Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

แม่น้ำสายเปลี่ยนสี! ส้มคล้ายชาเย็น ผวาปนเปื้อนเหมืองแร่ ไร้ฝนตก

แม่น้ำสีชาเย็น” กลางชายแดนไทย-เมียนมา สัญญาณเตือนจากธรรมชาติ หรือเงามืดจากเหมืองแร่?

เชียงราย, 6 มิถุนายน 2568 – ความเปลี่ยนแปลงทางสีของแม่น้ำสายที่ปรากฏขึ้นราวกับฉากหนึ่งในสารคดีสิ่งแวดล้อม กำลังกลายเป็นประเด็นเร่งด่วนที่ทั้งไทยและเมียนมาต้องร่วมกันหาคำตอบให้ได้ โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ความขุ่นมัวไม่ได้สะท้อนแค่สีของแม่น้ำเท่านั้น แต่ยังหมายถึงความคลุมเครือของแหล่งต้นตอและความโปร่งใสของนโยบายด้านเหมืองแร่ในพื้นที่เหนือแม่น้ำชายแดน

ภาพถ่ายที่ได้รับการแชร์อย่างกว้างขวางในวันที่ 6 มิถุนายน เผยให้เห็นแม่น้ำสายซึ่งไหลผ่านอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย มีลักษณะ “สีส้มเข้มคล้ายชาเย็น” แตกต่างจากสภาพน้ำขุ่นตามฤดูกาลที่ประชาชนคุ้นชิน ซึ่งเกิดขึ้นโดยไร้สัญญาณเตือนจากธรรมชาติ เนื่องจากระบบโทรมาตรอัตโนมัติทั้งในฝั่งไทยและเมียนมาตรวจไม่พบฝนตกหรือปริมาณน้ำหลากในช่วงเวลาดังกล่าว

เมื่อฝนไม่ตก แต่น้ำกลับขุ่นจัด

สถานีตรวจวัดน้ำฝั่งเมียนมา 3 แห่งในจังหวัดท่าขี้เหล็ก และสถานีโทรมาตรของไทยบริเวณสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา แห่งที่ 1 รายงานตรงกันว่า ไม่มีฝนตกในช่วงเวลาเกิดเหตุ โดยมีปริมาณเพียง 16.8 มิลลิเมตร ซึ่งไม่มากพอจะทำให้สภาพน้ำเปลี่ยนแปลงได้อย่างชัดเจนถึงเพียงนี้

ความผิดปกติดังกล่าวเกิดขึ้นในลำน้ำที่เคยเป็นสัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์ตามธรรมชาติ ขณะเดียวกันกลับสะท้อนถึงผลกระทบจากกิจกรรมมนุษย์ที่อาจรุกล้ำเกินขอบเขต

ภูมิหลังที่ซ่อนอยู่ใต้ผืนน้ำ

เหตุการณ์นี้ไม่ได้เกิดขึ้นโดดเดี่ยว หากย้อนกลับไปช่วงปลายปี 2567 แม่น้ำสายและแม่น้ำกกเคยเผชิญเหตุ “น้ำท่วมครั้งใหญ่” ส่งผลให้มีการตรวจพบสารหนูและตะกั่วเกินค่ามาตรฐานอย่างต่อเนื่อง และเมื่อเข้าสู่ปี 2568 การตรวจวัดซ้ำจากสำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 (เชียงใหม่) ร่วมกับกรมควบคุมมลพิษ ก็พบสารหนูในทุกแม่น้ำหลักของภาคเหนือในระดับ “เกินมาตรฐาน” ติดต่อกันถึง 4 ครั้ง ระหว่างเดือนมีนาคมถึงมิถุนายน

เครือข่ายภาคประชาชนจึงยื่นหนังสือผ่านรองปลัดกระทรวงมหาดไทย เพื่อส่งต่อถึงนายกรัฐมนตรี นางสาวแพทองธาร ชินวัตร รัฐบาลจีน รัฐบาลเมียนมา และกลุ่มกองกำลังว้า เรียกร้องให้ “ยุติการทำเหมืองแร่เหนือแม่น้ำกกและแม่น้ำสาย” โดยอ้างอิงข้อมูลจากภาพถ่ายดาวเทียมที่ระบุว่ามีการเปิดหน้าดินทำเหมืองแร่กว่า 40 จุด ห่างจากลำน้ำบางแห่งเพียง 2 กิโลเมตร ซึ่งมีแนวโน้มเป็นแหล่งเหมืองแร่ทองคำ แมงกานีส และแรร์เอิร์ธ

ประชุมสองชาติ ถกด่วนขุดลอกแม่น้ำ ป้องกันวิกฤตล้ำลึก

วันที่ 5 มิถุนายน 2568 การประชุมหารือระหว่างคณะทำงานไทย-เมียนมา ณ โรงแรมวันจีวัน เมืองท่าขี้เหล็ก ได้รับมอบหมายจากนายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ให้รองผู้ว่าราชการจังหวัด นายประสงค์ หล้าอ่อน เป็นผู้แทนฝ่ายไทยร่วมเจรจา โดยมีผู้แทนฝ่ายเมียนมานำโดย นายตันส่วยวิน เลขาธิการสำนักงานใหญ่รัฐฉาน

การประชุมมีประเด็นสำคัญดังนี้:

  1. แผนขุดลอกแม่น้ำสาย – เมียนมาจะเริ่มดำเนินการในวันที่ 7 มิ.ย. ใช้เวลาดำเนินการประมาณ 40 วัน
  2. รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างรุกล้ำเขตแดน – ฝ่ายเมียนมารื้อถอนแล้ว 20 จาก 33 จุด ฝ่ายไทยรื้อถอน 13 จาก 45 จุด ที่เหลือจะมีการตรวจสอบร่วมกันภาคสนาม
  3. การใช้น้ำร่วมกัน – มีการยืนยันไม่ให้มีการปิดกั้นแหล่งน้ำ และต้องไม่กระทบการอุปโภคบริโภคของทั้งสองฝั่ง
  4. การทิ้งขยะในแม่น้ำ – ฝ่ายเมียนมารับทราบข้อร้องเรียนและรับไปพิจารณา
  5. สารปนเปื้อนในแม่น้ำจากเหมืองแร่ – เป็นประเด็นใหม่ที่ฝ่ายไทยเสนอ ฝ่ายเมียนมายอมรับจะหารือกับผู้มีอำนาจต่อไป

สายน้ำไม่เคยโกหก แต่เราต่างหากที่ไม่ฟัง

แม่น้ำสายกลายเป็นเวทีแสดงภาพสะท้อนของความเปราะบางระหว่างสิ่งแวดล้อมกับผลประโยชน์เชิงเศรษฐกิจ การเปลี่ยนแปลงของสีแม่น้ำที่เกิดขึ้นแม้เพียงชั่วคราวอาจเป็น “เสียงเตือนสุดท้าย” จากธรรมชาติ ก่อนที่ปัญหามลพิษจะกลายเป็นวิกฤตถาวรในภูมิภาคลุ่มน้ำโขง

หากไม่มีการกำกับดูแลที่จริงจังในกิจกรรมเหมืองแร่ทั้งฝั่งเมียนมาและความร่วมมือจากภาครัฐไทยในการตรวจสอบ ติดตาม และแจ้งเตือนต่อเนื่อง สิ่งที่เกิดขึ้นอาจไม่ใช่แค่แม่น้ำเปลี่ยนสี แต่คือ “ความเชื่อมั่นระหว่างประเทศ” และ “สุขภาพของประชาชน” ที่อาจไม่อาจเรียกคืนได้อีก

ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย

  • เร่งขยายระบบตรวจวัดแบบเรียลไทม์ ให้ครอบคลุมทั้งแม่น้ำสาย แม่น้ำกก และแม่น้ำรวก
  • จัดทำฐานข้อมูลดาวเทียมสาธารณะ ให้ประชาชนสามารถเข้าถึงการตรวจสอบพื้นที่เสี่ยงได้
  • ดำเนินการด้านการทูตน้ำอย่างจริงจัง เพื่อสร้างกลไกความร่วมมือระดับลุ่มน้ำกับประเทศเพื่อนบ้าน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 (เชียงใหม่)
  • กรมควบคุมมลพิษ (www.pcd.go.th)
  • สำนักงานจังหวัดเชียงราย
  • ภาพถ่ายดาวเทียมจาก GISTDA (สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ)
  • รายงานการประชุมคณะทำงานไทย-เมียนมา วันที่ 5 มิถุนายน 2568
  • ระบบโทรมาตรอัตโนมัติ กรมทรัพยากรน้ำ
  • รายงานการติดตามคุณภาพน้ำแม่น้ำกกและแม่น้ำสาย ปี 2568
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

น้ำสาย-น้ำรวกวิกฤต! สารหนูพุ่ง มฟล.เตือนภัย

เชียงรายเผชิญวิกฤตแม่น้ำปนเปื้อนสารหนูเกินมาตรฐานสูงสุดถึง 19 เท่า นักวิชาการเตือนส่งผลต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม

เชียงราย, 1 พฤษภาคม 2568 – จากกรณีที่ อาจารย์ ดร.สุรพล วรภัทราทร จากมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ได้เผยแพร่ข้อมูลผ่านสื่อสังคมออนไลน์เกี่ยวกับผลการตรวจวิเคราะห์คุณภาพน้ำในพื้นที่อำเภอแม่สายและอำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย พบว่ามีการปนเปื้อนของ “สารหนู” (Arsenic) ในระดับที่สูงเกินมาตรฐานอย่างมีนัยสำคัญในหลายจุด โดยบางพื้นที่พบค่าที่สูงถึง 0.19 มิลลิกรัมต่อลิตร หรือเกินกว่าค่ามาตรฐานสูงสุดถึง 19 เท่า สร้างความวิตกกังวลต่อทั้งหน่วยงานรัฐ นักวิชาการ และประชาชนในพื้นที่อย่างมาก

ผลการตรวจเบื้องต้น ภาพรวมการปนเปื้อนในแม่น้ำสายและแม่น้ำรวก

จากการเปิดเผยของโครงการจัดตั้งสถาบันวิจัยและพยากรณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติในเขตภาคเหนือตอนบน ซึ่งดำเนินงานโดย ผศ.ดร.สุรพล วรภัทราทร ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาฯ ดังกล่าว ได้ทำการเก็บตัวอย่างน้ำจากพื้นที่เสี่ยงจำนวน 9 จุดใน อ.แม่สาย และ อ.เชียงแสน ได้แก่

  1. น้ำสาย บ้านถ้ำผาจม – หัวฝาย อ.แม่สาย = 0.14 mg/L
  2. ลำเหมือง บ้านถ้ำผาจม – หัวฝาย อ.แม่สาย = ไม่เกินมาตรฐาน
  3. น้ำสาย สะพานมิตรภาพที่ 1 อ.แม่สาย = 0.14 mg/L
  4. คลองชลประทาน บ้านเหมืองแดง อ.แม่สาย = 0.18 mg/L
  5. น้ำรวก บ้านเวียงหอม ต.เกาะช้าง อ.แม่สาย = 0.12 mg/L
  6. น้ำสาย สะพานมิตรภาพที่ 2 อ.แม่สาย = 0.12 mg/L
  7. น้ำรวก บ้านสบรวก อ.เชียงแสน = 0.12 mg/L
  8. น้ำรวกไหลลงแม่น้ำโขง สามเหลี่ยมทองคำ = 0.19 mg/L
  9. แม่น้ำโขง เทศบาลเวียงเชียงแสน = 0.14 mg/L

ทั้งนี้ ค่ามาตรฐานของสารหนูในน้ำตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข ต้องไม่เกิน 0.01 มิลลิกรัมต่อลิตร หรือ 10 ไมโครกรัมต่อลิตร การตรวจพบที่ 0.19 mg/L ถือว่าเกินกว่ามาตรฐานถึง 19 เท่า

เวทีวิชาการ “รู้ทัน ร่วมมือ รับมือ” กับภัยสุขภาพจากน้ำปนเปื้อน

เมื่อวันที่ 30 เมษายน ที่มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง มีการจัดเวทีเสวนาวิชาการหัวข้อ “รู้ทัน ร่วมมือ รับมือ: ภัยสุขภาพจากแม่น้ำปนเปื้อน” เพื่อตอบสนองต่อผลกระทบของแม่น้ำกกที่พบการปนเปื้อนสารหนูใน อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ (0.026 mg/L) และ อ.เมืองเชียงราย (0.012–0.013 mg/L) ซึ่งล้วนเกินมาตรฐานเช่นกัน

ศาสตราจารย์ ดร.สุจิตรา วงศ์เกษมจิตต์ รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง กล่าวว่า “แม่น้ำกกคือเส้นเลือดหลักของเชียงราย ปัญหานี้กระทบทั้งสุขภาพและระบบนิเวศ การวิจัยและความร่วมมือทุกภาคส่วนจึงเป็นสิ่งจำเป็นในการป้องกันและฟื้นฟู”

ความกังวลจากนักวิทยาศาสตร์และหน่วยงานสุขภาพ

ผศ.ดร.ไกรลักษณ์ ฟักแก้ว ผู้เชี่ยวชาญด้านอนามัยสิ่งแวดล้อม ระบุว่า สารหนูเมื่อเข้าสู่ร่างกาย แม้ในปริมาณน้อย แต่หากสะสมในระยะยาวอาจก่อให้เกิดมะเร็งตับ มะเร็งผิวหนัง และส่งผลต่อระบบประสาท เด็กเล็กและหญิงตั้งครรภ์ถือเป็นกลุ่มเสี่ยงสูง หากได้รับสารหนูอย่างต่อเนื่องจะกระทบพัฒนาการของสมอง

ขณะเดียวกัน รศ.ดร.ระวิวรรณ์ เจริญทรัพย์ รักษาการผู้อำนวยการ MFU Wellness Center ชี้ว่า “ไม่ควรตื่นตระหนก แต่ต้องเฝ้าระวัง หากมีอาการผิดปกติควรพบแพทย์ทันที การหลีกเลี่ยงการสัมผัสน้ำโดยตรงเป็นแนวทางเบื้องต้นที่ดีที่สุดในสถานการณ์ขณะนี้”

ปัญหาจากประเทศเพื่อนบ้าน การทำเหมืองและต้นตอการปนเปื้อน

รายงานจาก อ.แม่สาย เปิดเผยว่า แม่น้ำสายมีต้นน้ำมาจากเมืองสาด ประเทศเมียนมา ห่างจากพรมแดนประมาณ 90 กิโลเมตร มีการดำเนินเหมืองแร่ 4 แห่ง โดยทุนจีน ครอบคลุมทั้งการทำเหมืองทองคำ แมงกานีส และสังกะสี ซึ่งบางแห่งสูบน้ำจากลำน้ำสายโดยตรงเพื่อฉีดพ่นดินหิน ทำให้เกิดการปนเปื้อนโลหะหนักอย่างชัดเจน

ข้อมูลเพิ่มเติมระบุว่า แม่น้ำกกก็มีต้นทางจากเขตว้าแดง (พิเศษที่ 2) ซึ่งมีบริษัทเหมืองแร่ของจีนมากกว่า 23 แห่ง ทำกิจกรรมการทำเหมืองโดยไร้มาตรฐานสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด ส่งผลให้ปริมาณสารหนู สารตะกั่ว และโลหะหนักอื่นๆ ไหลลงแม่น้ำกกอย่างต่อเนื่อง

มาตรการรัฐ ยังอยู่ในขั้นประสานงาน-เฝ้าระวัง

นายวรายุทธ ค่อมบุญ นายอำเภอแม่สาย ได้ออกประกาศแจ้งเตือนประชาชนให้ “งดใช้และงดสัมผัสน้ำจากแม่น้ำสาย” พร้อมส่งตัวอย่างน้ำให้สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 ตรวจสอบซ้ำอีกครั้ง โดยเน้นว่าการผลิตน้ำประปายังมีมาตรฐานและปลอดภัยเนื่องจากผ่านกระบวนการกรองโลหะหนัก

ในขณะเดียวกัน อำเภอเชียงแสนและท้องถิ่นในเขตริมฝั่งแม่น้ำโขงได้จัดเวรตรวจน้ำและส่งข้อมูลรายงานรายสัปดาห์เพื่อเฝ้าระวังต่อเนื่อง

วิเคราะห์และข้อเสนอแนะ ปัญหาซับซ้อนที่ต้องการการจัดการข้ามพรมแดน

จากข้อมูลทั้งหมดพบว่า “ต้นตอ” ของการปนเปื้อนอาจไม่ได้อยู่ในฝั่งไทยโดยตรง หากแต่เป็นผลจากการดำเนินการของเหมืองในประเทศเพื่อนบ้าน แต่ผลกระทบตกอยู่กับประชาชนไทยทั้งในด้านสุขภาพและเศรษฐกิจ โดยเฉพาะกลุ่มที่พึ่งพาแม่น้ำในชีวิตประจำวัน

ข้อเสนอเชิงนโยบายเบื้องต้น ได้แก่

  • จัดตั้งกลไกความร่วมมือไทย-เมียนมา ในการควบคุมการทิ้งของเสียลงแม่น้ำ
  • ส่งเสริมเทคโนโลยีบำบัดน้ำเสียในพื้นที่เสี่ยง
  • ตรวจคุณภาพน้ำในพื้นที่เสี่ยงเป็นรายไตรมาส และเปิดเผยต่อสาธารณะ
  • สนับสนุนงบประมาณวิจัย-ติดตามคุณภาพน้ำโดยสถาบันการศึกษาในพื้นที่

สถิติเกี่ยวข้องและแหล่งอ้างอิง

  • ค่ามาตรฐานสารหนูในน้ำดื่ม: ≤ 0.01 mg/L ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข
  • แม่น้ำสายตรวจพบสูงสุด: 0.19 mg/L (สถาบันวิจัยภัยพิบัติฯ ม.แม่ฟ้าหลวง, 2568)
  • แม่น้ำกกที่แม่อาย: 0.026 mg/L (สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1)
  • รายงานการวิเคราะห์คุณภาพน้ำจากบริษัทห้องปฏิบัติการกลาง (ประเทศไทย) จำกัด (G-Lab, เม.ย. 2568)
  • องค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่า การรับสารหนูสะสมในร่างกายมากเกินไปอาจก่อให้เกิดมะเร็งผิวหนัง, ระบบทางเดินปัสสาวะ, ตับ และความผิดปกติทางระบบประสาทในระยะยาว

แม้สถานการณ์ขณะนี้จะยังไม่ถึงขั้นวิกฤตระดับต้องอพยพ แต่หากไม่มีการแก้ไขเชิงระบบและความร่วมมือระหว่างประเทศ เชียงรายอาจต้องเผชิญกับภัยสิ่งแวดล้อมระดับวิกฤตในเวลาไม่นานจากนี้

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : โครงการจัดตั้งสถาบันวิจัยและพยากรณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติในเขตภาคเหนือตอนบน

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE