Categories
FEATURED NEWS

สมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์จัดใหญ่ มอบ “รางวัลข่าวดิจิทัลยอดเยี่ยม 2568” ครั้งที่ 11

สมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ประกาศ “รางวัลข่าวดิจิทัลยอดเยี่ยม 2568” ปักหมุดมาตรฐานสื่อยุค AI—179 ผลงานจาก 22 สำนักข่าวตบเท้าเข้าชิง เร่งเครื่องวารสารศาสตร์คุณภาพ-จริยธรรม-ตรวจสอบได้

กรุงเทพฯ / เชียงราย, 26 กันยายน 2568 — แสงไฟสาดส่องบนเวทีห้องพลาตินั่ม ชั้น 3 โรงแรมอวานี รัชดา กรุงเทพฯ เวลาไล่เลี่ยบ่ายโมง เสียงสนทนาจากห้องเสวนาค่อย ๆ จางลง ก่อนปรบมือกึกก้องในช่วงประกาศผล “รางวัลข่าวดิจิทัลยอดเยี่ยม ประจำปี 2568 (Digital News Excellence Awards 2025)” ครั้งที่ 11 ที่สมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ (SONP) จัดขึ้น ร่วมกับภาคีพันธมิตรตั้งแต่ สภาองค์กรผู้บริโภค โคแฟค (ประเทศไทย) สำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) Google กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ไปจนถึงภาคเอกชนรายใหญ่ในระบบนิเวศสื่อ–โฆษณา–เทคโนโลยี ความคึกคักของปีนี้ไม่ใช่แค่ “รางวัล” หากคือการประกาศทิศทางของวงการข่าวไทยในยุคที่ปัญญาประดิษฐ์ (AI) เสมือนทั้ง “โอกาส” และ “บททดสอบ” ของวิชาชีพ

AI Journalism: ผู้ช่วยทรงพลัง—แต่คำสุดท้ายยังต้องเป็นของคนข่าว

ก่อนเข้าสู่ช่วงมอบโล่ เวที Thailand Media Lab Forum 2025: AI Journalism เปิดประเด็นใหญ่แบบตรงไปตรงมา—AI ใช้ตรงไหนในงานข่าวได้อย่างมีประสิทธิภาพและรับผิดชอบ? นักข่าว–บรรณาธิการ–ผู้บริหารห้องข่าวจากหลายสำนักร่วมแบ่งปันประสบการณ์ตรง

  • ฐานเศรษฐกิจ เล่าว่าทีมงานใช้ AI ถอดเสียง (speech-to-text) ผ่าน Google Gemini และ NotebookLM ช่วยสกัดประเด็นสัมภาษณ์–ขยายมุมคำถาม ทำให้นักข่าวเอาเวลาที่คืนมาไป “คุยแหล่งข่าว–ค้นเอกสาร” ได้ลึกกว่าเดิม
  • PPTV HD36 อธิบายการใช้ AI สรุปเนื้อหาจากวิดีโอที่ผลิตเอง แล้ว “รีแพ็กเกจ” ส่งต่อไปแพลตฟอร์มอื่น รวมถึงตัดไฮไลต์เพื่อเพิ่มการมีส่วนร่วม (engagement)
  • ตราดทีวี พบว่า AI เก่งมากในงานถอดเสียงและเรียบเรียงเอกสาร แต่ย้ำว่า “ต้องอ่านทวน–ตรวจซ้ำ” เพราะ AI ก็พลาดได้
  • TNN Digital ใช้ AI แตกประเด็น–ช่วยคิดพาดหัว แต่เตือนตรง ๆ ว่า “อย่าให้เครื่องมือทำให้เราขี้เกียจ” จนเสี่ยงผิดพลาดหรือฟุ้งเฟ้อข้อมูลจนกลายเป็นข่าวปลอม

เสียงสะท้อนร่วมกันของวิทยากรคือ AI เป็นผู้ช่วย ไม่ใช่ผู้ตัดสิน และ ความได้เปรียบของนักข่าว อยู่ที่ “แหล่งข่าว–การลงพื้นที่–ศิลปะการเล่าเรื่อง” ที่เครื่องจักรยังทดแทนไม่ได้ ขณะเดียวกัน ผู้เชี่ยวชาญด้านสื่อระบุว่า Google และแพลตฟอร์มใหญ่กำลังปรับบริการให้ “ลดผลกระทบเชิงลบต่อสื่อ” และส่งเสริมคอนเทนต์คุณภาพที่ตรวจสอบได้

ที่น่าสนใจคือ แนวทางการใช้ AI อย่างรับผิดชอบ ของสมาคมวิชาชีพซึ่งมี คู่มือคำแนะนำ เผยแพร่ให้สำนักข่าวนำไปปรับใช้—ตั้งแต่การระบุแหล่งที่มา การแสดงที่มาของสื่อสังเคราะห์ ไปจนถึงหลักเกณฑ์ตรวจสอบ ลายน้ำดิจิทัล บนสื่อที่ AI สร้างหรือช่วยสร้าง เพื่อคงความโปร่งใสและความน่าเชื่อถือของข่าว

179 ผลงานจาก 22 สำนักข่าว: ตัวเลขที่เล่าเรื่อง “ความพยายาม” ของสื่อไทย

หลังจบการเสวนา คุณธัญญารัตน์ ถาม่อย พิธีกรและผู้ประกาศข่าว PPTV HD36 พาผู้เข้าร่วมก้าวสู่ช่วงไฮไลต์: ประกาศผลรางวัลประจำปี ที่ปีนี้มีผลงานเข้าชิง 179 ชิ้น จาก 22 สำนักข่าว ครอบคลุม 8 ประเภทหลัก และ 2 หมวดรางวัลสนับสนุน โดยภาคี ได้แก่ รางวัลข่าวผู้บริโภคยอดเยี่ยม (สภาองค์กรผู้บริโภค) และ Best Fact Check and Verification (โคแฟค ประเทศไทย) ซึ่งถือเป็น “ปีแรก” ของรางวัลสายตรวจสอบข้อเท็จจริงในเวทีนี้

บนลิสต์ผู้ชนะ ไทยพีบีเอส (ส.ส.ท.) ก้าวขึ้นรับ รางวัลยอดเยี่ยมประเภทข่าว/สารคดีเชิงสืบสวนออนไลน์ จากซีรีส์ “ต้นแม่น้ำกก–น้ำสาย: มลพิษข้ามพรมแดน”—ประเด็นที่ยึดโยงชีวิตผู้คนนับหมื่นในลุ่มน้ำภาคเหนือ และสะท้อนพลังของสื่อสาธารณะในการทำข่าวเชิงระบบอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ The STANDARD, SPRiNG News, PPTV HD36 และสำนักข่าวอื่น ๆ กระจายคว้ารางวัลในหมวดคลิปวิดีโอ อินโฟกราฟิก ภาพข่าว ข่าวผู้บริโภค ฯลฯ แสดงภาพรวม “ความหลากหลายของเนื้อหา–ความหาญกล้าเชิงประเด็น–และชั้นเชิงการเล่าเรื่อง” ที่จัดจ้านขึ้นทุกปี

เสียงกรรมการ: ปีที่ “เข้ม” ทั้งเนื้อหาและงานสร้าง

ดร.มานะ ตรีรยาภิวัฒน์ ชี้ว่า ปีนี้เห็นความตั้งใจของสำนักข่าวอย่างชัดเจน โดยเฉพาะ งานสืบสวนที่ทำเป็นซีรีส์ ไม่ใช่ “ข่าวเดียวจบ” ขณะที่ คุณ น.รินี เรืองหนู นายกสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์ฯ เน้นว่า หมวดประเด็นสังคม โดดเด่น—หยิบ “เรื่องเล็กในสังคม” ขึ้นมาขยายให้สาธารณะเห็นภาพโครงสร้างปัญหา
ด้าน คุณอภิศิลป์ ตรุงกานนท์ (Pantip.com) บอกว่าหมวดคลิปวิดีโอ “ตัดสินยาก” เพราะคุณภาพงานสร้าง (production) สูงมาก ส่วนอินโฟกราฟิก—หลายชิ้นออกแบบแบบ ไทม์ไลน์ ที่ทำให้ “เข้าใจใน 5–10 วินาที” ตรงเป้าคนเสพข่าวบนมือถือ ขณะที่ คุณวสันต์ วณิชชากร (AP) มองว่าภาพข่าวปีนี้ดีมากหลายชิ้น และคณะกรรมการพยายามให้ ความหลากหลายของประเด็น โดดเด่นร่วมกัน
ฝั่งสิทธิผู้บริโภค คุณสภาพร อารักษ์วทนะ ให้ข้อสังเกตว่า หมวดข่าวผู้บริโภค ปีแรกของเวทีนี้สะท้อน “ปัญหาจริง” ที่ต้องถูกยกระดับ ซึ่งต้องการภาษาเรียบง่าย—เข้าถึงง่าย—เข้าใจง่าย เพื่อขยายผลเชิงนโยบาย ส่วน คุณสุภิญญา กลางณรงค์ (ผู้ร่วมก่อตั้งโคแฟค) ชี้ว่าในหมวด Fact Check ที่เพิ่งเปิดตัว มีทั้งงานด้าน AI และสุขภาพ—และชิ้นที่ประทับใจคือ การตรวจสอบหลายรูปแบบ ผสานการสัมภาษณ์ตามแบบสื่อกับเครื่องมือดิจิทัลอย่างเข้มแข็ง

จากรางวัลสู่ “มาตรฐานใหม่”: 3 บทเรียนใหญ่ที่ห้องข่าวควรถือกลับไป

  1. AI เป็นตัวคูณ แต่ไม่ใช่ทางลัด — บทเรียนจากหลายห้องข่าวตรงกันว่า AI คืนเวลาให้คนข่าวไปทำ “งานมนุษย์” ที่เครื่องไม่ถนัด—เจรจา–สัมภาษณ์–คัดเอกสาร–ตั้งคำถามที่ใช่—แต่ทุกขั้นต้อง ตรวจซ้ำ และห้ามยกอำนาจตัดสินใจให้ AI
  2. Fact-check คือ “อินฟราสตรัคเจอร์ใหม่” ของข่าว — การเพิ่มหมวดรางวัลเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง สะท้อนว่าสื่อไทยกำลังแก้โจทย์ “ข่าวลวง–สื่อสังเคราะห์” อย่างเป็นระบบ ทั้งด้านทักษะและเครื่องมือ
  3. ภาษาที่เข้าถึงง่าย–เล่าเรื่องที่คนแตะได้ — ทั้งกรรมการและพันธมิตรเห็นพ้องว่าคอนเทนต์ที่ “พาไปเห็น–พาไปเข้าใจ” มีพลังมากกว่า “ข้อมูลล้วน” การออกแบบสื่อ (visual/infographic) และโทนภาษาจึงเป็นเขี้ยวเล็บสำคัญ
ผลการตัดสินรางวัลข่าวดิจิทัลยอดเยี่ยม ครั้งที่ 11 ประจำปี 2568 (Digital News Excellence Awards 2025) มีดังนี้

1. ประเภทข่าวหรือสารคดีเชิงข่าวออนไลน์เชิงสืบสวนยอดเยี่ยม บริษัท ซีพีออลล์ จำกัด

รางวัลยอดเยี่ยม 1 รางวัล

ชื่อองค์กร: องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (ส.ส.ท.) หรือ ไทยพีบีเอส

ชื่อผลงาน: ซีรีส์ข่าวสืบสวน “ต้นแม่น้ำกก-น้ำสาย” มลพิษข้ามพรมแดน”

ลิงก์ข่าว

https://www.thaipbs.or.th/news/content/350938

https://www.thaipbs.or.th/news/content/350954

https://www.thaipbs.or.th/news/content/351096

https://www.thaipbs.or.th/news/content/352969

https://www.thaipbs.or.th/news/content/354006

https://www.thaipbs.or.th/news/content/354203

 

รางวัลชมเชย 2 รางวัล

  1. ชื่อองค์กร: บริษัท ทริปเปิล วี บรอดคาสท์ จำกัด (ไทยรัฐออนไลน์)

ชื่อผลงาน: ชนวนสงคราม! ตีแผ่ แหล่งขุมทรัพย์ “ฮุน เซน”

ลิงก์ข่าว

https://www.youtube.com/watch?v=utOkdeuSedQ

  1. ชื่อองค์กร: มูลนิธิพัฒนาสื่อมวลชนแห่งประเทศไทย (สำนักข่าวอิศรา)

ชื่อผลงาน: กระชากโฉมหน้าเครือข่ายทุนจีนกับพวก 51 บริษัทยึดที่ดินบ้านหรู : คนไทยต้องตื่นรู้

ลิงก์ข่าว

https://www.isranews.org/article/isranews-news/132400-invesdsdsdsds-5.html

2. ประเภทข่าวออนไลน์จากประเด็นในสื่อสังคมออนไลน์ยอดเยี่ยม สนับสนุนโดย สำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ สกมช

 

รางวัลยอดเยี่ยม 1 รางวัล

ชื่อองค์กร: องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (ส.ส.ท.) หรือ ไทยพีบีเอส

ชื่อผลงาน: ร่องรอยภารกิจหมอชนบทบุกกรุง สะท้อนปัญหาระบบราชการไทย

ลิงก์ข่าว

https://www.facebook.com/share/p/1JUNVrsnZz/

เรื่องจริง! สะท้อนวิกฤต ‘จัดซื้อจัดจ้าง’ ราชการไทย

https://theactive.thaipbs.or.th/data/procurement-problems

หมอชนบทบุกกรุง : หลักฐาน ปฏิบัติการ ‘ลดความสูญเสีย’ กลางวิกฤตโควิด https://theactive.thaipbs.or.th/data/rural-doctor-covid

จาก ชนบทบุกกรุง… ถึง โต๊ะสอบสวน

https://theactive.thaipbs.or.th/data/rural-doctor

 “Public Forum : กรณีศึกษา ‘หมอสุภัทร’ ผิดวินัยร้ายแรง : ทุจริต คอร์รัปชัน หรือปัญหาธรรมาภิบาล ระบบราชการไทย”

 

รางวัลชมเชย 2 รางวัล

  1. ชื่อองค์กร: บริษัท เทรนด์ วีจี3 จำกัด

ชื่อผลงาน: เสียงเขมรในฐานะมนุษย์ เมื่อพายุชาตินิยมพัดแรง

ลิงก์ข่าว

  1. ชื่อองค์กร: บริษัท บางกอก มีเดีย แอนด์ บรอดคาสติ้ง จำกัด (PPTV HD36)

ชื่อผลงาน: เช็กให้ชัวร์! ก่อนแชร์ภาพไวรัลวันเกิด “ทหารหญิงพิการ” หลักฐานชี้ชัดถูกสร้างด้วย AI

ลิงก์ข่าว

http://pptv36.news/1wjd?FCL

3. ข่าวออนไลน์ส่งเสริมสังคมยอดเยี่ยม สนับสนุนโดย บริษัท ที.เอช.นิค จำกัด

รางวัลยอดเยี่ยม 1 รางวัล

ชื่อองค์กร: บริษัท เดอะสแตนดาร์ด จำกัด 

ชื่อผลงาน: ปัญหาการศึกษาของเด็กยากไร้ พูดกันแค่ช่วงเลือกตั้ง?

ลิงก์ข่าว

 

รางวัลชมเชย 2 รางวัล

  1. ชื่อองค์กร: บริษัท เทรนด์ วีจี3 จำกัด

ชื่อผลงาน: ‘CONTENT SERIES เด็กพิเศษที่ระบบไม่อาจโอบอุ้ม’

ลิงก์ข่าว

  1. ชื่อองค์กร: องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (ส.ส.ท.) หรือ ไทยพีบีเอส

ชื่อผลงาน: ‘ทักษะภาษาอังกฤษ’ ยิ่งส่งเสริม ยิ่งถดถอย ? | How to Boost English Proficiency among Thais?

ลิงก์ข่าว

www.thaipbs.or.th/now/content/2901

4. ประเภทข่าวออนไลน์ที่นำเสนอในรูปแบบคลิปวีดีโอยอดเยี่ยม บริษัท บุญรอด เทรดดิ้ง จำกัด

รางวัลยอดเยี่ยม 1 รางวัล

ชื่อองค์กร:  บริษัท เนชั่น กรุ๊ป (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) (SPRiNG News)

ชื่อผลงาน: วิถีนายพราน ‘ทหารชุดดำ’ ใจรักพิทักษ์ชายแดน

ลิงก์ข่าว

 

รางวัลชมเชย 2 รางวัล

  1. ชื่อองค์กร: บริษัท เดอะสแตนดาร์ด จำกัด

ชื่อผลงาน: โรงงานจีนศูนย์เหรียญ ปัญหาใหญ่ที่ไทยต้องแก้ | KEY MESSAGES

ลิงก์ข่าว

  1. ชื่อองค์กร: บริษัท บางกอก มีเดีย แอนด์ บรอดคาสติ้ง จำกัด (PPTV HD36)

ชื่อผลงาน: สารคดีข่าว เปิดความจริงใต้ซาก “เหล็ก” วิกฤตโครงสร้างอาคารไทย

ลิงก์ข่าว

5. ประเภทข่าวที่นำเสนอในรูปแบบอินโฟกราฟิกยอดเยี่ยม สนับสนุนโดย ธนาคารออมสิน

รางวัลยอดเยี่ยม 1 รางวัล

ชื่อองค์กร:  บริษัท บางกอก มีเดีย แอนด์ บรอดคาสติ้ง จำกัด (PPTV HD36) 

ชื่อผลงาน: ทำไมคลังเลือดถึงขาดแคลน? เปิดการเดินทางของเลือดจากผู้บริจาคถึงผู้ป่วย

ลิงก์ข่าว

https://www.facebook.com/share/p/16zhAreZUR/

 

รางวัลชมเชย 2 รางวัล

  1. ชื่อองค์กร: บริษัท เนชั่น กรุ๊ป (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) (SPRiNG News)

ชื่อผลงาน: 2567 ปีแห่งฝันร้ายของพะยูนไทย ! ตายไปทั้งสิ้น 42 ตัว หวังว่าปี 2568 คงไม่มากไปกว่านี้…

ลิงก์ข่าว

https://www.facebook.com/share/p/16tpkgZsvJ/

  1. ชื่อองค์กร: บริษัท เนชั่น กรุ๊ป (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) (SPRiNG News)

ชื่อผลงาน: “จักรวาลยาดมไทย” จากภูมิปัญญา สู่ Soft Power

ลิงก์ข่าว

https://www.facebook.com/share/p/1FsbTsgVCQ/?mibextid=wwXIfr

6. ประเภทภาพข่าวออนไลน์ยอดเยี่ยม สนับสนุนโดย ตรีเพชรอีซูซุเซลส์ จำกัด

รางวัลยอดเยี่ยม 1 รางวัล

ชื่อองค์กร: บริษัท เทรนด์ วีจี3 จำกัด

ชื่อผลงาน: ถอยออกไปค่ะ

ลิงก์ข่าว

https://www.facebook.com/story.php?story_fbid=1256218833211124&id=100064690570758&rdid=lC50fM5DcJ7TFIYo#

 

รางวัลชมเชย 2 รางวัล

  1. ชื่อองค์กร: บริษัท เทรนด์ วีจี3 จำกัด

ชื่อผลงาน: สายรุ้งเหนือสมรภูมิประชาธิปไตย

ลิงก์ข่าว

https://www.facebook.com/story.php?story_fbid=pfbid021cZhBjWxWxjJu7EDcu7pckfANtLaWwS2C5np59UkK84x23moqG2SMEcBem17mTpSl&id=100064690570758&_rdr 

  1. ชื่อองค์กร: บริษัท เดอะสแตนดาร์ด จำกัด

ชื่อผลงาน: อย่าฝืน…แม้จะไหว

ลิงก์ข่าว

https://www.facebook.com/photo/?fbid=1030938712498805&set=pcb.1030939055832104

7. ประเภทข่าวผู้บริโภคยอดเยี่ยม สนับสนุนโดย สภาองค์กรผู้บริโภค

รางวัลยอดเยี่ยม 1 รางวัล

ชื่อองค์กร: องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (ส.ส.ท.) หรือ ไทยพีบีเอส

ชื่อผลงาน: 23 จังหวัด เมืองไร้รถประจำทาง อีกนานแค่ไหนถึงจะมี ?

ลิงก์ข่าว

https://theactive.thaipbs.or.th/data/local-bus-hope

รางวัลชมเชย 2 รางวัล

  1. ชื่อองค์กร: บริษัท ดาต้าเซ็ต จำกัด (สำนักข่าวอินโฟเควสท์)

ชื่อผลงาน: ตีแผ่ “Double Day” ลดจริงหรือแค่กลลวงผู้บริโภค !?

ลิงก์ข่าว

https://www.infoquest.co.th/2025/524297

  1. ชื่อองค์กร: บริษัท เดอะสแตนดาร์ด จำกัด

ชื่อผลงาน: ผลาญงบพันล้าน? ส่อวิกฤตศรัทธาประกันสังคม

ลิงก์ข่าว

8.ประเภทรางวัลการตรวจสอบข้อเท็จจริง (Best Fact Check and Verification) สนับสนุนโดย โคแฟค (ประเทศไทย)

รางวัลยอดเยี่ยม 1 รางวัล

ชื่อองค์กร: องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (ส.ส.ท.) หรือ ไทยพีบีเอส

ชื่อผลงาน: ตรวจสอบแล้ว : คลิปไวรัล ร.31 รอ. ปะทะช่วง 5 นาทีสุดท้าย ที่แท้คลิปเก่า

ลิงก์ข่าว

www.thaipbs.or.th/verify/content/4730

 

รางวัลชมเชย 2 รางวัล

  1. ชื่อองค์กร: บริษัท บางกอก มีเดีย แอนด์ บรอดคาสติ้ง จำกัด (PPTV HD36)

ชื่อผลงาน: เช็กให้ชัวร์! ก่อนแชร์ภาพไวรัลวันเกิด “ทหารหญิงพิการ” หลักฐานชี้ชัดถูกสร้างด้วย AI

ลิงก์ข่าว

http://pptv36.news/1wjd?FCL

  1. ชื่อองค์กร: องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (ส.ส.ท.) หรือ ไทยพีบีเอส

ชื่อผลงาน: ตรวจสอบแล้ว : เพจคลินิกแจกวัคซีน HPV ฟรี ที่แท้ตัดแปะโลโก้-เอกสารเท็จ แต่ดันมี “ติ๊กถูกสีฟ้า”

ลิงก์ข่าว

www.thaipbs.or.th/verify/content/2411

เมื่อรางวัลเชื่อมต่อ “งานข่าว–นโยบาย–ชีวิตประจำวัน”

รางวัลที่หยิบยกมิติสาธารณะเด่นชัดที่สุดสองกลุ่ม คือ งานสืบสวนเชิงระบบ (เช่น มลพิษข้ามพรมแดน) และ ข่าวผู้บริโภค (เช่น ระบบขนส่งสาธารณะในเมืองรอง หรือการตลาด “ลดราคา” ที่อาจล่อหลอก) ทั้งสองกลุ่มสะท้อน หน้าที่พื้นฐานของสื่อ ที่มากกว่า “เล่าเหตุการณ์”—แต่คือการ เรียกร้องคำอธิบาย และ ผลักดันการเปลี่ยนแปลง ในเชิงนโยบาย เมื่อผนวกกับกระบวนการ ตรวจสอบข้อเท็จจริง และการเล่าเรื่องที่เข้าใจง่าย ก็ยิ่งเพิ่มโอกาสที่ข่าวจะ “เดินทาง” ไปถึงผู้กำหนดนโยบายและสาธารณะในวงกว้างมากขึ้น

อนาคตห้องข่าวไทย: ทรานส์ฟอร์มด้วยวินัย–ข้อมูล–และหัวใจข่าว

บทสรุปของค่ำบ่ายวันนี้อาจเรียบง่ายแต่ทรงพลัง: AI ทำให้เร็วขึ้น แต่ความจริงต้องทำให้ชัดขึ้น ห้องข่าวจำเป็นต้องยึด “วินัยข้อมูล” ทั้งในเชิงวิธีวิทยา (method) และจริยธรรม (ethics) หัวใจของข่าวยังคงอยู่ที่คน—คนที่ลงพื้นที่–สัมภาษณ์–ตรวจเอกสาร–เล่าเรื่องและตีความเพื่อสาธารณะ รางวัลครั้งนี้จึงไม่ใช่ “งานฉลอง” อย่างเดียว แต่เป็น สัญญาประชาคมของวิชาชีพ ว่าจะเดินหน้าผลิตข่าวที่มีคุณค่า น่าเชื่อถือ และตรวจสอบได้—เพื่อให้การตัดสินใจของผู้คนและชุมชนตั้งอยู่บนข้อมูลที่ดีที่สุด

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
EDITORIAL

Gen Z หนักสุด ใช้เวลา 12 ชั่วโมงต่อวัน! วิกฤตจอสมาร์ตโฟน-ความโหยหาสังคมยุค 90

วิกฤตจอสมาร์ตโฟน ผลสำรวจชี้คนใช้เวลา 88 วันต่อปีจ้องหน้าจอ สะท้อนความเหงาและความโหยหาวิถีสังคมแบบยุค 90

25 กันยายน 2568 – ลองนึกภาพถ้าคุณตื่นขึ้นมาด้วยเสียงแจ้งเตือนจากโทรศัพท์มือถือที่ดังไม่ขาดสาย ขณะที่มือยังง่วงงุน คุณคว้ามันขึ้นมากดดูข้อความจากเพื่อนในกลุ่มแชท สไลด์นิ้วผ่านฟีดข่าวสารที่ไหลทะลัก แล้วกว่าจะวางลง ก็ล่วงเลยไปเกือบชั่วโมงโดยไม่รู้ตัว จากนั้นคือการเดินทางไปทำงาน ท่ามกลางรถติดยาวเหยียด คุณเลื่อนดูวิดีโอสั้นๆ เพื่อฆ่าเวลา จนกระทั่งถึงออฟฟิศ ที่ซึ่งอีเมลและการประชุมออนไลน์รอคอยอยู่ และเมื่อค่ำคืนมาเยือน คุณนั่งลงกับมื้อเย็นคนเดียว แต่สายตายังคงจับจ้องที่หน้าจอ รอคอยไลก์และคอมเมนต์จากโพสต์ล่าสุด

นี่ไม่ใช่เรื่องแต่ง แต่เป็นภาพสะท้อนชีวิตประจำวันของผู้คนนับล้านทั่วโลกในยุคดิจิทัลที่เรากำลังเผชิญอยู่ ผลสำรวจระดับโลกฉบับล่าสุดที่เพิ่งเผยแพร่ ได้เปิดม่านให้เห็นตัวเลขที่น่าตกใจ: โดยเฉลี่ยแล้ว ผู้ใหญ่ทั่วโลกใช้เวลาไปกับการจ้องหน้าจอสมาร์ตโฟนมากถึง 5 ชั่วโมง 48 นาทีต่อวัน ซึ่งหากบวกรวมทั้งปี จะเท่ากับการสูญเสียเวลาไปถึง 88 วัน หรือเกือบหนึ่งในสี่ของปีทั้งปีไปกับการเลื่อนนิ้วบนหน้าจอเพียงอย่างเดียว ตัวเลขนี้ไม่ได้มาจากการคาดเดา แต่มาจากการศึกษาที่ครอบคลุมผู้ใหญ่ 17,000 คน จาก 9 ประเทศ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร สเปน เวียดนาม แอฟริกาใต้ บราซิล เยอรมนี อินเดีย และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ โดยมีบริษัท Heineken เป็นผู้สนับสนุนหลัก และ OnePoll บริษัทวิจัยตลาดชั้นนำเป็นผู้ดำเนินการสำรวจ

ผลสำรวจนี้ไม่เพียงชี้ให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม

ตัวเลข 88 วันนี้ ไม่ใช่แค่ตัวเลขแห้งๆ แต่เป็นสัญญาณเตือนภัยที่กำลังสั่นสะเทือนรากฐานของสังคมมนุษย์ มันชวนให้เราคิด: ถ้าเราเสียเวลาเกือบสามเดือนต่อปีไปกับการจ้องหน้าจอ แล้วเวลาที่เหลือสำหรับการสนทนาหน้าต่อหน้า การเดินเล่นในสวนสาธารณะ หรือแม้แต่การนั่งมองท้องฟ้ากับครอบครัวล่ะ? ผลสำรวจนี้ไม่เพียงชี้ให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม แต่ยังขุดลึกเข้าไปในปมปัญหาที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังความสะดวกสบายของเทคโนโลยี—ความเหงาที่เพิ่มพูน ความกดดันที่มองไม่เห็น และความโหยหาอดีตที่เคยเรียบง่ายกว่า

เพื่อให้เข้าใจให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น เรามาเริ่มต้นจากจุดกำเนิดของเรื่องราวนี้กันเถอะ ทุกอย่างเริ่มต้นจากความตั้งใจของ Heineken ที่ต้องการสำรวจ “ความสุขที่แท้จริง” ในยุคที่โลกถูกเชื่อมโยงด้วยหน้าจอมากเกินไป บริษัทเครื่องดื่มยักษ์ใหญ่จากเนเธอร์แลนด์นี้ ซึ่งมีประวัติยาวนานกว่า 160 ปีในการส่งเสริมการสังสรรค์แบบ “IRL” (In Real Life) หรือการพบปะในชีวิตจริง ได้ร่วมมือกับ OnePoll เพื่อเก็บข้อมูลตั้งแต่ต้นปี 2568 ผลที่ได้ไม่เพียงยืนยันแนวโน้มที่เราคุ้นเคย แต่ยังเผยให้เห็นถึงความรุนแรงของมัน โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่เติบโตมากับสมาร์ตโฟนเป็นเพื่อนสนิท

มาดูตัวเลขหลักกันก่อน: เวลาเฉลี่ย 5 ชั่วโมง 48 นาทีต่อวัน หรือประมาณ 127,020 นาทีต่อปี นี้ สามารถแยกย่อยได้เป็นกิจกรรมหลากหลาย ตั้งแต่การเช็คโซเชียลมีเดีย การดูวิดีโอสตรีมมิง ไปจนถึงการตอบแชทที่ไม่เคยสิ้นสุด สถิติเหล่านี้ชวนให้เราหยุดนิ่งและไตร่ตรอง—นี่คือเวลาที่เราสูญเสียไปโดยไม่รู้ตัว หรือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าจริงๆ? ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาสังคมหลายคนมองว่านี่คือ “Screen Time Paradox” หรือภาวะย้อนแย้งของเวลาหน้าจอ ที่เทคโนโลยีที่ควรเชื่อมโยงเรากลับทำให้เราห่างเหินจากกันมากขึ้น

คนรุ่นใหม่ที่ควรจะเป็นพลังขับเคลื่อนอนาคต

หากเจาะลึกไปยังกลุ่ม Gen Z (ผู้ที่เกิดระหว่างปี 2538-2547) ซึ่งเป็นกลุ่มที่ใช้สมาร์ตโฟนมากที่สุด พวกเขามีเวลาหน้าจอเฉลี่ยสูงกว่า 6 ชั่วโมงครึ่งต่อวัน และที่น่าตกใจยิ่งกว่าคือ 1 ใน 10 ของกลุ่มนี้—or 10%—ยอมรับว่าติดโทรศัพท์หนักหน่วง จนใช้เวลานานถึง 12 ชั่วโมงต่อวัน นี่ไม่ใช่แค่เรื่องส่วนตัว แต่เป็นแนวโน้มที่ส่งผลกระทบต่อสังคมในวงกว้าง ลองคิดดูสิครับ ถ้าคนรุ่นใหม่ที่ควรจะเป็นพลังขับเคลื่อนอนาคต กลับใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับโลกเสมือน แล้วการพัฒนาทักษะทางสังคมและความสัมพันธ์จริงๆ จะเหลือที่ว่างให้หรือไม่?

ผลสำรวจยังเผยว่า ผู้ใหญ่ 3 ใน 5—or 59%—ยอมรับว่าการใช้เวลากับโทรศัพท์เพิ่มขึ้นในปีที่ผ่านมา สาเหตุหลักมาจากกระแสการแจ้งเตือนที่ไม่เคยหยุดนิ่ง โดย 60% รู้สึกว่าข้อความและน็อติฟิเคชันไหลเวียน “คงที่ตลอดเวลา” ขณะที่เกือบครึ่งหนึ่ง—or 47%—อธิบายตัวเองว่าเป็นคน “ออนไลน์ตลอดเวลา” สถิติเหล่านี้ไม่เพียงสะท้อนพฤติกรรม แต่ยังชี้ถึงความกดดันที่ซ่อนอยู่ ตัวอย่างเช่น ผู้ใหญ่ 52% รู้สึก “ท่วมท้น” จากแรงกดดันที่ต้องอัปเดตโซเชียลมีเดียให้ทัน ไม่ว่าจะเป็นการไลก์โพสต์เพื่อน การรีโพสต์ข่าวสาร หรือแม้แต่การตอบคอมเมนต์ที่ไม่คาดคิด

พบว่าการใช้เวลากับการสังสรรค์ในชีวิตจริงลดลงถึง 35%

จากตรงนี้ เรามาเข้าสู่ปมหลักของเรื่องราว—ความย้อนแย้งที่ทำให้หัวใจของข่าวนี้เต้นแรง: ยิ่งเชื่อมต่อกันทางออนไลน์มากเท่าไหร่ เรากลับยิ่งรู้สึกโดดเดี่ยวมากขึ้นเท่านั้น ผู้ตอบแบบสอบถามถึง 62% ยอมรับว่ารู้สึก “เหงาเป็นบางครั้ง” แม้จะมีแอปพลิเคชันสำหรับแชทและวิดีโอคอลมากมายก็ตาม มันเหมือนกับการนั่งในห้องที่เต็มไปด้วยผู้คน แต่ไม่มีใครมองตากันจริงๆ สถิติจาก Statista บริษัทวิจัยข้อมูลระดับโลก ซึ่ง Heineken อ้างอิงในรายงาน ยังเสริมน้ำหนักให้กับประเด็นนี้ โดยพบว่าการใช้เวลากับการสังสรรค์ในชีวิตจริงลดลงถึง 35% ตลอด 24 ปีที่ผ่านมา ในขณะที่เวลาบนโทรศัพท์เพิ่มขึ้นกว่า 54% นับตั้งแต่การเปิดตัวแพลตฟอร์มอย่าง Instagram ในปี 2010 และ Snapchat ในปี 2011

นี่คือจุดที่เรื่องราวเริ่มเข้มข้นขึ้น ลองนึกถึงคำกล่าวของผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตที่มักพูดถึง “Social Battery” หรือ “แบตเตอรี่ทางสังคม” ซึ่งหมายถึงพลังงานที่เรามีสำหรับการโต้ตอบกับผู้อื่น ผลสำรวจพบว่าผู้ใหญ่กว่าครึ่งหนึ่ง—or 51%—รู้สึกว่าแบตเตอรี่นี้หมดลงอย่างรวดเร็วหลังจากใช้เวลาพูดคุยออนไลน์มากเกินไป และตัวเลขนี้พุ่งสูงถึง 62% ในกลุ่ม Gen Z มันชวนให้เราคิดถึงภาพเด็กวัยรุ่นที่นั่งรวมกลุ่มกันในห้อง แต่ละคนก้มหน้ากดโทรศัพท์ โดยไม่พูดคุยกันสักคำ—นี่คือความเหงาในยุคที่ “เชื่อมต่อ” มากที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษย์

18% ยอมรับว่าถึงขั้นคิดไม่ออกว่าจะนัดเจอใคร

แต่เรื่องราวไม่ได้จบลงด้วยความมืดมนเท่านั้น มันมีแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์—ความโหยหาอดีตที่กำลังกลายเป็นพลังขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลง ผู้ใหญ่ถึง 64% ยอมรับว่าพวกเขารู้สึก “คิดถึง” ยุค 90 สมัยที่ผู้คนนัดเจอกันที่ร้านกาแฟโดยไม่ต้องเช็คอินบนเฟซบุ๊ก สมัยที่การสนทนาเกิดขึ้นแบบตัวต่อตัว ไม่ใช่ผ่านอิโมจิและสติ๊กเกอร์ นี่คือประโยคที่กระตุ้นอารมณ์จากรายงาน: “เรากำลังสูญเสียช่วงเวลาที่แท้จริงของการมีชีวิตอยู่ เพื่อแลกกับภาพลวงตาของการเชื่อมโยง” มันทำให้ผู้อ่านอย่างคุณ—ที่สนใจข่าวเชิงลึกเพื่อนำไปใช้ในชีวิตหรือการทำงาน—ต้องหยุดและไตร่ตรอง: คุณเคยเลื่อนการนัดหมายกับเพื่อนเพราะ “เหนื่อยจากออนไลน์” หรือไม่? ผลสำรวจตอบว่า 32% ของผู้คนเคยทำแบบนั้น และ 18% ยอมรับว่าถึงขั้นคิดไม่ออกว่าจะนัดเจอใคร

เพื่อคลี่คลายปมนี้ เราต้องมองไปยังตัวอย่างจริงจากต่างประเทศที่กำลังกลายเป็นต้นแบบในการแก้ปัญหา มาดูกรณีศึกษาจากญี่ปุ่นกันครับ ซึ่งเป็นประเทศที่เทคโนโลยีล้ำสมัยแต่ก็เผชิญปัญหาเดียวกันนี้อย่างหนัก เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา สภาเทศบาลเมืองโทโยอาเกะ (Toyoake) ในจังหวัดไอจิ ได้ผ่านร่างเทศบัญญัติที่เป็นประเด็นร้อนระดับชาติ โดยแนะนำให้ประชาชนทุกวัยจำกัดการใช้สมาร์ตโฟน เครื่องเล่นเกม วิดีโอคอนโซล และอุปกรณ์ดิจิทัลอื่นๆ ไม่เกิน 2 ชั่วโมงต่อวัน นอกเหนือจากเวลาทำงานและการเรียน แม้จะไม่มีบทลงโทษสำหรับผู้ฝ่าฝืน แต่กฎหมายนี้ถือเป็นมาตรการเชิงสัญลักษณ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในญี่ปุ่น และมีกำหนดบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2568

การนอนหลับที่เพียงพอเป็นสิ่งสำคัญต่อการเติบโตทางร่างกายและจิตใจ

เทศบัญญัตินี้ไม่ได้เกิดจากอากาศธาตุ แต่มาจากความกังวลที่สะสมมานานเกี่ยวกับผลกระทบของการสัมผัสเทคโนโลยีเกินพอดี เช่น การนอนไม่หลับและการลดลงของปฏิสัมพันธ์ในครอบครัว โดยเฉพาะในเด็กและเยาวชน ข้อกำหนดหลักคือ เด็กประถมต้องงดใช้สมาร์ตโฟนหลัง 21:00 น. และเด็กมัธยมต้นขึ้นไปงดหลัง 22:00 น. โดยให้เหตุผลชัดเจนว่า “การนอนหลับที่เพียงพอเป็นสิ่งสำคัญต่อการเติบโตทางร่างกายและจิตใจของเด็กทุกคนอายุต่ำกว่า 18 ปี” นอกจากนี้ ยังเรียกร้องให้ผู้ปกครองกำหนดกฎครัวเรือนสำหรับการใช้อุปกรณ์ และเทศบาลจะตั้งระบบให้คำปรึกษาแก่พ่อแม่ที่ต้องการความช่วยเหลือ

นายกเทศมนตรีมาซาฟุมิ โคคิ (Masafumi Kouki) ได้ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว Kyodo News ว่า “การกำหนดเวลาจำกัด 2 ชั่วโมงต่อวันนี้ มีพื้นฐานมาจากแนวทางการนอนหลับที่ดีของกระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการของญี่ปุ่น ซึ่งคำนวณจากเวลาการใช้งานเฉลี่ยในวันธรรมดา หากเกินกว่านี้ อาจนำไปสู่ภาวะอดนอนที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพโดยรวม” คำกล่าวนี้ไม่เพียงยืนยันถึงความเป็นมืออาชีพของมาตรการ แต่ยังชูประเด็นเด่นว่าปัญหานี้ไม่ใช่เรื่องส่วนบุคคล แต่เป็นวาระระดับนโยบายที่รัฐบาลท้องถิ่นต้องรับผิดชอบ

กรณีของโทโยอาเกะนี้ เป็นจุดเปลี่ยนที่คลี่คลายปมในระดับปฏิบัติการ มันแสดงให้เห็นว่าประเทศที่เคยถูกมองว่า “ติดเทคโนโลยี” สามารถหันหลังให้กับหน้าจอได้ หากมีผู้นำที่กล้าลุกขึ้นกระทำการ แม้จะเป็นเพียงคำแนะนำ แต่ก็จุดประกายให้ชุมชนอื่นๆ ในญี่ปุ่นและทั่วโลกเริ่มถกเถียงกันมากขึ้น ในประเทศไทยเอง เราก็เห็นแนวโน้มคล้ายกัน เช่น การรณรงค์ลดเวลาหน้าจอในโรงเรียน หรือแคมเปญจากกระทรวงสาธารณสุขที่เตือนถึงผลกระทบต่อสุขภาพจิตของเยาวชน แต่ยังขาดมาตรการเชิงโครงสร้างที่ชัดเจนเท่านี้

ฟีดโซเชียลมีเดียจะว่างเปล่า

และที่น่าติดตามยิ่งกว่าคือ การตอบสนองจากภาคเอกชนที่กำลังกลายเป็นส่วนหนึ่งของการคลี่คลาย Heineken ไม่ได้หยุดอยู่แค่การสำรวจ แต่ได้เปิดตัวแคมเปญระดับโลกเพื่อส่งเสริมการสังสรรค์แบบ IRL โดยร่วมมือกับศิลปินดังอย่าง Joe Jonas และอินฟลูเอนเซอร์ชั้นนำ เช่น Dude with Sign, Lil Cherry และ Paul Olima แคมเปญนี้ใช้มุกตลกในการจินตนาการว่า “ถ้าทุกคนออกไปสนุก IRL แล้ว ฟีดโซเชียลมีเดียจะว่างเปล่า” เพื่อกระตุ้นให้ผู้คนวางโทรศัพท์ลงและหันมาพบปะกันจริงๆ มันต่อยอดจากแคมเปญก่อนหน้าอย่าง “The Boring Phone” และ “Forgotten Beers” ที่ส่งเสริมการดื่มและสนทนาแบบออฟไลน์ รวมถึงการลงทุนกว่า 39 ล้านปอนด์ในการฟื้นฟูผับเก่า 62 แห่งในสหราชอาณาจักร

ถ้าเราใช้เวลา 88 วันต่อปีกับหน้าจอ แล้วอีก 277 วันที่เหลือ

สัญญาณเชิงบวกจากผลสำรวจยังมีอีกมาก: ถึง 79% ของผู้ตอบแบบสอบถามยอมรับว่าพวกเขาดูโทรศัพท์น้อยลงเมื่ออยู่กับเพื่อนในชีวิตจริง และเกือบหนึ่งในสี่—or 25%—เคยพยายามนัดเจอเพื่อนเพื่อลดเวลาหน้าจอ นี่คือจุดที่เรื่องราวของเรามาถึงการคลี่คลาย—ไม่ใช่การต่อต้านเทคโนโลยีทั้งหมด แต่เป็นการสร้างสมดุลที่ยั่งยืน มันชวนให้เราคิด: ถ้าเราใช้เวลา 88 วันต่อปีกับหน้าจอ แล้วอีก 277 วันที่เหลือ เราจะใช้มันอย่างไรให้คุ้มค่าที่สุด?

ในท้ายที่สุด วิกฤตนี้ชี้ให้เห็นถึงบทเรียนสำคัญสำหรับทุกภาคส่วน การสร้างความตระหนักรู้ โดยเฉพาะในกลุ่ม Gen Z ผ่านการรณรงค์และการศึกษา ควรเป็นจุดเริ่มต้น จากนั้นคือการพัฒนานโยบายพื้นที่ปลอดจอ เช่น สวนสาธารณะหรือศูนย์ชุมชนที่ออกแบบมาเพื่อกระตุ้นปฏิสัมพันธ์จริงๆ และสุดท้าย ภาคธุรกิจอย่าง Heineken สามารถเป็นพันธมิตร โดยสนับสนุนกิจกรรมที่เน้น IRL เพื่อสร้างความสมดุลระหว่างโลกออนไลน์และออฟไลน์

เรื่องราวของ “88 วันที่สูญเสีย” นี้ ไม่ใช่จุดจบ แต่เป็นจุดเริ่มต้นของการตื่นตัว หากเราลุกขึ้นมาทำตามสัญญาณเหล่านี้ สังคมของเราจะกลับมาสดชื่นและเชื่อมโยงกันอย่างแท้จริง—ไม่ใช่ผ่านสายเคเบิล แต่ผ่านรอยยิ้มและการสัมผัสที่อบอุ่น

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • Heineken Global Report on Screen Time and Socializing, 2025 (สนับสนุนและเผยแพร่โดย The HEINEKEN Company, ดำเนินการสำรวจโดย OnePoll)
  • Statista Global Research on Socializing Trends, 2024-2025 (วิเคราะห์ข้อมูลเสริมโดย Statista GmbH)
  • Kyodo News: “Toyoake City Passes Ordinance Limiting Smartphone Use” (สัมภาษณ์นายกเทศมนตรี Masafumi Kouki, เผยแพร่ 23 กันยายน 2568)
  • Ministry of Health, Labour and Welfare, Japan: Healthy Sleep Guidelines, 2024
  •  
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
WORLD PULSE

เวียดนามพุ่งทะลุเป้า! เครื่องยนต์ไฮเทคขับเคลื่อน GDP แซงไทยผู้นำภูมิภาค

เศรษฐกิจเวียดนามผงาด เครื่องยนต์ไฮเทคขับเคลื่อนทะลุเป้า ส่งออกโตกระฉูด ‘แซงไทย’ พร้อมก้าวขึ้นแท่นผู้นำภูมิภาค”

ฮานอย เวียดนาม, 7 กรกฎาคม 2568 –Reporter Journey รายงานว่าการผงาดขึ้นของเศรษฐกิจเวียดนามในปี 2025 กลายเป็นประเด็นจับตาของทั้งภูมิภาคอาเซียนและเศรษฐกิจโลก หลังสำนักงานสถิติแห่งชาติเวียดนาม (NSO) เผยตัวเลขไตรมาส 2 ปี 2025 ว่า GDP เวียดนามขยายตัวสูงถึง 7.96% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) ขณะที่ GDP ไตรมาสแรกอยู่ที่ 6.93% ถือเป็นอัตราเติบโตที่สูงสุดในกลุ่มประเทศอาเซียน สะท้อนถึงพลังการขับเคลื่อนของภาคอุตสาหกรรมและส่งออกซึ่งเป็น “เครื่องยนต์หลัก” ของเวียดนาม

ขับเคลื่อนด้วยการส่งออก เบื้องหลังสถิติที่น่าทึ่ง

รายงานล่าสุดระบุว่า มูลค่าการส่งออกของเวียดนามในช่วงไตรมาส 2 ปี 2025 พุ่งขึ้น 18.0% อยู่ที่ 117,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขณะที่การนำเข้าขยายตัว 18.8% อยู่ที่ 112,000 ล้านดอลลาร์ ทำให้เวียดนามยังคงรักษาสถานะ “เกินดุลการค้า” ได้ถึง 4,410 ล้านดอลลาร์ สร้างความเชื่อมั่นในศักยภาพการแข่งขันของสินค้าเวียดนามในตลาดโลกอย่างต่อเนื่อง

ที่สำคัญ ภาคการผลิต ขยายตัวถึง 10.3% ในไตรมาสเดียวกัน สวนกระแสความท้าทายทางเศรษฐกิจโลกในยุคหลังโควิด-19 และวิกฤตภูมิรัฐศาสตร์

พระเอกของเกม อุตสาหกรรมไฮเทค-เซมิคอนดักเตอร์และบทบาทต่างชาติ

จุดเปลี่ยนสำคัญของเวียดนามในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา คือการยกระดับภาคการผลิตให้เข้าสู่อุตสาหกรรมไฮเทคและเซมิคอนดักเตอร์ บริษัทข้ามชาติรายใหญ่ เช่น Samsung ได้ตั้งโรงงานขนาดใหญ่ในเวียดนามจนปัจจุบันมือถือ Samsung กว่า 60% ที่จำหน่ายทั่วโลก ผลิตจากเวียดนาม ขณะที่ Apple ก็ขยับฐานการผลิต iPhone และ iPad จากจีนมายังเวียดนามอย่างต่อเนื่อง

บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์และเซมิคอนดักเตอร์ เช่น Foxconn, Nvidia, Intel ต่างเข้ามาตั้งโรงงานเพื่อผลิตไมโครชิปและชิ้นส่วนส่งออกไปตลาดโลก ส่งผลให้มูลค่าการส่งออกปี 2024 ของเวียดนามพุ่งแตะ 403,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เติบโตสูงถึง 13.8% แซงหน้าประเทศไทยซึ่งมีมูลค่าการส่งออกในปีเดียวกันที่ 305,529 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขยายตัวเพียง 5.4% ชี้ให้เห็นถึงโครงสร้างเศรษฐกิจที่เอื้อต่ออุตสาหกรรมมูลค่าสูงของเวียดนาม

จุดเปลี่ยนสำคัญ สหรัฐฯ ลดภาษีนำเข้า หนุนการค้าเวียดนามสู่โลก

การเติบโตอย่างก้าวกระโดดของเวียดนามไม่ได้เกิดขึ้นจากการบริหารจัดการภายในประเทศเพียงอย่างเดียว แต่ยังได้รับแรงหนุนจากปัจจัยภายนอกที่สำคัญ เช่น ข้อตกลงกับสหรัฐอเมริกาในการ ลดภาษีนำเข้าสินค้าเวียดนามจาก 46% เหลือเพียง 20% ขณะที่สินค้าจากประเทศอื่นยังเสียภาษีถึง 40% นอกจากนี้ สหรัฐฯ ยังอนุญาตให้ส่งสินค้าเข้าสู่ตลาดเวียดนามโดยไม่เสียภาษีอีกด้วย

นักวิเคราะห์เศรษฐกิจประเมินว่าข้อตกลงนี้เปรียบเสมือน “ใบเบิกทาง” ให้ภาคธุรกิจเวียดนามขยายตลาดไปยังสหรัฐฯ ได้มากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และไฮเทค ซึ่งเป็นตลาดส่งออกหลักของเวียดนามอยู่แล้ว สะท้อนจากสถิติปี 2024 ที่สหรัฐฯ ขาดดุลการค้ากับเวียดนามถึง 123,000 ล้านดอลลาร์ สูงสุดในประวัติการณ์

รายได้ต่อหัวพุ่งแรง เวียดนามแคบช่องว่างกับไทย-อินโดนีเซีย

ผลพวงจากการพัฒนาโครงสร้างเศรษฐกิจเชิงรุก ทำให้ รายได้ต่อหัว (GNI per capita) ของชาวเวียดนามในปี 2025 ขยับขึ้นเป็น 4,806 ดอลลาร์/ปี (จาก 4,540 ดอลลาร์ในปี 2024) ใกล้เคียงกับอินโดนีเซียซึ่งอยู่ที่ 5,027 ดอลลาร์/ปี และเป็นอัตราการเติบโตของรายได้ประชาชาติที่เร็วที่สุดในอาเซียน

เทียบกับไทย แม้ว่ารายได้ต่อหัวของไทยในปี 2025 จะคาดว่าอยู่ที่ 7,766.7 ดอลลาร์/ปี แต่แนวโน้มการแคบช่องว่างชัดเจน เมื่อรายได้ต่อหัวเวียดนามคิดเป็น 62% ของไทย และยังมีแนวโน้มเติบโตเร็วกว่าหลายประเทศในภูมิภาคนี้

การวิเคราะห์โอกาสและความท้าทายข้างหน้า

ปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญ

  • นโยบายดึงดูด FDI เชิงรุก: เวียดนามตั้งเป้าเป็น “ศูนย์กลางการผลิตโลกใหม่” ด้วยแพ็กเกจจูงใจด้านภาษี สิทธิประโยชน์ทางธุรกิจ และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน
  • แรงงานคุณภาพ-ค่าแรงแข่งขัน: เวียดนามมีแรงงานหนุ่มสาวจำนวนมาก ต้นทุนค่าแรงต่ำแต่ศักยภาพสูง ดึงดูดบริษัทเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมต่อเนื่อง
  • ความคล่องตัวของรัฐบาล: รัฐบาลเวียดนามบริหารจัดการเชิงรุก มีความยืดหยุ่นสูงในการรับมือวิกฤต

ความท้าทายที่ต้องระวัง

  • ความเหลื่อมล้ำและค่าแรง: แม้ภาพรวมเศรษฐกิจเติบโตแต่ยังมีช่องว่างระหว่างเมืองกับชนบท และความเหลื่อมล้ำด้านรายได้
  • แรงกดดันจากภูมิรัฐศาสตร์: การแข่งขันด้านเทคโนโลยีระหว่างจีน-สหรัฐฯ อาจส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานของเวียดนามในอนาคต
  • สิ่งแวดล้อมและสังคม: อุตสาหกรรมไฮเทคสร้างแรงกดดันต่อทรัพยากรธรรมชาติและระบบนิเวศ
  • ทักษะแรงงานในอนาคต: เวียดนามจำเป็นต้องลงทุนในการพัฒนาแรงงานทักษะสูงและการศึกษา เพื่อรองรับอุตสาหกรรมมูลค่าสูง

เวียดนามกำลังกลายเป็น “ดาวรุ่ง” แห่งเศรษฐกิจเอเชีย

กรณีศึกษาของเวียดนามในไตรมาส 2 ปี 2025 สะท้อน “ยุทธศาสตร์เชิงรุก” ของรัฐบาลในการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจให้รองรับโลกใหม่ได้อย่างคล่องตัว ไม่เพียงแต่ยึดครองตลาดอิเล็กทรอนิกส์และไฮเทคระดับโลก แต่ยังขยับรายได้ประชาชาติต่อหัวแซงหน้าประเทศกำลังพัฒนาในภูมิภาค เป็นบทเรียนสำคัญว่าประเทศขนาดกลางก็สามารถ “ผงาดขึ้น” ได้ถ้าปรับตัวทันต่อเศรษฐกิจโลกที่เปลี่ยนเร็ว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานสถิติแห่งชาติเวียดนาม (NSO)
  • ธนาคารโลก (World Bank)
  • ข้อมูลประกอบจากสำนักข่าวระดับนานาชาติ เช่น Nikkei Asia, Reuters, VnExpress, BBC Vietnamese
  • วิเคราะห์โดยทีมข่าวเศรษฐกิจ สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

ปภ. ทดสอบ Cell Broadcast เตือนภัยไว ส่งตรงมือถือ True

ปภ. ทดสอบ Cell Broadcast เต็มรูปแบบ ย้ำประสิทธิภาพสูง หวังยกระดับระบบเตือนภัยไทยเทียบมาตรฐานโลก

กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเร่งเดินหน้าระบบ Cell Broadcast ร่วมผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์มือถือ 3 ค่ายหลัก

กรุงเทพมหานคร – วันที่ 4 เมษายน 2568 เวลา 14.00 น. ณ ศูนย์ปฏิบัติการเครือข่ายอัจฉริยะ (BNIC) บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) นายภาสกร บุญญลักษม์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) พร้อมคณะผู้บริหารระดับสูง และผู้แทนจาก กสทช. กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (DE) ร่วมทดสอบระบบแจ้งเตือนภัยด้วย Cell Broadcast (CBS) ผ่านเครือข่าย True อย่างเป็นทางการ

การทดสอบดังกล่าวเป็นการจำลองเหตุการณ์ภัยพิบัติที่ต้องการความเร่งด่วนในการแจ้งเตือนประชาชนให้ได้รับข้อมูลโดยเร็วที่สุด ซึ่งจากการทดสอบ พบว่า CBS สามารถส่งข้อความแจ้งเตือนภัยไปยังโทรศัพท์มือถือทุกเครื่องในพื้นที่ได้อย่างทันที ทั้งระบบ iOS และ Android โดยไม่ต้องพึ่งพาสัญญาณอินเทอร์เน็ตหรือแอปพลิเคชันเพิ่มเติม

Cell Broadcast คืออะไร ทำไมจึงสำคัญยิ่งในยุคภัยพิบัติถี่ขึ้น

Cell Broadcast คือระบบส่งข้อความเตือนภัยแบบกระจายสัญญาณผ่านเสาสัญญาณโทรศัพท์มือถือ โดยสามารถส่งข้อความไปยังโทรศัพท์มือถือทุกเครื่องในพื้นที่เป้าหมายพร้อมกันในทันที ข้อดีสำคัญ ได้แก่:

  • แจ้งเตือนแม้โทรศัพท์อยู่ในโหมดเงียบ
  • ไม่จำเป็นต้องเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต
  • ไม่ต้องลงแอปพลิเคชัน
  • ส่งข้อความได้พร้อมกันแบบไม่จำกัดจำนวน
  • เจาะจงพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบได้อย่างแม่นยำ

ซึ่งระบบนี้เป็นเครื่องมือสำคัญในการลดความเสียหายจากภัยพิบัติ ทั้งแผ่นดินไหว น้ำท่วม สึนามิ พายุ หรือแม้แต่การก่อการร้าย

ความร่วมมือ 3 ค่ายมือถือใหญ่ ผลักดันระบบ CBS ให้ครอบคลุม

หลังการประชุมร่วมกับผู้ให้บริการเครือข่ายทั้ง 3 ราย ได้แก่ AIS, True, และ NT ได้มีข้อตกลงในหลักการร่วมกันเพื่อเดินหน้าพัฒนาระบบ CBS ให้สามารถใช้งานได้จริงในระดับประเทศ โดยขณะนี้ ทุกค่ายได้ติดตั้งระบบ CBC (Cell Broadcast Center) แล้วเสร็จ เหลือเพียงหน่วยงานภาครัฐโดยเฉพาะ CBE (Cell Broadcast Entity) ซึ่ง ปภ. อยู่ระหว่างการพัฒนาและทดสอบขั้นสุดท้าย

ผลการทดสอบล่าสุด ยืนยันระบบพร้อมใช้งานจริง

นายภาสกร ระบุว่า การทดสอบในวันนี้แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพของระบบ CBS อย่างชัดเจน และถือเป็นก้าวสำคัญของประเทศไทยในการนำเทคโนโลยีแจ้งเตือนภัยที่ทั่วโลกยอมรับมาใช้ ซึ่งหากระบบสามารถดำเนินการครบทั้ง CBC และ CBE ได้อย่างสมบูรณ์ ไทยจะสามารถเปิดใช้งาน CBS ทั่วประเทศได้ในเร็ววัน

นอกจากนี้ ปภ. ยังวางแผนจัดทำ แนวปฏิบัติ (SOP) สำหรับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้มีความเข้าใจตรงกันในการส่งข้อความแจ้งเตือนภัย และสามารถทำงานร่วมกันได้อย่างมีเอกภาพเมื่อเกิดเหตุจริง

SMS vs Cell Broadcast ทำไมไทยต้องเปลี่ยน?

แม้ปัจจุบันประเทศไทยยังคงใช้ SMS เป็นหลักในการแจ้งเตือนภัย แต่ SMS มีข้อจำกัดชัดเจนหลายประการ เช่น:

  • ส่งได้ช้า เพราะต้องส่งทีละหมายเลข
  • มีข้อจำกัดเรื่องปริมาณการส่งพร้อมกัน
  • ไม่มีเสียงเตือนพิเศษ
  • ต้องอาศัยฐานข้อมูลผู้ใช้งาน

ในขณะที่ CBS สามารถทำงานได้ทันทีในระดับ “Broadcast” ทำให้ผู้ใช้ในพื้นที่เสี่ยงได้รับการแจ้งเตือนพร้อมกันแบบเรียลไทม์

ตัวอย่างต่างประเทศ ญี่ปุ่น-สหภาพยุโรป ประสบความสำเร็จจาก CBS

  • ญี่ปุ่น ใช้ระบบ J-Alert ซึ่งส่งข้อความผ่าน CBS ไปยังมือถือทุกเครื่องในพื้นที่ภัยพิบัติ พร้อมเสียงเตือนพิเศษ มีการใช้งานอย่างแพร่หลายตั้งแต่ปี 2550
  • เนเธอร์แลนด์ ใช้ระบบ NL-Alert สำหรับแจ้งเตือนน้ำท่วมฉับพลัน
  • ฝรั่งเศส ใช้ระบบ FR-Alert แจ้งเตือนการก่อการร้ายหรือภัยสาธารณะ

ทุกประเทศระบุว่า CBS ช่วยลดความตื่นตระหนก และเพิ่มโอกาสในการรอดชีวิตของประชาชนได้อย่างชัดเจน

ทัศนคติจากสองมุมมอง เทคโนโลยีที่ตอบโจทย์หรือยังไม่ครอบคลุม?

ฝ่ายสนับสนุน CBS เห็นว่า เป็นเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในขณะนี้ ใช้งานง่าย ไม่ต้องพึ่งแอปพลิเคชัน และสามารถแจ้งเตือนแบบเจาะจงพื้นที่ ช่วยลดความสูญเสียได้จริง และเชื่อว่าจะเปลี่ยนแปลงระบบเตือนภัยของไทยได้อย่างพลิกโฉม

ขณะที่ฝ่ายกังวล ตั้งข้อสังเกตว่า แม้ CBS จะดีเยี่ยม แต่ยังมีช่องว่าง เช่น ประชาชนที่ไม่มีโทรศัพท์มือถือ เด็ก ผู้สูงอายุในพื้นที่ห่างไกล หรือผู้ที่ไม่ชำนาญเทคโนโลยี อาจไม่ได้รับแจ้งเตือนอย่างทันท่วงที จึงเสนอให้รัฐผสาน CBS กับระบบแจ้งเตือนแบบเดิม เช่น วิทยุ ลำโพงชุมชน หรือทีวี เพื่อความครอบคลุมสูงสุด

ทางออก “Multi-Channel Alert System” ผสานหลายช่องทางสู่ระบบเตือนภัยแบบยั่งยืน

ผู้เชี่ยวชาญจาก United Nations Office for Disaster Risk Reduction (UNDRR) แนะนำว่า ประเทศกำลังพัฒนาควรใช้ ระบบแจ้งเตือนหลายช่องทาง (Multi-Channel Alert System) เพื่อครอบคลุมประชากรทุกกลุ่ม เช่น:

  • Cell Broadcast สำหรับมือถือ
  • ลำโพงประกาศสาธารณะในชุมชน
  • SMS สำหรับสำรองข้อมูล
  • วิทยุชุมชนและโทรทัศน์

สถิติและข้อมูลที่เกี่ยวข้อง

  • ปัจจุบัน กว่าร้อยละ 92 ของประชากรไทย มีโทรศัพท์มือถือ (ที่มา: สำนักงานสถิติแห่งชาติ, 2567)
  • ประเทศที่ใช้งาน Cell Broadcast อย่างเป็นทางการ: ญี่ปุ่น, เนเธอร์แลนด์, เยอรมนี, ฝรั่งเศส, เกาหลีใต้, สหรัฐอเมริกา ฯลฯ (ที่มา: UNDRR, 2567)
  • ไทยมีแผนเปิดใช้งาน Cell Broadcast ทั่วประเทศภายใน ไตรมาส 3 ปี 2568 (ที่มา: กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย)
  • เหตุแผ่นดินไหวที่มีผลกระทบถึงไทยจากประเทศเพื่อนบ้าน มีเฉลี่ยปีละ 2–3 ครั้ง (ที่มา: กรมอุตุนิยมวิทยา)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.)
  • บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)
  • กสทช.
  • กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
  • UNDRR
  • ITU
  • Japan Meteorological Agency
  • European Commission
  • Dutch Government
  • Cabinet Office of Japan
  • สำนักสถิติแห่งชาติ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

สนามบินเชียงราย รวดเร็วบริการ มุ่งหน้าเตรียมพร้อมสำหรับฤดูฝน

พัฒนา “ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย” สู่สนามบินกะทัดรัดและสะดวกสบาย

มุ่งสู่สนามบินยุคใหม่: Compact and Convenient Airport

เชียงราย, 3 เมษายน 2568 – นาวาอากาศตรีสมชนก เทียมเทียบรัตน์ ผู้อำนวยการท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย เปิดเผยแผนพัฒนาเชิงรุกของท่าอากาศยานฯ โดยมุ่งเน้นสู่การเป็น “สนามบินกะทัดรัดและสะดวกสบาย” (Compact and Convenient Airport) เพื่อยกระดับประสบการณ์ของผู้โดยสารทั้งในด้านความเร็ว ความปลอดภัย และความพึงพอใจสูงสุด

ยกระดับประสบการณ์ด้วยเทคโนโลยีอัจฉริยะ

หนึ่งในแผนสำคัญคือการนำระบบพิสูจน์อัตลักษณ์บุคคลด้วยเทคโนโลยี Facial Recognition มาใช้ในกระบวนการระบุตัวตน ช่วยลดระยะเวลาในการตรวจสอบ เพิ่มความคล่องตัว และลดความแออัดภายในสนามบินอย่างเห็นได้ชัด

บริการครบครัน สะดวกสบายทุกการเดินทาง

ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย เพิ่มสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง เช่น จุดชาร์จแบตเตอรี่, ฟรี Wi-Fi, มุมพักผ่อนและพื้นที่ทำงาน (Work Station) เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้โดยสารในยุคดิจิทัล

การจัดการน้ำท่วม: ความพร้อมรับมือภัยธรรมชาติ

ในช่วงฤดูฝนที่กำลังจะมาถึง ท่าอากาศยานฯ ได้วางแผนล่วงหน้าในการขุดลอกคลองรอบพื้นที่เขตการบินอย่างจริงจัง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำ ลดความเสี่ยงน้ำท่วมสนามบิน โดยการดำเนินการนี้ได้เริ่มตั้งแต่ต้นเดือนเมษายน ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมในการทำงานโดยไม่มีฝนตกเป็นอุปสรรค

คลองระบายน้ำ: เส้นเลือดหลักของการป้องกัน

เมื่อการขุดลอกเสร็จสิ้น ระบบระบายน้ำรอบสนามบินจะสามารถรองรับปริมาณน้ำจำนวนมากได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในช่วงฤดูมรสุม ซึ่งมีโอกาสเกิดน้ำหลากหรืออุทกภัยสูง

จากภาพแสดงให้เห็นว่า ถนนด้านขวาทำหน้าที่เสมือน “เขื่อน” ป้องกันน้ำ ขณะที่คลองด้านซ้ายมีหน้าที่ระบายน้ำออกจากพื้นที่ หากทั้งสองระบบทำงานอย่างสมบูรณ์ จะสามารถป้องกันไม่ให้น้ำไหลเข้าสู่เขตการบินได้อย่างมีประสิทธิภาพ

บทเรียนจากเหตุการณ์อุทกภัยที่ผ่านมา

จากเหตุการณ์น้ำหลากครั้งใหญ่เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2567 ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ได้แสดงให้เห็นถึงความพร้อมในการรับมือภัยพิบัติ ระบบระบายน้ำที่เตรียมล่วงหน้าไว้ตั้งแต่เดือนเมษายน ปีเดียวกัน ช่วยป้องกันไม่ให้น้ำทะลักเข้าสู่เขตการบิน แม้ระดับน้ำแม่น้ำกกจะพุ่งสูงสุดก็ตาม

แม้บ้านพักพนักงานจะได้รับผลกระทบบางส่วน แต่เขตการบินกลับปลอดภัย และยังมีแผนสำรองพร้อมรองรับ เช่น การนำน้ำเข้าสู่ทะเลสาบ 200 ไร่ ด้านทิศใต้ ซึ่งไม่จำเป็นต้องใช้ในครั้งนั้น แสดงถึงความพร้อมและความยืดหยุ่นของระบบอย่างชัดเจน

บริหารความเสี่ยงอย่างเป็นระบบ

นาวาอากาศตรีสมชนก เน้นย้ำว่า Risk Management เป็นหัวใจสำคัญในการรับมือภัยธรรมชาติ ตั้งแต่การประเมินสถานการณ์ การเตรียมแผนล่วงหน้า การประเมินความเสี่ยง (Worst Case Scenario) ตลอดจนการสื่อสารกับชุมชนเพื่อสร้างความเข้าใจร่วมกันว่า สนามบินตั้งอยู่ในพื้นที่สูง มีระบบระบายน้ำดี จึงไม่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยที่ผ่านมา

แนวทางพัฒนาอย่างยั่งยืนและใส่ใจชุมชน

การขุดลอกคลองไม่ได้เป็นเพียงการป้องกันน้ำท่วม แต่ยังเป็นหนึ่งในแผนพัฒนาอย่างยั่งยืน (Sustainable Development) ที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม การจัดการทรัพยากรน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ และการสร้างความร่วมมือกับชุมชน

ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ให้ความสำคัญกับทุกภาคส่วน โดยเฉพาะผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในพื้นที่ เพื่อให้เกิดประโยชน์ร่วมกันระหว่างสนามบินกับชุมชนโดยรอบ

บทสรุปและมุมมองอย่างเป็นกลาง

การพัฒนาท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ในครั้งนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญที่ไม่เพียงยกระดับสนามบินให้ทันสมัย แต่ยังสะท้อนถึงการบริหารจัดการเชิงรุกที่มุ่งมั่นเพื่อความปลอดภัย ความสะดวกสบาย และการพัฒนาอย่างยั่งยืน

ฝ่ายสนับสนุน มองว่า การปรับปรุงสนามบินทั้งด้านโครงสร้างและระบบต่าง ๆ เป็นสิ่งจำเป็นต่อการรองรับผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้น และสอดคล้องกับมาตรฐานสากล

ฝ่ายห่วงใยสิ่งแวดล้อม ให้ความเห็นว่า ควรมีการติดตามผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการขุดลอกคลองซึ่งอาจกระทบต่อระบบนิเวศในระยะยาว

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  • ปริมาณผู้โดยสารที่ใช้บริการท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ปี 2567: กว่า 1.3 ล้านคน (ที่มา: กรมท่าอากาศยาน)
  • ความสามารถในการระบายน้ำสูงสุดของระบบรอบสนามบิน: ประมาณ 5,000 ลูกบาศก์เมตร/ชั่วโมง
  • ระดับน้ำสูงสุดจากแม่น้ำกกเมื่อ 11 ก.ย. 2567: เพิ่มขึ้นจากค่าปกติกว่า 2.3 เมตร (ข้อมูลจากสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • กรมท่าอากาศยาน, www.airports.go.th
  • สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ
  • สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
FEATURED NEWS

รู้ทันสื่อ AI! กองทุนสื่อฯ เร่งสร้างภูมิคุ้มกันทั่วประเทศ

กองทุนพัฒนาสื่อฯ เร่งสร้าง “ภูมิคุ้มกันทางสื่อ” เผยบทสรุปเสวนาสัญจร “รู้จัก รู้ใช้ รู้ทัน รู้รอบสื่อ AI” ทั้ง 5 ภูมิภาค

นนทบุรี,27 มีนาคม 2568 – กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ จัดงานสรุปผลการรู้เท่าทันและเฝ้าระวังสื่อ ประจำปี 2568 ภายใต้แนวคิด รู้จัก รู้ใช้ รู้ทัน รู้รอบสื่อ AI” ณ ห้องไดมอนด์รูม 2 ชั้น 4 โรงแรมแกรนด์ริชมอนด์ จังหวัดนนทบุรี โดยมีผู้เชี่ยวชาญจากหลากหลายภาคส่วนเข้าร่วมแบ่งปันองค์ความรู้และเสนอแนวทางการป้องกันภัยจากสื่อ AI เพื่อยกระดับการใช้สื่ออย่างมีสติและปลอดภัยในสังคมไทย

บทบาทของ AI และความสำคัญของการรู้เท่าทันสื่อ

ดร.สรวงมณฑ์ สิทธิสมาน ประธานอนุกรรมการเกี่ยวกับการเฝ้าระวังสื่อที่ไม่ปลอดภัยและไม่สร้างสรรค์ เปิดเผยว่า การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์ (AI) ได้ส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตของประชาชนอย่างกว้างขวาง ไม่ว่าจะเป็นการใช้ AI ในการผลิตเนื้อหา การวิเคราะห์ข้อมูล หรือแม้แต่การสร้างข่าวปลอม ดังนั้นการรู้เท่าทันสื่อจึงเป็น ทักษะสำคัญที่ทุกคนควรมี โดยเฉพาะเด็ก เยาวชน และกลุ่มเปราะบางในสังคม

“สื่อไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือในการสื่อสารอีกต่อไป แต่กลายเป็นพลังสำคัญที่กำหนดทิศทางความคิด ความเชื่อ และพฤติกรรมของสังคม” — ดร.สรวงมณฑ์ สิทธิสมาน

เสวนาสัญจร 5 ภูมิภาค: การเรียนรู้ผ่านการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น

ในปี 2567 กองทุนพัฒนาสื่อฯ ได้จัด เสวนาสัญจรทั้ง 5 ภูมิภาค เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้และความคิดเห็นเกี่ยวกับการรู้เท่าทันสื่อ โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้าง สังคมแห่งการรู้เท่าทันสื่ออย่างยั่งยืน และในปี 2568 ได้มีการจัดเสวนาสัญจรระยะที่ 2 ภายใต้แนวคิด รู้จัก รู้ใช้ รู้ทัน รู้รอบสื่อ AI” เพื่อส่งเสริมความเข้าใจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นเกี่ยวกับการใช้ AI อย่างมีความรับผิดชอบ

หัวข้อการเสวนาและข้อเสนอแนะจากผู้เชี่ยวชาญ

ในงานนี้ มีการจัดเวทีเสวนาในหลากหลายหัวข้อที่เกี่ยวข้องกับการใช้ AI และการรับมือกับภัยจากสื่อ เช่น:

  • TMF Talk: เสวนาเกี่ยวกับการรู้เท่าทันและเฝ้าระวังสื่อ AI โดยมีวิทยากรผู้เชี่ยวชาญจากหลายภาคส่วนร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็น
  • เสวนา “รู้เท่าทัน รู้รอบสื่อ AI”: การป้องกันภัยจากการใช้ AI อย่างไม่ระวัง โดยผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมาย การสื่อสาร และเทคโนโลยี

เสียงสะท้อนจากผู้เข้าร่วมงาน

  • ฝ่ายสนับสนุน: ผู้เข้าร่วมงานส่วนใหญ่เห็นด้วยว่าการจัดเสวนาเช่นนี้เป็น โอกาสสำคัญในการเรียนรู้ และสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับการใช้ AI อย่างปลอดภัย อีกทั้งยังเสริมสร้างความตระหนักรู้ในกลุ่มเยาวชนและผู้สูงอายุที่อาจขาดความเข้าใจเกี่ยวกับเทคโนโลยี AI
  • ฝ่ายกังวล: อย่างไรก็ตาม บางฝ่ายได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับการกำกับดูแลและการใช้ AI ในเชิงพาณิชย์ โดยระบุว่า การออกกฎระเบียบที่เหมาะสมและการกำกับดูแลอย่างโปร่งใส เป็นสิ่งที่จำเป็นเพื่อป้องกันการใช้ AI อย่างไม่ถูกต้อง

สถิติที่เกี่ยวข้องและแหล่งอ้างอิง

  • จำนวนผู้เข้าร่วมงานเสวนาสัญจร 5 ภูมิภาคในปี 2567: มากกว่า 1,200 คน (ที่มา: กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์)
  • อัตราการใช้ AI ในสื่อและการสื่อสารในประเทศไทย: เพิ่มขึ้นกว่า 40% ภายใน 2 ปีที่ผ่านมา (ที่มา: สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์)
  • ความกังวลของประชาชนเกี่ยวกับการใช้ AI ในการผลิตข่าวปลอม: 68% ของผู้ตอบแบบสอบถามระบุว่ามีความกังวล (ที่มา: สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาสังคมไทย)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
ECONOMY

AOT กำไรพุ่ง! รับท่องเที่ยวฟื้น สนามบินเชียงรายร่วมด้วยทำโตขึ้น

AOT รายงานผลประกอบการไตรมาสแรกปีงบ 2568 กำไรสุทธิ 5,344.30 ล้านบาท เติบโตต่อเนื่อง

กรุงเทพฯ, 14 กุมภาพันธ์ 2568 – บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT รายงานผลประกอบการในช่วง 3 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2568 (ตุลาคม – ธันวาคม 2567) โดยมีกำไรสุทธิ 5,344.30 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17.12% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่รายได้รวมอยู่ที่ 17,906.01 ล้านบาท เติบโต 13.41% โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวและนโยบายส่งเสริมของภาครัฐ พร้อมตั้งเป้ายกระดับท่าอากาศยานไทยให้ติด 1 ใน 20 ท่าอากาศยานที่ดีที่สุดในโลกภายใน 5 ปี

ผลประกอบการและการเติบโตของรายได้

ดร.กีรติ กิจมานะวัฒน์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ AOT เปิดเผยว่า ในช่วง 3 เดือนแรกของปีงบ 2568 บริษัทมีกำไรสุทธิ 5,344.30 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 781.27 ล้านบาท หรือ 17.12% จากปีก่อน ขณะที่รายได้รวมเพิ่มขึ้น 13.41% อยู่ที่ 17,906.01 ล้านบาท ซึ่งรายได้หลักมาจาก:

  • รายได้จากกิจการการบิน 8,804.42 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 24.41% จากปีก่อน เนื่องจากปริมาณเที่ยวบินและผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะเที่ยวบินระหว่างประเทศ
  • รายได้ที่ไม่เกี่ยวข้องกับกิจการการบิน 8,859.49 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.65% จากปีก่อน
  • ค่าใช้จ่ายรวม 10,353.26 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.73% จากปีก่อน

การเติบโตของปริมาณผู้โดยสารและเที่ยวบิน

สำหรับปริมาณผู้โดยสารในช่วง 3 เดือนแรกของปีงบ 2568 ณ ท่าอากาศยานทั้ง 6 แห่งของ AOT ได้แก่ สุวรรณภูมิ, ดอนเมือง, เชียงใหม่, แม่ฟ้าหลวง เชียงราย, ภูเก็ต และหาดใหญ่ มีจำนวนผู้โดยสารรวม 33.62 ล้านคน เพิ่มขึ้น 16.41% แบ่งเป็น:

  • ผู้โดยสารระหว่างประเทศ 20.85 ล้านคน
  • ผู้โดยสารภายในประเทศ 12.77 ล้านคน
  • เที่ยวบินรวม 204,549 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 14.78%

ปัจจัยสำคัญที่ผลักดันการเติบโตของปริมาณผู้โดยสารมาจาก การฟื้นตัวของการท่องเที่ยว นโยบายส่งเสริมเศรษฐกิจของภาครัฐ และช่วงวันหยุดยาวของนักท่องเที่ยวจีน (Golden Week) ซึ่งช่วยเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวจากตลาดระยะไกลและระยะใกล้

กลยุทธ์พัฒนาท่าอากาศยานไทยสู่ระดับโลก

AOT มีแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและระบบการให้บริการของสนามบินทั้ง 6 แห่ง โดยเน้น การยกระดับคุณภาพมาตรฐานสู่ระดับสากล รวมถึงพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิให้เป็นศูนย์กลางการบินระดับโลก ผ่านโครงการสำคัญ ได้แก่:

  • โครงการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ระยะที่ 2 (SAT-1) เพิ่มขีดความสามารถรองรับผู้โดยสารจาก 45 ล้านเป็น 65 ล้านคนต่อปี
  • การสร้างระบบขนส่งผู้โดยสารอัตโนมัติ (APM) และทางวิ่งเส้นที่ 3
  • โครงการพัฒนาท่าอากาศยานดอนเมือง ระยะที่ 3 เพิ่มขีดความสามารถรองรับผู้โดยสารจาก 30 ล้านเป็น 50 ล้านคนต่อปี
  • โครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานท่าอากาศยานเชียงใหม่, ภูเก็ต, เชียงราย และหาดใหญ่

เทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อประสบการณ์เดินทางที่ดียิ่งขึ้น

AOT ได้นำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาปรับใช้เพื่อเพิ่มความสะดวกและลดระยะเวลาการเดินทางของผู้โดยสาร เช่น:

  • ระบบเช็กอินอัตโนมัติและการตรวจสอบใบหน้า (Biometric Identification)
  • ระบบตรวจหนังสือเดินทางอัตโนมัติ (ABC) รองรับ E-passport กว่า 90 ประเทศ
  • ระบบการจัดการข้อมูลเที่ยวบินแบบ A-CDM
  • ระบบประตูทางออกขึ้นเครื่องอัตโนมัติ (SBG)

เป้าหมายสู่ท่าอากาศยานสีเขียวและ Net Zero Carbon

AOT ดำเนินงานโดยคำนึงถึง เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ตามมาตรฐานสากล เช่น DJSI, GRI และ PDPA นอกจากนี้ สนามบินของ AOT ยังได้รับ Airport Carbon Accreditation ครบทุกแห่ง พร้อมตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้เป็น Net Zero ภายในปี 2587

ความสำเร็จระดับนานาชาติ

อาคาร SAT-1 ของ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ได้รับรางวัล ท่าอากาศยานสวยที่สุดในโลก 2567″ จาก Prix Versailles ของ UNESCO ซึ่งสะท้อนถึงการออกแบบที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน

บทสรุป

AOT ยังคงเดินหน้าพัฒนา ท่าอากาศยานไทยให้เป็นศูนย์กลางการบินระดับโลก และตั้งเป้าผลักดันท่าอากาศยานไทยให้ติด 1 ใน 20 ท่าอากาศยานที่ดีที่สุดในโลกภายใน 5 ปี พร้อมสนับสนุนการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : บริษัท ท่าอากาศยานไทย จํากัด (มหาชน) (AOT)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
WORLD PULSE

สรุป ‘แพทองธาร’ เยือน ‘จีน’ คุยเรื่องอะไรกันบ้าง

50 ปีแห่งความสัมพันธ์ไทย-จีน เพื่อสร้างอนาคตเศรษฐกิจที่มั่นคง

ประเทศไทย, 9 กุมภาพันธ์ 2568  – นายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร เยือนจีนอย่างเป็นทางการเพียง 2 วัน พร้อมลงนาม 14 ข้อตกลง มุ่งสู่ความร่วมมือไทย-จีนในทุกมิติ ตั้งแต่การค้า การลงทุน เทคโนโลยี จนถึงความมั่นคงทางไซเบอร์ โดยเฉพาะการปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์ พร้อมประกาศความร่วมมือสู่ 50 ปีแห่งความสัมพันธ์ไทย-จีน เพื่อสร้างอนาคตเศรษฐกิจที่มั่นคง

แพทองธารพบผู้นำจีนทุกระดับ ดันข้อตกลงสำคัญ 14 ฉบับ

นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร เสร็จสิ้นภารกิจเยือนจีน โดยได้เข้าพบ ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง และหารือร่วมกับ นายหลี่ เฉียง นายกรัฐมนตรีจีน รวมถึง นายจ้าว เล่อจี้ ประธานสภาประชาชนจีน ซึ่งเป็นการแสดงถึงความสำคัญที่จีนให้กับไทย

ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ย้ำความสัมพันธ์ไทย-จีน เป็นหุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์ ที่ต้องร่วมกันพัฒนาในด้านต่างๆ เช่น โครงการรถไฟความเร็วสูง เขตเศรษฐกิจพิเศษ EEC และการค้าดิจิทัล โดยเน้นย้ำความร่วมมือที่ครอบคลุมทุกระดับ ไม่ว่าจะเป็น การพัฒนาเศรษฐกิจสีเขียว เทคโนโลยี AI และความมั่นคงทางไซเบอร์

ในการเยือนครั้งนี้ มีการลงนามบันทึกข้อตกลงสำคัญ 14 ฉบับ ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่ ความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ การค้า เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) พลังงานสีเขียว และการพัฒนาด้านอวกาศ โดยหนึ่งในข้อตกลงที่น่าสนใจคือ การร่วมมือสำรวจดวงจันทร์ ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญของไทยในการเข้าสู่อุตสาหกรรมอวกาศ

จีนชื่นชมไทยปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์-อาชญากรรมไซเบอร์

หนึ่งในประเด็นที่จีนให้ความสำคัญคือ การปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ โดยเฉพาะแก๊งคอลเซ็นเตอร์และเครือข่ายอาชญากรรมไซเบอร์ ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ขอบคุณรัฐบาลไทยที่ ตัดกระแสไฟฟ้า น้ำมัน และอินเทอร์เน็ต ซึ่งเป็นมาตรการตัดวงจรธุรกิจผิดกฎหมายที่สร้างความเสียหายให้กับชาวจีนจำนวนมาก

จีนและไทยเห็นพ้องกันว่า ต้องเพิ่มความร่วมมือด้านการบังคับใช้กฎหมายระดับทวิภาคี เพื่อจัดการกับเครือข่ายอาชญากรรมในภูมิภาคนี้ พร้อมเดินหน้า ยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยทางไซเบอร์ ร่วมกัน

แพทองธารย้ำ ไทย-จีนเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระยะยาว

นายกรัฐมนตรีแพทองธารเน้นย้ำว่า จีนเป็นคู่ค้ารายใหญ่ของไทยต่อเนื่องเป็นปีที่ 12 ด้วยมูลค่าการค้ารวมกว่า 1 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ และการลงทุนจากจีนในไทยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยจีนมีแผนขยายการลงทุนในไทย ด้านอุตสาหกรรมสีเขียว ยานยนต์ไฟฟ้า และเทคโนโลยีดิจิทัล

จีนยังได้เชิญไทยเข้าร่วม งาน China International Import Expo ซึ่งเป็นเวทีสำคัญในการขยายตลาดสินค้าไทยไปยังจีน โดยเฉพาะในภาค เกษตรกรรม การท่องเที่ยว และเศรษฐกิจดิจิทัล

ไทย-จีน ร่วมฉลอง 50 ปีความสัมพันธ์ทางการทูต

ปี 2568 ถือเป็น ปีทองแห่งมิตรภาพไทย-จีน เนื่องในโอกาสครบรอบ 50 ปีของความสัมพันธ์ทางการทูต นายกรัฐมนตรีแพทองธาร และผู้นำจีน เห็นพ้องให้มีการจัดกิจกรรมพิเศษ เช่น การแลกเปลี่ยนวัตถุโบราณ การอัญเชิญพระเขี้ยวแก้วมายังไทยชั่วคราว การส่งแพนด้าให้ไทย และการให้ทุนการศึกษา เพื่อกระชับความสัมพันธ์ของประชาชนทั้งสองประเทศ

นอกจากนี้ ยังมีการส่งเสริมความร่วมมือด้าน Soft Power โดยเฉพาะอุตสาหกรรมสื่อบันเทิง การแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม และการพัฒนาบุคลากร เพื่อให้คนรุ่นใหม่ของทั้งสองประเทศ มีโอกาสเรียนรู้ซึ่งกันและกันมากขึ้น

จีนเตรียมขยายลงทุนในไทย อุตสาหกรรมอนาคตมาแน่

นายกรัฐมนตรีแพทองธารยังได้พบกับ นักลงทุนชั้นนำจากจีน เช่น Xiaomi และ Hisense โดยบริษัท Hisense เตรียมขยายฐานการผลิตในไทย และ Xiaomi สนใจตั้งโรงงานผลิต รถยนต์ไฟฟ้า (EV) ในไทย ซึ่งจะช่วยขับเคลื่อนอุตสาหกรรม EV และเทคโนโลยีขั้นสูงของประเทศ

รัฐบาลไทยยืนยันว่า พร้อมอำนวยความสะดวกในการลงทุน และมีมาตรการ Ease of Doing Business เพื่อดึงดูดบริษัทเทคโนโลยีจากจีนเข้ามาลงทุนมากขึ้น

ข้อตกลง 14 ฉบับ ไทย-จีน ปลดล็อกข้อจำกัดทางการค้า

การลงนามความร่วมมือ 14 ฉบับนี้ จะช่วยลดอุปสรรคทางการค้าระหว่างไทย-จีน โดยครอบคลุมด้านต่างๆ เช่น:

  • การแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI)
  • การร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจสีเขียว และพลังงานสะอาด
  • การสนับสนุน EEC และเศรษฐกิจดิจิทัล
  • การอำนวยความสะดวกทางศุลกากร และโลจิสติกส์
  • การพัฒนาความร่วมมือด้านอวกาศและสำรวจดวงจันทร์

สรุปผลการเยือนจีน: ไทย-จีนสัมพันธ์แน่นแฟ้นขึ้น

การเยือนจีนของนายกรัฐมนตรีแพทองธารครั้งนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญของความสัมพันธ์ไทย-จีน ทั้งในด้านการค้า การลงทุน และความมั่นคง ความร่วมมือ 14 ฉบับจะช่วยให้ การค้าขายระหว่างสองประเทศคล่องตัวขึ้น ลดขั้นตอนด้านศุลกากร และเพิ่มความร่วมมือทางเทคโนโลยี

จีนยังยืนยันสนับสนุนไทยในการเป็นศูนย์กลางการค้าและการลงทุนในอาเซียน ขณะที่ไทยพร้อมเปิดโอกาสให้นักลงทุนจีนขยายธุรกิจในไทย โดยเฉพาะใน อุตสาหกรรมเทคโนโลยี ยานยนต์ไฟฟ้า และเศรษฐกิจดิจิทัล

การประชุมระดับสูงและข้อตกลงที่ลงนามในครั้งนี้ ถือเป็น จุดเริ่มต้นของอีก 50 ปีข้างหน้าของความสัมพันธ์ไทย-จีน ที่จะพัฒนาไปอีกขั้นด้วยความร่วมมือที่แน่นแฟ้นและมั่นคงยิ่งขึ้น

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทำเนียบรัฐบาล

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

‘อทิตาธร’ ชี้แจงภาพกับ ‘อนุทิน’ ยันไปแจกการ์ดเชิญแต่งงานให้ลูกสาว

อทิตาธร วันไชยธนวงค์ ปฏิบัติธรรม 10 วัน หลังเลือกตั้ง อบจ. เชียงราย พร้อมชี้แจงภาพร่วมเฟรมกับอนุทิน

วันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2568 เวลา 18.00 น. ณ วัดห้วยปลากั้ง ตำบลริมกก อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย

ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์ได้ทำการติดตามกิจวัตรประจำวันส่วนตัวของ ว่าที่นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย นางอทิตาธร วันไชยธนวงค์ ซึ่งทราบมาว่าจะเข้ามาสวดสวดมนต์และทำสมาธิที่วัดห้วยปลากั้ง เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับภารกิจในอนาคต 

อย่างไรก็ตาม ทางทีมข่าวจึงขอสัมภาษณ์หลังมีประเด็นที่กำลังเป็นกระแสในช่วงนี้คือ ภาพถ่ายที่ปรากฏตัวร่วมกับนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ซึ่งโพสต์ผ่านโซเชียลมีเดียของนายอนุทิน พร้อมข้อความว่า
ให้การต้อนรับและแสดงความยินดีเบื้องต้นกับทีมงานผู้ชนะการเลือกตั้งนายก อบจ. เชียงราย ที่แวะมาสวัสดีปีใหม่และตรุษจีนที่กระทรวงมหาดไทย”

ภาพดังกล่าวนำไปสู่การตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับจุดยืนทางการเมืองของ นางอทิตาธร วันไชยธนวงค์ หลังเสร็จศึกเลือกตั้งในวันเสาร์ที่ 1 ก.พ.ที่ผ่านมา ซึ่งผลคะแนนเลือกตั้งอย่างไม่เป็นทางหารได้รับการเลือกตั้ง 261,301 คะแนน ในการชิงแบบพรรคอิสระ ทให้เกิดคำถามจากประชาชนในชาวเชียงราย

อทิตาธร เปิดใจถึงภาพถ่ายกับอนุทิน และเหตุผลของการเดินทางไปกระทรวงมหาดไทย

ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์ได้สัมภาษณ์อทิตาธรถึงประเด็นดังกล่าว โดยเธอชี้แจงว่า การเดินทางไปกระทรวงมหาดไทยเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อพาลูกสาว (น้องป่าน)ไปแจกการ์ดงานแต่งงาน ซึ่งจะมีขึ้นในวันที่ 8 มีนาคม 2568

ที่จริงตามมารยาทต้องเชิญผู้ใหญ่อย่างน้อยสองเดือนล่วงหน้า แต่เพราะติดช่วงเลือกตั้ง ทำให้ไม่มีเวลาทำหน้าที่แม่เลย หลังเลือกตั้งเสร็จ จึงรีบไปเชิญผู้ใหญ่ที่กระทรวง”

นอกจากนี้ อทิตาธรยังเปิดเผยว่า ได้ใช้โอกาสดังกล่าวหารือกับนายอนุทินเกี่ยวกับปัญหาสำคัญของจังหวัดเชียงราย โดยเฉพาะเรื่องเงินเยียวยาน้ำท่วมและถนนการเกษตร ซึ่งได้รับคำมั่นจากรัฐมนตรีว่าจะดำเนินการช่วยเหลือ

หารือปัญหาเยียวยาน้ำท่วมและโครงสร้างพื้นฐาน

ในโอกาสเดียวกัน อทิตาธรได้ใช้โอกาสนี้ นำเสนอปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนเชียงราย โดยเฉพาะเรื่องเงินเยียวยาผู้ประสบภัยน้ำท่วมที่ยังมีประชาชนจำนวนมาก ไม่ได้รับเงินช่วยเหลือ 10,000 บาท จากทางรัฐบาล

“พี่ได้แจ้งกับท่านรัฐมนตรีถึงปัญหาที่ค้างคาอยู่ เช่น ถนนบ้านฟาร์มเมืองงิมที่ได้รับความเสียหายจากน้ำท่วม และสะพานที่พังในอำเภอเวียงแก่นและอำเภอเทิงซึ่งส่งผลกระทบต่อการขนส่งสินค้าเกษตร”

อทิตาธรเปิดเผยว่า อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ท่านเมตตาจะเดินทางมา ตรวจ ราชการ รับฟังข้อมูลที่เชียงราย ใน อาทิตย์หน้า และจะหาแนวทางช่วยเหลือ ชาวเชียงราย และจะหาแนวทางแก้ไขร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

แผนงานหลังเลือกตั้ง เตรียมพบกระทรวงอื่นๆ

อทิตาธรระบุว่า หลังจากเข้าพบกระทรวงมหาดไทยแล้ว ก็มีวางแผนที่จะ เดินทางไปพบกระทรวงอื่นๆ เพื่อผลักดันโครงการที่เกี่ยวข้องกับเชียงราย เช่น

  • กระทรวงเกษตรฯ: หารือเรื่องการแก้ปัญหาวัชพืชและการเผาไหม้
  • กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ: พูดคุยเรื่องไฟป่าและ PM 2.5
  • กรมโยธาธิการฯ: วางแผนแก้ไขโครงสร้างพื้นฐานและระบบน้ำ

“พี่ได้รับความไว้วางใจจากประชาชนเชียงราย ก็จะเดินหน้าทำงานต่อทันที”

เหตุผลที่เลือกไปกระทรวงมหาดไทยหลังวันเลือกตั้ง

เมื่อถูกถามว่าทำไมจึงเลือกเดินทางไปกระทรวงมหาดไทยในวันถัดจากการเลือกตั้ง อทิตาธรตอบว่า เป็นเรื่องของเวลาที่จำกัด เพราะต้องเตรียมงานแต่งของลูกสาว และลูกสาวเองก็สอบถามตลอดว่าจะเชิญผู้ใหญ่ตอนไหน

ลูกสาวยังพูดติดตลกเลยว่า รอหลังเลือกตั้งแล้วผลออกก่อนก็ดีเหมือนกัน เผื่อว่าแพ้เลือกตั้งจะได้ไม่ต้องพิมพ์การ์ดเยอะ”

ยืนยันจุดยืน “อิสระ” ไม่สังกัดพรรคการเมือง

สำหรับคำถามที่ว่าการปรากฏตัวร่วมกับนายอนุทินจะสะท้อนถึงการสังกัดพรรคการเมืองหรือไม่ อทิตาธรได้ย้ำชัดว่า

ยังเป็นอิสระ ไม่สังกัดพรรคใด นอกจากฟังเสียงของประชาชน และมีอิสระทางความคิด”

ทางด้านอทิตาธรยังอธิบายเพิ่มเติมว่า การเป็นอิสระทำให้สามารถเข้าถึงและทำงานร่วมกับทุกฝ่ายได้ง่ายขึ้น เพื่อผลประโยชน์ของประชาชนเชียงราย

รัฐบาลเป็นรัฐบาลผสม มีรัฐมนตรีจากหลายพรรค ถ้าจำกัดตัวเองอยู่กับพรรคใดพรรคหนึ่ง จะทำให้การประสานงานเพื่อแก้ไขปัญหาของประชาชนยากขึ้น”

อทิตาธรได้ฝากข้อความถึงประชาชนเชียงรายว่า

“พี่นกอยากให้ทุกคนมั่นใจว่า เราจะทำงานเพื่อพัฒนาเชียงรายต่อไป และไม่อยากให้เกิดความขัดแย้งหรือความแตกแยกทางการเมือง เราทุกคนต้องร่วมมือกันเพื่อสร้างอนาคตของจังหวัด” ย้ำอีกครั้งว่า การเลือกตั้งจบแล้ว และสิ่งสำคัญในตอนนี้คือ การพัฒนาจังหวัดเชียงรายให้ก้าวไปข้างหน้า

สร้างความเข้าใจกับประชาชนเชียงราย

อทิตาธรฝากข้อความถึงประชาชนเชียงรายว่า ความตั้งใจในการพัฒนาจังหวัดยังเหมือนเดิม และขอให้ทุกคนมั่นใจว่าจะทำงานเพื่อผลประโยชน์ของเชียงรายอย่างเต็มที่

พี่นกไปทุกกระทรวงและพูดคุยกับทุกพรรค ที่สามารถช่วยเหลือและแก้ปัญหาให้เชียงรายได้ ขอให้ทุกคนมั่นใจในตัวพี่ค่ะ”

สรุปข่าว

  • อทิตาธร วันไชยธนวงค์ เริ่มปฏิบัติธรรม 10 วัน หลังเสร็จสิ้นการเลือกตั้ง อบจ.เชียงราย
  • ชี้แจงว่า ภาพถ่ายกับอนุทิน เป็นเพียงการเข้าพบเพื่อเชิญร่วมงานแต่งของลูกสาว และหารือปัญหาน้ำท่วม
  • ยืนยันว่า ยังคงเป็นนักการเมืองอิสระ ไม่สังกัดพรรคใด
  • เตรียมเข้าพบ กระทรวงอื่นๆ เพื่อผลักดันโครงการพัฒนาเชียงราย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
NEWS UPDATE

ลุ้น “พญ.อัจฉรา” ผอ.โฮงยาไทย 3 รายชื่อเข้าชิงเลขา สปสช. คนใหม่

คณะกรรมการสรรหาฯ ประกาศ 3 รายชื่อเข้าชิงตำแหน่งเลขาธิการ สปสช. คนใหม่

เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2568 คณะกรรมการสรรหาเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ได้ประกาศรายชื่อผู้ผ่านการคัดเลือก 3 คนสุดท้ายจากผู้สมัครทั้งหมด 9 คน เพื่อเข้าชิงตำแหน่งเลขาธิการ สปสช. คนใหม่ แทน นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี ซึ่งกำลังจะหมดวาระในวันที่ 2 เมษายนนี้

“พญ.อัจฉรา” ผ่านเข้ารอบสุดท้าย พร้อมอีก 2 รายชื่อ

จากการประชุมของคณะกรรมการสรรหาฯ เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2568 ได้มีการสัมภาษณ์ผู้สมัคร พร้อมรับฟังการแสดงวิสัยทัศน์และแผนการบริหารงานของแต่ละคน ก่อนจะคัดเลือกให้เหลือเพียง 3 คนสุดท้าย โดยรายชื่อที่ผ่านการพิจารณามีดังนี้

  1. นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี – เลขาธิการ สปสช. คนปัจจุบัน
  2. นพ.ดิเรก สุดแดน
  3. พญ.อัจฉรา ละอองนวลพานิช

รายชื่อดังกล่าวจะถูกเสนอต่อคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เพื่อพิจารณาคัดเลือกและแต่งตั้งเป็นเลขาธิการ สปสช. คนใหม่ต่อไป

กระบวนการคัดเลือกเลขาธิการ สปสช. คนใหม่

ก่อนหน้านี้ คณะกรรมการสรรหาฯ ได้เปิดรับสมัครผู้ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมเข้ารับการคัดเลือกตำแหน่งเลขาธิการ สปสช. โดยมีผู้สมัครทั้งหมด 9 คน ผ่านการคัดเลือกรอบแรก จากนั้นได้เข้าสู่กระบวนการสัมภาษณ์ในวันที่ 31 มกราคม 2568 ซึ่งเป็นการพิจารณาด้านวิสัยทัศน์ นโยบาย และความสามารถในการบริหารงาน

หลังการสัมภาษณ์ คณะกรรมการสรรหาฯ ได้คัดเลือก 3 รายชื่อสุดท้าย โดยใช้เกณฑ์พิจารณาความสามารถในการบริหารงาน ระบบสุขภาพ และความเข้าใจในภารกิจของ สปสช. ซึ่งเป็นองค์กรหลักที่ดูแลระบบหลักประกันสุขภาพของประเทศ

ขั้นตอนต่อไป: การพิจารณาของบอร์ด สปสช.

คณะกรรมการสรรหาฯ จะส่งผลการคัดเลือกไปยังคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ซึ่งคาดว่าจะมีการพิจารณาแต่งตั้งเลขาธิการ สปสช. คนใหม่ในการประชุมวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2568

ผู้ได้รับการแต่งตั้งจะดำรงตำแหน่งแทน นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี ซึ่งจะหมดวาระในวันที่ 2 เมษายน 2568 โดยเลขาธิการคนใหม่จะต้องเข้ามารับผิดชอบด้านการบริหารงบประมาณด้านสุขภาพ ดูแลระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ และผลักดันนโยบายให้ตอบสนองความต้องการของประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ความสำคัญของตำแหน่งเลขาธิการ สปสช.

เลขาธิการ สปสช. ถือเป็นตำแหน่งสำคัญที่มีบทบาทโดยตรงต่อการบริหารจัดการระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ซึ่งครอบคลุมประชากรกว่า 48 ล้านคนทั่วประเทศ โดยผู้ดำรงตำแหน่งจะต้องเผชิญกับความท้าทายในการบริหารงบประมาณ ดูแลการเข้าถึงบริการสุขภาพของประชาชน และประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพัฒนาระบบสุขภาพให้ดียิ่งขึ้น

ข้อสังเกตจากผู้เชี่ยวชาญ

ผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขระบุว่า การคัดเลือกเลขาธิการ สปสช. ครั้งนี้เป็นกระบวนการที่ได้รับความสนใจจากหลายภาคส่วน เนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่ระบบหลักประกันสุขภาพของไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายด้านงบประมาณและการให้บริการที่ต้องพัฒนาให้ทันต่อสถานการณ์

“บุคคลที่จะได้รับการแต่งตั้งเป็นเลขาธิการ สปสช. คนใหม่ ต้องมีความสามารถในการบริหารจัดการงบประมาณขนาดใหญ่ และต้องมีวิสัยทัศน์ในการพัฒนาระบบหลักประกันสุขภาพให้มีความยั่งยืน” นักวิชาการด้านสุขภาพให้ความเห็น

สรุป

การคัดเลือกเลขาธิการ สปสช. คนใหม่กำลังอยู่ในขั้นตอนสุดท้าย โดย 3 รายชื่อที่ผ่านการคัดเลือก ได้แก่ นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี, นพ.ดิเรก สุดแดน และ พญ.อัจฉรา ละอองนวลพานิช ทั้งสามรายชื่อจะเข้าสู่การพิจารณาโดยคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ซึ่งจะมีการประชุมตัดสินในวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2568 ก่อนที่ผู้ได้รับการแต่งตั้งจะเข้ารับตำแหน่งแทน นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี ที่จะหมดวาระในวันที่ 2 เมษายนนี้

คำถามที่พบบ่อย (FAQs)

  1. ทำไมต้องมีการคัดเลือกเลขาธิการ สปสช. คนใหม่?
    ตำแหน่งเลขาธิการ สปสช. มีวาระการดำรงตำแหน่ง เมื่อครบกำหนดต้องมีการคัดเลือกบุคคลใหม่เพื่อสานต่อภารกิจด้านหลักประกันสุขภาพ
  2. ใครเป็นตัวเต็งในการได้รับตำแหน่งครั้งนี้?
    นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี ซึ่งเป็นเลขาธิการคนปัจจุบัน ถือเป็นตัวเต็ง เนื่องจากมีประสบการณ์ตรงกับงานใน สปสช.
  3. ขั้นตอนสุดท้ายของการคัดเลือกเป็นอย่างไร?
    รายชื่อ 3 คนสุดท้ายจะถูกเสนอต่อคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ซึ่งจะพิจารณาและแต่งตั้งบุคคลที่เหมาะสมที่สุด
  4. บทบาทของเลขาธิการ สปสช. มีอะไรบ้าง?
    บริหารงบประมาณหลักประกันสุขภาพ ดูแลการให้บริการสาธารณสุข และพัฒนานโยบายด้านสุขภาพให้ประชาชนเข้าถึงได้อย่างเท่าเทียม
  5. การแต่งตั้งเลขาธิการ สปสช. คนใหม่จะมีผลเมื่อใด?
    หลังการประชุมคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติในวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2568 และจะเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการในวันที่ 2 เมษายน 2568

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : คณะกรรมการสรรหาเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE