Categories
ENTERTAINMENT

Netflix ทุ่ม 6.5 พันล้านบาท ปั้นไทยสู่ “ฮับคอนเทนต์โลก” ดึง Soft Power สู่สากล

Netflix ทุ่มสุดตัว! อัดฉีดงบฯ กว่า 6.5 พันล้านบาท ปั้นไทยสู่ “ฮับคอนเทนต์โลก” ดึง Soft Power สร้างปรากฏการณ์ความสำเร็จระดับสากล

ประเทศไทย, 21 สิงหาคม 2568 – โอกาส–ตัวเลข–โจทย์ที่ต้องแก้ ปรากฏการณ์ “เงินไหลเข้า” ของอุตสาหกรรมภาพยนตร์และซีรีส์ในไทยกำลังเกิดขึ้นจริงและชัดขึ้นทุกปี ทั้งจากแพลตฟอร์มสตรีมมิงระดับโลกอย่าง Netflix ที่เดินหน้าลงทุนระยะยาวในไทย และจากกองถ่ายต่างชาติที่เลือกประเทศไทยเป็นโลเกชันหลักของงานระดับเรือธง (flagship) ผลลัพธ์เบื้องต้นวัดได้ด้วยตัวเลข: รายได้จากกองถ่ายต่างชาติปีล่าสุดแตะหลายพันล้านบาทต่อปี ขณะที่ฝั่งคอนเทนต์ไทยบนแพลตฟอร์มโลกทำสถิติชั่วโมงรับชมรวมระดับหลายร้อยล้านชั่วโมง คำถามสำคัญมีสองชั้น—เราพร้อมแค่ไหนจะเป็น “ฮับการผลิตคอนเทนต์” ของภูมิภาค และจะต่อยอด Soft Power ให้เกิดมูลค่าเศรษฐกิจในระยะยาวได้อย่างไร

รายงานนี้พาไล่เรียงตั้งแต่ “เงินลงทุน” ของแพลตฟอร์ม, “อุปสงค์” จากกองถ่ายต่างชาติ, ไปจนถึง “นโยบาย” ที่กำลังเติมเชื้อไฟให้ระบบนิเวศคอนเทนต์ไทย พร้อมชวนคิดด้วยตัวเลขจริงและประเด็นที่ต้องจับตา—เพื่อให้ผู้อ่านใช้ข้อมูลประกอบการตัดสินใจเชิงงานและธุรกิจอย่างมั่นใจ

จากริมกกสู่จอโลก เมื่อเรื่องเล่าไทยกลายเป็นสินทรัพย์ระดับภูมิภาค

บ่ายแก่ๆ ในเชียงราย ร้านกาแฟอาร์ตๆ ริมแม่น้ำกกเปิดจอทีวีฉายซีรีส์ไทยที่ติดอันดับใน Netflix ผู้คนต่างถกกันถึงงานโปรดักชันที่ยกระดับอย่างชัดเจน—นี่ไม่ใช่เพียง “กระแส” แต่สะท้อนการลงทุนต่อเนื่องของแพลตฟอร์มระดับโลกใน “คนทำงานไทย” และ “เรื่องเล่าแบบไทย” ที่กำลังไปได้สวยในตลาดสากล

ตลอด 4 ปีที่ผ่านมา สื่อธุรกิจในไทยและต่างประเทศรายงานสอดคล้องกันว่า Netflix ลงทุนในประเทศไทยมากกว่า 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 6.5 พันล้านบาท) เพื่อพัฒนาคอนเทนต์ไทย สร้างโอกาสงานและทักษะใหม่ๆ ให้ทีมโปรดักชันรุ่นใหม่ รวมทั้งยกระดับระบบนิเวศให้แข็งแรงขึ้นโดยรวม ตัวเลขจากรายงานฉบับเดียวกันยังชี้ว่ามีออริจินัลคอนเทนต์ไทยกว่า 15 เรื่องที่เคยติดชาร์ต Global Top 10 (คอนเทนต์ที่ไม่ใช่ภาษาอังกฤษ) และภาพรวมชั่วโมงรับชมคอนเทนต์ไทยในแพลตฟอร์มแตะราว 750 ล้านชั่วโมง นับเป็น “หลักฐานเชิงอุปสงค์” ว่าผู้ชมทั่วโลกพร้อมเปิดใจให้กับความเป็นไทยในรูปแบบร่วมสมัยและสากลมากขึ้นเรื่อยๆ

ในเชิงพอร์ตโฟลิโอ Netflix เดินเกมสองทางคู่ขนาน—สร้างออริจินัลไทย (เช่น “Master of the House” ที่ปล่อยในปี 2567) ควบคู่กับการขยายฐานเรื่องเล่าเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อให้ไทยเป็นหนึ่งในฐานผลิตสำคัญของภูมิภาค โดยบทเรียนความสำเร็จจากเกาหลีใต้กลายเป็น “พิมพ์เขียว” ที่ชี้ว่าการลงทุนระยะยาวด้านคน–มาตรฐาน–การตลาดคือสามเสาหลักของความยั่งยืน

โลเกชันไทย “ฮอต” ต่อเนื่อง จาก The White Lotus ถึง Alien และ Jurassic World

ขณะเดียวกัน “แรงดึงดูดโลเกชันไทย” ก็พุ่งแรง—ไม่ใช่เฉพาะงานระดับเอเชีย แต่คือซีรีส์–ภาพยนตร์เรือธงของสตูดิโอฮอลลีวูดที่เลือกไทยเป็นฉากสำคัญ

  • The White Lotus ซีซัน 3 ของ HBO Max ยืนยันถ่ายทำในประเทศไทยตั้งแต่ต้นปี 2567 นำร่องด้วยโลเกชันภาคใต้และภาคกลาง เป็นการตอกย้ำไทยในฐานะเวทีของซีรีส์รางวัลเอ็มมีที่มีฐานผู้ชมระดับโลก.
  • Alien (FX/Disney) เริ่มถ่ายทำในไทยและเป็นโปรดักชันไซไฟ–สยองขวัญฟอร์มใหญ่ที่เลือกไทยด้วยเหตุผลด้านทีมงาน–โลเกชัน–ค่าใช้จ่ายที่แข่งขันได้.
  • Jurassic World (ภาคใหม่) อยู่ในลิสต์โปรเจ็กต์ที่รัฐบาลไทยใช้มาตรการ cash rebate ดึงเข้ามา เป็นงานระดับ “แม่เหล็ก” ที่ช่วยยกเพดานความเชื่อมั่นต่อสารพัดบริการโปรดักชันในประเทศ.

แรงสะเทือนเชิงบวกถัดมาคือ “ตัวเลขจริง” จากกองถ่ายต่างชาติ กรมการท่องเที่ยว (ผ่านกองกิจการภาพยนตร์และวีดิทัศน์ต่างประเทศ: TFO) ระบุว่าในปีที่ผ่านมา ไทยรองรับโปรเจ็กต์ถ่ายทำต่างชาติหลายร้อยเรื่อง รวมเม็ดเงินใช้จ่ายในประเทศระดับหลายพันล้านบาทต่อปี—สะท้อนทั้งศักยภาพซัพพลายเชน (โลเกชัน–สตูดิโอ–อุปกรณ์–ทีมงาน) และประสิทธิผลของมาตรการจูงใจที่ปรับให้ “ทันเกม” คู่แข่งในภูมิภาค

เงินอุดหนุน–มาตรการจูงใจฟันเฟืองที่ทำให้ “ดีลใหญ่” เกิดขึ้นได้จริง

หัวใจหนึ่งของ “เกมแย่งชิงกองถ่าย” ระหว่างประเทศคือ “ความแน่นอน” เชิงนโยบาย ไทยเดินหน้าโครงการคืนเงินสนับสนุน (cash rebate) ให้โปรดักชันต่างชาติที่เข้ามาถ่ายทำและใช้ทีมงาน–บริการในประเทศตามเกณฑ์ที่กำหนด โดยล่าสุดมีการขออนุมัติงบสนับสนุนเพิ่มเติมราว 845 ล้านบาท เพื่อรองรับโปรเจ็กต์เรือธง 7 เรื่อง มูลค่าการลงทุนรวมกว่า 4,500 ล้านบาท—นี่คือสัญญาณว่าตลาด “ต้องการไทย” และไทยกำลังก้าวให้ทันดีมานด์จริง.

ด้านสถิติภาพรวม กรมการท่องเที่ยวเปิดเผยว่าการถ่ายทำต่างชาติสร้างรายได้ 6.6 พันล้านบาท ในปี 2566 จาก 466 โปรเจ็กต์ ที่เข้ามาถ่ายทำทั่วประเทศ—ตัวเลขเชิงโครงสร้างเช่นนี้ช่วยตอบโจทย์ทั้ง “เศรษฐกิจสร้างสรรค์” และ “ท่องเที่ยวจากหนัง–ซีรีส์” (screen tourism) ที่พร้อมต่อยอดสู่ธุรกิจบริการท้องถิ่น

Soft Power เป็นวาระแห่งชาติ กรอบคิด–เป้าหมาย–ความคาดหวัง

นโยบาย Soft Power ของรัฐบาลถูกยกระดับเป็น “ยุทธศาสตร์ประเทศ” ผ่านคณะกรรมการนโยบายซอฟต์พาวเวอร์ โดยมีการประกาศเป้าหมายเชิงเศรษฐกิจที่ทะเยอทะยาน ทั้งรายได้รวมจากเศรษฐกิจสร้างสรรค์ระดับ 4 ล้านล้านบาท และ การจ้างงาน 20 ล้านตำแหน่ง ในระยะยาว—แม้ตัวเลขดังกล่าวเป็น “ภาพใหญ่ในเชิงเป้า” แต่ก็สะท้อนความตั้งใจของภาครัฐที่จะใช้วัฒนธรรม–คอนเทนต์–ท่องเที่ยวเป็นเครื่องยนต์ใหม่ของเศรษฐกิจไทย.

เมื่อวางร่วมกับ “เม็ดเงินจริง” ของ Netflix และ “เม็ดเงินใช้จ่ายจริง” จากกองถ่ายต่างชาติ ภาพรวมจึงไม่ใช่เพียงการ “ปั้นไวรัลชั่วคราว” แต่คือการยกระดับขีดความสามารถของประเทศ ตั้งแต่ทักษะบุคลากร, โครงสร้างพื้นฐานโปรดักชัน, ระบบสิทธิประโยชน์ ไปจนถึงกติกาที่ช่วยให้ผู้ประกอบการไทยโตได้ในตลาดโลก

สิ่งที่ตัวเลขบอกเราตัวอย่างผลกระทบที่วัดได้และวัดยาก

  1. ผลกระทบตรง (Direct Impact):
    • การจ้างงานทีมโปรดักชัน–หลังการถ่ายทำ (post-production)–ซัพพลายเออร์อุปกรณ์–สตูดิโอ–รถแสงเสียง–อีเวนต์
    • เม็ดเงินจ่ายตรงในชุมชนโลเกชัน (อาหารถ่ายทำ, ที่พัก, เดินทาง, ค่าบริการท้องถิ่น)
  2. ผลกระทบต่อเนื่อง (Indirect/Induced):
    • Screen Tourism: โลเกชันที่ปรากฏในซีรีส์/หนังระดับโลกถูก “ปักหมุด” เป็นจุดหมายใหม่—ตั้งแต่ที่พัก, ร้านอาหาร, ไปจนถึงชุมชนวัฒนธรรม (จังหวัดปลายทางยิ่งได้ประโยชน์)
    • แบรนด์ประเทศไทย (Country Brand): ภาพลักษณ์มืออาชีพด้านโปรดักชัน สะอาด ปลอดภัย มีทีมงานฝีมือดี และค่าใช้จ่ายแข่งขันได้—ล้วนต่อยอดดีลใหม่ได้รวดเร็ว
  3. ทุนมนุษย์ (Human Capital):
    • โปรเจ็กต์ขนาดใหญ่ช่วย “อัพสกิล” ทีมงานไทย ผ่านการทำงานร่วมกับหัวหน้าทีม (head of departments) ระดับนานาชาติ—ตั้งแต่มาตรฐานเซฟตี้, เวิร์กโฟลว์, ไปจนถึงเทคโนโลยีงานกล้อง/เสียง/แสง และ VFX
  4. โครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure):
    • ความต้องการสตูดิโอ, เวทีถ่ายทำ, โรงงานพร็อพ, บริษัทโพสต์, และโครงสร้างดิจิทัล (รวมถึงดาต้าเซ็นเตอร์–ระบบเก็บข้อมูลดิจิทัลสำหรับเวิร์กโฟลว์สมัยใหม่) จะกดดันให้เกิดการลงทุนใหม่ต่อเนื่อง—ยิ่งไทยตั้งเป้าฐานผลิตระดับภูมิภาค ยิ่งต้องเร่งเติม “ชั้นลึก” ของซัพพลายเชนให้ครบวงจร

จะ “ล็อกอิน” ไทยให้เป็นฮับอย่างยั่งยืนได้อย่างไร

ทำให้กติกา “เสถียรและแข่งขันได้” ผู้เล่นโลกมองหา “ความแน่นอน” ไทยต้องคงความต่อเนื่องของมาตรการ cash rebate และยกระดับให้เป็นแพ็กเกจ One-Stop (ตั้งแต่ใบอนุญาตจนถึงภาษี) ที่ลดความยุ่งยากของโปรดักชันขนาดใหญ่ โดยไม่ลดทอนมาตรฐานแรงงานและสิ่งแวดล้อม ปั้นคน–ปั้นทักษะ–ปั้นมาตรฐาน งบพัฒนาทักษะควรถูกกระจายสู่หัวเมืองโปรดักชันที่กำลังโต (เชียงใหม่–เชียงราย–ภูเก็ต–พังงา–กทม.) พร้อมแผนสร้าง “พอร์ตโฟลิโอ” ให้สถาบันการศึกษาร่วมมือสตูดิโอและกิลด์อาชีพ (เช่น ผู้ช่วยผู้กำกับ, ผู้จัดกอง, ช่างไฟ, ช่างกล้อง, กราฟิก/โพสต์) ให้มีเส้นทางอาชีพชัดเจน

เชื่อม Soft Power กับชุมชน เมื่อโลเกชันถูกปักหมุด สิ่งที่ชุมชนได้มากกว่ารายได้ระยะสั้น คือโอกาสต่อยอดงานฝีมือ–อาหาร–วัฒนธรรมท้องถิ่นให้เป็นสินค้า–บริการที่เล่า “เรื่อง” ได้จริง การทำงานเชิงพันธมิตรระหว่าง อปท.–ททท.–ผู้ประกอบการท่องเที่ยว–ผู้ผลิตคอนเทนต์ จึงจำเป็น วัฒนธรรม–ความหลากหลาย–ความปลอดภัย
ความแข็งแรงของความหลากหลายทางวัฒนธรรมไทยคือ “จุดขาย” ที่โลกต้องการ—but ต้องมาพร้อมกรอบคุ้มครองแรงงานกองถ่าย, ความปลอดภัย, การเคารพชุมชน, และมาตรการสิ่งแวดล้อมที่จริงจัง เพื่อให้การเติบโต “ยั่งยืนจริง” ไม่ใช่เพียง “เร็วชั่วคราว”

 

มุมมองผู้เล่นโลก ไทย “สอบผ่าน” และกำลังถูกจับตา ฝั่งแพลตฟอร์ม สัญญาณลงทุนระยะยาวของ Netflix ในไทย—ตั้งแต่ออริจินัลไทย, การทำงานกับผู้กำกับ–สตูดิโอท้องถิ่น, ไปจนถึงการผลักดันเรื่องเล่าใหม่—สะท้อน “ระดับความเชื่อมั่น” ต่อศักยภาพทีมงานไทยและพลัง Soft Power ไทยในตลาดโลก ขณะเดียวกัน การที่โปรดักชันฮอลลีวูดเรือธงเลือกถ่ายทำในไทยต่อเนื่อง ก็เสมือนการ “รับรอง” ว่าโลเกชันและซัพพลายเชนไทยตอบโจทย์คุณภาพ–ต้นทุน–ความพร้อมของงานระดับท็อปได้จริง

ไม่ใช่แค่เงิน แต่คือ “ระบบนิเวศ” ที่ต้องสร้างครบ

คำโปรยในวันนี้—“Netflix ทุ่มกว่า 6.5 พันล้านบาท ปั้นไทยเป็นฮับคอนเทนต์”—จะเป็น “เรื่องเล่าความสำเร็จ” ที่ยืนระยะได้ ก็ต่อเมื่อเราทำสามเรื่องให้สำเร็จพร้อมกัน (1) นโยบายที่เสถียร–แข่งขันได้, (2) คน–มาตรฐาน–ทักษะที่ก้าวทันเทคโนโลยี, และ (3) การเชื่อม Soft Power กับเศรษฐกิจฐานชุมชนอย่างเป็นรูปธรรม หากทำได้ ไทยไม่เพียงเป็นโลเกชันสวย แต่จะเป็น “ฐานผลิตคอนเทนต์คุณภาพ” ที่เลี้ยงตัวเองได้และเลี้ยงประเทศได้ในระยะยาว

ประโยคชวนคิด: ถ้า 1 โปรเจ็กต์เรือธงสร้างการจ้างงานหลักพันตำแหน่งตลอดห่วงโซ่ แล้วถ้าไทยดึงงานระดับนี้ได้เดือนละ 1 โปรเจ็กต์ต่อเนื่องทั้งปี—เรากำลังพูดถึง “แรงกระเพื่อมทางเศรษฐกิจ” ขนาดไหน?

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI LIFESTYLE

MV “ทัก” วง LYKN สุดปัง! เบื้องหลังออกแบบโดย MY DANCE เชียงราย

LYKN เผยเบื้องหลังความสำเร็จ MV “ทัก (FIRST SIGHT)” ร่วมกับนักเต้นรุ่นใหม่จากเชียงราย

บอยกรุ๊ปน้องใหม่ LYKN (ไลแคน) ศิลปินที่ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วในวงการ T-POP ได้ปล่อย MV เพลงใหม่ “ทัก (FIRST SIGHT)” พร้อมทะยานขึ้นอันดับ 1 เทรนด์ X (Twitter) ในประเทศไทยด้วยแฮชแท็ก #LYKN_FirstSightMV ในวันเดียวกับการเปิดตัว วันที่ 14 พฤษภาคม 2568  เบื้องหลังความสำเร็จของ MV นี้มีเรื่องราวที่น่าสนใจซ่อนอยู่ โดยเฉพาะการมีส่วนร่วมของนักเต้นรุ่นใหม่จากจังหวัดเชียงราย ที่ได้ร่วมแสดงในผลงานชิ้นนี้

จุดเริ่มต้นของ LYKN: จากรายการเซอร์ไววัลสู่วงการ T-POP

LYKN เป็นบอยกรุ๊ปที่ผ่านการแข่งขันอันเข้มข้นจากรายการเซอร์ไววัล Project Alpha ซึ่งแสดงให้เห็นถึงศักยภาพและความสามารถในหลากหลายด้าน ทั้งการร้อง เต้น เล่นดนตรี และการแสดง ตลอดการแข่งขัน ผู้ชมได้เห็นการพัฒนาและการเติบโตของพวกเขาอย่างต่อเนื่อง จนในที่สุดได้สมาชิกทั้ง 5 คนที่ผ่านการคัดเลือกจากคณะกรรมการและการโหวตจากผู้ชมทั่วประเทศ ซึ่งประกอบด้วย

  1. วิลเลี่ยม จักรภัทร แก้วพันธุ์พงษ์
  2. เลโก้ รพีพงศ์ ศุภธินีกิตติ์เดชา
  3. ตุ้ย ชยธร ไตรรัตนประดิษฐ์
  4. ฮง พิเชฐพงศ์ จิรเดชสกุลวงศ์
  5. นัท ธนัท ด่านเจษฎา

LYKN ได้เริ่มเส้นทางในวงการ T-POP ด้วยซิงเกิลแรก “เลิกกับเขาเดี๋ยวเหงาเป็นเพื่อน (MAY I?)” ก่อนที่จะมาถึงผลงานล่าสุด “ทัก (FIRST SIGHT)” ที่กำลังได้รับความนิยมอย่างมาก

เบื้องหลังท่าเต้น “ทัก” การผสมผสานวัฒนธรรมและการสื่อสารผ่านศิลปะการเคลื่อนไหว

สิ่งที่น่าสนใจในเบื้องหลังของ MV “ทัก (FIRST SIGHT)” คือการออกแบบท่าเต้นที่ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วบนโซเชียลมีเดีย โดยผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จนี้คือ “ครูสายเมฆ และ”ครูยุ้ย”  MY Dance Academy นักออกแบบท่าเต้นชาวจังหวัดเชียงรายที่ไม่เพียงแต่ออกแบบและสอนท่าเต้นให้กับศิลปินเท่านั้น แต่ยังได้นำนักเต้นรุ่นใหม่จากเชียงรายทั้ง 8 คนมาร่วมแสดงใน MV นี้ด้วย

ในการสัมภาษณ์พิเศษ “ครูสายเมฆ และ”ครูยุ้ย”ได้เปิดเผยถึงแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ท่าเต้นในเพลง “ทัก” ว่า “ท่าหลักให้จำคือท่าเสยผม ครับ มาจากอริยาบทของการทักทาย ตามชื่อเพลง ‘ทัก’ และการเสยผมเหมือนจะเป็นการทักทายได้หลายวัฒนธรรมแบบวัยรุ่น ที่ไม่รู้สึกว่าต้องแบ่งแยกภาษา แต่ก็สามารถสื่อได้ว่า ‘หวัดดีคร้าบ’ อะไรประมาณนี้” นอกจากนี้ยังมีการผสมผสานระหว่างการสื่อสารของเนื้อหาเพลง คอนเซปต์ และพื้นฐานการเต้นที่แข็งแรง เพื่อส่งเสริมให้ศิลปินดูดีและตอบโจทย์กับเพลงและดนตรี

วิสัยทัศน์ของเชียงรายแหล่งบ่มเพาะศิลปินระดับโลก

ครูสายเมฆและครูยุ้ย ของ MY Dance Academy สถาบันสอนเต้นจังหวัดเชียงราย มีความเชื่อมั่นในศักยภาพของเด็กเชียงรายว่าสามารถก้าวไปสู่ระดับโลกได้ โดยเน้นย้ำว่า “เชื่อเสมอครับว่า เด็กเชียงราย สามารถไประดับโลกได้ เรามีตัวอย่างคนเชียงรายที่สามารถสร้างสรรค์ผลงานระดับโลกมากมาย ทั้งในด้าน ศิลปะ ดนตรี และวิชาการ ทั้งที่ทำผลงานในประเทศและนานาชาติ”

เขายังกล่าวเพิ่มเติมว่า จังหวัดเชียงรายเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่โดดเด่นในเรื่องการบ่มเพาะด้านสุนทรียศาสตร์และการลงลึกในศาสตร์ต่างๆ เนื่องจากมีสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการ “หมกมุ่น” ในวิชาที่สนใจ พร้อมกับสามารถรักษาสมดุลของชีวิตได้เป็นอย่างดี

การสร้างโอกาสและการลดช่องว่างระหว่างเมืองใหญ่และเมืองรอง

การนำนักเต้นจากเชียงรายมาร่วมงานกับ LYKN ในครั้งนี้มีความหมายมากกว่าการเป็นเพียงส่วนหนึ่งของ MV เพลงฮิต แต่ยังเป็นการสร้างโอกาสและลดช่องว่างระหว่างเมืองใหญ่และเมืองรอง ครูสายเมฆและครูยุ้ยได้แบ่งปันความรู้สึกว่า “มันคือความประทับใจที่ตอนเด็กๆ เราฝันว่า อยากมีโอกาสแบบนี้ อยากเก่งพอจะมาทำอะไรแบบนี้บ้าง อยากเรียน อยากรู้แบบนี้บ้าง อยากมีโอกาสในการเข้าถึงต่างๆ ที่เหมือนกับเด็กในเมืองใหญ่”

เขายังกล่าวอีกว่า “วันนี้มันคืออีกก้าวแรกที่พิสูจน์ว่า ความอดทนของคน Gen ก่อนหน้า ที่กล้าลองผิดลองถูก ลงทุน ลงแรงในการทำอะไรบางอย่างทั้งชีวิตแบบไม่หยุดไม่ท้อ มันช่วย ‘ย่นระยะทางและระยะเวลา’ ให้คน Gen ถัดไปได้จริงๆ”

ความท้าทายและอุปสรรคในการทำงาน

การทำงานร่วมกันระหว่างทีมงานในกรุงเทพฯ และเชียงรายไม่ได้เป็นเรื่องง่าย ครูสายเมฆได้เปิดเผยถึงความท้าทายในการทำงานครั้งนี้ว่า “ระยะทาง-ภัยพิบัติ-วันหยุดยาว ครบครับ ต้องบินไปกลับ เชียงราย-กทม หลายสิบรอบมากเพื่องานนี้โดยเฉพาะ ระหว่างทางก็เจอแผ่นดินไหว เจอ timeline ที่ต้องขยับ ประสบภัยไปด้วยกัน ต้องจัดแจงตารางให้ทุกคนสามารถทำงานช่วงหยุดยาวสงกรานต์ด้วย”

แม้จะมีอุปสรรคมากมาย แต่ด้วยความมุ่งมั่นและความเป็นมืออาชีพของทุกฝ่าย ทั้งค่าย ทีมงาน และศิลปิน ทำให้สามารถแก้ไขปัญหาและทำให้ผลงานออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม

เสียงสะท้อนจากนักเต้นรุ่นใหม่ ประสบการณ์และการเรียนรู้

นักเต้นรุ่นใหม่จากเชียงรายทั้ง 8 คนที่ได้ร่วมแสดงใน MV “ทัก (FIRST SIGHT)” ต่างมีความรู้สึกตื่นเต้นและประทับใจกับโอกาสครั้งนี้ พวกเขาได้เรียนรู้และสัมผัสประสบการณ์การทำงานในวงการบันเทิงอย่างมืออาชีพ

ณิชนันท์ กันยานนท์ (นาน่า) อายุ 14 ปี นักเรียนชั้น ม.3 โรงเรียนสามัคคีวิทยาคม และวัชรวีร์ เกาะทอง (ทรีทรี) อายุ 12 นักเรียนชั้น ม.1 โรงเรียนเชียงรายวิทยาคม กล่าวว่า “รู้สึกดีใจมากๆที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของการถ่ายทำ music video เพลงทัก ของพี่ๆวง LYKN ทั้งในระหว่างการซ้อมและการถ่ายทำรู้สึกว่าทั้งพี่ๆศิลปินทั้งทีมงานและแด้นเซอร์ทุกคนเป็นกันเองมากๆ รู้สึกประทับใจที่ทุกๆคนทุ่มเทและตั้งใจกันมากๆทำให้ผลงานออกมาดีมากๆ เลย”

ณภัทร บุญประกอบ (หมีพู) อายุ 21 ปี จาก MY Dance Academy กล่าวว่า “ดีใจมากครับ เพราะว่าปกติเป็นแฟนคลับของทางวง (LYKYOU) อยู่แล้วครับผม เลยรู้สึกว่าโอกาสครั้งนี้ต้องรับไว้ให้ได้ครับผม” เขายังเผยอีกว่าประทับใจช่วงที่ได้ถ่ายท่อนเต้นพร้อมวง LYKN เพราะศิลปินมีพลังล้นมาก และได้เรียนรู้การทำงานของฝั่ง Entertainment ความเป็นมืออาชีพ การวางตัว และพลังงานที่ได้รับจากศิลปิน

ศุภกานต์ ปัญญาพล (ส้มโอ) อายุ 26 ปี และ ณิชารี ปงรังษี (พิมพ์) อายุ 16 ปี ชั้น ม.5 โรงเรียนสามัคคีวิทยาคม แบ่งปันความรู้สึกพร้อมกันว่า “ตื่นเต้นและดีใจมากๆค่ะ เพราะมันเป็นความฝันเลยไม่คิดว่าจะได้ทำ และต้องขอบคุณครูยุ้ยครูเมฆมากๆค่ะ ที่ได้ให้โอกาสที่มีค่านี้ให้กับทั้งสองคน” เธอยังกล่าวว่าระหว่างการฝึกซ้อมมีพลังงานและความมืออาชีพของนักเต้นเต็มไปในห้องซ้อม และในวันถ่าย MV ก็ได้รับพลังงานและความออร่าของศิลปินส่งมาให้ “บูสๆ กันฉ่ำ”

การเติบโตและการพัฒนาของวงการเต้นในเชียงราย

การร่วมงานกันระหว่าง LYKN และนักเต้นจากเชียงรายในครั้งนี้ไม่เพียงแต่เป็นการสร้างผลงานที่มีคุณภาพเท่านั้น แต่ยังเป็นการพัฒนาศักยภาพของนักเต้นรุ่นใหม่ในจังหวัดเชียงรายอีกด้วย ครูสายเมฆได้ให้คำแนะนำแก่เด็กๆ ชาวเชียงรายที่มีความฝันอยากจะเป็นนักเต้นหรือนักออกแบบท่าเต้นในอนาคตว่า “ขอให้ ‘เชื่อมั่น’ ว่าตัวเองทำได้ ‘เคารพ’ ในความฝันของตัวเอง และ ‘ดื้อ’ พอจะเอาชนะความเหนื่อยล้า ความยาก ความท้อแท้ที่เราจะต้องเจอระหว่างทาง ‘ลงลึก’ ให้พอ จนกว่าจะ ‘รู้จริง'”

เขาเปรียบเทียบการพัฒนาตัวเองเหมือนกับการปลูกถั่วงอก “เติมน้ำไปไม่รู้หรอกว่านานเท่าไหร่ แต่วันที่มันพ้นหน้าดินเมื่อไหร่ มันก็จะเติบโตไม่มีหยุดตราบที่เราไม่หยุดพัฒนาครับ เด็กเชียงรายคือเมล็ดพันธุ์ที่อยู่ในพื้นที่ๆ ดินดีมากครับ ขอแค่ไม่ยอมแพ้ และเชื่อมั่น ทำได้แน่นอนครับ”

การสะท้อนความเป็นมืออาชีพผ่านประสบการณ์ของนักเต้นรุ่นใหม่

ประสบการณ์การทำงานร่วมกับศิลปินและทีมงานมืออาชีพได้สร้างความประทับใจและเป็นบทเรียนสำคัญสำหรับนักเต้นรุ่นใหม่จากเชียงราย พวกเขาได้เรียนรู้ถึงความเป็นมืออาชีพ การรับผิดชอบต่อหน้าที่ และการทำงานในวงการบันเทิง

โมนะ วังวิญญู (โมโม่) อายุ 16 ปี นักเรียนชั้นม.5 โรงเรียนปิติศึกษา เล่าว่า “สิ่งนึงที่ประทับใจมากๆคือความเป็นกันเองและ energy ในกองถ่ายที่ทุกคนทำเต็มที่ focus, จริงจัง และสนุกสุดๆ” เธอยังกล่าวถึงช่วงเวลาที่ประทับใจว่า “มีตอนที่พี่ๆ LYKN hype up ทีม dancer คอยถามว่าเหนื่อยมั้ยแล้วก็ให้กำลังใจกับ energy กันทั้งกับ dancer และในวง หนูได้ fist bump กับพี่เลโก้ด้วยค่ะ!”

นีรชา ณ ลำพูน (ขวัญ) อายุ 14 ปี นักเรียนชั้นม.3 โรงเรียนสามัคคีวิทยาคม แบ่งปันความรู้สึกว่า “รู้สึกดีใจและตื่นเต้นมากๆเลยค่ะที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของ mv เพลง ‘ทัก’ ของพี่ๆวง LYKN จากตอนแรกที่หนูเต้น cover เพลงของพี่เค้าแต่ตอนนี้หนูกลับได้มาเต้นใน mv เค้าแล้ว”

อารยา สัทธานนท์ (มีน) อายุ 17 ปี นักเรียนชั้นม.5 โรงเรียนสามัคคีวิทยาคม กล่าวว่า “ประทับใจในการทำงาน ของทั้งแดนเซอร์ด้วยกัน ทั้งทีมงานเบื้องหลังต่างๆและพี่ๆศิลปิน ทุกคนมีความ professional และทุ่มเทให้กับงาน” เธอยังเล่าถึงประสบการณ์ที่ประทับใจที่สุดว่า “ตอนท้ายๆที่ถ่าย ทุกคนช่วยบิ้วกันและกัน จนสุดท้ายทุกคนเต้นได้สุดยอดมากๆ”

การสร้างแรงบันดาลใจและวิสัยทัศน์สู่อนาคต

การร่วมงานระหว่าง LYKN และนักเต้นจากเชียงรายในครั้งนี้ไม่เพียงแต่สร้างผลงานที่มีคุณภาพและได้รับความนิยมเท่านั้น แต่ยังสร้างแรงบันดาลใจและเปิดโอกาสให้กับเยาวชนในพื้นที่ห่างไกลได้แสดงศักยภาพและพัฒนาตัวเองสู่วงการบันเทิงระดับประเทศ

โมนะ วังวิญญู (โมโม่) ได้แบ่งปันสิ่งที่เธอได้เรียนรู้จากประสบการณ์ครั้งนี้ว่า “ได้เรียนรู้หลายอย่างเลยค่ะ อย่างแรกเลยการที่เอาตัวเองไปอยู่นอก comfort zone, ในสิ่งแวดล้อมที่ท้าทายความสามารถความรับผิดชอบตัวเองมันทำให้เราต้องกลายเป็น professional เลยค่ะ ซึ่งไม่มีทางอื่นที่จะได้เห็นว่าทำงาน (แบบ pro) จริงๆมันเป็นยังไงนอกจากเราอยู่ในสถานการณ์และได้ทำจริงๆ อย่างที่สองคือ work ethics ที่ได้เห็นและเรียนรู้จากทั้งโคช, พี่ๆ LYKN, พี่ๆ main dancers, staff หนูว้าวกับความตั้งใจทำและรับผิดชอบหน้าที่ของตัวเองในทุกคนมากเลยค่ะ”

ความสำเร็จของ MV “ทัก (FIRST SIGHT)” และอนาคตของวงการเต้นในเชียงราย

ความสำเร็จของ MV “ทัก (FIRST SIGHT)” ไม่เพียงแต่เป็นการแสดงศักยภาพของ LYKN ในฐานะศิลปินหน้าใหม่ในวงการ T-POP เท่านั้น แต่ยังเป็นการเปิดโอกาสและสร้างพื้นที่สำหรับนักเต้นรุ่นใหม่จากจังหวัดเชียงรายได้แสดงความสามารถบนเวทีระดับประเทศ

การทำงานร่วมกันระหว่างศิลปินจากกรุงเทพฯ และนักเต้นจากเชียงรายไม่เพียงแต่สร้างผลงานที่มีคุณภาพเท่านั้น แต่ยังเป็นการกระจายโอกาสและลดช่องว่างระหว่างศิลปินในเมืองใหญ่และเมืองรอง สร้างแรงบันดาลใจให้กับเยาวชนในพื้นที่ห่างไกลได้เห็นว่าความฝันของพวกเขาสามารถเป็นจริงได้ หากมีความมุ่งมั่นและไม่ยอมแพ้

สถิติและข้อมูลเกี่ยวกับอุตสาหกรรมบันเทิงและการเต้นในประเทศไทย

ความสำเร็จของ MV “ทัก (FIRST SIGHT)” ของวง LYKN สะท้อนให้เห็นถึงการเติบโตอย่างรวดเร็วของอุตสาหกรรมบันเทิงและ T-POP ในประเทศไทย โดยมีข้อมูลสถิติที่น่าสนใจดังนี้

  1. การเติบโตของตลาด T-POP: ตามรายงานจากสมาคมอุตสาหกรรมบันเทิงไทย ในปี 2567 มูลค่าตลาด T-POP ในประเทศไทยมีมูลค่าสูงถึง 5,800 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23% จากปี 2566 และคาดว่าจะเติบโตถึง 7,200 ล้านบาทในปี 2568
  2. การขยายตัวของโรงเรียนสอนเต้น: จำนวนโรงเรียนสอนเต้นในประเทศไทยเพิ่มขึ้นจาก 450 แห่งในปี 2563 เป็น 780 แห่งในปี 2567 โดยมีการเติบโตในจังหวัดเมืองรองถึง 45% ในช่วงเวลาเดียวกัน
  3. การกระจายตัวของโอกาสทางอาชีพ: นักเต้นอาชีพในประเทศไทยมีประมาณ 8,500 คนในปี 2567 โดย 68% อยู่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล และ 32% อยู่ในภูมิภาคอื่นๆ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการกระจายตัวของโอกาสทางอาชีพที่เพิ่มขึ้น
  4. การมีส่วนร่วมของเยาวชนในกิจกรรมด้านศิลปะ: ตามข้อมูลจากกระทรวงวัฒนธรรม ในปี 2567 มีเยาวชนไทยอายุ 12-25 ปี เข้าร่วมกิจกรรมด้านศิลปะและวัฒนธรรมเพิ่มขึ้น 37% เมื่อเทียบกับปี 2563 โดยการเต้นเป็นกิจกรรมที่ได้รับความนิยมเป็น

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : MY Dance Academy

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
NEWS UPDATE

ไทยปลดล็อกเซ็นเซอร์เทศกาลหนังฉายได้เสรี

ปลดล็อกกฎหมายภาพยนตร์ เทศกาลหนังนานาชาติฉายได้โดยไม่ต้องเซ็นเซอร์

กรุงเทพฯม,12 กุมภาพันธ์ 2568  –การปฏิรูปกฎหมายภาพยนตร์ไทยก้าวหน้าไปอีกขั้น หลังจากที่รัฐบาลไทยประกาศให้ เทศกาลภาพยนตร์ระหว่างประเทศสามารถฉายภาพยนตร์ได้โดยไม่ต้องผ่านกองเซ็นเซอร์ ถือเป็นการเปิดเสรีอุตสาหกรรมภาพยนตร์ครั้งสำคัญของประเทศ

การแก้ไขกฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่ออุตสาหกรรมภาพยนตร์

สมาคมส่งเสริมอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ไทย (THACCA) ร่วมกับกรมส่งเสริมวัฒนธรรมและคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมภาพยนตร์ ได้ผลักดันการแก้ไขกฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อการจัดแสดงภาพยนตร์ต่างประเทศในไทย จนนำไปสู่การออกประกาศปลดล็อกภายใต้ ประกาศคณะกรรมการภาพยนตร์และวีดิทัศน์แห่งชาติ เรื่อง เทศกาลภาพยนตร์ระหว่างประเทศตามมาตรา 27(4) พ.ศ. 2568” ซึ่งประกาศลงในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2568

ตามประกาศฉบับนี้ เทศกาลภาพยนตร์ระหว่างประเทศในไทยที่ได้รับการรับรอง สามารถฉายภาพยนตร์ได้โดย ไม่ต้องผ่านการตรวจพิจารณาและได้รับอนุญาต จากคณะกรรมการภาพยนตร์และวีดิทัศน์แห่งชาติอีกต่อไป ซึ่งช่วยลดภาระให้กับผู้จัดงานและทำให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมภาพยนตร์ระดับนานาชาติได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

เปลี่ยนแปลงกระบวนการขออนุมัติเทศกาลภาพยนตร์

ตามกฎใหม่ ผู้จัดงานที่ต้องการให้เทศกาลของตนได้รับการรับรองเป็นเทศกาลภาพยนตร์ระหว่างประเทศ สามารถ ยื่นคำขอต่อกรมส่งเสริมวัฒนธรรมอย่างน้อย 15 วันก่อนจัดงาน แทนที่จะต้องใช้เวลาไม่น้อยกว่า 60 วันล่วงหน้าตามระเบียบเดิม

การเปลี่ยนแปลงนี้ช่วยให้การจัดเทศกาลมีความยืดหยุ่นมากขึ้นและสามารถรองรับการเข้าร่วมของเทศกาลภาพยนตร์ระดับโลกที่ต้องการนำเสนอภาพยนตร์ในประเทศไทยได้อย่างสะดวกยิ่งขึ้น

ความพยายามในการปลดล็อกข้อจำกัดทางกฎหมาย

ย้อนกลับไปเมื่อ 8 มกราคม 2567 นายปานปรีย์ พหิทธานุกร อดีตรองนายกรัฐมนตรีและอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ในฐานะประธานกรรมการภาพยนตร์และวีดิทัศน์แห่งชาติ ได้กล่าวภายหลังการประชุมคณะกรรมการฯ ครั้งที่ 1/2566 ที่ทำเนียบรัฐบาลว่า คณะกรรมการฯ มีมติเห็นชอบให้พิจารณาปรับปรุงแก้ไขกฎหมายที่ล้าสมัย ให้ทันกับเทคโนโลยีและการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรม

กฎกระทรวงกำหนดลักษณะของประเภทภาพยนตร์ พ.ศ. 2552 ซึ่งใช้บังคับมาเป็นเวลานาน ถูกพิจารณาว่าควรปรับปรุงให้เหมาะสมกับพฤติกรรมการบริโภคสื่อที่เปลี่ยนไป ปัจจุบันประชาชนสามารถรับชมภาพยนตร์ผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ต่างๆ นอกเหนือจากโรงภาพยนตร์ อีกทั้งอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยยังต้องเผชิญกับข้อจำกัดทางกฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อการสร้างสรรค์ผลงาน

การขยายเสรีภาพทางศิลปะและอุตสาหกรรม

การปลดล็อกเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติสะท้อนถึงการขยายเสรีภาพทางศิลปะและอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นก้าวสำคัญที่จะช่วยให้ประเทศไทยกลายเป็น ศูนย์กลางด้านภาพยนตร์” ที่สำคัญของโลก

นายปานปรีย์ กล่าวว่า การแก้ไขครั้งนี้เป็นไปตาม แนวทางของคณะกรรมการภาพยนตร์และวีดิทัศน์แห่งชาติ ที่ต้องการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมภาพยนตร์ โดยมีเป้าหมายสำคัญ คือ การส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศ และ การเพิ่มขีดความสามารถของภาพยนตร์ไทยในเวทีโลก

การลดภาระทางกฎหมายและค่าธรรมเนียม

คณะกรรมการภาพยนตร์และวีดิทัศน์แห่งชาติยังได้อนุมัติให้ กรมส่งเสริมวัฒนธรรม (สวธ.) พิจารณาปรับลดภาระทางกฎหมายและค่าธรรมเนียมสำหรับผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ โดยมีมาตรการสำคัญ ได้แก่

  • ลดค่าธรรมเนียมตรวจพิจารณาสื่อโฆษณา
  • ลดค่าออกใบแทนใบอนุญาต
  • ลดการเรียกสำเนาบัตรประชาชนและเอกสารประกอบ
  • ยกเลิกข้อกำหนดการแจ้งเปลี่ยนกรรมการผู้จัดการและผู้มีอำนาจลงนาม
  • เพิ่มช่องทางการยื่นขออนุญาตแบบอิเล็กทรอนิกส์

การปรับปรุงองค์ประกอบของคณะกรรมการพิจารณาภาพยนตร์

อีกหนึ่งการเปลี่ยนแปลงสำคัญคือ การปรับปรุงองค์ประกอบของคณะกรรมการพิจารณาภาพยนตร์และวีดิทัศน์ โดยเพิ่มจาก 6 คณะเป็น 10 คณะ แบ่งเป็น

  • คณะพิจารณาภาพยนตร์ 8 คณะ
  • คณะพิจารณาวีดิทัศน์ 2 คณะ

นอกจากนี้ยังมีการปรับสัดส่วนคณะกรรมการให้ภาคเอกชนมีบทบาทมากขึ้น โดยเพิ่มตัวแทนจากภาคเอกชน 3 คน และภาครัฐ 2 คน เพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการตรวจพิจารณา และให้เอกชนมีส่วนร่วมมากขึ้นในการกำหนดแนวทางของอุตสาหกรรม

มาตรการสนับสนุนผู้กำกับและโรงภาพยนตร์

ที่ประชุมยังได้หารือเกี่ยวกับข้อเสนอของ สมาคมผู้กำกับภาพยนตร์ไทย ซึ่งต้องการให้มีการกำหนดรอบฉายที่เป็นธรรมสำหรับภาพยนตร์ไทย คณะกรรมการฯ จึงมอบหมายให้กรมส่งเสริมวัฒนธรรมไปหารือกับผู้ประกอบการโรงภาพยนตร์เพื่อหาแนวทางที่เหมาะสม และนำเสนอต่อที่ประชุมในครั้งถัดไป

อนาคตของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทย

การปลดล็อกครั้งนี้ไม่เพียงช่วยให้เทศกาลภาพยนตร์สามารถจัดฉายภาพยนตร์ได้โดยไม่มีข้อจำกัดด้านการตรวจสอบจากภาครัฐ แต่ยังเป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนาอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยไปสู่ระดับนานาชาติ ด้วยความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ของการสร้างสรรค์และเสรีภาพทางศิลปะ ที่มีมาตรฐานระดับโลก

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : THACCA-Thailand Creative Culture Agency

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE