Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

แอร์เอเชียเปิดเส้นทางเชียงราย-สุวรรณภูมิ 1 ต.ค.นี้ เพิ่มทางเลือกสู่กรุงเทพฯ 8 เที่ยวบิน/วัน

แอร์เอเชีย” เปิดเส้นทาง “เชียงราย–สุวรรณภูมิ” 1 ต.ค.นี้ เพิ่มทางเลือกบินเข้า–ออกกรุงเทพฯ รวม 8 เที่ยวบิน/วัน ชูจุดเด่นต่อเครื่องสะดวก–ราคาเริ่ม 900 บาท ดันท่องเที่ยวปลายปีเชียงราย

วการเปิดเส้นทางบินใหม่มักถูกจัดวางไว้ในหมวดธุรกิจการบินทั่วไป แต่กรณี เชียงราย–สุวรรณภูมิ ของแอร์เอเชียมีนัยสำคัญต่อ การเชื่อมต่อการเดินทาง” ของทั้งคนท้องถิ่นและนักท่องเที่ยว ด้วยเหตุผลอย่างน้อย 4 ประการ คือ (1) เพิ่ม ทางเลือกสนามบิน” ระหว่าง ดอนเมือง และ สุวรรณภูมิ ซึ่งมีโครงสร้างเครือข่ายระหว่างประเทศต่างกัน ทำให้ผู้โดยสารเลือกบินเข้า–ออกให้สอดคล้องกับแผนต่อเครื่องของตนได้ (2) ขยาย ความถี่เที่ยวบิน รวมเป็น 8 เที่ยวบิน/วัน (ตามที่สายการบินระบุ: 6 เที่ยวบิน/วัน เชียงราย–ดอนเมือง และ 2 เที่ยวบิน/วัน เชียงราย–สุวรรณภูมิ) ตอบโจทย์การวางแผนเดินทางยืดหยุ่นขึ้น (3) ยกระดับ ความสะดวก Fly Thru โดยเฉพาะผู้โดยสารที่ต้องต่อเครื่องไปปลายทางในประเทศและต่างประเทศ และ (4) อาศัย แรงส่งฤดูกาลท่องเที่ยวปลายปี ซึ่งเป็นช่วงคึกคักของภาคเหนือ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่นในวงกว้าง คำถามชวนคิดคือ เมื่อเชียงรายมีเที่ยวบินเข้า–ออกจากกรุงเทพฯ ได้ทั้ง 2 สนามบิน ผู้โดยสารจะได้ผลประโยชน์อะไรบ้าง?” และ ความถี่ 8 เที่ยวบิน/วัน จะเปลี่ยนสมการการท่องเที่ยวปลายปีของเชียงรายอย่างไร?” บทความนี้พาเจาะทั้งตารางบิน จุดขาย บริการต่อเครื่อง โปรโมชั่น ราคา และความคาดหวังของผู้ประกอบการในพื้นที่อย่างเป็นระบบ

ข่าวดีรับไฮซีซัน—ตารางบินใหม่เริ่ม 1 ตุลาคม 2568

เชียงราย, 18 สิงหาคม 2568 — แอร์เอเชียยืนยันเริ่มเปิดเส้นทาง เชียงราย–สุวรรณภูมิ (CEI–BKK)” วันที่ 1 ตุลาคม 2568 ให้บริการ 2 เที่ยวบิน/วัน เสริมจากเส้นทางเดิม เชียงราย–ดอนเมือง (CEI–DMK)” ที่บินอยู่แล้ว 6 เที่ยวบิน/วัน ส่งผลให้ภาพรวม เชียงราย–กรุงเทพฯ ภายใต้แบรนด์แอร์เอเชียเพิ่มเป็น 8 เที่ยวบิน/วัน ในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวปลายปี

ตารางเที่ยวบิน (ตามประกาศเบื้องต้นของสายการบิน)

  • สุวรรณภูมิ เชียงราย
    FD4150 ออก 06:50 ถึง 08:05
    FD4152 ออก 14:30 (เวลาถึงตามเอกสารเบื้องต้น)
  • เชียงราย สุวรรณภูมิ
    FD4151 ออก 08:40 ถึง 09:50
    FD4153 ออก 16:25 ถึง 17:50

หมายเหตุ: รายละเอียดเวลาอาจมีการปรับตามการจัดสรรสล็อตบินของสนามบินและข้อกำกับของหน่วยงานรัฐ ผู้โดยสารควรตรวจสอบตารางล่าสุดอีกครั้งก่อนออกเดินทาง

ด้วยโครงสร้างเที่ยวบินเช้า–บ่าย ผู้โดยสารสามารถวางแผนทั้ง ทริปสั้นในวันเดียว (ไปเช้ากลับเย็น) และ ทริประยะยาว ที่ต้องการต่อเครื่องต่างประเทศได้สะดวกขึ้น โดยเฉพาะผู้โดยสารที่ต้องเข้าสุวรรณภูมิเพื่อเชื่อมต่อเที่ยวบินระหว่างทวีปหรือสายการบินพันธมิตรอื่น ๆ

เสียงจากผู้ปฏิบัติการหน้าเทอร์มินัล“เลือกสนามบินได้ ลดเวลาต่อเครื่องบนถนน 60–120 นาที”

นายมานพ ว่องแพร่วิทย์ ผู้จัดการสายการบินไทยแอร์เอเชีย ประจำท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย อธิบายเหตุผลในการกลับมาเปิด เชียงราย–สุวรรณภูมิ ว่าเป็น ดีมานด์ที่ชัดเจนของคนเชียงราย” ซึ่งต้องการบินตรงเข้าสุวรรณภูมิเพื่อการต่อเครื่องระหว่างประเทศและเดินทางธุรกิจ โดยให้ภาพเปรียบเทียบแบบเข้าใจง่ายว่า

“ช่วงเวลาจราจรปกติ การย้ายสนามบินจากดอนเมืองไปสุวรรณภูมิใช้เวลา ราวหนึ่งชั่วโมง และหากเป็นชั่วโมงเร่งด่วนอาจนานถึง ชั่วโมงครึ่ง–สองชั่วโมง เส้นทางใหม่นี้ช่วย ตัดขั้นตอนบนถนน ให้ผู้โดยสารไปถึงจุดต่อเครื่องได้เร็วกว่าและแน่นอนกว่า… ตั้งแต่ 1 ตุลาคมนี้ ใครจะเข้ากรุงเทพฯ ไม่ว่าจะ ดอนเมือง หรือ สุวรรณภูมิ ให้คิดถึงแอร์เอเชียได้เลย เพราะเราบินทั้งสองสนามบิน”

ผู้บริหารสนามย้ำด้วยว่า ช่วงปลายปีคือ ฤดูกาลทองของภาคเหนือ ที่นักท่องเที่ยวเดินทางเข้าพื้นที่เพิ่มขึ้นทุกปี การเพิ่มเส้นทางและความถี่บินจะช่วยให้ ผู้ประกอบการท่องเที่ยว–ที่พัก–ร้านอาหาร–การเดินทางท้องถิ่น ได้รับอานิสงส์ต่อเนื่อง พร้อมย้ำมาตรฐานเดิมของแอร์เอเชียในฐานะ สายการบินราคาประหยัดยอดเยี่ยมของโลกต่อเนื่องหลายปีจาก Skytrax” และ ความตรงต่อเวลา” ซึ่งเป็นจุดแข็งสำคัญของแบรนด์ในไทย

บินสะดวก เลือกได้” กลยุทธ์สองสนามบิน—ดอนเมืองและสุวรรณภูมิ

การมีเที่ยวบิน เข้า–ออกกรุงเทพฯ ได้ทั้ง 2 สนามบิน เปลี่ยนสมการการวางแผนเดินทางของผู้โดยสารในหลายมิติ

  1. การต่อเครื่องระหว่างประเทศ – ผู้โดยสารที่จองไฟลต์สายการบินต่างประเทศ ณ สุวรรณภูมิ จะเข้าเมือง–เช็กอิน–ต่อเครื่องได้ ในสนามบินเดียว ลดความเสี่ยงตกเครื่องจากการเคลื่อนย้ายระหว่างสนามบิน
  2. ทริปธุรกิจ/ราชการ – เลือกสนามบินปลายทางให้ใกล้สถานที่ประชุม/เขตเศรษฐกิจของกรุงเทพฯ มากที่สุด ช่วย ลดเวลาบนถนน ซึ่งเป็นต้นทุนแฝงที่หลายองค์กรเริ่มวัดผล
  3. ท่องเที่ยวใน–นอกประเทศ – สำหรับผู้เดินทางไป ภูเก็ต กระบี่ หาดใหญ่ อุบลฯ อุดรฯ หรือปลายทางอาเซียน เช่น สิงคโปร์ กัวลาลัมเปอร์ ยังใช้ เครือข่าย Fly Thru ผ่านดอนเมือง ได้ตามเดิม ขณะที่ผู้ที่ต้องต่อสายการบินพันธมิตรต่างชาติที่สุวรรณภูมิ ก็มี ไฟลต์ตรงจากเชียงราย ให้เลือกแล้ว

กล่าวโดยรวม กลยุทธ์สองสนามบินทำให้ เชียงรายเชื่อมโลกกว้างได้สั้นลง และยืดหยุ่นขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม

Fly Thru เช็กอินครั้งเดียว ถึงปลายทาง—ลดภาระ ล็อกความแน่นอน

สำหรับผู้ที่ต้อง ต่อเครื่องหลายช่วงทาง แอร์เอเชียชูบริการ Fly Thru ซึ่งเป็นการเช็กอิน–โหลดกระเป๋า ครั้งเดียว ที่สนามบินต้นทาง และรับอีกทีที่ปลายทางสุดท้าย โดยไม่ต้องผ่านพิธีการซ้ำระหว่างทาง ช่วยลดความยุ่งยาก–เวลา–ความเสี่ยงต่อความล่าช้าจากการต่อเครื่องด้วยตนเอง

ตัวอย่างเส้นทางที่ผู้โดยสารเชียงรายนิยม ได้แก่

  • เชียงราย–ดอนเมือง–ภูเก็ต/หาดใหญ่/กระบี่ (เที่ยวไทยปลายปี)
  • เชียงราย–ดอนเมือง–สิงคโปร์/กัวลาลัมเปอร์ (ต่ออาเซียน)

แม้เส้นทาง Fly Thru หลักจะเดินผ่าน ดอนเมือง แต่การมีทางเลือกบินตรงเข้ากรุงเทพฯ ได้ทั้ง DMK/BKK ทำให้ผู้โดยสาร ออกแบบทริป ที่เหมาะกับตารางงาน–ครอบครัว–และงบประมาณของตนได้ง่ายขึ้น

นายมานพ ว่องแพร่วิทย์ ผู้จัดการสายการบินไทยแอร์เอเชีย ประจำท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย

ราคาเปิดเส้นทาง เริ่ม 900 บาท/เที่ยว (เงื่อนไขตามโปรโมชัน)

เพื่อเฉลิมฉลองการเปิดเส้นทางใหม่ แอร์เอเชียประกาศ ราคาเริ่มต้น 900 บาท/เที่ยว สำหรับเส้นทาง เชียงราย–สุวรรณภูมิ โดยเปิดจอง ตั้งแต่วันนี้ถึง 31 สิงหาคม 2568 เดินทาง 1 ตุลาคม–31 ธันวาคม 2568 ผ่านเว็บไซต์และแอป AirAsia MOVE

หมายเหตุ: ราคาดังกล่าวเป็น ราคาโปรโมชันเริ่มต้น (ไม่รวมบริการเสริม) อาจมีความแตกต่างตามวัน–เที่ยวบิน–ที่นั่งคงเหลือ เงื่อนไขเป็นไปตามที่สายการบินกำหนด ผู้โดยสารควรตรวจสอบรายละเอียดล่าสุดก่อนชำระเงินทุกครั้ง

เชียงรายสายอาร์ต” ผนึกศิลปะ–การเดินทาง สร้างประสบการณ์เมืองปลายทาง

ในเชิงการตลาดปลายทาง แอร์เอเชียสื่อสารต่อเนื่องถึงเอกลักษณ์ของเชียงรายในฐานะ เมืองศิลปะ” โดยจับมือ สมาคมขัวศิลปะ เดินหน้าโครงการ เชียงรายสายอาร์ต AirAsia Artscape 2025” เป้าหมายคือยกระดับ พื้นที่สาธารณะ–สตรีตอาร์ต–นิทรรศการร่วมสมัย ในเขตเทศบาลนครเชียงรายให้เป็น จุดหมายภาพจำใหม่ ของนักท่องเที่ยว ทั้งนี้ การมีเที่ยวบินจาก ดอนเมือง และ สุวรรณภูมิ พร้อมกัน คาดว่าจะช่วยให้ งาน–เทศกาล–กิจกรรมศิลป์ ในไฮซีซันมี จำนวนผู้เข้าร่วม และ การใช้จ่าย เติบโตขึ้น

ผลกระทบเชิงระบบ โอกาสของชุมชน–ธุรกิจท้องถิ่น–และห่วงโซ่ท่องเที่ยว

การเพิ่มความถี่เที่ยวบินและสนามบินปลายทางย่อมส่งสัญญาณบวกต่อ ห่วงโซ่อุปทานการท่องเที่ยว ตั้งแต่

  • ที่พัก: โรงแรม โฮมสเตย์ รีสอร์ต มีโอกาสปรับแพ็กเกจ เข้าพักสั้น/ยาว ยืดหยุ่นตามไฟลต์
  • ร้านอาหาร/คาเฟ่/ของฝาก: วาง ดีลร่วมโปรโมชันตั๋วเครื่องบิน จับกลุ่มนักเดินทางเช้า–เย็น
  • รถเช่า/ทัวร์ท้องถิ่น: เสนอ บริการรับ–ส่งสนามบินสองทิศทาง เชื่อม DMK/BKK
  • อีเวนต์–เทศกาล: เลือกวัน–เวลาให้สอดคล้องเที่ยวบินเช้า–บ่าย เพิ่มความเต็มเม็ดเต็มหน่วยของผู้ร่วมงาน

ปัจจัยท้าทายคือ ความพร้อมเชิงคุณภาพบริการ ในเมืองปลายทาง—ตั้งแต่ทักษะภาษา–ข้อมูลท่องเที่ยว–ระบบจอง–การชำระเงิน—เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวที่ มีเวลาเที่ยวจำกัด แต่คาดหวังประสบการณ์ คุ้ม–ครบ–ตรงเวลา

มาตรฐานปฏิบัติการ ความปลอดภัย–ความตรงเวลา–ความพร้อมของฝูงบิน

ผู้จัดการประจำสนามระบุว่า แม้จะ เพิ่มเที่ยวบิน แต่การดำเนินงานยังยึด มาตรฐานความปลอดภัย และ ความตรงต่อเวลา (On-Time Performance) เป็นแกนหลัก โดยมีการเตรียมความพร้อมด้าน

  • บุคลากรภาคพื้น–ลูกเรือ ในช่วงพีกซีซัน
  • การบริหารสลอตบิน ให้สอดคล้องข้อกำกับสนามบิน
  • การสื่อสารผู้โดยสาร กรณีเวลาบินมีการเปลี่ยนแปลง
  • การบริการหลังการขาย ผ่านแอป/คอลเซ็นเตอร์ เพื่อให้การเดินทางเป็นไปอย่างราบรื่นที่สุด

คำแนะนำเชิงปฏิบัติสำหรับผู้โดยสารจองคุ้ม–ต่อเครื่องราบรื่น

  1. ตรวจสอบสนามบินปลายทาง ทุกครั้ง—เลือก DMK หรือ BKK ให้สอดคล้องแผนต่อเครื่อง/ที่พัก/จุดนัดหมายในกรุงเทพฯ
  2. ดูเวลาเผื่อ สำหรับการต่อเครื่องต่างประเทศ หากไม่ใช่ตั๋ว/เครือข่ายเดียวกัน ให้เผื่อเวลา มากกว่าปกติ
  3. อ่านเงื่อนไขราคาโปรโมชัน ให้ครบถ้วน โดยเฉพาะ สัมภาระ–ที่นั่ง–การเปลี่ยนแปลงบัตรโดยสาร
  4. ใช้แอป AirAsia MOVE เพื่อติดตามแจ้งเตือนเที่ยวบิน บอร์ดดิ้งพาส และสิทธิพิเศษ
  5. เช็กกิจกรรมเมือง—หากตั้งใจร่วมงานศิลปะ/เทศกาล ให้จับคู่ เที่ยวบินเช้า–บ่าย เพื่อเก็บกิจกรรมได้เต็มวัน

ทางเลือกเพิ่ม…เวลาชีวิตเพิ่ม—เชียงรายเชื่อมโลกได้คล่องตัวขึ้น

การเปิด เชียงราย–สุวรรณภูมิ ของแอร์เอเชียไม่ใช่เพียงการเพิ่มเส้นทางบิน แต่คือ การเพิ่ม “เวลาชีวิต” ให้ผู้โดยสารจากการ ตัดตอนการย้ายสนามบิน ในกรุงเทพฯ ขณะเดียวกัน ความถี่รวม 8 เที่ยวบิน/วัน ทำให้การวางแผนทริปยืดหยุ่นกว่าเดิม ตอบโจทย์ทั้งนักท่องเที่ยวและภาคธุรกิจ/ราชการที่ต้องเน้น ความตรงเวลาและความแน่นอน เมื่อประกอบกับโมเมนตัม ฤดูกาลท่องเที่ยวปลายปี และการขับเคลื่อนภาพลักษณ์ เชียงรายเมืองศิลปะ” เมืองเหนือสุดแดนสยามจึงมี จุดขายใหม่ ที่จับต้องได้—บินง่าย เข้า–ออกได้สองสนามบิน ราคาเริ่มต้นเข้าถึงได้—และพร้อมผลักเศรษฐกิจฐานรากให้เดินหน้า

ท้ายที่สุด ผู้โดยสารควรยึดหลัก ข้อมูลล่าสุด” เป็นสำคัญ ทั้งเรื่องเวลา เที่ยวบิน ราคา และเงื่อนไข เพื่อให้ทุกการเดินทาง คุ้ม–ครบ–ปลอดภัย–ไม่ตกเครื่อง สมกับฤดูกาลท่องเที่ยวที่หลายคนรอคอย

ข้อมูลติดต่อ–ช่องทางจอง (ตามที่ผู้จัดงานประชาสัมพันธ์แจ้ง)

  • เส้นทางใหม่: เชียงราย (CEI) – สุวรรณภูมิ (BKK) เริ่มบิน 1 ต.ค. 2568
  • ความถี่: 2 เที่ยวบิน/วัน (เสริมจาก เชียงราย–ดอนเมือง 6 เที่ยวบิน/วัน)
  • โปรเปิดเส้นทาง: ราคาเริ่ม 900 บาท/เที่ยว จองถึง 31 ส.ค. 2568 เดินทาง 1 ต.ค.–31 ธ.ค. 2568
  • จองผ่าน: เว็บไซต์และแอป AirAsia MOVE
  • หมายเลขเที่ยวบินเบื้องต้น: FD4150, FD4151, FD4152, FD4153 (ตรวจสอบเวลาอีกครั้งก่อนเดินทาง)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • Thai AirAsia / AirAsia MOVE – ข่าวประชาสัมพันธ์เส้นทาง เชียงราย–สุวรรณภูมิ, ตาราง–หมายเลขเที่ยวบิน, เงื่อนไขราคาโปรโมชั่น, บริการ Fly Thru
  • ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย (AOT/ทอท.) – ประกาศ/ข้อมูลตารางบินและการให้บริการผู้โดยสาร ณ สนามบินเชียงราย
  • ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (AOT/ทอท.) – ข้อมูลการจัดสรรสลอต–อาคารผู้โดยสาร–ขั้นตอนผู้โดยสารขาเข้า/ขาออก–การต่อเครื่อง
  • สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (CAAT) – กรอบกำกับดูแลเส้นทางบิน สิทธิการบิน และมาตรฐานความปลอดภัยสายการบิน
  • Skytrax – ผลรางวัล “World’s Best Low-Cost Airline” ที่แอร์เอเชียได้รับต่อเนื่อง (อ้างอิงเพื่อบริบทภาพลักษณ์แบรนด์)
  • เทศบาลนครเชียงราย / สมาคมขัวศิลปะ – ข้อมูลโครงการ เชียงรายสายอาร์ต AirAsia Artscape 2025” และกิจกรรมศิลปะร่วมสมัยในเมือง
  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) – สถิตินักท่องเที่ยวฤดูกาลท่องเที่ยวภาคเหนือ แนวโน้มการเดินทางปลายปี (เพื่อประกอบการวิเคราะห์ผลกระทบ)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

อนาคตเชียงราย 472 ความเห็นชี้ทางเทศกาลปลายปี ต้องดุลยภาพระหว่างเมืองและท่องเที่ยว

เทศกาลปลายปีเชียงราย” จะไปต่อแบบไหน? ถอดบทเรียนจากเสียงประชาชน 472 ความเห็นเชื่อมข้อมูลท่องเที่ยวและความปลอดภัย สู่ทางเลือกที่ยั่งยืน

เชียงราย, 13 สิงหาคม 2568 — “ถ้าปลายปีเชียงรายไม่จัด ‘เทศกาลดอกไม้’ ควรเปลี่ยนเป็นเทศกาลอะไรดี?” คำถามปลายเปิดจากเพจ นครเชียงรายนิวส์ โพสต์เมื่อ 10 สิงหาคม กลายเป็นจุดสตาร์ทย่อยๆ ที่ปลุกให้คนเมืองและชาวเชียงรายบางส่วนได้ออกมาแสดงความเห็นแบบหลากหลายทั้งสนับสนุนให้จัดต่อ ปรับรูปแบบ หรือเปลี่ยนใหม่ไปเลย สะท้อนความคาดหวังต่ออนาคตเศรษฐกิจท่องเที่ยวท้องถิ่นในฤดูไฮซีซันปลายปี

เพียงไม่กี่ชั่วโมง โพสต์ดังกล่าวมียอดแสดงความเห็นรวม 472 คอมเมนต์ พร้อมปฏิกิริยาและการแชร์อีกจำนวนมาก แม้จะเป็น “แบบสำรวจไม่เป็นทางการ” แต่ปริมาณการมีส่วนร่วมที่สูงพอสะท้อนพลังการถกเถียงที่กว้างขวางและสำคัญยิ่งสำหรับหน่วยงานที่กำลังคลิกเครื่องวางแผนงบประมาณ และโปรแกรมกิจกรรมฤดูท่องเที่ยวปลายปีของจังหวัด

จาก 472 ความเห็น 5 เส้นเรื่องใหญ่

เมื่อนำสาระจากคอมเมนต์ทั้งหมดมาคลี่เป็นประเด็น จะพบ “5 เส้นเรื่อง” ที่ประชาชนพูดถึงมากที่สุด เรียงจากมากไปน้อย ดังนี้

  1. โครงสร้างพื้นฐานและสาธารณูปโภค — กลุ่มนี้เสนอให้ “หยุด-พัก” งบเทศกาล แล้วหันไปอุด “คอขวดเมือง” แทน ตั้งแต่ถนน หลุมบ่อ ฟุตพาท ระบบระบายน้ำป้องกันน้ำท่วม ไฟส่องสว่าง และกล้องวงจรปิดในจุดเสี่ยง โดยมีเสียงย้ำเรื่อง “ปลอดภัย เดินง่าย ใช้ได้จริง” เป็นธงนำ
  2. เทศกาลรูปแบบใหม่ — แนวคิดแตกแขนงหลากหลาย ตั้งแต่งานดนตรีริมโขง คอนเสิร์ต K-pop/T-pop เทศกาลศิลปะร่วมสมัย สตรีทอาร์ต เทศกาลอาหารชากาแฟ จนถึงมหกรรมกีฬา สะท้อนภาพจำ “เมืองศิลปะธรรมชาติกาแฟ” ที่เชียงรายสั่งสมมานาน
  3. จัด “เทศกาลดอกไม้” ต่อ แต่ปรับปรุง — เหตุผลหลักคือ “เป็นแบรนด์ของเมืองแล้ว” ข้อเสนอเชิงรูปธรรม เช่น รวมจัด “ที่เดียว-ให้ยิ่งใหญ่” เพิ่มกิจกรรมวัฒนธรรม จุดพลุ แผนการเดินทางจราจรที่จอดรถ และปรับการสื่อสารการตลาดให้ทันสมัยขึ้น
  4. กระตุ้นเศรษฐกิจ-ท่องเที่ยว — เน้นว่าช่วงปลายปีคือ “โอกาสทอง” ของผู้ประกอบการ ต้องมี “กิจกรรมแม่เหล็ก” ดึงคนเข้าเมือง พร้อมเสียงเรียกร้อง “โควตาพื้นที่ขายให้คนท้องถิ่นก่อน” เพื่อให้รายได้กระจายจริง
  5. อนุรักษ์วัฒนธรรมท้องถิ่น — เสนอเทศกาลชาติพันธุ์ล้านนาชนเผ่า ประเพณียี่เป็ง รำวงพื้นบ้าน และการเล่าเรื่องประวัติศาสตร์เมือง เพื่อ “ยึดโยงอัตลักษณ์” ควบคู่การท่องเที่ยว

คำถามชวนคิด: เมื่อเสียงส่วนหนึ่งเรียกร้องให้โยกงบเทศกาลไปแก้ “พื้นฐานเมือง” และอีกส่วนอยากได้ “งานแม่เหล็ก” เพื่อรายได้ช่วงไฮซีซันเชียงรายจะสร้าง “ดุลยภาพ” ระหว่าง คุณภาพชีวิตคนเมือง กับ ภาพจำปลายปี ได้อย่างไร?

ภูมิทัศน์ท่องเที่ยวตัวเลขบอกอะไรเรา

ระดับประเทศ. ปี 2567 (ค.ศ.2024) ไทยต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติราว 35.54 ล้านคน รายได้รวมจากการท่องเที่ยว (ต่างชาติ + ไทยเที่ยวไทย) ประมาณ 2.62 ล้านล้านบาท สัญญาณฟื้นตัวชัดเจนเมื่อเทียบปีก่อน แม้ยังต่ำกว่าเป้าหมายบางหน่วยงาน แต่สะท้อนอุปสงค์กลับมาเด่นชัดและฐานเศรษฐกิจท่องเที่ยวไทยยังแข็งแรงในภาพรวม

ระดับจังหวัด. ฝั่งเชียงรายเอง ข้อมูลอัปเดตจากภาครัฐระบุว่า รายได้จากการท่องเที่ยวปี 2567 ติดท็อป 10 ของประเทศ อยู่ที่ประมาณ 49,420 ล้านบาท (อันดับ 9) แสดงศักยภาพของเมืองที่ไม่ได้พึ่งนักท่องเที่ยวต่างชาติอย่างเดียว แต่ยืนบนฐานนักท่องเที่ยวไทยและเส้นทาง-ประสบการณ์หลากหลายที่กระจายทั่วทั้งจังหวัด

สัญญาณอื่นๆ ที่นักท่องเที่ยวสนใจเชียงราย. เมืองยังมี “สินทรัพย์วัฒนธรรม-ธรรมชาติ-งานศิลป์” เป็นแม่เหล็ก ทั้ง วัดร่องขุ่น และ พิพิธภัณฑ์บ้านดำ ที่ยืนยันภาพ “เมืองศิลปะร่วมสมัย” ควบคู่กับแลนด์สเคปภูเขา ไร่ชา และวิถีชนเผ่า

ปฏิทินเทศกาลจาก “ดอกไม้ปลายปี” สู่พหุเทศกาล

เพื่อประกอบการตัดสินใจเชิงนโยบาย ควรเห็นภาพ “แพลตฟอร์มเทศกาล” ทั้งปีโดยเฉพาะ ครึ่งหลังของปี ที่เป็นหน้าหนาวและท่องเที่ยวคึกคัก

  • มหกรรมไม้ดอกอาเซียน เชียงราย: งานดอกไม้เชิงพฤกษศาสตร์ช่วง ธ.ค.–ม.ค. ที่ “สวนไม้งามริมกก” เพิ่มน้ำหนักด้านการเรียนรู้และเครือข่ายอาเซียน มากกว่าเชิงตกแต่งล้วนๆ
  • งานเชียงรายดอกไม้งาม: เทศกาลดอกไม้ “แบรนด์เมือง” ที่คนจดจำ จัดช่วงปลายปีต่อเนื่องถึงก.พ. เป็นสินทรัพย์ทางการตลาดที่มีมูลค่าทางอารมณ์สูง หากปรับวิธีบริหารจัดการให้ยั่งยืน จะยิ่งทวีคูณผลลัพธ์ทางเศรษฐกิจและภาพลักษณ์

แกนคิดสำคัญ การบริหารพอร์ตอีเวนต์ที่ ไม่ทับซ้อนกัน และ ไม่กินงบกันเอง จึงสำคัญกว่าการถกเถียงแบบ “เอา-ไม่เอา” งานใดงานหนึ่ง

มิติความปลอดภัย เหตุผลที่ “เชียงราย” น่าสนใจในสายตาโลก

ปัจจัยความปลอดภัย โดยเฉพาะ ความปลอดภัยเชิงเพศสภาพ กำลังกลายเป็นตัวชี้ขาดเส้นทางการท่องเที่ยวและการอยู่นานของดิจิทัลโนแมด งานศึกษาของ Holidu (แพลตฟอร์มท่องเที่ยวในยุโรป) จัดทำ ดัชนีเมืองที่ปลอดภัยสำหรับนักท่องเที่ยวดิจิทัลโนแมดหญิง จากหลายปัจจัย เช่น ความปลอดภัยเวลาเดินคนเดียวกลางคืน ความเป็นมิตรต่อผู้หญิง/ชาวต่างชาติ อัตราส่วนเพศในชุมชนโนแมด และกฎหมายคุ้มครองจากการคุกคามในที่ทำงาน—โดยผลลัพธ์หนึ่งระบุว่า เชียงรายติดอันดับ 2 ของโลก รองจากไทเป ในปีล่าสุดที่มีการเผยแพร่ ซึ่งเป็น “ตราประทับ” ด้านภาพลักษณ์ความปลอดภัยที่น่าสนใจอย่างยิ่งสำหรับการตลาดเมืองในยุคโนแมดกำลังเติบโต

นอกจากภาพลักษณ์ระดับโลก สิ่งที่หน่วยงานท้องถิ่นทำได้ทันที คือการ ย้ำมาตรการความปลอดภัยผ่านบริการที่จับต้องได้ เช่น ศูนย์ช่วยเหลือนักท่องเที่ยว (Tourist Assistance Center) และงานตำรวจท่องเที่ยวเชิงรุกในย่านท่องเที่ยว/งานเทศกาล ตลอดจนการสื่อสารหลายภาษาเพื่อแปลง “อันดับ” ให้เป็น “ประสบการณ์จริง” ของผู้มาเยือน

ข้อเสนอทางปฏิบัติ (เชิงความปลอดภัยงานเทศกาล)

  • จัดทำ เส้นทางปลอดภัย (Safe Walk) และจุด SOS ในลานกิจกรรม
  • เพิ่มไฟส่องสว่าง-กล้องวงจรปิดในจุดมืด พร้อมจุดสังเกตง่าย
  • จัดเวรยามอาสาสมัครชุมชนและทีมแพทย์สนาม
  • เปิดข้อมูลเหตุการณ์-การตอบสนองแบบเรียลไทม์ให้ประชาชนรับรู้ (“Open Safety Dashboard”) เพื่อสร้างความเชื่อมั่นล่วงหน้า

ทางเลือกเชิงนโยบายเมื่อ “เทศกาล” คือเครื่องมือ ไม่ใช่เป้าหมาย

1) โมเดล “เทศกาลหลัก 1 + ดาวเทียมหลายจุด”
แทนที่จะจัดหลายเทศกาลใหญ่ทับซ้อนในเมืองเดียว เสนอให้ยกระดับ “งานดอกไม้” เป็น Flagship ที่เดียว ยกระดับคุณภาพการจัด-ระบบจราจร-การเข้าถึง-ศิลปกรรมร่วมสมัยและใช้ “งานดาวเทียม” กระจายรอบจังหวัดเชื่อม ชุมชนกาแฟ-ศิลปะ-ชาติพันธุ์ ให้เกิด เส้นทางท่องเที่ยว ที่คนใช้เวลาในจังหวัดได้นานขึ้น และกระจายรายได้ดีขึ้นพร้อมขนส่งสาธารณะเฉพาะกิจช่วงพีกที่เชื่อมตัวเมืองกับจุดกระจาย

2) จัดสรรงบ “เทศกาล 70: เมือง 30”
ตอบโจทย์สองฝ่ายด้วยการกันงบ 30% เพื่อโครงสร้างพื้นฐานด่วน ในย่านท่องเที่ยวที่ชาวบ้านใช้งานจริง ฟุตพาท ทางข้ามคนเดินเท้า ไฟส่องสว่าง กล้องฯ และระบายน้ำ โดยสื่อสารให้สังคมเห็น “ผลงานจับต้องได้” ควบคู่แผนงานเทศกาลจะช่วยลดแรงเสียดทานทางสังคมและสร้างทุนทางความไว้วางใจ

3) เทศกาลเนื้อหา (Content Festival) แทนงานก่อสร้างหนาแน่น
ลดการใช้ดอกไม้สดจำนวนมาก เพื่อความยั่งยืนและต้นทุนหันไปเน้น คอนเทนต์ศิลปะเทคโนโลยีแสงเสียงเรื่องเล่าเมือง และ อีเวนต์เชิงความรู้ เช่น เสวนา “เมืองศิลปะและท่องเที่ยวยั่งยืน” เวิร์กช็อปศิลปะร่วมสมัย เวทีโชว์งานคราฟต์ชาติพันธุ์สิ่งเหล่านี้ใช้ทรัพยากรน้อยกว่าการตกแต่งมวลดอกไม้ แต่ให้ “คุณค่าจดจำ” สูงกว่าและยืดอายุการใช้งานเนื้อหาออนไลน์

4) การตลาดเชิงหัวข้อใหม่ (New Angles)
ต่อยอดความปลอดภัยและภาพลักษณ์ “เมืองทำงานได้เที่ยวง่าย” ด้วยแพ็กเกจ Workation/Remote Year สำหรับกลุ่มดิจิทัลโนแมดหญิงและครอบครัว โรงเรียนระยะสั้น ค่ายเด็ก กิจกรรมธรรมชาติควบคู่การสื่อสาร “Safety First City”—ให้เชียงรายเป็น จุดหมายปลายทางที่รู้สึกปลอดภัย ตั้งแต่วินาทีที่วางแผนจนกลับบ้าน

ประชาชนได้อะไร ถ้าตัดสินใจ “ถูกแกน” ตั้งแต่วันนี้

เมืองเดินได้-อยู่ดีขึ้น งบเทศกาลที่ออกแบบควบคู่การซ่อมเมือง จะทำให้ฟุตพาท ทางข้าม และไฟส่องสว่างดีขึ้นถาวรประชาชนใช้ได้ทุกวัน มิใช่เฉพาะช่วงอีเวนต์ รายได้กระจายไป “รอบนอก” เมื่อเทศกาลหลักโยงเส้นทางนอกเมือง ไร่ชา ดอย ชุมชนกาแฟ ชาติพันธุ์ ร้านเล็กๆ โฮมสเตย์ และบริการขนาดย่อมจะมีลูกค้าเพิ่มเงินกระจายกว้างขึ้น ลดการกระจุกตัว ภาพจำจังหวัดชัดขึ้น เชียงรายไม่เพียง “สวยเพราะดอกไม้” แต่ “สวยเพราะเรื่องเล่าศิลปะวัฒนธรรมปลอดภัย” ซึ่งแปลงเป็นข้อได้เปรียบระยะยาว ดึงคนคุณภาพและกลุ่มครอบครัวกลับมาเยือนซ้ำต้นทุนสิ่งแวดล้อมลดลง การย้ายจาก “มหกรรมดอกไม้สดมวลมาก” ไปสู่ “คอนเทนต์เทคโนโลยีศิลปะร่วมสมัย” ช่วยลดขยะ ลดการใช้น้ำ ลดพลังงาน และทำให้งาน “สเกลได้” โดยไม่ขยายภาระ

มอนิเตอร์ภาพลักษณ์ออนไลน์

โพสต์ถามใจคนเชียงรายเพียงหนึ่งโพสต์จุดกระแสให้เห็น “เส้นเลือดใหญ่ของเมือง” ที่วิ่งควบคู่กันอยู่เสมอ คือ เศรษฐกิจ-วัฒนธรรม-คุณภาพชีวิต ถ้าต้องเลือกระหว่าง “จัดไม่จัด” เทศกาลคำตอบอาจเป็น “จัดให้ตรงแกน” มากกว่าจัดแบบพอเหมาะ พอเพียง สื่อสารเรื่องเล่าของเมืองอย่างมีสไตล์ เชื่อมเส้นทางเที่ยวทั้งจังหวัด เกลี่ยงบไปซ่อมเมืองที่คนใช้จริง และตอกย้ำมาตรการความปลอดภัย เพื่อให้ “ประสบการณ์จริง” สอดคล้องกับ “ภาพลักษณ์โลก” ที่เชียงรายได้บนเวทีสากล

ท้ายที่สุด เทศกาลคือ เครื่องมือ ไม่ใช่ เป้าหมายเครื่องมือที่ดีต้องทำให้คนอยู่ดีขึ้น เมืองยั่งยืนขึ้น และเศรษฐกิจกระจายกว้างขึ้น หากเชียงรายจัดสมดุลสามขานี้ได้ตั้งแต่ปลายปีนี้ เมืองก็มีสิทธิ์กลายเป็น ต้นแบบการจัดเทศกาลเชิงคุณภาพ ของภาคเหนือได้อย่างเต็มภาคภูมิ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สถิติการท่องเที่ยวไทย ปี 2567: “ภาพรวมรายได้จากการท่องเที่ยว 2.62 ล้านล้านบาท นักท่องเที่ยวต่างชาติ 35.54 ล้านคน” โดย ฐานเศรษฐกิจ สรุปจากข้อมูลหน่วยงานด้านท่องเที่ยว (เข้าถึง ส.ค. 2568)
  • ยอดนักท่องเที่ยวต่างชาติปี 2024: รายการสถิติ “Tourism in Thailand” (อัปเดตปี 2025) รวมตัวเลขสิ้นปี 2024 เพื่อการอ้างอิงสากล (ใช้ตรวจทานข้ามแหล่ง)
  • รายได้ท่องเที่ยวจังหวัด ปี 2567 (Top 10): ประกาศอ้างอิงข้อมูลกรมการท่องเที่ยว ระบุ “เชียงราย 49,420.04 ล้านบาท” (อันดับ 9) เผยแพร่ มี.ค. 2568
  • Holidu Magazine ว่าด้วย “เมืองที่ปลอดภัยสำหรับนักท่องเที่ยวดิจิทัลโนแมดหญิง” ระบุไทเปอันดับ 1 และเชียงรายอันดับ 2 (อ้างอิงชุดข้อมูลจากแพลตฟอร์มโนแมด)
  • โพสต์จากสำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์ วันที่ 10 สิงหาคม 2568
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

มลพิษแม่น้ำกก! คุกคามเศรษฐกิจเชียงรายเสียหายหนักกว่า 1.3 พันล้านบาท

วิกฤตแม่น้ำกกภัยมลพิษซ้ำเติมเศรษฐกิจเชียงราย มูลค่าเสียหายกว่า 1.3 พันล้านบาท/ปี ภาคราชการสุ่มเสี่ยงไร้ความต่อเนื่องช่วงเปลี่ยนผ่าน

เชียงราย, 10 สิงหาคม 2568 – วิกฤตมลพิษจากเหมืองแร่รัฐฉานที่ไหลลงสู่แม่น้ำกก ซึ่งเป็นเส้นเลือดหลักของจังหวัดเชียงราย ไม่ได้เป็นเพียงปัญหาสิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่ยังกลายเป็นภัยคุกคามทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่ที่กำลังซ้ำเติมความเปราะบางของพื้นที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่การบริหารราชการของกระทรวงมหาดไทยกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่จากการโยกย้ายและเกษียณอายุ

รายงานการประเมินมูลค่าความเสียหายเบื้องต้นจากสำนักข่าว Lanner เผยตัวเลขที่น่าตกใจว่า หากแม่น้ำกกไม่สามารถใช้งานได้ตามปกติ ความเสียหายทางเศรษฐกิจรวมจะสูงถึง 1,300,006,731 บาทต่อปี ซึ่งเป็นหายนะที่คุกคามปากท้องและอนาคตของชุมชนกว่า 20 ตำบลที่อาศัยอยู่ริมแม่น้ำกกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

หายนะทางเศรษฐกิจมูลค่าความเสียหายใน 3 ภาคส่วนหลัก

ความเสียหายจากวิกฤตแม่น้ำกกกระจายตัวครอบคลุมสามภาคส่วนหลักของเศรษฐกิจเชียงราย ดังนี้:

  1. ภาคการท่องเที่ยว:
    • มูลค่าความเสียหาย: สูงถึง 773,530,143 บาทต่อปี
    • ผลกระทบ: โรงแรมและรีสอร์ทริมแม่น้ำกกเสียหายกว่า 669 ล้านบาท และธุรกิจการท่องเที่ยวริมน้ำ เช่น การล่องเรือ แพเปียก และการขี่ช้าง เสียหายอีกกว่า 104 ล้านบาท เนื่องจากสายน้ำที่เคยดึงดูดนักท่องเที่ยวกลับกลายเป็นแหล่งมลพิษ
    • ตัวอย่าง: ผู้ประกอบการโรงแรมขนาดเล็กและเจ้าของเรือนำเที่ยวต้องเผชิญกับรายได้ที่หดหายในพริบตา ส่งผลกระทบทางอ้อมต่อร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึก และผู้ให้บริการขนส่งที่พึ่งพารายได้จากนักท่องเที่ยว
  2. ภาคเกษตรกรรม:
    • มูลค่าความเสียหาย: ประมาณ 511,450,458 บาทต่อปี
    • ผลกระทบ: พื้นที่เกษตรกรรมริมฝั่งแม่น้ำกกใน 20 ตำบล ซึ่งครอบคลุมพื้นที่เสี่ยงรวม 131,607 ไร่ ไม่สามารถใช้น้ำเพื่อเพาะปลูกได้ โดยในพื้นที่นี้มีพื้นที่ปลูกข้าว (นาปีและนาปรัง) กว่า 103,924 ไร่ และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ 27,682 ไร่ ซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจหลัก
    • ตัวอย่าง: หากน้ำปนเปื้อนจนใช้ไม่ได้ หมายถึงการสูญเสียผลผลิตที่ทำกินของครัวเรือนเกษตรกรจำนวนมาก ซึ่งจะกระทบโดยตรงต่อรายได้ของครัวเรือนเกษตรกรจำนวน 162,922 ครัวเรือน ในจังหวัดเชียงราย
  3. ภาคประมง:
    • มูลค่าความเสียหาย: ประมาณ 15,026,130 บาทต่อปี
    • ผลกระทบ: ชาวประมงจำนวน 105 คนที่พึ่งพารายได้จากการจับปลาในแม่น้ำกก ต้องสูญเสียรายได้ตลอดทั้งฤดูกาล เนื่องจากปลาไม่สามารถอาศัยอยู่ในน้ำที่ปนเปื้อนได้
    • ตัวอย่าง: การสูญเสียรายได้นี้ไม่เพียงแต่กระทบต่อปากท้อง แต่ยังเป็นการสูญเสียวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของชุมชนริมแม่น้ำที่สืบทอดกันมาหลายชั่วอายุคน

ภัยซ้ำเติมการปรับทัพข้าราชการกับวิกฤตความต่อเนื่อง

ในขณะที่วิกฤตแม่น้ำกกกำลังทวีความรุนแรง การบริหารราชการใน กระทรวงมหาดไทย ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการแก้ไขปัญหาในระดับจังหวัด ก็กำลังเผชิญกับการเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่ภายใต้การบริหารของ นายภูมิธรรม เวชยชัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยคนใหม่

มีการดำเนินการโยกย้ายข้าราชการระดับสูงหลายตำแหน่ง ซึ่งรวมถึงการย้าย ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ ไปดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมการปกครอง รวมถึงอธิบดีกรมสำคัญอื่นๆ ก็ถูกโยกย้ายด้วยเช่นกัน แม้การโยกย้ายจะเป็นเรื่องปกติ แต่ในภาวะวิกฤตเช่นนี้ การปรับเปลี่ยนตำแหน่งสำคัญอาจส่งผลต่อความต่อเนื่องในการบริหารจัดการและแก้ไขปัญหาที่ต้องอาศัยความรวดเร็วและเฉียบขาด

นอกจากนี้ ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า กระทรวงมหาดไทยจะเผชิญกับการเกษียณอายุราชการของข้าราชการจำนวนมาก ซึ่งหากไม่มีการบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ อาจเกิด ช่องว่างในการทำงาน ที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อความสามารถในการบรรเทาทุกข์และฟื้นฟูพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากแม่น้ำกก

ทางออกสำหรับเชียงรายรัฐต้องเร่งมือ-ประชาชนต้องได้รับเยียวยา

เพื่อให้ประชาชนในเชียงรายสามารถผ่านพ้นวิกฤตครั้งนี้ไปได้ รัฐบาลและกระทรวงมหาดไทยจำเป็นต้องแสดงความมุ่งมั่นและประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ โดยมีข้อเสนอแนะที่สำคัญดังนี้:

  1. เร่งรัดการตัดสินใจและมาตรการฉุกเฉิน: แม้จะมีการปรับเปลี่ยนตำแหน่ง ผู้บริหารระดับสูงควรใช้อำนาจที่มีในการสั่งการและสนับสนุนทรัพยากรที่จำเป็นอย่างทันท่วงที เพื่อประเมินสถานการณ์และกำหนดมาตรการบรรเทาผลกระทบฉุกเฉินแก่ประชาชนที่ได้รับผลกระทบ
  2. สร้างความมั่นใจในความต่อเนื่องของนโยบาย: การถ่ายทอดนโยบายและแผนงานอย่างชัดเจนให้กับข้าราชการที่เข้ารับตำแหน่งใหม่เป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้การแก้ไขปัญหาเป็นไปอย่างต่อเนื่อง ไม่สะดุดหยุดลง
  3. จัดสรรงบประมาณและทรัพยากรอย่างเร่งด่วน: ด้วยมูลค่าความเสียหายกว่า 1.3 พันล้านบาทต่อปี รัฐบาลต้องจัดสรรงบประมาณฉุกเฉินและทรัพยากรที่จำเป็นเพื่อชดเชยความเสียหาย ฟื้นฟูสภาพแวดล้อม และสนับสนุนอาชีพทางเลือกให้กับผู้ได้รับผลกระทบ เช่น การส่งเสริมพืชเศรษฐกิจอนาคตไกลของจังหวัด อย่างกาแฟดอยตุง, ชาเชียงราย, สับปะรดนางแล และพืชสมุนไพร
  4. โปร่งใสและสื่อสารกับประชาชน: การสื่อสารข้อมูลที่ถูกต้อง ชัดเจน และโปร่งใสเกี่ยวกับการดำเนินงานแก้ไขปัญหา รวมถึงเปิดรับฟังความคิดเห็นจากชุมชนที่ได้รับผลกระทบโดยตรง จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนและนำไปสู่ทางออกที่ยั่งยืน

วิกฤตแม่น้ำกกจึงเป็นบททดสอบสำคัญสำหรับกลไกการบริหารราชการของไทย ว่าจะสามารถปรับตัวและตอบสนองต่อวิกฤตได้อย่างมีประสิทธิภาพหรือไม่ เพื่อให้สายน้ำกกกลับมาเป็นสายเลือดที่หล่อเลี้ยงชีวิตและเศรษฐกิจของชาวเชียงรายได้อย่างยั่งยืนอีกครั้ง

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TRAVEL

มฟล.ทุ่ม 350 ล้าน สร้าง “พิพิธภัณฑ์ศิลปะและธรรมชาติ” ยกระดับเชียงราย

มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงปักหมุดสร้าง “พิพิธภัณฑ์ธรรมชาติ” ศูนย์การเรียนรู้-ท่องเที่ยวแห่งใหม่ของเชียงราย

เชียงราย, 1 สิงหาคม 2568 – ในยุคที่การศึกษาเชิงบูรณาการและการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมกำลังได้รับความสำคัญมากขึ้น มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง (มฟล.) ได้ก้าวสู่การเป็นผู้นำในการสร้างสรรค์พื้นที่การเรียนรู้แห่งใหม่ด้วยโครงการ “พิพิธภัณฑ์ศิลปะและธรรมชาติ” ซึ่งจะเป็นมากกว่าพิพิธภัณฑ์ทั่วไป แต่เป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ด้านวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ การอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ และเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงการศึกษาที่จะเปลี่ยนโฉมหน้าการท่องเที่ยวจังหวัดเชียงรายให้มีมิติใหม่ที่ลึกซึ้งและยั่งยืน

โครงการแห่งความยิ่งใหญ่นี้สะท้อนถึงปรัชญาหลัก “ปลูกป่า สร้างคน” ของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ที่มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงยึดถือมาตั้งแต่ก่อตั้ง พร้อมกับวิสัยทัศน์การเป็น “มหาวิทยาลัยเพื่อสังคม” และ “มหาวิทยาลัยปลอดคาร์บอนสุทธิ” ซึ่งได้รับการยอมรับในระดับสากล โดยเฉพาะการติดอันดับมหาวิทยาลัยสีเขียวอันดับ 8 ของประเทศไทยและอันดับ 101 ของโลกในปี 2567

การลงทุนเชิงยุทธศาสตร์กว่า 350 ล้านบาท สู่อนาคตแห่งการเรียนรู้

โครงการพิพิธภัณฑ์ศิลปะและธรรมชาติแห่งนี้ถือเป็นการลงทุนเชิงยุทธศาสตร์ครั้งสำคัญ ด้วยงบประมาณก่อสร้างรวมกว่า 350 ล้านบาท ครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมด 18,500 ตารางเมตร ที่ออกแบบมาอย่างพิถีพิถันเพื่อตอบสนองความต้องการของศตวรรษที่ 21

การออกแบบโครงการในรูปแบบ “กลุ่มอาคาร” ประกอบด้วย 3 องค์ประกอบหลัก ได้แก่ อาคารพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติที่จะเป็นหัวใจของการจัดแสดงและเก็บรักษาองค์ความรู้ อาคารหอประชุม (Auditorium) สำหรับกิจกรรมสาธารณะและการมีส่วนร่วมของชุมชน และอาคาร Co-Working Space/คาเฟ่ธรรมชาติ ที่จะเป็นพื้นที่สร้างสรรค์และผ่อนคลายให้กับนักเรียน นักศึกษา นักวิจัย และนักท่องเที่ยว

แนวคิดการออกแบบนี้สะท้อนถึงความเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่าพิพิธภัณฑ์ในยุคปัจจุบันต้องเป็นมากกว่าสถานที่จัดแสดง แต่ต้องเป็น “พื้นที่มีชีวิต” ที่ส่งเสริมการเรียนรู้แบบมีปฏิสัมพันธ์ การแลกเปลี่ยนความรู้ และการสร้างประสบการณ์ที่หลากหลาย

เส้นทางสู่ความสำเร็จ จากแผนสู่การปฏิบัติ

การติดตามความคืบหน้าของโครงการแสดงให้เห็นถึงการบริหารจัดการที่มีระบบและโปร่งใส โดย รศ.ดร.ชยาพร วัฒนศิริ อธิการบดีมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง เคยรายงานสถานะของโครงการเมื่อเดือนกันยายน 2565 ว่ากำลังดำเนินการอย่างต่อเนื่อง

ขั้นตอนการดำเนินงานที่ผ่านมาแสดงให้เห็นถึงความรอบคอบและมีระบบ:

เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2565 มหาวิทยาลัยได้ประกาศเปลี่ยนแปลงแผนการจัดซื้อจัดจ้างสำหรับค่าควบคุมงานก่อสร้าง ซึ่งแสดงถึงการปรับปรุงและพัฒนาแผนงานให้เหมาะสมที่สุด

ต่อมาเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2566 มีการประกาศราคากลางสำหรับงานก่อสร้างและระบบสาธารณูปการ โดยใช้วิธีการประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์ (e-bidding) ซึ่งสะท้อนถึงการใช้เทคโนโลยีเพื่อความโปร่งใสและมีประสิทธิภาพ

ในปี 2566 ได้มีการประกาศผลผู้ชนะการจัดซื้อจัดจ้างที่เกี่ยวข้องกับการก่อสร้างพิพิธภัณฑ์ ซึ่งเป็นขั้นตอนสำคัญที่นำไปสู่การก่อสร้างจริง

ข้อมูลเหล่านี้ยืนยันว่าโครงการได้ผ่านขั้นตอนการวางแผน การจัดหาผู้รับเหมา และกำลังก้าวสู่ขั้นตอนการก่อสร้างทางกายภาพ ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับการเปลี่ยนแผนยุทธศาสตร์ให้เป็นรูปธรรมอย่างจริงจัง

ความหมายเชิงลึกเมื่อศิลปะผสานกับธรรมชาติ

สิ่งที่น่าสนใจและแตกต่างจากพิพิธภัณฑ์ทั่วไปคือ การใช้ชื่อ “พิพิธภัณฑ์ศิลปะและธรรมชาติ” ซึ่งแสดงให้เห็นถึงแนวทางสหวิทยาการที่จะนำเสนอธรรมชาติผ่านมุมมองทางศิลปะ และใช้ศิลปะเป็นสื่อในการถ่ายทอดองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์

แนวทางนี้สอดคล้องกับแนวโน้มการศึกษาในศตวรรษที่ 21 ที่เน้นการเชื่อมโยงศาสตร์ต่างๆ เข้าด้วยกัน (STEAM Education) เพื่อสร้างประสบการณ์การเรียนรู้ที่สมบูรณ์และเข้าถึงได้ง่ายสำหรับผู้เรียนทุกเพศทุกวัย

การผสานศิลปะเข้ากับวิทยาศาสตร์ธรรมชาติอาจรวมถึงการใช้เทคโนโลยี Virtual Reality (VR) และ Augmented Reality (AR) เพื่อให้ผู้เยี่ยมชมได้สัมผัสกับระบบนิเวศป่าฝนหรือความหลากหลายทางชีวภาพในรูปแบบที่น่าตื่นตาตื่นใจ การจัดแสดงศิลปะจากวัสดุธรรมชาติ หรือการใช้ศิลปะเป็นสื่อในการสื่อสารประเด็นสิ่งแวดล้อม

สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจว่าพิพิธภัณฑ์แห่งนี้แตกต่างจาก “อุทยานศิลปะวัฒนธรรมแม่ฟ้าหลวง” (ไร่แม่ฟ้าหลวง) ที่มีอยู่แล้วและมุ่งเน้นศิลปะวัฒนธรรมล้านนา โดยพิพิธภัณฑ์แห่งใหม่นี้จะตั้งอยู่ในวิทยาเขตของมหาวิทยาลัยและมุ่งเน้นธรรมชาติเป็นหลัก

ผลกระทบหลายมิติการศึกษา การอนุรักษ์ และการท่องเที่ยว

โครงการพิพิธภัณฑ์แห่งนี้จะส่งผลกระทบในวงกว้าง ครอบคลุมหลายภาคส่วน:

ด้านการศึกษาและการวิจัย พิพิธภัณฑ์จะทำหน้าที่เป็นห้องปฏิบัติการธรรมชาติขนาดใหญ่ สนับสนุนหลักสูตรวิทยาศาสตร์ชีวภาพ วิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม และศาสตร์ที่เกี่ยวข้องของมหาวิทยาลัยโดยตรง นักศึกษาจะได้เรียนรู้จากตัวอย่างจริง ข้อมูลที่ทันสมัย และเทคโนโลยีการจัดแสดงที่ล้ำสมัย นอกจากนี้ยังจะเป็นศูนย์กลางการวิจัยความหลากหลายทางชีวภาพในระดับภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง

ด้านการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม พิพิธภัณฑ์จะเป็นเวทีสาธารณะในการสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับประเด็นสำคัญด้านสิ่งแวดล้อม เช่น ปัญหาการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ ผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และความสำคัญของการพัฒนาที่ยั่งยืน การจัดแสดงจะช่วยให้ประชาชนเข้าใจความเชื่อมโยงระหว่างกิจกรรมของมนุษย์กับสภาพแวดล้อม และเห็นแนวทางในการร่วมมือกันอนุรักษ์ธรรมชาติ

ด้านการท่องเที่ยวเชิงการศึกษา ด้วยชื่อเสียงของเชียงรายในฐานะจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวที่สำคัญ และการออกแบบพิพิธภัณฑ์ที่มีฟังก์ชันหลากหลาย จึงมีศักยภาพสูงที่จะกลายเป็นแหล่งดึงดูดนักท่องเที่ยวเชิงการศึกษาและวัฒนธรรมแห่งใหม่ ซึ่งจะสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจให้กับท้องถิ่นและส่งเสริมการท่องเที่ยวแบบยั่งยืน

ก้าวสำคัญสู่การเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ระดับโลก

โครงการนี้ถือเป็นก้าวสำคัญที่สอดคล้องกับแนวโน้มการศึกษาโลก ที่เน้นการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม การใช้เทคโนโลยี และการเชื่อมโยงกับชุมชน

การที่มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงได้รับการจัดอันดับเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในไทยปี 2025 ด้านความเป็นสากลและความเป็นนานาชาติ ตาม Times Higher Education World University Rankings นั้น เป็นสัญญาณที่ดีว่ามหาวิทยาลัยมีศักยภาพในการจัดการโครงการระดับสากล

นอกจากนี้ การที่มหาวิทยาลัยติดอันดับมหาวิทยาลัยสีเขียวอันดับ 8 ของประเทศไทย และอันดับ 101 ของโลก ยังแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นด้านความยั่งยืนที่แท้จริง ซึ่งจะสะท้อนออกมาในการดำเนินงานของพิพิธภัณฑ์

ความท้าทายและโอกาส

แม้โครงการจะมีศักยภาพสูง แต่ก็มีความท้าทายที่ต้องเผชิญ เช่น การจัดหาผู้เชี่ยวชาญในการจัดแสดงและดูแลรักษาสิ่งของ การพัฒนาเนื้อหาที่ทันสมัยและน่าสนใจ รวมถึงการสร้างเครือข่ายความร่วมมือกับสถาบันการศึกษาและองค์กรอื่นๆ

อย่างไรก็ตาม โอกาสที่จะเกิดขึ้นจากโครงการนี้มีมากมาย ไม่เพียงแต่จะเป็นการยกระดับการศึกษาของจังหวัดเชียงราย แต่ยังจะเป็นการสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ การเสริมสร้างอัตลักษณ์ของพื้นที่ และการเป็นต้นแบบของการพัฒนาที่ยั่งยืน

ก้าวสู่อนาคตแห่งการเรียนรู้

การก่อสร้างพิพิธภัณฑ์ศิลปะและธรรมชาติของมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง จึงไม่เพียงเป็นการขยายโครงสร้างพื้นฐานทางการศึกษา แต่เป็นการลงทุนเพื่ออนาคตของจังหวัดเชียงรายและภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ในฐานะศูนย์กลางแห่งการเรียนรู้ การอนุรักษ์ และการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน

โครงการนี้เป็นเครื่องพิสูจน์ความมุ่งมั่นของมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงในการสืบสานพระราชปณิธาน “ปลูกป่า สร้างคน” และการก้าวสู่การเป็นมหาวิทยาลัยระดับโลกที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืนและการมีส่วนร่วมของสังคม

เมื่อพิพิธภัณฑ์แห่งนี้เปิดให้บริการในอนาคต คาดว่าจะกลายเป็นจุดหมายปลายทางสำคัญสำหรับนักเรียน นักศึกษา นักวิจัย และนักท่องเที่ยวที่ต้องการสัมผัสกับความงดงามของธรรมชาติผ่านมุมมองทางวิทยาศาสตร์และศิลปะ พร้อมทั้งเป็นแรงบันดาลใจในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมเพื่อคนรุ่นต่อไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง (www.mfu.ac.th)
  • ข้อมูลการจัดซื้อจัดจ้างโครงการพิพิธภัณฑ์ศิลปะและธรรมชาติ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง
  • รายงานการจัดอันดับมหาวิทยาลัย Times Higher Education World University Rankings 2025
  • รายงานการจัดอันดับมหาวิทยาลัยสีเขียว UI Green Metric World University Rankings 2567
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

AOT ปั้นเชียงราย ยกระดับสนามบินแม่ฟ้าหลวง สู่ฮับการบินระดับโลก

“AOT เดินหน้าพัฒนาท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย รองรับ 6 ล้านผู้โดยสารต่อปีในปี 2576 สู่มาตรฐาน World Class”

เชียงราย, 1 กรกฎาคม 2568 – บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT ครบรอบ 46 ปี ประกาศเป้าหมายยกระดับท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย จากเดิมที่รองรับผู้โดยสาร 3 ล้านคนต่อปี สู่ 6 ล้านคนต่อปี คาดว่าแผนการขยายโครงสร้างพื้นฐานจะแล้วเสร็จภายในปี 2576 เสริมศักยภาพเมืองเชียงรายสู่ศูนย์กลางการบินและประตูท่องเที่ยวภาคเหนือ ตอบรับการเติบโตของผู้โดยสาร-เศรษฐกิจและภาคบริการภายใต้แนวคิด “World Class Hospitality” และคุณภาพการบริการมาตรฐานสากล 

AOT บริหารท่าอากาศยานหลัก 6 แห่งของประเทศไทย ได้แก่ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ท่าอากาศยานดอนเมือง ท่าอากาศยานเชียงใหม่ ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ท่าอากาศยานภูเก็ต และท่าอากาศยานหาดใหญ่ โดยในช่วง 8 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2568 (เดือนตุลาคม 2567 – พฤษภาคม 2568) มีผู้โดยสารใช้บริการท่าอากาศยานทั้ง 6 แห่งรวม 88.53 ล้านคน เพิ่มขึ้น 9.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แบ่งเป็นผู้โดยสารระหว่างประเทศ 54.24 ล้านคน เพิ่มขึ้น 10.8% และผู้โดยสารภายในประเทศ 34.29 ล้านคน เพิ่มขึ้น 6.9% ขณะที่มีเที่ยวบิน 544,590 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 10.9% แบ่งเป็นเที่ยวบินระหว่างประเทศ 308,777 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 12.5% และเที่ยวบินภายในประเทศ 235,813 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 8.9% นอกจากนี้ AOT ได้ประมาณการปริมาณการจราจรทางอากาศในปีงบประมาณ 2569 (เดือนตุลาคม 2568 – กันยายน 2569) คาดว่าจะมีผู้โดยสารรวมกว่า 130 ล้านคน เที่ยวบินรวมกว่า 859,000 เที่ยวบิน และคาดว่าจะมีจำนวนสินค้าและไปรษณียภัณฑ์ (Cargo) ประมาณ 1.64 ล้านตัน

เดินหน้าพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน-รองรับการเติบโต

จากสถิติ 8 เดือนแรกปีงบประมาณ 2568 ท่าอากาศยานทั้ง 6 แห่งภายใต้ AOT รองรับผู้โดยสารรวมกว่า 88.53 ล้านคน เพิ่มขึ้น 9.2% เที่ยวบินกว่า 544,590 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 10.9% ขณะที่ปีงบประมาณ 2569 คาดยอดผู้โดยสารทั่วประเทศทะลุ 130 ล้านคน เที่ยวบินรวมกว่า 859,000 เที่ยวบิน แนวโน้มนี้สะท้อนความต้องการเดินทางและศักยภาพการเติบโตของเชียงรายในฐานะจุดยุทธศาสตร์

AOT วางแผนพัฒนาท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงให้รองรับผู้โดยสารเพิ่มขึ้นเท่าตัว โดยจะเร่งก่อสร้างขยายอาคารผู้โดยสาร เพิ่มพื้นที่บริการ สิ่งอำนวยความสะดวก โซนพักผ่อน สนามเด็กเล่น โซนชาร์จไฟและพื้นที่นวัตกรรม เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ผู้เดินทางทุกกลุ่มอย่างครบวงจร และเน้นย้ำมาตรฐานความปลอดภัย ความสะอาด และบริการที่เหนือระดับ

AOT กับบทบาทขับเคลื่อนเศรษฐกิจและนวัตกรรม

นอกจากบทบาท “ประตูสู่ประเทศ” AOT ยังเดินหน้าสร้างรายได้ใหม่ ๆ เช่น โครงการเชิงพาณิชย์ ศูนย์ซ่อมบำรุง MRO โรงแรม Terminal Attraction และ Logistics Hub ซึ่งมีนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศสนใจเข้าร่วมกว่า 28 โครงการแล้ว ส่งเสริมระบบเศรษฐกิจและโอกาสการจ้างงานในภูมิภาค

สำหรับสนามบินแม่ฟ้าหลวง เชียงราย มีบทบาทสำคัญต่ออุตสาหกรรมท่องเที่ยวและบริการภาคเหนือ ซึ่งในอนาคตจะสามารถรองรับทั้งสายการบินระหว่างประเทศ เพิ่มปริมาณเที่ยวบินและผู้โดยสาร ช่วยดึงดูดเม็ดเงินเข้าสู่เชียงรายและเมืองเศรษฐกิจรอบข้าง สร้างโอกาสให้ท้องถิ่นเติบโตอย่างมั่นคง

บทวิเคราะห์และความท้าทาย

การขยายสนามบินเชียงรายไม่ใช่แค่เรื่องโครงสร้างพื้นฐาน แต่เป็นการวางรากฐานอนาคตเมืองเชียงรายสู่การเป็นศูนย์กลางด้านโลจิสติกส์และท่องเที่ยวที่มีศักยภาพ หากแผนนี้สำเร็จตามเป้าหมาย จะเปลี่ยนโฉมการเดินทางของคนไทยและชาวต่างชาติในภูมิภาคเหนืออย่างสิ้นเชิง พร้อมเชื่อมโยงเมืองเชียงรายกับตลาดโลก ท้าทายสำคัญคือการบริหารจัดการเพื่อคงคุณภาพบริการในขณะที่การใช้งานสนามบินเพิ่มขึ้น การลงทุนและการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วนจะเป็นกุญแจสู่ความสำเร็จ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (AOT)
  • ศูนย์เรียนรู้การบริหารจัดการสินค้าเกษตรเชียงราย
  • กระทรวงคมนาคม
  • รายงานสถิติสายการบิน/ผู้โดยสาร 2568-2569
  • ข่าวประชาสัมพันธ์ AOT (1 กรกฎาคม 2568)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TRAVEL

เชียงรายชู ‘Healing Mind Camping’ ดึงนักท่องเที่ยวสายสุขภาพ สัมผัสธรรมชาติบำบัด

เชียงรายเปิดประสบการณ์ “Chiang Rai Healing Mind Camping” ดันเมืองสุขภาพ ต่อยอดท่องเที่ยวเชิงสุขภาวะ

เชียงราย, 27 มิถุนายน 2568 – จังหวัดเชียงรายเดินหน้าเปิดประสบการณ์ใหม่แห่งการท่องเที่ยวเพื่อสุขภาวะและจิตใจด้วยกิจกรรม “Chiang Rai Healing Mind Camping” ตอกย้ำการเป็นเมืองท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Chiang Rai Wellness City) โดยมีสำนักงานท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงราย เป็นเจ้าภาพหลักในการจัดงาน ณ WorldGrow Organic Farm ตำบลโป่งผา อำเภอแม่สาย พื้นที่เกษตรอินทรีย์ท่ามกลางธรรมชาติอันงดงามที่ได้รับความนิยมในหมู่นักท่องเที่ยวสายแคมป์ปิ้งและคนรักสุขภาพ

ก้าวสำคัญ… เชียงรายสู่เมืองแห่งสุขภาพ

กิจกรรม Chiang Rai Healing Mind Camping ถือเป็นหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญภายใต้โครงการ “พัฒนาเชียงรายเป็นเมืองแห่งสุขภาพ (Chiang Rai Wellness City)” โดยเน้นการสร้างประสบการณ์ท่องเที่ยวที่ผสานสุขภาพกาย ใจ และความสัมพันธ์ของผู้คนเข้าไว้ด้วยกัน โดยในพิธีเปิดงานได้รับเกียรติจากนายนรศักดิ์ สุขสมบูรณ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธาน ร่วมด้วยตัวแทนหน่วยงานรัฐ เอกชน ชุมชนท้องถิ่น และกลุ่มนักท่องเที่ยวทั้งในและนอกพื้นที่จำนวนกว่า 100 คน

กิจกรรมดังกล่าวยังเป็นการประชาสัมพันธ์ศักยภาพของเชียงรายในฐานะเมืองแห่งการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Wellness Tourism) พร้อมส่งเสริมเศรษฐกิจฐานราก และสนับสนุนผู้ประกอบการในท้องถิ่นให้เข้มแข็งผ่านกิจกรรมที่ตอบโจทย์เทรนด์สุขภาพของโลกยุคใหม่

จุดเด่นของกิจกรรม “Chiang Rai Healing Mind Camping”

จุดเด่นสำคัญของกิจกรรมในปีนี้ อยู่ที่การออกแบบประสบการณ์ให้ผู้เข้าร่วมได้ “สัมผัสธรรมชาติอย่างแท้จริง” พร้อมเสริมสร้างสุขภาพทั้งร่างกายและจิตใจ โดยกิจกรรมที่จัดขึ้น ได้แก่

  • Walk Rally เดินป่าระยะใกล้ สัมผัสเส้นทางธรรมชาติ อากาศบริสุทธิ์ริมขอบแดนเหนือ
  • กิจกรรมกลุ่มสัมพันธ์ ไม่ว่าจะเป็นรอบกองไฟ การพูดคุยแลกเปลี่ยน หรือ Workshop ด้านสุขภาวะที่ช่วยผ่อนคลายความเครียดจากชีวิตประจำวัน
  • กิจกรรมแข่งขันเมนูเด็ด ครัวชาวแคมป์ เปิดโอกาสให้แต่ละกลุ่มสร้างสรรค์เมนูสุขภาพจากวัตถุดิบท้องถิ่น
  • กิจกรรม CSR เพื่อสังคม รวมพลังสร้างจิตสำนึกและความรับผิดชอบร่วมกันต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อม
  • กิจกรรมมินิคอนเสิร์ตจากศิลปิน อย่าง “อภิมรมย์” และ “วรินทร์” ที่มาสร้างความบันเทิงและผ่อนคลายบรรยากาศให้แก่ผู้ร่วมงาน

ทุกกิจกรรมถูกออกแบบมาเพื่อให้ผู้เข้าร่วมได้หลีกหนีความวุ่นวายในเมืองใหญ่ มาสู่บรรยากาศที่เอื้อต่อการผ่อนคลาย ได้ฝึกสมาธิ รู้จักตนเองมากขึ้น และได้รับแรงบันดาลใจดีๆ ในการดูแลสุขภาพกายใจอย่างยั่งยืน

บทเรียนและแรงบันดาลใจใหม่… เพื่อสุขภาพที่ยั่งยืน

ผู้จัดกิจกรรมตั้งเป้าให้ “Chiang Rai Healing Mind Camping” ไม่ใช่เพียงกิจกรรมท่องเที่ยว แต่เป็น “ประสบการณ์” ที่สร้างแรงบันดาลใจให้ทุกคนเห็นความสำคัญของสุขภาพแบบองค์รวม ส่งเสริมการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมชีวิตประจำวันให้หันมาใส่ใจตนเองและสังคมมากขึ้น

การผสมผสานความหลากหลายของกิจกรรม ทั้งด้านร่างกาย จิตใจ และความสัมพันธ์กับผู้อื่น จะช่วยให้ผู้เข้าร่วมเกิดแรงจูงใจ และพร้อมเปลี่ยนแปลงตนเองสู่เป้าหมายการมีชีวิตที่สมดุลและมีสุขภาพดีต่อไปในระยะยาว

ผลกระทบในระดับพื้นที่และทิศทางการพัฒนา

ความสำเร็จของกิจกรรมในปีนี้ นอกจากจะเสริมสร้างภาพลักษณ์ “เมืองแห่งสุขภาพ” ให้กับเชียงรายแล้ว ยังเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญในการขยายตลาด Wellness Tourism ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มเติบโตสูงทั่วโลก ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจระดับชุมชน เกิดการจ้างงานและสร้างรายได้หมุนเวียนในท้องถิ่น

จังหวัดเชียงรายตั้งเป้าเดินหน้าพัฒนาและจัดกิจกรรม Wellness Tourism อย่างต่อเนื่อง พร้อมประสานงานกับทุกภาคส่วน เพื่อสร้างแบรนด์เชียงรายให้เป็น “จุดหมายปลายทางสุขภาพ” ของประเทศ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงราย
  • งานประชาสัมพันธ์ WorldGrow Organic Farm
  • Chiangrai Wellness City
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI FEATURED NEWS

หนีเมือง มาหาธรรมชาติ เชียงรายนำทัพกาแฟ-ชาไทย สู้ศึกนำเข้า

เชียงรายเปิดตัวงานกาแฟ-ชายิ่งใหญ่ สะท้อนการเติบโตตลาดกาแฟไทยท่ามกลางการพึ่งพานำเข้าเพิ่มขึ้น

เชียงราย, 26 มิถุนายน 2568 – ในขณะที่ตลาดกาแฟโลกกำลังขยายตัวอย่างต่อเนื่องและประเทศไทยเผชิญกับปัญหาการผลิตไม่เพียงพอต่อความต้องการภายในประเทศ จังหวัดเชียงรายในฐานะแหล่งผลิตกาแฟชั้นนำของประเทศได้จัดงาน “Chiangrai Coffee & Tea 2025” ขึ้นเป็นครั้งแรก เพื่อส่งเสริมศักยภาพของผู้ผลิตท้องถิ่นและสร้างโอกาสทางธุรกิจในวงการกาแฟไทย

งานที่จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “Escape into Nature – หนีเมือง มาหาธรรมชาติ” ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเชียงราย ระหว่างวันที่ 25-29 มิถุนายน 2568 นี้ ไม่เพียงเป็นการรวมตัวของผู้ประกอบการในวงการกาแฟและชาของจังหวัดเชียงรายเท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงภาพรวมของอุตสาหกรรมกาแฟไทยที่กำลังเผชิญกับทั้งโอกาสและความท้าทายในยุคปัจจุบัน

ตลาดกาแฟโลกเติบโตต่อเนื่อง แต่ไทยยังผลิตไม่เพียงพอ

ข้อมูลจากองค์การกาแฟนานาชาติ (International Coffee Organization) ชี้ให้เห็นว่า การบริโภคกาแฟทั่วโลกมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา การบริโภคกาแฟของโลกเติบโตเฉลี่ยร้อยละ 1.9 ต่อปี ขณะที่รายงานจากเว็บไซต์ Money Buffalo ระบุว่า ทั่วโลกมีการดื่มกาแฟเฉลี่ยประมาณ 2,250 ล้านแก้วต่อวัน และมีผู้ดื่มกาแฟเป็นประจำมากกว่า 1,000 ล้านคน ซึ่งแสดงให้เห็นว่ากาแฟไม่ใช่แค่เครื่องดื่มยอดนิยม แต่ยังกลายเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตของผู้คนทั่วโลก

สำหรับประเทศไทย สถานการณ์การเติบโตของตลาดกาแฟในภาพรวมก็เพิ่มขึ้นทุกปีเช่นกัน โดยข้อมูลจาก Euromonitor International ระบุว่า ในปี 2566 คนไทยบริโภคกาแฟรวมกันมากถึง 90,000 ตันต่อปี เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนจากเมื่อ 10 ปีก่อน ซึ่งอยู่ที่เพียงประมาณ 30,000 ตัน การเพิ่มขึ้นของการบริโภคถึง 3 เท่าในระยะเวลา 1 ทศวรรษนี้ สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภคไทยที่หันมาให้ความสำคัญกับกาแฟมากขึ้น

แต่ในขณะเดียวกัน ประเทศไทยกลับผลิตกาแฟได้ไม่เพียงพอกับความต้องการภายในประเทศ โดยปริมาณการผลิตเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 45,000–50,000 ตันต่อปี ซึ่งยังไม่ถึงครึ่งหนึ่งของปริมาณที่คนไทยบริโภค ส่งผลให้ต้องพึ่งพาการนำเข้ากาแฟจากต่างประเทศมากขึ้น โดยในปีที่ผ่านมามูลค่าการนำเข้ากาแฟพุ่งขึ้นแตะระดับกว่า 338 ล้านเหรียญสหรัฐ

ปรากฏการณ์นี้สะท้อนให้เห็นถึงช่องว่างที่สำคัญในตลาดกาแฟไทย ซึ่งเปิดโอกาสให้กับผู้ผลิตในประเทศ หากสามารถพัฒนาและยกระดับคุณภาพผลผลิตให้ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ได้ ก็อาจกลายเป็นทางเลือกที่ช่วยสร้างรายได้และความมั่นคงให้กับเกษตรกรในระยะยาวได้

อุตสาหกรรมกาแฟไทยเผชิญทั้งโอกาสและความท้าทาย

ปัจจุบันอุตสาหกรรมกาแฟไทยกำลังเผชิญกับทั้งโอกาสและความท้าทาย โดยเฉพาะการผลิตในประเทศที่ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการ ซึ่งนำไปสู่การพึ่งพาการนำเข้า ในขณะที่พฤติกรรมผู้บริโภคมีแนวโน้มต้องการกาแฟสดและกาแฟพิเศษเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ส่งผลให้ตลาดกาแฟในประเทศเติบโตเฉลี่ยปีละกว่า 3% โดยในปี 2565/66 มีการใช้เมล็ดกาแฟดิบในภาคอุตสาหกรรมถึง 93,551 ตัน เพิ่มขึ้นจาก 80,691 ตัน ในปี 2562/63

ในส่วนของภาพรวมกาแฟโลกสำหรับปี 2024/25 การผลิตกาแฟทั่วโลกคาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น 6.9 ล้านกระสอบ (ขนาด 60 กิโลกรัม) จากปีที่แล้วเป็น 174.9 ล้านกระสอบ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลมาจากการฟื้นตัวของผลผลิตในเวียดนามและอินโดนีเซีย การส่งออกทั่วโลกคาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อย เนื่องจากการเพิ่มขึ้นในเวียดนามและอินโดนีเซียสามารถชดเชยปริมาณการส่งออกที่ลดลงจากบราซิลได้

การบริโภคทั่วโลกคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 5.1 ล้านกระสอบเป็น 168.1 ล้านกระสอบ โดยบริโภคเพิ่มขึ้นมากที่สุดในสหภาพยุโรป สหรัฐอเมริกา และจีน ขณะที่สต็อกปลายปีคาดว่าจะลดลง 1.5 ล้านกระสอบเหลือ 20.9 ล้านกระสอบ

เชียงรายจัดงานใหญ่ยกระดับผู้ผลิตท้องถิ่น

ท่ามกลางสถานการณ์ดังกล่าว จังหวัดเชียงรายในฐานะหนึ่งในแหล่งผลิตเมล็ดกาแฟและใบชาชั้นเลิศของประเทศไทย ได้จัดงาน “Chiangrai Coffee & Tea 2025” ขึ้นเพื่อส่งเสริมศักยภาพของผู้ประกอบการท้องถิ่น

นายสายัณห์ นักบุญ ผู้อำนวยการศูนย์การค้าเซ็นทรัลเชียงราย กล่าวในพิธีเปิดงานเมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2568 ว่า “จุดประสงค์สำคัญของงาน คือการรวมตัวของผู้ประกอบการร้านชาและกาแฟในจังหวัดเชียงราย ทั้งแบรนด์เล็ก แบรนด์ใหญ่ โรงคั่ว ร้านต้นแบบ ไปจนถึงผู้ผลิตวัตถุดิบและแปรรูป เพื่อให้เกิดการพบปะ แลกเปลี่ยน แรงบันดาลใจ และร่วมกันขับเคลื่อนเศรษฐกิจชุมชนด้วยอัตลักษณ์ของท้องถิ่น”

การจัดงานในครั้งนี้ไม่เพียงแต่ส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ แต่ยังเป็นเวทีให้เกษตรกร ผู้ผลิต และคาเฟ่ท้องถิ่น ได้แสดงศักยภาพและสร้างโอกาสทางธุรกิจร่วมกัน โดยมีผู้เข้าร่วมงานจากหลากหลายภาคส่วน ได้แก่ นายสรรเสริญ ศีติสาร รองผู้อำนวยการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยสำนักงานเชียงราย นายพงศกร อารีศิริไพศาล ประธานกลุ่มคนรักกาแฟเชียงราย และตัวแทนจากหน่วยงานต่างๆ

ผู้ประกอบการท้องถิ่นโชว์ศักยภาพ

งานนี้มีผู้ประกอบการท้องถิ่นเข้าร่วมจำนวนมาก โดยแบ่งเป็น 3 โซนหลัก ได้แก่ โซนซ้าย โซนกลาง และโซนขวา ซึ่งแต่ละโซนมีเอกลักษณ์และจุดเด่นที่แตกต่างกัน

ในโซนซ้าย มีร้านเด่นๆ เช่น กาแฟสมถะ (SAMATHA) จากบ้านผาอี้ อำเภอแม่สาย ที่ผลิตกาแฟอาราบิก้าคั่วพิเศษรสชาติเข้ม หอม เต็มบอดี้ พร้อมกลิ่นดินขึ้นและความละมุนของดอยผาฮิในทุกแก้ว และไร่รื่นรมย์เกษตรอินทรีย์ จากอำเภอเทิง ที่นำเสนอผลิตภัณฑ์เกษตรอินทรีย์ปลอดสาร 100%

โซนกลางเป็นจุดตัดของรสชาติและความคิดสร้างสรรค์ โดยมี Ploysai Coffee Roaster ที่เริ่มต้นจากตึกแถวเล็กๆ สู่โรงคั่วระดับโกดัง มีเมล็ดให้เลือกกว่า 20 ชนิด และ Chillrista เจ้าของรางวัลสุดยอดเมล็ดกาแฟไทย 2 ปีซ้อน ทั้ง Arabica และ Robusta

ส่วนโซนขวาเป็นแหล่งรวมกลิ่นอายคลาสสิกและแบรนด์ใหญ่ อาทิ กาแฟโบราณโกปี ที่นำเสนอกาแฟโบราณต้นตำรับและโอเลี้ยงยกล้อที่หอมหวานกลมกล่อม และ Café Doitung จากพระตำหนักดอยตุง พร้อมเมนู Iced Macadamia Nut Latte ที่หอมละมุนอย่างมีระดับ

กิจกรรมหลากหลายสร้างประสบการณ์ใหม่

งานนี้ไม่เพียงเป็นการจำหน่ายสินค้าเท่านั้น แต่ยังมีกิจกรรมหลากหลายที่สร้างประสบการณ์ใหม่ให้กับผู้เข้าชม ได้แก่ Camp Coffee Experience ที่ให้ผู้เข้าชมได้ชมการสาธิตการใช้งานเครื่องชงกาแฟหลากหลายประเภท พร้อมเทคนิคจากบาริสต้ามืออาชีพ

Private Tea & Coffee Workshop ที่ให้ผู้เข้าร่วมได้ลิ้มรสและเรียนรู้จากผู้เชี่ยวชาญในวงการชาและกาแฟ อาทิ The Roastery By Roj, สวรรค์บนดิน, One Tea At A Time, และ 22grams Coffee & Roastery

Campfire Moment ที่ให้ผู้เข้าร่วมได้ล้อมวงจิบชาและกาแฟท่ามกลางเสียงดนตรีในบรรยากาศอบอุ่นของแคมป์ไฟ และ Tasting Zone ที่เปิดประสบการณ์ชิมเครื่องดื่มชา-กาแฟขึ้นชื่อประจำเชียงรายแบบไม่อั้น

นอกจากนี้ยังมี Bakery & Snack Corner ที่ให้ผู้เข้าชมได้ชิมและช้อปของหวาน-ขนมโฮมเมดจากร้านดังทั่วเชียงราย

เวิร์กชอปพิเศษสำหรับสมาชิก

สำหรับสมาชิก Central X จะได้รับสิทธิ์ Workshop เพ้นท์แก้วกาแฟสุดเอ็กซ์คลูซีฟ ขณะที่สมาชิก The1 จะได้รับสิทธิ์ Workshop ดริปกาแฟ หรือ Sensory ฟรี ในวันที่ 29 มิถุนายน 2568 เมื่อมียอดกิน/ช้อปในโซนพลาซาครบ 5,000 บาทขึ้นไป โดยจำกัด 20 สิทธิ์ตลอดแคมเปญ

โอกาสและความท้าทายของอุตสาหกรรมกาแฟไทย

การจัดงาน “Chiangrai Coffee & Tea 2025” ในครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามของภาคเอกชนและรัฐในการยกระดับอุตสาหกรรมกาแฟไทยให้สามารถแข่งขันได้ในตลาดโลก แม้ว่าจะเผชิญกับความท้าทายจากการผลิตที่ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการภายในประเทศ

ข้อมูลที่น่าสนใจคือ การเพิ่มขึ้นของการบริโภคกาแฟในประเทศไทยถึง 3 เท่าในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ซึ่งแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของตลาดภายในประเทศที่ยังมีที่ว่างให้เติบโตได้อีกมาก หากผู้ผลิตในประเทศสามารถพัฒนาคุณภาพและเพิ่มปริมาณการผลิตให้เพียงพอต่อความต้องการ

จังหวัดเชียงรายในฐานะแหล่งผลิตกาแฟชั้นนำของประเทศ มีศักยภาพที่จะเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญในการพัฒนาอุตสาหกรรมกาแฟไทย โดยเฉพาะการเน้นคุณภาพและเอกลักษณ์ของผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น ซึ่งตรงกับแนวโน้มของผู้บริโภคยุคใหม่ที่ให้ความสำคัญกับ specialty coffee และ sustainable coffee

การรวมตัวของผู้ประกอบการขนาดเล็กถึงใหญ่ในงานนี้ยังเป็นสัญญาณบวกที่แสดงให้เห็นถึงความร่วมมือในการพัฒนาอุตสาหกรรม ซึ่งจะช่วยสร้างห่วงโซ่อุปทานที่แข็งแกร่งและยั่งยืน

อย่างไรก็ตาม ความท้าทายที่สำคัญยังคงเป็นเรื่องของการเพิ่มผลผลิตให้เพียงพอต่อความต้องการ และการยกระดับคุณภาพให้สามารถแข่งขันกับกาแฟนำเข้าได้ ซึ่งต้องอาศัยการลงทุนในเทคโนโลยี การพัฒนาทักษะของเกษตรกร และการสร้างแบรนด์ที่แข็งแกร่ง

เชียงรายนำทางสู่อนาคตกาแฟไทย

งาน “Chiangrai Coffee & Tea 2025” ที่จัดขึ้นในครั้งนี้ไม่เพียงเป็นการจัดงานแสดงสินค้าทั่วไป แต่เป็นการสร้างแพลตฟอร์มสำคัญที่จะช่วยยกระดับอุตสาหกรรมกาแฟไทยสู่ระดับสากล ผ่านการรวมตัวของผู้ประกอบการ การแลกเปลี่ยนความรู้ และการสร้างเครือข่ายทางธุรกิจ

สำหรับผู้สนใจเข้าร่วมงาน สามารถติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Line Official Account: @CentralChiangrai งานจัดขึ้นระหว่างวันที่ 25-29 มิถุนายน 2568 ตั้งแต่เวลา 10.00-20.30 น. ณ ลานกิจกรรม ชั้น G โซนจริงใจ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเชียงราย

การจัดงานในครั้งนี้อาจเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญที่จะช่วยให้อุตสาหกรรมกาแฟไทยสามารถลดการพึ่งพาการนำเข้า และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์กาแฟไทยในตลาดโลกได้ในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • องค์การกาแฟนานาชาติ (International Coffee Organization)
  • เว็บไซต์ Money Buffalo
  • Euromonitor International
  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานเชียงราย
  • ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเชียงราย
  • กลุ่มคนรักกาแฟเชียงราย (CHIANGRAI COFFEE LOVER – CCL)
  • สมาคมสื่อมวลชนและนักประชาสัมพันธ์เชียงราย
  • ห้างสรรพสินค้าโรบินสันเชียงราย
  • มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์
  • ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

AOT ปั้นไทยฮับบินภูมิภาค รุกเปิดเส้นทาง สู่ประตูเชียงราย

AOT รุกปั้นไทยสู่ศูนย์กลางการบินภูมิภาค เปิดเวทีประชุม IATA พร้อมขยายเส้นทางบิน เชื่อมเชียงราย-สิงคโปร์ รอปลดล็อกเที่ยวบินตรงไทย-อเมริกา

แคนาดา, 19 มิถุนายน 2568 –  รายงานจาก บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด หรือ AOT ในโลกของอุตสาหกรรมการบินที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT ได้แสดงบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่เป้าหมายการเป็น Aviation Hub ของภูมิภาค ล่าสุด นายเอนก ธีระวิวัฒน์ชัย รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ สายงานยุทธศาสตร์ และคณะกรรมการจัดสรรเวลาของประเทศไทย (Slot Coordination Committee) ได้เป็นตัวแทนเข้าร่วมการประชุมจัดสรรเวลาการบินของสมาคมขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ (IATA Slot Conference) ครั้งที่ 156 ณ เมืองแวนคูเวอร์ ประเทศแคนาดา เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2568 การประชุมนี้นับเป็นหนึ่งในเวทีที่สำคัญที่สุดของอุตสาหกรรมการบินโลก มีผู้แทนจากท่าอากาศยานกว่า 300 แห่ง สายการบินกว่า 250 สาย และผู้แสดงสินค้าจากทั่วโลกกว่า 1,300 คน

ก้าวสำคัญสู่ฤดูหนาว 2568/2569 – พัฒนาเครือข่ายการบิน สู่มาตรฐานสากล

วัตถุประสงค์หลักของการประชุมครั้งนี้ คือการสนับสนุนการจัดสรรเวลาการบิน (Slot) สำหรับฤดูหนาว 2568/2569 เพื่อให้กำหนดการบินของสายการบินเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นไปตามมาตรฐานสากล AOT ได้ใช้เวทีนี้เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลและเจรจาความร่วมมือกับท่าอากาศยานและสายการบินชั้นนำ อาทิ ท่าอากาศยานนานาชาติ San Francisco, British Airways, Air Canada, Alaska Airlines, Norse Atlantic Airlines, Air New Zealand และ Virgin Australia Airlines เพื่อต่อยอดเครือข่ายการบินเชื่อมต่อระหว่างประเทศ ขยายโอกาสด้านการท่องเที่ยว การค้า และเศรษฐกิจของไทย

เจรจา FAA ปลดล็อกบินตรงไทย-อเมริกา จุดเปลี่ยนเชื่อมโลกตะวันตก

หนึ่งในประเด็นสำคัญที่ AOT ได้หารือกับท่าอากาศยานนานาชาติ San Francisco คือการเตรียมความพร้อมรองรับเส้นทางบินตรงระหว่างไทย-สหรัฐอเมริกา ภายหลังที่ FAA (Federal Aviation Administration) ของสหรัฐอเมริกา ประกาศเลื่อนระดับความปลอดภัยของการบินไทยกลับสู่ Category 1 ถือเป็นก้าวสำคัญที่ช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นระดับนานาชาติ เปิดทางสายการบินไทยกลับเข้าสู่เครือข่ายเส้นทางบินข้ามทวีปอย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งจะเป็นจุดเปลี่ยนในการดึงดูดกลุ่มนักท่องเที่ยวและนักลงทุนจากสหรัฐฯ เข้าสู่ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

“Scoot” เตรียมบินตรงสิงคโปร์-เชียงราย พร้อมบินตรงเชียงราย-มาเลเซียปลายปี

ไฮไลต์สำคัญสำหรับชาวเชียงรายและภาคเหนือ คือแผนการเจรจากับสายการบิน Scoot จากสิงคโปร์ เตรียมเปิดเส้นทางบินตรง สิงคโปร์-ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ภายในปลายปี 2568 เพื่อรองรับกระแสท่องเที่ยว เมืองรอง สู่ตลาดนานาชาติแบบไร้รอยต่อ นอกจากนี้ จากแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้คาดว่ายังจะมีเส้นทางใหม่ “เชียงราย-กัวลาลัมเปอร์” ที่สายการบินไทยแอร์เอเชีย เคยเปิดให้บริการ เมื่อเริ่มวันที่ 2 พฤศจิกายน 2567 ถึง 28 กุมภาพันธ์ 2568 สัปดาห์ละ 3 เที่ยวบิน (อังคาร พฤหัสบดี เสาร์) ที่ผ่านมา ถือเป็นหารเพิ่มทางเลือกให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวเดินทางระหว่างสองประเทศได้สะดวกยิ่งขึ้น

การขยายเครือข่ายเส้นทางบินใหม่ๆ นี้ ไม่เพียงแต่สร้างโอกาสทางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวเท่านั้น แต่ยังเสริมสร้างศักยภาพท่าอากาศยานเชียงรายให้เป็นประตูหลักสู่ภาคเหนือของไทย ในการรองรับการเดินทางระหว่างประเทศ และกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากในพื้นที่อย่างเป็นรูปธรรม

ไทยเตรียมรับบทเจ้าภาพ IATA Slot Conference ครั้งที่ 158 – สะท้อนศักยภาพการบริหารจัดการท่าอากาศยาน

AOT ยังเตรียมเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม IATA Slot Conference ครั้งที่ 158 ในวันที่ 9-11 มิถุนายน 2569 ณ ศูนย์ประชุมเซ็นทาราแกรนด์ บางกอกคอนเวนชั่นเซ็นเตอร์ กรุงเทพฯ ซึ่งนับเป็นครั้งแรกในรอบ 39 ปีที่ไทยได้มีโอกาสจัดเวทีสำคัญระดับโลกนี้ นอกจากจะเปิดโอกาสให้ประเทศไทยแสดงศักยภาพด้านโครงสร้างพื้นฐานท่าอากาศยานแล้ว ยังเสริมบทบาทของไทยในฐานะศูนย์กลางการบินของภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกอย่างแท้จริง

วิเคราะห์และบทสรุป

ความเคลื่อนไหวของ AOT บนเวที IATA Slot Conference สะท้อนความพร้อมและยุทธศาสตร์การพัฒนาท่าอากาศยานไทยสู่มาตรฐานสากล โดยเฉพาะในมิติของการจัดสรรเวลาการบิน เพิ่มประสิทธิภาพโครงสร้างพื้นฐาน และขยายเส้นทางบินระหว่างประเทศ ขณะเดียวกันยังช่วยกระจายการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจสู่ภูมิภาค โดยเฉพาะ “เชียงราย” ที่กำลังเติบโตเป็นศูนย์กลางใหม่ของการบินและการท่องเที่ยวภาคเหนือ

คาดว่าการเปิดเส้นทางบินใหม่ เชียงราย-กัวลาลัมเปอร์ และ เชียงราย-สิงคโปร์ ในช่วงปลายปีนี้ ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ไม่เพียงแต่จะกระตุ้นเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว และการลงทุนในพื้นที่ แต่ยังยกระดับภาพลักษณ์ของเชียงรายบนเวทีนานาชาติ สู่เป้าหมาย “ศูนย์กลางการบินภูมิภาค” ได้อย่างเต็มภาคภูมิ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (AOT)
  • สมาคมขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ (IATA)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

THACCA จัดใหญ่ 12 จังหวัดซ้อม Pitch แผนพัฒนาเมืองสู่เวทีโลก

 “อวดเมือง Pitching” เวทีปลุกพลัง 12 จังหวัดสร้างสรรค์เทศกาลระดับชาติ เตรียมชิงเจ้าภาพแลนด์มาร์คเทศกาลในงาน THACCA SPLASH – Soft Power Forum 2025

กรุงเทพฯ, 19 มิถุนายน 2568 –  ในยุคที่ Soft Power กลายเป็นหัวใจสำคัญของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจสร้างสรรค์ เมืองทั่วประเทศต่างตื่นตัวกับโอกาสใหม่ผ่านการต่อยอดทุนวัฒนธรรม สู่เทศกาลที่โดดเด่นและมีอัตลักษณ์ของตนเอง ล่าสุดกรุงเทพฯ เปิดบ้านต้อนรับ 12 จังหวัดเข้าร่วมโครงการ “อวดเมือง Pitching” เพื่อเฟ้นหาจังหวัดเจ้าภาพแลนด์มาร์คเทศกาลท่องเที่ยวไทยปี 2569 ที่จะเป็นต้นแบบของเมืองน่าลงทุน น่าอยู่ และน่าเที่ยว บนเวที THACCA SPLASH – Soft Power Forum 2025

จุดเริ่มต้นและเป้าหมาย

เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2568 ณ ห้องบอลรูม โรงแรมแลนด์มาร์ค กรุงเทพฯ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (CEA) ร่วมกับ สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (TCEB) และ Thailand Creative Culture Agency (THACCA) จัดกิจกรรม Mentoring Workshop ภายใต้โครงการ “อวดเมือง Pitching” โดยคัดเลือก 12 จังหวัดต้นแบบจากนักจัดเทศกาลทั่วประเทศ ผ่านกระบวนการนำเสนอแนวคิดและไอเดียเทศกาลท้องถิ่นที่ทรงพลัง

งานนี้มีวัตถุประสงค์สำคัญเพื่อยกระดับเทศกาลท้องถิ่นให้กลายเป็นเครื่องมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนาเมือง โดยผลักดันให้แต่ละจังหวัดสร้างจุดขายใหม่บนฐานทุนทางวัฒนธรรมและอัตลักษณ์ของท้องถิ่น พร้อมรองรับการเป็นเจ้าภาพเทศกาลใหญ่ระดับประเทศในอนาคต

 “Chiang Rai BREW Festival” พลิกวิถีล้านนา สู่ Soft Power

การเลือก Chiang Rai BREW Festival เป็นแลนด์มาร์คเทศกาลนำร่อง เกิดจากแนวคิดที่ผสานอัตลักษณ์ท้องถิ่นเข้ากับเศรษฐกิจสร้างสรรค์ โดยเทศกาลนี้หยิบ “ชา” และ “กาแฟ” ซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจสำคัญของเชียงรายมาเป็นหัวใจหลัก สะท้อนรากเหง้าทางวัฒนธรรม ภูมิปัญญา และพระราชปณิธานของในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่ริเริ่มส่งเสริมการปลูกกาแฟบนพื้นที่สูง ทดแทนพืชเสพติด เมื่อครั้งพระราชทานต้นกาแฟให้ชนเผ่าบนดอยช้าง และสืบสานสู่ชาอัสสัมพันธุ์ล้านนาของดอยแม่สลอง

เทศกาลนี้ไม่ได้เป็นเพียงงานเฉลิมฉลอง หากแต่เป็นเวทีบูรณาการทุกภาคส่วน ตั้งแต่เกษตรกร ผู้ประกอบการ สถาบันการศึกษา ภาครัฐ เอกชน และชุมชนชาติพันธุ์ เชื่อมโยงให้เกิดระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) สร้างรายได้จากต้นน้ำถึงปลายน้ำ พร้อมต่อยอดภูมิปัญญาดั้งเดิมสู่สินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่ม

เวิร์กช็อปเข้มข้น เสริมแกร่งทุกมิติ

ภายในงานได้รับเกียรติจาก นายแพทย์สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี ประธานกรรมการพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ และรองประธานคณะที่ปรึกษานโยบายของนายกรัฐมนตรี ขึ้นกล่าวปาฐกถาพิเศษหัวข้อ “จากรากวัฒนธรรมสู่พลังสร้างชาติ : การขับเคลื่อน Soft Power ไทยผ่านเทศกาลท้องถิ่น” สะท้อนบทบาทของงานเทศกาลในฐานะสะพานเชื่อมทุนวัฒนธรรมและเศรษฐกิจยุคใหม่

นอกจากเวทีความรู้ ยังมี 7 MENTORS ตัวจริงระดับประเทศจากอุตสาหกรรม MICE และเทศกาล มาร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ติดอาวุธไอเดีย และให้คำแนะนำเจาะลึกในทุกมิติ ตั้งแต่การบริหารจัดการเทศกาลให้ยั่งยืน กลยุทธ์สร้างมูลค่าเพิ่ม การตลาดสร้างแบรนด์เมือง ไปจนถึงการพัฒนา Content ที่สามารถตอบโจทย์นักลงทุน นักท่องเที่ยว และผู้อยู่อาศัยอย่างครบถ้วน

สู่รอบ Final City Pitching เวที Soft Power แห่งชาติ

ผลจากกิจกรรม Mentoring Workshop ครั้งนี้ จะถูกนำไปใช้ต่อยอดในเวที Final City Pitching รอบสุดท้าย ภายใต้ธีม “น่าลงทุน น่าอยู่ น่าเที่ยว” ในงาน THACCA SPLASH – Soft Power Forum 2025 ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 8–11 กรกฎาคม 2568 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ฮอลล์ 1–4 ชั้น G โดยแต่ละจังหวัดจะได้อวดแลนด์มาร์ค “ชวนเมือง Dream Box” ที่บูธเมืองพาวิลเลียน พร้อมนำเสนอแนวคิดและศักยภาพในฐานะเจ้าภาพเทศกาลปี 2569

ความเคลื่อนไหวครั้งนี้ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของอุตสาหกรรมไมซ์และเทศกาลในประเทศไทย เมื่อจังหวัดต่าง ๆ ได้รับโอกาสในการแสดงศักยภาพ สร้างเครือข่ายกับผู้เชี่ยวชาญ และขยายโอกาสทางเศรษฐกิจสู่เวทีนานาชาติ

วิเคราะห์และบทสรุป

โครงการ “อวดเมือง Pitching” ไม่ได้เป็นเพียงการแข่งขันนำเสนอแผนพัฒนาเมืองเท่านั้น หากแต่เป็นเวทีบ่มเพาะผู้นำเทศกาลท้องถิ่นรุ่นใหม่ เสริมพลังท้องถิ่นด้วยทุนวัฒนธรรม และผลักดัน Soft Power ไทยให้ขยายสู่ระดับโลกอย่างยั่งยืน ภายใต้ความร่วมมือของภาครัฐและภาคเอกชน ตอกย้ำภาพลักษณ์ประเทศไทยในฐานะศูนย์กลางเทศกาลสร้างสรรค์ของภูมิภาคอาเซียน

การเดินหน้าปั้นแลนด์มาร์คเทศกาลทั่วประเทศในปีนี้ จึงเป็นก้าวสำคัญที่เชื่อมโยงชุมชน ท้องถิ่น และความคิดสร้างสรรค์ ให้เป็นกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจยุคใหม่อย่างแท้จริง

Soft Power – จุดแข็ง จุดท้าทาย ของเชียงราย

Chiang Rai BREW Festival สะท้อนความกล้าในการต่อยอด Soft Power ไทยให้ก้าวพ้นกรอบศิลปวัฒนธรรมดั้งเดิม สู่การใช้ “พืชเศรษฐกิจ” อย่างชากาแฟเป็นเครื่องมือสร้างภาพจำใหม่ และพลิกบริบทการท่องเที่ยวสู่สายประสบการณ์ การเชื่อมโยงเทศกาลนี้กับพระราชปณิธานในหลวงรัชกาลที่ 9 และแนวคิดพัฒนาที่ยั่งยืนของมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ยังช่วยสร้างความน่าเชื่อถือและแรงบันดาลใจอย่างลึกซึ้ง

อย่างไรก็ตาม การดันชากาแฟเป็นซอฟต์พาวเวอร์หลักของเชียงรายอาจเผชิญข้อท้าทายในการสื่อสารกับนักท่องเที่ยวบางกลุ่มที่ยังยึดติดภาพจำเดิมของ Soft Power ไทย แต่ในอีกมุมหนึ่ง หากเชียงรายสามารถผสานเรื่องเล่าและประสบการณ์เข้ากับการท่องเที่ยว อาจเป็นโมเดลใหม่ของเทศกาลสร้างสรรค์ไทยในเวทีโลก

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (CEA)
  • สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (TCEB)
  • Thailand Creative Culture Agency (THACCA)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

ททท.เผยข่าวดี นักท่องเที่ยวมาเลเซียพุ่ง แซงจีนนำตลาดไทย

ททท. เผยตลาดท่องเที่ยวสัญญาณดี นักท่องเที่ยวยุโรป-ตะวันออกกลางเติบโตสูง มาเลเซียแซงจีน ขึ้นแท่นเบอร์หนึ่งต่างชาติเที่ยวไทย

ประเทศไทย, 15 มิถุนายน 2568 – สถานการณ์ท่องเที่ยวไทยส่งสัญญาณฟื้นตัวต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติในตลาดศักยภาพสูง ล่าสุด การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) รายงานสถิติและแนวโน้มเชิงบวก ทั้งในด้านจำนวนและคุณภาพของนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าประเทศไทยช่วงต้นปี 2568 ถึงเดือนมิถุนายน โดยพบว่าตลาดนักท่องเที่ยวจากยุโรปและตะวันออกกลาง มีอัตราเติบโตอย่างโดดเด่น สะท้อนโอกาสและศักยภาพของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยในช่วง Green Season

มาเลเซียแซงจีน ขึ้นแท่นนักท่องเที่ยวเบอร์หนึ่ง

นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการ ททท. เปิดเผยถึงแนวโน้มนักท่องเที่ยวต่างชาติในช่วงวันที่ 1-9 มิถุนายน 2568 ว่า ตลาดมาเลเซียได้เปลี่ยนสถานะเป็นประเทศที่มีจำนวนนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าไทยสูงสุด แซงหน้าตลาดจีนที่เคยครองอันดับหนึ่งตลอดหลายปีที่ผ่านมา โดยช่วงต้นเดือนมิถุนายน นักท่องเที่ยวมาเลเซียเดินทางเข้าไทยเพิ่มขึ้นถึง 13.22% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว สะท้อนศักยภาพของการเดินทางข้ามแดนและความเชื่อมั่นในแหล่งท่องเที่ยวไทย

ยุโรปและตะวันออกกลาง “ขาขึ้น” ตลาดคุณภาพกำลังซื้อสูง

นอกจากตลาดเอเชียใกล้บ้านแล้ว ททท.ยังเปิดเผยสัญญาณบวกจากตลาดยุโรป ซึ่งโดยรวมเติบโตขึ้น 13% จากปีก่อน โดยเฉพาะตลาดเยอรมนีที่มีการขยายตัวสูงถึง 71% อิตาลีโต 28% สวิตเซอร์แลนด์ 24% เช่นเดียวกับตลาดตะวันออกกลางที่กำลังเข้าสู่ฤดูกาลท่องเที่ยว พบการเติบโตถึง 55% โดยเฉพาะซาอุดีอาระเบีย (+61%) โอมาน (+54%) สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (+51%) อิสราเอล (+32.49%) รวมถึงตลาดฟิลิปปินส์ (+24%) ซึ่งถือเป็นตลาดดาวรุ่งที่น่าจับตา

สถิติยอดนักท่องเที่ยวต่างชาติทะลุ 15 ล้านคน

ข้อมูลจากสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ระหว่างวันที่ 1 มกราคม – 9 มิถุนายน 2568 ระบุว่า นักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศไทยแล้ว 15,543,344 คน โดยในจำนวนนี้ ตลาดหลักที่มีการเติบโตสูงต่อเนื่อง ได้แก่

  • อินเดีย 1,042,304 คน (+15.4%)
  • รัสเซีย 983,579 คน (+12.96%)
  • สหราชอาณาจักร 531,030 คน (+19.3%)
  • สหรัฐอเมริกา 492,659 คน (+10.2%)
  • เยอรมนี 476,356 คน (+11.82%)
  • ญี่ปุ่น 462,647 คน (+9.94%)
  • ฝรั่งเศส 429,516 คน (+19.27%)
  • ออสเตรเลีย 350,851 คน (+14.67%)

สำหรับกลุ่มตลาดศักยภาพขนาดกลางที่เติบโตอย่างโดดเด่น เช่น

  • อิสราเอล 165,602 คน (+74.65%)
  • อิตาลี 136,209 คน (+28.45%)
  • แคนาดา 134,095 คน (+7.12%)
  • โปแลนด์ 120,944 คน (+31.07%)
  • เนเธอร์แลนด์ 119,992 คน (+12.69%)
  • สวีเดน 117,434 คน (+10.47%)

ปัจจัยหนุนกระแส “เที่ยวไทย” ให้โตต่อเนื่อง

ความสำเร็จนี้สะท้อนจากการดำเนินนโยบายส่งเสริมตลาดท่องเที่ยวเชิงรุก ทั้งการกระจายตลาดออกนอกกลุ่มหลักเดิม การจัดแคมเปญส่งเสริมการท่องเที่ยว Green Season การพัฒนาเส้นทางบินตรงใหม่ๆ และการขยายกิจกรรมและแหล่งท่องเที่ยวที่ตอบโจทย์ทั้งตลาดกำลังซื้อสูงและกลุ่มนักท่องเที่ยวรุ่นใหม่ นอกจากนี้ การเพิ่มความสะดวกในด้านวีซ่า มาตรการยกเว้นค่าธรรมเนียม ตลอดจนความร่วมมือกับสายการบินและพันธมิตรในอุตสาหกรรม ได้ช่วยหนุนการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยอย่างชัดเจน

จับตาตลาด “ขุมทอง” ใหม่ ดึงรายได้สู่เศรษฐกิจท่องเที่ยวไทย

ททท. มองว่า การเปลี่ยนแปลงของตลาดสำคัญ เช่น การที่มาเลเซียก้าวขึ้นมาเป็นอันดับ 1 แทนจีน และตลาดยุโรป-ตะวันออกกลางเติบโตโดดเด่น จะเป็นโอกาสสำคัญในการกระจายรายได้สู่ภูมิภาคต่างๆ ของไทย โดยเฉพาะตลาดคุณภาพสูงที่เน้นการใช้จ่ายกับประสบการณ์พิเศษ กิจกรรมเชิงสร้างสรรค์ และการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ

บทวิเคราะห์และแนวโน้มในอนาคต

จากการเติบโตของกลุ่มตลาดศักยภาพในยุโรปและตะวันออกกลาง ททท. ประเมินว่านโยบายการสร้างประสบการณ์ที่แตกต่าง และการรักษาความปลอดภัยควบคู่ไปกับมาตรการอำนวยความสะดวกในการเดินทาง จะเป็นหัวใจในการรักษาแรงส่งของตลาดระยะยาว ขณะเดียวกันยังต้องปรับตัวรับความท้าทายจากตลาดจีนที่ฟื้นตัวช้ากว่าคาด และเฝ้าระวังความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์โลกอย่างใกล้ชิด

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)
  • สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง
  • สำนักข่าวไทย
  • รายงานสถิติการท่องเที่ยว 2568 (อัปเดต 15 มิถุนายน 2568)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News