Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

พบจุดเผาป่า 5 จุด บุกรุกตัดไม้ทำลายป่าแม่สรวย

เจ้าหน้าที่ปกครอง-ป่าไม้ เชียงราย เข้าตรวจสอบพื้นที่ป่าแม่สรวย พบการบุกรุกและเผาป่าเพื่อทำการเกษตร

เชียงราย, 21 กุมภาพันธ์ 2568 – เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง อำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย ร่วมกับหน่วยป้องกันรักษาป่า และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง นำกำลังเข้าตรวจสอบพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ ป่าแม่ลาวฝั่งซ้าย บริเวณบ้านห้วยหญ้าไซ หมู่ 9 และบ้านจะหา หมู่ 11 ตำบลป่าแดด อำเภอแม่สรวย หลังได้รับแจ้งเหตุบุกรุกป่าและตัดไม้ทำลายป่าในหลายจุด

จากการตรวจสอบพื้นที่ เจ้าหน้าที่พบว่ามีการบุกรุกและตัดต้นไม้เพื่อเตรียมพื้นที่สำหรับทำการเกษตร จำนวน 3 จุด มีร่องรอยการโค่นต้นไม้ขนาดใหญ่และการเผาพื้นที่ป่า ซึ่งส่งผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมและระบบนิเวศในพื้นที่ เจ้าหน้าที่จึงได้ทำการตรวจยึดพื้นที่ พร้อมทั้งเก็บรวบรวมไม้ของกลางเพื่อนำส่งพนักงานสอบสวน สถานีตำรวจภูธรแม่สรวย เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย และติดตามหาตัวผู้กระทำผิดต่อไป

พบจุดความร้อน 5 จุด เผาป่าเตรียมพื้นที่เกษตร

นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ได้เดินลาดตระเวนเพื่อตรวจสอบ จุดความร้อน (Hotspot) ที่เกิดขึ้นระหว่างวันที่ 8-11 กุมภาพันธ์ 2568 พบว่ามีการเผาพื้นที่ป่าเพื่อเตรียมการเพาะปลูก จำนวน 5 จุด ซึ่งอยู่ในเขตติดต่อระหว่าง โครงการบ้านเล็กในป่าใหญ่ บ้านห้วยหญ้าไซ และ ป่าสงวนแห่งชาติป่าแม่ลาวฝั่งซ้าย

เจ้าหน้าที่ได้ทำการบันทึกพิกัดจุดเผาเพื่อนำไปตรวจสอบกับแผนที่ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หากพบว่าพื้นที่ดังกล่าวอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ จะมีการดำเนินคดีตาม พระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 และ พระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 รวมถึงกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้ จะมีการเฝ้าระวังและป้องกันไม่ให้มีการลักลอบเผาป่าเพิ่มเติมในอนาคต

เจ้าหน้าที่ภาคสนามร่วมปฏิบัติการเข้มงวด

สำหรับปฏิบัติการในครั้งนี้ ได้รับมอบหมายจาก นายปฤษฎางค์ สามัคคีนิชย์ นายอำเภอแม่สรวย ให้ นายจิตรกร คูสินไทย ปลัดอำเภอหัวหน้าฝ่ายความมั่นคง เป็นผู้นำกำลังชุดปฏิบัติการ ซึ่งประกอบด้วย:

  • สมาชิกกองอาสารักษาดินแดน (อส.)
  • กำนันตำบลป่าแดด
  • รองนายกองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ป่าแดด
  • เจ้าหน้าที่หน่วยป้องกันรักษาป่าที่ ชร.7 (ท้าวแก่นจันทร์)
  • เจ้าหน้าที่จาก สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 15 (เชียงราย)
  • หัวหน้าโครงการบ้านเล็กในป่าใหญ่ บ้านห้วยหญ้าไซ

โดยการปฏิบัติการในครั้งนี้ถือเป็นความร่วมมือของหลายหน่วยงานที่มุ่งเน้นการแก้ปัญหาการบุกรุกและทำลายทรัพยากรธรรมชาติอย่างจริงจัง

มาตรการเข้มงวดในการป้องกันการบุกรุกป่า

เจ้าหน้าที่ป่าไม้และหน่วยงานภาครัฐในพื้นที่มีมาตรการเฝ้าระวังและป้องกันการบุกรุกป่าอย่างเข้มงวด โดยใช้ เทคโนโลยีดาวเทียมและการตรวจจับจุดความร้อน ในการติดตามการเผาป่า พร้อมทั้งลงพื้นที่ตรวจสอบและดำเนินคดีต่อผู้กระทำผิดอย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันไม่ให้มีการขยายพื้นที่บุกรุกเพิ่มเติม

ในช่วงปีที่ผ่านมา อำเภอแม่สรวยเป็นหนึ่งในพื้นที่เสี่ยงต่อปัญหาการบุกรุกและเผาป่า เนื่องจากมีการขยายพื้นที่ทำการเกษตรเพิ่มขึ้น ประกอบกับการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศที่ส่งผลให้เกิดไฟป่าได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะช่วงฤดูแล้ง เจ้าหน้าที่จึงได้วางแผนเพิ่มความเข้มงวดในการลาดตระเวน และให้ความรู้แก่ชุมชนในพื้นที่เกี่ยวกับผลกระทบของการบุกรุกป่าและเผาป่า เพื่อสร้างจิตสำนึกและลดปัญหาดังกล่าวในระยะยาว

ผลกระทบจากการบุกรุกป่าและเผาป่า

การบุกรุกป่าและเผาป่ามีผลกระทบต่อระบบนิเวศเป็นอย่างมาก ไม่เพียงแต่ทำให้พื้นที่ป่าถูกทำลาย แต่ยังส่งผลต่อคุณภาพอากาศและปัญหาฝุ่นละออง PM2.5 ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญที่ประเทศไทยเผชิญในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในภาคเหนือของประเทศ

ผลกระทบที่สำคัญจากการบุกรุกป่าและเผาป่า ได้แก่:

  1. สูญเสียพื้นที่ป่าธรรมชาติ ซึ่งส่งผลต่อความหลากหลายทางชีวภาพ และทำลายแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่า
  2. ปัญหาภัยแล้งและการกัดเซาะดิน พื้นที่ที่ถูกบุกรุกจะสูญเสียความสามารถในการกักเก็บน้ำ ทำให้เกิดปัญหาดินเสื่อมโทรมและภัยแล้งตามมา
  3. ฝุ่นละออง PM2.5 และมลพิษทางอากาศ การเผาป่าทำให้เกิดควันและฝุ่นละอองขนาดเล็ก ซึ่งส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนในพื้นที่ โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง เช่น เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ และผู้ที่มีโรคทางเดินหายใจ
  4. ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจท้องถิ่น พื้นที่ป่าที่ถูกทำลายทำให้สูญเสียทรัพยากรธรรมชาติที่สามารถใช้ประโยชน์ได้ในระยะยาว รวมถึงส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวที่เน้นความสมบูรณ์ของธรรมชาติ

เจ้าหน้าที่เตือนประชาชน หยุดเผาป่า หยุดทำลายทรัพยากร

จากสถานการณ์ดังกล่าว เจ้าหน้าที่ป่าไม้และฝ่ายปกครองจึงขอความร่วมมือจากประชาชนในพื้นที่ ให้ช่วยกันปกป้องทรัพยากรธรรมชาติ และหลีกเลี่ยงการเผาป่า โดยเน้นย้ำว่า การบุกรุกป่าและเผาป่าเป็นความผิดทางกฎหมายที่มีบทลงโทษรุนแรง หากพบเห็นการกระทำผิด สามารถแจ้งเบาะแสได้ที่ หน่วยป้องกันรักษาป่าในพื้นที่ หรือสายด่วนกรมป่าไม้ โทร. 1362

ในระยะต่อไป เจ้าหน้าที่จะเร่งดำเนินการตรวจสอบพื้นที่อย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งใช้เทคโนโลยีภาพถ่ายดาวเทียมและโดรนในการติดตามพื้นที่ที่มีการบุกรุกและเผาป่า เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาการทำลายทรัพยากรธรรมชาติในระยะยาว

สรุป

  • เจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบ พื้นที่ป่าแม่สรวย จังหวัดเชียงราย พบการบุกรุกและเผาป่าเพื่อเตรียมการเกษตร จำนวน 3 จุด
  • ตรวจพบ จุดความร้อน 5 จุด ซึ่งเป็นการเผาป่าในพื้นที่ บ้านห้วยหญ้าไซ และบ้านจะหา
  • มีการตรวจยึดพื้นที่ พร้อมดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดตาม พระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
  • เจ้าหน้าที่เรียกร้องให้ประชาชนร่วมมือ หยุดเผาป่า หยุดบุกรุกพื้นที่ป่าสงวน เพื่อปกป้องทรัพยากรธรรมชาติและลดปัญหาฝุ่น PM2.5 ในพื้นที่ภาคเหนือ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
MOST POPULAR
FOLLOW ME
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

พยัคฆ์ไพรบุกตรวจ ‘จุดโหนสลิง’ กลางป่าสงวนแม่ลาว เตรียมเอาผิด

บุกรุกป่าสงวน! สร้างโหนสลิงเถื่อน อ.แม่สรวย

เชียงราย, 22 กุมภาพันธ์ 2568 – เจ้าหน้าที่ป่าไม้ชุดพยัคฆ์ไพรและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งตรวจสอบกรณีมีการร้องเรียนเรื่องการบุกรุกพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติป่าแม่ลาวฝั่งซ้าย ตำบลวาวี อำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย เพื่อสร้างกิจการโหนสลิง (Zipline) หลังพบว่ามีการดำเนินการโดยไม่ได้รับอนุญาตและอาจเข้าข่ายละเมิดกฎหมายป่าไม้

หน่วยพยัคฆ์ไพรบุกตรวจพื้นที่ต้องสงสัย

สำนักป้องกันรักษาป่าและควบคุมไฟป่า โดยส่วนปฏิบัติการพิเศษและหน่วยเฉพาะกิจปราบปรามพิเศษ (พยัคฆ์ไพร) นำโดยนายชาญชัย กิจศักดาภาพ ผู้อำนวยการส่วนปฏิบัติการพิเศษ และหัวหน้าหน่วยเฉพาะกิจปราบปรามพิเศษ ได้รับแจ้งจากพลเมืองดีว่ามีการก่อสร้างกิจการเกี่ยวกับการผจญภัยประเภทโหนสลิง (Zipline) ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ ป่าแม่ลาวฝั่งซ้าย

จากการลงพื้นที่ของเจ้าหน้าที่ เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2568  พบว่าโครงการดังกล่าวตั้งอยู่ในเขตบ้านแสนเจริญ หมู่ที่ 10 ตำบลวาวี อำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย เจ้าหน้าที่ปฏิบัติการได้ทำงานร่วมกับศูนย์ป้องกันและปราบปรามที่ 3 (ภาคเหนือ) เจ้าหน้าที่จากสำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 2 (เชียงราย) และตำรวจภูธรแม่สรวย เพื่อตรวจสอบแนวเขตและความถูกต้องของการใช้พื้นที่

พบบุกรุกพื้นที่ป่าสงวนและสิ่งปลูกสร้างผิดกฎหมาย

จากการตรวจสอบสถานที่ เจ้าหน้าที่พบว่ามีการสร้างหอคอยสำหรับติดตั้งสายสลิงโหนข้ามหุบเขา ระยะทางประมาณ 650 เมตร โดยจุดเริ่มต้นตั้งอยู่บริเวณที่มีสิ่งปลูกสร้าง เช่น ลานกางเต็นท์ ห้องน้ำ และป้ายแสดงชื่อสถานที่ ซึ่งจากการวัดค่าพิกัดพบว่าอยู่ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ ป่าแม่ลาวฝั่งซ้าย คำนวณเนื้อที่ได้ 1 – 2 – 92 ไร่

เจ้าหน้าที่จากสำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 2 (เชียงราย) ได้ตรวจสอบข้อมูลและยืนยันว่า พื้นที่ดังกล่าวไม่ได้อยู่ในขอบเขตตามมติคณะรัฐมนตรี วันที่ 30 มิถุนายน 2541 และไม่ใช่พื้นที่ที่ได้รับการอนุญาตภายใต้โครงการจัดที่ดินทำกินให้ชุมชน (คทช.) ของรัฐบาล จึงถือเป็นการบุกรุกพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติและเป็นการใช้ที่ดินโดยไม่ได้รับอนุญาต

ขยายผลพบผู้เกี่ยวข้อง เตรียมดำเนินคดีทางกฎหมาย

การตรวจสอบยังพบว่ากิจการโหนสลิงนี้มีความเชื่อมโยงกับอดีตนักการเมืองท้องถิ่นรายหนึ่ง ซึ่งรับว่าเป็นผู้ดำเนินการติดตั้งระบบโหนสลิงและสิ่งปลูกสร้างต่างๆ ในพื้นที่โดยไม่ได้รับอนุญาต เจ้าหน้าที่จึงได้แจ้งข้อกล่าวหาตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 มาตรา 14, มาตรา 31 และมาตรา 26/4 รวมถึงพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 54, มาตรา 55 และมาตรา 72 ตรี

นอกจากนี้ ยังมีการแจ้งข้อกล่าวหาตามกฎกระทรวงว่าด้วยการควบคุมเครื่องเล่น พ.ศ. 2558 ซึ่งออกตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 เนื่องจากการติดตั้งโครงสร้างและสายสลิงของกิจการนี้ไม่ได้ผ่านการตรวจสอบหรืออนุมัติจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เห็นควรให้พนักงานสอบสวนดำเนินการพิจารณาในส่วนนี้เพิ่มเติม

แนวทางการดำเนินคดีและการจัดระเบียบพื้นที่

เพื่อให้การดำเนินการเป็นไปตามระเบียบและกฎหมาย เจ้าหน้าที่ป่าไม้ได้ประสานงานให้หน่วยป้องกันรักษาป่าที่ ชร.7 (ท้าวแก่นจันทร์) รายงานไปยังสำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 2 (เชียงราย) เพื่อตรวจสอบรายละเอียดของบุคคลที่มีรายชื่อในการสำรวจแปลงที่ดินและโครงการจัดที่ดินทำกิน (คทช.) ที่อาจเกี่ยวข้องกับกิจการนี้

ในส่วนของแนวทางการดำเนินคดี ขณะนี้พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรแม่สรวยได้รับเรื่องและอยู่ระหว่างการพิจารณาดำเนินคดีต่อไป โดยเจ้าหน้าที่ป่าไม้จะติดตามความคืบหน้าอย่างใกล้ชิดเพื่อให้มั่นใจว่าการดำเนินคดีเป็นไปตามกฎหมายและไม่มีการใช้ช่องโหว่ทางกฎหมายในการหลีกเลี่ยงความรับผิด

การเตือนภัยและมาตรการป้องกันการบุกรุกป่า

เจ้าหน้าที่ป่าไม้ได้ย้ำถึงความสำคัญของการเฝ้าระวังและป้องกันการบุกรุกป่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ที่เป็นแหล่งทรัพยากรธรรมชาติสำคัญ ซึ่งต้องได้รับการดูแลและอนุรักษ์เพื่อความยั่งยืนของระบบนิเวศ ทั้งนี้ ขอให้ประชาชนและนักลงทุนที่ต้องการดำเนินกิจการใดๆ ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ติดต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อขออนุญาตให้ถูกต้องตามกฎหมาย หากพบเห็นการบุกรุกป่าหรือการใช้พื้นที่โดยผิดกฎหมาย สามารถแจ้งข้อมูลได้ที่หน่วยงานป่าไม้ในพื้นที่ หรือแจ้งผ่านช่องทางออนไลน์ของกรมป่าไม้

สรุปสถานการณ์และข้อกังวลในพื้นที่

กรณีดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาการบุกรุกที่ดินป่าสงวนแห่งชาติที่ยังคงเป็นปัญหาในหลายพื้นที่ของประเทศ แม้จะมีการบังคับใช้กฎหมายและมาตรการป้องกันอย่างเข้มงวดก็ตาม การตรวจพบกิจการโหนสลิงที่ไม่ได้รับอนุญาตในครั้งนี้ เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของการละเมิดกฎหมายทรัพยากรธรรมชาติ ที่ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศและการจัดระเบียบพื้นที่ป่าไม้ของไทย ซึ่งภาครัฐต้องดำเนินการอย่างจริงจังเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดกรณีลักษณะนี้ขึ้นอีกในอนาคต

ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ป่าไม้และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยืนยันว่าจะติดตามและดำเนินคดีกับผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายอย่างถึงที่สุด เพื่อเป็นตัวอย่างในการป้องปรามการบุกรุกพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติในอนาคต พร้อมทั้งเร่งรัดมาตรการจัดการที่ดินให้เป็นไปตามกฎหมายและระเบียบที่กำหนดไว้

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : พยัคฆ์ไพร

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
TOP STORIES

‘หลิว จงอี้’ ขอโทษคนไทย ทำรู้สึกถูกรุกล้ำอธิปไตย

ภูมิธรรม’ เผย ‘หลิว จงอี้’ ขอโทษคนไทย ย้ำเคารพอธิปไตยไทย เตรียมประชุมไตรภาคีเร่งด่วน

กรุงเทพ, 19 กุมภาพันธ์ 2568 – รองนายกรัฐมนตรี ‘ภูมิธรรม เวชยชัย’ เปิดเผยผลการหารือกับ ‘หลิว จงอี้’ ผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคงจีน ยืนยันเดินหน้าความร่วมมือไตรภาคี ไทย-จีน-เมียนมา ในการกวาดล้างเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ พร้อมส่งตัวชาวจีน 600 รายกลับประเทศภายในสัปดาห์นี้

จีนขอโทษไทย ประสานความร่วมมือไตรภาคี

นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แถลงข่าวหลังจากการประชุมร่วมกับนายหลิว จงอี้ ผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคงและสาธารณะแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ที่กระทรวงกลาโหมเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2568 โดยใช้เวลากว่า 1 ชั่วโมง

นายหลิว จงอี้ ได้กล่าวขอโทษประชาชนชาวไทยที่เกิดความเข้าใจผิดเกี่ยวกับปฏิบัติการของจีนในประเทศไทย และย้ำว่า จีนเคารพในอธิปไตยของไทย พร้อมให้ความร่วมมือในการขจัดปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์และเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติที่เกี่ยวข้องกับชาวจีนในเมียนมา

 ไทยเดินหน้าประชุมไตรภาคี ร่วมจีน-เมียนมา

นายภูมิธรรม เปิดเผยว่า ไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดประชุมไตรภาคีระหว่าง ไทย-เมียนมา-จีน ภายในสัปดาห์หน้า โดยมีเป้าหมายเพื่อกำหนดกลไกความร่วมมือที่ชัดเจนขึ้น ในการปราบปรามขบวนการอาชญากรรมข้ามชาติ โดยขณะนี้มีเจ้าหน้าที่ระดับสูงจากเมียนมาเดินทางมาถึงไทยแล้วเพื่อเตรียมการประชุม

“เราจะดำเนินการให้เรื่องนี้คลี่คลายอย่างมีประสิทธิภาพ และจีนก็พร้อมให้ข้อมูลสำคัญกับไทย เพื่อขุดรากถอนโคนขบวนการนี้” นายภูมิธรรมกล่าว

 ส่งตัวชาวจีนกลับประเทศ 600 คน เริ่มพรุ่งนี้

 4 เที่ยวบินแรก ออกจากแม่สอด 20 ก.พ.

ในการหารือครั้งนี้ ฝ่ายจีนได้ประสานกับรัฐบาลไทยในการส่งตัวชาวจีนจำนวน 600 คนกลับประเทศ โดยจะใช้เที่ยวบิน 3 รอบ แต่ละรอบห่างกัน 3 วัน โดยรอบแรกจะเริ่มในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2568 รวม 4 เที่ยวบินจากสนามบินแม่สอด จ.ตาก

เหตุผลที่ต้องใช้สนามบินแม่สอด เนื่องจากสถานการณ์ในเมียนมายังคงมีความไม่ปลอดภัย ทั้งด้านการสู้รบและอุปสรรคด้านโลจิสติกส์ เช่น กับระเบิดตามเส้นทางภาคพื้นดิน

จีนรับปากว่า หากพบข้อมูลเชื่อมโยงกับเครือข่ายในไทย จะส่งข้อมูลให้ทางการไทยทันที เพื่อขยายผลสู่การปราบปรามเพิ่มเติม

จีน-เมียนมาชื่นชมมาตรการของไทย

นายหลิว จงอี้ ยังแสดงความชื่นชมมาตรการของไทยที่ดำเนินการตัดไฟ ตัดอินเทอร์เน็ต และตัดน้ำมันในพื้นที่อิทธิพลของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่เมืองเมียวดี ประเทศเมียนมา โดยมาตรการดังกล่าวได้รับคำชมจากทั้งประธานาธิบดีสี จิ้นผิง และนายกรัฐมนตรีหลี่ เฉียง ของจีน รวมถึงรัฐบาลเมียนมา

 ไทยปฏิเสธข้อเสนอจีนในการปิดกั้นสินค้าไปเมียนมา

แม้ว่าฝ่ายจีนเสนอให้ไทยปิดกั้นการส่งออกสินค้าอุปโภคบริโภคไปยังเมียนมาเพื่อเป็นมาตรการกดดันเพิ่มเติม แต่ไทยได้ปฏิเสธข้อเสนอนี้ โดยให้เหตุผลว่า การดำเนินการดังกล่าวอาจส่งผลกระทบต่อประชาชนที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับอาชญากรรม ซึ่งไทยต้องคำนึงถึงหลักมนุษยธรรมเป็นสำคัญ

เตรียมส่งเจ้าหน้าที่ตรวจสอบสินค้าต้องห้าม

จีนยังมีข้อกังวลเกี่ยวกับการลักลอบนำเข้าสินค้าต้องห้ามผ่านตู้คอนเทนเนอร์จากไทยไปเมียนมา ซึ่งฝ่ายไทยได้รับปากว่าจะนำประเด็นนี้เข้าสู่การพิจารณาและปรับปรุงมาตรการตรวจสอบสินค้าให้เข้มงวดขึ้น โดยจีนพร้อมส่งเครื่องมือพิเศษเข้ามาช่วยเหลือในการตรวจสอบ

การบริหารจัดการผู้ลี้ภัยและชาวต่างชาติ

สำหรับกรณีชาวต่างชาติที่ไม่ใช่ชาวจีนที่อยู่ในเมียนมา และอาจต้องการลี้ภัยเข้ามาในไทย นายภูมิธรรมย้ำว่า ไทยไม่มีนโยบายจัดตั้งค่ายผู้อพยพใหม่ และจะต้องประสานให้สถานทูตของแต่ละประเทศเข้ามารับตัวประชาชนของตนไปดำเนินการ

“หากมีจำนวนมาก เราจะต้องวางแผนใหม่ โดยสถานทูตแต่ละประเทศต้องรับผิดชอบประชาชนของตน” นายภูมิธรรมกล่าว

สรุป: ไทย-จีน-เมียนมา เดินหน้าปราบปรามข้ามชาติ

การหารือระหว่างไทยและจีนครั้งนี้เป็นการยกระดับความร่วมมือในการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ ไทยยืนยันความร่วมมือไตรภาคี พร้อมส่งตัวชาวจีนที่เกี่ยวข้องกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์กลับประเทศโดยเร็ว ในขณะที่จีนรับปากจะให้ข้อมูลที่เกี่ยวโยงกับไทยเพื่อขยายผลต่อไป

คำถามที่พบบ่อย (FAQs)

  1. ทำไมจีนต้องขอโทษไทย?

จีนขอโทษไทยเนื่องจากเกิดความเข้าใจผิดเกี่ยวกับบทบาทของเจ้าหน้าที่จีนในไทย ทำให้ประชาชนบางส่วนรู้สึกว่าถูกละเมิดอธิปไตย

  1. การประชุมไตรภาคีจะมีขึ้นเมื่อไหร่?

การประชุมไตรภาคีระหว่างไทย-จีน-เมียนมาคาดว่าจะมีขึ้นภายในสัปดาห์หน้า โดยไทยเป็นเจ้าภาพ

  1. ทำไมต้องใช้สนามบินแม่สอดในการส่งตัวชาวจีนกลับประเทศ?

สนามบินแม่สอดถูกเลือกเนื่องจากสถานการณ์ในเมียนมายังไม่ปลอดภัยสำหรับการเดินทางภาคพื้นดิน

  1. ไทยจะดำเนินการอะไรเพิ่มเติมในการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์?

ไทยจะดำเนินมาตรการตัดไฟ ตัดอินเทอร์เน็ต และตัดน้ำมันในพื้นที่อิทธิพลของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ต่อไป พร้อมเร่งตรวจสอบเครือข่ายที่เกี่ยวข้องในไทย

  1. ไทยปฏิเสธข้อเสนอจีนในเรื่องใด?

ไทยปฏิเสธข้อเสนอจีนในการปิดกั้นสินค้าอุปโภคบริโภคไปเมียนมา เนื่องจากต้องคำนึงถึงหลักมนุษยธรรม

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
WORLD PULSE

แฉแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เมียนมาซัด แกนนำกบดานไทย จีนเดินเกมหนัก

กวาดล้างแก๊งคอลเซ็นเตอร์! จีน-เมียนมาประสานงาน ไทยมีเอี่ยว?

เนปีดอว์ เมียนมา, 16 กุมภาพันธ์ 2568  – กระทรวงมหาดไทยของเมียนมา นำโดย พลโท ทุน ทุน หน่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้หารือร่วมกับ H.E. Ms. Ma Jia เอกอัครราชทูตจีนประจำเมียนมา และ นายหลิว จงอี้ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงความมั่นคงสาธารณะของจีน เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ณ กรุงเนปีดอว์ เพื่อหาแนวทางช่วยเหลือพลเมืองจีนที่ประสบปัญหาในเมียนมา

จีน-เมียนมา ผนึกกำลังกวาดล้างแก๊งคอลเซ็นเตอร์

การประชุมครั้งนี้ให้ความสำคัญกับปัญหาการฉ้อโกงออนไลน์และการพนันออนไลน์ ซึ่งเกิดขึ้นในเขตเมือง เมียวดี รัฐกะเหรี่ยง ซึ่งเป็นแหล่งกบดานของขบวนการคอลเซ็นเตอร์และเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ ทั้งสองฝ่ายได้หารือแนวทางป้องกันและปราบปราม รวมถึงการช่วยเหลือชาวจีนที่ตกเป็นเหยื่อของขบวนการดังกล่าว นอกจากนี้ ในเขตเมือง ไหย รัฐฉานตอนเหนือ มีการจับกุมผู้ต้องสงสัยเกี่ยวข้องกับการฉ้อโกงออนไลน์และการพนันออนไลน์ ซึ่งบางส่วนเป็นบุคคลที่ทางการจีนต้องการตัว

แกนนำแก๊งคอลเซ็นเตอร์ยังลอยนวลในไทย

แหล่งข่าวจากเมียนมาเปิดเผยว่า แม้การกวาดล้างจะเดินหน้าเต็มที่ แต่แกนนำระดับสูงของขบวนการคอลเซ็นเตอร์ยังคงหลบซ่อนอยู่ในประเทศไทย โดย นายหม่องชิต ตู่ หัวหน้า BGF กะเหรี่ยงของเมียนมา เน้นย้ำถึงความสำคัญของความร่วมมือระหว่าง จีน-เมียนมา-ไทย เพื่อขจัดปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติให้สิ้นซาก

จีนเสนอประชุม 3 ชาติ ปราบปรามอาชญากรรมข้ามแดน

เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ จีนเสนอให้มีการประชุมระดับสูง ระหว่าง จีน เมียนมา และไทย โดยเน้นความร่วมมือด้านข่าวกรอง การจับกุมผู้ต้องหา และการส่งตัวข้ามแดน การประชุมดังกล่าวมีเจ้าหน้าที่ระดับสูงจากเมียนมาเข้าร่วม ได้แก่ พลโท ทุน ทุน หน่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย, อู ข่าย ทุน อู ปลัดกระทรวงมหาดไทย, พลตำรวจตรี วิน ซอ โม ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และเจ้าหน้าที่ระดับสูงของทั้งสองประเทศ

ทางการไทยจะตอบสนองอย่างไร?

ขณะที่จีนและเมียนมาเดินหน้าเต็มที่ในการกวาดล้างขบวนการคอลเซ็นเตอร์ คำถามสำคัญคือ รัฐบาลไทยจะมีท่าทีอย่างไร ต่อการดำเนินการกับผู้ต้องหาที่เมียนมาอ้างว่ายังซ่อนตัวอยู่ในไทย ขณะเดียวกัน เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ สื่อเมียนมาเปิดเผยหลักฐานว่านายทุนจีนบางรายที่เกี่ยวข้องกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ได้รับการคุ้มกันโดยกองกำลังพิเศษ เพื่อเคลื่อนย้ายข้ามพรมแดนระหว่างไทยและเมียนมา

ส่งตัวชาวจีนกลับประเทศ – กวาดล้างอาชญากรรมข้ามชาติ

นายหลิว จงอี้ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงความมั่นคงสาธารณะของจีน ได้หารือเกี่ยวกับ ขั้นตอนการส่งตัวชาวจีน ซึ่งปัจจุบันทางการเมียนมาได้รวบรวมรายชื่อชาวจีนที่พำนักในเมือง ชเวก๊กโก่ และเตรียมส่งตัวผ่านประเทศไทย ซึ่งกลุ่มนี้ประกอบไปด้วยทั้ง เหยื่อของขบวนการค้ามนุษย์ และบุคคลที่เกี่ยวข้องกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ล่าสุดจากปฏิบัติการของกองกำลังทหาร BGF เมียนมา ในการตรวจค้นอาคารต่าง ๆ ในเมืองชเวก๊กโก่ สามารถรวบรวมชาวจีนได้ ประมาณ 1,000 คน โดยกว่าครึ่งเป็นผู้ต้องสงสัยที่ทางการจีนต้องการตัว

จีนเตรียมลำเลียงชาวจีนกลับประเทศทางแม่สอด

นายหลิว จงอี้ ได้ตรวจสอบกระบวนการส่งตัวอย่างใกล้ชิด และยืนยันว่า ทางการจีนจะใช้วิธีการเดิมที่เคยใช้เมื่อปี 2567 โดยจะส่งเครื่องบินมารับผู้ต้องสงสัยที่ท่าอากาศยานแม่สอด และทยอยลำเลียงกลับประเทศจีน คาดว่า สามารถส่งตัวได้สูงสุด 500 คนต่อวัน

บทสรุป

การหารือระหว่างเมียนมาและจีนเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการ กวาดล้างขบวนการอาชญากรรมข้ามชาติ ที่ใช้เมียนมาเป็นฐานปฏิบัติการ ขณะที่ทางการเมียนมายืนยันว่ามี แกนนำบางส่วนยังซ่อนตัวในประเทศไทย ทำให้เกิดคำถามถึงท่าทีของรัฐบาลไทยในเรื่องนี้ การประชุมระดับสูงของ จีน-เมียนมา-ไทย ที่กำลังจะมีขึ้น อาจเป็นก้าวสำคัญในการเร่งรัดการจับกุมและส่งตัวผู้ต้องหาข้ามแดน เพื่อยุติอาชญากรรมข้ามชาติที่สร้างความเสียหายต่อทั้งภูมิภาค

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
TOP STORIES

ไทยปราบแก๊งคอลฯ ผนึกกำลัง ทหาร-ตำรวจ ลุยชายแดน

รอง นรม./รมว.กห. หารือร่วมกับนายกฯ เร่งเดินหน้านโยบาย ปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ การค้ามนุษย์ และยาเสพติด

กรุงเทพฯ, 15 กุมภาพันธ์ 2568 – นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ร่วมหารือกับ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และผู้นำหน่วยงานด้านความมั่นคง เพื่อเร่งเดินหน้านโยบาย ปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ขบวนการค้ามนุษย์ และปัญหายาเสพติด ที่ยังคงเป็นภัยต่อประชาชน

การประชุมจัดขึ้นที่ทำเนียบรัฐบาล โดยมี พลเอกณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม พลเอกสนิธชนก สังขจันทร์ ปลัดกระทรวงกลาโหม พลเอกทรงวิทย์ หนุนภักดี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด พร้อมด้วยผู้บัญชาการเหล่าทัพและผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ร่วมระดมความคิดเห็นเพื่อกำหนดแนวทางบูรณาการกำลังพลและทรัพยากรของกองทัพให้สอดรับกับนโยบายของรัฐบาล

แนวทางปฏิบัติการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์และอาชญากรรมข้ามชาติ

พลตรีธนาธิป สว่างแสง โฆษกกระทรวงกลาโหม เปิดเผยว่า มาตรการเด็ดขาดของรัฐบาลที่ดำเนินมาแล้ว เช่น การตัดเส้นทางลำเลียงน้ำมันเชื้อเพลิง การปิดกั้นสัญญาณอินเทอร์เน็ตในพื้นที่ที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมไซเบอร์ ได้ส่งผลให้การก่ออาชญากรรมทางไซเบอร์ การพนันผิดกฎหมาย และการหลอกลวงทางคอลเซ็นเตอร์ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ

นายกรัฐมนตรีได้เร่งรัดให้คณะกรรมการนโยบายด้านชายแดนดำเนินการขยายแผนการทำงาน และให้รายงานผลความคืบหน้าภายใน 1 เดือน โดยเน้นการปิดช่องโหว่ของขบวนการอาชญากรรมข้ามชาติ ซึ่งอาศัยพื้นที่ชายแดนไทยเป็นฐานปฏิบัติการ

ผลลัพธ์จากมาตรการเชิงรุกของรัฐบาล

จากปฏิบัติการที่เข้มข้นและการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง พบว่ามีการปิดสถานบันเทิงที่เกี่ยวข้องกับขบวนการแก๊งคอลเซ็นเตอร์จำนวนมาก นอกจากนี้ยังมีการระบุเป้าหมายของกลุ่มบุคคลที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำเข้าสู่กระบวนการสอบสวนคัดแยก และส่งตัวกลับประเทศต้นทางโดยได้รับความร่วมมือจากกองกำลังป้องกันชายแดน

รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ยืนยันว่า ไทยจะไม่เป็นศูนย์อพยพของกลุ่มบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการก่ออาชญากรรม โดยมีแนวทางที่ชัดเจนคือ

  1. ขจัดเครือข่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ให้ออกจากประเทศไทย
  2. ปิดกั้นไม่ให้ประเทศไทยเป็นพื้นที่เกี่ยวข้องกับขบวนการค้ามนุษย์และยาเสพติด

การสร้างกำแพงชายแดน และความร่วมมือระดับภูมิภาค

ประเด็นที่ได้รับความสนใจในการประชุมคือ แนวคิดการสร้างกำแพงชายแดนระหว่างไทยและกัมพูชา โดยเฉพาะบริเวณปอยเปต ซึ่งเป็นศูนย์กลางของแก๊งมิจฉาชีพที่ใช้ช่องโหว่ทางกฎหมายเป็นฐานปฏิบัติการ อย่างไรก็ตาม รองนายกรัฐมนตรีระบุว่ายังไม่มีการตัดสินใจขั้นสุดท้าย และต้องมีการศึกษารายละเอียดเชิงลึกก่อน

นอกจากนี้ รัฐบาลยังได้ดำเนินความร่วมมือระดับภูมิภาคกับประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อป้องกันและปราบปรามขบวนการอาชญากรรมข้ามชาติให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยจะมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลอย่างเป็นระบบ และร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งในและต่างประเทศ

ความเข้มข้นของมาตรการปราบปรามอาชญากรรม

นายภูมิธรรม เวชยชัย เน้นย้ำว่า รัฐบาลไทยจะไม่ลดระดับความเข้มข้นของมาตรการ แม้จะได้รับสัญญาณจากกองกำลังต่าง ๆ ของประเทศเพื่อนบ้านว่ามีมาตรการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ภายในประเทศของตนเองแล้ว โดยยืนยันว่ามาตรการต้องเป็นไปตามเป้าหมายและให้ผลลัพธ์ที่ชัดเจน

“ปัญหาสำคัญของเราคือ ต้องกำจัดแก๊งคอลเซ็นเตอร์ออกไปให้ได้ และจะไม่ให้ใช้พื้นที่ของไทยเป็นแหล่งเกี่ยวข้องกับอาชญากรรมข้ามชาติ” นายภูมิธรรมกล่าว

บทสรุป

รัฐบาลไทยกำลังดำเนินมาตรการเชิงรุกในการ ปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ขบวนการค้ามนุษย์ และปัญหายาเสพติด อย่างจริงจัง โดยเน้นความร่วมมือกับทุกภาคส่วน ทั้งในระดับประเทศและระดับภูมิภาค พร้อมใช้มาตรการที่เด็ดขาดในการสกัดกั้นเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ ไม่ให้มีที่ยืนในประเทศไทย

การดำเนินการเหล่านี้ถือเป็นสัญญาณชัดเจนว่า รัฐบาลไทยให้ความสำคัญกับความมั่นคงและความปลอดภัยของประชาชนเป็นอันดับแรก และจะเดินหน้ากำจัดภัยคุกคามเหล่านี้อย่างต่อเนื่อง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักข่าวไทย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

เชียงรายคุมเข้ม ห้ามกรอกน้ำมันใส่ภาชนะ ป้องกันลักลอบข้ามแดน

เชียงรายเข้มงวด! ห้ามกรอกน้ำมันใส่ภาชนะ ป้องกันลักลอบขนส่งข้ามแดน ฝ่าฝืนมีโทษตามกฎหมาย พร้อมแนวทางซื้อน้ำมันอย่างถูกต้อง

เชียงราย, 9 กุมภาพันธ์ 2568  –เชียงรายประกาศเตือน ห้ามกรอกน้ำมันใส่ภาชนะ ฝ่าฝืนดำเนินคดีตามกฎหมาย

นายปรศักดิ์ งามสมภาค พลังงานจังหวัดเชียงราย พร้อมเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ ตรวจสอบและแจ้งเตือน สถานีบริการน้ำมันทุกแห่ง ห้ามกรอกน้ำมันลงภาชนะ เช่น ถังน้ำมัน กระป๋องน้ำมัน หรือแกลลอน โดยเด็ดขาด ตามมาตรการควบคุมน้ำมันเชื้อเพลิงและนโยบายปราบปรามเครือข่าย แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งใช้เชื้อเพลิงจากชายแดนไทยไปดำเนินกิจกรรมผิดกฎหมายในเมียนมา

มาตรการเข้มงวด: ห้ามจำหน่ายน้ำมันลงภาชนะ

จากการพิจารณาของ จังหวัดเชียงราย พบว่า การจำหน่ายน้ำมันลงภาชนะอื่นนอกเหนือจากการเติมในยานพาหนะ ไม่เป็นไปตาม พระราชบัญญัติควบคุมน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2544 มาตรา 4 ซึ่งกำหนดให้สถานีบริการน้ำมันต้องให้บริการแก่ยานพาหนะเท่านั้น

ประกอบกับรัฐบาลไทยได้ ระงับการส่งออกน้ำมันไปยังเมียนมา เพื่อตัดวงจรการลักลอบใช้น้ำมันในกิจกรรมผิดกฎหมาย จึงมีการแจ้งเตือนไปยังผู้ประกอบการสถานีบริการน้ำมัน หากฝ่าฝืนคำสั่งจะถูกดำเนินคดีตามกฎหมายทันที

หากต้องการซื้อน้ำมันในภาชนะ ต้องทำอย่างไร?

สำหรับผู้ที่ต้องการซื้อน้ำมันเพื่อใช้งานในภาชนะสามารถซื้อได้จากแหล่งที่ได้รับอนุญาตตามกฎหมาย แบ่งเป็น 2 ประเภท ได้แก่:

  1. สถานที่เก็บรักษาน้ำมันลักษณะที่ 1 (สำหรับปริมาณน้อย)
  • น้ำมันชนิดไวไฟมาก: เก็บได้ไม่เกิน 40 ลิตร
  • น้ำมันชนิดไวไฟปานกลาง: เก็บได้ไม่เกิน 227 ลิตร
  • น้ำมันชนิดไวไฟน้อย: เก็บได้ไม่เกิน 454 ลิตร

สามารถซื้อจากร้านค้าปลีกที่ได้รับอนุญาต เช่น ร้านค้าที่มีการกรอกน้ำมันใส่ขวดหรือแกลลอนขายภายใต้ข้อกำหนดทางกฎหมาย

  1. สถานที่เก็บรักษาน้ำมันลักษณะที่ 2 (สำหรับปริมาณมาก ต้องได้รับอนุญาตจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น)
  • น้ำมันชนิดไวไฟมาก: เก็บได้ตั้งแต่ 40 – 454 ลิตร
  • น้ำมันชนิดไวไฟปานกลาง: เก็บได้ตั้งแต่ 227 – 1,000 ลิตร
  • น้ำมันชนิดไวไฟน้อย: เก็บได้ตั้งแต่ 454 – 15,000 ลิตร

หากต้องการใช้ในปริมาณมาก ผู้ประกอบการต้อง ขอใบอนุญาตเก็บรักษาน้ำมัน จากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อให้ดำเนินการได้ถูกต้องตามกฎหมาย

มาตรการนี้ช่วยป้องกันอะไร?

  • ป้องกัน การลักลอบนำน้ำมันข้ามพรมแดน ไปใช้ในกิจกรรมผิดกฎหมาย
  • ควบคุม การใช้น้ำมันเชื้อเพลิงให้เป็นไปตามกฎหมาย และลดความเสี่ยงด้านความปลอดภัย
  • สนับสนุนนโยบายรัฐบาลในการ ปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และ กลุ่มอาชญากรรมข้ามชาติ

จังหวัดเชียงราย ขอความร่วมมือจากประชาชนและผู้ประกอบการทุกฝ่าย ให้ปฏิบัติตามข้อกำหนดดังกล่าวเพื่อให้การบังคับใช้กฎหมายเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ หากพบเห็นการฝ่าฝืน สามารถแจ้งเจ้าหน้าที่เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายได้ทันที

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานพลังงานจังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
WORLD PULSE

‘ไทย’ กดดัน ‘เมียนมา’ เริ่มเห็นผล หลังมีเจ้าหน้าที่ท่าขี้เหล็กกวาดล้างหลายพื้นที่

ไทยกดดันเมียนมา ตัดไฟ-จำกัดน้ำมัน สกัดแก๊งคอลเซ็นเตอร์

เมียนมา, 9 กุมภาพันธ์ 2568  – burmese.shannews และ tachileik NEWS รายงานว่า หลังจากที่ประเทศไทยเริ่ม ตัดกระแสไฟฟ้า งดขายน้ำมัน และตัดสัญญาณอินเทอร์เน็ต ที่ส่งไปยังสหภาพเมียนมา ตั้งแต่วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2568 เพื่อสกัดกลุ่มขบวนการ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งใช้พื้นที่ชายแดนเมียนมาเป็นฐานในการหลอกลวงประชาชนในหลายประเทศ ส่งผลให้สถานการณ์ในเมืองท่าขี้เหล็กได้รับผลกระทบอย่างหนัก

เมืองท่าขี้เหล็กมืดสนิท คาสิโนขาดพลังงาน

แหล่งข่าวในพื้นที่ระบุว่า โรงแรมและสถานบันเทิงหลายแห่งที่เป็นศูนย์กลางของคาสิโนในเมืองท่าขี้เหล็ก ต้องลดไฟส่องสว่างลง เนื่องจากขาดแคลนกระแสไฟฟ้า หลังจากที่ลาวจำกัดการส่งไฟจาก 30 เมกะวัตต์ เหลือเพียง 13 เมกะวัตต์ ทำให้เมืองทั้งเมืองมืดลงอย่างเห็นได้ชัดในช่วงกลางคืน

นอกจากนี้ มีรายงานว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารท่าขี้เหล็ก ได้ระดมกำลังกวาดล้างบ่อนการพนันและเว็บพนันออนไลน์ ที่ลักลอบเปิดอยู่ในพื้นที่ริมแม่น้ำสาย และเขตป่าเขาลึก ส่งผลให้มีการจับกุมเจ้าของบ่อน พนักงาน และผู้เกี่ยวข้องได้จำนวนมาก

แก๊งคอลเซ็นเตอร์-เว็บพนันเริ่มทยอยปิดตัว

จากแหล่งข่าวในท่าขี้เหล็ก พบว่าปัจจุบัน กลุ่มเว็บพนันออนไลน์และแก๊งคอลเซ็นเตอร์ทยอยปลดพนักงานออกกว่า 100 คน เนื่องจากขาดแคลนกระแสไฟฟ้าและน้ำมันเชื้อเพลิง ไม่สามารถดำเนินกิจการต่อได้ นายจ้างชาวจีนจึงจำเป็นต้อง ปลดพนักงานออก ทำให้แรงงานต่างชาติรวมถึงคนไทยจำนวนมากต้องเดินทางกลับประเทศไทย ผ่านด่านอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย

คาดการณ์ว่า หากสถานการณ์ยังคงดำเนินต่อไป กลุ่มเหล่านี้อาจพยายามย้ายฐานปฏิบัติการเข้ามาในประเทศไทย ซึ่งจะเป็นโจทย์สำคัญของรัฐบาลไทยในการควบคุมการเคลื่อนไหวของกลุ่มอาชญากรรมข้ามชาติ

รัฐบาลเมียนมาเร่งกวาดล้าง ขยายผลจับกุม

สื่อท้องถิ่นของเมียนมารายงานว่า ระหว่างวันที่ 6-8 กุมภาพันธ์ 2568 เจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจของท่าขี้เหล็ก ได้ดำเนินการกวาดล้างเครือข่ายอาชญากรรมในหลายพื้นที่ ทั้งการทลายบ่อนการพนัน สแกมเมอร์ และฐานปฏิบัติการหลอกลวงทางออนไลน์ ส่งผลให้มีผู้ต้องหาถูกจับกุมหลายสิบคน รวมถึงชาวจีนและเวียดนามที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมเหล่านี้

ขณะเดียวกัน กองทัพเมียนมายัง ดำเนินการบุกเข้าพื้นที่ควบคุมของกองกำลังติดอาวุธบางกลุ่ม ที่ให้การสนับสนุนธุรกิจผิดกฎหมายเหล่านี้ และมีการปะทะกันในบางพื้นที่ ทำให้มีผู้เสียชีวิตและถูกจับกุมเพิ่มเติม

บีจีเอฟ-รัฐบาลเมียนมาขอไทยทบทวนมาตรการ

พันโทหน่ายหม่อง โซ รองผู้บังคับกองพัน กองกำลังพิทักษ์ชายแดน (บีจีเอฟ) รัฐกะเหรี่ยง เปิดเผยว่า กองกำลังบีจีเอฟและรัฐบาลเมียนมาต้องการให้ไทยทบทวนมาตรการตัดกระแสไฟฟ้าและจำกัดน้ำมัน เนื่องจากประชาชนเมียนมาได้รับผลกระทบอย่างหนัก โดยย้ำว่า ไทยและเมียนมาเป็นบ้านพี่เมืองน้องกันมานาน และขอให้รัฐบาลไทยพิจารณามาตรการที่เหมาะสมมากขึ้น

พันโทหน่ายหม่อง โซ ยังเปิดเผยเพิ่มเติมว่า บีจีเอฟได้ให้ความร่วมมือกับรัฐบาลไทย ในการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์มาโดยตลอด และกำลังดำเนินการช่วยเหลือแรงงานชาวอินโดนีเซียกว่า 100 คน ที่ตกเป็นเหยื่อให้เดินทางกลับประเทศ โดยใช้เส้นทางผ่านไทย

สรุปสถานการณ์ชายแดนเมียนมา-ไทย

การดำเนินมาตรการของไทยส่งผลกระทบโดยตรงต่อเครือข่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และทำให้เมืองท่าขี้เหล็กที่เคยเป็นศูนย์กลางของธุรกิจผิดกฎหมายต้องเผชิญกับปัญหาขาดแคลนพลังงานและแรงงานอย่างหนัก ขณะที่รัฐบาลเมียนมาได้เพิ่มมาตรการเข้มงวดและเร่งขยายผลจับกุมอาชญากรข้ามชาติ โดยมีความร่วมมือกับไทยอย่างใกล้ชิด ทั้งนี้ ยังต้องจับตาดูว่าการย้ายฐานของกลุ่มอาชญากรรมเหล่านี้จะเกิดขึ้นหรือไม่ และไทยจะรับมือกับปัญหานี้อย่างไรในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : tachileik / burmese.shannews

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
WORLD PULSE

บีจีเอฟรับจีนเทาหลอกใช้พื้นที่ สู่ศูนย์แก๊งคอลเซ็นเตอร์

บีจีเอฟเมียนมารับเสียรู้จีนเทา แปลงพื้นที่สู่ศูนย์แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ส่งเหยื่อกว่า 2,000 รายกลับไทย พร้อมช่วยเหลือชาวอินโดนีเซียอีก 100 คน

เมียนมา, 8 กุมภาพันธ์ 2568  – ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นับเป็นครั้งแรกที่ พันโทหน่ายหม่อง โซ รองผู้บังคับกองพัน กองกำลังพิทักษ์ชายแดน (บีจีเอฟ) ประจำจังหวัดเมียวดี รัฐกะเหรี่ยง ประเทศเมียนมา ได้กล่าวยอมรับถึงปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในพื้นที่จีนเทา ซึ่งตั้งอยู่ในเมืองเมียวดี ตรงข้ามอำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ประเทศไทย

บีจีเอฟรับ ‘เสียรู้’ จีนเทา แก๊งคอลเซ็นเตอร์ใช้พื้นที่โดยไม่แจ้งล่วงหน้า

พันโทหน่ายหม่อง โซ เปิดเผยว่า กลุ่มทุนจีนที่เข้ามาลงทุนในพื้นที่เขตอิทธิพลของกองกำลังกะเหรี่ยงบีจีเอฟ ในช่วงแรกระบุว่า จะใช้พื้นที่ทำ คาสิโนและสถานบันเทิง เพื่อพัฒนาพื้นที่ชายแดนให้มีเศรษฐกิจดีขึ้นและให้ประชาชนมีงานทำ อย่างไรก็ตาม เมื่อเวลาผ่านไป พบว่ามีปัญหาการดำเนินกิจกรรมของ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งกองกำลังบีจีเอฟไม่สามารถจัดการได้โดยลำพัง เนื่องจากต้องคำนึงถึงผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่

พันโทหน่ายหม่อง โซ ระบุว่า รายได้ที่ได้รับจากนักลงทุนจีนนั้นถูกนำไปพัฒนา ถนนและสะพาน เพื่อให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น แต่เมื่อมีปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์เข้ามา ฝ่ายบีจีเอฟต้องพยายามแก้ไขร่วมกับทางการเมียนมา รวมถึงได้รับความร่วมมือจากสถานทูตและรัฐบาลไทย โดยปัจจุบันได้ดำเนินการ ส่งตัวเหยื่อแก๊งคอลเซ็นเตอร์กลับประเทศแล้วกว่า 2,000 คน ส่วนใหญ่ถูกส่งไปทางประเทศไทย เนื่องจากสะดวกและใกล้กว่าส่งไปยังเมืองย่างกุ้ง

เตรียมส่งตัวเหยื่อต่างชาติอีก 100 คน ส่วนใหญ่อินโดนีเซีย

ล่าสุด บีจีเอฟช่วยเหลือชาวต่างชาติจำนวนกว่า 100 คน ส่วนใหญ่เป็นชาวอินโดนีเซีย ซึ่งตกเป็นเหยื่อของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ โดยมีแผนส่งตัวพวกเขาไปให้ทางการไทยในเร็วๆ นี้ โดยใช้ด่านพรมแดนแม่สอด-เมียวดี สะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา แห่งที่ 2 เป็นจุดส่งตัว

พันโทหน่ายหม่อง โซ ยืนยันว่า กองกำลังบีจีเอฟได้พยายามแก้ไขปัญหานี้มาโดยตลอด โดยมีการประสานกับฝ่ายรัฐบาลเมียนมา รวมถึงรัฐบาลไทย และแสดงความพร้อมที่จะร่วมมือแก้ไขปัญหานี้ให้หมดไป

บีจีเอฟวอนไทยทบทวนมาตรการตัดไฟ-จำกัดน้ำมัน

นอกจากนี้ พันโทหน่ายหม่อง โซ ยังเรียกร้องให้รัฐบาลไทยพิจารณา ทบทวนมาตรการตัดกระแสไฟฟ้า และการจำกัดน้ำมันเชื้อเพลิง ที่ส่งเข้าพื้นที่ชายแดนเมียนมา เนื่องจากประชาชนในพื้นที่ได้รับความเดือดร้อนอย่างมาก พร้อมย้ำว่า ไทยและเมียนมาเป็นบ้านพี่เมืองน้องกันมานาน ชาวกะเหรี่ยงและประชาชนชาวเมียนมามีความเคารพต่อพระมหากษัตริย์ไทย และต้องการให้รัฐบาลไทยช่วยพิจารณาผ่อนปรนมาตรการดังกล่าวเพื่อช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สรยุทธ สุทัศนะจินดา กรรมกรข่าว

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE SOCIETY & POLITICS

ป้องกันความมั่นคง ไทยยุติส่งไฟฟ้า 5 จุดชายแดนเมียนมา

ประเทศไทยยุติการส่งไฟฟ้าไปยังเมียนมา 5 จุด เพื่อความมั่นคงของชาติ

กรุงเทพฯ, 5 กุมภาพันธ์ 2568 – นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้ดำเนินการยุติการส่งกระแสไฟฟ้าไปยังเมียนมาใน 5 จุดชายแดน ตามมติของสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เพื่อป้องกันผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ

การดำเนินการนี้เกิดขึ้นเมื่อเวลา 09.00 น. ที่สำนักงานใหญ่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) โดยมีนายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย และนายศุภชัย เอกอุ่น ผู้ว่าการ กฟภ. ร่วมเป็นสักขีพยาน

การตัดกระแสไฟฟ้าทั้ง 5 จุดใช้ระบบสั่งการอัตโนมัติควบคุมระยะไกล โดยทันทีที่กดปิดระบบ แผงวงจรที่แสดงบนหน้าจอจะเปลี่ยนจากสีแดงเป็นสีเขียว และจำนวนวัตต์ที่จ่ายไฟจะเปลี่ยนเป็น 0 แอมป์ทันที

จุดที่ถูกยุติการส่งไฟฟ้า ได้แก่:

  1. บ้านพระเจดีย์สามองค์ – เมืองพญาตองซู รัฐมอญ
  2. สะพานมิตรภาพไทย-พม่า – เมืองท่าขี้เหล็ก รัฐฉาน
  3. บ้านเหมืองแดง – เมืองท่าขี้เหล็ก รัฐฉาน
  4. สะพานมิตรภาพไทย-พม่า แห่งที่ 2 – เมืองเมียวดี
  5. บ้านห้วยม่วง – เมืองเมียวดี

รวมกำลังการผลิตไฟฟ้าที่ถูกยุติการส่งทั้งสิ้น 20.37 เมกะวัตต์

นายอนุทินกล่าวว่า การดำเนินการครั้งนี้เป็นไปตามมติของ สมช. ที่ประชุมเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2568 ซึ่งพบว่าการส่งไฟฟ้าไปยังเมียนมามีการนำไปใช้ไม่เป็นไปตามสัญญา และส่งผลกระทบต่อความสงบเรียบร้อยและความมั่นคงของประเทศ

“เมื่อมีข้อสั่งการที่ถูกต้องและชอบด้วยกฎหมาย กระทรวงมหาดไทยและ กฟภ. ก็สามารถดำเนินการได้ทันที” นายอนุทินกล่าว

การยุติการส่งไฟฟ้าในครั้งนี้อาจทำให้ประเทศไทยสูญเสียรายได้ประมาณ 600 ล้านบาทต่อปี หรือคิดเป็นไม่ถึง 1% ของรายได้รวมจากการขายไฟฟ้า ซึ่งนายอนุทินระบุว่าเป็นการเสียสละที่คุ้มค่าเพื่อรักษาผลประโยชน์ของประชาชน

“การดำเนินการครั้งนี้เป็นไปตามสัญญาข้อที่ 14 ที่กำหนดว่าหากจ่ายไฟฟ้าไปแล้วเกิดผลกระทบต่อความมั่นคงทางพลังงานและความมั่นคงของชาติ สามารถงดจ่ายไฟได้” นายอนุทินกล่าว

เมื่อถูกถามถึงความเป็นไปได้ที่เมียนมาอาจร้องขอซื้อไฟฟ้าใหม่ นายอนุทินกล่าวว่า “รัฐบาลสั่งให้หยุดเพราะเมียนมานำกระแสไฟฟ้าไปใช้ที่ทำให้เกิดความเดือดร้อนต่อไทยด้วย เขาจึงต้องไปแก้ไขและต้องมีการเจรจาใหม่”

การยุติการส่งไฟฟ้าในครั้งนี้เป็นมาตรการที่มุ่งเน้นการป้องกันและจัดการปัญหาที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมผิดกฎหมายในพื้นที่ชายแดน ซึ่งรวมถึงปัญหาการค้ามนุษย์ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ การฟอกเงิน และอาชญากรรมข้ามชาติที่อาจใช้พลังงานไฟฟ้าในการดำเนินกิจกรรม

นายอนุทินย้ำว่า การดำเนินการครั้งนี้ไม่ได้มุ่งเป้าไปที่ประชาชนชาวเมียนมาโดยตรง แต่เป็นมาตรการที่มีเป้าหมายเพื่อป้องกันและจัดการปัญหาที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมผิดกฎหมายในพื้นที่ชายแดน

“เรายังคงให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และพร้อมให้ความร่วมมือกับทางการเมียนมาในการแก้ไขปัญหาต่างๆ อย่างเหมาะสมต่อไป” นายอนุทินกล่าว

การยุติการส่งไฟฟ้าในครั้งนี้เป็นการดำเนินการที่สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลในการป้องกันและแก้ไขปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ และเป็นการแสดงถึงความมุ่งมั่นของประเทศไทยในการรักษาผลประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติ

การดำเนินการครั้งนี้ยังเป็นการส่งสัญญาณถึงความพร้อมของประเทศไทยในการดำเนินมาตรการที่จำเป็นเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ และเป็นการยืนยันถึงความมุ่งมั่นของรัฐบาลในการรักษาผลประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติ

การยุติการส่งไฟฟ้าไปยังเมียนมาในครั้งนี้เป็นการดำเนินการที่สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลในการป้องกันและแก้ไขปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ และเป็นการแสดงถึงความมุ่งมั่นของประเทศไทยในการรักษาผลประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติ

การดำเนินการครั้งนี้ยังเป็นการส่งสัญญาณถึงความพร้อมของประเทศไทยในการดำเนินมาตรการ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงมหาดไทย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

ตำรวจแม่จันจับกุมผู้เผาใบไม้ สร้างควันกระทบจราจรและฝุ่น PM2.5

ตำรวจแม่จันจับกุมผู้เผาเศษใบไม้และหญ้าแห้ง ฝ่าฝืนกฎหมายกระทบปัญหาฝุ่น PM2.5

เมื่อวันที่ 29 มกราคม 2568 เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.แม่จัน จังหวัดเชียงราย ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ต.มานพ เสนากูล ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดเชียงราย และ พ.ต.อ.เกียรติศักดิ์ จิตรประสาร ผู้กำกับการ สภ.แม่จัน ได้ดำเนินการจับกุมผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับการเผาในที่โล่งซึ่งส่งผลกระทบต่อคุณภาพอากาศและการจราจร

จับกุมรายแรก: พบเผาเศษใบไม้ริมทาง

เมื่อเวลา 13.00 น. เจ้าหน้าที่ชุดจราจร สภ.แม่จัน ออกตรวจตราพื้นที่รับผิดชอบบริเวณ เขตเทศบาลตำบลสันทราย และพบว่ามีชาวบ้านกำลังก่อไฟเผาเศษใบไม้ข้างทาง ส่งผลให้เกิดควันฟุ้งกระจายและอาจส่งผลต่อการสัญจรของรถยนต์บนถนน เจ้าหน้าที่จึงเข้าตรวจสอบและควบคุมตัวบุคคลที่กระทำผิด ทราบชื่อภายหลังคือ นายอุดร อายุ 65 ปี ชาวตำบลสันทราย อำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย

หลังจากเจ้าหน้าที่ช่วยดับไฟที่กำลังลุกไหม้และทำให้ควันสงบลง จึงได้นำตัว นายอุดร ไปยัง สภ.แม่จัน เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย

จับกุมรายที่สอง: เผาหญ้าแห้งริมถนนสาธารณะ

ในช่วงบ่ายเวลา 15.00 น. พ.ต.ท.นิติการณ์ แก้วรากมุก สารวัตรป้องกันและปราบปราม สภ.แม่จัน พร้อมด้วย ร.ต.ท.สมศักดิ์ ทรายหมอ และเจ้าหน้าที่สายตรวจ ได้ออกตรวจในพื้นที่รับผิดชอบ เมื่อไปถึงบริเวณ ริมถนนสายแม่จัน-แม่อาย หมู่ 8 ตำบลป่าตึง อำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย พบกลุ่มควันจากการเผาหญ้าแห้งลอยขึ้นจากข้างทาง เจ้าหน้าที่จึงเข้าตรวจสอบและพบ นายวิชัย อายุ 63 ปี อยู่ใกล้จุดที่เกิดเหตุ

เมื่อตรวจสอบและสอบถาม นายวิชัย ได้ให้การยอมรับว่าเป็นผู้ลงมือเผาหญ้าแห้งเอง เจ้าหน้าที่จึงแจ้งข้อกล่าวหาและควบคุมตัวไปยัง สภ.แม่จัน เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย

ข้อกล่าวหาและมาตรการทางกฎหมาย

ผู้ต้องหาทั้งสองรายถูกตั้งข้อกล่าวหาตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 ฐาน เผาหรือกระทำการใดๆ ภายในระยะ 500 เมตรจากทางเดินรถ ซึ่งก่อให้เกิดควันหรือสิ่งอื่นใดในลักษณะที่อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อการจราจร” โดยเป็นไปตามมาตรการบริหารจัดการเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM2.5) ของ ตำรวจภูธรภาค 5

จากนั้นพนักงานสอบสวน สภ.แม่จัน ได้ดำเนินคดีตาม พ.ร.บ.พินัย พ.ศ.2565 โดยมีบทลงโทษเป็นการชำระค่าปรับ

ตำรวจเชียงรายเน้นย้ำเข้มงวด ห้ามเผาเด็ดขาด

ด้าน พล.ต.ต.มานพ เสนากูล ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดเชียงราย ได้กำชับให้ตำรวจในสังกัดเข้มงวดตรวจตราและป้องกันการเผาในที่โล่งทุกพื้นที่รับผิดชอบของแต่ละสถานีตำรวจ เนื่องจากปัญหาหมอกควันและฝุ่นละออง PM2.5 ที่เกิดจากการเผา ส่งผลกระทบต่อสุขภาพประชาชน และเป็นปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมที่ต้องแก้ไขอย่างเร่งด่วน

ประชาชนในพื้นที่เชียงรายและจังหวัดใกล้เคียงจึงควร หลีกเลี่ยงการเผาในที่โล่ง และหันมาใช้วิธีการกำจัดขยะหรือเศษพืชที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมแทน เช่น การหมักปุ๋ยหรือการกำจัดผ่านกระบวนการอื่นที่ไม่ส่งผลกระทบต่ออากาศ

FAQ คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการห้ามเผาในที่โล่ง

  1. การเผาเศษพืชในที่โล่งมีความผิดหรือไม่?
    ใช่ การเผาในที่โล่งโดยไม่มีมาตรการควบคุมอาจผิดกฎหมาย เช่น พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 และ พ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ.2535
  2. โทษของการเผาขยะหรือใบไม้ข้างทางคืออะไร?
    ผู้กระทำผิดอาจถูกปรับตามกฎหมาย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับพื้นที่และข้อบังคับของแต่ละจังหวัด
  3. มีวิธีใดที่สามารถกำจัดเศษพืชโดยไม่ต้องเผา?
    สามารถใช้วิธีหมักเป็นปุ๋ย ทำปุ๋ยอินทรีย์ หรือใช้เครื่องกำจัดขยะชีวภาพเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
  4. การเผาหญ้าแห้งหรือขยะกระทบต่อปัญหาฝุ่น PM2.5 อย่างไร?
    การเผาทำให้เกิดฝุ่นละอองขนาดเล็กซึ่งสามารถเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจ ทำให้เกิดโรคระบบทางเดินหายใจและส่งผลต่อสุขภาพโดยตรง
  5. หากพบเห็นการเผาในที่โล่ง ควรแจ้งหน่วยงานใด?
    สามารถแจ้งตำรวจในพื้นที่ หรือสายด่วนสำนักงานสิ่งแวดล้อมจังหวัด เพื่อให้เจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบและดำเนินการตามกฎหมาย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News