได้ว่าเป็นครั้งแรกที่มีการนำนวัตกรรมทางการเงินมาใช้ เพื่อส่งเสริมเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ ซึ่งเป็นอีกส่วนสำคัญที่จะช่วยสนับสนุนการสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนร่วมกัน

นายรวินทร์ บุญญานุสาสน์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานธุรกิจตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ธนาคารมุ่งมั่นพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการด้านตลาดเงินตลาดทุนอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าทั้งกลุ่มนิติบุคคล และนักลงทุนในทุกมิติ ทั้งการปฏิวัติการออกหุ้นกู้เอกชนในรูปแบบหุ้นกู้ดิจิทัล ที่เปิดโอกาสให้นักลงทุนสามารถเข้าถึงการลงทุนในหุ้นกู้ทั้งตลาดแรก และตลาดรอง ได้อย่างทั่วถึงและเท่าเทียม สะดวกและปลอดภัย อีกทั้งบริการด้าน การบริหารจัดการความเสี่ยงทางการเงินของนิติบุคคล ภายใต้กรอบการพัฒนาอย่างยั่งยืน และในครั้งนี้ธนาคารกรุงไทยได้นำประสบการณ์ความเชี่ยวชาญด้านการบริหารเงินลงทุนสำหรับสภาพคล่องของบริษัท มาผนวกกับเป้าหมายด้านการเติบโตอย่างยั่งยืน จับมือกับปตท.สผ. ดำเนินโครงการลงทุนเพื่อบริหารสภาพคล่องเชื่อมโยงคาร์บอนเครดิต (Carbon Credit Linked Investment Program) ถือเป็นประวัติการณ์ใหม่ ครั้งแรกในไทยที่ นำนวัตกรรมด้านการเงิน มาบริหารจัดการด้านการลงทุนให้กับลูกค้า เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ทั้งด้านการสร้างผลตอบแทนจากการลงทุน และตอบโจทย์นโยบายด้านการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขององค์กร โดยธนาคารสนับสนุนการจัดหาคาร์บอนเครดิตให้กับปตท.สผ.เพิ่มเติม หากปตท.สผ.สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ตามดัชนีชี้วัดความสำเร็จ (KPI) ที่ธนาคารกำหนด ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของการสนับสนุนให้บรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ของประเทศในปี 2593 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions) ในปี 2608

“นับเป็นอีกก้าวสำคัญที่กรุงไทย และปตท.สผ.ได้ร่วมสร้างนวัตกรรมทางการเงินใหม่ให้ตลาดเงินและตลาดทุนไทย หลังประสบความสำเร็จในการปฏิวัติการลงทุนของประเทศ ด้วยหุ้นกู้ดิจิทัลครั้งแรกในเอเชีย พร้อมทำสัญญาอนุพันธ์เพื่อป้องกันความเสี่ยงทางการเงิน อ้างอิงผลการดำเนินงานด้านความยั่งยืน (ESG-Linked Cross Currency Swap) เป็นครั้งแรกในประเทศ สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจโดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคมและธรรมาภิบาล (ESG) ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้าน ESG Financial Solution ของธนาคาร ที่เดินหน้าพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน ที่ตอบโจทย์เรื่องการพัฒนาอย่างยั่งยืน (SDGs) ของสหประชาชาติ (UN) โดยเฉพาะ SDGs ข้อ 13 เรื่องการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เป็นการขับเคลื่อนธุรกิจและเศรษฐกิจประเทศให้เติบโตอย่างยั่งยืน ตามวิสัยทัศน์ กรุงไทย เคียงข้างไทย สู่ความยั่งยืน”

PTTEP and Krungthai initiate Thailand’s first carbon credit linked investment program

PTTEP together with Krungthai Bank have jointly promoted sustainable finance through the introduction of a one-year carbon credit linked investment program for PTTEP’s liquidity management, which is the first of its kind in Thailand. Part of the returns will be used to purchase high-quality carbon credits, thereby contributing to the achievement of the greenhouse gas (GHG) reduction goal.

Sumrid Sumneing, Executive Vice President, Finance and Accounting Group at PTT Exploration and Production Public Company Limited (PTTEP), said that PTTEP is committed to achieving Net Zero GHG emissions by 2050, aligning with Thailand’s net zero pledge at COP26. To reach this aspirational goal, the company focuses on managing its exploration and production (E&P) portfolio, which constitutes its core business, and executes GHG emissions reduction plan from the production process. Additionally, PTTEP undertakes GHG offsetting initiatives such as forestation and blue carbon projects. The company recognizes that effective financial management and maintaining a robust capital structure can also be another approach contributing to this goal. By implementing the innovative carbon credit linked investment program, PTTEP aims to enhance liquidity management while using part of the returns from investments to purchase high-quality carbon credits and invest in projects that support GHG emissions management in the future. This groundbreaking financial approach represents the first instance of utilizing financial innovation to support a net zero GHG emissions target, playing a pivotal role in promoting mutual sustainable growth.

Rawin Boonyanusasna, Senior Executive Vice President of the Global Markets Group at Krungthai Bank, emphasized the bank’s unwavering commitment to developing new capital market products and services that cater to the requirements of corporate clients and investors. Past accomplishments include the corporate digital bond, which facilitated trading in both primary and secondary markets, thereby ensuring inclusive, equitable, convenient, and secure access to corporate bond investments. Additionally, the bank provides risk management services for corporate clients. These offerings align with the sustainable development framework. On this occasion, Krungthai Bank leverages its extensive experience and expertise in investment management to enhance liquidity while embracing a sustainable growth agenda. Through a partnership with PTTEP, the bank introduces the carbon credit linked investment program, which marks a significant milestone as it represents the first-ever utilization of financial innovation in Thailand to manage investments for clients, concurrently pursuing investment returns and the organization’s GHG emissions reduction goals. The bank will assist PTTEP in the acquisition of additional carbon credits, contingent upon PTTEP achieving the GHG reduction key performance indicators (KPIs). This collaborative effort contributes to Thailand’s targets of achieving carbon neutrality by 2050 and net zero emissions by 2065.

“Krungthai Bank and PTTEP have achieved yet another significant milestone in financial innovation within the Thai capital market. Building on the success of revolutionizing investment in the country with Asia’s first digital corporate bond and ESG-Linked Cross Currency Swap, we reaffirm our commitment to conducting business with a strong focus on ESG (Environmental, Social, and Governance) principles. This collaboration with PTTEP further solidifies our position as a leading provider of ESG financial solutions, continuously developing new financial products and services that address the United Nations Sustainable Development Goals (SDGs), particularly SDG 13: Climate Action. Our aim is to drive sustainable growth for both our business and the Thai economy, aligning with our vision of ‘Growing Together for Sustainability’,” said Rawin.

Facebook
Twitter
Email
Print

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ปตท.สผ.

Facebook
Twitter
Email
Print
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE