Categories
WORLD PULSE

จีนคุมแร่หายากเขย่าโลก ไทยต้องเร่งวางยุทธศาสตร์รับมือด่วน

วิกฤตแร่หายากเขย่าอุตสาหกรรมโลก ไทยต้องเร่งวางยุทธศาสตร์รับมือ หวั่นกระทบทั้งรถยนต์-พลังงานสะอาด

ประเทศไทย, 8 มิถุนายน 2568 –ผู้สื่อข่าวรายงานสถานการณ์ขาดแคลนแร่หายาก (Rare Earth Elements: REEs) กำลังทวีความรุนแรงในระดับโลก จากการที่ประเทศจีนในฐานะผู้ผลิตและส่งออกแร่หายากรายใหญ่ที่สุดของโลก เริ่มใช้มาตรการควบคุมการส่งออกอย่างเข้มข้นในช่วงต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา โดยระบุว่าเป็นมาตรการตอบโต้ต่อสงครามภาษีที่สหรัฐอเมริกานำมาใช้กับสินค้าจีน

ส่งผลให้หลายภาคอุตสาหกรรมที่พึ่งพาแร่หายากอย่างสูง โดยเฉพาะอุตสาหกรรมยานยนต์ พลังงานสะอาด และอิเล็กทรอนิกส์ ได้รับผลกระทบถ้วนหน้า ทั้งในยุโรป ญี่ปุ่น และประเทศกำลังพัฒนาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงประเทศไทย

ยุโรปเผชิญปัญหาชะงักซัพพลายเชน

จากรายงานของสมาคมผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ยุโรป (CLEPA) พบว่าหลายโรงงานในเยอรมนีและยุโรปต้องหยุดสายการผลิต เนื่องจากไม่ได้รับใบอนุญาตส่งออกแร่จากจีนเพียงพอ แม้จะมีการยื่นคำขอมากกว่า 200 ฉบับ แต่ได้รับการอนุมัติเพียง 25% เท่านั้น

ฮิลเดการ์ด มุลเลอร์ ประธานสมาคมอุตสาหกรรมยานยนต์เยอรมนี (VDA) เตือนว่าข้อจำกัดของจีนอาจส่งผลให้การผลิตในยุโรปหยุดชะงัก และเรียกร้องให้รัฐบาลเยอรมันและสหภาพยุโรปเจรจากับจีนเพื่อแก้ไขปัญหาโดยเร่งด่วน

ญี่ปุ่น-เกาหลีใต้รับมือด้วยยุทธศาสตร์เชิงรุก

นิสสันออกมายอมรับว่ากำลังหาทางลดผลกระทบจากจีนร่วมกับรัฐบาลญี่ปุ่น ขณะซูซูกิระงับการผลิตรถรุ่น Swift ชั่วคราว ส่วนเกาหลีใต้เร่งลงทุนในการพัฒนาแหล่งแร่ภายในประเทศและพิจารณาจัดตั้งกลไกนำเข้าแบบร่วมมือกับชาติพันธมิตร

ไทยในฐานะฐานการผลิตโลกต้องเร่งปรับตัว

แม้ไทยมีปริมาณแร่หายากสำรองประมาณ 4,500 ตันเท่านั้น (จากข้อมูล USGS ปี 2024) ซึ่งน้อยกว่าจีนที่มีถึง 44 ล้านตัน แต่การที่ไทยเป็นฐานการผลิตรถยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ และแบตเตอรี่ EV ในภูมิภาคอาเซียน ทำให้ต้องพึ่งพาวัตถุดิบนำเข้าอย่างสูง โดยเฉพาะจากจีนซึ่งครองส่วนแบ่ง 60% ของการผลิตแร่หายากและ 85% ของการแปรรูปทั่วโลก

การจำกัดการส่งออกของจีนอาจทำให้ไทยเผชิญปัญหาชะงักของซัพพลายเชนในอนาคตอันใกล้

อาเซียนมีศักยภาพแต่อยู่ในวงจรต้นน้ำ

เวียดนามและมาเลเซียมีปริมาณแร่สำรองที่สูง แต่ยังขาดศักยภาพการแปรรูป แม้มาเลเซียจะมีโรงแยกแร่ของ Lynas ซึ่งรับวัตถุดิบจากออสเตรเลีย แต่ก็ผลิตได้เพียง 12-15% ของตลาดโลก ขณะที่ประเทศอื่นในอาเซียนรวมถึงไทยยังไม่มีความสามารถด้านการแปรรูปขั้นกลางและปลายน้ำ

ยุทธศาสตร์ที่ไทยควรเดินหน้า

  1. ผลักดันการลงทุนใน upstream-midstream เช่น การสกัดและแปรรูปเบื้องต้น เพื่อสร้างความมั่นคงด้านวัตถุดิบ
  2. พัฒนา REE recycling technology เพื่อให้สามารถหมุนเวียนแร่หายากจากผลิตภัณฑ์ใช้แล้วกลับมาใช้ใหม่
  3. สร้างความร่วมมือระหว่างประเทศ เช่น อาเซียน+3 หรือกรอบความร่วมมือด้านพลังงาน เพื่อร่วมกันจัดหาและสำรองแร่หายากอย่างยั่งยืน
  4. เร่งวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีทดแทน เช่น วัสดุแม่เหล็กชนิดใหม่ที่ไม่ต้องใช้ REE ซึ่ง Mercedes-Benz และ Toyota เริ่มดำเนินการแล้ว

ผลกระทบเชิงยุทธศาสตร์และความมั่นคง

ด้วยแร่หายากเป็นวัตถุดิบสำคัญต่อระบบพลังงานสะอาด อาวุธยุทโธปกรณ์ และเศรษฐกิจดิจิทัล การผูกขาดของจีนจึงกลายเป็นอาวุธเชิงยุทธศาสตร์ในเวทีโลก การที่ประเทศผู้ผลิตอย่างไทยยังไม่พร้อมในห่วงโซ่ REE ทั้งระบบ อาจทำให้สูญเสียโอกาสทางเศรษฐกิจในอนาคต และตกอยู่ภายใต้แรงกดดันทางภูมิรัฐศาสตร์อย่างเลี่ยงไม่ได้

สรุป

ประเทศไทยซึ่งมีบทบาทสำคัญในห่วงโซ่การผลิตยานยนต์และอิเล็กทรอนิกส์ระดับภูมิภาค จำเป็นต้องเร่งวางแผนรองรับวิกฤตแร่หายากอย่างเป็นระบบ โดยไม่เพียงแต่เพิ่มปริมาณการสำรอง แต่ต้องยกระดับขีดความสามารถตลอดสายโซ่คุณค่า (value chain) เพื่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจ เทคโนโลยี และความมั่นคงของประเทศในระยะยาว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • US Geological Survey, Mineral Commodity Summaries 2024
  • CLEPA (European Association of Automotive Suppliers)
  • VDA (German Association of the Automotive Industry)
  • ISEAS – Yusof Ishak Institute
  • Reuters, CNBC, Asia Financial
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

ตลาดคอนโดไทยซบ ลูกค้าจีนหาย แผ่นดินไหวซ้ำ

พิษเศรษฐกิจ-ดินไหว-ทุนเทา ฉุดตลาดคอนโดต่างชาติ ลูกค้าจีนหาย 90%

เชียงราย, 28 พฤษภาคม 2568 – ความเคลื่อนไหวของตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยในช่วงต้นปี 2568 สะท้อนถึงแรงสั่นสะเทือนจากทั้งปัจจัยเศรษฐกิจมหภาค เหตุการณ์ภัยธรรมชาติ และความเข้มงวดของภาครัฐต่อทุนต่างชาติ ส่งผลให้ตลาดคอนโดมิเนียมสำหรับต่างชาติเกิดภาวะชะลอตัวอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าชาวจีนที่เคยเป็นตลาดหลัก กลับหายไปถึงร้อยละ 90

ปัจจัยสะเทือนตลาด เศรษฐกิจโลก ดินไหว และความไม่แน่นอน

นายไซม่อน ลี ประธานกรรมการ บริษัท แองเจิล เรียลเอสเตท คอนซัลแทนซี่ จำกัด เผยว่า เหตุการณ์แผ่นดินไหวเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 ส่งผลกระทบเชิงจิตวิทยาต่อกลุ่มนักลงทุนชาวจีนอย่างรุนแรง ซึ่งซ้ำเติมจากภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว ทำให้กำลังซื้อหายไปอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ และเมืองท่องเที่ยวอื่น ๆ เช่น พัทยา ที่เคยได้รับความนิยม

ข้อมูลล่าสุดชี้ว่า ลูกค้าจีนและพม่าหายไปจากกรุงเทพฯ ถึงร้อยละ 90 ในขณะที่สมุยและภูเก็ตยังคงมีความเคลื่อนไหวบ้าง โดยเพิ่มขึ้นร้อยละ 10-20 ซึ่งอาจมาจากเสน่ห์ของเมืองท่องเที่ยวและความเชื่อมั่นด้านสิ่งแวดล้อมที่ยังไม่ถูกกระทบเท่าเขตเมืองหลัก

ห้องชุดรอโอนสะสม-แนวโน้มการซื้อระวังตัวมากขึ้น

ในกรุงเทพฯ มีห้องชุดรอโอนจำนวนหลักร้อยยูนิต ราคาต่อยูนิตอยู่ที่ 4-6 ล้านบาท ส่วนเชียงใหม่ มีห้องชุดรอโอนกว่า 200 ยูนิต ราคาประมาณ 2.5-3 ล้านบาท ขณะที่ภูเก็ตมีจำนวนสูงกว่า 400 ยูนิต คาดว่าจะโอนได้ในปี 2569 ราคายูนิตละ 2.5-4 ล้านบาท

นายวิทย์ กุลธนวิภาส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แคปปิตอล วัน เรียลเอสเตท จำกัด และเคลเลอร์ วิลเลี่ยม ไทยแลนด์ ระบุว่า แม้ตลาดจะยังมีการซื้อจากกลุ่มต่างชาติในเมืองท่องเที่ยว แต่ปริมาณยังต่ำกว่าระดับก่อนเกิดโควิด-19 โดยเฉพาะจากนักลงทุนจีนที่ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐ

อีกทั้งยังมีปัจจัยค่าเงินบาทที่ผันผวน ส่งผลต่อความไม่แน่นอนในการคำนวณต้นทุนของนักลงทุนต่างชาติ ซึ่งทำให้ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน

ข้อเสนอเชิงนโยบายเพื่อกระตุ้นตลาดต่างชาติ

นายวิทย์เสนอว่า หากรัฐบาลสามารถเปิดการเจรจาเพื่อดึงดูดฐานการผลิตจากต่างชาติมาไทยได้สำเร็จ อสังหาริมทรัพย์เพื่ออุตสาหกรรมอาจกลายเป็นจุดขายใหม่ อย่างไรก็ตาม จำเป็นต้องมีนโยบายสนับสนุนการถือครองอสังหาริมทรัพย์ของชาวต่างชาติ เช่น วีซ่าระยะยาว หรือการปรับปรุงข้อจำกัดด้านการโอนกรรมสิทธิ์

ความเข้มงวดของภาครัฐดาบสองคมของตลาดอสังหา

นายสุนทร สถาพร นายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร ระบุว่า แม้จะมีการลดลงของยอดโอนคอนโดจากชาวจีน แต่ความเข้มงวดของกรมที่ดินต่อการซื้อบ้านผ่านบริษัทที่มีต่างชาติร่วมถือหุ้นกลับเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อป้องกันการครอบครองที่ดินของกลุ่มทุนเทา

หลายโครงการในนิคมอุตสาหกรรมที่ชาวต่างชาติเข้ามาลงทุนแม้ได้รับการส่งเสริมก็ยังต้องเผชิญกับการตรวจสอบอย่างละเอียด ซึ่งเป็นทั้งอุปสรรคและกลไกป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาระยะยาวกับโครงสร้างประชากรในอนาคต

สร้างสมดุลระหว่างผลประโยชน์และความมั่นคง

ข้อเสนอเพื่อกระตุ้นกำลังซื้อจากชาวต่างชาติอย่างยั่งยืนมีดังนี้

  1. คัดเลือกกลุ่มเป้าหมายเฉพาะ เช่น นักวิจัย วิศวกรระดับสูง ผู้เกษียณอายุรายได้สูง
  2. ขยายระยะเวลาวีซ่าพำนักในไทย เช่น วีซ่า 10 ปี หรือวีซ่าดิจิทัลโนแมด
  3. ปรับอัตราภาษีการซื้ออสังหาริมทรัพย์และการเช่าอย่างเหมาะสม เพื่อสร้างรายได้ภาครัฐ
  4. ผลักดันร่างกฎหมาย “ทรัพย์อิงสิทธิ์” เพื่อให้สิทธิ์เช่าที่อยู่อาศัยได้นานถึง 60 ปี

สถิติสะท้อนภาพรวมตลาดแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง

ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) รายงานข้อมูลไตรมาส 1 ปี 2568 ดังนี้

  • ยอดโอนห้องชุดของต่างชาติ: 3,919 หน่วย ลดลง 0.5% จากปีก่อน
  • มูลค่าการโอน 16,392 ล้านบาท ลดลง 9%

3 อันดับประเทศที่โอนมากที่สุด:

  1. จีน 1,481 หน่วย ลดลง 7.2% มูลค่า 6,117 ล้านบาท ลดลง 19.2%
  2. พม่า 439 หน่วย เพิ่มขึ้น 12% มูลค่า 1,587 ล้านบาท ลดลง 28.1%
  3. รัสเซีย 288 หน่วย ลดลง 2.4% มูลค่า 987 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.9%

จุดเปลี่ยนที่ประเทศไทยต้องตัดสินใจ

การลดลงของนักลงทุนต่างชาติในตลาดคอนโดไทยเป็นสัญญาณเตือนที่ชัดเจนถึงความจำเป็นในการปรับยุทธศาสตร์อสังหาริมทรัพย์แห่งชาติให้สอดคล้องกับสถานการณ์โลก

แม้การป้องกันทุนเทาจะยังเป็นสิ่งจำเป็น แต่การสนับสนุนกลุ่มเป้าหมายคุณภาพและสร้างสิทธิประโยชน์ที่สมดุลจะช่วยให้ไทยยังคงเป็นศูนย์กลางอสังหาริมทรัพย์ในภูมิภาค

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC)
  • บริษัท แองเจิล เรียลเอสเตท คอนซัลแทนซี่ จำกัด
  • สมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร
  • บริษัท แคปปิตอล วัน เรียลเอสเตท จำกัด
  • กรมที่ดิน กระทรวงมหาดไทย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
WORLD PULSE

ทรัมป์ชนะเลือกตั้ง ส่งผลกระทบเศรษฐกิจไทยและการค้าโลก

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยวิเคราะห์ชัยชนะของทรัมป์ ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยและความเสี่ยงในอนาคต

เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2567 ดร.ลลิตา เธียรประสิทธิ์ ผู้บริหารงานวิจัยจากศูนย์วิจัยกสิกรไทย เปิดเผยว่านายโดนัลด์ ทรัมป์ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ สมัยที่ 2 พร้อมทั้งพรรครีพับลิกันคว้าคะแนนเสียงข้างมากในทั้งสองสภา ทำให้สามารถผลักดันนโยบายที่เคยหาเสียงไว้ได้ง่ายขึ้น อย่างไรก็ตาม ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อเศรษฐกิจโลกและไทยยังคงเป็นปัจจัยที่ต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด

นโยบายเร่งด่วนที่คาดหวังในช่วง 100 วันแรกของทรัมป์

หลังจากการสาบานตนในเดือนมกราคม 2568 คาดว่านโยบายเร่งด่วนของทรัมป์จะประกอบไปด้วยมาตรการปรับเพิ่มภาษีศุลกากรขาเข้า ลดภาษีเงินได้สำหรับนิติบุคคลและครัวเรือน การต่ออายุมาตรการลดภาษีที่ประกาศใช้ในปี 2560 รวมถึงมาตรการสนับสนุนพลังงานฟอสซิลในประเทศ ซึ่งมาตรการเหล่านี้มีเป้าหมายเพื่อกระตุ้นการลงทุนและเศรษฐกิจในสหรัฐฯ แม้ว่าในระยะสั้นอาจเกิดความเสี่ยงต่อภาวะเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้น

ค่าเงินดอลลาร์และตลาดหุ้นสหรัฐฯ ตอบรับในเชิงบวก

ผลจากชัยชนะของทรัมป์ทำให้ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นทันที โดยแตะระดับ 105.44 เพิ่มขึ้น 1.95% จากวันก่อนหน้า นอกจากนี้ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลระยะ 10 ปีของสหรัฐฯ เพิ่มสูงขึ้นใกล้ระดับ 4.50% ขณะเดียวกันตลาดหุ้นสหรัฐฯ ก็ตอบรับในเชิงบวก โดยดัชนีดาวโจนส์ฟิวเจอร์เพิ่มขึ้นกว่า 1,300 จุดในวันที่ 6 พฤศจิกายน

ความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อและผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย

แม้ว่ามาตรการต่าง ๆ ของทรัมป์อาจสร้างผลดีต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในระยะยาว แต่ในระยะสั้นเศรษฐกิจอาจต้องเผชิญกับภาวะ Stagflation (เศรษฐกิจชะลอตัวและเงินเฟ้อสูง) จากอัตราภาษีนำเข้าที่สูงขึ้นและการกีดกันแรงงานอพยพ ด้านเศรษฐกิจไทย ในระยะสั้นอาจได้อานิสงส์จากการเร่งนำเข้าสินค้าของสหรัฐฯ เพื่อทดแทนสินค้าจากจีน แต่ในระยะยาวไทยอาจเผชิญความเสี่ยงจากการปรับเพิ่มภาษีสินค้าส่งออกที่เกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ

แนวโน้มการย้ายฐานการผลิตและการแข่งขันในตลาดไทย

ในอนาคต ไทยอาจได้รับผลบวกจากการย้ายฐานการผลิตของผู้ประกอบการบางรายมายังอาเซียน แต่คาดว่าโอกาสในการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ยังอาจต้องใช้เวลาและขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ ทั้งอัตราภาษีของสหรัฐฯ การตรวจสอบที่เข้มงวด และความพร้อมด้านเทคโนโลยีในไทย โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการผลิตชิปและเทคโนโลยี AI ซึ่งไทยยังขาดความพร้อมในด้านพลังงานสะอาดและแรงงานที่มีทักษะสูง

สินค้าไทยต้องเผชิญการแข่งขันจากจีนที่รุนแรงขึ้น

สินค้ากลุ่มเคมีภัณฑ์ วัสดุก่อสร้าง สิ่งทอ และเครื่องนุ่งห่มของไทยมีแนวโน้มเผชิญการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นจากจีน เนื่องจากสินค้าจีนมีการผลิตที่เกินความต้องการภายในประเทศ อีกทั้งการเจอกำแพงภาษีจากประเทศตะวันตก ทำให้จีนต้องหาตลาดใหม่ในการระบายสินค้า ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อสินค้าไทยทั้งในตลาดภายในประเทศและตลาดส่งออก

ชัยชนะของทรัมป์ในครั้งนี้นอกจากจะเป็นการเสริมสร้างพลังให้พรรครีพับลิกันในสหรัฐฯ แล้ว ยังเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่จะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก รวมถึงเศรษฐกิจไทยในหลายแง่มุม ทั้งการส่งออก การแข่งขัน และความมั่นคงทางเศรษฐกิจในระยะยาว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ศูนย์วิจัยกสิกรไทย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News