Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

เตรียมปลูก “พระศรีมหาโพธิ์” ที่เชียงราย เฉลิมพระเกียรติ

เชียงรายเตรียมปลูก “พระศรีมหาโพธิทศมราชบพิตร” เนื่องในโอกาสพระราชพิธีสมมงคลสำคัญแห่งปี 2568

เชียงรายเร่งประชุมวางแผนปลูกพระศรีมหาโพธิ์ในพื้นที่พุทธมณฑลสมโภช 750 ปี สะท้อนพระมหากรุณาธิคุณล้นพ้น

เชียงราย, 10 เมษายน 2568 – ที่ห้องประชุมอูหลง ชั้น 3 ศาลากลางจังหวัดเชียงราย นายนรศักดิ์ สุขสมบูรณ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานในการประชุมหารือร่วมกับหัวหน้าส่วนราชการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเตรียมความพร้อมในการปลูกต้นพระศรีมหาโพธิ์พระราชทาน “พระศรีมหาโพธิทศมราชบพิตร” ซึ่งเป็นพระราชพิธีสำคัญเนื่องในโอกาสพระชนมายุเท่าพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช องค์ปฐมกษัตริยาธิราชแห่งราชวงศ์จักรี

พระราชดำริพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ปวงประชา

ด้วยพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม พระราชทานต้นพระศรีมหาโพธิ์ให้แก่กระทรวงมหาดไทย เพื่อมอบให้แก่ทุกจังหวัดทั่วราชอาณาจักรไทย โดยให้ปลูกไว้ในสถานที่อันเป็นสิริมงคล เพื่อเป็นศูนย์รวมจิตใจของประชาชน และเป็นสัญลักษณ์แห่งความมั่นคง ร่มเย็น และสันติสุขในบ้านเมือง

ต้นพระศรีมหาโพธิ์ดังกล่าว ทรงพระราชทานนามว่า “พระศรีมหาโพธิทศมราชบพิตร” (อ่านว่า พระ-สี-มะ-หา-โพ-ทิ-ทด-สะ-มะ-ราด-ชะ-บอ-พิด) ซึ่งมีความหมายว่า “พระศรีมหาโพธิ์ที่พระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” นับเป็นต้นไม้ที่มีความศักดิ์สิทธิ์ เป็นที่เคารพนับถือในพุทธศาสนา และมีคุณค่าทางจิตใจอย่างสูงสุด

เชียงรายพร้อมเสนอ “พุทธมณฑลสมโภช 750 ปีเมืองเชียงราย” เป็นสถานที่ปลูกพระศรีมหาโพธิ์

ในที่ประชุม จังหวัดเชียงรายได้มีมติให้ “พุทธมณฑลสมโภช 750 ปีเมืองเชียงราย” ตั้งอยู่ที่บ้านต้นง้าว อำเภอแม่ลาว จังหวัดเชียงราย เป็นสถานที่ที่เหมาะสมในการปลูกพระศรีมหาโพธิทศมราชบพิตรในครั้งนี้ ด้วยลักษณะพื้นที่อันสงบเงียบ มีความพร้อมด้านภูมิทัศน์และสิ่งอำนวยความสะดวก ทั้งยังเป็นสถานที่จัดกิจกรรมทางพระพุทธศาสนาในระดับจังหวัดมาอย่างต่อเนื่อง

สถานที่ดังกล่าวยังถือเป็นศูนย์รวมจิตใจของพุทธศาสนิกชนในภาคเหนือ และเคยเป็นสถานที่จัดงานสมโภชครั้งยิ่งใหญ่ของจังหวัดเชียงรายในอดีต การปลูกต้นพระศรีมหาโพธิ์ ณ สถานที่แห่งนี้ จึงนับเป็นเกียรติอันสูงสุดของประชาชนในพื้นที่

การเตรียมความพร้อมของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

ในการประชุมครั้งนี้ ได้มีการหารือถึงการจัดเตรียมพื้นที่ให้พร้อมรับการปลูกต้นพระศรีมหาโพธิ์ ไม่ว่าจะเป็นการเตรียมหลุมปลูก การปรับสภาพดิน การติดตั้งระบบรดน้ำ การจัดแสงสว่าง และการดูแลรักษาต้นไม้ในระยะยาว โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงานโยธาธิการและผังเมืองจังหวัดเชียงราย สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงานพระพุทธศาสนา และองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย ต่างให้ความร่วมมือและวางแผนการดำเนินการอย่างรัดกุม

นอกจากนี้ ยังมีการหารือถึงพิธีกรรมทางศาสนาที่จะจัดขึ้นในวันปลูกต้นพระศรีมหาโพธิ์ โดยจะมีพระเถระชั้นผู้ใหญ่ในจังหวัดเข้าร่วมพิธี รวมถึงจะเชิญชวนประชาชนในพื้นที่เข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง เพื่อแสดงความจงรักภักดีและร่วมเป็นสักขีพยานในโอกาสสำคัญนี้

พระศรีมหาโพธิ์  สัญลักษณ์แห่งศรัทธา ความร่มเย็น และพระราชไมตรี

พระศรีมหาโพธิ์มิใช่เพียงต้นไม้ แต่ยังเปรียบเสมือนตัวแทนแห่งพระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้นโพธิ์ยังเป็นสถานที่ที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ธรรมอันยิ่งใหญ่ จึงมีนัยยะทางจิตวิญญาณที่ลึกซึ้ง สำหรับการปลูกพระศรีมหาโพธิ์ในครั้งนี้ จึงมิได้เป็นเพียงพิธีปลูกต้นไม้ หากแต่เป็นการสื่อถึงสายใยแห่งศรัทธาและพระราชไมตรีที่พระองค์มีต่อประชาชนทุกหมู่เหล่า

มิติด้านศาสนา วัฒนธรรม และสังคมที่ได้รับจากโครงการฯ

การปลูกต้นพระศรีมหาโพธิ์ ยังมีนัยสำคัญในมิติของการส่งเสริมพระพุทธศาสนา การทำนุบำรุงวัฒนธรรมท้องถิ่น และการเสริมสร้างจิตสำนึกสาธารณะของประชาชนในเรื่องการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม โดยมีเป้าหมายให้สถานที่แห่งนี้กลายเป็น “แลนด์มาร์กทางจิตวิญญาณ” ที่ผู้คนสามารถเดินทางมาสักการะ ทำบุญ และปฏิบัติธรรมได้ตลอดปี

บทวิเคราะห์และความสำคัญในระยะยาว

การปลูกต้นพระศรีมหาโพธิ์พระราชทานในจังหวัดเชียงรายครั้งนี้ สะท้อนถึงการบูรณาการของหลายภาคส่วน ที่ร่วมกันทำงานอย่างมีเป้าหมายร่วมกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของการสร้างจุดศูนย์รวมทางศาสนาและวัฒนธรรมของภาคเหนือ ตลอดจนสร้างพื้นที่สีเขียวที่มีความหมายทางจิตใจต่อประชาชน

นอกจากนี้ ยังถือเป็นหนึ่งในโครงการที่ส่งเสริมภาพลักษณ์ของจังหวัดเชียงราย ในฐานะเมืองพุทธศาสนาและเมืองแห่งวัฒนธรรมล้านนาอันลึกซึ้ง ซึ่งจะส่งผลดีต่อการท่องเที่ยวเชิงจิตวิญญาณในระยะยาว

ข้อมูลสถิติและแหล่งอ้างอิง

  • ปี 2567 กระทรวงมหาดไทยได้รายงานว่า มีการปลูกต้นไม้เฉลิมพระเกียรติในโอกาสสำคัญกว่า 1.2 ล้านต้นทั่วประเทศ โดยในจำนวนนี้มีต้นพระศรีมหาโพธิ์พระราชทานกว่า 7,000 ต้น
  • จากการสำรวจโดยกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม ปี 2566 ระบุว่า ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ที่ปลูกในสถานที่ทางศาสนา มีอัตราการรอดชีวิตเฉลี่ยถึง 94%

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

ผู้ว่าฯ เชียงราย สั่ง สงกรานต์นี้ ดื่มแล้วขับ เจอจับแน่

เชียงรายเปิดศูนย์ฯ เข้มมาตรการลดอุบัติเหตุสงกรานต์ 2568

เชียงรายเดินหน้าแผนงานความปลอดภัย ชูมาตรการเข้มสกัดพฤติกรรมเสี่ยง

เชียงราย, 10 เมษายน 2568 – ณ ห้องประชุมธรรมลังกา ศาลากลางจังหวัดเชียงราย นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานเปิด “ศูนย์อำนวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2568” อย่างเป็นทางการ ท่ามกลางความร่วมมือของภาครัฐ ภาคเอกชน และองค์กรท้องถิ่น ที่พร้อมใจเดินหน้ารับมือสถานการณ์เสี่ยงในช่วงวันหยุดยาว

ผนึกกำลังทุกภาคส่วน สร้างเกราะความปลอดภัยให้ประชาชน

ในโอกาสนี้ มีการส่งมอบอุปกรณ์จราจร น้ำดื่ม และเครื่องบริโภคจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัยจังหวัดเชียงราย ชมรมวินาศภัยเชียงราย และบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ซึ่งถือเป็นการร่วมแรงร่วมใจครั้งสำคัญเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ทุกพื้นที่

ประชุมวิดีโอคอนเฟอเรนซ์เชื่อมโยงทั่วประเทศ

ก่อนเข้าสู่พิธีเปิดศูนย์ฯ ผู้ว่าราชการจังหวัดพร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการ ได้เข้าร่วมประชุมเปิดศูนย์ฯ ระดับประเทศผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ โดยมี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธาน ณ ห้องประชุม 1 ปภ. กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย ซึ่งแสดงถึงความพร้อมในการประสานงานแบบเรียลไทม์กับทุกจังหวัด

3 ปัจจัยเสี่ยงหลักของอุบัติเหตุ ต้องเร่งแก้ไข

นายชรินทร์ ทองสุข เปิดเผยว่า อุบัติเหตุทางถนนช่วงสงกรานต์ มักเกิดจาก 3 ปัจจัยหลัก ได้แก่

  1. สภาพถนนและสิ่งแวดล้อมที่ไม่ปลอดภัย
  2. สภาพรถยนต์ที่ไม่พร้อมใช้งาน
  3. พฤติกรรมเสี่ยงของผู้ขับขี่ อาทิ ดื่มแอลกอฮอล์ ง่วงนอน หรือขาดทักษะในการขับขี่

มาตรการที่จังหวัดเน้นหนักในปีนี้ คือ การตั้งด่านตรวจ โดยเฉพาะ “ด่านชุมชน” เพื่อป้องกันการออกสู่ถนนของผู้มีพฤติกรรมเสี่ยง ทั้งยังสั่งการให้เจ้าหน้าที่จัดตั้งด่านในพื้นที่ปลอดภัย หลีกเลี่ยงการตั้งใกล้ถนน และควบคุมการจำหน่ายสุราให้เข้มงวดตามกฎหมาย

รณรงค์หยุดพักรถทุก 2 ชั่วโมง ลดง่วงหลับใน

จุดพักรถขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ได้รับคำสั่งให้รณรงค์ให้ผู้ขับขี่หยุดพักทุก 2 ชั่วโมง หรือทุกระยะทาง 150 กิโลเมตร เพื่อป้องกันอาการง่วงหลับใน ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่มักนำไปสู่อุบัติเหตุรุนแรง

ถ่ายทอดสดประชุมศูนย์ทุกวัน เสริมประสิทธิภาพติดตาม

ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ จังหวัดเชียงรายจะมีการประชุมศูนย์อำนวยความปลอดภัยทางถนนทุกวันตลอด 7 วันของช่วงควบคุมเข้ม พร้อมถ่ายทอดสดการประชุมของศูนย์ฯ จังหวัดทุกวัน เพื่อให้ทุกหน่วยงานรับทราบข้อมูลและแนวทางอย่างทันท่วงที และพร้อมรับมือกับสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้น

เป้าหมายสูงสุดคือศูนย์อุบัติเหตุและการสูญเสีย

จังหวัดเชียงรายตั้งเป้าลดจำนวนผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตให้ได้มากที่สุด โดยยึดแนวทาง “ความร่วมมือ ความพร้อม และความต่อเนื่อง” ทั้งในด้านการประชาสัมพันธ์ การจัดกำลังเจ้าหน้าที่ และการใช้เทคโนโลยีช่วยสอดส่องการจราจรและพฤติกรรมของผู้ขับขี่

สถิติและข้อมูลที่เกี่ยวข้อง

จากข้อมูลของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ปี 2567 จังหวัดเชียงรายมีจำนวนอุบัติเหตุทางถนนในช่วงสงกรานต์รวม 68 ครั้ง มีผู้เสียชีวิต 9 ราย และผู้บาดเจ็บ 72 ราย โดยสาเหตุหลักมาจากเมาแล้วขับถึง 58% ขับเร็วเกินกำหนด 27% และหลับใน 15%

ในระดับประเทศ สถิติของศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน ระบุว่า ในช่วงสงกรานต์ปี 2567 ทั่วประเทศมีอุบัติเหตุเกิดขึ้น 2,203 ครั้ง มีผู้เสียชีวิต 264 ราย และผู้บาดเจ็บรวม 2,208 ราย โดยจังหวัดที่มีอุบัติเหตุสูงสุดคือ เชียงใหม่ นครราชสีมา และอุดรธานี ตามลำดับ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.)
  • ศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน (ศปถ.)
  • รายงานสถิติอุบัติเหตุสงกรานต์ 2567, www.roadaccidentdata.go.th
  •  
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI ENTERTAINMENT

“Colors of Chiang Rai” หนังสั้นกระตุ้นเที่ยว สิริหวนคืนจอ

มรภ.เชียงราย-เทศบาลนครเชียงราย เปิดตัวหนังสั้น “Colours of Chiang Rai” ดึง Soft Power กระตุ้นการท่องเที่ยว

เชียงรายปลุกพลัง Soft Power ด้วยหนังสั้นสร้างสรรค์

เชียงราย,วันที่ 10 เมษายน 2568 –  มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย (มรภ.เชียงราย) ร่วมกับเทศบาลนครเชียงราย เปิดตัวหนังสั้นเรื่อง “Colours of Chiang Rai” เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวและเผยแพร่อัตลักษณ์วัฒนธรรมของจังหวัด โดยมีเป้าหมายในการกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่นผ่านการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์

สิริ ณิชาวรินทร์ หวนคืนวงการในบทบาทใหม่

หนังสั้นเรื่องนี้ได้นักแสดงมากฝีมือ สิริ ณิชาวรินทร์ เพิ่มทรัพย์ (อรุณรุ่งไพศาล) กลับมารับบทนำอีกครั้ง หลังจากห่างหายจากวงการบันเทิงไปนาน โดยเธอเผยว่า ปัจจุบันประกอบธุรกิจส่วนตัวในจังหวัดเชียงราย และต้องการมีส่วนร่วมในการประชาสัมพันธ์จังหวัดให้กลับมาคึกคักอีกครั้ง

เรื่องราวของ “แอลลี่” กับการค้นหาตัวตนในเชียงราย

“Colours of Chiang Rai” ถ่ายทอดเรื่องราวของ “แอลลี่” อดีตนักแสดงที่เดินทางมาค้นหาความสงบในเชียงราย หลังจากเผชิญความเปลี่ยนแปลงในวงการบันเทิง ที่นี่เธอได้พบกับ “ท๊อป” หนุ่มเหนือที่พาเธอท่องเที่ยวและสัมผัสความงดงามของจังหวัดเชียงราย

แนวคิดและเนื้อหาของหนังสั้น

หนังสั้น “Colors of Chiang Rai” นำเสนอเรื่องราวของ ‘แอลลี่’ อดีตนักแสดงที่เดินทางมาค้นหาความสงบในเชียงราย เธอได้พบกับ ‘ท๊อป’ หนุ่มท้องถิ่นที่พาเธอเที่ยวชมสถานที่สำคัญต่างๆ เช่น วัดร่องขุ่น วัดร่องเสือเต้น วัดห้วยปลากั้ง พระตำหนักดอยตุง สิงห์ปาร์คเชียงราย หมู่บ้านกะเหรี่ยงรวมมิตร และร้าน Abonzo Yama Mitsu การเดินทางครั้งนี้ทำให้แอลลี่ได้ค้นพบสีสันใหม่ในชีวิตและเริ่มต้นใหม่ที่เชียงราย

การท่องเที่ยวเชียงรายฟื้นตัวหลังวิกฤต

หลังจากประสบปัญหาน้ำท่วมและฝุ่น PM2.5 เศรษฐกิจของเชียงรายได้รับผลกระทบอย่างมาก อย่างไรก็ตาม การท่องเที่ยวเริ่มฟื้นตัว โดยในปี 2566 มีนักท่องเที่ยวเยือนเชียงรายกว่า 5 ล้านคน สร้างรายได้กว่า 46,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2565 ที่มีรายได้ 34,400 ล้านบาท

การส่งเสริมการท่องเที่ยวผ่านแคมเปญต่างๆ

การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานเชียงราย ได้จัดแคมเปญ “เที่ยวสบายๆ สไตล์เชียงราย Amazing Chiang Rai Lifestyle” เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวและส่งเสริมภาพลักษณ์ของจังหวัด

การเติบโตของธุรกิจที่พักในเชียงราย

ข้อมูลจากสำนักงานปกครองจังหวัดเชียงราย ระบุว่า จำนวนโรงแรมที่จดทะเบียนในจังหวัดเพิ่มขึ้นจาก 236 แห่งในปี 2557 เป็น 285 แห่งในปี 2559 ขณะที่โฮมสเตย์และเกสต์เฮาส์ก็มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเช่นกัน

สรุป

หนังสั้น “Colours of Chiang Rai” เป็นอีกหนึ่งความพยายามในการใช้ Soft Power เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจของจังหวัดเชียงราย โดยการนำเสนอความงดงามของสถานที่ท่องเที่ยวและวัฒนธรรมท้องถิ่น ผ่านเรื่องราวที่เข้าถึงง่ายและสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้ชม

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  • ปี 2565: นักท่องเที่ยว 5,051,642 คน รายได้ 34,413 ล้านบาท
  • ปี 2566: นักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น 27.29% รายได้ 46,000 ล้านบาท

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • สำนักงานปกครองจังหวัดเชียงราย
  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานเชียงราย
  • ลงทุนแมน
  • prop2morrow
  • มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย (มรภ.เชียงราย)
  • เทศบาลนครเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

เชียงรายเฟ้นหา 46 ศิลปิน คนรุ่นใหม่ ขัวศิลปะ

เชียงรายเปิดโครงการ “Artbridge Young Artist 2025” ปลุกพลังศิลปินรุ่นใหม่ สู่เวทีศิลปะร่วมสมัยนานาชาติ

ประเทศไทย, 10 เมษายน 2568 – จังหวัดเชียงรายเดินหน้าส่งเสริมศิลปะร่วมสมัยอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดเมื่อวันที่ 8 เมษายน 2568 ได้มีการจัดพิธีเปิดโครงการ “ศิลปินรุ่นใหม่ขัวศิลปะ Artbridge Young Artist 2025” ณ พิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัยเมืองเชียงราย (Chiang Rai Contemporary Art Museum: CCAM) ตำบลริมกก อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย โดยมี อาจารย์นคร พงษ์น้อย ผู้อำนวยการอุทยานศิลปะและวัฒนธรรมแม่ฟ้าหลวง เป็นประธานในพิธีเปิดงานอย่างเป็นทางการ

ขัวศิลปะ จุดศูนย์กลางพลังสร้างสรรค์ของศิลปินเชียงราย

โครงการศิลปินรุ่นใหม่ขัวศิลปะ “Artbridge Young Artist 2025” จัดขึ้นโดย สมาคมขัวศิลปะ จังหวัดเชียงราย ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริม สนับสนุน และพัฒนาศิลปินในภาคเหนือ โดยเฉพาะจังหวัดเชียงรายซึ่งมีรากฐานทางศิลปะเข้มแข็งมาอย่างยาวนาน โครงการในปีนี้จัดขึ้นระหว่างเดือนเมษายน – มิถุนายน 2568 โดยมีเป้าหมายเพื่อเปิดพื้นที่การแสดงออกทางศิลปะให้แก่ ศิลปินรุ่นใหม่จำนวน 46 คน ที่ผ่านการคัดเลือกจากคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ

พิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัยเมืองเชียงราย พื้นที่แห่งนิเวศน์ศิลปะ

การจัดโครงการครั้งนี้มีสถานที่หลักอยู่ที่ พิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัยเมืองเชียงราย (CCAM) ซึ่งเป็นศูนย์กลางทางศิลปะร่วมสมัยแห่งใหม่ของภาคเหนือ โครงการมุ่งส่งเสริมให้ศิลปินรุ่นใหม่ได้พัฒนาผลงานภายใต้ “นิเวศน์แห่งศิลปะ” (Artistic Ecosystem) ซึ่งรวมถึงการฝึกปฏิบัติจริง การรับคำแนะนำจากศิลปินอาวุโส การนำเสนอผลงานสู่สาธารณะ และการเรียนรู้ผ่านเวิร์กชอปเชิงลึกจากผู้เชี่ยวชาญในหลากหลายสาขา

ภายในพิธีเปิด มีศิลปินอาวุโสและศิลปินเชียงรายผู้มีชื่อเสียงหลายท่านร่วมให้กำลังใจแก่เยาวชนที่เข้าร่วมโครงการ พร้อมร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์และถ่ายทอดแรงบันดาลใจในการทำงานศิลปะอย่างใกล้ชิด

บทบาทของภาครัฐและท้องถิ่นในการผลักดันศิลปะร่วมสมัย

ภายในงานมีการมอบหนังสือสูจิบัตร Thailand Biennale Chiang Rai 2023 ให้แก่ศิลปินรุ่นใหม่ทั้ง 46 คน โดย นายพิสันต์ จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วย นางวนิดาพร ธิวงศ์ ผู้อำนวยการกลุ่มส่งเสริมศาสนาศิลปะและวัฒนธรรม และ นายวรพล จันทร์คง นักวิชาการวัฒนธรรมปฏิบัติการ เป็นผู้แทนมอบ เพื่อเป็นต้นทุนทางความรู้ที่ช่วยส่งเสริมวิสัยทัศน์และแนวคิดด้านศิลปะร่วมสมัย

การสนับสนุนดังกล่าวสะท้อนถึงแนวทางเชิงรุกของจังหวัดเชียงรายในการผลักดัน “Soft Power” ผ่านศิลปะและวัฒนธรรม โดยมุ่งหวังให้ศิลปินรุ่นใหม่มีบทบาทในการขับเคลื่อนเมืองแห่งศิลปะและสร้างเศรษฐกิจสร้างสรรค์ที่ยั่งยืน

เป้าหมายระยะยาว เชียงรายกับบทบาทบนเวทีศิลปะนานาชาติ

จังหวัดเชียงรายกำลังอยู่ในกระบวนการผลักดันเข้าสู่การเป็นสมาชิก เครือข่ายเมืองสร้างสรรค์ของยูเนสโก (UNESCO Creative Cities Network) โดยใช้ศิลปะร่วมสมัยเป็นกลไกสำคัญ โครงการ Artbridge Young Artist ถือเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่ช่วยเตรียมความพร้อมด้านบุคลากร ความรู้ และการสร้างผลงานที่มีคุณภาพระดับสากล เพื่อยกระดับเชียงรายสู่ศูนย์กลางศิลปะระดับภูมิภาคและระดับโลก

ศิลปินรุ่นใหม่ พลังแห่งความหวังในโลกศิลปะร่วมสมัย

ศิลปินรุ่นใหม่ที่ได้รับคัดเลือกในปี 2568 นี้ มีทั้งนักศึกษาศิลปะจากมหาวิทยาลัยในภาคเหนือ เยาวชนจากชุมชน และศิลปินอิสระจากพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ โดยแต่ละคนจะได้รับโอกาสในการสร้างสรรค์ผลงานภายใต้การดูแลของพี่เลี้ยงศิลปินมืออาชีพ ทั้งยังมีโอกาสจัดแสดงนิทรรศการ ณ CCAM และมีส่วนร่วมในการสร้างกิจกรรมศิลปะในชุมชน

บทวิเคราะห์ ขัวศิลปะกับการสร้างระบบนิเวศศิลปะของภาคเหนือ

การจัดตั้งโครงการเชิงต่อเนื่องของสมาคมขัวศิลปะ เช่น Artbridge Young Artist ช่วยให้เชียงรายสามารถสร้าง ระบบนิเวศศิลปะ” (Art Ecosystem) ที่ประกอบด้วย

  • พื้นที่แสดงงานและแลกเปลี่ยน
  • กลไกการสนับสนุนศิลปินรุ่นใหม่
  • การบ่มเพาะศิลปินอย่างเป็นระบบ
  • การพัฒนาทุนวัฒนธรรมให้เกิดคุณค่าทางเศรษฐกิจและสังคม

ในภาพรวม การขับเคลื่อนของขัวศิลปะสะท้อนถึงแนวโน้มของจังหวัดเชียงรายที่จะกลายเป็น มหานครแห่งศิลปะร่วมสมัย ของภูมิภาคลุ่มน้ำโขงในอนาคตอันใกล้

สถิติที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาข่าว

  • จำนวนศิลปินรุ่นใหม่ที่เข้าร่วมโครงการ Artbridge Young Artist 2025: 46 คน
  • จำนวนผู้เข้าชมนิทรรศการศิลปะในเชียงราย ปี 2567: กว่า 180,000 คน (ข้อมูลจากสมาคมขัวศิลปะ)
  • มูลค่าเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของเชียงรายในสาขาศิลปะร่วมสมัย ปี 2567: ประมาณ 87 ล้านบาท (สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย)
  • จำนวนพิพิธภัณฑ์และแกลเลอรีในเชียงราย: 23 แห่ง (รวมทั้งภาครัฐและเอกชน)
  • นักท่องเที่ยวที่เดินทางเพื่อเยี่ยมชมงานศิลปะโดยตรงในจังหวัดเชียงราย: คิดเป็น 12.4% ของนักท่องเที่ยวทั้งจังหวัด (จากจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งหมด 6.19 ล้านคน ปี 2567)
  • งาน Thailand Biennale Chiang Rai 2023: มีผู้เข้าร่วมกว่า 350,000 คน ตลอดระยะเวลาจัดงาน (ข้อมูลจากกระทรวงวัฒนธรรม)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • สมาคมขัวศิลปะ จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย
  • กระทรวงวัฒนธรรม
  • พิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัยเมืองเชียงราย (CCAM)
  • ศูนย์วิจัยและพัฒนาการท่องเที่ยว มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
  • รายงานผลการจัดงาน Thailand Biennale Chiang Rai 2023
  • UNESCO Creative Cities Network Thailand Coordination Unit
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

เชียงรายโล่ง! ปลาน้ำกกปลอดภัย สารหนูในตัวปลาต้องใช้นาน 10 ปี

ประมงฯ เชียงรายยืนยัน “ปลาน้ำกกยังปลอดภัยบริโภคได้” แม้พบสารหนูในระดับต่ำ – เตรียมเฝ้าระวังระยะยาว

ประเทศไทย, 10 เมษายน 2568 – ภายหลังมีรายงานข่าวเกี่ยวกับการพบสัตว์น้ำตายและข่าวสารการปนเปื้อนของโลหะหนักในแม่น้ำกก จังหวัดเชียงราย ล่าสุด สำนักงานประมงจังหวัดเชียงราย ยืนยันว่า จากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่าสภาพน้ำยังอยู่ในเกณฑ์ที่ปลอดภัยต่อการดำรงชีวิตของสัตว์น้ำ และปลายังคงสามารถบริโภคได้โดยไม่มีอันตรายในระยะสั้น พร้อมย้ำถึงแผนเฝ้าระวังคุณภาพน้ำในระยะยาวเพื่อความปลอดภัยของประชาชน

ตรวจสอบคุณภาพน้ำแม่น้ำกก จากภาพข่าวสู่การลงพื้นที่

เมื่อวันที่ 9 เมษายน 2568 นายณัฐรัฐ พรเดชอนันต์ ประมงจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่จาก ศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืดพะเยา ได้ลงพื้นที่บริเวณแม่น้ำกก ด้านหน้าสำนักงานประมงจังหวัดเชียงราย เพื่อเก็บตัวอย่างน้ำและตรวจสอบสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ หลังมีข่าวเผยแพร่ภาพเต่าตายและความกังวลของประชาชนในพื้นที่เกี่ยวกับความปลอดภัยในการบริโภคปลาจากแม่น้ำสายนี้

จากการตรวจสอบเบื้องต้น พบว่า

  • ลูกปลาวัยอ่อนว่ายน้ำได้ตามปกติ
  • ไม่มีปลาที่แสดงอาการอ่อนแอ สีซีด หรือผิดปกติ
  • ค่าออกซิเจนละลายในน้ำ (DO) อยู่ในเกณฑ์เหมาะสม
  • แม้ระดับความขุ่นของน้ำจะเพิ่มขึ้นในช่วงน้ำหลาก แต่ยังไม่ส่งผลร้ายแรงต่อสัตว์น้ำ

ชี้แจงภาพ “เต่านาตาย” ไม่ใช่ผลจากสารพิษ

ประเด็นภาพข่าวเต่าตายที่ถูกเผยแพร่ในโลกออนไลน์นั้น นายณัฐรัฐชี้แจงว่า เต่าที่พบเป็น “เต่านา” ซึ่งไม่ควรนำมาปล่อยลงแม่น้ำ เนื่องจากไม่ใช่ถิ่นอาศัยตามธรรมชาติของสัตว์ชนิดนี้ เต่าจึงมีโอกาสจมน้ำตายได้หากไม่มีพื้นที่ขึ้นหายใจที่เพียงพอ โดยสันนิษฐานว่าอาจเกิดจากความตั้งใจของประชาชนที่ปล่อยสัตว์น้ำเพื่อทำบุญ แต่ไม่ได้ประเมินความเหมาะสมของแหล่งน้ำ

ผลการตรวจวิเคราะห์น้ำ พบ “สารหนู” ในระดับต่ำ

จากการเก็บตัวอย่างน้ำในบริเวณสวนสาธารณะใกล้กับองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย พบว่า

  • ตรวจพบสารหนู (Arsenic) ที่ระดับ 0.013 มิลลิกรัมต่อลิตร
  • แม้จะเกินค่ามาตรฐานของน้ำดื่ม (0.01 มก./ลิตร) เล็กน้อย แต่ยังต่ำกว่าระดับอันตรายสำหรับสัตว์น้ำ
  • ยังไม่พบผลกระทบในลักษณะที่รุนแรงต่อสิ่งมีชีวิตในน้ำ
  • อย่างไรก็ตาม หากมีการสะสมในตัวปลานานหลายปี อาจส่งผลต่อสุขภาพผู้บริโภค

ยังไม่พบสารพิษในตัวปลาโดยตรง แต่เตรียมตรวจเชิงลึก

ในประเด็นสารพิษสะสมในตัวปลา นายณัฐรัฐ เปิดเผยว่า ขณะนี้ยังไม่ได้มีการเก็บตัวอย่างปลาจากแม่น้ำกกไปตรวจวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการเพื่อหาสารหนูโดยตรง แต่มีแผนจะดำเนินการในระยะถัดไปเพื่อยืนยันความปลอดภัยอย่างเป็นรูปธรรม และจะเร่งประสานกับหน่วยงานวิชาการที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ หรือศูนย์วิจัยประมงในภูมิภาค

ทั้งนี้ แนะนำให้ประชาชนในพื้นที่ สามารถบริโภคปลาจากแม่น้ำกกได้ตามปกติ แต่ควรหลีกเลี่ยงการบริโภคซ้ำต่อเนื่องเป็นเวลานาน และควรปรุงสุกก่อนบริโภคเสมอ เพื่อความปลอดภัย

ข้อมูลสัตว์น้ำในพื้นที่ แม่น้ำกกไม่ใช่แหล่งเลี้ยงปลาในกระชัง

ประมงจังหวัดเชียงรายระบุว่า ปัจจุบันแม่น้ำกกไม่ได้เป็นแหล่งเลี้ยงปลาในกระชัง โดยปลาที่จับได้ส่วนใหญ่เป็นปลาธรรมชาติ และมีปริมาณไม่มาก คิดเป็นไม่ถึง 10% ของปลาทั้งหมดที่บริโภคในจังหวัดเชียงราย ส่วนปลาที่บริโภคทั่วไปมาจากแหล่งเพาะเลี้ยงในบ่อดิน อ่างเก็บน้ำ และแหล่งน้ำสาธารณะของชุมชน

เตรียมแผนเฝ้าระวังระยะยาว ติดตามต่อเนื่องตลอดฤดูน้ำหลาก

เนื่องจากแม่น้ำกกเป็นแม่น้ำสายหลักของจังหวัดเชียงราย และมีการเปลี่ยนแปลงคุณภาพน้ำตามฤดูกาล โดยเฉพาะช่วงหน้าฝนที่อาจเกิดน้ำหลากและน้ำขุ่นมาก ประมงจังหวัดเชียงรายได้เตรียมแผนเฝ้าระวังคุณภาพน้ำในระยะยาว ร่วมกับหน่วยงานด้านสิ่งแวดล้อม และกรมควบคุมมลพิษ เพื่อป้องกันความเสี่ยงในอนาคต

นอกจากนี้ ยังอยู่ระหว่างการหารือกับจังหวัดใกล้เคียง เช่น จังหวัดพะเยา และหน่วยงานชายแดน เพื่อสำรวจต้นน้ำจากฝั่งประเทศเมียนมา ซึ่งเป็นจุดกำเนิดของแม่น้ำกก และอาจมีส่วนต่อการปนเปื้อนของสารโลหะหนัก

บทวิเคราะห์ แม่น้ำกกในมิติเชิงสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม

แม่น้ำกกมีความสำคัญต่อระบบนิเวศและการดำรงชีวิตของชุมชนในจังหวัดเชียงรายอย่างมาก ทั้งในด้านการประมง การใช้น้ำอุปโภคบริโภค และการท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ การพบสารหนูในระดับต่ำเป็นสัญญาณที่ควรใส่ใจ โดยเฉพาะในยุคที่การเปลี่ยนแปลงทางสิ่งแวดล้อมเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว

แม้ปลาจะยังบริโภคได้ในขณะนี้ แต่การบริหารจัดการความเสี่ยง และการสื่อสารสาธารณะที่ชัดเจน โปร่งใส เป็นสิ่งที่จำเป็น เพื่อไม่ให้ประชาชนตื่นตระหนกเกินเหตุ และในขณะเดียวกันต้องสร้างความมั่นใจว่ารัฐติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง

สถิติที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาข่าว

  • ค่าเฉลี่ยสารหนูในน้ำที่ปลอดภัยต่อการบริโภค: ไม่เกิน 0.01 มก./ลิตร (กรมอนามัย, 2567)
  • ระดับที่พบในแม่น้ำกก: 0.013 มก./ลิตร (ศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืดพะเยา, เม.ย. 2568)
  • สัตว์น้ำในแม่น้ำกก: ยังไม่พบอาการผิดปกติจากผลกระทบสารพิษ (สำนักงานประมงจังหวัดเชียงราย, 9 เม.ย. 2568)
  • ปลาที่จับจากแม่น้ำกก: คิดเป็นไม่ถึง 10% ของปลาที่บริโภคในจังหวัดเชียงราย (สถิติประมงภาคเหนือ, 2566)
  • แม่น้ำกกเป็นแหล่งน้ำหลักของจังหวัดเชียงราย ที่ใช้ในระบบประปาในบางพื้นที่ และการประมงพื้นบ้าน
  • เชียงรายมีแหล่งเพาะเลี้ยงปลาในบ่อดินและอ่างเก็บน้ำ มากกว่า 3,000 แห่ง ทั่วจังหวัด (กรมประมง, 2567)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานประมงจังหวัดเชียงราย
  • ศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืดพะเยา
  • กรมประมง
  • กรมควบคุมมลพิษ
  • กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข
  • สำนักข่าวกรมประชาสัมพันธ์ จังหวัดเชียงราย
  • รายงานสถานการณ์สิ่งแวดล้อมภาคเหนือ ปี 2566 – 2567
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

ข้อมูลปี 2567 พบว่า ‘เชียงราย’ ดื่มแอลกอฮอล์ ติดอันดับ 4

เชียงรายติดอันดับ 4 ประเทศไทย ผู้ดื่มสุราสูงสุดต่อแสนประชากร รณรงค์ 3 ต. สงกรานต์ 2568

เชียงใหม่, 9 เมษายน 2568 – จากข้อมูลสถานการณ์ล่าสุดด้านการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในภาคเหนือ โดยเฉพาะจังหวัดเชียงราย พบแนวโน้มที่น่ากังวลในช่วงก่อนเข้าสู่เทศกาลสงกรานต์ 2568 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่มีอุบัติเหตุและการสูญเสียจากการดื่มสุรามากเป็นพิเศษ สำนักงานป้องกันและควบคุมโรคที่ 1 จังหวัดเชียงใหม่ เปิดเผยว่า จังหวัดเชียงรายถูกจัดอยู่ใน ลำดับที่ 4 ของประเทศ ในจำนวนประชากรผู้ดื่มสุราต่อแสนคน โดยมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

สถานการณ์แอลกอฮอล์โลก-ไทย และผลกระทบที่ตามมา

จากรายงานสถานการณ์ระดับโลกโดยองค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่า ประชากรโลกดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เฉลี่ย ร้อยละ 43 หรือคิดเป็น 6.4 ลิตรต่อคนต่อปี ขณะที่ทั่วโลกมีผู้เสียชีวิตจากการดื่มแอลกอฮอล์มากถึง 3 ล้านคนต่อปี หรือเฉลี่ยเสียชีวิต 1 คนในทุก ๆ 10 วินาที

ประเทศไทยเองก็เผชิญกับปัญหาดังกล่าวอย่างรุนแรง โดยเฉพาะช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ถือเป็นช่วงเสี่ยงที่สุดของปี ข้อมูลจากปี 2567 ระบุว่า มีอุบัติเหตุกว่า 20,000 ครั้ง และมีผู้เสียชีวิตมากกว่า 300 คน โดยพบว่าวันที่ 13 เมษายน เป็นวันที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด และสาเหตุส่วนใหญ่เกิดจาก “ดื่มแล้วขับ

เชียงรายในภาพรวมของภาคเหนือ: ความน่ากังวลในเชิงพฤติกรรมและสุขภาพ

ในภาคเหนือมีโรงกลั่นสุราที่ขึ้นทะเบียนทั้งหมด 985 แห่ง โดยเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 10 แห่ง จังหวัดเชียงรายเองถือว่าเป็นหนึ่งในจังหวัดที่มีความเข้มข้นของการบริโภคสุราสูงที่สุด โดยถูกจัดอยู่ใน อันดับที่ 4 ของประเทศ รองจากจังหวัดขอนแก่น ลำปาง และมหาสารคาม ส่วนจังหวัดพะเยาอยู่ในอันดับที่ 5

สำหรับจังหวัดเชียงราย สถิติชี้ว่ามีการบริโภคสุราสูงถึง 7.17 ลิตรต่อคนต่อปี และยังพบว่า นักดื่มหน้าใหม่มีอายุน้อยลงเรื่อย ๆ บางรายอยู่ในระดับประถมศึกษา โดยส่วนใหญ่เริ่มต้นจากการได้รับสุราจากผู้ปกครองหรือคนในครอบครัว

สงกรานต์วิถีไทย สนุก ปลอดภัย ไร้แอลกอฮอล์” 

เมื่อวันที่ 3 เม.ย. 2568 ที่ลานด้านหน้าหอศิลปวัฒนธรรมกรุงเทพมหานคร สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับเครือข่ายงดเหล้า และมูลนิธิเครือข่ายพลังสังคม จัดแถลงข่าว “สงกรานต์วิถีไทย สนุก ปลอดภัย ไร้แอลกอฮอล์”  โดย นพ.พงศ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์ ผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า  งานประเพณีสงกรานต์ ถือเป็นวาระพิเศษของสังคมไทย เป็นกิจกรรมสำหรับครอบครัว หลายปีที่ผ่านมา คนไทยต้องเผชิญความสูญเสียจากอุบัติเหตุ การคุกคามทางเพศ การทะเลาะวิวาทและความรุนแรง จากพฤติกรรมเสี่ยงโดยเฉพาะในพื้นที่จัดงานเล่นน้ำที่มีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยเฉพาะการเดินทางในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ที่มีจุดเริ่มต้นของปัญหาส่วนหนึ่งมาจาก “เครื่องดื่มแอลกอฮอล์”

ซึ่งข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุข พบว่าช่วงเทศกาลสงกรานต์ปี 2562-2566 มีผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนสูงเฉลี่ยถึง 4,519 ราย ผลกระทบสำคัญคือ “เหยื่อจากผู้ดื่มแล้วขับ” มีจำนวนเพิ่มสูงขึ้นทุกปี เฉพาะเทศกาลสงกรานต์ 2567 มีเหยื่อจากผู้ดื่มแล้วขับมากถึง 207 ราย เฉลี่ยชั่วโมงละ 1 ราย 

“จากการสำรวจข้อมูลโดยมูลนิธิเครือข่ายพลังสังคม ปี 2567 ครอบคลุม 18 จังหวัด มีกลุ่มตัวอย่าง 1,000 คน พบว่า ประชาชน 91.4% เห็นด้วยว่าการจัดงานสงกรานต์ปลอดเหล้าช่วยลดอุบัติเหตุจากการดื่มแล้วขับ 90%  เห็นด้วยว่าการจัดงานปลอดเหล้าช่วยลดปัญหาการทะเลาะวิวาท 87% เห็นว่าจัดงานไม่มีเหล้าจะช่วยลดพฤติกรรมลวนลามและการล่วงละเมิดทางเพศ ขณะที่ 75.2% ชอบงานสงกรานต์แบบปลอดเหล้ามากกว่างานที่มีเหล้า” นพ.พงศ์เทพ กล่าว 

ขอเชิญชวนให้ปรับค่านิยมและพฤติกรรมใน 6 เรื่อง

ด้านนายวิษณุ ศรีทะวงศ์ ประธานมูลนิธิเครือข่ายพลังสังคม กล่าวว่า ความสูญเสียต่างๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงเทศกาลสงกรานต์ เกิดจากค่านิยมและความเชื่อของสังคมที่เชื่อว่า การดื่มช่วยทำให้สนุก และช่วยทำให้สนิทสนมกันไว รวมถึงความเครียดจากการทำงานและสภาพสังคมทำให้เกิดการดื่มหนักในช่วงสงกรานต์เพราะต้องการปลดปล่อยความเครียด นอกจากนี้สังคมไทยเกิดอาการชินและยอมรับพฤติกรรมดื่มแล้วขับ ดังนั้นในช่วงเทศกาลสงกรานต์ปีนี้ สคล. มูลนิธิเครือข่ายพลังสังคม และภาคีเครือข่ายขอเชิญชวนให้ปรับค่านิยมและพฤติกรรมใน 6 เรื่อง ได้แก่

  1. ดื่มไม่ขับ 
  2. ไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในพื้นที่สาธารณะ 
  3. ไม่ขาย ไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในพื้นที่จัดงานสงกรานต์
  4. ให้ความสำคัญต่อความสนุกที่ยั่งยืนมากกว่าความสนุกชั่วคราว
  5. สนุกได้โดยไม่มีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
  6. สนิทได้โดยไม่พึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ทั้งนี้ หากทุกภาคส่วนร่วมกันควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และเอาจริงจังกับมาตรการโซนนิ่งพื้นที่เล่นน้ำปลอดภัย ปลอดเหล้าแล้ว สงกรานต์เป็นเทศกาลแห่งความสุขของครอบครัวอย่างแท้จริง

เชียงรายกับการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ

จังหวัดเชียงรายมีความพยายามอย่างต่อเนื่องในการลดอัตราการบริโภคสุรา โดยมีการประสานความร่วมมือกับหน่วยงานระดับอำเภอ ตำบล และชุมชน ตั้งแต่ระดับการเรียนรู้ในโรงเรียน การส่งเสริมการจัดงานปลอดเหล้าในช่วงเทศกาล ไปจนถึงการเชิญชวนร้านค้าเข้าร่วมเป็น “พื้นที่ปลอดแอลกอฮอล์

อย่างไรก็ตาม จากสถิติในปีที่ผ่านมา ยังพบว่าผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุที่เกี่ยวข้องกับสุราในพื้นที่จังหวัดเชียงรายยังคงอยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะในกลุ่มวัยทำงานและวัยรุ่นชาย ซึ่งสะท้อนถึงความจำเป็นในการเพิ่มประสิทธิภาพของมาตรการเชิงป้องกัน และพัฒนาระบบติดตามพฤติกรรมดื่มสุราของกลุ่มเสี่ยงในพื้นที่

การมีส่วนร่วมของภาคประชาชน และภาคเอกชน

นอกจากหน่วยงานรัฐแล้ว ภาคเอกชนและประชาชนในพื้นที่ก็มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะการส่งเสริมกิจกรรมสร้างสรรค์ในชุมชน เช่น งานสงกรานต์ปลอดเหล้า กิจกรรมกีฬาชุมชน หรือเวทีเยาวชนเพื่อเรียนรู้ผลกระทบของแอลกอฮอล์

ในปีนี้ จังหวัดเชียงรายยังเปิดเวทีให้หน่วยงานหรือบุคคลที่มีผลงานดีเด่นในการรณรงค์และควบคุมการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ส่งผลงานเข้ารับการคัดเลือกเพื่อรับรางวัลเกียรติยศ เนื่องในวันงดดื่มสุราแห่งชาติ ประจำปี 2568 ซึ่งถือเป็นอีกแรงจูงใจที่ช่วยสร้างเครือข่ายในการขับเคลื่อนงานอย่างยั่งยื

สถิติที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาข่าว

  • ประชากรโลก ดื่มแอลกอฮอล์เฉลี่ย 6.4 ลิตรต่อคนต่อปี (WHO, 2023)
  • ประเทศไทย มีประชากรดื่มแอลกอฮอล์เฉลี่ย 7.17 ลิตรต่อคนต่อปี (สำนักงานสถิติแห่งชาติ, 2566)
  • เชียงราย ติดอันดับ 4 ของประเทศ ในอัตราผู้ดื่มสุราต่อแสนประชากร (สำนักงานควบคุมโรคที่ 1 จังหวัดเชียงใหม่, 2567)
  • โรงกลั่นสุราในภาคเหนือ มีจำนวน 985 แห่ง โดยจังหวัดเชียงรายมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากเดิม
  • อุบัติเหตุช่วงสงกรานต์ปี 2567 ทั่วประเทศเกิดกว่า 20,000 ครั้ง เสียชีวิตมากกว่า 300 คน (ศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน)
  • วันเสี่ยงสูงสุด คือวันที่ 13 เมษายน ซึ่งมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บสูงที่สุดในรอบสัปดาห์

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • สำนักงานป้องกันและควบคุมโรคที่ 1 จังหวัดเชียงใหม่
  • สำนักงานสถิติแห่งชาติ
  • องค์การอนามัยโลก (WHO)
  • ศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน
  • สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย
  • เครือข่ายองค์กรงดเหล้า จังหวัดเชียงราย
  • ภาพโดย : KANJO Review
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
TOP STORIES

ไทย-เมียนมา จับมือแก้ปัญหา สารพิษที่เกิดใน “แม่น้ำกก”

ไทย-เมียนมาร่วมมือแก้ปัญหาน้ำกกปนเปื้อนสารเคมี การประปาฯ ยืนยันคุณภาพน้ำยังปลอดภัย

เชียงใหม่, 9 เมษายน 2568 – ท่ามกลางความกังวลของประชาชนต่อสถานการณ์การปนเปื้อนสารเคมีในแม่น้ำกก อันเป็นผลกระทบจากกิจกรรมการทำเหมืองแร่ทองคำในพื้นที่ประเทศเมียนมาใกล้พรมแดนไทย การประปาส่วนภูมิภาคเขต 9 ออกมายืนยันความมั่นใจในคุณภาพน้ำประปาว่ายังคงปลอดภัยต่อการบริโภค พร้อมทั้งเร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาร่วมกับหน่วยงานทั้งในและต่างประเทศอย่างเข้มข้น

ต้นเหตุของความกังวล เหมืองแร่ทองคำในเมียนมา

แม่น้ำกกเป็นแหล่งน้ำธรรมชาติที่ไหลผ่านหลายพื้นที่ในจังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่ โดยมีจุดต้นกำเนิดจากเขตภูเขาทางตะวันออกของรัฐฉาน ประเทศเมียนมา ก่อนจะไหลเข้าสู่ประเทศไทยและกลายเป็นหนึ่งในแหล่งน้ำดิบสำคัญของการประปาส่วนภูมิภาค

อย่างไรก็ตาม ในช่วงปีที่ผ่านมา มีรายงานถึงความเป็นไปได้ในการปนเปื้อนของสารเคมีประเภทโลหะหนัก เช่น สารไซยาไนด์ ซึ่งใช้ในกระบวนการแยกแร่ทองคำ จากเหมืองแร่ในฝั่งประเทศเมียนมา ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อคุณภาพของน้ำในแม่น้ำกก และเป็นที่มาของความวิตกกังวลในหมู่ประชาชน

ผู้อำนวยการ กปภ.เขต 9 ยืนยันคุณภาพน้ำยังปลอดภัย

นายพงษ์ศักดิ์ เดี่ยววิไล ผู้อำนวยการการประปาส่วนภูมิภาค เขต 9 กล่าวในการแถลงข่าว ณ จังหวัดเชียงใหม่ว่า ทางการประปาได้เฝ้าระวังและตรวจสอบคุณภาพน้ำดิบอย่างต่อเนื่อง พร้อมมีมาตรการปรับกระบวนการผลิตน้ำเพื่อรองรับกับคุณภาพน้ำที่เปลี่ยนแปลง จึงมั่นใจว่าน้ำประปาที่ยังคงผลิตอยู่ในขณะนี้ มีความสะอาดและปลอดภัย สามารถบริโภคได้ตามปกติ

“เราตรวจสอบคุณภาพน้ำในทุกกระบวนการ ตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง พร้อมทั้งปรับปรุงเทคโนโลยีในการผลิตและบำบัดน้ำอย่างสม่ำเสมอ เพื่อตอบสนองความมั่นใจของประชาชน” นายพงษ์ศักดิ์กล่าว

รัฐบาลไทยเร่งสร้างความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน

ภายหลังจากที่ได้รับรายงานผลกระทบจากการทำเหมืองแร่ฝั่งเมียนมา นางสาวซาบีดา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ซึ่งกำกับดูแลการประปาส่วนภูมิภาค ได้สั่งการให้มีการหารือร่วมกับหน่วยงานของเมียนมาโดยเร่งด่วน

โดยมีการประสานกับ นายมีง จอ ลีน กงสุลใหญ่สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาประจำจังหวัดเชียงใหม่ เพื่อแจ้งข้อห่วงกังวลของไทย และเสนอแนวทางการดำเนินการร่วมกันในการแก้ไขปัญหาการปนเปื้อนสารเคมีในแม่น้ำกก

ทางกงสุลใหญ่เมียนมาได้แสดงท่าทีให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ พร้อมทั้งจะส่งเรื่องไปยังหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง อาทิ ผู้ว่าการเมืองสาด เมืองยอน และส่วนราชการระดับกลางของประเทศเมียนมา เพื่อดำเนินการตรวจสอบและดำเนินการแก้ไขในพื้นที่ต้นน้ำอย่างเร่งด่วน

วิเคราะห์ความเสี่ยงและผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น

แม้ว่าการประปาจะยืนยันความปลอดภัยของน้ำประปาในปัจจุบัน แต่การปนเปื้อนในแหล่งน้ำต้นทาง เช่น แม่น้ำกก ยังคงถือเป็นภัยคุกคามต่อสุขภาพประชาชนในระยะยาว โดยเฉพาะสารไซยาไนด์หรือโลหะหนักอื่น ๆ หากหลุดรอดเข้าสู่แหล่งน้ำดิบและไม่มีการจัดการอย่างเหมาะสม อาจสะสมในสิ่งแวดล้อมและก่อให้เกิดโรคในระบบประสาท ไต หรือก่อมะเร็งได้

ทั้งนี้ ประเทศไทยไม่มีอำนาจโดยตรงในการเข้าไปตรวจสอบพื้นที่ต้นน้ำในประเทศเมียนมา จึงจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างประเทศ และกลไกทางการทูตในการบริหารจัดการปัญหานี้ร่วมกัน

บทบาทของประชาชนและภาคีเครือข่ายในพื้นที่

นอกจากหน่วยงานภาครัฐแล้ว ภาคประชาสังคมและองค์กรสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ภาคเหนือ เช่น เครือข่ายอนุรักษ์ลุ่มน้ำกก และกลุ่มชุมชนริมแม่น้ำในจังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่ ก็ได้ร่วมติดตามสถานการณ์และรวบรวมข้อมูลการเปลี่ยนแปลงของคุณภาพน้ำในพื้นที่

มีการรายงานว่าในช่วงต้นปี 2568 มีการพบปลาจำนวนหนึ่งตายในลำน้ำ และมีสีของน้ำเปลี่ยนแปลงในบางช่วงเวลา แม้ยังไม่มีข้อสรุปที่แน่ชัดเกี่ยวกับความเชื่อมโยงกับการทำเหมือง แต่ก็สะท้อนถึงความจำเป็นในการติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง

ข้อเสนอเชิงนโยบาย

เพื่อแก้ไขปัญหาการปนเปื้อนของสารเคมีในแม่น้ำกกอย่างเป็นระบบ ควรมีการดำเนินงานในหลายมิติ ได้แก่

  1. การตั้งคณะกรรมการร่วมไทย-เมียนมา เพื่อร่วมตรวจสอบคุณภาพน้ำต้นน้ำ และติดตามผลกระทบจากกิจกรรมเหมืองแร่โดยตรง
  2. การส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีระบบเตือนภัยล่วงหน้า ในการตรวจวัดสารเคมีปนเปื้อนในแหล่งน้ำ
  3. การสร้างระบบสื่อสารสาธารณะที่มีประสิทธิภาพ เพื่อให้ประชาชนรับรู้ข้อมูลข่าวสารด้านคุณภาพน้ำอย่างโปร่งใสและต่อเนื่อง
  4. การขยายขอบเขตการศึกษาและวิเคราะห์ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมข้ามพรมแดน โดยร่วมมือกับหน่วยงานสิ่งแวดล้อมระหว่างประเทศ

สถิติที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาข่าว

  • การประปาส่วนภูมิภาค รายงานว่า แหล่งน้ำดิบที่ใช้ในการผลิตน้ำประปาในพื้นที่ภาคเหนือกว่า 35% มาจากแม่น้ำกก และมีประชาชนที่พึ่งพาน้ำจากแม่น้ำกกประมาณ 1.2 ล้านคน
  • กรมควบคุมมลพิษ (ปี 2566) ระบุว่า พื้นที่ชายแดนภาคเหนือมีจุดเสี่ยงจากเหมืองแร่ฝั่งเมียนมา 14 จุด โดย 5 จุด อยู่ใกล้แม่น้ำที่ไหลเข้าสู่ประเทศไทย
  • รายงานจาก เครือข่ายอนุรักษ์ลุ่มน้ำกก ระบุว่า ในช่วงปี 2565-2567 มีการแจ้งเหตุปลาตายหรือคุณภาพน้ำเปลี่ยนแปลงในลำน้ำกกกว่า 23 ครั้ง
  • รายงานของ World Health Organization (WHO) ระบุว่า การได้รับสารไซยาไนด์ในปริมาณ 0.05 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมของน้ำหนักตัว สามารถก่อผลกระทบทางสุขภาพได้ในระยะยาว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • การประปาส่วนภูมิภาค เขต 9
  • กรมควบคุมมลพิษ
  • เครือข่ายอนุรักษ์ลุ่มน้ำกก
  • รายงานสุขภาพสิ่งแวดล้อม WHO ปี 2023
  • กระทรวงมหาดไทย แถลงข่าว 9 เมษายน 2568
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

อบจ.เชียงราย ลุยแก้ปัญหาที่ดิน สอน. รพ.สต. ปลดล็อกบริการ

อบจ.เชียงรายเร่งปลดล็อกปัญหาที่ดิน “รพ.สต.-สอน.” หวังยกระดับบริการสุขภาพสู่ประชาชน

เชียงราย, 8 เมษายน 2568 – องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย โดยการนำของ นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย เดินหน้าแก้ปัญหาการใช้ประโยชน์ที่ดินของสถานีอนามัยเฉลิมพระเกียรติ 60 พรรษา นวมินทราชินี (สอน.) และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ที่อยู่ในความรับผิดชอบของ อบจ.เชียงราย หลังได้รับการถ่ายโอนภารกิจจากกระทรวงสาธารณสุข เพื่อให้สามารถดำเนินภารกิจด้านการให้บริการสุขภาพต่อประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ครอบคลุม และถูกต้องตามกฎหมาย

เริ่มต้นด้วยความตั้งใจจริง สู่การระดมแก้ไขปัญหาในเชิงระบบ

ในการประชุมวันที่ 8 เมษายน 2568 ที่ผ่านมา อบจ.เชียงราย ได้จัดประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเร่งรัดการประสานงานกับหน่วยงานเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินเดิม อาทิ สำนักงานธนารักษ์ กรมป่าไม้ กรมที่ดิน และหน่วยงานรัฐอื่น ๆ ที่มีความเกี่ยวข้องกับการใช้ที่ดินสาธารณะ ซึ่ง รพ.สต. และ สอน. ตั้งอยู่ เพื่อให้การขออนุญาตใช้พื้นที่เป็นไปโดยถูกต้องตามระเบียบ

สถานการณ์ปัจจุบันของที่ดิน “รพ.สต. – สอน.” ในพื้นที่เชียงราย

จากข้อมูลเบื้องต้น องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงรายมีสถานีอนามัยเฉลิมพระเกียรติ 60 พรรษาฯ และ รพ.สต. อยู่ในความรับผิดชอบทั้งสิ้น 211 แห่ง ซึ่งล้วนแต่ประสบปัญหาที่ดินยังไม่ได้รับการจัดการด้านเอกสารสิทธิ์อย่างสมบูรณ์ โดยในจำนวนนี้ มีหลายแห่งตั้งอยู่บนที่ดินของหน่วยงานรัฐหลากหลายประเภท เช่น

  • ที่ราชพัสดุ (สำนักงานธนารักษ์)
  • ที่ดินป่าสงวน (กรมป่าไม้)
  • พื้นที่ ส.ป.ก. (สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม)
  • ที่ดินศาสนสมบัติ (สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ)
  • ที่ดินของโรงเรียน หรือการไฟฟ้าฯ
  • ที่ดินเอกชนที่ชาวบ้านบริจาค

แต่ละกรณีล้วนมีข้อจำกัดเฉพาะ ซึ่งส่งผลต่อความล่าช้าในการขออนุญาตใช้พื้นที่ รวมถึงกระบวนการถ่ายโอนสิ่งปลูกสร้าง

ปัญหาเชิงระบบจากการถ่ายโอนภารกิจ

การถ่ายโอนภารกิจของ รพ.สต. และ สอน. จากกระทรวงสาธารณสุขมายังองค์การบริหารส่วนจังหวัด ตามนโยบายกระจายอำนาจ เป็นแนวทางที่รัฐมุ่งหวังให้เกิดความคล่องตัวและยืดหยุ่นมากขึ้นในระดับพื้นที่

อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลของ กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น (สถ.) พบว่า ภายหลังการถ่ายโอน มีสถานพยาบาลทั้งประเทศกว่า 4,452 แห่ง ที่ อบจ. ได้รับผิดชอบ โดยมีปัญหาด้านกรรมสิทธิ์ในที่ดินและสิ่งปลูกสร้างมากถึง กว่า 90%

อบจ.เชียงรายเอง กำลังเผชิญกับสถานการณ์เดียวกัน โดยพบว่า หน่วยงานเจ้าของภารกิจเดิมยังไม่จัดทำเอกสารสิทธิ์ให้ครบถ้วน เช่น ยังไม่ขึ้นทะเบียนสิ่งปลูกสร้าง ส่งคืนสำนักงานธนารักษ์ หรือยังไม่ได้รับอนุญาตจากกรมป่าไม้ในพื้นที่ที่ตั้งอยู่ในเขตป่าสงวน

สาเหตุหลักของอุปสรรคในการอนุญาตใช้ที่ดิน

  1. การไม่มีเอกสารสิทธิ์ในพื้นที่เดิม: อาคารบางแห่งตั้งอยู่ในพื้นที่ที่ยังไม่ได้ออกเอกสารสิทธิ์ หรือยังไม่มีการรังวัดเขตแน่นอน เช่น พื้นที่บริจาคจากชาวบ้าน หรือที่ราชพัสดุที่ยังไม่ได้ขึ้นทะเบียน
  2. หน่วยงานเดิมยังไม่ส่งมอบข้อมูลครบถ้วน: บางกรณีสิ่งปลูกสร้างยังไม่มีการขึ้นทะเบียนตามแบบฟอร์ม ทบ.6 หรือไม่มีหนังสือรื้อถอนจากเจ้าของเดิม ส่งผลให้หน่วยงานรับโอนอย่าง อบจ. ไม่สามารถดำเนินการต่อได้
  3. ขั้นตอนการขออนุญาตใช้พื้นที่ป่าสงวนมีความซับซ้อน: การดำเนินการต้องได้รับอนุมัติจากกรมป่าไม้ ซึ่งต้องผ่านการพิจารณาหลายชั้น ตั้งแต่สำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ในพื้นที่ จนถึงกรมส่วนกลาง

ความมุ่งมั่นของนายก อบจ.เชียงราย

นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย ย้ำในที่ประชุมว่า “อบจ.เชียงรายจะเร่งประสานและบูรณาการการทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การขออนุญาตใช้ที่ดินสถานพยาบาลเหล่านี้ เป็นไปอย่างถูกต้อง ครบถ้วน และเร็วที่สุด เพราะนี่ไม่ใช่แค่เรื่องเอกสาร แต่คือคุณภาพชีวิตของประชาชน”

ทั้งนี้ ได้มอบหมายให้ สำนักช่าง อบจ.เชียงราย เร่งจัดทำผังบริเวณ รังวัดที่ดิน และจัดเตรียมเอกสารประกอบคำขออย่างครบถ้วน พร้อมประสานงานกับสำนักงานธนารักษ์ และสำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้จังหวัด เพื่อเร่งรัดขั้นตอนการอนุญาต

ความสำคัญของ รพ.สต. และ สอน. ต่อระบบสุขภาพไทย

โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) และสถานีอนามัยเฉลิมพระเกียรติ 60 พรรษาฯ (สอน.) เป็นหน่วยบริการปฐมภูมิ ที่ประชาชนพึ่งพาเป็นด่านหน้าในการดูแลสุขภาพ ไม่ว่าจะเป็นการฉีดวัคซีน ตรวจสุขภาพแม่และเด็ก ดูแลผู้สูงอายุ ตลอดจนการส่งต่อผู้ป่วยในระบบสาธารณสุข

หากสถานพยาบาลเหล่านี้ไม่สามารถใช้อาคารหรือที่ดินได้อย่างถูกต้อง ย่อมกระทบต่อคุณภาพบริการและความปลอดภัยของประชาชนโดยตรง

ข้อเสนอเชิงนโยบายและแนวทางขับเคลื่อนในอนาคต

เพื่อให้การแก้ไขปัญหาเป็นไปอย่างยั่งยืน จำเป็นต้องมีแนวทางดังนี้

  • สร้างระบบฐานข้อมูลกลางที่เชื่อมโยงกันระหว่าง สถ. – สธ. – ธนารักษ์ – ป่าไม้ เพื่อให้การดำเนินงานโปร่งใสและไม่ซ้ำซ้อน
  • เร่งจัดทำร่างระเบียบกลางว่าด้วยการถ่ายโอนและการใช้ประโยชน์ในที่ราชการร่วมกัน เพื่อลดภาระการขออนุญาตรายกรณี
  • เสนอแก้ไขกฎหมายบางประการที่เป็นอุปสรรค เช่น พ.ร.บ.ป่าไม้, พ.ร.บ.ที่ราชพัสดุ เพื่อให้เอื้อต่อภารกิจด้านสาธารณสุขในพื้นที่ห่างไกล

สถิติที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาข่าว

  • ข้อมูลจาก กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น (สถ.) ณ ต้นปี 2568 ระบุว่า มีสถานพยาบาล (รพ.สต. – สอน.) ที่ได้รับการถ่ายโอนจากกระทรวงสาธารณสุข จำนวนทั้งสิ้น 4,452 แห่ง ทั่วประเทศ
  • จากการสำรวจเบื้องต้น พบว่า มากกว่า 90% ของสถานพยาบาลที่ถ่ายโอน ยังไม่ได้รับการจัดการเรื่องเอกสารสิทธิ์ที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างให้ถูกต้อง
  • ในจังหวัดเชียงราย อบจ.มีความรับผิดชอบดูแลสถานพยาบาลที่ถ่ายโอนแล้วถึง 211 แห่ง ซึ่งกำลังอยู่ในระหว่างดำเนินการแก้ไขปัญหาในลักษณะเดียวกัน
  • รายงานจาก กรมป่าไม้ ระบุว่า พื้นที่ป่าอนุรักษ์และป่าสงวนแห่งชาติครอบคลุมกว่า 38% ของพื้นที่ประเทศไทย ซึ่งเป็นหนึ่งในอุปสรรคหลักของการใช้ประโยชน์พื้นที่ในหลายจังหวัด

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น (สถ.), หนังสือด่วนมาก ลงวันที่ 6 มกราคม 2568
  • กรมป่าไม้, รายงานพื้นที่ป่าประเทศไทย ปี 2566
  • สำนักงานธนารักษ์จังหวัดเชียงราย
  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (การประชุมวันที่ 8 เมษายน 2568)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

เชียงรายปั้นเทศกาลโลก อวดเมือง ดึงดูดนานาชาติ

เชียงรายระดมความคิดยกระดับเทศกาลไทยสู่เวทีนานาชาติ หวังสร้างภาพลักษณ์ “เมืองแห่งเทศกาล”

เชียงราย, 8 เมษายน 2568 – สำนักงานจังหวัดเชียงรายจัดประชุมระดมความคิดเห็นเพื่อจัดทำโครงการ “เพิ่มขีดความสามารถผู้จัดเทศกาลไทย ผู้สร้างสรรค์เทศกาลไทยสู่เวทีนานาชาติ” ประจำปีงบประมาณ 2568 โดยมีหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนในพื้นที่เข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง ภายใต้เป้าหมายร่วมกันในการขับเคลื่อนเมืองเชียงรายสู่การเป็นเมืองแห่งเทศกาล พร้อมยกระดับการจัดกิจกรรมวัฒนธรรมและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ให้เป็นกลไกกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากอย่างยั่งยืน

ประชุมวางรากฐาน “เทศกาลของเมือง” สู่ระดับโลก

เมื่อเวลา 14.00 น. ของวันอังคารที่ 8 เมษายน 2568 ณ ห้องประชุมสำนักงานจังหวัดเชียงราย ชั้น 3 ศาลากลางจังหวัดเชียงราย ได้มีการประชุมระดมความคิดเห็นภายใต้โครงการดังกล่าว โดยได้รับเกียรติจาก นายนรศักดิ์ สุขสมบูรณ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานการประชุม แทนผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย นายชรินทร์ ทองสุข ที่มอบหมายหน้าที่ในครั้งนี้

การประชุมดังกล่าวมุ่งเน้นการเสนอแนวคิด สะท้อนปัญหา และแลกเปลี่ยนองค์ความรู้เกี่ยวกับการจัดงานเทศกาลในจังหวัด โดยเน้นการยกระดับงานเทศกาลให้เป็นมากกว่ากิจกรรมท้องถิ่น แต่สามารถขยายสู่ระดับนานาชาติได้อย่างมีศักยภาพ

สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงรายเสนอแนวทางพัฒนาเทศกาล

ในที่ประชุม สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย ได้ส่งตัวแทนเข้าร่วมประชุมและเสนอแนวคิดสำคัญหลายประการ อาทิ การคัดเลือกเทศกาลของจังหวัดเชียงรายเพื่อเข้าร่วมโครงการ “อวดเมือง” ซึ่งเป็นกิจกรรมที่เปิดโอกาสให้แต่ละจังหวัดนำเสนออัตลักษณ์วัฒนธรรมท้องถิ่นอย่างสร้างสรรค์ และมีเป้าหมายเพื่อพัฒนาเทศกาลให้กลายเป็น “City Expo” ที่สามารถสร้างรายได้ทางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวในระดับพื้นที่

บุคลากรผู้แทนจากสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงรายประกอบด้วย นางสาวณพิชญา นันตาดี, นางเพียรโสม ปาสาทัง, นายจิรัฏฐ์ ยุทธ์ธนประวิช และนายวรพล จันทร์คง ซึ่งได้ร่วมอภิปรายในประเด็นด้านการพัฒนาเทศกาลให้สอดคล้องกับบริบทวัฒนธรรมของเชียงราย พร้อมเน้นย้ำถึงการใช้ทุนทางวัฒนธรรมเดิม ผสานแนวคิดใหม่ในการออกแบบกิจกรรมให้ทันสมัยและเข้าถึงคนรุ่นใหม่

เปิดเวทีให้ภาคีเครือข่ายร่วมขับเคลื่อน

การประชุมในครั้งนี้ยังได้รับความร่วมมือจากภาคีเครือข่ายในพื้นที่อย่างกว้างขวาง ได้แก่ องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย, เทศบาลนครเชียงราย, หอการค้าจังหวัดเชียงราย และ YEC เชียงราย ที่ได้นำเสนอมุมมองของผู้ประกอบการและภาคเอกชนต่อการจัดเทศกาลในระดับจังหวัดและแนวทางการยกระดับให้เข้าถึงมาตรฐานสากล

ตัวแทนจากหอการค้าจังหวัดเชียงราย ได้เน้นถึงโอกาสในการสร้างเศรษฐกิจหมุนเวียนจากการจัดเทศกาลในลักษณะ “เทศกาลเมือง” ที่ไม่เพียงแต่ส่งเสริมการท่องเที่ยวเท่านั้น แต่ยังสามารถเป็นช่องทางสร้างงานและรายได้ให้กับผู้ประกอบการในชุมชน ทั้งกลุ่มอาหารพื้นถิ่น กลุ่มหัตถกรรม และกลุ่มบริการที่เกี่ยวข้อง

แนวทางสู่เมืองแห่งเทศกาลและความยั่งยืนทางเศรษฐกิจ

โครงการ “เพิ่มขีดความสามารถผู้จัดเทศกาลไทยฯ” เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศในเชิงวัฒนธรรม โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อให้ประเทศไทยสามารถก้าวสู่การเป็น “ประเทศแห่งเทศกาล” อย่างแท้จริง หรือ Thailand as a Festival Country

หัวใจสำคัญของแนวทางดังกล่าวคือการ ชูอัตลักษณ์ท้องถิ่น ให้เป็นที่รู้จักในระดับนานาชาติผ่านเทศกาลที่มีเอกลักษณ์ และมีกลไกสนับสนุนจากทั้งรัฐและเอกชน เพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนอย่างเป็นระบบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในจังหวัดที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมอย่างเชียงราย ซึ่งมีศักยภาพทั้งในด้านทรัพยากรบุคคล แหล่งท่องเที่ยว และฐานวัฒนธรรมอันเข้มแข็ง

แนวคิดจากพื้นที่…สู่เวทีโลก

หนึ่งในข้อเสนอสำคัญของการประชุมครั้งนี้คือการจัดตั้ง คณะทำงานเฉพาะกิจระดับจังหวัด เพื่อพัฒนาแนวทางการจัดเทศกาลตามมาตรฐานสากล โดยให้มีการเก็บข้อมูลสถิติผู้เข้าร่วมงาน รายได้หมุนเวียน และผลกระทบเชิงเศรษฐกิจ-สังคม อย่างต่อเนื่อง เพื่อประเมินผลลัพธ์และพัฒนาเทศกาลในรอบปีถัดไป

นอกจากนี้ยังมีข้อเสนอให้ส่งเสริมเทศกาลของจังหวัดที่จัดขึ้นเป็นประจำอยู่แล้ว เช่น เทศกาลดอกไม้งามเชียงราย, งานไม้ดอกเมืองหนาว, งานวัฒนธรรมชนเผ่า และงานสงกรานต์เชียงราย ให้มีการปรับรูปแบบให้เชื่อมโยงกับแนวคิดของเศรษฐกิจสร้างสรรค์ และเปิดเวทีให้กลุ่มเยาวชนมีส่วนร่วมมากขึ้น

วิเคราะห์แนวโน้มของเมืองเชียงรายในฐานะศูนย์กลางเทศกาลภาคเหนือ

จากบทบาทของจังหวัดเชียงรายในฐานะจังหวัดท่องเที่ยวอันดับต้น ๆ ของภาคเหนือ การผลักดันแนวคิด “เมืองแห่งเทศกาล” จะมีส่วนช่วยเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจในระดับท้องถิ่น โดยเฉพาะในช่วงนอกฤดูกาลท่องเที่ยว

หากสามารถจัดเทศกาลในรูปแบบที่ยั่งยืน มีเนื้อหาใหม่ ๆ ที่เชื่อมโยงกับวัฒนธรรมดั้งเดิม และบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ จะทำให้จังหวัดเชียงรายสามารถยืนอยู่ในเวทีระดับนานาชาติได้อย่างมั่นคงในอนาคต

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  • สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) รายงานว่า อุตสาหกรรมเทศกาลมีส่วนต่อ GDP ประเทศไทยประมาณ 1.2% และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปี
  • ข้อมูลจากกระทรวงวัฒนธรรม (2566) ระบุว่า ประเทศไทยมีการจัดงานเทศกาลมากกว่า 2,300 งานต่อปี แต่มีเพียง 15% เท่านั้นที่เข้าถึงตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติ
  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) รายงานว่าการจัดงานเทศกาลที่มีอัตลักษณ์ชัดเจนสามารถเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวเฉลี่ย 18-25% ต่อรอบกิจกรรม

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.)
  • กระทรวงวัฒนธรรม
  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)
  • รายงานจากสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย (ประชุมวันที่ 8 เมษายน 2568)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

นายก อบจ. ลุยบ้านดู่ แก้ปัญหาน้ำเน่าเสียด่วน

นายก อบจ.เชียงราย เร่งแก้น้ำเน่าบ้านดู่ หลังชาวบ้านร้องเรียนเดือดร้อน

เชียงราย, 8 เมษายน 2568 – ปัญหาน้ำเน่าเสียในเขต ตำบลบ้านดู่ อำเภอเมืองเชียงราย กลายเป็นวาระเร่งด่วน หลังประชาชนร้องเรียนต่อองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย) ถึงความเดือดร้อนที่ทวีความรุนแรงมาอย่างต่อเนื่อง

ประชาชนร้องเรียนปัญหาเน่ารุนแรง ส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวัน

เมื่อเวลา 11.50 น. ของวันอังคารที่ 8 เมษายน 2568 นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย ได้ลงพื้นที่ตำบลบ้านดู่โดยด่วน หลังได้รับรายงานจากประชาชนเรื่อง น้ำขังรอการระบายจนเกิดน้ำเน่า ส่งกลิ่นเหม็นตลอดทั้งวัน

หลายครัวเรือนในพื้นที่ต้องประสบปัญหาไม่สามารถเปิดหน้าต่างบ้านได้ และบางพื้นที่เริ่มพบสัตว์พาหะ เช่น ยุง และแมลงวัน เพิ่มจำนวนมากขึ้นอย่างผิดปกติ

นายก อบจ.เชียงราย ลงพื้นที่จริง รับฟังประชาชนโดยตรง

ทันทีที่เดินทางถึงพื้นที่ นายก อบจ.เชียงราย ได้พบกับกลุ่มชาวบ้าน พร้อมรับฟังผลกระทบและข้อเสนอแนะต่าง ๆ โดยได้เน้นย้ำว่า ทุกปัญหาที่กระทบต่อคุณภาพชีวิตของประชาชน จะได้รับการดำเนินการอย่างเร่งด่วน

จากการตรวจสอบเบื้องต้น พบว่ามีหลายจุดในเขตชุมชนที่น้ำท่วมขังมานาน และไม่มีการระบายน้ำออกจากระบบได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เกิดการสะสมของน้ำเสียและขยะอินทรีย์

สั่งการหน่วยงานภายในทันที บูรณาการแก้ปัญหากับท้องถิ่น

นางอทิตาธร ได้สั่งการให้ สำนักช่างของ อบจ.เชียงราย เร่งสำรวจพื้นที่ที่มีปัญหาโดยละเอียด พร้อมทั้งประสานงานกับ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ตำบลบ้านดู่ เพื่อเร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาในเบื้องต้นอย่างเร่งด่วนที่สุด

การดำเนินการครั้งนี้จะครอบคลุมทั้งการขุดลอกทางระบายน้ำที่ตื้นเขิน การติดตั้งระบบท่อระบายน้ำเพิ่มเติมในจุดที่จำเป็น และการจัดตั้งหน่วยเคลื่อนที่เร็วในการดูแลความสะอาดและความปลอดภัยของพื้นที่เสี่ยง

วางแผนระยะยาวเพื่อป้องกันปัญหาในอนาคต

ในระยะยาว อบจ.เชียงราย มีแผนร่วมมือกับหน่วยงานด้านสิ่งแวดล้อมและผังเมือง เพื่อ วางระบบระบายน้ำใหม่ ที่สามารถรองรับน้ำฝนในฤดูมรสุม รวมถึงปรับปรุงระบบบำบัดน้ำเสียชุมชนให้ทันสมัยและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

นอกจากนี้ยังมีแนวคิดที่จะส่งเสริมให้ชุมชนมีส่วนร่วมผ่านโครงการ บ้านดู่ร่วมใจดูแลสิ่งแวดล้อม” โดยสร้างเครือข่ายอาสาสมัครตรวจสอบและรายงานจุดเสี่ยงน้ำเน่าเสียในพื้นที่

ปัญหาน้ำเสียส่งผลกระทบกว้างทั้งสุขภาพและเศรษฐกิจ

ข้อมูลจาก สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย ระบุว่า ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา มีรายงานการเจ็บป่วยจากโรคที่เกี่ยวข้องกับน้ำเสียเพิ่มขึ้น 27% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุและเด็กเล็ก

ด้านภาคธุรกิจ โดยเฉพาะร้านอาหารในพื้นที่ตำบลบ้านดู่ ก็ได้รับผลกระทบไม่แพ้กัน เนื่องจากกลิ่นเหม็นรบกวนลูกค้าและทำให้ยอดขายลดลงอย่างชัดเจน

ปัญหาสิ่งแวดล้อมในเขตเมืองขยายตัว ต้องการการจัดการที่เป็นระบบ

เหตุการณ์ในตำบลบ้านดู่ สะท้อนให้เห็นว่า เมื่อเมืองขยายตัวอย่างรวดเร็วโดยไม่มีการวางแผนโครงสร้างพื้นฐานด้านสิ่งแวดล้อมที่เพียงพอ ย่อมนำไปสู่ปัญหาสะสมทั้งในด้านสุขภาพ สิ่งแวดล้อม และความเป็นอยู่ของประชาชน

การบูรณาการระหว่างท้องถิ่นกับจังหวัด และการมีส่วนร่วมของประชาชน จะเป็นกุญแจสำคัญสู่การแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  • จากรายงานของกรมควบคุมมลพิษ (2567) พบว่า พื้นที่เขตเมืองในภาคเหนือกว่า 43% มีปัญหาน้ำเน่าเสียจากการระบายน้ำไม่เพียงพอ
  • เชียงรายมีอัตราการร้องเรียนเกี่ยวกับกลิ่นเหม็นและน้ำเน่าในปี 2567 สูงเป็นอันดับ 5 ของประเทศ (กรมอนามัย)
  • สำนักงานสถิติแห่งชาติระบุว่า 61% ของประชาชนในเขตเมืองต้องการให้มีการลงทุนในระบบบำบัดน้ำเสียชุมชนมากขึ้น

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • กรมควบคุมมลพิษ, รายงานสถานการณ์สิ่งแวดล้อมแห่งชาติ 2567
  • สำนักงานสถิติแห่งชาติ, รายงานการสำรวจความคิดเห็นประชาชน 2567
  • กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข, รายงานภาวะสุขภาพประชาชนจากมลภาวะ 2567
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE