Categories
ECONOMY

ส่งออกสินค้าเกษตรไทยไตรมาส 2 แข็งแกร่ง นำโดยตลาดสหรัฐฯ-ยุโรป

ส่งออกเกษตรไทย Q2/68 โต 4.2% แรงหนุน “US–EU” ก่อนภาษีสหรัฐฯ มีผล ขณะจีนโตช้า–ข้าวทรุดหนัก รัฐ–เอกชนถูกจี้เร่งยกระดับคุณภาพและกระจายความเสี่ยง

กรุงเทพฯ, 31 สิงหาคม 2568 — ในราคาเช้าตรู่ของปลายไตรมาส 2 รถห้องเย็นบรรทุกไก่แปรรูปและอาหารสัตว์เลี้ยงทะยานออกจากคลังสินค้าอย่างต่อเนื่อง ปลายทางคือ “ผู้บริโภคโลก” ที่ยังต้องการโปรตีนและสินค้าอุปโภคบริโภค—ภาพนี้คือฉากหน้าของสถิติส่งออกเกษตรไทยที่ “เขียวสด” ช่วงเมษายน–มิถุนายน 2568 แม้หลายตัวแปรรายตลาดยังขรุขระและบางหมวดสินค้ากลับหดแรงจนน่ากังวล

รายงานของ Krungthai COMPASS ชี้ว่า การส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรไทยในไตรมาส 2 ปี 2568 ขยายตัว 4.2% (YoY) เร่งขึ้นจากไตรมาสแรก โดยได้แรงส่งจาก สหรัฐอเมริกา และ สหภาพยุโรป ที่นำเข้าล่วงหน้าก่อน มาตรการภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ จะมีผลในเดือนสิงหาคม ขณะที่ จีน ตลาดใหญ่สุดของไทยยังโตน้อย และ อาเซียน เริ่มฟื้นจากฐานต่ำ

ตลาดหลัก โตไม่เท่ากัน—US–EU เร่งเครื่อง จีนประคองตัว อาเซียนเริ่มหายใจ

  • สหรัฐฯ (สัดส่วน ~10%) โต 18.1% YoY เป็น “แรงขับหลัก” จากดีมานด์ อาหารสัตว์เลี้ยง และ ถุงมือยางจากยางพารา ที่เร่งนำเข้าก่อนภาษีมีผล
  • สหภาพยุโรป (EU) (สัดส่วน ~8%) โต 13.3% YoY โดดเด่นด้วย ไก่สด/แปรรูป ที่ยังแข่งขันได้ด้านคุณภาพและมาตรฐาน
  • จีน (สัดส่วน ~24%) โตเพียง 2% YoY การนำเข้าเด่นไปที่ วัตถุดิบ เพื่อการผลิตสินค้าเพื่อส่งออก สะท้อนอุปสงค์ปลายน้ำที่ยังเปราะบาง
  • อาเซียน (สัดส่วน ~23%) ฟื้น 3.8% YoY โดยมี น้ำตาลทราย เป็นหัวลากสำคัญ

สัญญาณนี้แปลว่า “การเร่งซื้อก่อนภาษี” มีบทบาทจริง และตลาดที่เน้นมาตรฐาน–การตรวจสอบคุณภาพสูง (อย่าง EU) ยังเปิดโอกาสให้สินค้าไทยที่ปรับตัวทัน ส่วนจีนแม้ยังเป็นตลาดหมายเลข 1 แต่ “ความเร็วในการเติบโต” ช้าลงอย่างเห็นได้ชัด

ภาพสินค้า อุตสาหกรรมเกษตรฉุดขึ้น—เกษตรดิบยังอ่อน ข้าวติดลบแรง ผลไม้ชะงัก

โครงสร้างการเติบโตสะท้อนความต่างในเชิงคุณค่า (value-add)

  • กลุ่มเกษตรดิบ (สัดส่วน ~55%): -1.2% YoY
  • กลุ่มอุตสาหกรรมเกษตร (สัดส่วน ~45%): +12.1% YoY

ดาวเด่นที่ฉุดรวมให้บวก

  • ไก่สด/แปรรูป: +11.2% YoY ได้แรงหนุนตลาด EU และจีน
  • น้ำตาลทราย: +22.7% YoY จากผลผลิตอ้อยที่เพิ่มขึ้น
  • มันสำปะหลัง: กลับมาเป็นบวกครั้งแรกในรอบ 2 ปี +4.9% YoY ตามการนำเข้าของจีน
  • อาหารสัตว์เลี้ยง: +9.1% YoY แรงซื้อชัดในสหรัฐฯ–ยุโรป
  • ยางพารา: +4.3% YoY โดยเฉพาะ น้ำยางข้น ที่จีนเร่งนำเข้า เพิ่มกว่า 100% เพื่อผลิตถุงมือยางส่งออกไปสหรัฐฯ ก่อนมาตรการภาษีบังคับใช้

ตัวที่น่าห่วง

  • ข้าว: หดแรง -34.1% YoY โดยเฉพาะ ข้าวขาว 5% ร่วงถึง -58% เมื่อ อินเดีย กลับมาส่งออกและกดการแข่งขันด้านราคา
  • ผลไม้: โตเพียง +2.2% YoY โดย ทุเรียน ซึ่งเป็น “เรือธง” หด -6.5% จาก มาตรการตรวจคุณภาพเข้มของจีน และประเด็นการจัดการหลังการเก็บเกี่ยว

เมื่อนำภาพนี้มาวางบนแผนที่โลจิสติกส์ชายแดน จะยิ่งเห็น “ความเปราะบางแบบพื้นที่” ชัดขึ้น: ทิศเหนือ–อีสาน ที่พึ่งพาด่านบกไปจีนและเพื่อนบ้าน ได้อานิสงส์จากสินค้าแปรรูป/วัตถุดิบบางตัว แต่ในช่วงที่ด่านมีข้อจำกัดหรือความตึงเครียดทางการเมือง ปริมาณเคลื่อนย้ายผลไม้สดและเกษตรดิบจะสะดุดเป็นพิเศษ

สงครามการค้า + จีนชะลอ = สองแรงกดในครึ่งหลังปี 2568–ปี 2569

Krungthai COMPASS ประเมิน “แรงกด” ที่ต้องรับมือสองด้านพร้อมกัน

  1. มาตรการภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ (อัตรา 19%) ที่เริ่มมีผลในเดือนสิงหาคม มีแนวโน้มฉุดหมวดที่พึ่งพาตลาดสหรัฐฯ สูง โดยเฉพาะห่วงโซ่ ยาง–น้ำยางข้น–ถุงมือยาง หลังพ้นช่วง “เร่งซื้อก่อนภาษี”
  2. เศรษฐกิจจีนชะลอตัว ทำให้ดีมานด์สินค้าบริโภคและวัตถุดิบเติบโตช้าลง พร้อมกฎระเบียบคุณภาพ–สุขอนามัยพืช (SPS) เข้มขึ้น ส่งผลโดยตรงต่อ ผลไม้ และ ข้าว

ภาพรวมปี 2568–2569 จึงมีความเสี่ยงที่ ยางพารา อาจกลับไปหดตัวต่อเนื่อง และ ข้าว อาจลดลงแรงถึง -48% ในปี 2568 หากไม่มีมาตรการเสริมความสามารถแข่งขันด้านราคา–คุณภาพ ส่วน ไก่ แม้ยังโตได้ แต่ต้องประคองมาร์จินท่ามกลางคู่แข่งอย่าง บราซิล ที่ได้เปรียบด้านต้นทุน ขณะที่ ผลไม้ไทย มีโอกาสกลับมาขยายตัวในปี 2569 หาก “ด่านคุณภาพ” ผ่านได้ราบรื่นกว่าเดิม

เชื่อมโยงเศรษฐกิจชายแดน เมื่อหน้าด่านสะดุด ผลรวมประเทศก็สั่น

แม้รายไตรมาสของเกษตรรวมจะบวก แต่เส้นเลือด “หน้าด่าน” ยังบอบบาง—โดยเฉพาะช่วงเดือนกรกฎาคมที่ภาพรวม การค้าชายแดน ลดลงหนัก เพราะการเมืองชายแดนฝั่งกัมพูชาและข้อจำกัดการเปิด–ปิดจุดผ่านแดน ขณะที่ “การค้าผ่านแดน” ไปจีนกลับยังแรงจากวัฏจักรผลไม้และอุปสงค์เฉพาะทาง จุดนี้สะท้อนว่า นโยบายด่าน และ มาตรการคุณภาพ มีน้ำหนักพอ ๆ กัน: หากหน้าด่านนิ่ง—สินค้าสดเดินทางได้เร็ว และถ้าคุณภาพ–เอกสารครบ—ตลาดปลายทางก็เปิดรับอย่างต่อเนื่อง

กลยุทธ์ “อยู่เป็น–อยู่รอด–อยู่ยั่งยืน”: 7 ข้อทำได้จริง

1) ล็อกมาตรฐานคุณภาพผลไม้–โปรตีน:
เร่งขยายระบบ Pre-clearance / Pre-inspection กับประเทศคู่ค้า และสนับสนุน ระบบตรวจย้อนกลับ (traceability) ระดับฟาร์ม–ล้ง–โรงงาน ให้เชื่อมกับแพลตฟอร์มดิจิทัลของรัฐ ช่วยให้ผลไม้และเนื้อสัตว์ผ่านด่าน SPS/TBT ได้เร็วขึ้น ลดความเสี่ยง “ถูกสุ่มตรวจ–ถูกตีกลับ”

2) ยกระดับสินค้าดิบสู่แปรรูปคุณค่าเพิ่ม:
ตั้งเป้าหมวดที่มี value-add สูง—เช่น แปรรูปยางพารา (ยางทางการแพทย์, ยางกันสั่น), มันสำปะหลัง (modified starch), และโปรตีนแปรรูป—เพื่อกันกระสุนในช่วงราคาโภคภัณฑ์ผันผวน

3) กระจายตลาดและหน้าต่างเวลา:
จัดพอร์ตส่งออกแบบ “กระจายฤดูกาล–กระจายประเทศ” ลดการกระจุกตัวในจีนช่วงผลไม้พีก และเพิ่มสัดส่วนตลาดกำลังซื้อสูงใน ตะวันออกกลาง–สหรัฐฯ–ยุโรปตะวันออก ผ่านข้อตกลงความร่วมมือด้านมาตรฐานอาหารฮาลาล–สุขอนามัยสัตว์

4) โลจิสติกส์คอขวดเป็นต้นทุนเงียบ—ต้องแก้แบบแพ็กเกจ:
ทดลอง ช่องตรวจเฉพาะกิจช่วงฤดูผลไม้, ขยายเวลาทำการด่านแบบกำหนดช่วง และพัฒนา คลังเย็น–ศูนย์รวบรวม ใกล้ด่านบก/ด่านราง ควบคู่การผลักดัน Single Window เอกสารข้ามแดน

5) คุ้มครองความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน–ราคาโภคภัณฑ์:
ผลักดันการใช้เครื่องมือ hedging อย่างจริงจังใน SMEs ผ่านสถาบันการเงินรัฐ–เอกชน และให้สิทธิประโยชน์ภาษีกับผู้ใช้เครื่องมือบริหารความเสี่ยงอย่างมีวินัย

6) สื่อสาร–แจ้งเตือนล่วงหน้าเรื่องภาษี/กำแพงการค้า:
ตั้ง War room การค้า ประสานหน่วยงานเศรษฐกิจและการทูตเชิงพาณิชย์ แจ้งเตือน “มาตรการใหม่–โควตา–มาตรฐานสุขอนามัย” ให้ผู้ส่งออกทราบล่วงหน้าพร้อมคู่มือปฏิบัติในรูปแบบ checklists

7) ข้าวต้อง “เกมใหม่”:
ยกเครื่องยุทธศาสตร์จาก “ปริมาณ–ราคา” เป็น “ความต่าง–คุณภาพ–เรื่องราว” เร่งพัฒนา ข้าวพรีเมียม/ข้าวสุขภาพ ปรับแพ็กจิ้ง–แบรนด์ และสร้างความร่วมมือกับห้าง–แพลตฟอร์มออนไลน์ต่างประเทศ เปลี่ยนสมรภูมิแข่งขันออกจากสงครามราคาที่อินเดีย-เวียดนามถนัด

คำเตือนจากตัวเลข จุดแข็ง–จุดอ่อนในคำเดียวกัน

  • การโตของ อุตสาหกรรมเกษตร แปลว่าผู้ประกอบการไทย “เดินมาถูกทาง” ในการเพิ่มมูลค่า
  • แต่การหดตัวของ ข้าว และการโตช้าของ ผลไม้ สื่อว่าการบ้านเรื่อง “คุณภาพ–มาตรฐาน–ต้นทุน” ยังรอการแก้เชิงระบบ
  • ดีมานด์ US–EU ที่ดีขึ้น อาจ “ผ่อนแรง” หลังภาษีสหรัฐฯ มีผล หากไม่มีการบริหารความเสี่ยง–เจรจาทางการค้าเสริม
  • จีน ยังเป็น “เสือหลับ”—หากเศรษฐกิจฟื้นและไทยแก้คอขวดคุณภาพ-โลจิสติกส์ได้ทัน ผลไม้–แปรรูปไทยยังมีพื้นที่เติบโต

สรุปย่อตัวเลขสำคัญ (ไตรมาส 2/2568)

  • ส่งออก เกษตร+อุตสาหกรรมเกษตร: +4.2% YoY
  • ตลาด: US +18.1%, EU +13.3%, จีน +2%, อาเซียน +3.8%
  • กลุ่มสินค้า: เกษตรดิบ -1.2%, อุตสาหกรรมเกษตร +12.1%
  • รายสินค้าเด่น: ไก่ +11.2%, น้ำตาล +22.7%, มันสำปะหลัง +4.9%, อาหารสัตว์เลี้ยง +9.1%, ยางพารา +4.3% (น้ำยางข้นที่จีนเร่งนำเข้า >100%)
  • รายสินค้าน่าห่วง: ข้าว -34.1% (ข้าวขาว 5% -58%), ผลไม้ +2.2%, ทุเรียน -6.5%

จาก “เร่งซื้อก่อนภาษี” สู่ “แข่งขันจริงบนมาตรฐาน”

ตัวเลขสวยในไตรมาส 2 ไม่ได้บอกว่าทางข้างหน้าจะราบรื่น—ครึ่งหลังปี 2568 คือบททดสอบจริงหลังมาตรการภาษีสหรัฐฯ มีผล และเมื่อจีนยังชะลอ ไทยจำเป็นต้อง “คุมคุณภาพให้เป๊ะ–ลดต้นทุนให้คม–เปิดตลาดให้กว้าง” ควบคู่กับการทำให้ “ด่าน” เดินได้อย่างคาดเดาได้ หากปรับตัวทัน ชุดสินค้าที่ไทยถนัด—ตั้งแต่โปรตีนแปรรูปถึงแป้งมันดัดแปร—จะยังสร้างมูลค่าเพิ่ม และผลไม้ไทยก็มีพื้นที่กลับมา “เฉิดฉาย” ในปี 2569 เมื่อมาตรฐานคือภาษาเดียวกันระหว่างเรากับโลก

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • Krungthai COMPASS (ธนาคารกรุงไทย): รายงานวิเคราะห์ “การส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรไทย ไตรมาส 2/2568” (เผยแพร่ปลายส.ค. 2568) – ตัวเลขอัตราการเติบโตรายหมวดสินค้า/รายตลาด, สมมติฐานความเสี่ยงภาษีสหรัฐฯ, แนวโน้ม H2/2568–ปี 2569
  • กรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์: ข่าวเผยแพร่/สรุปสถานการณ์ “การค้าชายแดน–การค้าผ่านแดน” เดือนกรกฎาคม 2568 และช่วง 7 เดือนแรก – ใช้ประกอบบริบทความเสี่ยงหน้าด่านและการเติบโตของการค้าผ่านแดนไปจีน
  • สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์: ชุดข้อมูลสถิติการส่งออกสินค้าเกษตร–อุตสาหกรรมเกษตร (รายตลาด/รายหมวด) เพื่อเทียบเคียงแนวโน้มไตรมาส
  •  
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
WORLD PULSE

จีนคุมแร่หายากเขย่าโลก ไทยต้องเร่งวางยุทธศาสตร์รับมือด่วน

วิกฤตแร่หายากเขย่าอุตสาหกรรมโลก ไทยต้องเร่งวางยุทธศาสตร์รับมือ หวั่นกระทบทั้งรถยนต์-พลังงานสะอาด

ประเทศไทย, 8 มิถุนายน 2568 –ผู้สื่อข่าวรายงานสถานการณ์ขาดแคลนแร่หายาก (Rare Earth Elements: REEs) กำลังทวีความรุนแรงในระดับโลก จากการที่ประเทศจีนในฐานะผู้ผลิตและส่งออกแร่หายากรายใหญ่ที่สุดของโลก เริ่มใช้มาตรการควบคุมการส่งออกอย่างเข้มข้นในช่วงต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา โดยระบุว่าเป็นมาตรการตอบโต้ต่อสงครามภาษีที่สหรัฐอเมริกานำมาใช้กับสินค้าจีน

ส่งผลให้หลายภาคอุตสาหกรรมที่พึ่งพาแร่หายากอย่างสูง โดยเฉพาะอุตสาหกรรมยานยนต์ พลังงานสะอาด และอิเล็กทรอนิกส์ ได้รับผลกระทบถ้วนหน้า ทั้งในยุโรป ญี่ปุ่น และประเทศกำลังพัฒนาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงประเทศไทย

ยุโรปเผชิญปัญหาชะงักซัพพลายเชน

จากรายงานของสมาคมผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ยุโรป (CLEPA) พบว่าหลายโรงงานในเยอรมนีและยุโรปต้องหยุดสายการผลิต เนื่องจากไม่ได้รับใบอนุญาตส่งออกแร่จากจีนเพียงพอ แม้จะมีการยื่นคำขอมากกว่า 200 ฉบับ แต่ได้รับการอนุมัติเพียง 25% เท่านั้น

ฮิลเดการ์ด มุลเลอร์ ประธานสมาคมอุตสาหกรรมยานยนต์เยอรมนี (VDA) เตือนว่าข้อจำกัดของจีนอาจส่งผลให้การผลิตในยุโรปหยุดชะงัก และเรียกร้องให้รัฐบาลเยอรมันและสหภาพยุโรปเจรจากับจีนเพื่อแก้ไขปัญหาโดยเร่งด่วน

ญี่ปุ่น-เกาหลีใต้รับมือด้วยยุทธศาสตร์เชิงรุก

นิสสันออกมายอมรับว่ากำลังหาทางลดผลกระทบจากจีนร่วมกับรัฐบาลญี่ปุ่น ขณะซูซูกิระงับการผลิตรถรุ่น Swift ชั่วคราว ส่วนเกาหลีใต้เร่งลงทุนในการพัฒนาแหล่งแร่ภายในประเทศและพิจารณาจัดตั้งกลไกนำเข้าแบบร่วมมือกับชาติพันธมิตร

ไทยในฐานะฐานการผลิตโลกต้องเร่งปรับตัว

แม้ไทยมีปริมาณแร่หายากสำรองประมาณ 4,500 ตันเท่านั้น (จากข้อมูล USGS ปี 2024) ซึ่งน้อยกว่าจีนที่มีถึง 44 ล้านตัน แต่การที่ไทยเป็นฐานการผลิตรถยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ และแบตเตอรี่ EV ในภูมิภาคอาเซียน ทำให้ต้องพึ่งพาวัตถุดิบนำเข้าอย่างสูง โดยเฉพาะจากจีนซึ่งครองส่วนแบ่ง 60% ของการผลิตแร่หายากและ 85% ของการแปรรูปทั่วโลก

การจำกัดการส่งออกของจีนอาจทำให้ไทยเผชิญปัญหาชะงักของซัพพลายเชนในอนาคตอันใกล้

อาเซียนมีศักยภาพแต่อยู่ในวงจรต้นน้ำ

เวียดนามและมาเลเซียมีปริมาณแร่สำรองที่สูง แต่ยังขาดศักยภาพการแปรรูป แม้มาเลเซียจะมีโรงแยกแร่ของ Lynas ซึ่งรับวัตถุดิบจากออสเตรเลีย แต่ก็ผลิตได้เพียง 12-15% ของตลาดโลก ขณะที่ประเทศอื่นในอาเซียนรวมถึงไทยยังไม่มีความสามารถด้านการแปรรูปขั้นกลางและปลายน้ำ

ยุทธศาสตร์ที่ไทยควรเดินหน้า

  1. ผลักดันการลงทุนใน upstream-midstream เช่น การสกัดและแปรรูปเบื้องต้น เพื่อสร้างความมั่นคงด้านวัตถุดิบ
  2. พัฒนา REE recycling technology เพื่อให้สามารถหมุนเวียนแร่หายากจากผลิตภัณฑ์ใช้แล้วกลับมาใช้ใหม่
  3. สร้างความร่วมมือระหว่างประเทศ เช่น อาเซียน+3 หรือกรอบความร่วมมือด้านพลังงาน เพื่อร่วมกันจัดหาและสำรองแร่หายากอย่างยั่งยืน
  4. เร่งวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีทดแทน เช่น วัสดุแม่เหล็กชนิดใหม่ที่ไม่ต้องใช้ REE ซึ่ง Mercedes-Benz และ Toyota เริ่มดำเนินการแล้ว

ผลกระทบเชิงยุทธศาสตร์และความมั่นคง

ด้วยแร่หายากเป็นวัตถุดิบสำคัญต่อระบบพลังงานสะอาด อาวุธยุทโธปกรณ์ และเศรษฐกิจดิจิทัล การผูกขาดของจีนจึงกลายเป็นอาวุธเชิงยุทธศาสตร์ในเวทีโลก การที่ประเทศผู้ผลิตอย่างไทยยังไม่พร้อมในห่วงโซ่ REE ทั้งระบบ อาจทำให้สูญเสียโอกาสทางเศรษฐกิจในอนาคต และตกอยู่ภายใต้แรงกดดันทางภูมิรัฐศาสตร์อย่างเลี่ยงไม่ได้

สรุป

ประเทศไทยซึ่งมีบทบาทสำคัญในห่วงโซ่การผลิตยานยนต์และอิเล็กทรอนิกส์ระดับภูมิภาค จำเป็นต้องเร่งวางแผนรองรับวิกฤตแร่หายากอย่างเป็นระบบ โดยไม่เพียงแต่เพิ่มปริมาณการสำรอง แต่ต้องยกระดับขีดความสามารถตลอดสายโซ่คุณค่า (value chain) เพื่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจ เทคโนโลยี และความมั่นคงของประเทศในระยะยาว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • US Geological Survey, Mineral Commodity Summaries 2024
  • CLEPA (European Association of Automotive Suppliers)
  • VDA (German Association of the Automotive Industry)
  • ISEAS – Yusof Ishak Institute
  • Reuters, CNBC, Asia Financial
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

ตลาดคอนโดไทยซบ ลูกค้าจีนหาย แผ่นดินไหวซ้ำ

พิษเศรษฐกิจ-ดินไหว-ทุนเทา ฉุดตลาดคอนโดต่างชาติ ลูกค้าจีนหาย 90%

เชียงราย, 28 พฤษภาคม 2568 – ความเคลื่อนไหวของตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยในช่วงต้นปี 2568 สะท้อนถึงแรงสั่นสะเทือนจากทั้งปัจจัยเศรษฐกิจมหภาค เหตุการณ์ภัยธรรมชาติ และความเข้มงวดของภาครัฐต่อทุนต่างชาติ ส่งผลให้ตลาดคอนโดมิเนียมสำหรับต่างชาติเกิดภาวะชะลอตัวอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าชาวจีนที่เคยเป็นตลาดหลัก กลับหายไปถึงร้อยละ 90

ปัจจัยสะเทือนตลาด เศรษฐกิจโลก ดินไหว และความไม่แน่นอน

นายไซม่อน ลี ประธานกรรมการ บริษัท แองเจิล เรียลเอสเตท คอนซัลแทนซี่ จำกัด เผยว่า เหตุการณ์แผ่นดินไหวเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 ส่งผลกระทบเชิงจิตวิทยาต่อกลุ่มนักลงทุนชาวจีนอย่างรุนแรง ซึ่งซ้ำเติมจากภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว ทำให้กำลังซื้อหายไปอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ และเมืองท่องเที่ยวอื่น ๆ เช่น พัทยา ที่เคยได้รับความนิยม

ข้อมูลล่าสุดชี้ว่า ลูกค้าจีนและพม่าหายไปจากกรุงเทพฯ ถึงร้อยละ 90 ในขณะที่สมุยและภูเก็ตยังคงมีความเคลื่อนไหวบ้าง โดยเพิ่มขึ้นร้อยละ 10-20 ซึ่งอาจมาจากเสน่ห์ของเมืองท่องเที่ยวและความเชื่อมั่นด้านสิ่งแวดล้อมที่ยังไม่ถูกกระทบเท่าเขตเมืองหลัก

ห้องชุดรอโอนสะสม-แนวโน้มการซื้อระวังตัวมากขึ้น

ในกรุงเทพฯ มีห้องชุดรอโอนจำนวนหลักร้อยยูนิต ราคาต่อยูนิตอยู่ที่ 4-6 ล้านบาท ส่วนเชียงใหม่ มีห้องชุดรอโอนกว่า 200 ยูนิต ราคาประมาณ 2.5-3 ล้านบาท ขณะที่ภูเก็ตมีจำนวนสูงกว่า 400 ยูนิต คาดว่าจะโอนได้ในปี 2569 ราคายูนิตละ 2.5-4 ล้านบาท

นายวิทย์ กุลธนวิภาส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แคปปิตอล วัน เรียลเอสเตท จำกัด และเคลเลอร์ วิลเลี่ยม ไทยแลนด์ ระบุว่า แม้ตลาดจะยังมีการซื้อจากกลุ่มต่างชาติในเมืองท่องเที่ยว แต่ปริมาณยังต่ำกว่าระดับก่อนเกิดโควิด-19 โดยเฉพาะจากนักลงทุนจีนที่ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐ

อีกทั้งยังมีปัจจัยค่าเงินบาทที่ผันผวน ส่งผลต่อความไม่แน่นอนในการคำนวณต้นทุนของนักลงทุนต่างชาติ ซึ่งทำให้ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน

ข้อเสนอเชิงนโยบายเพื่อกระตุ้นตลาดต่างชาติ

นายวิทย์เสนอว่า หากรัฐบาลสามารถเปิดการเจรจาเพื่อดึงดูดฐานการผลิตจากต่างชาติมาไทยได้สำเร็จ อสังหาริมทรัพย์เพื่ออุตสาหกรรมอาจกลายเป็นจุดขายใหม่ อย่างไรก็ตาม จำเป็นต้องมีนโยบายสนับสนุนการถือครองอสังหาริมทรัพย์ของชาวต่างชาติ เช่น วีซ่าระยะยาว หรือการปรับปรุงข้อจำกัดด้านการโอนกรรมสิทธิ์

ความเข้มงวดของภาครัฐดาบสองคมของตลาดอสังหา

นายสุนทร สถาพร นายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร ระบุว่า แม้จะมีการลดลงของยอดโอนคอนโดจากชาวจีน แต่ความเข้มงวดของกรมที่ดินต่อการซื้อบ้านผ่านบริษัทที่มีต่างชาติร่วมถือหุ้นกลับเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อป้องกันการครอบครองที่ดินของกลุ่มทุนเทา

หลายโครงการในนิคมอุตสาหกรรมที่ชาวต่างชาติเข้ามาลงทุนแม้ได้รับการส่งเสริมก็ยังต้องเผชิญกับการตรวจสอบอย่างละเอียด ซึ่งเป็นทั้งอุปสรรคและกลไกป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาระยะยาวกับโครงสร้างประชากรในอนาคต

สร้างสมดุลระหว่างผลประโยชน์และความมั่นคง

ข้อเสนอเพื่อกระตุ้นกำลังซื้อจากชาวต่างชาติอย่างยั่งยืนมีดังนี้

  1. คัดเลือกกลุ่มเป้าหมายเฉพาะ เช่น นักวิจัย วิศวกรระดับสูง ผู้เกษียณอายุรายได้สูง
  2. ขยายระยะเวลาวีซ่าพำนักในไทย เช่น วีซ่า 10 ปี หรือวีซ่าดิจิทัลโนแมด
  3. ปรับอัตราภาษีการซื้ออสังหาริมทรัพย์และการเช่าอย่างเหมาะสม เพื่อสร้างรายได้ภาครัฐ
  4. ผลักดันร่างกฎหมาย “ทรัพย์อิงสิทธิ์” เพื่อให้สิทธิ์เช่าที่อยู่อาศัยได้นานถึง 60 ปี

สถิติสะท้อนภาพรวมตลาดแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง

ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) รายงานข้อมูลไตรมาส 1 ปี 2568 ดังนี้

  • ยอดโอนห้องชุดของต่างชาติ: 3,919 หน่วย ลดลง 0.5% จากปีก่อน
  • มูลค่าการโอน 16,392 ล้านบาท ลดลง 9%

3 อันดับประเทศที่โอนมากที่สุด:

  1. จีน 1,481 หน่วย ลดลง 7.2% มูลค่า 6,117 ล้านบาท ลดลง 19.2%
  2. พม่า 439 หน่วย เพิ่มขึ้น 12% มูลค่า 1,587 ล้านบาท ลดลง 28.1%
  3. รัสเซีย 288 หน่วย ลดลง 2.4% มูลค่า 987 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.9%

จุดเปลี่ยนที่ประเทศไทยต้องตัดสินใจ

การลดลงของนักลงทุนต่างชาติในตลาดคอนโดไทยเป็นสัญญาณเตือนที่ชัดเจนถึงความจำเป็นในการปรับยุทธศาสตร์อสังหาริมทรัพย์แห่งชาติให้สอดคล้องกับสถานการณ์โลก

แม้การป้องกันทุนเทาจะยังเป็นสิ่งจำเป็น แต่การสนับสนุนกลุ่มเป้าหมายคุณภาพและสร้างสิทธิประโยชน์ที่สมดุลจะช่วยให้ไทยยังคงเป็นศูนย์กลางอสังหาริมทรัพย์ในภูมิภาค

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC)
  • บริษัท แองเจิล เรียลเอสเตท คอนซัลแทนซี่ จำกัด
  • สมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร
  • บริษัท แคปปิตอล วัน เรียลเอสเตท จำกัด
  • กรมที่ดิน กระทรวงมหาดไทย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
WORLD PULSE

ทรัมป์ชนะเลือกตั้ง ส่งผลกระทบเศรษฐกิจไทยและการค้าโลก

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยวิเคราะห์ชัยชนะของทรัมป์ ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยและความเสี่ยงในอนาคต

เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2567 ดร.ลลิตา เธียรประสิทธิ์ ผู้บริหารงานวิจัยจากศูนย์วิจัยกสิกรไทย เปิดเผยว่านายโดนัลด์ ทรัมป์ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ สมัยที่ 2 พร้อมทั้งพรรครีพับลิกันคว้าคะแนนเสียงข้างมากในทั้งสองสภา ทำให้สามารถผลักดันนโยบายที่เคยหาเสียงไว้ได้ง่ายขึ้น อย่างไรก็ตาม ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อเศรษฐกิจโลกและไทยยังคงเป็นปัจจัยที่ต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด

นโยบายเร่งด่วนที่คาดหวังในช่วง 100 วันแรกของทรัมป์

หลังจากการสาบานตนในเดือนมกราคม 2568 คาดว่านโยบายเร่งด่วนของทรัมป์จะประกอบไปด้วยมาตรการปรับเพิ่มภาษีศุลกากรขาเข้า ลดภาษีเงินได้สำหรับนิติบุคคลและครัวเรือน การต่ออายุมาตรการลดภาษีที่ประกาศใช้ในปี 2560 รวมถึงมาตรการสนับสนุนพลังงานฟอสซิลในประเทศ ซึ่งมาตรการเหล่านี้มีเป้าหมายเพื่อกระตุ้นการลงทุนและเศรษฐกิจในสหรัฐฯ แม้ว่าในระยะสั้นอาจเกิดความเสี่ยงต่อภาวะเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้น

ค่าเงินดอลลาร์และตลาดหุ้นสหรัฐฯ ตอบรับในเชิงบวก

ผลจากชัยชนะของทรัมป์ทำให้ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นทันที โดยแตะระดับ 105.44 เพิ่มขึ้น 1.95% จากวันก่อนหน้า นอกจากนี้ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลระยะ 10 ปีของสหรัฐฯ เพิ่มสูงขึ้นใกล้ระดับ 4.50% ขณะเดียวกันตลาดหุ้นสหรัฐฯ ก็ตอบรับในเชิงบวก โดยดัชนีดาวโจนส์ฟิวเจอร์เพิ่มขึ้นกว่า 1,300 จุดในวันที่ 6 พฤศจิกายน

ความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อและผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย

แม้ว่ามาตรการต่าง ๆ ของทรัมป์อาจสร้างผลดีต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในระยะยาว แต่ในระยะสั้นเศรษฐกิจอาจต้องเผชิญกับภาวะ Stagflation (เศรษฐกิจชะลอตัวและเงินเฟ้อสูง) จากอัตราภาษีนำเข้าที่สูงขึ้นและการกีดกันแรงงานอพยพ ด้านเศรษฐกิจไทย ในระยะสั้นอาจได้อานิสงส์จากการเร่งนำเข้าสินค้าของสหรัฐฯ เพื่อทดแทนสินค้าจากจีน แต่ในระยะยาวไทยอาจเผชิญความเสี่ยงจากการปรับเพิ่มภาษีสินค้าส่งออกที่เกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ

แนวโน้มการย้ายฐานการผลิตและการแข่งขันในตลาดไทย

ในอนาคต ไทยอาจได้รับผลบวกจากการย้ายฐานการผลิตของผู้ประกอบการบางรายมายังอาเซียน แต่คาดว่าโอกาสในการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ยังอาจต้องใช้เวลาและขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ ทั้งอัตราภาษีของสหรัฐฯ การตรวจสอบที่เข้มงวด และความพร้อมด้านเทคโนโลยีในไทย โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการผลิตชิปและเทคโนโลยี AI ซึ่งไทยยังขาดความพร้อมในด้านพลังงานสะอาดและแรงงานที่มีทักษะสูง

สินค้าไทยต้องเผชิญการแข่งขันจากจีนที่รุนแรงขึ้น

สินค้ากลุ่มเคมีภัณฑ์ วัสดุก่อสร้าง สิ่งทอ และเครื่องนุ่งห่มของไทยมีแนวโน้มเผชิญการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นจากจีน เนื่องจากสินค้าจีนมีการผลิตที่เกินความต้องการภายในประเทศ อีกทั้งการเจอกำแพงภาษีจากประเทศตะวันตก ทำให้จีนต้องหาตลาดใหม่ในการระบายสินค้า ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อสินค้าไทยทั้งในตลาดภายในประเทศและตลาดส่งออก

ชัยชนะของทรัมป์ในครั้งนี้นอกจากจะเป็นการเสริมสร้างพลังให้พรรครีพับลิกันในสหรัฐฯ แล้ว ยังเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่จะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก รวมถึงเศรษฐกิจไทยในหลายแง่มุม ทั้งการส่งออก การแข่งขัน และความมั่นคงทางเศรษฐกิจในระยะยาว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ศูนย์วิจัยกสิกรไทย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE