Categories
TOP STORIES

ฝุ่นพิษวิกฤต ‘ภาคเหนือ’ อ่วม สส.ซัดรัฐบาลไร้แผน

ฝุ่น PM2.5 พุ่งสูง! กรุงเทพฯ-เชียงรายวิกฤต สสจ.เตือนงดกิจกรรมกลางแจ้ง

เชียงราย, 24 มีนาคม 2568 – สถานการณ์ฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ในประเทศไทยทวีความรุนแรง โดยเฉพาะในกรุงเทพมหานครที่ทำสถิติสูงสุดในรอบปี 2568 ด้วยระดับฝุ่นที่อยู่ในเกณฑ์อันตรายต่อสุขภาพ (สีแดงถึงสีม่วง) ติดต่อกันนานถึง 38 ชั่วโมง ขณะที่จังหวัดเชียงรายและภาคเหนือ รวมถึงภาคอีสาน ยังคงเผชิญปัญหาหมอกควันข้ามแดนจากเพื่อนบ้านอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะจาก สปป.ลาว ที่มีการเผาในภาคเกษตรและป่าไม้เพิ่มสูงขึ้นอย่างน่ากังวล

จากข้อมูลล่าสุด ฝุ่น PM2.5 ในกรุงเทพฯ ได้รับอิทธิพลจากหลายปัจจัย ทั้งการเผาในภาคเกษตรและป่าไม้ การปล่อยมลพิษจากยานยนต์และโรงงานอุตสาหกรรมที่กลับมาดำเนินกิจกรรมตามปกติ รวมถึงปรากฏการณ์ฝาชีครอบต่ำ (Temperature Inversion) ซึ่งทำให้ฝุ่นไม่สามารถระบายออกได้ นอกจากนี้ ฝุ่นพิษที่ตีกลับจากอ่าวไทยยังเพิ่มความรุนแรงของสถานการณ์ในกรุงเทพฯ ขณะที่ภาคเหนือและอีสานได้รับผลกระทบจากหมอกควันข้ามแดนจากเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะจาก สปป.ลาว และเมียนมา ซึ่งมีการเผาในพื้นที่เกษตรอย่างต่อเนื่อง

ในจังหวัดเชียงราย สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) ได้ออกประกาศเตือนประชาชนให้ระวังผลกระทบจากฝุ่น PM2.5 ที่สูงเกินมาตรฐาน โดยข้อมูลจากเว็บไซต์ AIR4Thai ระบุว่า ค่า PM2.5 ในหลายพื้นที่ของจังหวัดอยู่ในระดับ “มีผลกระทบต่อสุขภาพ” (สีส้มถึงสีแดง) สสจ.เชียงรายแนะนำให้ประชาชนปฏิบัติตามแนวทาง “รู้ – ลด – เลี่ยง” เพื่อป้องกันผลกระทบต่อสุขภาพ ดังนี้:

  1. รู้: ติดตามสถานการณ์คุณภาพอากาศผ่านแอปพลิเคชันหรือเว็บไซต์ที่เชื่อถือได้ เช่น Air4Thai หรือ “เชียงรายรู้ทันฝุ่น V2”
  2. ลด: งดกิจกรรมกลางแจ้ง โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีค่าฝุ่นสูงตั้งแต่ระดับสีส้ม สีแดง สีม่วง ไปจนถึงสีน้ำตาล
  3. เลี่ยง: สวมหน้ากากอนามัยชนิด N95 ปิดประตูหน้าต่างให้มิดชิด ใช้เครื่องฟอกอากาศ และดูแลกลุ่มเสี่ยง เช่น เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ และผู้ป่วยโรคเรื้อรังเป็นพิเศษ

นพ.เอกชัย คำลือ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเชียงราย กล่าวว่า “สถานการณ์ฝุ่น PM2.5 ในขณะนี้ส่งผลกระทบต่อสุขภาพประชาชนอย่างมาก โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยงที่อาจมีอาการรุนแรง เช่น หายใจลำบาก หรืออาการทางระบบทางเดินหายใจ ขอให้ประชาชนปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด และหากมีอาการผิดปกติให้รีบพบแพทย์ทันที”

การเมืองร้อนระอุ: อภิปรายไม่ไว้วางใจนายกฯ เรื่องฝุ่น PM2.5

ในวันเดียวกัน ที่อาคารรัฐสภา มีการประชุมสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเพื่ออภิปรายไม่ไว้วางใจ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 151 โดยนายภัทรพงษ์ ลีลาภัทร์ สส.เชียงใหม่ พรรคประชาชน ได้หยิบยกประเด็นการจัดการปัญหาฝุ่น PM2.5 มาอภิปราย โดยระบุว่านายกฯ ขาดความรู้ ความสามารถ และความเป็นผู้นำในการแก้ไขปัญหานี้

นายภัทรพงษ์ กล่าวว่า “ในเวทีแถลงผลงาน 90 วันของนายกฯ มีการนำเสนอข้อมูลที่ผิดพลาดจากความเป็นจริง ปัญหาฝุ่น PM2.5 ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2567 ถึงกุมภาพันธ์ 2568 มีความรุนแรงมากขึ้น แต่รัฐบาลกลับไม่สามารถจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพ” เขายังวิจารณ์ถึงข้อสั่งการของนายกฯ ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อเดือนตุลาคม 2567 ที่ระบุ 3 มาตรการหลัก ได้แก่ ห้ามรับซื้อสินค้าเกษตรจากการเผา ตรวจจับควันดำจากรถยนต์ และควบคุมมลพิษจากโรงงานอุตสาหกรรม แต่กลับไม่มีการออกมาตรการบังคับที่ชัดเจน เช่น การตรวจสอบห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ของผู้ประกอบการนำเข้าข้าวโพด หรือการสนับสนุนเกษตรกรรายย่อยให้เปลี่ยนไปใช้วิธีการเกษตรแบบไม่เผา

สส.พรรคประชาชน ยังชี้ถึงความล้มเหลวในการอบรมท้องถิ่นเพื่อดับไฟป่า โดยระบุว่า จากเป้าหมาย 2,000 แห่ง รัฐบาลกลับดำเนินการได้เพียง 60 แห่งเท่านั้น นอกจากนี้ ยังมีการขัดแย้งในนโยบายภายในรัฐบาล โดยเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2567 ครม. มีมติให้แต่ละจังหวัดบริหารจัดการเชื้อเพลิงด้วยวิธีชิงเผา แต่เพียง 1 เดือนต่อมา นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กลับออกคำสั่งห้ามเผาทุกกรณี ซึ่งนายภัทรพงษ์ตั้งคำถามว่า “ความเป็นผู้นำของนายกฯ อยู่ตรงไหน รัฐมนตรีไม่เห็นหัวตระกูลชินวัตรเลย”

นายภัทรพงษ์ ยังวิจารณ์ถึงการจัดการในกรุงเทพฯ โดยระบุว่า นายกฯ สั่งการให้ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) ป้องกันฝุ่น PM2.5 เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2567 แต่กลับไม่ให้อำนาจ กทม. ในการจับรถควันดำอย่างเต็มที่ มาตรการที่ออกมาจึงจำกัดเพียงการประกาศ Low Emission Zone และรถไฟฟ้าฟรีโดยใช้งบกลางเท่านั้น นอกจากนี้ กระทรวงพาณิชย์ยังออกประกาศนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ปลอดภาษีเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2567 โดยไม่ระบุเงื่อนไขด้านสิ่งแวดล้อมหรือการเผา ซึ่งขัดแย้งกับนโยบายของนายกฯ

ในประเด็นการเจรจากับประเทศเพื่อนบ้าน นายภัทรพงษ์ ระบุว่า การเจรจาในเวที ASEAN Summit ที่ลาวเมื่อเดือนตุลาคม 2567 ไม่มีเรื่องฝุ่น PM2.5 ในปฏิญญาเลยสักฉบับ แสดงถึงความล้มเหลวในการผลักดันวาระนี้ในระดับภูมิภาค เขายังยกตัวอย่างกรณีการซ้อมรบของกองทัพในจังหวัดพะเยาเมื่อวันที่ 13-14 กุมภาพันธ์ 2568 ซึ่งก่อให้เกิดไฟป่า โดยอ้างข้อมูลจากดาวเทียม NASA และ Sentinel-2 ว่าจุดความร้อนมาจากกระสุนที่ตก แม้ว่านายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม จะชี้แจงว่าไฟป่าไม่ได้รุนแรงและไม่ได้เกิดจากกระสุนของกองทัพ

นายภัทรพงษ์ กล่าวทิ้งท้ายว่า “ทั้งหมดนี้คือความวิบัติของประเทศที่มีผู้นำอย่างแพทองธาร ซึ่งขาดความรู้ ความสามารถ ความจริงใจ และความเป็นผู้นำในการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5 สุดท้ายผู้ที่ได้รับผลกระทบคือประชาชน”

รัฐบาลโต้กลับ: ยุทธศาสตร์ฟ้าใสและความร่วมมืออาเซียน

ด้านนายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ลุกขึ้นชี้แจงในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ โดยยืนยันว่ารัฐบาลได้ดำเนินการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5 อย่างจริงจัง โดยเฉพาะในมิติของความร่วมมือระหว่างประเทศ นายมาริษ ระบุว่า รัฐบาลได้ผลักดัน “ยุทธศาสตร์ฟ้าใส” (CLEAR Sky Strategy) ร่วมกับ สปป.ลาว และเมียนมา ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2567 โดยมีเป้าหมายลดหมอกควันข้ามแดนอย่างยั่งยืน ผ่านการจัดทำแผนที่พื้นที่เสี่ยง การเฝ้าระวังไฟป่า การเปิดสายด่วนประสานงาน และการพัฒนาเทคโนโลยีแก้ไขปัญหา

นายมาริษ ยังชี้แจงถึงความร่วมมือในกรอบอาเซียน โดยระบุว่ารัฐบาลได้ผลักดันประเด็นฝุ่น PM2.5 ผ่านการประชุมสุดยอดอาเซียนที่เวียงจันทน์ และการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนที่เกาะลังกาวี มาเลเซีย รวมถึงจัดงานสัมมนาแนวทางการแก้ไขหมอกควันข้ามแดน โดยเชิญผู้เชี่ยวชาญจากจีน สิงคโปร์ อินโดนีเซีย องค์การอนามัยโลก ธนาคารโลก และองค์กรระหว่างประเทศ เช่น GIZ และ ADPC มาแลกเปลี่ยนประสบการณ์ นอกจากนี้ ยังมีการผลักดันความร่วมมือกับประเทศคู่เจรจาของอาเซียน เช่น จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ สหรัฐอเมริกา และแคนาดา

ในระดับทวิภาคี กระทรวงการต่างประเทศได้ร่วมกับสหรัฐอเมริกา จีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ในการฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ สปป.ลาว เพื่อแก้ไขปัญหาหมอกควันข้ามแดนตั้งแต่เดือนมกราคม 2567 รวมถึงการประชุมกับกัมพูชาเมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2567 เพื่อจัดตั้งช่องทางการสื่อสารแลกเปลี่ยนข้อมูลจุดความร้อนและความร่วมมือดับไฟ โดยทั้งสองฝ่ายเตรียมลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ในวันที่ 23-24 เมษายน 2568 ระหว่างการเยือนของนายกรัฐมนตรี

30 ปีแห่งความพยายาม: ความร่วมมืออาเซียนแก้หมอกควันข้ามแดน

ปัญหาหมอกควันข้ามแดนในอาเซียนมีมานานกว่า 30 ปี โดยเริ่มต้นจากไฟป่าในอินโดนีเซียที่ส่งผลกระทบต่อบรูไน สิงคโปร์ มาเลเซีย และภาคใต้ของไทย โดยเฉพาะในปี 2537 ซึ่งนำไปสู่การร่างแผนปฏิบัติการหมอกควันระดับภูมิภาค (Regional Haze Action Plan: RHAP) ในปี 2538 ต่อมาในปี 2545 อาเซียนได้ลงนามในข้อตกลงว่าด้วยมลพิษจากหมอกควันข้ามแดน (ASEAN Agreement on Transboundary Haze Pollution: AATHP) และจัดทำโรดแมป ASEAN Transboundary Haze Free Roadmap by 2020 เพื่อทำให้อาเซียนปลอดหมอกควันภายในปี 2563

อย่างไรก็ตาม แผนดังกล่าวไม่ประสบความสำเร็จ เนื่องจากขาดมาตรการบังคับและการดำเนินการที่เป็นรูปธรรม ส่งผลให้เกิดแผนงานฉบับที่สองในปี 2566-2573 (Second ASEAN Haze-Free Roadmap 2023-2030) ซึ่งเปิดตัวในปี 2567 นอกจากนี้ ยังมีแผนย่อย เช่น แผนปฏิบัติการเชียงราย 2017 ที่มุ่งลดจุดความร้อนในอนุภูมิภาคแม่โขง และยุทธศาสตร์ฟ้าใสในปี 2567 ที่เน้นความร่วมมือระหว่างไทย สปป.ลาว และเมียนมา

มุมมองทั้งสองฝ่าย: ความท้าทายและความพยายาม

จากมุมมองของฝ่ายค้าน นายภัทรพงษ์ ลีลาภัทร์ ชี้ให้เห็นถึงความล้มเหลวของรัฐบาลในการจัดการปัญหาฝุ่น PM2.5 ทั้งในระดับนโยบายภายในประเทศและการเจรจาระหว่างประเทศ โดยเฉพาะการขาดความเป็นผู้นำของนายกฯ ที่ไม่สามารถผลักดันนโยบายให้เกิดผลเป็นรูปธรรม รวมถึงการขาดการประสานงานระหว่างหน่วยงาน เช่น กรณีคำสั่งขัดแย้งระหว่างกระทรวงมหาดไทยและครม. รวมถึงการซ้อมรบของกองทัพที่ก่อให้เกิดไฟป่า

ในทางกลับกัน รัฐบาลโดยนายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ ยืนยันถึงความพยายามในการแก้ไขปัญหา ทั้งในระดับทวิภาคีและพหุภาคี ผ่านยุทธศาสตร์ฟ้าใสและความร่วมมือในกรอบอาเซียน รวมถึงการผลักดันเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อแก้ไขปัญหาในระยะยาว รัฐบาลยังเน้นย้ำถึงการทำงานร่วมกับประเทศเพื่อนบ้านและพันธมิตรระหว่างประเทศ เพื่อลดหมอกควันข้ามแดนอย่างยั่งยืน

ทั้งสองฝ่ายมีข้อโต้แย้งที่สมเหตุสมผล ฝ่ายค้านชี้ให้เห็นถึงช่องว่างในนโยบายและการดำเนินการที่ยังไม่เพียงพอ ซึ่งส่งผลกระทบต่อประชาชนโดยตรง ขณะที่รัฐบาลแสดงถึงความพยายามในระดับนานาชาติ ซึ่งอาจต้องใช้เวลาในการเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน สถานการณ์ฝุ่น PM2.5 จึงยังคงเป็นความท้าทายที่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนทั้งในและนอกประเทศ

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  • ค่า PM2.5 ในกรุงเทพฯ: วันที่ 24 มีนาคม 2568 ค่า PM2.5 เฉลี่ยสูงสุดอยู่ที่ 75-100 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร (μg/m³) ซึ่งอยู่ในระดับอันตรายต่อสุขภาพ (สีแดงถึงสีม่วง) ติดต่อกัน 38 ชั่วโมง (ที่มา: Air4Thai)
  • จุดความร้อนในอาเซียน: ระหว่างปี 2565-2566 จุดความร้อนในกัมพูชา อินโดนีเซีย ลาว มาเลเซีย เมียนมา สิงคโปร์ เวียดนาม และไทย เพิ่มจาก 704,892 จุด เป็น 1,130,626 จุด (ที่มา: สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ – GISTDA)
  • การนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์: ปี 2566 ไทยนำเข้าข้าวโพดจากเมียนมา ลาว และกัมพูชา 1,331,428 ตัน เพิ่มเป็น 2,012,117 ตัน ในปี 2567 (ที่มา: กรมศุลกากร)
  • จุดความร้อนในพื้นที่ปลูกข้าวโพด: 1 ใน 3 ของจุดความร้อนในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขงอยู่ในพื้นที่ปลูกข้าวโพด (ที่มา: รายงานของกรีนพีซ, 2558-2563)

สถานการณ์ฝุ่น PM2.5 ยังคงเป็นปัญหาที่ต้องเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงที่สภาพอากาศปิดและมีการเผาเพิ่มขึ้นทั้งในและนอกประเทศ การแก้ไขปัญหานี้จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่าย เพื่อลดผลกระทบต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อมในระยะยาว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • Air4Thai
  • สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ
  • กรมศุลกากร
  • รายงานของกรีนพีซ, 2558-2563
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

จับบุหรี่ไฟฟ้า 260,000 ชิ้น นายกฯ สั่งขยายผล

ปฏิบัติการทลายเครือข่ายบุหรี่ไฟฟ้า Operation Smoke Out

นนทบุรี, 18 มีนาคม 2568 – นายกรัฐมนตรี นางสาวแพทองธาร ชินวัตร พร้อมด้วย นางสาวจิราพร สินธุไพร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี พลตำรวจโทสำราญ นวลมา ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ผู้ว่าราชการจังหวัดนนทบุรี และคณะ ร่วมแถลงผลปฏิบัติการ Operation Smoke Out ที่สามารถบุกยึดโกดังเก็บบุหรี่ไฟฟ้ารายใหญ่ที่สุดของประเทศในอำเภอบางบัวทอง จังหวัดนนทบุรี พบของกลางมากกว่า 260,000 ชิ้น มูลค่ารวมกว่า 130 ล้านบาท

รัฐบาลย้ำความจริงจังในการปราบปรามบุหรี่ไฟฟ้า

นายกรัฐมนตรีได้กล่าวชื่นชมเจ้าหน้าที่ตำรวจและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่ทำงานร่วมกันปราบปรามเครือข่ายบุหรี่ไฟฟ้าอย่างจริงจัง เพื่อป้องกันผลกระทบต่อเด็กและเยาวชน พร้อมกำชับให้กระทรวงศึกษาธิการและกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม เดินหน้าสร้างการรับรู้เกี่ยวกับโทษของบุหรี่ไฟฟ้าให้กับประชาชน โดยเน้นการปราบปรามทั้งระดับผู้ค้าปลีกและเครือข่ายนำเข้า

นายกรัฐมนตรีได้เน้นย้ำว่า หากพบเจ้าหน้าที่รัฐเกี่ยวข้องกับการกระทำผิด จะดำเนินการอย่างเด็ดขาดโดยไม่มีข้อยกเว้น

กระบวนการสืบสวนและผลการจับกุม

ปฏิบัติการครั้งนี้เป็นผลจากการสืบสวนที่ใช้เวลานานถึง 8 เดือน โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจนครบาลร่วมกับตำรวจภูธรภาค 1 และฝ่ายปกครองจังหวัดนนทบุรีได้เข้าตรวจค้น 10 จุด ในพื้นที่จังหวัดนนทบุรี ยึดของกลางได้ดังนี้:

  • พอตบุหรี่ไฟฟ้าพร้อมใช้ หัวพอต และน้ำยาสำหรับเติมแต่งกลิ่นต่าง ๆ กว่า 260,000 ชิ้น
  • คลังเก็บสินค้าเครือข่ายบุหรี่ไฟฟ้า 6 จุด
  • บ้านพักที่ใช้เป็นจุดกระจายสินค้า 4 จุด

จากการจับกุมพบ ผู้เกี่ยวข้อง 5 ราย ให้การรับสารภาพว่าเป็นผู้ดูแลสินค้าและจัดจำหน่าย ส่วนเจ้าของเครือข่ายหลัก เจ้าหน้าที่กำลังเร่งติดตามตัว

เส้นทางการนำเข้าและกระบวนการจำหน่าย

เจ้าหน้าที่เปิดเผยว่า เครือข่ายนี้ลักลอบนำเข้าบุหรี่ไฟฟ้าผ่านทางท่าเรือแหลมฉบังจากประเทศจีน และกระจายสินค้าไปทั่วประเทศผ่านระบบออนไลน์ การจับกุมครั้งนี้ถือเป็นการตัดวงจรธุรกิจมูลค่าสูงของเครือข่ายดังกล่าว

บทลงโทษทางกฎหมายที่เกี่ยวข้อง

ผู้ที่เกี่ยวข้องจะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย ดังนี้:

  • พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2562 ฐานขายบุหรี่ไฟฟ้าอย่างผิดกฎหมาย
  • พระราชบัญญัติศุลกากร มาตรา 246 วรรค 1 ฐานช่วยซ่อนเร้นและช่วยจำหน่ายสินค้าหนีภาษี
  • ประกาศกระทรวงพาณิชย์ พ.ศ. 2557 ฐานนำเข้าบุหรี่ไฟฟ้าซึ่งเป็นสินค้าต้องห้าม
  • พระราชบัญญัติศุลกากร มาตรา 242 ฐานนำเข้าสินค้าที่ไม่ได้ผ่านพิธีการทางศุลกากร

สถิติที่เกี่ยวข้องกับการใช้บุหรี่ไฟฟ้าในประเทศไทย

ข้อมูลจาก สำนักงานสถิติแห่งชาติ (NSO) ปี 2567 ระบุว่า:

  • อัตราการใช้บุหรี่ไฟฟ้าในเยาวชนไทยเพิ่มขึ้น 30% ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา
  • กลุ่มอายุ 15-24 ปี เป็นกลุ่มที่มีการใช้บุหรี่ไฟฟ้าสูงที่สุด
  • ตลาดบุหรี่ไฟฟ้าผิดกฎหมายในไทยมีมูลค่ากว่า 3,500 ล้านบาทต่อปี

สรุป

ปฏิบัติการ Operation Smoke Out ครั้งนี้เป็นการจับกุมครั้งใหญ่ที่ช่วยลดการแพร่กระจายของบุหรี่ไฟฟ้าผิดกฎหมายในประเทศไทย รัฐบาลยืนยันจะดำเนินการปราบปรามเครือข่ายเหล่านี้อย่างเข้มงวด พร้อมยกระดับมาตรการป้องกันเพื่อให้เยาวชนไทยปลอดภัยจากภัยคุกคามของบุหรี่ไฟฟ้า

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานสถิติแห่งชาติ (NSO), 2567

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

ผลโพลล่าสุด ปชช. พอใจรัฐบาล 6 เดือน “โอกาสไทยทำได้จริง”

นายกฯ ขอบคุณประชาชน พอใจผลงานรัฐบาล 6 เดือนแรก มั่นใจ “2568 โอกาสไทยทำได้จริง”

ประเทศไทย, 16 มีนาคม 2568 – นายกรัฐมนตรีขอบคุณผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชน ซึ่งระบุว่าคนส่วนใหญ่พอใจต่อผลงานการบริหารประเทศในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา ภายใต้แคมเปญ “2568 โอกาสไทยทำได้จริง” พร้อมย้ำว่า รัฐบาลจะทำงานหนักขึ้นเพื่อให้เศรษฐกิจดีขึ้น และประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้นในอนาคตอันใกล้

ผลสำรวจระบุประชาชนพึงพอใจรัฐบาล 52.7%

นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ผลสำรวจความคิดเห็นประชาชนในหัวข้อ ประเมินผลงานรัฐบาล แพทองธาร รอบ 6 เดือน” โดย นอร์ทกรุงเทพโพล มหาวิทยาลัยนอร์ทกรุงเทพ พบว่า ประชาชน 52.7% มีความพึงพอใจต่อผลงานของรัฐบาล โดยแบ่งเป็น พอใจมาก 21.2% และพอใจ 31.5% ในขณะที่ ไม่พอใจ 29.8% และไม่พอใจมาก 11.5%

นายกรัฐมนตรีกล่าวขอบคุณทุกความคิดเห็น พร้อมย้ำว่า “2568 โอกาสไทยทำได้จริง” ไม่ใช่แค่สโลแกน แต่เป็นเป้าหมายที่รัฐบาลมุ่งมั่นเพื่อให้ประชาชนเห็นผลลัพธ์และได้รับประโยชน์โดยตรง”

โครงการที่ประชาชนพอใจมากที่สุด

ผลสำรวจยังสอบถามถึง โครงการของรัฐบาลที่ประชาชนชื่นชอบมากที่สุด โดยผลลัพธ์เรียงลำดับจากมากไปน้อย ได้แก่:

  1. โครงการดิจิทัลวอลเล็ต – 25.2%
  2. การปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ – 22.4%
  3. การปราบปรามยาเสพติด – 10.6%
  4. การจัดการปัญหาน้ำท่วม-น้ำแล้ง – 10.6%
  5. โครงการ 30 บาทรักษาทุกที่ – 9.7%
  6. นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย – 8.8%
  7. มาตรการลดหมอกควัน PM 2.5 – 3.2%
  8. การแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือน – 2.7%
  9. การปราบปรามบุหรี่ไฟฟ้า – 2.2%
  10. โครงการอื่น ๆ – 4.6%

นายกรัฐมนตรีระบุว่า รัฐบาลพร้อมรับฟังทุกข้อเสนอแนะ และจะนำไปปรับปรุงการบริหารประเทศให้ตอบโจทย์ประชาชนได้มากที่สุด

กระทรวงที่มีผลงานโดดเด่นมากที่สุด

จากผลสำรวจ ประชาชนมองว่า 5 กระทรวงที่มีผลงานโดดเด่นมากที่สุด ได้แก่:

  1. กระทรวงคมนาคม – 16.2%
  2. กระทรวงกลาโหม – 12.6%
  3. กระทรวงการคลัง – 9.6%
  4. กระทรวงมหาดไทย – 9.4%
  5. กระทรวงศึกษาธิการ – 8.1%

ในขณะที่กระทรวงอื่น ๆ ก็มีผลงานที่ได้รับความสนใจจากประชาชน เช่น กระทรวงพลังงาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

เสียงสะท้อนจากประชาชน – มุมมองที่แตกต่าง

ฝ่ายสนับสนุน

  • ประชาชนที่พอใจมองว่า รัฐบาลสามารถดำเนินนโยบายสำคัญได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น ดิจิทัลวอลเล็ต และ การปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์
  • มีความพึงพอใจต่อการบริหารจัดการปัญหาเร่งด่วน เช่น การลดภาระค่าครองชีพ และการพัฒนาระบบสาธารณสุข

ฝ่ายที่มีข้อกังวล

  • บางส่วนเห็นว่า ยังมีปัญหาด้านเศรษฐกิจ และค่าครองชีพที่สูงขึ้น ซึ่งต้องการให้รัฐบาลเร่งแก้ไข
  • มีกลุ่มที่มองว่า มาตรการบางอย่าง เช่น ดิจิทัลวอลเล็ต ควรมีรายละเอียดที่ชัดเจนและโปร่งใสกว่านี้

สถิติและข้อมูลอ้างอิง

  • แหล่งที่มาของผลสำรวจ: นอร์ทกรุงเทพโพล มหาวิทยาลัยนอร์ทกรุงเทพ (สำรวจวันที่ 15 มีนาคม 2568)
  • จำนวนกลุ่มตัวอย่าง: 1,500 ราย จากทั่วประเทศ
  • อัตราความพึงพอใจของประชาชนต่อรัฐบาล: 52.7% พอใจ, 29.8% ไม่พอใจ, 11.5% ไม่พอใจมาก
  • โครงการรัฐบาลที่ได้รับความนิยมมากที่สุด: ดิจิทัลวอลเล็ต (25.2%)
  • กระทรวงที่ประชาชนมองว่ามีผลงานโดดเด่นมากที่สุด: กระทรวงคมนาคม (16.2%)

สรุป

รัฐบาลภายใต้การนำของ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร ได้ดำเนินนโยบายสำคัญและเห็นผลเป็นรูปธรรมในช่วง 6 เดือนแรก ซึ่งสะท้อนจากผลสำรวจประชาชนที่พึงพอใจถึง 52.7% อย่างไรก็ตาม ยังมีประชาชนบางส่วนที่มองว่า ยังต้องมีการพัฒนาในบางจุด โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจและค่าครองชีพ

นายกรัฐมนตรีย้ำว่า รัฐบาลจะมุ่งมั่นพัฒนาประเทศต่อไป เพื่อให้ “2568 โอกาสไทยทำได้จริง” เป็นปีที่ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และเศรษฐกิจไทยก้าวหน้าอย่างมั่นคง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : นอร์ทกรุงเทพโพล มหาวิทยาลัยนอร์ทกรุงเทพ

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

ยังเจอบุหรี่ไฟฟ้าเกลื่อนเมือง แม้รัฐสั่งกวาดล้าง เข้มงวด 30 วัน

รัฐบาลเร่งแก้ปัญหาการระบาดของบุหรี่ไฟฟ้าในเยาวชน คุมเข้มสถานศึกษาและบุคลากรทางการศึกษา

ประกาศมาตรการเข้มงวด พร้อมลงโทษทันทีหากพบครูหรือบุคลากรเกี่ยวข้อง

ประเทศไทย, 15 มีนาคม 2568 – รัฐบาลไทยภายใต้การนำของ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้เดินหน้าจัดการปัญหาการระบาดของบุหรี่ไฟฟ้าในกลุ่มเยาวชนอย่างจริงจัง โดยสั่งการให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการเพื่อให้เห็นผลภายใน 30 วัน พร้อมติดตาม แผนปฏิบัติการ 3 ระยะ ได้แก่ ระยะเร่งด่วน ระยะสั้น และระยะยาว เพื่อควบคุมการใช้บุหรี่ไฟฟ้าให้ครอบคลุมทุกพื้นที่

นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า กระทรวงศึกษาธิการ ได้ออกประกาศเมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2568 เพื่อยกระดับมาตรการควบคุมบุหรี่ไฟฟ้าในสถานศึกษาและสถานที่ทำงาน โดยมาตรการที่กำหนดไว้มีดังนี้:

  1. สร้างความตระหนักรู้ ให้แก่นักเรียน นักศึกษา ข้าราชการ ครู บุคลากรทางการศึกษา และผู้บริหารทุกระดับ ผ่านกิจกรรม สื่อประชาสัมพันธ์ และการบรรจุเนื้อหาในหลักสูตรการศึกษาเกี่ยวกับพิษภัยของบุหรี่ไฟฟ้า
  2. กำหนดเขตปลอดบุหรี่ไฟฟ้า ในสถานศึกษาและสถานที่ทำงาน ให้มีเครื่องหมายชัดเจนว่าเป็นพื้นที่ห้ามสูบบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้า
  3. เข้มงวดในการตรวจสอบ โดยผู้บริหารและผู้บังคับบัญชาต้องสอดส่องและป้องกันไม่ให้นักเรียน นักศึกษา หรือบุคลากรมีส่วนเกี่ยวข้องกับบุหรี่ไฟฟ้า ไม่ว่าจะเป็นการสูบ การจำหน่าย หรือการมีไว้ในครอบครอง
  4. ดำเนินการทางวินัยทันที หากพบว่าครูหรือบุคลากรทางการศึกษามีส่วนเกี่ยวข้องกับบุหรี่ไฟฟ้า

เสริมมาตรการเชิงรุก ขยายความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐ

มาตรการของกระทรวงศึกษาธิการยังสอดคล้องกับประกาศของ กระทรวงพาณิชย์และกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งห้าม นำเข้าและครอบครองบุหรี่ไฟฟ้าในราชอาณาจักรไทย ตาม พระราชบัญญัติศุลกากร และ พระราชบัญญัติควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ นอกจากนี้ยังมีการกำหนดให้ สถานที่สาธารณะและยานพาหนะ เป็นเขตปลอดบุหรี่โดยเด็ดขาด

ข้อมูลจากหน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย ระบุว่า ตั้งแต่วันที่ 26 กุมภาพันธ์ – 12 มีนาคม 2568 สามารถจับกุมผู้กระทำผิดเกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้าได้แล้ว 1,078 คดี ผู้ต้องหา 1,104 คน และยึดของกลางได้กว่า 900,444 ชิ้น คิดเป็นมูลค่ากว่า 118.95 ล้านบาท

มุมมองจากนักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมาย

นพ.เอกภพ เพียรพิเศษ ที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาศึกษากฎหมายและมาตรการควบคุมกำกับบุหรี่ไฟฟ้าในประเทศไทย ได้แสดงความคิดเห็นผ่านเฟซบุ๊ก โดยระบุว่า แม้ประเทศไทยจะมีกฎหมายแบนบุหรี่ไฟฟ้า แต่ในทางปฏิบัติกลับยังพบว่ามีการใช้และจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้าแพร่หลายอย่างมาก

“หากกฎหมายมีผลบังคับใช้จริง เราจะไม่เห็นบุหรี่ไฟฟ้าในท้องตลาด ไม่มีการขาย ไม่มีการนำเข้า ไม่มีการสูบในที่สาธารณะ แต่ในความเป็นจริงกลับตรงกันข้าม” นพ.เอกภพกล่าว

เขาตั้งข้อสังเกตว่า ปัญหานี้อาจไม่ได้เกิดจาก การไม่บังคับใช้กฎหมาย แต่เป็นเพราะ กฎหมายที่ใช้อยู่ในปัจจุบันอาจไม่สามารถบังคับใช้ได้จริง ซึ่งเป็นประเด็นที่คณะกรรมาธิการศึกษามาเป็นเวลากว่าหนึ่งปี และพบว่าจำเป็นต้องมีการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายเพื่อให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

นอกจากนี้ นพ.เอกภพ ยังตั้งคำถามเกี่ยวกับแนวทางควบคุมยาสูบของประเทศไทยว่า การเน้นแค่การกวาดล้างบุหรี่ไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวอาจไม่ใช่ทางออกที่ดีที่สุด โดยเสนอให้ภาครัฐพิจารณานโยบายที่ครอบคลุมมากขึ้น เช่น

  • ลดจำนวนผู้สูบบุหรี่ในประเทศจากปัจจุบัน 9-10 ล้านคน
  • ป้องกันเยาวชนจากการเริ่มต้นสูบบุหรี่ ไม่ว่าจะเป็นบุหรี่มวนหรือบุหรี่ไฟฟ้า
  • ดูแลชาวไร่ยาสูบและการส่งออกยาสูบไทย
  • เพิ่มการกำกับดูแลตลาดบุหรี่เถื่อนและบุหรี่ไฟฟ้าที่ลักลอบนำเข้า

ข้อท้าทายของการกวาดล้างบุหรี่ไฟฟ้าใน 30 วัน

แม้รัฐบาลจะประกาศดำเนินมาตรการอย่างเข้มข้น และมีการแถลงข่าวจับกุมเกือบทุกวัน แต่ยังมีคำถามว่า หากครบ 30 วันแล้ว บุหรี่ไฟฟ้าจะหมดไปจากประเทศไทยจริงหรือไม่?

นพ.เอกภพ ตั้งข้อสังเกตว่า บุหรี่ไฟฟ้าเป็นสินค้าถูกกฎหมายในหลายประเทศ และมีการส่งออกจากจีนมาไทยหลายพันล้านบาทต่อปี ดังนั้น การดำเนินนโยบายเพียงการกวาดล้างโดยไม่มีแผนรองรับระยะยาว อาจไม่สามารถแก้ปัญหานี้ได้อย่างยั่งยืน

สถิติที่เกี่ยวข้องกับปัญหาบุหรี่ไฟฟ้าในประเทศไทย

  • จำนวนคดีเกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้าที่ดำเนินการจับกุม 1,078 คดี (26 ก.พ. – 12 มี.ค. 2568)
  • จำนวนผู้ต้องหาที่ถูกจับกุม 1,104 คน
  • ของกลางที่ยึดได้ 900,444 ชิ้น
  • มูลค่าของกลางที่ยึด 118.95 ล้านบาท
  • จำนวนผู้สูบบุหรี่ในประเทศไทย ประมาณ 9-10 ล้านคน
  • มูลค่าการนำเข้าบุหรี่ไฟฟ้าแบบลักลอบเข้าสู่ประเทศไทย หลายพันล้านบาทต่อปี

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักนายกรัฐมนตรี /กระทรวงศึกษาธิการ/ กระทรวงพาณิชย์ / กระทรวงสาธารณสุข / คณะกรรมาธิการศึกษากฎหมายและมาตรการควบคุมบุหรี่ไฟฟ้าในประเทศไทย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ศปช. เคาะแผนเยียวยาเชียงรายรวบรัดให้เร็ว เพื่อเงินถึงมือประชาชน

 

เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2567 นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี กล่าวภายหลังการประชุมคณะกรรมการศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย วาตภัย และดินโคลนถล่ม (ศปช.) ที่มีนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม เป็นประธานว่า จากการตั้งข้อสังเกตปริมาณฝนที่เกิดขึ้นไม่ได้มากกว่าที่ผ่านแต่เป็นการตกเฉพาะที่แบบซ้ำซาก ซึ่งน่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศ (Climate Change) จึงมอบหมายให้กรมอุตุนิยมวิทยาไปศึกษาให้ถ่องแท้ ซึ่งถือว่าเป็นภารกิจหลักที่ต้องชี้แจงและเตือนภัย เพื่อป้องกันเหตุที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

ส่วนสถานการณ์น้ำท่วมที่อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย เป็น 2 ลักษณะผสมของฝนและดินโคลน ซึ่งสถานการณ์ตรงนี้แตกต่างจากที่อื่น เพราะเป็นน้ำผสมดินโคลน ดังนั้น เป็นน้ำที่อันตรายกว่าน้ำท่วมปกติ คล้ายกับภูเขาไฟระเบิดที่เป็นลาวาผสมน้ำไหลลงมา และเชื่อว่าอาจจะเกิดขึ้นได้อีก โดยมอบหมายให้กรมทรัพยากรธรณีไปศึกษาให้ครบถ้วน

การที่น้ำผสมโคลนที่ตกค้างอยู่เป็นจำนวนมาก ทำให้การกำจัดและกู้ภัยเป็นไปได้ยาก ถือเป็นเรื่องใหม่ที่ประเทศไทยพบเจอ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) จะต้องร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดการกับเรื่องนี้ ส่วนฝ่ายกองทัพก็ต้องเข้ามาศึกษาตั้งแต่เบื้องต้นรวมทั้งจะแก้ปัญหาในอนาคตอย่างไร รวมถึงการจัดหาเครื่องมือที่เหมาะสมเข้าไปในพื้นที่ประสบภัย

โดยที่ประชุมเห็นชอบแผนการดำเนินงานการช่วยเหลือ/ฟื้นฟู เพื่อแก้ไขปัญหาดินโคลนถล่มในพื้นที่จังหวัดเชียงราย ประกอบด้วย ในพื้นที่อำเภอเมือง และในอำเภอแม่สาย ดังนี้

  • พื้นที่อำเภอเมือง แบ่งเขตการดำเนินงานในเขตเทศบาลนครเชียงราย จำนวน 745 หลัง และนอกเขตเทศบาล จำนวน 6,614 หลัง กำหนดดำเนินการแล้วเสร็จภายใน 29 กันยายน 2567
  • พื้นที่อำเภอแม่สาย แบ่งการดำเนินการเป็น 5 โซน กำหนดดำเนินการแล้วเสร็จภายใน 30 วัน หรือประมาณวันที่ 20 ตุลาคม 2567

ส่วนปัญหาการเยียวยาที่มีกฎระเบียบและดำเนินการในภาวะปกติเป็นอุปสรรคนั้น นายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้ดูแลว่าจะทำอย่างไรให้กระบวนการตรงนี้ให้ถูกกฎหมาย แต่รวบรัดให้เร็วที่สุด เพื่อให้เงินถึงมือประชาชน ให้ประชาชนมั่นใจว่ารัฐบาลไม่ได้ทอดทิ้ง ซึ่งลักษณะน้ำท่วมแบบพิเศษนี้จะต้องมีการกำหนดค่าใช้จ่ายที่เหมาะสม

นอกจากนี้ ที่ประชุมฯ ได้จัดตั้งคณะที่ปรึกษาผู้มีความเชี่ยวชาญ โดยมีนายปลอดประสพ สุรัสวดี เป็นที่ปรึกษาคณะทำงาน และตน เป็นโฆษกประจำศูนย์ฯ เพื่อทำหน้าที่ชี้แจงสถานการณ์รายวันได้อย่างต่อเนื่อง

ขณะที่ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย ได้สั่งการให้นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ว่าที่ปลัดกระทรวงมหาดไทย ลงพื้นที่เชียงรายเพื่อกำกับดูและสถานการณ์ เนื่องจากนายพุฒิพงศ์ ศิริมาตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายป่วย และใกล้เกษียณอายุราชการในวันที่ 30 ก.ย.นี้ นอกจากนี้ได้มอบหมายรองปลัดกระทรวงมหาดไทย ไปรักษาราชการแทนตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.เป็นต้นไป

นายจิรายุ กล่าวต่อว่า ในวันพรุ่งนี้ (27 ก.ย.) น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยรองนายกรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง จะเดินทางลงพื้นที่ไปจังหวัดเชียงราย และจังหวัดเชียงใหม่ เพื่อติดตามการช่วยเหลือประชาชน พร้อมประชุมร่วมกับหัวหน้าส่วนราชการ ส่วนท้องถิ่น ผู้แทนภาคส่วนต่าง ๆ ในพื้นที่ เพื่อกำหนดทิศทาง และหาข้อสรุป เพื่อใช้เป็นแผนยุทธศาสตร์รับมือกับการเกิดอุทกภัย และวาตภัยของประเทศ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : คณะกรรมการศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย วาตภัย และดินโคลนถล่ม (ศปช.)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

งดเก็บค่าไฟก.ย. ลด 30% เดือน ต.ค.เยียวยาพื้นที่ประสบน้ำท่วม

 

เมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2567 ที่ทำเนียบรัฐบาล  นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี ว่า ที่ประชุมเห็นชอบตามที่กระทรวงมหาดไทย เสนอ เรื่องของมาตรการช่วยเหลือค่าไฟฟ้า แก่ผู้ใช้ไฟฟ้าที่ประสบอุทกภัยในพื้นที่ภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ สำหรับค่าไฟฟ้าในเดือนกันยายน ถึงเดือนตุลาคม 2567 โดยที่เดือนกันยายน จะไม่เรียกเก็บค่าไฟฟ้า และในเดือนตุลาคมจะให้ส่วนลดค่าไฟฟ้าร้อยละ 30 โดยกำหนดให้เป็นส่วนลดก่อนการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่ม

 

นอกจากนี้ที่ประชุม ครม.ยังได้อนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ มาตรการพักชำระหนี้ให้กับลูกหนี้รายย่อยตามนโยบายรัฐบาล ในระยะ 2-3 ฟื้นฟูและการพัฒนาศักยภาพฟื้นฟูลูกหนี้ของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ หรือ ธกส. เพื่อให้เกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการดังกล่าว ได้รับการช่วยเหลือจากรัฐบาลอย่างต่อเนื่อง 

 

โดยในระยะที่ 2 จะเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม ถึง กันยายน 25661 ตุลาคม 2567 ถึง 30 กันยายน 2568 ส่วนระยะ 3 จะเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2568 ไปจนถึง 30 กันยายน 2569

 

นายกรัฐมนตรี ยังเปิดเผยอีกว่า จากการเปิดรับฟังความเห็นจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและเจ้าหน้าที่อาสาสมัคร ได้สั่งการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงคณะอนุกรรมการ อคส. และ ศปช. ดำเนินการศึกษาถึงความเป็นไปได้ในการใช้แอปพลิเคชัน “ทางรัฐ” ในสถานการณ์ฉุกเฉิน จากเหตุการณ์อุทกภัยในครั้งนี้ 

 

เพื่อใช้สำหรับการรายงานตัวของอาสาสมัคร เพื่อแบ่งหน้าที่ และความรับผิดชอบ และใช้ในการรายงานเหตุการณ์ฉุกเฉิน ซึ่งได้รับคำแนะนำมาว่า การรายงานตัวของอาสาสมัครเพื่อช่วยเหลือพี่น้องประชาชน มีการรายงานซ้ำซ้อน ทำให้เสียเวลา และเตรียมจะใช้แอปพลิเคชันดังกล่าวในการลงทะเบียนรับเงินเยียวยา และการประสานงานกับเจ้าหน้าที่ให้เกิดการบูรณาการกัน เพื่อให้เกิดความรวดเร็วในส่วนของภาครัฐ ภาคประชาชน รวมถึงเร่งรัดให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณะภัย หรือ ปภ. เร่งดำเนินการใช้ระบบเตือนภัยฉุกเฉิน หรือ Cell Broadcast Service เพื่อให้การเตือนภัยให้ประชาชนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และรวดเร็วมากยิ่งขึ้น

 

เมื่อถามว่าในอนาคตที่จะใช้แอปพลิเคชัน “ทางรัฐ” ในการจ่ายเงินเยียวยา และเช็กสิทธิต่าง ๆ ประชาชนควรโหลดแอปฯ ดังกล่าวเก็บไว้หรือไม่ นายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า เรื่องนี้ได้เคยประชาสัมพันธ์โครงการดิจิทัลวอลเล็ตแล้วว่าให้โหลดแอปฯ ดังกล่าวไว้ เพราะนอกจากการลงทะเบียน ยังเป็นการต่อยอดเพื่ออำนวยความสะดวก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการเยียวยา รวมถึงเรื่องอื่น ๆ ซึ่งรัฐบาลพยายามพัฒนาระบบนี้ เพื่อให้เกิดการเชื่อมโยงข้อมูลถึงประชาชนโดยตรงให้ได้มากที่สุด เวลาที่เราจ่ายเงินเพื่อความรวดเร็วในเวลาที่รัฐบาลต้องจ่ายเงินเยียวยา ก็จะรวดเร็วขึ้น จึงขอให้ประชาชนโหลดแอปฯ ดังกล่าวไว้ และลงทะเบียนใส่ข้อมูลสำคัญให้ครบถ้วน 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทำเนียบรัฐบาล

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

ปภ. จับมือ กสทช. ยกระดับแจ้งเตือนภัยผ่าน SMS แบบเจาะจงพื้นที่

 

เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2567 นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในฐานะรองผู้อำนวยการ ศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย วาตภัย และดินโคลนถล่ม (ศปช.) เปิดเผยว่า นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี มีความห่วงใยต่อสถานการณ์อุทกภัยที่เกิดขึ้นหลายพื้นที่ จึงได้กำชับให้เร่งยกระดับการแจ้งเตือนประชาชนรับมือภัยพิบัติ เพื่อลดการสูญเสียที่อาจเกิดขึ้น ตนจึงได้เรียกประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อยกระดับแจ้งเตือนภัยประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัยระดับตำบล/หมู่บ้าน ให้ครบทุกมิติ ทั้งวัน เวลา สถานที่ ระดับความรุนแรง รวมถึงแนะนำการปฏิบัติตัวให้ปลอดภัย เพื่อให้ประชาชนเตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์ได้อย่างทันท่วงที โดยมีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) เป็นผู้จัดทำข้อมูล และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิเช่น กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจสังคม กรมอุตุนิยมวิทยา สำนักทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (สสน.) สนับสนุน และจัดส่งให้ทางคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช) ประสานไปยังผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ ทั้ง AIS True และบริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) วางแนวทางการส่งข้อความการแจ้งเตือนภัยล่วงหน้าผ่านโทรศัพท์มือถือ (SMS)

โดยนายไชยวัฒน์ จุนถิระพงศ์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เปิดเผยถึงความคืบหน้าว่า ทันทีที่ศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ซึ่งเป็นหน่วยงานเฝ้าระวัง ติดตามสถานการณ์ ได้รับข้อมูลจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะทำการวิเคราะห์ข้อมูลและส่งข้อความแจ้งเตือนภัยให้ผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์มือถือ เพื่อทำการส่ง SMS ไปยังโทรศัพท์มือถือของประชาชนอยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัย โดยมีการแจ้งเตือนภัยผ่านระบบข้อความสั้น (SMS) 2 รูปแบบ ทั้งการแจ้งเตือนภัยล่วงหน้า 12- 24 ชั่วโมง และการแจ้งเตือนภัยแบบฉุกเฉิน 6 -12 ชั่วโมง โดยเจ้าหน้าที่จะใช้ระดับการแจ้งเตือนภัยตามที่แผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติกำหนด (5 ระดับ) ภายหลังการวิเคราะห์ข้อมูลพื้นที่และสถานการณ์ความเสี่ยงภัยแล้วจะทำการส่งข้อความตามเกณฑ์ตั้งแต่ระดับ 3 ขึ้นไป ดังนี้ 

1. ระดับ 3 (สีเหลือง) ให้เตรียมพร้อมรับสถานการณ์และปฏิบัติตามคำแนะนำของหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง และเตรียมพร้อมอพยพกลุ่มเปราะบาง 
2. ระดับ 4 (สีส้ม) ให้อพยพและปฏิบัติตามคำแนะนำของหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง ให้อพยพกลุ่มเปราะบางออกจากพื้นที่น้ำท่วม และขนย้ายสิ่งของขึ้นที่สูง 
และ 3. ระดับ 5 (สีแดง) ต้องอพยพและปฏิบัติตามข้อสั่งการทันที ซึ่งการแจ้งเตือนภัยผ่านข้อความ SMS ขณะนี้พร้อมดำเนินการได้ทันที

ขอให้ประชาชนติดตามสถานการณ์ในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง หากมีประกาศแจ้งเตือนภัยหรือได้รับข้อความ SMS แจ้งเตือนภัยจาก ปภ. ขอให้ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด เพื่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ทั้งนี้ ประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากสาธารณภัย สามารถแจ้งเหตุและขอความช่วยเหลือได้ที่สายด่วนสำนักนายกรัฐมนตรี 1111 สายด่วนมหาดไทย 1784 และ 1567 สายด่วนนิรภัย 1784 และทางไลน์ “ปภ.รับแจ้งเหตุ 1784” โดยเพิ่มเพื่อน Line ID @1784DDPM ตลอด 24 ชั่วโมง และสามารถติดตามข้อมูลข่าวสารได้จากกรมประชาสัมพันธ์ ผ่านทางสถานีโทรทัศน์ NBT และออนไลน์ทางเพจ NBT Connext

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

“นิด้าโพล” เผยรัฐบาล ‘นายกฯอิ๊งค์’ จะไม่บริหารโดยปราศจากทักษิณ

 

เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2567 ศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลการสำรวจของประชาชน เรื่อง บทบาทอดีตนายกฯ ทักษิณ ในรัฐบาลอุ๊งอิ๊งค์” ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 20-21 สิงหาคม 2567 จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป กระจายทุกภูมิภาค ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ ทั่วประเทศ รวมทั้งสิ้น จำนวน 1,310 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับบทบาททางการเมืองของคุณทักษิณ ชินวัตร ในรัฐบาลนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร การสำรวจอาศัยการสุ่มตัวอย่างโดยใช้ความน่าจะเป็นจากบัญชีรายชื่อฐานข้อมูลตัวอย่างหลัก (Master Sample) ของ “นิด้าโพล” สุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน (Multi-stage Sampling) เก็บข้อมูลด้วยวิธีการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ โดยกำหนดค่าความเชื่อมั่น ร้อยละ 97.0

 

                จากการสำรวจเมื่อถามความคิดเห็นของประชาชนถึงความเป็นไปได้ที่นายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร จะบริหารประเทศโดยปราศจากคุณทักษิณ ชินวัตร พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 59.01 ระบุว่า เป็นไปไม่ได้เลย รองลงมา ร้อยละ 15.42 ระบุว่า ไม่น่าเป็นไปได้ ร้อยละ 14.96 ระบุว่า ค่อนข้างเป็นไปได้ ร้อยละ 9.77 ระบุว่า เป็นไปได้แน่นอน และร้อยละ 0.84 ระบุว่า ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

 

                ด้านบทบาทที่คุณทักษิณ ชินวัตร ควรมีในรัฐบาลนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 37.79 ระบุว่า ไม่ดำรงตำแหน่งใด ๆ ไม่อยู่หลังฉาก แต่อาจให้คำปรึกษาอย่างไม่เป็นทางการในฐานะพ่อ-ลูก รองลงมา ร้อยละ 28.85 ระบุว่า ไม่ดำรงตำแหน่งใด ๆ แต่อยู่หลังฉากในการช่วย หรือให้คำปรึกษาในการบริหารประเทศแก่นายกฯ แพทองธาร ร้อยละ 26.95 ระบุว่า ไม่ดำรงตำแหน่งใด ๆ ไม่อยู่หลังฉาก และปล่อยให้นายกฯ แพทองธาร เป็นอิสระในการบริหารประเทศ ร้อยละ 6.03 ระบุว่า ดำรงตำแหน่งที่เป็นทางการในการช่วย หรือให้คำปรึกษาในการบริหารประเทศแก่นายกฯ แพทองธาร และร้อยละ 0.38 ระบุว่า ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

 

                ท้ายที่สุดเมื่อถามถึงบทบาทของ คุณทักษิณ ชินวัตร ในความเป็นจริงที่ประชาชนจะได้เห็นในรัฐบาลนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตรพบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 39.39 ระบุว่า ไม่ดำรงตำแหน่งใด ๆ แต่อยู่หลังฉากในการช่วย หรือให้คำปรึกษาในการบริหารประเทศแก่นายกฯ แพทองธารรองลงมา ร้อยละ 31.91 ระบุว่า ไม่ดำรงตำแหน่งใด ๆ ไม่อยู่หลังฉาก แต่อาจให้คำปรึกษาอย่างไม่เป็นทางการในฐานะพ่อ-ลูก ร้อยละ 18.70 ระบุว่า ไม่ดำรงตำแหน่งใด ๆ ไม่อยู่หลังฉาก และปล่อยให้นายกฯ แพทองธาร เป็นอิสระในการบริหารประเทศ ร้อยละ 9.08 ระบุว่าดำรงตำแหน่งที่เป็นทางการในการช่วย หรือให้คำปรึกษาในการบริหารประเทศแก่นายกฯ แพทองธาร และร้อยละ 0.92 ระบุว่า ไม่ตอบ/ไม่สนใจ


                เมื่อพิจารณาลักษณะทั่วไปของตัวอย่าง พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 8.55 มีภูมิลำเนาอยู่กรุงเทพฯ ร้อยละ 18.63 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคกลาง ร้อยละ 17.86 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคเหนือ ร้อยละ 33.35 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร้อยละ 13.82 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคใต้ และร้อยละ 7.79 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคตะวันออก ตัวอย่าง ร้อยละ 48.09 เป็นเพศชาย และร้อยละ 51.91 เป็นเพศหญิง

 

                ตัวอย่าง ร้อยละ 12.37 อายุ 18-25 ปี ร้อยละ 17.94 อายุ 26-35 ปี ร้อยละ 18.24 อายุ 36-45 ปี ร้อยละ 26.64 อายุ 46-59 ปี และร้อยละ 24.81 อายุ 60 ปีขึ้นไป ตัวอย่าง ร้อยละ 96.26 นับถือศาสนาพุทธ ร้อยละ 2.75 นับถือศาสนาอิสลาม และร้อยละ 0.99 นับถือศาสนาคริสต์ และศาสนาอื่น ๆ

 

                ตัวอย่าง ร้อยละ 35.42 สถานภาพโสด ร้อยละ 62.75 สมรส และร้อยละ 1.83 หม้าย หย่าร้าง แยกกันอยู่ ตัวอย่าง ร้อยละ 12.83 จบการศึกษาประถมศึกษาหรือต่ำกว่า ร้อยละ 27.63 จบการศึกษามัธยมศึกษาหรือเทียบเท่า ร้อยละ 11.22 จบการศึกษาอนุปริญญาหรือเทียบเท่า ร้อยละ 39.16 จบการศึกษาปริญญาตรีหรือเทียบเท่า และร้อยละ 9.16 จบการศึกษาสูงกว่าปริญญาตรีหรือเทียบเท่า

 

                ตัวอย่าง ร้อยละ 12.90 ประกอบอาชีพข้าราชการ/ลูกจ้าง/พนักงานรัฐวิสาหกิจ ร้อยละ 16.34 ประกอบอาชีพพนักงานเอกชน ร้อยละ 23.83 ประกอบอาชีพเจ้าของธุรกิจ/อาชีพอิสระ ร้อยละ 6.79 ประกอบอาชีพเกษตรกร/ประมง ร้อยละ 14.50 ประกอบอาชีพรับจ้างทั่วไป/ผู้ใช้แรงงาน ร้อยละ 20.53 เป็นพ่อบ้าน/แม่บ้าน/เกษียณอายุ/ว่างงาน และร้อยละ 5.11 เป็นนักเรียน/นักศึกษา

 

                ตัวอย่าง ร้อยละ 17.71 ไม่มีรายได้ ร้อยละ 13.74 รายได้เฉลี่ยต่อเดือนไม่เกิน 10,000 บาท ร้อยละ 29.54 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 10,001-20,000 บาท ร้อยละ 14.20 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 20,001-30,000 บาท ร้อยละ 6.95 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 30,001-40,000 บาท ร้อยละ 8.32 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 40,001 บาทขึ้นไป และร้อยละ 9.54 ไม่ระบุรายได้

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
SOCIETY & POLITICS

อิ๊งค์ ลุยนำทีมพรรคเพื่อไทยเดินสายช่วยหาเสียงนายก อบจ. พะเยา

 

เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2567 น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) นำทีมพรรคเพื่อไทยเดินทางถึงท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง อ.เมืองเชียงราย จ.เชียงราย โดยมีประชาชนจำนวนมากมาต้อนรับและให้กำลังใจอย่างอบอุ่น ก่อนที่ น.ส.แพทองธาร จะเดินทางต่อไปยัง จ.พะเยา เพื่อช่วยนายธวัช สุทธวงค์ ผู้สมัครนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (นายก อบจ.) พะเยา หมายเลข 2 หาเสียงในการเลือกตั้งท้องถิ่นที่จะมีขึ้นในวันที่ 4 สิงหาคม 2567

น.ส.แพทองธาร และทีมพรรคเพื่อไทย ได้เข้าสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำจังหวัด ณ วัดศรีโคมคำ อ.เมืองพะเยา พร้อมทักทายพี่น้องประชาชนชาวพะเยาที่มาต้อนรับอย่างอบอุ่น ท่ามกลางฝนโปรยปราย ทั้งนี้ พระครูพิศาลสรกิจ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดศรีโคมคำ (พระอารามหลวง) ได้ให้พรแก่ทีมงานทุกคนด้วย

จากนั้น น.ส.แพทองธาร พร้อมด้วย นายธวัช และคณะ ได้เดินทางต่อไปยังหน้าลานอนุเสาวรีย์พ่อขุนงำเมือง อ.เมืองพะเยา เพื่อสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองพะเยา โดย น.ส.แพทองธาร ได้กล่าวขอบคุณพี่น้องประชาชนที่มารอต้อนรับ แม้ฝนจะโปรยปรายแต่ก็ยังอยู่ให้กำลังใจอย่างต่อเนื่อง พร้อมขอให้นายธวัช ผู้สมัครนายก อบจ.พะเยา หมายเลข 2 จากพรรคเพื่อไทย ได้รับการเลือกตั้งเพื่อกลับเข้าไปรับใช้พี่น้องประชาชน ด้วยนโยบายมุ่งเน้นส่งเสริมคุณภาพชีวิตทั้งด้านสุขภาพกาย สุขภาพใจของคนพะเยา และมุ่งมั่นที่จะส่งเสริมเศรษฐกิจพะเยาให้เติบโตตั้งแต่ระดับชุมชนไปถึงระดับจังหวัด

ท่ามกลางเสียงเชียร์ของชาวพะเยาที่เข้ามาทักทายอย่างหนาแน่น น.ส.แพทองธาร ได้แสดงความขอบคุณและยืนยันถึงความมุ่งมั่นของพรรคเพื่อไทยในการทำงานเพื่อประชาชนอย่างแท้จริง จากนั้น น.ส.แพทองธาร ได้เดินทางไปพูดคุยกับผู้ประกอบการที่กาดหล่ายต้าในช่วงบ่ายต่อไป

การเลือกตั้งท้องถิ่นใน จ.พะเยา นี้ ยังสะท้อนถึงภาพรวมของการเมืองระดับประเทศที่พรรคเพื่อไทยมีบทบาทสำคัญในการจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งนโยบายการพัฒนาที่จะถูกผลักดันจากระดับท้องถิ่นจะเชื่อมโยงกับนโยบายของรัฐบาลที่นำโดยพรรคเพื่อไทย โดยเฉพาะการแก้ปัญหาเศรษฐกิจและการสร้างความเชื่อมั่นในระบบการเมือง

บทบาทของการเมืองท้องถิ่นใน จ.พะเยา นั้นมีผลกระทบอย่างมากต่อภาพรวมของรัฐบาลไทย เพราะการเลือกตั้งนายก อบจ. และการพัฒนาท้องถิ่นนั้น เป็นส่วนหนึ่งของการสร้างความเข้มแข็งให้กับระบบการเมืองระดับประเทศ การพัฒนาท้องถิ่นที่มีประสิทธิภาพและการตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนอย่างแท้จริงจะเป็นพื้นฐานสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่นในรัฐบาล

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
TOP STORIES

ผลโพลนิด้า คะแนนนิยมการเมือง “พิธา-พรรคก้าวไกล” อันดับ 1

 

มื่อวันที่ 30 มิถุนายน ศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลการสำรวจของประชาชน เรื่อง “การสำรวจคะแนนนิยมทางการเมือง รายไตรมาส ครั้งที่ 2/2567” ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 14-18 มิถุนายน 2567 จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป กระจายทุกภูมิภาค ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ ทั่วประเทศ รวมทั้งสิ้น จำนวน 2,000 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับคะแนนนิยมทางการเมือง การสำรวจอาศัยการสุ่มตัวอย่างโดยใช้ความน่าจะเป็นจากบัญชีรายชื่อฐานข้อมูลตัวอย่างหลัก (Master Sample) ของ “นิด้าโพล” สุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน (Multi-stage Sampling) เก็บข้อมูลด้วยวิธีการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ โดยกำหนดค่าความเชื่อมั่น 97%

 

จากการสำรวจเมื่อถามถึงบุคคลที่ประชาชนจะสนับสนุนให้เป็นนายกรัฐมนตรีในวันนี้ พบว่า 

  • อันดับ 1 ร้อยละ 45.50 ระบุว่าเป็น นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ (พรรคก้าวไกล) เพราะ ชื่นชอบอุดมการณ์ทางการเมือง มีความรู้ และความสามารถรอบด้าน 
  • อันดับ 2 ร้อยละ 20.55 ระบุว่า ยังหาคนที่เหมาะสมไม่ได้ 
  • อันดับ 3 ร้อยละ 12.85 ระบุว่าเป็น นายเศรษฐา ทวีสิน (พรรคเพื่อไทย) เพราะ มีความเป็นผู้นำ กล้าตัดสินใจ และมีความตั้งใจในการแก้ไขปัญหาของประเทศ 
  • อันดับ 4 ร้อยละ 6.85 ระบุว่าเป็น นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค (พรรครวมไทยสร้างชาติ) เพราะ มีภาพลักษณ์ที่ดี มีความน่าเชื่อถือ การทำงานมีความซื่อสัตย์ สุจริต 
  • อันดับ 5 ร้อยละ 4.85 ระบุว่าเป็น นางสาวแพทองธาร (อุ๊งอิ๊งค์) ชินวัตร (พรรคเพื่อไทย) เพราะ มีวิสัยทัศน์ มีความเป็นผู้นำ และมีความรู้ ความเข้าใจปัญหาของประเทศ 
  • อันดับ 6 ร้อยละ 3.40 ระบุว่าเป็น คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ (พรรคไทยสร้างไทย) เพราะ เป็นบุคคลที่มีประสบการณ์ด้านการบริหารที่โดดเด่น และมีความน่าเชื่อถือ
  • อันดับ 7 ร้อยละ 2.05 ระบุว่าเป็น นายอนุทิน ชาญวีรกูล (พรรคภูมิใจไทย) เพราะ มีประสบการณ์ทำงานด้านการบริหาร เข้าถึงประชาชน และชื่นชอบนโยบายที่ผ่านมา 

ร้อยละ 3.40 ระบุอื่น ๆ ได้แก่ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ (พรรคพลังประชารัฐ) นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน (พรรคประชาธิปัตย์) นายวราวุธ ศิลปอาชา (พรรคชาติไทยพัฒนา) นายชัยธวัช ตุลาธน (พรรคก้าวไกล) นายชวน หลีกภัย (พรรคประชาธิปัตย์) นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา (พรรคประชาชาติ) พลตำรวจเอกทวี สอดส่อง (พรรคประชาชาติ) นายเทวัญ ลิปตพัลลภ (พรรคชาติพัฒนา) นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร (พรรคก้าวไกล) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และพลตำรวจเอกเสรีพิศุทธ์ เตมียเวส (พรรคเสรีรวมไทย) และร้อยละ 0.55 ระบุว่า ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

 

ท้ายที่สุดเมื่อถามถึงพรรคการเมืองที่ประชาชนจะสนับสนุนในวันนี้ พบว่า 

อันดับ 1 ร้อยละ 49.20 ระบุว่าเป็น พรรคก้าวไกล 

อันดับ 2 ร้อยละ 16.85 ระบุว่าเป็น พรรคเพื่อไทย 

อันดับ 3 ร้อยละ 15.00 ระบุว่า ยังหาพรรคการเมืองที่เหมาะสมไม่ได้ 

อันดับ 4 ร้อยละ 7.55 ระบุว่าเป็น พรรครวมไทยสร้างชาติ 

อันดับ 5 ร้อยละ 3.75 ระบุว่าเป็น พรรคประชาธิปัตย์ 

อันดับ 6 ร้อยละ 2.20 ระบุว่าเป็น พรรคภูมิใจไทย 

อันดับ 7 ร้อยละ 1.75 ระบุว่าเป็น พรรคพลังประชารัฐ 

อันดับ 8 ร้อยละ 1.55 ระบุว่าเป็น พรรคไทยสร้างไทย 

ร้อยละ 1.05 ระบุอื่น ๆ ได้แก่ พรรคชาติไทยพัฒนา พรรคชาติพัฒนา พรรคประชาชาติ พรรคเสรีรวมไทย พรรคเพื่อไทยรวมพลัง และพรรคไทยภักดี 

และร้อยละ 1.10 ระบุว่า ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News