Categories
NEWS UPDATE

‘หมอเอก’ ย้ำ ไม่สนับสนุนให้ใครสูบบุหรี่ แต่แก้ปัญหาทับซ้อน ทำสิ่งเดิมๆซ้ำๆ

 
เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2567 ที่ผ่านมา นายแพทย์เอกภพ เพียรพิเศษ หรือ หมอเอก อดีตรองประธานคณะอนุกรรมาธิการ คณะกรรมาธิการการสาธารณสุขเรื่องปัญหาการควบคุมยาสูบและบุหรี่ไฟฟ้า โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก “หมอเอก Ekkapob Pianpises” เกี่ยวกับข้อเสนอในเรื่องมาตรการการควบคุมบุหรี่ไฟฟ้าจากที่ประชุมคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ ระบุว่า
 
 
“มีแต่คนบ้าเท่านั้นที่ทำสิ่งเดิมๆ ซ้ำๆ แต่กลับหวังผลลัพธ์ที่แตกต่าง” จากข้อสรุปของที่ประชุม คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ ซึ่งได้มีข้อเสนอเรื่องมาตรการควบคุม บุหรี่ไฟฟ้า สรุปได้ 5 ข้อ 
1.พัฒนาการจัดการความรู้ 
2.สร้างการรับรู้ 
3.เฝ้าระวังการบังคับใช้กฏหมาย 
4.พัฒนาศักยภาพภาคีเครือข่าย 
5.ยืนยันมาตราการป้องกัน-ปราบปรามบุหรี่ไฟฟ้า 
 
 
ทั้ง 5 ข้อนั่นก็คือการ doing the same thing over and over (ทำสิ่งเดิมๆ ซ้ำๆ) แล้วเราจะหวังผลลัพธ์ที่แตกต่างได้หรือ? เมื่อแปลความหมายจากข้อเสนอ โดยเฉพาะข้อ 1-4 มีความหมายอะไรแอบแฝงหรือไม่ 
 
 
ข้อ 1-2-4 มีงบประมาณหลักจาก สสส. ปีละกว่า 300 ล้านบาทในการแจกให้ “เครือข่าย” ซึ่งอยากให้สังคมช่วยกันดูว่าเครือข่ายที่ว่าคือใคร คือกลุ่มไหน คือองค์กรไหน แล้วได้เงินไปปีละเท่าไหร่ 
 
ข้อ 3 เป็นหน้าที่หลักของกรมควบคุมโรค และ อนุกรรมการด้านกฏหมายของคณะกรรมการควบคุมยาสูบแห่งชาติ โดยงบประมาณสนับสนุนหน่วยงานควบคุมยาสูบส่วนหนึ่งได้รับจาก สสส. ทั้งงบประมาณทำกิจกรรมต่างๆ และแม้กระทั่งงบประมาณจ้างบุคลากร 
 
นำมาสู่ข้อ 5 คือการเสนอให้ใช้วิธีการเดิมๆ ให้คนกลุ่มเดิมๆ ที่ทำแล้ว “ล้มเหลว” แบบเดิมๆ ?!!! สิ่งต้องทำคือ “การควบคุมยาสูบ” นั่นหมายถึงการลดจำนวนผู้สูบบุหรี่-บุหรี่ไฟฟ้า-ยาเส้น ในภาพรวม โดยต้องมีเป้าหมาย “สังคมไร้ควัน” หมายถึงมีอัตราคนสูบยาสูบน้อยกว่า 5% จากที่ตอนนี้อัตราผู้สูบยาสูบมีประมาณ 17-18% ดังนั้น หากเห็นแก่ประโยชน์ด้านสุขภาพของประชาชน การทำข้อเสนอนโยบายยาสูบจึงควรทำเพื่อประชาชน ไม่ใช่พอเห็นข้อเสนอแล้วเหมือนเรียกร้องให้เพิ่มงบประมาณให้กลุ่มเครือข่ายหน้าเดิมๆ มาทำกิจกรรมเดิมๆ แต่หวังผลลัพธ์ที่แตกต่าง แบบนี้เรียกว่า Insane แต่ประชาชนและผู้ติดตามประเด็นสาธารณสุขไม่ได้ Insane และไม่ได้ Innocent ที่จะตามไม่ทันว่าข้อเสนอนี้ใครได้ประโยชน์ !!!
 
 
ซึ่งเมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม หมอเอก อดีตรองประธานคณะอนุกรรมาธิการ คณะกรรมาธิการการสาธารณสุขเรื่องปัญหาการควบคุมยาสูบและบุหรี่ไฟฟ้า โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กว่า 31 พฤษภาคม ของทุกปีถือเป็นวันงดสูบบุหรี่โลก กับประเทศไทยที่โหมทำกิจกรรมเกี่ยวกับ บุหรี่ไฟฟ้า เหมือนกับจะเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจที่ ความล้มเหลวในการควบคุมยาสูบ ?!!!
 
 
ตั้งแต่ปี 2545 ที่มีองค์กรอย่าง สสส.
ตั้งแต่ปี 2557 มีประกาศแบนบุหรี่ไฟฟ้า
ตั้งแต่ปี 2560 มี พรบ.ควบคุมการบริโภคยาสูบ
 
 
มีงบประมาณประจำ มีงบประมาณรณรงค์จาก สสส. ปีละกว่า 300 ล้านบาท มีเครือข่ายที่เก่งๆ ระดับได้รางวัลจากองค์การอนามัยโลกด้านควบคุมยาสูบเดินทั่วบ้านทั่วเมือง มีทุนวิจัยเรื่องการจัดการยาสูบโดยเฉพาะ ดูเหมือนจะมีพร้อมทุกอย่าง แต่ทำไมตลอด 20-30 ปี ไม่สามารถลดอัตราผู้สูบบุหรี่ได้ ทำไมปล่อยให้บุหรี่ไฟฟ้าระบาดเข้ามาจนมีมูลค่าตลาดมหาศาล ทำไมขึ้นภาษีบุหรี่จนการยาสูบไทยแทบเจ๊ง ส่งผลต่อไปถึงชาวไร่ยาสูบ แล้วปล่อยให้บุหรี่เถื่อนมีสัดส่วนการตลาดมากขึ้นเรื่อยๆ
 
 
แสดงว่าต้องมีอะไรผิดพลาดแล้วล่ะ แต่เราจะเดินย่ำวิธีการเดิมๆ กลุ่มเครือข่ายเดิมๆ อีกหรือ??? ทำงานพลาดเป้ามาร่วม 30 ปี ทั้งที่มีคน เงิน กฏหมาย จะยังให้ทำแบบเดินกันต่ออีกหรือ??? คนที่เป็นองค์กรเอกชนทำงานเกี่ยวกับยาสูบ รวมกลุ่มกันกับอีกหลายองค์กรมาร่วมกันผลักดันและมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการ สสส. แล้วหลังจากนั้นก็มาเป็นคนทำกฏหมายควบคุมยาสูบเอง พอมีกฏหมายก็มามีตำแหน่งในคณะกรรมการควบคุมยาสูบเอง มีการรับเงิน สสส. เข้าองค์กรของตน มีการแจกเงิน สสส. ให้กับเครือข่าย มีการใช้เงิน สสส. 
 
 
ไปสนับสนุนงานของราชการบางหน่วย มีการจ้างคนไปทำงานในหน่วยงาน จนหน่วยงานราชการนั้นไม่จำเป็นต้องฟังอธิบดี ไม่ต้องสนใจปลัดกระทรวงก็ได้ เคยมีการสอบหาข้อเท็จจริงโดยกรรมาธิการสาธารณสุขของสภาผู้แทนราษฎรชุดที่แล้วพบว่ามีมูลในประเด็น ผลประโยชน์ทับซ้อน จึงส่งเรื่องต่อให้กรรมาธิการ ปปช. แต่ยังสอบหาข้อเท็จจริงไม่เสร็จก็ต้องหยุดดำเนินการเนื่องจากยุบสภาเสียก่อน ในฐานะประชาชนคนหนึ่ง ในฐานะบุคลากรทางการแพทย์ และในฐานะของผู้ที่ติดตามปัญหาด้านสาธารณสุข ผมย้ำมาโดยตลอดว่า ไม่สนับสนุนให้ใครสูบบุหรี่
 
 
ใครสูบอยู่ก็ควรที่จะเลิก โดยต้องดำเนินการด้วยชุดข้อมูลวิชาการที่ไม่บิดเบือน คำนึงถึงสิทธิของประชาชน และการมองปัญหารวมทั้งรับฟังจากทุกภาคส่วน ในเมื่อชุดความคิดเดิมๆ ในเมื่อคนกลุ่มเดิมๆ ทำงานไม่ได้ตามเป้ามาร่วม 30 ปี เราจะให้โอกาสคนที่ทำพลาดซ้ำๆ ทำงานต่ออีกหรือ? หากอยากเห็นวันงดสูบบุหรี่โลกในอีก 10 ปี หรือ 20 ปีข้างหน้าประเทศไทยเหลือคนสูบบุหรี่น้อยกว่า 5% กลายเป็น ประเทศไร้ควันบุหรี่ ก็ต้องเปลี่ยนชุดความคิดและเปลี่ยนคนที่เป็นเครือข่ายเดิมออกไป แค่วิ่งไล่จับบุหรี่ไฟฟ้ารายย่อย อาจทำให้มีข่าว มีคอนเท้นต์ให้ดูเหมือนได้ทำอะไร แต่เอาเข้าจริงๆ แล้วก็แค่ปิดบังความล้มเหลวของการทำงานที่ผ่านมาเท่านั้น
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
MOST POPULAR
FOLLOW ME
Categories
FEATURED NEWS

Mitsubishi ประกาศมิตซูพันล้าน เชียงราย “ผู้จำหน่ายยอดเยี่ยม” ปี 2566

 
เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2567: มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย ประกาศผลรางวัลอันทรงเกียรติ “ผู้จำหน่ายยอดเยี่ยม” ปี 2566 (Mitsubishi Excellence Awards 2023) เพื่อแสดงความยินดีและยกย่องผู้จำหน่ายที่มีผลการดำเนินงานที่โดดเด่นและยอดเยี่ยมทั้งในด้านการขายและบริการหลังการขาย ในปีงบประมาณ 2566 ตอกย้ำความมุ่งมั่นในการสร้างความพึงพอใจสูงสุดให้แก่ลูกค้า ด้วยปรัชญาที่มุ่งเน้นให้ความสำคัญกับลูกค้าเป็นอันดับหนึ่ง ไปพร้อมกับการพัฒนาคุณภาพด้านการขายและบริการหลังการขายอย่างไม่หยุดยั้ง โดย “ผู้จำหน่ายยอดเยี่ยม” แห่งปี 2566 ประกอบด้วย
 
  • บริษัท มิตซูรุ่งเจริญ จำกัด (สำนักงานใหญ่) เขตกรุงเทพฯ
  • บริษัท มิตซูพันล้าน จำกัด (จังหวัดเชียงราย) จากกลุ่มจังหวัดขนาดใหญ่
  • บริษัท มิตซูศรีสะเกษทีทีออโต้ จำกัด (จังหวัดศรีสะเกษ) จากกลุ่มจังหวัดขนาดกลาง
  • บริษัท มิตซูไทยยนต์กลการ จำกัด (จังหวัดพัทลุง) จากกลุ่มจังหวัดขนาดเล็ก
  • บริษัท เอเบิล มอเตอร์ส ปากเกร็ด จำกัด (สาขาแจ้งวัฒนะ) สำหรับกลุ่มผู้จำหน่ายใหม่ หรือ โชว์รูมใหม่ เขตกรุงเทพฯ

●   มร. เรียวอิจิ อินาบะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย กล่าวว่า “การพิจารณาเพื่อตัดสินรางวัลนี้นับว่าไม่ใช่เรื่องง่าย เนื่องจากผู้จำหน่ายของเราต่างมีผลการดำเนินงานที่ยอดเยี่ยมสูสีกัน ทั้งนี้ ผมขอแสดงความยินดีกับผู้จำหน่ายที่ได้รับรางวัลทุกท่าน และขอชื่นชมและขอขอบคุณผู้จำหน่ายทุกท่านที่มุ่งมั่นทุ่มเทเพื่อมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าของเราตลอดมา โดยหลักเกณฑ์การตัดสินรางวัลในปีนี้พิจารณาจากความเป็นเลิศในการนำเสนอบริการทั้งด้านการขายและบริการหลังการขาย การรักษาและขยายส่วนแบ่งการตลาดในแต่ละเขตและภูมิภาค ซึ่งมุ่งเน้นถึงการสร้างความพึงพอใจสูงสุดให้แก่ลูกค้า ด้วยการนำเสนอรถยนต์คุณภาพสูง พร้อมยกระดับคุณภาพบริการด้านการขายและบริการหลังการขายอย่างต่อเนื่อง อันจะนำไปสู่การสร้างความภักดีต่อแบรนด์ของลูกค้า และต่อยอดความสำเร็จและสร้างความเติบโตทางธุรกิจไปด้วยกันอย่างยั่งยืน”

●   นายจักรพงษ์ ชัยตระกูลทอง กรรมการผู้จัดการ บริษัท มิตซูรุ่งเจริญ จำกัด กล่าวว่า “เรารู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่มิตซูรุ่งเจริญได้รับรางวัลผู้จำหน่ายยอดเยี่ยม ในเขตกรุงเทพฯ จากมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย ในปีนี้ ถือเป็นเครื่องยืนยันถึงความมุ่งมั่นและความทุ่มเทของเราในการมุ่งเน้นการขายและมอบการบริการที่ดีที่สุดให้แก่ลูกค้า รางวัลนี้ยังเป็นกำลังใจให้แก่พนักงานของเราและทำให้เรามุ่งมั่นพัฒนาต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง ทั้งกระบวนการดำเนินงานด้านการขายและบริการหลังการขาย ตลอดจนการเพิ่มทักษะของบุคลากร เพื่อให้ลูกค้าของเราพึงพอใจและได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุดจากมิตซูรุ่งเจริญในกรุงเทพฯ รวมถึงในจังหวัดอื่น ๆ ทั้งสมุทรปราการ ปทุมธานี และสมุทรสาคร”

●   นายชุติพงศ์ บุษรารังษี กรรมการผู้จัดการ บริษัท มิตซูศรีสะเกษทีทีออโต้ จำกัด ซึ่งได้รับรางวัลผู้จำหน่ายยอดเยี่ยมถึง 7 ปีซ้อน กล่าวว่า “ขอขอบคุณมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย ที่มอบรางวัลผู้จำหน่ายยอดเยี่ยมประจำปีนี้แก่มิตซู ศรีสะเกษทีทีออโต้ ซึ่งเป็นปีที่ 7 ติดต่อกันที่เราได้รับรางวัลนี้ ถือเป็นความภาคภูมิใจและเป็นเครื่องพิสูจน์ได้อย่างดีถึงคุณภาพในการดำเนินงาน ตลอดระยะเวลาเกือบ 10 ปีที่เปิดให้บริการ เราจะตั้งใจพัฒนางานขายและบริการหลังการขายอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความพึงพอใจสูงสุดให้แก่ลูกค้ามิตซูบิชิของเรา”

●   นอกจากรางวัล ‘ผู้จำหน่ายยอดเยี่ยม’ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย ยังมอบรางวัล ‘ประสิทธิภาพการขายสูงสุด และส่วนแบ่งการตลาดยอดเยี่ยม’ (Top Productivity and Top Market Share Awards) ให้แก่ผู้จำหน่ายอีกด้วย ประกอบด้วย

รางวัลประสิทธิภาพการขายสูงสุด สำหรับผู้จำหน่าย เขตกรุงเทพฯ

  1. รางวัลประสิทธิภาพการขายสูงสุด (รวมทุกประเภทรถยนต์) : บริษัท มิตซูรุ่งเจริญ จำกัด (สำนักงานใหญ่)
  2. รางวัลยอดขายรถยนต์นั่งส่วนบุคคล : บริษัท มิตซูรุ่งเจริญ จำกัด (สำนักงานใหญ่)
  3. รางวัลยอดขายรถกระบะ : บริษัท มิตซูรุ่งเจริญ จำกัด (สำนักงานใหญ่)

รางวัลส่วนแบ่งการตลาดยอดเยี่ยม สำหรับผู้จำหน่าย เขตต่างจังหวัด

  1. รางวัลส่วนแบ่งการตลาดยอดเยี่ยม (รวมทุกประเภทรถยนต์)
    1. กลุ่มตลาดขนาดใหญ่ : บริษัท มิตซูอยุธยา (ไทยธาดา) จำกัด จากจังหวัดพระนครศรีอยุธยา
    2. กลุ่มตลาดขนาดกลาง : บริษัท มิตซูศรีสะเกษทีทีออโต้ จำกัด และ บริษัท มิตซูไทยยนต์ จำกัด (ศรีสะเกษ) จากจังหวัดศรีสะเกษ
    3. กลุ่มตลาดขนาดเล็ก : บริษัท มิตซูไทยยนต์กลการ จำกัด จากจังหวัดพัทลุง
  2. รางวัลส่วนแบ่งการตลาดยอดเยี่ยม ประเภทรถยนต์นั่งส่วนบุคคล ไม่เกิน 7 ที่นั่ง (ร.ย. 1) บริษัท มิตซูเจียงหนองคาย จำกัด (สาขาบึงกาฬ) จากจังหวัดบึงกาฬ
  3. รางวัลส่วนแบ่งการตลาดยอดเยี่ยม ประเภทรถบรรทุกส่วนบุคคล (ร.ย. 3) บริษัท มิตซูไทยยนต์กลการ จำกัด จากจังหวัดพัทลุง
 

 

มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย นำโดย มร. โนโบรุ สึจิ (กลาง) ประธานคณะกรรมการบริษัท พร้อมด้วย มร. เรียวอิจิ อินาบะ (ที่ 5 จากขวา) กรรมการผู้จัดการใหญ่ และ นายสาโรจน์ มะอาจเลิศ (ที่ 5 จากซ้าย) กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ สายงานขายและบริการหลังการขาย มอบรางวัล “ผู้จำหน่ายยอดเยี่ยม” ปี 2566 (Mitsubishi Excellence Awards 2023) เพื่อแสดงความยินดีและยกย่องผู้จำหน่ายที่มีผลการดำเนินงานที่โดดเด่นและยอดเยี่ยมทั้งในด้านการขายและบริการหลังการขาย ในปีงบประมาณ 2566

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

‘พิสันต์’ เคาะมติที่ประชุมเห็นชอบ ผู้ทำประโยชน์ต่อกระทรวงวัฒนธรรม

 

เมื่อวันพุธที่ 12 มิถุนายน 2567 เวลา 13.30 น. ณ ห้องประชุมพญาพิภักดิ์ ชั้น 2 ศาลากลางจังหวัดเชียงราย อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย โดย สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย ได้จัดการประชุมคณะกรรมการคัดเลือกผู้ทำคุณประโยชน์ต่อกระทรวงวัฒนธรรม ระดับจังหวัด ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2567 เพื่อยกย่อง เชิดชูเกียรติภาคีเครือข่ายที่เข้ามามีส่วนร่วมขับเคลื่อนโครงการ/งาน/กิจกรรม และทำประโยชน์เพื่อชุมชน สังคม ร่วมกับหน่วยงานในสังกัดและหน่วยงานภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงวัฒนธรรม  จำนวน 3 ประเภท ได้แก่ ประเภทเด็กหรือเยาวชน , ประเภทบุคคลธรรมดา และประเภทนิติบุคคลหรือคณะบุคคล โดยพิจารณาคัดเลือกประเภทละ 1 ราย/แห่ง/คณะ เพื่อเสนอชื่อเข้ารับการคัดเลือกเป็นผู้ทำคุณประโยชน์ต่อกระทรวงวัฒนธรรม ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567

 

นายพุฒิพงศ์ ศิริมาตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย มอบหมายให้ นายพิสันต์ จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย เป็น ประธานการประชุมฯ  พร้อมด้วยคณะกรรมการที่ได้รับคำสั่งแต่งตั้งจากจังหวัดเชียงรายเข้าร่วมการประชุมดังกล่าวผลการพิจารณามติที่ประชุมเห็นชอบ เสนอชื่อผู้ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมตามเกณฑ์ เพื่อเข้ารับการคัดเลือกเป็นผู้ทำคุณประโยชน์ต่อกระทรวงวัฒนธรรม ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 มีดังนี้

 

  • ประเภทเด็กหรือเยาวชน ได้แก่ นายวงศ์วริศ บูราณ นักเรียนโรงเรียนสามัคคีวิทยาคม อำเภอเมืองเชียงราย
  • ประเภทบุคคลธรรมดา ได้แก่ นางสาวภัททิรา วิภวภิญโญ อาจารย์มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง อำเภอเมืองเชียงราย
  • ประเภทนิติบุคคล หรือคณะบุคคล ได้แก่ บริษัทโตโยต้าเชียงราย จำกัด อำเภอเมืองเชียงราย

 

ทั้งนี้ จังหวัดเชียงรายจะได้ส่งผลงานพร้อมเอกสารของผู้ได้รับการคัดเลือกฯ ดังกล่าว ให้สำนักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรมพิจารณาคัดเลือกเป็นผู้ทำคุณประโยชน์ต่อกระทรวงวัฒนธรรม ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 ต่อไป ซึ่งผู้ได้รับคัดเลือกฯ จะได้รับโล่รางวัล “วัฒนคุณาธร” จากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมในวันสถาปนากระทรวงวัฒนธรรม หรือวันที่กระทรวงวัฒนธรรมกำหนด

 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สนง.วัฒนธรรม เชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

วิสาหกิจชุมชนเชียงรายอุ่นไอรักษ์ ประสานเจ้าหน้าที่ขอขยายเขตไฟฟ้า

 
เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2567 วิสาหกิจชุมชนเชียงรายอุ่นไอรักษ์ จัดให้มีการประชุมสมาชิกวิสาหกิจชุมชนเชียงรายอุ่นไอรักษ์ เพื่อคัดเลือกประธานและกรรมการวิสาหกิจชุมชนฯ ชุดใหม่ แทนชุดเดิมที่หมดวาระ โดยผลการเลือกตั้ง นายประสงค์ พรมวงศ์ ได้รับเลือกเป็นประธานวิสาหกิจชุมชนเชียงรายอุ่นไอรักษ์ มีวาระการดำรงตำแหน่ง 4 ปี 
 

       นายประสงค์ พรมวงศ์ ประธานวิสาหกิจชุมชนเชียงรายอุ่นไอรักษ์ เปิดเผยภายหลังได้รับเลือกเป็นประธานฯ ว่า นโยบายที่ให้ไว้กับสมาชิกวิสาหกิจชุมชนฯ คือ “ทำให้ถูกต้อง ซื่อตรง” ซึ่งตนเองจะนำมาใช้เป็นแนวทางการดำเนินงานบริหารวิสาหกิจชุมชนเชียงรายอุ่นไอรักษ์ ตลอดระยะเวลา 4 ปีที่ดำรงตำแหน่ง
 

นายประสงค์ พรมวงศ์ เปิดเผยว่า ได้คัดเลือกคณะกรรมการวิสาหกิจชุมชนเชียงรายอุ่นไอรักษ์ ดังนี้ ฝ่ายวิชาการได้แก่ คุณสุรพลไชย ผดุงพงษ์ศิริ ฝ่ายพัฒนา นายศักดิ์ งามแสง และนายสุพจน์ สุนีราช ฝ่ายเหรัญญิกนางมณีรัตน์ ใจสุภาพ ฝ่ายเลขานุการ คุณคนึงนิตย์ วงศ์จันทร์ อาจารย์ไพบูลย์ สมใจ ฝ่ายปฏิคม คุณเมธา อุทิต ฝ่ายประชาสัมพันธ์ คุณศิวพล คุณธีรวัฒน์ นารี ที่ปรึกษา นายจำรัส บำรุงแคว้น หรือลุงน้อย นายสุเทพ ใจวรรณะ อาจารย์เจริญชัย สมใจ อาจารย์วิไลวรรณ นางอุไรวรรณ งามแสง นายเดชสิทธิ์ พรมปัญญา และคณะกรฝ่ายแต่ละฝ่ายจะคัดเลือกคณะทำงานเอง ซึ่งรายชื่อจะได้แจ้งในการประชุมครั้งต่อไป
 

      ด้านนายจำรัส บำรุงแคว้น หรือลุงน้อย อดีตประธานวิสาหกิจชุมชนเชียงรายอุ่นไอรักษ์ ได้กล่าวเพื่อส่งมอบตำแหน่งให้กับนายประสงค์ พรหวงศ์ ประธานคนใหม่ ว่า หากมีปัญหาต่าง ๆ สามารถปรึกษาได้ พร้อมช่วยเหลือกลุ่มให้เดินไปข้างหน้า
 

       สำหรับ ผลการดำเนินการด้านการออมและการถอนเงินหุ้น เงินออม วิสาหกิจชุมชนเชียงรายอุ่นไอรักษ์ ประจำปี 2567 เงินหุ้นคงเหลือ 404,640 บาท เงินออม 197,568 บาท ยอดรวม 602,208 บาท
 

       ด้านนายกุลพัชร ภูมิใจอวด ผู้อำนวยการ สถาบันบริหารจัดการธานคารที่ดิน (องค์การมหาชน) บจธ.เปิดเผยว่า กลุ่มวิสาหกิจชุมชนเชียงรายอุ่นไอรักษ์ ตั้งอยู่ ต.ริมกก อ.เมืองเชียงราย จ.เชียงราย เป็นวิสาหกิจฯ ที่ สถาบันบริหารจัดการธานคารที่ดิน (องค์การมหาชน) บจธ. จัดซื้อที่ดินภายใต้โครงการบริหารจัดการที่ดินอย่างยั่งยืน เมื่อวันที่ 8 มกราคม 2563 เนื้อที่ 68-2-54.5 ไร่ ปัจจุบันจำนวนสมาชิก 68 ครัวเรือน 
 

      ทั้งนี้ บจธ.ได้ดำเนินการประสาน การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคจังหวัดเชียงราย ขอขยายเขตไฟฟ้ามาติดตั้งในพื้นที่โครงการฯ เพื่อความสะดวกแก่สมาชิก ปัจจุบันสมาชิกในกลุ่มประกอบอาชีพเกษตรกรรม ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง มีการเลี้ยงสัตว์ เลี้ยงเป็ด เลี้ยงปลา ปลูกพืชผัก ปลูกผักพื้นบ้านปลอดสารเคมี รวมทั้งไม้ผล ไม้ยืนต้นทุกแปลง สร้างเป็นกลุ่มอาชีพหลายกลุ่ม สามารถเก็บผลผลิตจำหน่ายและบริโภคในครัวเรือน รวมทั้งจำหน่ายผลิตภัณฑ์แปรรูปเช่นน้ำพริก และขนมเปี๊ยะ มาอย่างต่อเนื่อง
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เครือข่ายคนฮักแม่น้ำโขง 8 จังหวัด หารือฟื้นฟูแม่น้ำโขงให้สมบูรณ์

 
เมื่อวันที่ 9 มิ.ย. 67 ที่โรงแรมทีคการ์เดน อ.เชียงของ จ.เชียงราย นายวีรวิชญ์ เธียรชัยนันท์อำนวยการโครงการแม่โขงเพื่ออนาคต Mekong for the future องค์การกองทุนสัตว์ป่าโลกสากล (WWF) และนายธนวัจน์ คีรีภาส รองผู้อำนวยการโครงการแม่โขงเซฟการ์ด มูลนิธิเอเชีย  Asia Foundation เป็นประธานการประชุมรายงานผลการดำเนินงาน โครงการเสริมสร้างความเข้มแข็งแก่ชุ่มชนลุ่มน้ำโขงในภาคเหนือ และการประชุมสัญจรเครือข่ายคนฮักแม่น้ำโขง (Hug Mekong Network) ครั้งที่ 3 โดยมี นายธีระพงศ์ โพธิ์มั่น  ผู้อำนวยการสถาบันชุมชนลุ่มน้ำโขง นายสมเกียติ เขื่อนเชียงสา นายกสมคมแม่น้ำเพื่อชีวิต เจ้าหน้าที่จาก  Asia Foundation WWF นางอ้อมบุญ ทิพย์สุนา เครือข่ายสภาองค์กรชุมชนลุ่มน้ำโขง 7 จังหวัดภาคอีสาน  เครือข่ายชาวบ้านริมแม่น้ำโขงจาก 8 จังหวัดริมแม่น้ำโขง และเครือข่ายสมาคมชุมชนสีเขียว สปป.ลาว เข้าร่วมการประชุม
 

        โดยการประชุมครั้งนี้เป็นการรายงานผลการวิจัย เรื่องผลกระทบจากการพัฒนาเกินความพอดีที่ส่งผลต่อวิถีชีวิต ผู้คนและวัฒนธรรมของชุมชนในลุ่มแม่น้ำโขง และกดำเนินโครงการเสริมสร้างความเข้มแข็งแก่ชุมชนลุ่มน้ำโขง โดย นายธีระพงษ์ โพธิ์มั่น ผศ.ดร.สหัทยา วิเศษ  
 

        นายธีรพงษ์ กล่าวว่า โครงการได้มีการเปิดโครงการครบรอบแล้ว 1 ปี โดยหวังว่าผลลัพของโครงการจะเป็นประโยชน์ต่อชุมชน สิ่งที่เราร่วมมือกันมากว่า 1 ปี เราได้ทำงานในพื้นที่ อ.เชียงแสน อ.เชียงของ อ.เวียงแก่น จ.เชียงราย โดยได้รับความสนับสนุนจาก แม่โขงเซฟการ์ด และแม่โขงฟอร์เดอะฟิวเจอร์ มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอสิ่งที่เกิดขึ้นกกับแม่น้ำโขง ให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการแก้ไขปัญหาต่างๆ ลุ่มแม่น้ำโขง
 

        การดำเนินการของโครงการที่ผ่านมาเป็นการร่วมมือของชุมชุนลุ่มแม่น้ำโขง ในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น ซึ่งความเป็นมาของโครงการ คือ การเกิดปัญหาจากการพัฒนาในแม่น้ำโขง ในทั้งภาคเหนือและภาคอีสานของไทย ซึ่งเกิดปัญหามาอย่างยาวนานกว่า 30 ปี ที่ผ่านมา การแก้ไขปัญหาที่ผ่านมาเป็นการแก้ไขโดยคนลุ่มน้ำโขงเอง และยังไม่มีภาครัฐเข้ามาช่วยเหลือ ทำให้เกิดการหาข้อมูลเพื่อให้ภาครัฐ และองค์กรต่างๆ ได้รับทราบถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับแม่น้ำโขง ทั้งเรื่องการขึ้นลงที่ผิดปกติ ระบบนิเวศ และการหาอยู่หากินกับแม่น้ำโขงลำบากมากขึ้น ซึ่งโครงการนี้เป็นการเริ่มต้นเพื่อให้เกิดการแก้ไขปัญหากับแม่น้ำโขงอย่างแท้จริง เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงภและฟื้นฟูแม่น้ำโขงให้กลับมาเป็นแม่น้ำที่อุดมสมบูรณ์ โดยเริ่มจากเรื่องปากท้องของคนลุ่มแม่น้ำโขง นอกเหนือจากการเก็บข้อมูลงานวิจัย  ในระยะยาวจะทำให้เกิดเครือข่ายคนลุ่มแม่น้ำโขง ในการเคลื่อนไหวด้านข้อมูล โดยมีแผนงานคือ 1  เก็บข้อมูลคนลุ่มแม่น้ำโขง ว่ามีความเป็นอยู่อย่างไรบ้าง มีกี่หมู่บ้าน สาขาอาชีพ ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับแต่ละชุมชน 2 การเก็บข้อมูลผลกระทบ การทำวิจัย เรื่องพืช การหาปลา การหาอยู่หากินของแมญิงลุ่มแม่น้ำโขง 3 การแก้ไขปัญหาระยะสั้น ในการทำวิจัย เพื่อให้หน่วยงานและองค์การที่เกี่ยวข้องเข้ามาช่วยเหลือและแก้ปัญหาให้กับคนลุ่มแม่นน้ำโขง 
 

       ผศ.ดร.สหัทยา กล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงของแม่น้ำโขง ได้มีการเก็บรวบรวมข้อมูลโดยทำงานร่วมกับเจ้าหน้าที่สมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิต และสถาบันชุมชนลุ่มน้ำโขง โดยได้รับฟังข้อมูลจากประชาชนที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากการเปลี่ยนแปลงของแม่น้ำโขง โดยลงพื้นที่สำรวจ โดยเก็บข้อมูลจาก 305 คน จาก 38 ชุมชน ริมแม่น้ำโขง อ.เชียงแสน อ.เชียงของ อ.เวียงแก่น จ.เชียงราย กลุ่มเป้าหมายคือ กลุ่มที่ใช้ประโยชน์จากแม่น้ำโขงโดยตรงและทางอ้อม เช่นชาวประมง ผู้อาศัยริมแม่น้ำโขง  และกลุ่มหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับแม่น้ำโขง ภาครัฐ เอกชน องค์กรอิสระ
 

       จากนั้นได้มีการจัดเวทีเสวนาในหัวข้อ ข้อค้นพบจากงานวิจัยไทบ้าน และแนวทางแก้ไขปัญหาของภาคประชาชนต่อกรเปลี่ยนแปลงของแม่น้ำโขงจากการโครงการพัฒนาโดย เครือข่ายฮักแม่น้ำโขง 
 

        นางสาวจรรยา จันทร์ทิพย์ กล่าวว่า พืชริมน้ำหายไปหลังจากการเปลี่ยนแปลงของแม่น้ำโขง ที่เกิดจากการสร้างเขือ่นในแม่น้ำโขงพื้นที่ที่ผักเคยงอกขึ้นได้ ก็ไม่สามารถขึ้นได้เพราะน้ำขึ้นลงไม่เป็นไปตามธรรมชาติ พี่น้องเราริมแม่น้ำโขงก็ต้องปรับตัวโดยการปลูกพืชริมแม่น้ำ โดยการปลูกพืชอายุสั้นที่เก็บเกี่ยวได้เร็ว เพราะไม่สามารถคาดเดาได้ว่าน้ำจะมาเมื่อไหร่ ปัจจุบัน วิถีชีวิตเปลี่ยนไปจากเดิมเพราะแม่น้ำไม่สามารถเลี้ยงชีพได้ก็ต้องหาทางออกอย่างอื่นเช่นการเลี้ยงปลา และปลูกผัก ที่ต้องปรับตัว 
 

       นายมานพ มณีรัตน์ ผู้ใหญ่บ้านปากอิง  กล่าวว่า ชุมชนปากอิงได้ได้รับผกระทบจากที่ดิน ริมแม่น้ำที่หายจากการสร้างเขื่อนป้องกันริมตลิ่ง ทำให้พื้นที่ทำการเกษตรหายไป ที่ดินทำการเกษตรไม่มีแล้ว ปัจจุบัน รณรงค์ให้ชาวบ้านปลูกผักไว้เพื่อบริโภค ในครัวเรือน แต่ก็เป็นไปได้ยากเพราะพื้นที่มีไม่เพียงพอ ซึ่งก็เป็นเรื่องยากของชุมชน อาชีพกรประมงของชาวบ้านในพื้นที่ปากอิงก็ได้รับผลกระทบเพราะการหาปลาก็หาไม่ได้ ปัจจุบันเราไม่สามารถพึ่งพาและคาดเดาได้กับแม่น้ำโขง คนรุ่นใหม่เริ่มออกไปทำงานนอกหมู่บ้าน เหลือเพียงผู้สูงอายุอยู่ ซึ่งกังวลว่าในอนาคตวัฒนธรรมท้องถิ่นก็จะหายไปด้วย ซึ่งจะเป็นผลกระทบจากแม่น้ำโขงที่ทำให้คนรุ่นใหม่ไม่สามารถดำรงค์ชีพได้ในชุมชน 
 

       นายอภิเชษ คำมะวงซ์ กล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงในแม่น้ำโขงให้การประมงในพื้นที่ริมแม่น้ำโขงเริ่มหายไป คนที่หากินกับแม่น้ำโขงต้องเพาะพันธุ์ปลาเพื่อเลี้ยงชีพ แทนการหาปลาในแม่น้ำโขงเพราะปลาตามธรรมชาติน้อยลง ซึ่งคนริมแม่น้ำโขงต้องหาทางออกโดยการปรับตัวเพื่อให้สามารถอยู่รอดได้ โดยการสร้างอาชีพจากการเลี้ยงปลากดคัง ปลาน้ำโขง เพื่อให้สามรถนำมาจำหน่ายเพื่อเลี้ยงครอบครัว 
 

        นางสมจิตร ทิศา กล่าวว่า แม่น้ำโขงเปลี่ยนไปมาก เมื่อก่อนสามารถปลูกผัก ทำเกษตรริมแม่น้ำโขง จนสามารถส่งลูกเรียนหนังสือได้จนจบปริญญาตรี แต่ปัจจุบัน แม่น้ำโขงน้ำขึ้นลงไม่เป็นไปตามธรรมชาติ ทำให้การทำเกษตรคาดเดาไม่ได้ ไร่ข้าวโพดริมแม่น้ำโขงที่เคยปลูกได้จำนวนมาก ก็เหลือพื้นที่น้อยลง เพราะระดับน้ำขึ้นมาสูงกินพื้นที่เพาะปลูก พืชสวนที่ปลูกไว้เพื่อขายก็ไม่สามารถทำได้ เพราะคาดเดาไม่ได้ว่าน้ำจะมาเมื่อไหร่ ลงทุนปลูกไปก็กลัวว่าน้ำจะพัดเสียหาย การหาปลาในแม่น้ำโขงเมื่อก่อนถึงเวลามื้ออาหาร ลงน้ำโขงหาปลา สามารถทานได้ทั้งครอบครัว ปัจจุบันลงน้ำหาปลาทั้งวันไม่ได้สักตัวเลยก็มี 
 

        ในช่วงบ่ายเป็นการแลกเปลี่ยนข้อมูลของเครือข่ายคนฮักแม่น้ำโขง ครั้งที่  3  โดยมีการสรุปแนวทางความร่วมมือในการัดการแม่น้ำโขงอย่างยั่งยืน การแลกเปลี่ยนสถานการณ์ และแนวทางการแก้ไขจากชุมชน รวมไปถึงการทำงานภายใต้เครือข่ายฮักแม่น้ำโขง  เพื่อเป็นแนวทางในการทำงานร่วมกันกับเครือข่ายแม่น้ำโขงภาคเหนือและภาคอีสาน
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

อบจ.เชียงราย ร่วมส่งผลิตภัณฑ์ ป้องกำจัดลูกน้ำยุง แม่จัน – แม่ฟ้าหลวง

 

เมื่อวันจันทร์ ที่ 10 มิถุนายน 2567 เวลา 09.00 น. นายก นก อทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย พร้อมด้วย นายประเสริฐ ชุ่มเมืองเย็น รองประธานสภา อบจ.เชียงราย อำเภอแม่จัน เขต 1 นางปาริชาติ จิระมณี ส.อบจ.เชียงราย อำเภอแม่จัน เขต 3 อ.แม่จัน และเจ้าหน้าที่กองสาธารณสุข อบจ.เชียงราย มอบผลิตภัณฑ์ป้องกันและกำจัดลูกน้ำยุงชนิดเม็ด (Mosdop TB) ให้แก่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ในสังกัด อบจ.เชียงราย อ.แม่จัน ณ หอประชุมที่ว่าการ อ.แม่จัน

 

จากนั้น เวลา 13.00 น. นายก นก นายก อบจ.เชียงราย และเจ้าหน้าที่กองสาธารณสุข อบจ.เชียงราย เข้ามอบผลิตภัณฑ์ป้องกันและกำจัดลูกน้ำยุง ให้แก่ รพ.สต.ในสังกัด อบจ.เชียงราย อ.แม่ฟ้าหลวง ณ ห้องประชุม รพ.สต.เล่าลิ่ว
 
 
ทั้งนี้ การมอบผลิตภัณฑ์ป้องกันและกำจัดลูกน้ำยุง ในพื้นที่ อ.แม่จัน และ อ.แม่ฟ้าหลวง เป็นการตัดวงจรการเกิดของยุงลาย ซึ่งเป็นพาหะแพร่เชื้อสู่คน ซึ่งในพื้นที่ต่างๆของจังหวัดเชียงราย เริ่มพบผู้ป่วยไข้เลือดออก และยังมีแนวโน้มที่จะสูงขึ้น ซึ่งอาการของผู้ได้รับเชื้อนั้น จะมีอาการดังนี้
 
 
มีไข้สูงกว่า 38 องศาเซลเซียส ปวดหัวรุนแรง ปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อ กระดูก และข้อต่อปวดกระบอกตา ตาแดง มีผื่นแดงขึ้นบริเวณผิวหนัง เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน อาจท้องผูกหรือ ท้องเสีย และอาจถ่ายเป็นสีดำ ปวดท้องบริเวณชายโครงขวา หากมีอาการรุนแรงอาจเกิดอาการเลือดออกผิดปกติตามร่างกาย เช่น เลือดออกตามผิวหนัง เลือดออกที่เยื่อบุคอ หรือเลือดกำเดาไหล เป็นต้น
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เพิ่มช่องและการประชาสัมพันธ์ ลดอุบัติเหตุสช่วงเทศกาลสงกรานต์

 

เมื่อวันที่ 10 มิ.ย. 67 นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานการประชุมถอดบทเรียนการดำเนินการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน ช่วงเทศกาลสงกรานต์ ปี 2567 ณ ห้องประชุม 1 ชั้น 2 อาคารตำรวจภูธรจังหวัดเชียงราย ต.ริมกก อ.เมืองเชียงราย โดยมีคณะกรรมการจากภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุมถอดบทเรียน ทั้งนี้ นายครรชิต ชมพูแดง หัวหน้าสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย ได้รายงานผลการดำเนินงาน พร้อมดำเนินการถอดบทเรียน ตามประเด็น และมาตรการที่ได้ดำเนินการ ทั้ง 5 ด้าน

 

จากข้อมูลอุบัติเหตุสะสม ช่วงเทศกาลสงกรานต์ ปี 2567 ( 11-17 เมษายน 2567 ) ที่ผ่านมามีสถิติการเกิดอุบัติเหตุทางถนนจังหวัดเชียงราย จำนวน 82 ครั้ง บาดเจ็บ 71 ราย และมีผู้เสียชีวิต 17 ราย ซึ่งในการถอดบทเรียนจากผลการปฏิบัติงานตามประเด็นมาตรการ ทั้ง 5 ด้าน ได้แก่ มาตรการด้านการบริหารจัดการ ด้านลดปัจจัยเสี่ยงด้านถนนและสภาพแวดล้อม ปัจจัยเสี่ยงด้านยานพาหนะ ด้านผู้ใช้รถใช้ถนนที่ขาดความตระหนักถึงความปลอดภัย และมาตรการตอบสนองหลังเกิดอุบัติเหตุและการเยียวยา โดยทุกมาตรการ ที่ประชุมมีความเห็นให้เน้นการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนรับรู้ เข้าใจ และมีส่วนร่วม ผ่านช่องทางต่างๆ เช่น สื่อสารผ่านกลุ่มไลน์ / FACEBOOK สถานีวิทยุกระจายเสียง
 
 
รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย กล่าวว่า ให้เพิ่มช่องและการประชาสัมพันธ์ผ่านเสียงตามสายในหมู่บ้าน และสถานที่ท่องเที่ยวทุกแห่ง และในงานประเพณีที่จัดในช่วงเทศกาลสงกรานต์ทุกงาน เพื่อกระตุ้นเตือนให้ประชาชนตระหนัก ถึงความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน การรณรงค์การสวมหมวกนิรภัยภายในสถานศึกษา ทุกแห่ง และปลูกฝังจิตสำนึกตั้งแต่วัยเด็กรวมถึงการอบรมให้ความรู้ด้านวินัยจราจร
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SPORT

จ.สกลนคร ส่งต่อเจ้าภาพเชียงรายกรีฑาสูงอายุชิงชนะเลิศ ครั้งที่ 29

 

เมื่อวันที่ 10 มิ.ย. 67 นางอุบลรัตน์ พ่วงภิญโญ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานการประชุมเตรียมความพร้อมการแข่งขันกรีฑาสูงอายุชิงชนะเลิศประเทศไทย ครั้งที่ 29 ประจำปี 2568 ณ ห้องประชุมพญาพิภักดิ์ ศาลากลางจังหวัดเชียงราย โดยมี นางชญาณ์นันท์ เชื้อศิริถาวร ผู้อำนวยการสำนักงานการกีฬาแห่งประเทศไทย จังหวัดเชียงราย และคณะกรรมการฝ่ายต่างๆ เข้าร่วมประชุมเพื่อหารือและพิจารณาถึงบทบาทหน้าที่รับผิดชอบของสมาคมกรีฑาผู้สูงอายุไทย และจังหวัดเจ้าภาพคือจังหวัดเชียงราย ซึ่งได้มีการจัดการแข่งขันกรีฑาสูงอายุชิงชนะเลิศประเทศไทย ครั้งที่ 28 ประจำปี 2567 ณ จังหวัดสกลนคร มาแล้วและได้ส่งต่อเจ้าภาพให้กับจังหวัดเชียงราย ต่อไป

โดยก่อวาระการประชุมได้มีการแนะนำตัวคณะสมาคมกรีฑาผู้สูงอายุไทยต่อที่ประชุม คือ นายวิวัฒน์ วิกราตโนรส นายกกิตติมศักดิ์ สมาคมกรีฑาผู้สูงอายุไทย นางสาวจันทร พิมพ์สกุล ที่ปรึกษาสมาคมกรีฑาผู้สูงอายุไทย นายเพิ่มศักดิ์ สุริยจันทร์ นายกสมาคมกรีฑาผู้สูงอายุไทย ซึ่งเป็นองค์กรกีฬาระดับชาติ ได้รับอนุญาตจัดตั้งตามพระราชบัญญัติการกีฬาแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2558 เป็นสมาชิกของสหพันธ์กรีฑสูงอายุแห่งเอเชียและสหพันธ์ฯโลก มีวัตถุประสงค์หลักในการดำเนินกิจกรรมกรีฑาสูงอายุ เพื่อสร้างพื้นที่และโอกาสให้แก่ประชาชนโดยทั่วไปและอดีตนักกีฬาทีมชาติที่พ้นจากระบบกีฬาเพื่อความเป็นเลิศ ได้เข้าถึงกิจกรรมกีฬาโดยต่อเนื่องตามอุดมการณ์การส่งเสริมให้ทุกคนมีโอกาสเล่นกีฬาต่อเนื่องตลอดชีวิต
 
 
สำหรับที่ประชุม ได้มีการชี้แจงรายละเอียดโครงการแข่งขันกรีฑาสูงอายุชิงชนะเลิศประเทศไทย ด้วยจังหวัดเชียงราย ร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) สมาคมกีฬาแห่งจังหวัดเชียงราย สำนักงานการกีฬาแห่งจังหวัดเชียงราย และได้รับเกียรติจากสมาคมกรีฑาผู้สูงอายุไทย ให้เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกรีฑาสูงอายุชิงชนะเลิศประเทศไทย ครั้งที่ 29 ประจำปี 2568 ณ จังหวัดเชียงราย โดยได้กำหนดจัดการแข่งขันฯ ในระหว่างวันที่ 13-16 กุมภาพันธ์ 2568 ณ สนามกีฬากลางจังหวัดเชียงราย โดยจะมีพิธีเปิดอย่างเป็นทางการในวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2568 โดยจะมีการประชุมคณะกรรมการฝ่ายต่างๆ เพื่อเตรียมความพร้อมการจัดการแข่งขันฯ ต่อไป
 
 
สำหรับการจัดการแข่งขันกรีฑาผู้สูงอายุชิงชนะเลิศประเทศไทย เริ่มจัดการแข่งขันครั้งแรก ในปี พ.ศ. 2539  ครั้งที่ผ่านมาเป็นการจัดการแข่งขัน ครั้งที่ 28 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมให้ผู้สูงอายุมีทัศนคติด้านบวก ในการรักการออกกำลังกาย  ส่งเสริมผู้สูงอายุ ที่มีความสามารถด้านกรีฑา ได้มีโอกาสเข้าร่วมการแข่งขัน และได้พัฒนาตนเองเป็นตัวแทนระดับจังหวัด ระดับภาค ระดับชาติ และยังเป็นการคัดเลือกนักกรีฑาผู้สูงอายุ เป็นตัวแทนทีมชาติไทยเข้าร่วมการแข่งขันกรีฑาผู้สูงอายุชิงแชมป์เอเชีย ต่อไป   โดยมีนักกีฬาสมัครเข้าร่วมการแข่งขันทั้งสิ้น  1,281 คน   ประกอบด้วย  นักกีฬาไทย 896  คน นักกีฬาเพื่อสุขภาพ 300  คน และนักกีฬาจากต่างประเทศ อีก 85  คน
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

เปิดรายชื่อ “เลือกสว.67” เชียงราย ผู้ได้รับเลือกระดับอำเภอ เช็คทั้งหมดได้ที่นี่

 

เมื่อวันที่ 9 มิ.ย. 67  ข้อมูลการเลือกสมาชิกวุฒิสภา 2567 หรือ สว. 2567 ในการเลือกระดับอำเภอ ในวันที่ 9 มิ.ย. มีจำนวนผู้มารายงานตัวรอบแรก จำนวน 43,818 คน โดยเป็นชาย 25,459 คน และเป็นหญิง 18,359 คน

จำนวนผู้ได้รับเลือกระดับอำเภอ รอบแรก จำนวน 32,190 คน เป็นชาย 19,754 ราย และ เป็นหญิง 12,436 คน จากนั้นการเลือกในรอบที่ 2 ระดับอำเภอ หรือการจับฉลากแบ่งสายเลือกไขว้ ได้จำนวนผู้ได้รับเลือก เข้าไปสู่การเลือกในระดับจังหวัด จำนวน 23,645 คน โดยเป็นชาย 15,077 คน และเป็นหญิง 8,568 คน

ทั้งนี้ จากจำนวนผู้สมัครรับเลือกเป็น สว.ที่มีคุณสมบัติ ตามกฎหมายและประกาศเป็นบัญชีผู้สมัคร สว. 46,206 คน เมื่อวันที่ 29 พ.ค.ที่ผ่านมา โดยผู้มีสิทธิ์เลือกหลังการเพิ่มชื่อและถอนชื่อแล้วมีจำนวน 45,753 คน ซึ่งเป็นชาย 26,436 คน และเป็นหญิง 19,317 คน

ซึ่งหลังจากนี้สำนักงาน กกต.รันหมายเลขผู้สมัคร สว.ในรอบการเลือกระดับจังหวัดวันนี้ (10 มิ.ย.67) ส่วนในวันถัดไปจะประกาศลงในเว็บไซต์ของสำนักงาน กกต.และแอปพลิเคชัน “สมาร์ทโหวต” เพื่อให้ประชาชนได้ติดตามตรวจสอบต่อไป

สำหรับผู้ที่ได้รับเลือกระดับอำเภอไประดับจังหวัดรายกลุ่ม 20 กลุ่มสาขาอาชีพ โดยกลุ่มผู้สูงอายุมีผู้ผ่านเข้ารอบระดับจังหวัดมากที่สุด ซึ่งผู้สมัครที่เข้ารอบในแต่ละกลุ่ม ประกอบด้วย

กลุ่มที่ 1 กลุ่มบริหารราชการแผ่นดินและความมั่นคง 1,332 คน

กลุ่ม2 กลุ่มกฏหมายและกระบวนการยุติธรรม 1,171 คน

กลุ่ม 3 กลุ่มการศึกษา 1,975 คน

กลุ่ม4 กลุ่ม สาธารณสุข 1,024 คน

กลุ่ม 5 กลุ่ม กลุ่มอาชีพทำนาปลูกพืชล้มลุก 1,460 คน

กลุ่ม 6 กลุ่มอาชีพทำสวนป่าไม้ ปศุสัตว์ ประมง 1,565 คน

กลุ่ม7 กลุ่มพนักงานหรือลูกจ้างของบุคคลซึ่งมิใช่ส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐ ผู้ใช้แรงงาน 1,261 คน

กลุ่ม 8 กลุ่มประกอบอาชีพด้านสิ่งแวดล้อม ผังเมือง อสังหาริมทรัพย์และสาธารณูปโภคทรัพยากรธรรมชาติพลังงานพลังงาน 756 คน

กลุ่ม 9 กลุ่ม ผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อมตามกฏหมายว่าด้วยการนั้น 1,057 คน

กลุ่ม 10 กลุ่ม ผู้ประกอบกิจการอื่นนอกเหนือจากกิจการตามกลุ่ม 9 จำนวน 808 คน

กลุ่ม 11 กลุ่มผู้ประกอบธุรกิจหรืออาชีพด้านการท่องเที่ยว 707 คน

กลุ่ม 12 กลุ่มผู้ประกอบอุตสาหกรรม 443 คน

กลุ่ม 13 กลุ่มผู้ประกอบอาชีพด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีการสื่อสารการพัฒนานวัตกรรม 671 คน

กลุ่ม 14 กลุ่มสตรี 1,800 คน

กลุ่ม 15 กลุ่มผู้สูงอายุคนพิการฯ 1,984 คน

กลุ่ม 16 กลุ่ม ศิลปะวัฒนธรรมดนตรีการแสดงและบันเทิง นักกีฬา 1,103 คน

กลุ่ม 17 กลุ่ม ประชาสังคมฯ 1,163 คน

กลุ่ม 18 กลุ่มสื่อสารมวลชน ผู้สร้างสรรค์วรรณกรรม 616 คน

กลุ่ม 19 กลุ่มผู้ประกอบวิชาชีพอาชีพอิสระ 1,465 คน

กลุ่ม 20 อื่นๆ 1,275 คน

โดยส่งให้ผู้อำนวยการการ เลือกระดับจังหวัด ปิดประกาศ ณ ที่ว่าการอำเภอ และเผยแพร่ในระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ (ซึ่งจะเผยแพร่ในแอปพลิเคชันสมาร์ทโหวต (Smart Vote) และทางเว็บไซต์ของสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง) ก่อนวันเลือกระดับจังหวัดไม่น้อยกว่า 3 วัน ผู้อำนวยการการเลือกระดับอำเภอหรือผู้ที่ผู้อำนวยการการเลือกระดับอำเภอมอบหมาย จัดทำเอกสารหรือข้อมูลแนะนำตัวของแต่ละกลุ่มที่อยู่ภายในเขตอำเภอของตน จากระบบบริหารจัดการการเลือก พร้อมทั้งแจ้งให้ผู้ได้รับเลือกระดับอำเภอมารับเอกสาร เพื่อให้ผู้ได้รับเลือกระดับอำเภอนำมาในวันเลือกระดับจังหวัด

 

ในพื้นที่จังหวัดเชียงรายได้มีการเตรียมความพร้อมของแต่ละอำเภอ นายพุฒิพงศ์ ศิริมาตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย และนายบัลลังก์ ไวทย์ศิริปลัดจังหวัดเชียงราย ร่วมเข้าสังเกตการณ์ที่ว่าการอำเภอแม่จัน มีผู้สมัคร 20 คน ส่วนที่ว่าการอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย มีผู้สมัคร 28 คน ในโอกาสเดียวกันมีนายณรงค์พล คิดอ่าน นายอำเภอแม่สาย มาร่วมสังเกตการณ์ในครั้งนี้ด้วย และผู้สมัครส่วนใหญ่เป็นกลุ่มอาชีพ เกษตรกร ค้าขาย ข้าราชการ และรับจ้าง
 
 
สำหรับผู้สังเกตการณ์ ต้องเป็นผู้ที่ได้แจ้งรายชื่อไว้กับทาง กกต. มาก่อนแล้ว จึงจะสามารถเข้ามาสังเกตการณ์ในอาคารโดมได้ ส่วนผู้สังเกตการณ์อื่น ที่ไม่ได้แจ้งชื่อมาก่อน จะให้สังเกตการณ์ นอกอาคาร ซึ่งจะมีพื้นที่และเก้าอี้ไว้สำหรับผู้มาสังเกตการณ์
 
 
โดยในเวลา 08.00 น. ผู้สมัครต้องรายงานตัวต่อกรรมการประจำสถานที่เลือกของกลุ่มที่ตนลงสมัคร ส่งมอบโทรศัพท์มือถือและเครื่องมือสื่อสาร และแสดงหลักฐานเป็น บัตรประจำตัวประชาชน หรือบัตรประจำตัวประชาชนที่หมดอายุ หรือหลักฐานอื่นใดของทางราชการหรือหน่วยงานของรัฐที่มีรูปถ่ายและมีเลขประจำตัวประชาชน จากนั้นเวลา 09.00 น. ผอ.การเลือกระดับอำเภอประชุมชี้แจงผู้สมัคร และเริ่มลงคะแนนรอบแรกเป็นการ “เลือกกันเอง” ในกลุ่มอาชีพ โดยผู้สมัครแต่ละคนโหวตได้ไม่เกิน 2 คะแนน จะลงคะแนนให้ตนเองก็ได้ แต่จะลงคะแนนให้บุคคลใดเกิน 1 คะแนนมิได้ ซึ่งในการลงคะแนนต้องเขียนเลขอารบิกลงไปในบัตร ถ้ากลุ่มใดมีผู้สมัครหรือผู้มารายงานตัวไม่เกิน 5 คน ให้ถือว่าทุกคนในกลุ่มนั้นเป็น ผู้ได้รับเลือกขั้นต้น ผ่านเข้าสู่รอบ “เลือกไขว้” ไปโดยปริยาย
 
 
ส่วนการนับคะแนนรอบแรก จะเกิดขึ้น ณ สถานที่เลือกภายหลังการปิดลงคะแนนแล้ว โดยผู้ได้รับคะแนนสูงสุด 5 ลำดับแรกของแต่ละกลุ่ม รวมถึงกลุ่มที่มีผู้สมัครหรือผู้มารายงานตัวไม่เกิน 5 คน ให้เป็นผู้ได้รับเลือกขั้นต้นในกลุ่มนั้น ๆ กรณีกลุ่มใดมีผู้ได้รับคะแนนเท่ากัน จนมีผู้ได้คะแนนสูงสุดเกิน 5 คน ให้ผู้ได้คะแนนเท่ากันจับสลากกันเองเพื่อหาผู้ได้รับเลือกขั้นต้นของกลุ่ม แต่ถ้ากลุ่มใดมีผู้ได้คะแนนไม่ถึง 5 คน ให้เฉพาะผู้ได้คะแนนเป็นผู้สมัครที่ได้รับเลือกขั้นต้นในกลุ่มนั้น จากนั้นผู้สมัครต้องจับสลากเพื่อแบ่งสายให้ผู้ได้รับเลือกขั้นต้นของแต่ละกลุ่มส่งตัวแทนไปจับสลากแบ่งสาย จำนวนไม่เกิน 4 สาย สายละ 3-5 กลุ่ม
 
 
หลังจากนั้นจะเริ่มลงคะแนนรอบสองเป็นการ “เลือกไขว้” กลุ่มอื่นที่อยู่ในสายเดียวกัน โดยผู้สมัครแต่ละคนต้องลงคะแนนให้ผู้สมัครที่มาจากกลุ่มอื่นที่อยู่สายเดียวกันกลุ่มละ 1 คน โดยจะเลือกตนเองหรือผู้สมัครกลุ่มเดียวกับตนเองมิได้
การนับคะแนนรอบสองจะเกิดขึ้น ณ สถานที่เลือกภายหลังการปิดลงคะแนนแล้ว โดยให้ผู้ได้รับคะแนนสูงสุด 3 ลำดับแรกของแต่ละกลุ่ม เป็นผู้ได้รับเลือกระดับอำเภอในกลุ่มนั้น กรณีกลุ่มใดมีผู้ได้รับคะแนนเท่ากัน จนมีผู้ได้คะแนนสูงสุดเกิน 3 คน ให้ผู้ที่ได้คะแนนเท่ากันจับสลากกันเองเพื่อให้ได้ผู้ได้รับเลือกระดับอำเภอในกลุ่มนั้น ถ้ากลุ่มใดมีผู้ได้คะแนนไม่ถึง 3 คน ให้เฉพาะผู้ได้คะแนนเป็นผู้ได้รับเลือกระดับอำเภอ จากนั้นจะประกาศผลนับคะแนนเบื้องต้นหลังเสร็จสิ้นกระบวนการทั้งหมด ผอ.การเลือกระดับอำเภอจะประกาศบัญชีรายชื่อผู้ได้รับเลือกระดับอำเภอ พร้อมจัดส่งให้ ผอ.การเลือกระดับจังหวัดปิดประกาศ ณ ที่ว่าการอำเภอ และเผยแพร่ในระบบอิเล็กทรอนิกส์ต่อไป
 
 
ทั้งนี้ ประชาชนทั่วไปสามารถเข้าถึงบัญชีรายชื่อผู้ได้รับเลือกระดับอำเภอ ได้ทางเว็บไซต์สำนักงาน คณะกรรมการการเลือกตั้ง https://senator.ect.go.th/ หรือ แอปพลิเคชันสมาร์ทโหวต (Smart Vote) และ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดทุกจังหวัด หรือสายด่วน 1444
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

แล้วใครทำ! หลังชาว ‘ปกาเกอะญอ’ อ.เวียงป่าเป้า ถูกทำลายไร่หมุนเวียน

 

เมื่อวันที่ 7 มิ.ย. 67 นายจรัสศรี จันทร์อ้าย สหพันธ์เกษตรกรภาคเหนือ ,นายศรุต ศรีจันทร์ ขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (ขปส.),นายนิราภร จะพอ ตัวแทนชุมชนห้วยหินลาดใน และ นายถนัด จะสุ ตัวแทนชุมชนห้วยหินลาดนอก ซึ่งเป็นตัวแทนจากชุมชนห้วยหินลาดใน ห้วยหินลาดนอก และบ้านผาเยือง ต.บ้านโป่ง อ.เวียงป่าเป้า จ.เชียงราย ประมาณ 20 คน เดินทางมารวมตัวที่บริเวณสำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 2 ต.เวียง อ.เมือง จ.เชียงราย เพื่อยื่นหนังสือถึงผู้อำนวยการสำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 2 จ.เชียงราย เพื่อขอให้ตรวจสอบกรณีมีชายแต่งชุดดำพร้อมอาวุธปืนเข้าไปบุกรุกและทำลายทรัพย์สินในพื้นที่ชุมชนและไร่หมุนเวียนของชาวปกาเกอะญอ บ้านห้วยหินลาดใน อ.เวียงป่าเป้า จ.เชียงราย เมื่อ 4 มิ.ย.67 ที่ผ่านมา โดยมี นายธนชัย จิตนาวณิชย์ ผู้อำนวยการส่วนป้องกันรักษาป่าและควบคุมไฟป่า มาพบตัวแทนและรับหนังสือ

 

นายธนชัย ได้แสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยได้ชี้แจงว่า กรณีได้มีเจ้าหน้าที่เข้าไปตรวจตราในพื้นที่ของเจ้าหน้าที่ป่าไม้ เป็นคำสั่งจากอธิบดีกรมป่าไม้ให้ตรวจสอบข้อมูลการเปลี่ยนแปลงพื้นที่ป่าตามโครงการจัดทำข้อมูลสภาพพื้นที่ป่าปี 2566 ทางสำนักจัดการที่ดินป่าไม้ สังกัดกรมป่าไม้ จึงได้ทำความร่วมมือกับคณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ศึกษาการเปลี่ยนแปลงจากดาวเทียม หากเดิมเป็นพื้นที่ป่า ดาวเทียมจะจับจุดสัญญาณได้เป็นสีเขียว หากมีการแผ้วถาง จุดสัญญาณจะเป็นสีขาว ซึ่งข้อมูลดาวเทียมจังหวัดเชียงราย พบจุดพิกัดสีขาวถึง 1,800 จุด จึงมีคำสั่งให้ตรวจสอบในระดับพื้นที่ ซึ่งในการเข้าไปตรวจสอบในพื้นที่ของเจ้าหน้าที่ป่าไม้ เป็นไปตามการอนุญาตภายใต้มาตรา 19 พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติ ซึ่งกรณีชุมชนห้วยหินลาดใน ทางหน่วยงานมีความเช้าใจในวิถีเกษตรแบบไร่หมุนเวียนของชุมชนเป็นอย่างดี ที่ผ่านมาก็ไม่เคยมีข้อขัดแย้งในการทำงานแต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม กรณีที่มีเจ้าหน้าที่ไม่ทราบสังกัดเข้าไปกระทำพฤติกรรมดังกล่าวในชุมชน ทางส่วนป้องกันรักษาป่าและควบคุมไฟป่าได้รับรายงานข้อมูลมาจากเจ้าหน้าที่ในสังกัดเช่นเดียวกัน แต่จากการซักถามเบื้องต้น ทางเจ้าหน้าที่ได้ปฏิเสธว่าไม่ได้กระทำ จึงเห็นว่าทางชุมชนอาจต้องไปแจ้งความเพื่อให้เกิดการสอบสวนจนได้ข้อยุติว่าใครคือผู้กระทำผิดจริง

 

โดยทาง ตัวแทนชุมชนห้วยหินลาดในและใกล้เคียง ต้องการเรียกร้องต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เนื่องจากการที่เจ้าหน้าที่เข้ามาในพื้นที่โดยไม่แจ้งทางผู้ใหญ่บ้านและชุมชน ทำลายข้าวของในพื้นที่ทำกินของชุมชน และต้องการให้มีการตรวจสอบหาข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นโดยเร่งด่วน ซึ่งต้องเป็นการตรวจสอบที่มีสัดส่วนชองชุมชน ท้องที่ท้องถิ่น และหน่วยงานอย่างเท่า ๆ กัน ไม่ใช่เป็นการตรวจสอบกันเองภายในหน่วยงาน เนื่องจากที่ผ่านมาไม่มีเหตุการณ์ลักษณะดังกล่าวเกิดขึ้นมาเป็นระยะเวลานานแล้ว เมื่อเกิดเหตุการณ์ขึ้นในพื้นที่ทำกินเช่นนี้ และยังไม่ได้มีการยืนยันข้อเท็จจริงว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร จึงอาจทำให้ชาวบ้านสงสัยและกังวลใจว่า หลังจากนี้หากชาวบ้านจะเข้าไปในไร่หรือพื้นที่ทำกินได้เช่นเดิมหรือไม่ ถ้ายังทำกินอยู่จะเกิดการบุกรุกและคุกคามเช่นนี้หรือไม่ จึงอยากให้ทางหน่วยงานชี้แจงและยืนยันว่าจะยังคงสามารถทำกินในพื้นที่ได้ดังเดิมที่ผ่านมาชาวบ้านในชุมชนต่างยินดีให้ความร่วมมือกับทางหน่วยงาน เมื่อทางหน่วยงานต้องการลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบ ทางชุมชนก็อำนวยความสะดวกโดยตลอด แต่กลับพบการกระทำที่เกินกว่าเหตุ ต้องไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้กับชุมชนอื่น ๆ อีก เพื่อให้ได้ผลการตรวจสอบและให้เกิดมาตรการป้องกันเหตุการณ์เช่นนี้ไม่ให้เกิดขึ้นอีกในอนาคต และให้แต่งตั้งคณะทำงานระดับจังหวัด เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยเร่งด่วนภายใน 7 วัน โดยให้มีสัดส่วนของชุมชนห้วยหินลาดในและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งฝ่ายปกครองและเจ้าหน้าที่ป่าไม้ในสัดส่วนที่เท่ากัน และต้องหามาตรการเยียวยาผลกระทบของชาวบ้านในพื้นที่ไร่หมุนเวียนที่ถูกทำลายทรัพย์สิน รวมถึงเยียวยาผลกระทบต่อความมั่นคงทางจิตใจของชาวบ้าน และยืนยันว่าชาวบ้านจะยังสามารถทำกินอยู่ในพื้นที่ไร่หมุนเวียนทุกแปลงได้โดยเร่งด่วน

 

 

ซึ่งชาวบ้านตั้งข้อเกตว่า หากเป็นเจ้าหน้าที่รัฐโดยปกติจะมีการแจ้งทางผู้ใหญ่บ้านให้ทราบวัตถุประสงค์ในการเข้ามาในพื้นที่ เจ้าของแปลงทำกินก็จะสามารถพาไปลงพื้นที่แปลงทำกินของตนเพื่อยืนยันลักษณะการทำกินได้ แต่ครั้งนี้กลับไม่มีการแจ้งให้ทราบแต่อย่างใด ทางชุมชนจึงไม่ทราบว่าเพราะเหตุใดจึงมีการกระทำเช่นนี้ในพื้นที่

 

 

ทางทีมข่าวนครเชียงนิวส์ ได้ทำการสัมภาษณ์และค้นหาข้อมูลจากเจ้าหน้าที่เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยทางแหล่งข่าวได้แจ้งกับทีมข่าวว่า มีเจ้าหน้าที่เข้าไปในพื้นที่จำนวน 3 คน ที่แจ้งเตือนว่ามีการเปลี่ยนแปลงสภาพป่าที่ป่า จึงเข้าไปตรวจสอบว่าพื้นที่ตรงนี้มีการเปลี่ยนแปลงจากที่ดินทํากินเดิม หรือเป็นที่บุกเบิกใหม่ เพื่อจะมาปิดในระบบ และเพื่อเช็คว่ามีการบุกรุกจริงหรือไม่

 

ช่วงประมาณ 14.00 น. มีเจ้าหน้าที่ได้ไปถึงในพื้นที่ และมีการตรวจสอบถ่ายภาพตามจุดพิกัด โดยได้มีไปเจอชาวบ้าน และได้เข้าไปสอบถามชาวบ้านว่าทํากินในพื้นที่นี้นานหรือยัง พอใช้เวลาตรวจสอบสักพัก หลังจากนั้นก็มีการถอนกําลัง ระหว่างนั้นได้เกิดฝนตกเจ้าหน้าที่จึงได้มีการไปแวะพักที่ศาลาที่มีแทงค์น้ำตั้งอยู่ และ ระหว่างรอฝนหยุดตก ขากลับยางล้อรถของเจ้าหน้าที่รั่วจึงค่อยๆ ขับรถกลับกันมาจนถึงชุมชนในหมู่บ้าน และในเวลาประมาณเกือบ 17.00 น. ชาวบ้านจึงขอให้เจ้าหน้าที่เปิดเผยใบหน้าเนื่องจากตอนที่เจ้าหน้าที่ไปลงพื้นที่ได้ขี่รถมอเตอร์ไซค์ไป จึงมีการปิดบังใบหน้าบางส่วนด้วยหน้ากากไว้เพื่อกันแดดและฝนตามปกติ หลังจากนั้นทางเจ้าหน้าที่ได้ใช้เวลาปะยางรถประมาณ 30 นาที ช่วงระยะเวลานั้นชาวบ้านก็เข้ามาสอบถามว่ามาทําอะไร ทางเจ้าหน้าที่จึงได้มีการชี้แจงว่ามาตรวจสอบพื้นที่และปรึกษาเรื่องการขออนุญาตไฟฟ้า จากนั้นหลังเวลา 17.40 น. ได้ขี่รถออกมาจากหมู่บ้าน

 

และในวันที่ 5 มิถุนายน 2567 ปรากฏว่ามีกระแสข่าวในโลกโซเชียลออกมาต่อว่ามีชายชุดดำบุกทำลายไร่หมุนเวียน ซึ่งก็มีแต่เจ้าหน้าที่ ที่เข้าไปก็เลยอาจจะเข้าใจได้ว่า เป็นคนเข้าไปทําลายสิ่งของ และเข้าไปหารื้อถอนทรัพย์สินต่างๆ ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ก็ได้มีการสอบถามเจ้าหน้าที่คนอื่นๆ แล้วทุกคน ซึ่งยืนยันว่าไม่ได้มีการเข้าไปทำลายทรัพย์สินอะไรทั้งสิ้น อย่างเช่น รอยฟันถังน้ำที่เกิดขึ้นเจ้าหน้าที่ได้ระบุว่าตอนนที่ขึ้นไปมีแค่ปืนกระบอกเดียวที่เป็นอาวุธประจํากายที่ใช้ไปออกลาดตระเวน และเข้าไปทํางานตามปกติไม่ได้มีการไปข่มขู่หรือทําลายข้าวของ ส่วนจุดพิกัดที่ถูกถ่ายภาพมาว่ามีการไปทำลายทรัพย์สิน ทางเจ้าหน้าที่แจ้งว่าไม่ทราบว่าอยู่จุดนี้คือจุดไหน แต่รู้จุดเดียวคือที่มีการขับผ่านศาลาที่มีกรวยห้อยตามศาลา แต่ไม่ได้มีการเข้าไปในพื้นที่ของชุมชนแต่อย่างใด

 

และจากการสอบถามทางผู้นําชุมชน เพื่อขอหลักฐานภาพถ่าย หรือพยานบุคคลเพื่อยืนยันว่ามีใครเห็นเจ้าหน้าที่ไปทำลายข้าวของหรือไม่ ซึ่งเพราะถ้ามีการกระทำดังนั้นจริง จะต้องมีเรื่องวินัยเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่ทางผู้นําชุมชนก็บอกว่าเห็นเจ้าหน้าป่าไม้เข้ามา และพอเจ้าหน้าที่ออกไปก็เห็นข้าวของเสียหาย ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ก็แจ้งมาว่า ถ้ามีใครไปแอบอ้างทั้งๆ ที่เจ้าหน้าที่ไม่ทํา จะพิสูจน์ได้อย่างไร ในเมื่อไม่มีใครเห็นเจ้าหน้าที่เป็นคนทำ ซึ่งเจ้าหน้าที่ก็ยืนยันว่าไม่ได้ทำ ตามปกติแล้วเจ้าหน้าที่ก็จะเข้าไปปฏิบัติภารกิจที่ได้รับมอบหมายอยู่แล้ว ตลอดเส้นทางที่เข้าไปก็มีการสอบถามทางกับทางชุมชน โดยได้เจอพระรูปหนึ่งจึงได้เข้าไปคุยว่าเจ้าหน้าที่เข้ามาตรวจสอบพื้นที่นะ ตอนเจอคนในชุมชนก็มีการแจ้งชื่อ ตอนเข้าไปในชุมชนก็มีชาวบ้านประมาณ 10 กว่าคนมาถามชื่อ ชาวบ้านบางคนก็ยังมาช่วยปะยางรถด้วย ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ก็บอกว่าเป็นการเข้ามาตรวจสอบพื้นที่ทำกินเดิม และหน่วยงานก็มั่นใจว่าเจ้าหน้าที่ไม่น่าจะมีการดำเนินการอะไรทึ่ไม่สมควรอย่างที่กล่าวอ้าง

 

แต่ยอมรับว่าไม่มีการแจ้งเป็นหนังสือเข้าไป เพราะเป็นการเข้าไปในพื้นที่เดิม ตรวจสอบและไปปิดในระบบ ซึ่งเป็นการเข้าไปลาดตระเวน เผื่อเจอคนบุกรุก แต่ด้วยความที่เป็นเจ้าหน้าที่ป่าไม้จึงคิดว่า พื้นที่เป็นพื้นที่เดิมและไม่น่าจะมีปัญหาในการเข้าไปตรวจสอบ และได้ยืนยันแล้วว่าไม่ได้มีพฤติกรรมดังกล่าว แต่หากชาวบ้านท่านใดมีข้อมูล พยาน หรือหลักฐานว่าเจ้าหน้าที่เข้าไปทําลายทรัพย์สินสามารถส่งหลักฐานมาให้ทางหน่วยงานตรวจสอบได้เลย

 

สำหรับเหตุการณ์ชายแต่งชุดดำคล้ายเจ้าหน้าที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 4 ก.ค.67 ที่ผ่านมา มีชายแต่งชุดดำคล้ายเจ้าหน้าที่จำนวน 3 นาย มีผ้าปิดคลุมใบหน้า พร้อมอาวุธปืนยาว 1 กระบอก ได้ขี่รถจักรยานยนต์ผ่านเข้ามาในบริเวณชุมชน ซึ่งทางชุมชนเข้าใจว่าเป็นการเข้ามาลาดตระเวนที่ต้องใช้เส้นทางดังกล่าวเข้าออกเป็นปกติ จนกระทั่งชาวบ้านได้เข้าไปยังบริเวณไร่หมุนเวียนแปลงดังกล่าวแล้วพบว่า ทรัพย์สินในกระท่อมในไร่หมุนเวียนถูกรื้อทำลาย รวมทั้งถังเก็บน้ำสำรองที่ใช้ดับไฟป่าก็ถูกกรีดและถูกปล่อยน้ำออกจนหมด รวมไปถึงอุปกรณ์พิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ในไร่หมุนเวียนตามความเชื่อของชุมชนกะเหรี่ยง “จื่อ ลอ มวา ข่อ” ที่ใช้สื่อสารกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในธรรมชาติที่จะขอให้ฟ้าฝนช่วยให้การเพาะปลูกราบรื่นนั้นถูกรื้อทำลายกระจัดกระจาย

 

 

ทั้งนี้หมู่บ้านห้วยหินลาดในถือเป็นหมู่บ้านที่มีการอนุรักษ์ป่าไม้และวิถีชีวิตวัฒนธรรมปกาเกอะญออย่างเข้มแข็ง และหน่วยงานราชการหลายหน่วยได้มีการเข้ามาดูผลงานในหมู่บ้านดังกล่าว และชุมชน ผู้นำชุมชนหลายคนก็เคยได้รับรางวัลหลากหลายรางวัลที่การันตีถึงความยั่งยืนในพื้นที่ อาทิ

 

1.รางวัลลูกโลกสีเขียว ครั้งที่ 1 ปี 2542 ประเภทชุมชน

2.“รางวัล 5 ปีแห่งความยั่งยืน” (ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็นรางวัล “สิปปนนท์ เกตุทัต รางวัลแห่งความยั่งยืน”) ในปี 2548

3.กลุ่มเยาวชนบ้านห้วยหินลาดใน ได้รับรางวัลลูกโลกสีเขียว ครั้งที่ 7 ในปี 2548

4.พะตีปรีชา ศิริ (อายุ 59 ปี) ได้รับรางวัล “วีรบุรุษ รักษาป่า” Forest Hero จากการประชุมของ องค์การสหประชาชาติ เรื่องป่าไม้ ที่กรุงอิสตันบูล ในปี 2556

5.ได้รับรางวัลชุมชนต้นแบบ และศึกษาแลกเปลี่ยนชุมชนต้นแบบที่ประเทศมาเลเซีย ในปี 2566

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News