Categories
NEWS UPDATE

คนโสดไทยพุ่งสูง สศช.ชี้แนวทางแก้ไขหาคู่เพิ่ม

ไทยเข้าสู่ยุคสังคมคนโสด สภาพัฒน์เผยคนโสดวัยเจริญพันธุ์พุ่งสูง แนะพัฒนาแพลตฟอร์มหาคู่

เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2567 สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ เปิดเผยข้อมูลที่ชี้ว่า ประเทศไทยกำลังเข้าสู่สังคมคนโสดมากขึ้น โดยจำนวนคนไทยในวัยเจริญพันธุ์ (อายุ 15-49 ปี) ที่ยังโสดเพิ่มขึ้นเป็น 40.5% จากการสำรวจภาวะเศรษฐกิจและสังคมของครัวเรือน (SES) ปี 2566 สะท้อนถึงปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการแต่งงานและการสร้างครอบครัวที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง

จำนวนคนโสดในไทยเพิ่มขึ้น สอดคล้องกับอัตราการแต่งงานที่ลดลง

นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒน์ ระบุว่า อัตราการแต่งงานของคนไทยลดลงต่อเนื่อง จากระดับ 57.9% ในปี 2560 เหลือเพียง 52.6% ในปี 2566 ขณะที่อัตราการหย่าร้างกลับเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน โดยคนโสดส่วนใหญ่พบได้ในพื้นที่เขตเมือง โดยเฉพาะในกรุงเทพมหานครที่มีสัดส่วนคนโสดสูงถึง 50.4%

ปัจจัยที่ทำให้คนไทยโสดเพิ่มขึ้น แบ่งออกเป็น 4 ด้านหลัก

  1. ค่านิยมและทัศนคติที่เปลี่ยนไป
    การเป็นโสดในยุคใหม่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มที่เรียกว่า SINK (Single Income, No Kids) ที่มุ่งเน้นการใช้จ่ายเพื่อตนเอง และ PANK (Professional Aunt, No Kids) ซึ่งเป็นกลุ่มผู้หญิงโสดอายุ 30 ปีขึ้นไปที่มีรายได้ดีและมุ่งเน้นการดูแลหลานแทนการมีลูก

  2. ความคาดหวังที่ไม่สอดคล้องกันในการหาคู่
    ข้อมูลจากบริษัท Meet & Lunch ในปี 2564 พบว่าผู้หญิงกว่า 76% จะไม่เดทกับผู้ชายที่มีรายได้น้อยกว่า และ 83% ไม่คบกับผู้ชายที่มีส่วนสูงน้อยกว่า ขณะที่ผู้ชาย 59% จะไม่คบกับผู้หญิงที่ตัวสูงกว่าและอีกกว่า 60% ไม่เดทกับผู้หญิงที่เคยหย่าร้าง

  3. การขาดโอกาสในการพบปะผู้คน
    คนโสดในปี 2566 มีชั่วโมงการทำงานสูงกว่าค่าเฉลี่ยของทั้งประเทศ โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ ที่ติดอันดับเมืองที่คนทำงานหนักที่สุดเป็นอันดับ 5 ของโลก ทำให้มีเวลาน้อยในการพบปะคนใหม่ ๆ

  4. นโยบายส่งเสริมการมีคู่ของภาครัฐยังไม่เพียงพอ
    แม้ว่าจะมีความพยายามส่งเสริมการแต่งงานและมีลูก แต่ยังไม่ครอบคลุมความต้องการของคนโสด ซึ่งต่างจากประเทศอื่น ๆ ที่มีการสนับสนุนทั้งด้านการเงินและการพัฒนาแพลตฟอร์มหาคู่

แนวทางการแก้ปัญหาและส่งเสริมให้คนโสดมีคู่

เพื่อแก้ปัญหานี้ สภาพัฒน์เสนอแนวทางการสนับสนุนให้คนโสดสามารถหาคู่ได้ง่ายขึ้น เช่น

  • การพัฒนา แพลตฟอร์ม Matching ที่ให้บริการโดยภาครัฐร่วมกับผู้ให้บริการเอกชน
  • ส่งเสริมการมี Work-life Balance เพื่อให้คนโสดมีเวลามากขึ้นในการทำกิจกรรมที่ชอบและพบปะผู้คนใหม่ ๆ
  • ยกระดับทักษะและเพิ่มโอกาสความก้าวหน้าในอาชีพ เพื่อให้คนโสดมีความมั่นใจในชีวิตและพร้อมที่จะสร้างความสัมพันธ์

กรณีศึกษาจากต่างประเทศที่น่าสนใจ

หลายประเทศได้ดำเนินการนโยบายส่งเสริมการแต่งงานที่ครอบคลุมมากกว่า เช่น

  • สิงคโปร์ จัดทำโครงการลดคนโสดโดยจ่ายเงินสนับสนุนการออกเดท
  • จีน ใช้แอปพลิเคชันหาคู่ที่พัฒนาจากฐานข้อมูลของคนโสดในเมือง
  • ญี่ปุ่น ใช้ระบบ AI ในการจับคู่เพื่อช่วยให้คนโสดพบคนที่เหมาะสม

สรุปสถานการณ์และแนวทางต่อไป

นายดนุชากล่าวว่า การสนับสนุนให้คนโสดมีคู่และสร้างครอบครัว เป็นเรื่องสำคัญที่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและลดปัญหาการเกิดน้อยลงในระยะยาว การสร้างแพลตฟอร์มหาคู่ที่เข้าถึงง่ายและส่งเสริมการใช้ชีวิตอย่างสมดุลจะช่วยให้คนโสดมีโอกาสพบคนที่เหมาะสมและสร้างครอบครัวได้ง่ายขึ้น

คำถามที่พบบ่อย (FAQs)

  1. ทำไมจำนวนคนโสดในไทยถึงเพิ่มขึ้น?
    เพราะค่านิยมที่เปลี่ยนไป การทำงานหนัก และความคาดหวังที่ไม่สอดคล้องกันในการหาคู่

  2. ภาครัฐมีแนวทางส่งเสริมการมีคู่หรือไม่?
    มีการเสนอพัฒนาแพลตฟอร์ม Matching และสนับสนุน Work-life Balance

  3. กรณีศึกษาจากประเทศอื่น ๆ มีอะไรบ้าง?
    สิงคโปร์, จีน, และญี่ปุ่นมีการพัฒนาแอปพลิเคชันและโครงการสนับสนุนการหาคู่

  4. คนโสดในไทยส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มไหน?
    กลุ่ม SINK และ PANK ซึ่งเน้นใช้จ่ายเพื่อตนเองและไม่มีลูก

  5. นโยบายใดที่จะช่วยให้คนโสดมีเวลาหาคู่มากขึ้น?
    การส่งเสริม Work-life Balance และการลดชั่วโมงการทำงาน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
FOLLOW ME
MOST POPULAR
Categories
NEWS UPDATE

ข้อมูลจากสภาพัฒน์ฯ บอกคนไทย อายุ 15-49 ปี กำลัง “โสด” ถึง 40.5%

 
เมื่อวันที่ 27 พ.ค.2567 สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยถึงเรื่องภาวะสังคมไทยไตรมาสหนึ่ง ปี 2567 โดยข้อมูลการสำรวจภาวะเศรษฐกิจและสังคมของครัวเรือน (SES) พ.ศ.2566 พบว่าคนไทยครองตัวเป็นโสดมากขึ้น คิดเป็นร้อยละ 23.9 หรือ 1 ใน 5 ของคนไทย และหากพิจารณาเฉพาะช่วงวัยเจริญพันธุ์ตั้งแต่อายุ 15-49 ปีจะมีสัดส่วนมากถึงร้อยละ 40.5 สูงกว่าภาพรวมประเทศเกือบเท่าตัว และเพิ่มขึ้นจาก พ.ศ.2560 (ร้อยละ 35.7) 
 
โดย ร้อยละ 50.9 อยู่ในช่วงอายุ 15 – 25 ปี สัดส่วนการแต่งงานในช่วงวัยเจริญพันธุ์ ปี 2560 -2566 ปรับตัวลดลงต่อเนื่อง โดยปี 2566 อยู่ที่ร้อยละ ร้อยละ 52.6 ลดลงจากปี 2565 ที่อยู่ที่ร้อยละ 53.2 และลดลงจากปี 2560 อยู่ที่ร้อยละ 57.9 ขณะเดียวกันการหย่าร้างในอัตราที่สูงขึ้น โดยในปี 2566 มีประมาณ 400,000 คู่ ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปี 2560 ร้อยละ 22
 
 

โดยปัจจัยที่ส่งผลต่อการเป็นคนโสดแบ่งได้เป็น 4 ด้าน คือ

1) ค่านิยมทางสังคมของการเป็นโสดยุคใหม่ อาทิ “SINK (Single Income,No Kids)” หรือคนโสดที่มีรายได้และไม่มีลูก” เน้นใช้จ่ายเพื่อตนเอง จากข้อมูล SES ในปี 2566 พบว่า สัดส่วนคนโสด SINK สูงขึ้นตามระดับรายได้ “PANK (Professional Aunt, No Kids)” หรือกลุ่มผู้หญิงโสดอายุ 30 ปีขึ้นไป ที่มีรายได้ อาชีพการงานดีและไม่มีลูก” ที่ให้ความสำคัญกับการดูแลหลาน เด็กในครอบครัวรอบตัว

 

โดยคนโสด PANK มีจำนวน 2.8 ล้านคน ส่วนใหญ่มีรายได้ดีและจบการศึกษาสูง และ “Waithood” กลุ่มคนโสดที่เลือกจะรอคอยความรักเนื่องจากความไม่พร้อม ไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจ ส่วนหนึ่งสะท้อนได้จากคนโสดร้อยละ 40 ที่มีรายได้ต่ำสุด โดยมีสัดส่วนอยู่ที่ร้อยละ 37.7 ส่วนใหญ่เป็นเพศชายมากถึงร้อยละ 62.6 มีระดับการศึกษาที่ไม่สูงนัก ทำให้ความสามารถในการหารายได้จำกัด

2) ปัญหาความต้องการ ความคาดหวังที่ไม่สอดคล้องกัน เป็นผลจากความคาดหวังทางสังคมและทัศนคติต่อการมองหาคู่ของคนที่เปลี่ยนแปลงไป โดยบริษัท มีทแอนด์ลันช์ สาขาประเทศไทย (2021) พบว่าผู้หญิงกว่าร้อยละ 76.0 จะไม่เดทกับผู้ชายที่มีรายได้น้อยกว่า และร้อยละ 83.0 ไม่คบกับผู้ชายที่มีส่วนสูงน้อยกว่า ขณะเดียวกัน ผู้ชายร้อยละ 59.0 จะไม่คบกับผู้หญิงตัวสูงกว่า และอีกว่าร้อยละ 60.0 ไม่เดทกับผู้หญิงที่เคยหย่าร้าง

3) โอกาสในการพบปะผู้คน โดยใน พ.ศ.2566 คนโสดมีชั่วโมงการทำงานสูงกว่าค่าเฉลี่ยของทั้งประเทศ โดยข้อมูลจาก LFS สำนักงานสถิติแห่งชาติ เฉลี่ยอยู่ที่ 43.2 ชั่วโมง/สัปดาห์ สูงกว่าภาพรวมประเทศ (42.3 เฉลี่ยอยู่ที่ 43.2 ชั่วโมง/สัปดาห์)

อีกทั้งกรุงเทพฯ ยังจัดอยู่ในอันดับที่ 5 ของเมืองที่แรงงานทำงานหนักที่สุดในโลก ทำให้คนโสดไม่มีโอกาสในการมองหาคู่

4) นโยบายส่งเสริมการมีคู่ของภาครัฐยังไม่ต่อเนื่องและครอบคลุมความต้องการของคนโสด โดยนโยบายส่งเสริมการมีคู่ของไทยในช่วงที่ผ่านมายังมีไม่มากนัก โดยเน้นไปที่กลุ่มคนโสดที่มีความพร้อม ขณะที่ ในต่างประเทศมีแนวทางการส่งเสริมการมีคู่ที่ครอบคลุมไปถึงการบรรเทาภาระค่าใช้จ่าย และการสร้างโอกาสในการมีคู่

 

 

ทั้งนี้ มีแนวทางสนับสนุนให้คนมีคู่ ดังนี้

1) การสนับสนุนเครื่องมือการ Matching คนโสด โดยภาครัฐอาจร่วมมือกับผู้ให้บริการพัฒนาแพลตฟอร์ม เพื่อส่งเสริมให้คนโสดสามารถเข้าถึงได้มากขึ้น

2) การส่งเสริมการมี Work-life Balance ทั้งในภาครัฐและเอกชน ทำให้คนโสดมีคุณภาพชีวิตที่ขึ้น และเพิ่มโอกาสให้คนโสดมีเวลาทำกิจกรรมที่ชอบและพบเจอคนที่น่าสนใจมากขึ้น

3) การยกระดับทักษะที่จำเป็นในการทำงาน เพิ่มโอกาสความก้าวหน้าในอาชีพการงานและรายได้ซึ่งคนโสดยังมีโอกาสพบรักจากสถานศึกษาได้อีกด้วย

4) การส่งเสริมกิจกรรมและการมีส่วนร่วมทางสังคมอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้คนโสดมีโอกาสพบปะและสร้างความสัมพันธ์ใหม่ ๆได้

 

 

สำหรับปัญหาสุขภาพจิตยังคงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในสังคมไทย โดยข้อมูลจากกรมสุขภาพจิต พบว่า มีผู้ป่วยจิตเวชเข้ารับบริการเพิ่มขึ้น จาก 1.3 ล้านคน ในปี 2558 เป็น 2.9 ล้านคน ในปี 2566 ซึ่งหากพิจารณาในรายละเอียด จะพบประเด็นที่มีความน่ากังวล ดังนี้

1.แม้ว่าประเทศไทยจะมีผู้ป่วยเข้ารับการรักษา 2.9 ล้านคน แต่ผู้มีปัญหาอาจมากถึง 10 ล้านคน ทำให้สัดส่วนผู้มีปัญหาสูงกว่าค่าเฉลี่ยระดับโลก และสะท้อนให้เห็นว่ายังมีผู้ที่ไม่ได้เข้ารับรักษาเป็นจำนวนมาก

2.ผู้มีความเสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพจิตมีสัดส่วนสูงเช่นกัน โดยระหว่างวันที่ 1 ต.ค.2566 – 22 เม.ย.2567 พบผู้มีความเครียดสูงถึงร้อยละ 15.48 เสี่ยงซึมเศร้า ร้อยละ 17.20 และเสี่ยงฆ่าตัวตายร้อยละ 10.63 ซึ่งแย่ลงกว่าในช่วงปีที่ผ่านมา

3) ปัญหาสุขภาพจิตไม่เพียงกระทบต่อตนเอง แต่ยังส่งผลต่อเศรษฐกิจมากกว่าที่คาดคิด องค์การอนามัยโลก (WHO) พบว่า ภาวะซึมเศร้าและความวิตกกังวลของประชากรทั่วโลก ทำให้วันทำงานหายไปประมาณ 12 พันล้านวัน สร้างความสูญเสียทางเศรษฐกิจมูลค่ากว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ

4) เกือบ 1 ใน 5 ของผู้มีปัญหาสุขภาพจิตไม่สามารถดูแลตนเองได้ ทำให้ครัวเรือนต้องจัดหาผู้ดูแลและเป็นการสูญเสียทรัพยากรบุคคลเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ ยังมีผู้ป่วยจิตเวชที่มีความเสี่ยงสูงต่อการก่อความรุนแรง (SMI-V) ไม่ถึง 1 ใน 4 ที่ได้รับการติดตามดูแลและเฝ้าระวังตามแนวทางที่กำหนด

5) สภาพทางเศรษฐกิจและสังคมที่มีความกดดันส่งผลให้คนไทยเป็นโรคซึมเศร้าและโรควิตกกังวลมากขึ้น ในงบประมาณ พ.ศ. 2566 พบสัดส่วนผู้ป่วยกลุ่มโรควิตกกังวลและโรคซึมเศร้า สูงเป็น 2 อันดับแรก สูงกว่าผู้ป่วยติดยาบ้าและยาเสพติดอื่น ๆ รวมกัน

6) การฆ่าตัวตายสูงใกล้เคียงกับช่วงวิกฤตต้มยำกุ้ง ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 พบว่ามีผู้เสียชีวิตจากการฆ่าตัวตายอยู่ที่ 7.94 ต่อประชากรแสนคน ใกล้เคียงช่วงวิกฤตต้มยำกุ้ง (8.59 ต่อประชากรแสนคน)

7) ปัญหาสิ่งแวดล้อม เป็นปัจจัยภายนอกที่ส่งผลต่อสุขภาพจิตภายใน จากการศึกษาในประเทศอังกฤษพบว่า มลพิษทางอากาศส่งผลให้เกิดภาวะซึมเศร้าในเยาวชนเพิ่มขึ้นร้อยละ 20.0 ซึ่งไทยต้องเฝ้าระวังเนื่องจากกำลังประสบปัญหาฝุ่น PM 2.5 สูงเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก

นอกจากนี้ หากพิจารณาตามช่วงวัย พบว่าวัยเด็กและเยาวชนมีปัญหาสุขภาพจิตที่น่ากังวลหลายเรื่องโดยเฉพาะความเครียด ซึ่งมีสาเหตุหลักจากการเรียนและความคาดหวังด้านการทำงานในอนาคต และสถานะทางการเงินของครอบครัว นอกจากนี้การกลั่นแกล้ง (Bully) ในโรงเรียน เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดภาวะซึมเศร้า

วัยทำงานความรับผิดชอบสูง และหลายปัญหารุมเร้า บริษัท Kisi พบว่า ในปี 2565 กรุงเทพฯ อยู่ในอันดับ 5 จาก 100 เมืองทั่วโลกที่มีผู้คนทำงานหนักเกินไป สอดคล้องกับมหาวิทยาลัยมหิดล ที่พบว่า คนกรุงเทพฯ 7 ใน 10 หมดไฟในการทำงาน อีกทั้ง ข้อมูลจากสายด่วน 1323 ของกรมสุขภาพจิต พบว่า ปี 2566 วัยแรงงานขอรับบริการเรื่องความเครียด วิตกกังวล ไม่มีความสุขในการทำงานถึง 5,989 สาย จากทั้งหมด 8,009 สาย

สำหรับ ผู้สูงวัยต้องอยู่กับความเหงาและโดดเดี่ยว สูญเสียคุณค่าในตนเอง ในปี 2566 พบว่า ผู้สูงอายุร้อยละ 84.93 มีความสุขในระดับที่ดีแต่จะลดน้อยลงตามวัย ส่วนหนึ่งเกิดจากการขาดกิจกรรมและบทบาททางสังคม อีกทั้ง ยังพบผู้สูงอายุที่ต้องอยู่คนเดียวเพิ่มขึ้น และมีผู้สูงอายุอีก 8 แสนคน มีภาวะความจำเสื่อม ซึ่งส่วนใหญ่มีปัญหาสุขภาพจิตด้านอื่นร่วมด้วย

สถานการณ์ข้างต้นสะท้อนให้เห็นว่า ปัญหาสุขภาพจิตต้องได้รับการแก้ไขอย่างจริงจัง ทั้งการป้องกันต้องสร้างความเข้มแข็งให้สถาบันทางสังคม โดยเฉพาะสถาบันครอบครัว เน้นเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดี

การรักษา เร่งเพิ่มบุคลากรด้านสุขภาพจิตให้เพียงพอรวมทั้งขยายบริการการรักษาผู้ป่วยจิตเวชในสถาบันบำบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติด อีกทั้งต้องนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ให้มากขึ้น เพื่อเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงการบริการ

รวมถึงการติดตามและฟื้นฟูเยียวยา ต้องจัดทำฐานข้อมูลกลางด้านสุขภาพจิตที่ครอบคลุม เร่งติดตามผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงก่อความรุนแรงให้ได้รับการรักษาต่อเนื่อง รวมทั้งพัฒนาระบบสวัสดิการชุมชนและสังคม ในการส่งเสริมการฟื้นฟูสภาพจิตใจและขับเคลื่อนงานด้านสุขภาพจิต

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :  สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News