Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

จากเตาเผาโบราณสู่เวทีโลก! เชียงรายชูเวียงกาหลงเป็นเสาหลักเศรษฐกิจฐานราก ผสานศิลปะกับดีไซน์สมัยใหม่

ผู้ว่าฯ เชียงรายหนุน “เครื่องเคลือบดินเผาเวียงกาหลง” ขับเคลื่อนเศรษฐกิจสร้างสรรค์ สู่เวทีตลาดใหม่ของชุมชน

เชียงราย, 9 ธันวาคม 2568 – ที่อำเภอเวียงป่าเป้า เสียงเตาเผาดินเผาโบราณยังคงดังอย่างสม่ำเสมอท่ามกลางหมู่บ้านที่โอบล้อมด้วยภูเขา ในเช้าวันที่ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย “นายชูชีพ พงษ์ไชย” พร้อมคณะ เดินทางลงพื้นที่เพื่อเยี่ยมชม “เครื่องเคลือบดินเผาเวียงกาหลง” หนึ่งในหัตถศิลป์พื้นเมืองที่ถือเป็นหน้าตาทางวัฒนธรรมของจังหวัดเชียงราย และเป็นความภาคภูมิใจของคนเวียงป่าเป้ามาอย่างยาวนาน

การลงพื้นที่ครั้งนี้ไม่ได้มีเพียงพิธีการหรือการเยี่ยมชมเชิงสัญลักษณ์ แต่สะท้อนถึงความพยายามของจังหวัดในการ “จับมือกับชุมชน” เพื่อยกระดับหัตถกรรม OTOP ให้เดินหน้าสู่ตลาดสร้างสรรค์ ทั้งในเชิงการท่องเที่ยว เศรษฐกิจฐานราก และภาพลักษณ์ของเชียงรายในฐานะแหล่งรวมภูมิปัญญาและศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย

เวียงกาหลง จากเตาเผาโบราณ สู่สัญลักษณ์หัตถศิลป์ล้านนา

เวียงกาหลงเป็นเมืองโบราณในเขตอำเภอเวียงป่าเป้า จังหวัดเชียงราย ซึ่งในทางโบราณคดีได้รับการยอมรับว่าเป็นแหล่งเตาเผาโบราณสำคัญแห่งหนึ่งของภาคเหนือ และเป็นต้นกำเนิด “เครื่องถ้วยเวียงกาหลง” ที่มีลวดลายและเนื้อดินเป็นเอกลักษณ์ จนถูกจัดให้เป็นหนึ่งในมรดกหัตถกรรมสำคัญของไทย DB SAC

ในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา เวียงกาหลงไม่เพียงเป็นแหล่งโบราณสถาน แต่ยังพัฒนาเป็น “ชุมชนหัตถกรรมร่วมสมัย” ที่หยิบยกภูมิปัญญาโบราณ เช่น เทคนิคการขึ้นรูปดิน การเคลือบสีเขียว–น้ำตาล และการเผาที่อุณหภูมิสูง มาปรับใช้กับดีไซน์ใหม่ ๆ เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคปัจจุบัน ทั้งในรูปแบบภาชนะใช้สอย ของตกแต่งบ้าน ไปจนถึงงานออกแบบร่วมสมัยที่เน้นความเรียบง่ายแต่มีอัตลักษณ์สูง

การได้รับการยอมรับในฐานะสินค้า OTOP ของจังหวัดเชียงราย รวมถึงการผลักดันให้เป็นสินค้าที่มีศักยภาพด้านเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ทำให้ “เครื่องเคลือบดินเผาเวียงกาหลง” ไม่ได้เป็นเพียงสินค้าท้องถิ่น แต่เป็น “สื่อ” ที่บอกเล่าเรื่องราวของชุมชน ประวัติศาสตร์ และวิถีชีวิตของผู้คนริมขอบป่าในภาคเหนือของไทย

ครูทันธิ จิตตัง ช่างฝีมือ OTOP ผู้สืบสานงานดินเผาให้ยืนยาว

หัวใจของมรดกหัตถศิลป์ไม่ได้อยู่ที่เตาเผา แต่อยู่ที่ “คน” ผู้สืบสานภูมิปัญญา ภาพของ “ครูทันธิ จิตตัง” ศิลปิน OTOP ที่ยืนต้อนรับผู้ว่าฯ เชียงรายในวันลงพื้นที่ จึงไม่ใช่เพียงพิธีการ แต่คือภาพแทนของ “ช่างฝีมือท้องถิ่น” ที่อุทิศชีวิตให้กับการรักษามรดกดินเผาเวียงกาหลงไว้ในบริบทของโลกยุคใหม่

ครูทันธิไม่เพียงสืบทอดเทคนิคการปั้นและการเคลือบแบบดั้งเดิม แต่ยังมีบทบาทสำคัญในการต่อยอดผลิตภัณฑ์ให้มีความร่วมสมัย เพื่อตอบโจทย์ตลาดที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งในกลุ่มนักท่องเที่ยว คนเมือง และนักสะสมงานหัตถศิลป์ การร่วมทำงานกับภาครัฐและองค์กรสนับสนุนต่าง ๆ ช่วยให้ครูทันธิสามารถนำ “ภาษาใหม่ของการออกแบบ” มาผสานกับ “รากเดิมของภูมิปัญญา” จนกลายเป็นผลิตภัณฑ์ที่ทั้ง “ใช้ได้จริง” และ “เล่าเรื่องชุมชนได้จริง” ไปพร้อมกัน

ในมุมของผู้ว่าราชการจังหวัด การลงพื้นที่เยี่ยมชมและรับฟังเสียงจากครูทันธิและชุมชน จึงเป็นโอกาสสำคัญในการเข้าใจข้อจำกัด และมองเห็นช่องทางสนับสนุนอย่างตรงจุด ทั้งเรื่องตลาด ช่องทางจัดจำหน่าย การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม และการสร้างโอกาสให้ศิลปิน OTOP สามารถแข่งขันในเศรษฐกิจยุคใหม่ได้อย่างมั่นคง

ผู้ว่าฯ เชียงรายลงพื้นที่ จากเตาเผาเล็ก ๆ สู่โจทย์ใหญ่ระดับจังหวัด

ในการเยี่ยมชมแหล่งผลิตและจำหน่ายเครื่องเคลือบดินเผาเวียงกาหลงครั้งนี้ นายชูชีพ พงษ์ไชย ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พร้อมคณะ ได้รับฟังการบรรยายอย่างละเอียดเกี่ยวกับกระบวนการผลิต ตั้งแต่การคัดเลือกดินในพื้นที่ การขึ้นรูป การลงเคลือบ ไปจนถึงการเผาที่ต้องอาศัยประสบการณ์สูงในการควบคุมอุณหภูมิ

นอกจากจะเรียนรู้ขั้นตอนเชิงช่างแล้ว คณะผู้บริหารยังได้หารือกับครูทันธิและชุมชนถึงแนวทางการ “ต่อยอดเชิงสร้างสรรค์” เช่น

  • การออกแบบผลิตภัณฑ์ให้ตอบโจทย์ตลาดของตกแต่งบ้านและงานดีไซน์สมัยใหม่
  • การพัฒนาบรรจุภัณฑ์และเรื่องเล่า (storytelling) ให้สอดคล้องกับตลาดนักท่องเที่ยวคุณภาพ
  • การเชื่อมโยงเวียงกาหลงกับเส้นทางท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมในจังหวัดเชียงราย

ผู้ว่าฯ เชียงรายเน้นย้ำถึงความมุ่งมั่นของจังหวัดในการสนับสนุนสินค้า OTOP และศิลปินชุมชนอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในด้าน “การตลาด–การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม–โอกาสทางเศรษฐกิจ” เพื่อให้การอนุรักษ์ภูมิปัญญาไม่ใช่เพียงการเก็บรักษาอดีต หากแต่เป็นการสร้างอนาคตที่จับต้องได้ให้แก่คนในพื้นที่

การลงพื้นที่ในลักษณะนี้จึงเป็นมากกว่าการเยี่ยมชม แต่คือ “สัญญาณทางนโยบาย” ว่าจังหวัดเห็นคุณค่าและพร้อมจะผลักดันให้หัตถกรรมเวียงกาหลงกลายเป็นหนึ่งในเสาหลักของเศรษฐกิจฐานรากเชียงรายในระยะยาว

OTOP และเศรษฐกิจสร้างสรรค์ บทเรียนจากระดับประเทศสู่เวียงป่าเป้า

หากมองภาพกว้างกว่าหนึ่งชุมชน จะเห็นว่า “เครื่องเคลือบดินเผาเวียงกาหลง” กำลังยืนอยู่บนเส้นทางเดียวกับนโยบายระดับประเทศด้านเศรษฐกิจสร้างสรรค์และการพัฒนาสินค้าชุมชน OTOP

ข้อมูลจากสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (CEA) ระบุว่า เศรษฐกิจสร้างสรรค์ของประเทศไทยมีมูลค่าประมาณ 1–1.5 ล้านล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนราว 9% ของจีดีพี และมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยประมาณ 5% ต่อปี ซึ่งสูงกว่าการเติบโตของเศรษฐกิจโดยรวม ThaiPublica ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนว่า “ความคิดสร้างสรรค์และทุนทางวัฒนธรรม” ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องภาพลักษณ์ แต่เป็น “เศรษฐกิจจริง” ที่สร้างรายได้และการจ้างงานจำนวนมาก

ด้านสินค้า OTOP เอง แม้ตัวเลขเฉพาะจังหวัดเชียงรายในบางปีอาจแตกต่างกันไป แต่แนวโน้มในระดับประเทศชี้ชัดว่าสินค้า OTOP สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจรวมระดับหลายหมื่นล้านบาทต่อปี และเป็น ช่องทางสำคัญในการยกระดับรายได้ครัวเรือนในชนบท ขณะที่ในจังหวัดเชียงราย สินค้า OTOP หลายกลุ่ม—ตั้งแต่กาแฟ ชา สมุนไพร ไปจนถึงงานหัตถกรรม—ถูกใช้เป็นเครื่องมือในการเชื่อมโยงการท่องเที่ยวกับเศรษฐกิจชุมชนอย่างเป็นรูปธรรม

ในบริบทนี้ เครื่องเคลือบดินเผาเวียงกาหลงจึงไม่ใช่เพียง “สินค้าอีกชิ้น” หากแต่เป็นตัวแทนของการผสาน “รากวัฒนธรรม” เข้ากับ “โอกาสจากเศรษฐกิจสร้างสรรค์” ที่กำลังเติบโตในระดับประเทศ

เวียงกาหลงในยุคตลาดดิจิทัล โอกาสใหม่และแรงกดดันรูปแบบใหม่

แม้เวียงกาหลงจะมีชื่อเสียงจากนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเยือนเชียงราย แต่สภาพการแข่งขันในยุคปัจจุบันไม่ได้จำกัดอยู่แค่หน้าร้านหรือหมู่บ้านอีกต่อไป ตลาดออนไลน์ แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ และสื่อโซเชียลกลายเป็น “สมรภูมิใหม่” ที่ทั้งสร้างโอกาสและกดดันผู้ประกอบการหัตถกรรมไปพร้อมกัน

สำหรับครูทันธิและศิลปิน OTOP ในเวียงกาหลง การต่อยอดผลิตภัณฑ์สู่ตลาดสร้างสรรค์จึงไม่ใช่เพียงการออกแบบลายใหม่ แต่รวมถึงการเรียนรู้การเล่าเรื่องผ่านภาพถ่าย วิดีโอ หรือการถ่ายทอดเบื้องหลังการทำงานในโรงเผา ให้ผู้ซื้อในเมืองใหญ่หรือในต่างประเทศ “สัมผัสความเป็นมือคนและความเป็นหมู่บ้าน” ผ่านหน้าจอ

ในมุมนี้ การสนับสนุนจากภาครัฐ เช่น การฝึกอบรมด้านการตลาดดิจิทัล การจับคู่ธุรกิจ (business matching) และการเชื่อมโยงกับเครือข่ายดีไซเนอร์หรือแพลตฟอร์มสร้างสรรค์ จึงเป็นองค์ประกอบสำคัญไม่แพ้การพัฒนามาตรฐานสินค้า เพราะหากชุมชนสามารถ “เล่าเรื่องตัวเองได้เก่ง” เท่า ๆ กับที่ “ทำของได้เก่ง” ศักยภาพในการแข่งขันในตลาดสร้างสรรค์ก็จะเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด

ศิลปะ–ท่องเที่ยว–เศรษฐกิจฐานราก สามเสาหลักของเวียงกาหลงในยุคใหม่

การลงพื้นที่ของผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายในครั้งนี้ยังสะท้อนแนวโน้มการพัฒนาพื้นที่ที่พยายาม “ล็อกสามเสาหลัก” ให้ทำงานไปในทิศทางเดียวกัน ได้แก่

  1. ศิลปะและภูมิปัญญาท้องถิ่น – ใช้เครื่องเคลือบดินเผาเวียงกาหลงเป็นตัวแทนของอัตลักษณ์ล้านนาและเรื่องเล่าของชุมชน
  2. การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม – เชื่อมโยงเวียงกาหลงเข้ากับเส้นทางท่องเที่ยวในเชียงราย เช่น ดอยตุง เมืองเชียงราย หรือชุมชนใกล้เคียง เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ครบทั้งธรรมชาติ–วัฒนธรรม–ศิลปะ
  3. เศรษฐกิจฐานราก – ทำให้รายได้จากการขายผลิตภัณฑ์และการท่องเที่ยวกลับคืนสู่คนในพื้นที่อย่างเป็นธรรม ช่วยลดการอพยพแรงงาน และสร้างงานให้คนรุ่นใหม่ในชุมชน

เมื่อทั้งสามเสานี้ถูกออกแบบให้เสริมกันและกัน เครื่องเคลือบดินเผาเวียงกาหลงก็ไม่ใช่แค่วัตถุสวยงามที่ตั้งอยู่บนชั้นโชว์ แต่กลายเป็น “เครื่องมือ” ที่ช่วยให้ชาวบ้านมีรายได้มั่นคง เด็กรุ่นใหม่เห็นคุณค่าภูมิปัญญาบรรพบุรุษ และจังหวัดมีจุดขายใหม่ในสายตานักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติ

ความท้าทายที่ต้องเผชิญ คนรุ่นใหม่ ทุน และความต่อเนื่องของนโยบาย

แม้ภาพรวมจะมีโอกาสจำนวนมาก แต่เวียงกาหลงและหัตถกรรมท้องถิ่นก็ยังเผชิญ “โจทย์ยาก” หลายด้าน เช่น

  • การสืบทอดของคนรุ่นใหม่ ที่อาจลังเลระหว่างกลับบ้านมาทำดินเผากับการไปทำงานในเมือง
  • ต้นทุนการผลิตและความเสี่ยงทางตลาด เมื่อวัตถุดิบ ค่าแรง และค่าใช้จ่ายในการจัดจำหน่ายเพิ่มสูงขึ้น
  • ความต่อเนื่องของนโยบาย ที่หากเปลี่ยนชุดผู้บริหารหรือแนวทางสนับสนุนบ่อยเกินไป อาจทำให้โครงการระยะยาวสะดุดกลางคัน

การลงพื้นที่ของผู้ว่าราชการจังหวัดจึงเป็น “จุดเริ่มต้นที่สำคัญ” แต่การจะเปลี่ยนศักยภาพให้กลายเป็นผลลัพธ์จริง จำเป็นต้องมีแผนงานต่อเนื่อง ทั้งในระดับจังหวัดและระดับชุมชน เช่น การจัดทำแผนพัฒนาหัตถกรรมเวียงกาหลงระยะ 3–5 ปี การสนับสนุนงบประมาณวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ (R&D) การเชื่อมโยงกับสถาบันการศึกษา หรือการสร้างแบรนด์ร่วมของชุมชนอย่างเป็นระบบ

 

เวียงกาหลง แบบทดสอบเล็ก ๆ ของคำว่า “เชียงรายเมืองสร้างสรรค์”

เชียงรายในช่วงหลายปีที่ผ่านมา พยายามวางตัวเองในฐานะ “เมืองสร้างสรรค์” ผ่านทั้งงานศิลปะร่วมสมัย การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ และกิจกรรมเชิงวัฒนธรรมระดับนานาชาติ การหนุนเสริมเครื่องเคลือบดินเผาเวียงกาหลงในวันนี้ จึงอาจมองได้ว่าเป็น “แบบทดสอบเล็ก ๆ” ของจังหวัดว่า จะสามารถทำให้คำว่า “เมืองสร้างสรรค์” ลงลึกไปถึงระดับหมู่บ้านและครอบครัวได้จริงเพียงใด

หากเวียงกาหลงสามารถกลายเป็นตัวอย่างของการใช้ศิลปะและภูมิปัญญาท้องถิ่นมาขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากอย่างเป็นรูปธรรม เชียงรายก็จะมี “เคสศึกษา” ที่ชัดเจนสำหรับการขยายบทเรียนไปยังชุมชนอื่น ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มหัตถกรรม กลุ่มกาแฟ ชา หรือเกษตรเชิงสร้างสรรค์ในพื้นที่อื่นของจังหวัด

ในทางกลับกัน หากเวียงกาหลงยังติดขัดเรื่องทุน การตลาด หรือการสืบทอดคนรุ่นใหม่ ก็จะเป็น “สัญญาณเตือน” ต่อผู้กำหนดนโยบายว่า การผลักดันเศรษฐกิจสร้างสรรค์ในระดับพื้นที่จำเป็นต้องลงลึกกว่าการจัดกิจกรรมเชิงพิธีการ และต้องลงทุนกับคน–ระบบ–ความต่อเนื่องให้มากกว่าที่เป็นอยู่

จากมือช่างถึงมือผู้ว่าฯ และอนาคตของชุมชน

ในวันที่นายชูชีพ พงษ์ไชย ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ก้าวเข้าสู่โรงเผาเล็ก ๆ ของครูทันธิ จิตตัง ที่อำเภอเวียงป่าเป้า ภาพที่เห็นไม่ได้มีเพียงเตาดินเผาและชั้นวางเครื่องเคลือบ แต่เป็น “จุดตัด” ระหว่างอดีต ปัจจุบัน และอนาคตของเศรษฐกิจชุมชนเชียงราย

อดีต – ถูกหล่อหลอมอยู่ในดินและลายเส้นของเวียงกาหลง
ปัจจุบัน – ปรากฏผ่านมือช่างฝีมือ ศิลปิน OTOP และนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาซื้อผลงาน
อนาคต – ขึ้นอยู่กับว่า จังหวัดและชุมชนจะสามารถนำมรดกเหล่านี้ไปต่อยอดในโลกของเศรษฐกิจสร้างสรรค์และตลาดดิจิทัลได้อย่างยั่งยืนเพียงใด

การลงพื้นที่เยี่ยมชมครั้งนี้จึงไม่ใช่แค่ช่วงเวลาสั้น ๆ ในปฏิทินราชการ หากแต่เป็น “สัญญาณ” ว่าเชียงรายกำลังเลือกเดินบนเส้นทางที่ใช้ภูมิปัญญา วัฒนธรรม และความคิดสร้างสรรค์เป็นเครื่องยนต์หลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก และเวียงกาหลงก็อาจเป็นหนึ่งในตัวอย่างสำคัญของการเดินทางเส้นนี้ในสายตาของทั้งคนในจังหวัดและสังคมไทยโดยรวม

สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (CEA)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
MOST POPULAR
FOLLOW ME
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

ชียงรายเร่ง “คนละครึ่ง พลัส” พยุง OTOP ฝ่าวิกฤตเสี่ยงถดถอยทางเทคนิค

วิกฤตเศรษฐกิจฐานราก เชียงรายเร่ง “คนละครึ่ง พลัส” พยุงผู้ประกอบการ OTOP สู้ถดถอยทางเทคนิค

เชียงราย, 24 พฤศจิกายน 2568 – เชียงรายเสี่ยงซ้ำซ้อน เศรษฐกิจฐานรากอ่อนแรงท่ามกลางภาวะถดถอยทางเทคนิค  เศรษฐกิจระดับฐานรากเชียงรายกำลังเผชิญแรงกดดันรอบด้าน. ขณะเดียวกัน ประเทศไทยถูกเตือนว่าเสี่ยงเข้าสู่ภาวะ “ถดถอยทางเทคนิค”. ดังนั้น โครงการ “คนละครึ่ง พลัส” จึงถูกใช้เป็นเครื่องมือเร่งด่วน. เป้าหมายคือช่วยพยุงกำลังซื้อและสร้างรายได้ให้ผู้ประกอบการรายย่อยโดยตรง.

อย่างไรก็ตาม สัญญาณเชิงโครงสร้างของเศรษฐกิจกลับน่ากังวลไม่แพ้กัน. ตัวเลขจีดีพีติดลบติดต่อกันสองไตรมาสเริ่มใกล้ความจริง. ขณะที่การลงทุนภาครัฐยังหดตัวต่อเนื่อง. ภาวะนี้ทำให้มาตรการระดับฐานรากต้องทำงานหนักขึ้น. เพราะประชาชนระมัดระวังการใช้จ่ายมากกว่าเดิม.

OTOP เชียงรายตื่นตัว ลงทะเบียนคนละครึ่ง พลัสฝ่าวิกฤต

สำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดเชียงรายเดินหน้ารณรงค์เชิงรุก. หน่วยงานเชิญชวนผู้ผลิตและผู้ประกอบการ OTOP ทุกอำเภอเข้าร่วมโครงการ “คนละครึ่ง พลัส”. เป้าหมายชัดเจนคือพยุงธุรกิจฐานรากไม่ให้หยุดชะงัก. พร้อมทั้งเพิ่มช่องทางจำหน่ายสินค้าในช่วงที่กำลังซื้ออ่อนแรง.

ข้อมูล ณ วันที่ 10 พฤศจิกายน 2568 ระบุชัดว่า มีผู้ประกอบการ OTOP เชียงรายเข้าร่วมแล้ว 260 ราย. เมื่อเทียบกับจำนวนผู้ประกอบการทั้งหมด 2,196 ราย คิดเป็นสัดส่วนกว่า 30.05%. แม้ยังไม่ถึงครึ่ง แต่ตัวเลขนี้สะท้อนการตื่นตัวของผู้ประกอบการฐานรากอย่างมีนัยสำคัญ.

นอกจากนี้ หน่วยงานรัฐในพื้นที่ยังจัดบริการแบบจุดเดียวเบ็ดเสร็จ. โดยสำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดเชียงรายร่วมกับสำนักงานคลังจังหวัด และธนาคารกรุงไทย. ผู้ประกอบการจึงสามารถสมัคร เข้ารับคำแนะนำ และแก้ไขปัญหาระบบได้ในที่เดียว. รูปแบบนี้ช่วยลดต้นทุนเวลาและการเดินทางของผู้ประกอบการรายเล็กได้จริง.

โครงการคนละครึ่ง พลัส มาตรการระยะสั้นภายใต้งบ 6.7 หมื่นล้านบาท

โครงการ “คนละครึ่ง พลัส” ถูกออกแบบเพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายช่วงปลายปี. วงเงินรวม 6.7 หมื่นล้านบาท ถูกคาดหวังว่าจะหมุนเวียนสู่ระบบเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว. อีกทั้งยังช่วยแบ่งเบาภาระค่าครองชีพประชาชนในภาวะรายได้ไม่โตตามค่าครองชีพ.

ระยะเวลาการใช้สิทธิเริ่มตั้งแต่ 29 ตุลาคม 2568 ถึง 31 ธันวาคม 2568. ช่วงเวลาดังกล่าวถือเป็นฤดูกาลจับจ่ายสำคัญ. ทั้งเทศกาลปีใหม่ และการท่องเที่ยวปลายปีในเชียงราย. ผู้ประกอบการ OTOP จึงมีโอกาสใช้มาตรการนี้เชื่อมต่อกับนักท่องเที่ยวและคนในพื้นที่พร้อมกัน.

อย่างไรก็ดี ผลต่อการผลิตในประเทศยังมีข้อจำกัด. เนื่องจากโครงสร้างเศรษฐกิจไทยพึ่งพาการนำเข้าสินค้าสูงในหลายภาคส่วน. ดังนั้น เม็ดเงินที่อัดฉีดผ่านการบริโภคอาจไม่ได้เปลี่ยนภาพเศรษฐกิจระยะยาว. แต่ช่วยบรรเทาความเดือดร้อนในระยะสั้น และยืดลมหายใจให้ธุรกิจฐานราก.

เสียงเตือนจากนักเศรษฐศาสตร์  ถดถอยทางเทคนิคและเงินฝืด

รศ. ดร. อนุสรณ์ ธรรมใจ ผู้อำนวยการศูนย์ DEIIT ให้ภาพที่น่าคิดกับเศรษฐกิจไทย. เขาประเมินว่า เศรษฐกิจไตรมาสสี่อาจขยายตัวต่ำกว่า 1%. หากจีดีพีไตรมาสนี้หดตัวเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้าอีกครั้ง ประเทศจะเข้าสู่ภาวะ “เศรษฐกิจถดถอยทางเทคนิค”. เนื่องจากไตรมาสสาม จีดีพีไตรมาสต่อไตรมาสติดลบไปแล้วที่ -0.6%.

ยิ่งไปกว่านั้น การลงทุนภาครัฐในไตรมาสสามยังติดลบถึง -5.3%. ตัวเลขนี้สะท้อนว่ารัฐยังไม่เร่งใช้จ่ายเท่าที่ควร. ส่งผลให้กลไกกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเดินหน้าอย่างเชื่องช้า. เมื่อประกอบกับกำลังซื้อเอกชนที่อ่อนแรง ภาพรวมจึงยิ่งเปราะบาง.

ในด้านราคา สถานการณ์เงินเฟ้อทั่วไปกลับติดลบต่อเนื่อง. มีการประเมินว่า เงินเฟ้อเฉลี่ยทั้งปีอาจอยู่ที่ระดับ -0.2 ถึง -0.3%. สัญญาณนี้ชี้ว่าประเทศเผชิญความเสี่ยงเงินฝืด. แม้ราคาสินค้าบางรายการดูเหมือนลดลง แต่รายได้ประชาชนกลับไม่เติบโตตาม. ผลลัพธ์คือประชาชนระมัดระวังการใช้จ่ายและเลื่อนการซื้อสินค้าไม่จำเป็นออกไป.

ข้อเสนอเชิงนโยบาย  ไม่ใช่แค่แจกเงิน แต่ต้องเร่งลงทุน

จากมุมมองของนักเศรษฐศาสตร์ มาตรการ “คนละครึ่ง พลัส” เพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอ. ภาครัฐจำเป็นต้องเร่งการลงทุนควบคู่ไปด้วย. การเดินหน้าโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานจะช่วยให้เกิดการจ้างงาน. นอกจากนี้ ยังสร้างรายได้ให้ผู้ประกอบการท้องถิ่นในห่วงโซ่อุปทาน.

อีกข้อเสนอสำคัญคือ การปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงสู่ระดับ 1%. การลดดอกเบี้ยจะช่วยลดต้นทุนการเงินของภาคธุรกิจและครัวเรือน. อย่างไรก็ตาม มาตรการนี้ต้องทำอย่างระมัดระวัง. เพราะอาจกระทบต่อเงินทุนเคลื่อนย้ายและค่าเงินบาทในตลาดโลก.

ขณะเดียวกัน นักเศรษฐศาสตร์ชี้ว่า ยังไม่ควรขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มในเวลานี้. เนื่องจากกำลังซื้อประชาชนยังอ่อนแอ. หากรัฐต้องการรายได้เพิ่ม ควรเน้นการลดการรั่วไหลและเพิ่มประสิทธิภาพงบประมาณ. เป้าหมายคือปิดช่องโหว่ให้ได้ปีละ 2–3 แสนล้านบาทแทนการขึ้นภาษี.

โอกาสและความท้าทายของผู้ประกอบการ OTOP เชียงราย

สำหรับผู้ประกอบการ OTOP เชียงราย มาตรการคนละครึ่ง พลัสเปิดทั้งโอกาสและโจทย์ใหม่. ฝั่งหนึ่งคือโอกาสเข้าถึงลูกค้าใหม่ในช่วงที่ทุกคนมองหาความคุ้มค่า. อีกฝั่งคือความจำเป็นต้องพัฒนาคุณภาพสินค้าและการตลาด. เพราะการแข่งขันในระบบดิจิทัลรุนแรงขึ้นทุกปี.

ผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการจำเป็นต้องใช้ข้อมูลอย่างชาญฉลาด. ตัวเลขการขาย ช่วงเวลาที่ลูกค้าใช้สิทธิ และประเภทสินค้าที่ขายดี ล้วนเป็นข้อมูลทองคำ. หากนำมาวิเคราะห์อย่างต่อเนื่อง จะช่วยให้ผู้ประกอบการวางแผนผลิตและสต็อกสินค้าได้แม่นยำขึ้น.

นอกจากนี้ การเชื่อมโยงสินค้ากับเรื่องราวท้องถิ่นเชียงรายยังเป็นจุดแข็งสำคัญ. ไม่ว่าจะเป็นเอกลักษณ์ชาติพันธุ์ วัฒนธรรมล้านนา หรือเส้นทางท่องเที่ยวชายแดน. หากผู้ประกอบการสื่อสารเรื่องราวเหล่านี้ควบคู่กับมาตรการคนละครึ่ง พลัส จะยิ่งเพิ่มมูลค่าทางใจให้สินค้าได้มากกว่าการลดราคาเพียงอย่างเดียว.

คนละครึ่ง พลัส คือกันชนชั่วคราว แต่โครงสร้างต้องเร่งปรับ

ท้ายที่สุดแล้ว โครงการ “คนละครึ่ง พลัส” สำหรับเชียงรายคือกันชนสำคัญในช่วงเศรษฐกิจผันผวน. มาตรการนี้ช่วยพยุงรายได้ผู้ประกอบการ OTOP และบรรเทาภาระค่าครองชีพประชาชนในระยะสั้น. อย่างไรก็ตาม สัญญาณถดถอยทางเทคนิคและความเสี่ยงเงินฝืดยังคงอยู่.

การแก้ปัญหาเศรษฐกิจฐานรากจำเป็นต้องทำมากกว่าการกระตุ้นการใช้จ่าย. รัฐต้องเร่งลงทุน สร้างความเชื่อมั่น และออกมาตรการที่เอื้อต่อผู้ประกอบการรายย่อยในระยะยาว. ขณะเดียวกัน ผู้ประกอบการ OTOP เองต้องปรับตัว พัฒนาสินค้า และใช้ข้อมูลวิเคราะห์อย่างจริงจัง.

หากนโยบายระดับมหภาคเดินคู่กับความเข้มแข็งของชุมชนท้องถิ่นได้จริง. เมื่อนั้น เศรษฐกิจฐานรากเชียงรายอาจไม่เพียงแค่ “รอด” จากวิกฤตถดถอยทางเทคนิค. แต่อาจกลับมา “เติบโต” อย่างยั่งยืนบนรากฐานที่แข็งแรงกว่าเดิม.

สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดเชียงราย
  • ศูนย์ DEIIT และคำให้สัมภาษณ์ของ รศ. ดร. อนุสรณ์ ธรรมใจ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
MOST POPULAR
FOLLOW ME
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

เชียงรายโชว์ ‘ผ้าทออัตลักษณ์’ ยกระดับภูมิปัญญาสู่แฟชั่นโลก หนุนเศรษฐกิจยั่งยืน

เชียงรายจัดยิ่งใหญ่ “ผ้าทอ ผ้าพื้นถิ่น ผ้าอัตลักษณ์เชียงราย ครั้งที่ 2” สืบสานภูมิปัญญา สร้างรายได้ยั่งยืน เสริมเศรษฐกิจฐานราก

เดินหน้าผลักดันผ้าไทยสู่เวทีสากล แฟชั่นโชว์-ประกวดออกแบบสุดคึกคัก ต่อยอดหัตถกรรมท้องถิ่นด้วยนวัตกรรมและดีไซน์

เชียงราย, 26 มิถุนายน 2568 – ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเชียงราย บรรยากาศของงาน “ผ้าทอ ผ้าพื้นถิ่น ผ้าอัตลักษณ์จังหวัดเชียงราย ครั้งที่ 2” คึกคักไปด้วยกลุ่มผู้ประกอบการ นักออกแบบ เยาวชน และประชาชนผู้สนใจเข้าร่วมงานจำนวนมาก ภายใต้การขับเคลื่อนของสำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดเชียงราย ซึ่งมุ่งเน้นการส่งเสริมศักยภาพผู้ผลิตผ้าและสิ่งทอในท้องถิ่นให้เข้มแข็ง รองรับตลาดยุคใหม่ และต่อยอดมรดกภูมิปัญญาท้องถิ่นสู่เศรษฐกิจสร้างสรรค์

สืบสานภูมิปัญญา – ผ้าทอเชียงราย ผสานอดีตสู่อนาคต

นายนรศักดิ์ สุขสมบูรณ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ประธานในพิธีเปิดงาน กล่าวว่า งานครั้งนี้สะท้อนบทบาทสำคัญของจังหวัดเชียงรายในฐานะแหล่งรวมผ้าทอคุณภาพ ทั้งผ้าฝ้าย ผ้าไหม และผ้าชาติพันธุ์ ซึ่งโดดเด่นด้วยเอกลักษณ์ด้านเทคนิคและลวดลายที่สืบทอดต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่น ผ่านช่างฝีมือและผู้ประกอบการรุ่นใหม่ที่พร้อมรับนวัตกรรมการออกแบบตัดเย็บและการย้อมสีธรรมชาติ สอดคล้องกับแนวทางการผลักดันเศรษฐกิจฐานราก เพิ่มช่องทางการตลาด และยกระดับสินค้า OTOP ของจังหวัดอย่างเป็นรูปธรรม

การจัดกิจกรรมในครั้งนี้ได้รับความร่วมมือจากกลุ่มผู้ผลิตและผู้ประกอบการกว่า 50 กลุ่ม รวมกว่า 100 คน โดยนำผลงานผ้าทอและสิ่งทอที่มีอัตลักษณ์เฉพาะของแต่ละชุมชนมาร่วมจัดแสดงและจำหน่าย นอกจากนี้ยังมีการประกวดออกแบบแฟชั่นผ้าไทย “ผ้าไทยใส่ให้สนุก สู่แฟชั่นที่ยั่งยืน” เปิดเวทีให้ดีไซน์เนอร์ เยาวชน และช่างทอรุ่นใหม่ได้แสดงศักยภาพการสร้างสรรค์ ตอบโจทย์ตลาดแฟชั่นทั้งในและต่างประเทศ ชิงเงินรางวัลรวมกว่า 70,000 บาท

ต่อยอดคุณค่า – เศรษฐกิจฐานรากเติบโต ขับเคลื่อน Soft Power

นางอำไพ บัวระดก พัฒนาการจังหวัดเชียงราย รายงานว่า โครงการนี้เป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์และสร้างสรรค์บนฐานทรัพยากรชุมชนคุณค่าสูง ที่เน้นการยกระดับผลิตภัณฑ์ผ้าและสิ่งทอไปสู่การท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ ตลอดจนเสริมสร้างโอกาสทางการตลาดให้แก่ผู้ประกอบการในท้องถิ่นให้ก้าวสู่ตลาดระดับสากล โดยกิจกรรมจัดขึ้นระหว่างวันที่ 26-30 มิถุนายน 2568 และจากสถิติการจัดงานแฟชั่นโชว์และจำหน่ายสินค้าครั้งแรกเมื่อเดือนที่แล้ว สามารถสร้างรายได้ให้ผู้ผลิตมากกว่า 1.7 ล้านบาท สะท้อนโอกาสเติบโตของธุรกิจผ้าไทยในยุคปัจจุบันอย่างแท้จริง

ปรับมิติการออกแบบ – ผ้าไทยใส่สนุก สู่แฟชั่นร่วมสมัย

ไฮไลท์สำคัญในปีนี้ คือการสนับสนุนให้เกิดการออกแบบและตัดเย็บชุดผ้าไทยในรูปแบบที่ทันสมัย สนองแนวพระดำริ “ผ้าไทยใส่ให้สนุก” ในสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์ฯ โดยเน้นการผสมผสานผ้าพื้นถิ่นกับดีไซน์สมัยใหม่ เพื่อต่อยอดผลิตภัณฑ์สู่ตลาดกลุ่มคนรุ่นใหม่ นักท่องเที่ยว และตลาดแฟชั่นโลกอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งเป็นแรงบันดาลใจให้ชุมชนเกิดความภาคภูมิใจในรากเหง้าและภูมิปัญญาท้องถิ่น

สร้างเครือข่าย ยกระดับศักยภาพด้วยองค์ความรู้ใหม่

กิจกรรมภายในงานยังเน้นการถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านการย้อมสีธรรมชาติ การออกแบบลวดลาย การตัดเย็บ และการพัฒนาบรรจุภัณฑ์ พร้อมทั้งจัดเวทีพบปะและแลกเปลี่ยนประสบการณ์ระหว่างผู้ประกอบการ OTOP ผู้เชี่ยวชาญด้านแฟชั่น และหน่วยงานส่งเสริมการค้า เพื่อสร้างโอกาสการเจรจาธุรกิจใหม่ ๆ และยกระดับเครือข่ายอุตสาหกรรมสิ่งทอของเชียงรายให้แข็งแกร่ง

วิเคราะห์โอกาส – อัตลักษณ์ผ้าไทย เชียงรายสู่ตลาดโลก

การจัดงานในครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญของการยกระดับผ้าทอเชียงรายจากภูมิปัญญาท้องถิ่นสู่เวทีระดับชาติและนานาชาติ โดยใช้ Soft Power ของผ้าไทยในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก ส่งเสริมอาชีพและรายได้ให้กับชุมชน สร้างการมีส่วนร่วมในระดับครัวเรือนไปจนถึงจังหวัดและประเทศ นับเป็นตัวอย่างของการอนุรักษ์ สืบสาน และต่อยอดภูมิปัญญาหัตถกรรมไทยสู่ยุคใหม่ได้อย่างแท้จริง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดเชียงราย
  • ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเชียงราย
  • งานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

พช.เชียงราย เฝ้าฯ รับเสด็จ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา เสด็จไปทอดพระเนตรนิทรรศการและการจัดงานแสดงผลิตภัณฑ์ผ้าไทยและงานหัตถกรรมชุมชนภาคเหนือ

 

เมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2567 เวลา 13.00 น. สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา เสด็จไปทอดพระเนตรนิทรรศการและการจัดงานแสดงผลิตภัณฑ์ผ้าไทยและงานหัตถกรรมภูมิปัญญาชุมชนภาคเหนือ ตามโครงการพัฒนาผู้นำการเปลี่ยนแปลงภูมิปัญญาชุมชนไทย ณ สวนซากุระ และสวน 80 สถานีเกษตรหลวงอ่างขาง หมู่ที่ 5 ตำบลแม่งอน อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ 

 

โดยมี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายชาดา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย นายชัยวัฒน์ ชื่นโกสุม อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ อธิบดีกรมการปกครอง นายนิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ นายพิชัย คำเกิด หัวหน้าสถานีเกษตรหลวงอ่างขาง นางสาวธนนนท์ นิรามิษ ภริยารองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ นายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย นางกุลทรัพย์ ชื่นโกสุม ประธานชมรมแม่บ้านพัฒนาชุมชน นางกุสุมาล พงษ์สิทธิถาวร ประธานแม่บ้านมหาดไทยจังหวัดเชียงใหม่ พร้อมด้วยข้าราชการและประชาชน เฝ้าฯ รับเสด็จ

 

ในการนี้ นายพุฒิพงศ์ ศิริมาตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วย นางสุภาเพ็ญ ศิริมาตย์ ประธานแม่บ้านมหาดไทยจังหวัดเชียงราย นางอำไพ บัวระดก พัฒนาการจังหวัดเชียงราย ได้นำกลุ่มผู้ประกอบการ OTOP ประเภทผ้าชาติพันธุ์ จำนวน 5 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มสตรีทอผ้าศรีดอนชัย อ.เชียงของ (ชาติพันธุ์ไทลื้อ) กลุ่มปักผ้าด้วยมือบ้านสันกอง อ. แม่จัน (ชาติพันธุ์อาข่า) กลุ่มผ้าเขียนเทียน บ้านห้วยหาน อำเภอเวียงแก่น (ชาติพันธุ์ม้ง) กลุ่มผ้าทอกะเหรี่ยงบ้านทุ่งพร้าว อ.แม่สรวย (ชาติพันธุ์ปกาเกอะญอ) และกลุ่มผ้าทอกะเหรี่ยงแคววัวดำ อำเภอเมืองเชียงราย (ชาติพันธุ์ปกาเกอะญอ) เฝ้าฯ รับเสด็จฯ
 
 
จังหวัดเชียงราย ได้น้อมนำแนวพระราชปณิธาน สืบสาน รักษา ต่อยอด พัฒนาผ้าไทยสู่ความยั่งยืน ในการใช้สีและวัตถุดิบมาจากธรรมชาติตามแนวพระดำริแฟชั่นยั่งยืน (Sustainable Fashion) ที่พระราชทานแนวทางไว้ในการเสด็จเยี่ยมเยียนในปีที่ผ่านมา อันเป็นการลดปัญหาภาวะโลกร้อน โดยผลงานทุกชิ้นมีตราสัญลักษณ์ Sustainable Fashion ที่ทรงออกแบบและพระราชทานให้กระทรวงมหาดไทยเชิญไปมอบให้ทุกกลุ่มที่ดำเนินการพัฒนาผลงานตามพระดำริ และภายหลังจากทรงมีพระวินิจฉัยและพระราชทานคำแนะนำเสร็จสิ้นแล้ว เสด็จไปทอดพระเนตรการแสดงศิลปวัฒนธรรมพื้นถิ่น ชุด ฟ้อนถิ้งบ้อง โดยนักเรียนโรงเรียนฝางชนูปถัมภ์ จึงเสด็จกลับ
 
 
ทั้งนี้ ในช่วงเวลาตั้งแต่ 09.00 น. และตลอดทั้งวัน สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา โปรดให้คณะทำงานโครงการผ้าไทยใส่ให้สนุกในพระดำริ ประกอบด้วย ผู้เชี่ยวชาญ และผู้ทรงคุณวุฒิ ซึ่งเป็นดีไซเนอร์และผู้มีความรู้ความสามารถด้านการออกแบบ ตัดเย็บ ถักทอ และด้านสีธรรมชาติ เป็นวิทยากรให้ความรู้และคำแนะนำแก่กลุ่มทอผ้าและสมาชิกกลุ่มศิลปาชีพเพื่อเพิ่มมูลค่าของผืนผ้าให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ ยังผลทำให้มีรายได้ในการดูแลตนเองและสมาชิกในครอบครัวให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กลุ่​มงาน​ส่งเสริม​การพัฒนา​ชุมชน​ สำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS SOCIETY & POLITICS

ประธาน​แม่บ้าน​มหาดไทย​เชียงราย​ ลง​พื้นที่​ ติดตาม “ผ้าลายดอกรักราชกัญญา”

ประธานแม่บ้านมหาดไทยเชียงราย ลงพื้นที่ ติดตาม “ผ้าลายดอกรักราชกัญญา”

Facebook
Twitter
Email
Print

เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2566 นางสุภาเพ็ญ ศิริมาตย์ ประธานแม่บ้านมหาดไทยจังหวัดเชียงราย ลงพื้นที่เยี่ยมให้กำลังใจสมาชิกศิลปาชีพ และกลุ่มผู้ผลิต ผู้ประกอบการ OTOP ในพื้นที่อำเภอพญาเม็งราย จังหวัดเชียงราย ณ ห้องประชุมที่ว่าการอำเภอพญาเม็งราย โดยมีนายชูสวัสดิ์ สวัสดี นายอำเภอพญาเม็งราย พร้อมด้วยนางโสภิชา หงษ์คำ พัฒนาการอำเภอพญาเม็งราย แม่บ้านมหาดไทยอำเภอพญาเม็งราย ผู้ผลิต ผู้ประกอบการ OTOP ประเภทผ้า สมาชิกกลุ่มศิลปาชีพ ในพื้นที่อำเภอพญาเม็งราย ร่วมให้การต้อนรับและนำเสนอข้อมูลการพัฒนาผลิตภัณฑ์

ในการนี้ นายวิทยา ชุมภูคำ พัฒนาการจังหวัดเชียงราย มอบหมายให้นางอำไพ บัวระดก ผู้อำนวยการกลุ่มงานยุทธศาสตร์การพัฒนาชุมชน พร้อมด้วยนายปรีชา ปวงคำ ผู้อำนวยการกลุ่มงานส่งเสริมการพัฒนาชุมชน และทีมงานนักวิชาการสำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดเชียงราย ร่วมลงพื้นที่ติดตามสนับสนุนข้อมูลเพื่อส่งเสริมการพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานผลิตภัณฑ์ให้เป็นไปตามแนวทาง หลักเกณฑ์การประกวด รวมทั้งส่งเสริมการผลิตและจำหน่ายเพื่อสร้างรายได้ให้กับกลุ่มและชุมชนอย่างยั่งยืน
 
ในโอกาสนี้ นางสุภาเพ็ญ ศิริมาตย์ ประธานแม่บ้านมหาดไทยจังหวัดเชียงราย และคณะ ได้พบปะและมอบแนวทางการพัฒนาผลิตภัณฑ์ เพื่อสร้างรายได้แก่กลุ่ม และเชิญชวนส่งผลงานเข้าร่วมการประกวดผ้าลายพระราชทาน “ผ้าลายดอกรักราชกัญญา” และงานหัตถกรรม โดยมอบหมายให้สำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดเชียงราย ร่วมสนับสนุนการดำเนินงาน
 
ทั้งนี้ ผู้สนใจสามารถส่งผลงานและใบสมัครเข้าร่วมการประกวดฯ ได้ที่สำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดเชียงราย และสำนักงานพัฒนาชุมชนอำเภอทุกแห่ง ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม – 4 สิงหาคม 2566
Facebook
Twitter
Email
Print

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : Cddchiangrai

Facebook
Twitter
Email
Print
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE