Categories
ENVIRONMENT

สหรัฐฯ สร้างฟาร์มยั่งยืน เลี้ยงแกะใต้โซลาร์เซลล์

การผสานพลังงานแสงอาทิตย์และการเลี้ยงแกะ นวัตกรรมเพื่อความยั่งยืนในสหรัฐอเมริกา

สหรัฐอเมริกา, 12 พฤษภาคม 2568 – ในยุคที่โลกกำลังเผชิญกับความท้าทายด้านความมั่นคงทางอาหารและการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานหมุนเวียน สหรัฐอเมริกากำลังก้าวไปข้างหน้าด้วยแนวคิดที่แปลกใหม่และน่าทึ่ง: การผสมผสานระหว่างการเลี้ยงแกะและฟาร์มโซลาร์เซลล์ หรือที่เรียกว่า Agrivoltaics สองสิ่งที่ดูเหมือนจะไม่มีวันมาบรรจบกันได้ กลับกลายเป็นพันธมิตรที่สมบูรณ์แบบ ช่วยแก้ไขปัญหาการสูญเสียพื้นที่เกษตรกรรม พร้อมทั้งส่งเสริมการผลิตพลังงานสะอาดและเพิ่มผลผลิตทางการเกษตรในเวลาเดียวกัน

ความท้าทายของการสูญเสียพื้นที่เกษตรกรรม

ในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา สหรัฐอเมริกาเผชิญกับการสูญเสียพื้นที่เกษตรกรรมอย่างต่อเนื่อง ตามรายงานของ American Farmland Trust ระหว่างปี 2001 ถึง 2016 สหรัฐสูญเสียพื้นที่เกษตรและทุ่งเลี้ยงสัตว์ไปเฉลี่ยวันละ 2,000 เอเคอร์ หากแนวโน้มนี้ยังคงดำเนินต่อไป คาดว่าภายในปี 2040 สหรัฐจะสูญเสียพื้นที่เกษตรกรรมที่มีขนาดเทียบเท่ารัฐเซาท์แคโรไลนา การสูญเสียที่ดินเกษตรที่มีคุณภาพสูงนี้ไม่เพียงแต่คุกคามความมั่นคงทางอาหาร แต่ยังส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในท้องถิ่นและความยั่งยืนของระบบนิเวศ

หนึ่งในสาเหตุสำคัญของการสูญเสียที่ดินเกษตรคือการขยายตัวของฟาร์มโซลาร์เซลล์ ซึ่งกลายเป็นทางเลือกหลักในการผลิตพลังงานหมุนเวียนเพื่อลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลและต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ อย่างไรก็ตาม การติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์มักใช้พื้นที่เกษตรกรรมที่มีศักยภาพสูง สร้างความขัดแย้งระหว่างการผลิตพลังงานและการรักษาความมั่นคงทางอาหาร คำถามสำคัญจึงเกิดขึ้น: เราจำเป็นต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งระหว่างอาหารและพลังงานสะอาดหรือไม่?

คำตอบคือไม่จำเป็น ด้วยแนวคิด Agrivoltaics ซึ่งเป็นการใช้ที่ดินแบบผสมผสานเพื่อการเกษตรและการผลิตพลังงานแสงอาทิตย์ในเวลาเดียวกัน แนวคิดนี้กำลังเปลี่ยนโฉมหน้าของการจัดการที่ดินในสหรัฐอเมริกา และ แกะ ได้กลายเป็นตัวเอกที่ไม่คาดคิดในเรื่องราวนี้

Agrivoltaics และบทบาทของแกะในฟาร์มโซลาร์

Agrivoltaics คือการรวมกันของคำว่า agriculture (เกษตรกรรม) และ photovoltaics (พลังงานแสงอาทิตย์) ซึ่งหมายถึงการใช้ที่ดินเดียวกันเพื่อผลิตพลังงานแสงอาทิตย์ควบคู่ไปกับกิจกรรมทางการเกษตร เช่น การปลูกพืช การเลี้ยงปศุสัตว์ หรือการเลี้ยงผึ้ง แนวคิดนี้ไม่เพียงแต่ช่วยลดความขัดแย้งระหว่างการใช้ที่ดิน แต่ยังสร้างประโยชน์ร่วมกันให้กับทั้งเกษตรกรและผู้ผลิตพลังงาน

หนึ่งในรูปแบบที่ได้รับความนิยมมากที่สุดของ Agrivoltaics คือการเลี้ยงแกะในฟาร์มโซลาร์เซลล์ หรือที่เรียกว่า solar grazing การติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์จำเป็นต้องมีการควบคุมพืชพรรณรอบๆ เพื่อป้องกันไม่ให้หญ้าสูงเกินไปจนบดบังแผง ซึ่งอาจลดประสิทธิภาพในการผลิตไฟฟ้า การตัดหญ้าแบบดั้งเดิมต้องใช้เชื้อเพลิง แรงงาน และอุปกรณ์ที่มีค่าใช้จ่ายสูง อีกทั้งยังก่อให้เกิดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์

การนำแกะเข้ามาเลี้ยงในฟาร์มโซลาร์เซลล์จึงเป็นทางเลือกที่ยั่งยืนและประหยัดต้นทุน แกะสามารถกินหญ้าและวัชพืชได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ต้องใช้เครื่องจักรหรือสารเคมีกำจัดวัชพืช งานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Applied Animal Behaviour Science ปี 2022 ระบุว่า แกะที่เลี้ยงในฟาร์มโซลาร์ใช้เวลากินหญ้ามากกว่าแกะที่เลี้ยงในพื้นที่โล่ง เนื่องจากแผงโซลาร์เซลล์ให้ร่มเงา ช่วยลดความเครียดจากความร้อนและส่งเสริมสุขภาพของแกะให้ดีขึ้น

นอกจากนี้ การเลี้ยงแกะในฟาร์มโซลาร์ยังช่วยปรับปรุงคุณภาพดิน การเคลื่อนที่ของแกะช่วยเหยียบย่ำวัสดุพืชเก่าๆ ลงสู่พื้นดิน ส่งผลให้เกิดการหมุนเวียนสารอาหารและเพิ่มปริมาณคาร์บอนในดิน SolarPower Europe รายงานว่า ดินที่เลี้ยงแกะในฟาร์มโซลาร์สามารถกักเก็บคาร์บอนได้มากถึง 80% เมื่อเทียบกับดินทั่วไป และมีความชื้นในดินสูงขึ้น 20-30% ซึ่งช่วยลดการพังทลายของดินและส่งเสริมความอุดมสมบูรณ์ของที่ดิน

ตัวอย่างความสำเร็จจากเกษตรกรสู่ผู้ประกอบการ

เจอาร์ โฮเวิร์ด เกษตรกรผู้เลี้ยงแกะในรัฐเท็กซัส เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของความสำเร็จจาก solar grazing ในปี 2021 เขาเริ่มต้นด้วยการนำแกะของเขาไปเลี้ยงในฟาร์มโซลาร์ขนาดเล็กเพื่อควบคุมวัชพืช จากจุดเริ่มต้นที่เรียบง่าย ปัจจุบัน โฮเวิร์ดได้ก่อตั้งบริษัท Texas Solar Sheep ซึ่งมีฝูงแกะกว่า 8,000 ตัว และพนักงาน 24 คน ธุรกิจของเขาเติบโตอย่างรวดเร็ว จนมีลูกค้ามากเกินกว่าที่จะรับไหว และเขาคาดว่าจะเพิ่มพนักงานอีก 20 คนภายในสิ้นปีนี้

โฮเวิร์ดให้สัมภาษณ์กับ The Independent ว่า “การเติบโตของธุรกิจนี้เป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นมาก มันเป็นโอกาสที่ยอดเยี่ยมสำหรับฉันและครอบครัว” ความสำเร็จของเขาไม่เพียงแต่ช่วยลดต้นทุนการบำรุงรักษาให้กับฟาร์มโซลาร์ แต่ยังเพิ่มรายได้จากการขายเนื้อและขนแกะ ซึ่งเป็นผลจากการที่แกะมีสุขภาพดีขึ้นจากการเลี้ยงในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม

การขยายตัวของ Agrivoltaics ในสหรัฐอเมริกา

ปัจจุบัน การเลี้ยงแกะในฟาร์มโซลาร์ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะในภูมิภาคมิดเวสต์และตะวันออก ตามข้อมูลจาก American Solar Grazing Association มีแกะประมาณ 80,000 ตัวเลี้ยงในฟาร์มโซลาร์กว่า 500 แห่ง ครอบคลุมพื้นที่ 40,000 เฮกตาร์ใน 27 รัฐ ซึ่งเพิ่มขึ้นถึง 10 เท่าในช่วงสองปีที่ผ่านมา

นอกจากการเลี้ยงแกะแล้ว Agrivoltaics ยังครอบคลุมถึงการปลูกพืชและการเลี้ยงผึ้งในฟาร์มโซลาร์ ตัวอย่างโครงการที่โดดเด่น ได้แก่:

  • Elizabethtown College, เพนซิลเวเนีย: ฟาร์มโซลาร์ของวิทยาลัยผลิตไฟฟ้าได้ 20% ของความต้องการทั้งหมด โดยใช้พื้นดินที่มีพืชคลุมดินที่เป็นมิตรต่อผึ้งและนก รวมถึงมีรังผึ้งเพื่อการศึกษาและวิจัย
  • Grafton Solar, แมสซาชูเซตส์: ฟาร์มโซลาร์ชุมชนแห่งนี้ปลูกผักกาดหอมและสควอชระหว่างแถวของแผงโซลาร์ และมีวัวเลี้ยงในบางส่วนของพื้นที่ นักวิจัยจาก UMass Amherst กำลังศึกษาผลกระทบของแผงโซลาร์ต่อผลผลิตทางการเกษตร
  • Jack’s Solar Garden, โคโลราโด: โครงการนี้ติดตั้งแผงโซลาร์สูง 2 เมตรเพื่อให้สามารถปลูกพืชและเลี้ยงสัตว์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเป็นศูนย์การเรียนรู้ด้าน Agrivoltaics สำหรับชุมชน
  • Oregon Agrivoltaic Research Facility, โอเรกอน: ตั้งอยู่ที่ Oregon State University โครงการนี้มุ่งเน้นการปลูกพืชที่มีมูลค่าสูง เช่น ลาเวนเดอร์และสมุนไพรพิเศษ ใต้แผงโซลาร์ เพื่อศึกษาผลกระทบของร่มเงาต่อผลผลิตและสุขภาพดิน

การแก้ไขปัญหาด้วยความยั่งยืน

การพัฒนา Agrivoltaics ในสหรัฐอเมริกาไม่เพียงแต่ช่วยแก้ไขปัญหาการสูญเสียพื้นที่เกษตรกรรม แต่ยังส่งเสริมความยั่งยืนในมิติต่างๆ ทั้งด้านสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และสังคม การเลี้ยงแกะในฟาร์มโซลาร์ช่วยลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลและสารเคมีในการบำรุงรักษา ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ของดิน ในขณะเดียวกัน เกษตรกรได้รับรายได้เพิ่มเติมจากการให้บริการ solar grazing และการขายผลิตภัณฑ์จากแกะ

สำหรับชุมชนท้องถิ่น Agrivoltaics ช่วยลดความกังวลเกี่ยวกับการสูญเสียที่ดินเกษตร โดยแสดงให้เห็นว่าพลังงานสะอาดและการเกษตรสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างกลมกลืน โครงการเหล่านี้ยังสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจให้กับเกษตรกร ผู้เลี้ยงผึ้ง และชุมชนในท้องถิ่น ผ่านการจ้างงานและการพัฒนาทักษะใหม่ๆ

โอกาสและความท้าทาย

Agrivoltaics มีศักยภาพในการเปลี่ยนแปลงวิธีการจัดการที่ดินในสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะในบริบทที่ความต้องการพลังงานสะอาดและอาหารเพิ่มสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม การขยายแนวคิดนี้ให้ครอบคลุมในวงกว้างยังคงเผชิญกับความท้าทายหลายประการ:

  1. ต้นทุนการก่อสร้าง: การปรับเปลี่ยนโครงสร้างของฟาร์มโซลาร์ เช่น การยกแผงให้สูงขึ้นหรือเพิ่มระยะห่างระหว่างแถวเพื่อให้เหมาะสมกับการเกษตร อาจเพิ่มต้นทุนการก่อสร้างถึง 10% ดังนั้น การพัฒนาเทคโนโลยีและการออกแบบที่ประหยัดต้นทุนจะเป็นกุญแจสำคัญ
  2. การเข้าถึงน้ำ: ในพื้นที่ที่มีสภาพแห้งแล้ง เช่น ภาคตะวันตกของสหรัฐ การจัดหาน้ำสำหรับปศุสัตว์และการชลประทานอาจเป็นอุปสรรค การจัดการทรัพยากรน้ำอย่างมีประสิทธิภาพจึงเป็นสิ่งจำเป็น
  3. การเลือกพืชที่เหมาะสม: ร่มเงาจากแผงโซลาร์อาจส่งผลต่อการเจริญเติบโตของพืชบางชนิด การเลือกพืชที่ทนต่อร่มเงา เช่น ผักใบเขียวหรือสมุนไพร จะช่วยเพิ่มผลผลิตทางการเกษตร
  4. ความเสียหายต่ออุปกรณ์: การอนุญาตให้เกษตรกรใช้เครื่องจักรในฟาร์มโซลาร์อาจเสี่ยงต่อความเสียหายของแผงโซลาร์หรือโครงสร้าง การวางแผนและการจัดการที่ดีจะช่วยลดความเสี่ยงนี้
  5. สุขภาพดิน: การก่อสร้างฟาร์มโซลาร์อาจทำให้ดินอัดแน่นหรือสูญเสียหน้าดิน การใช้เทคนิคการเกษตรที่ยั่งยืน เช่น การปลูกพืชคลุมดิน จะช่วยรักษาคุณภาพดิน

ถึงกระนั้น โอกาสที่ Agrivoltaics นำมานั้นมีมากกว่าความท้าทาย การวิจัยจาก National Renewable Energy Laboratory (NREL) และโครงการ InSPIRE แสดงให้เห็นว่า Agrivoltaics สามารถเพิ่มผลผลิตทางการเกษตรในบางกรณี เช่น การปลูกพืชที่ได้รับประโยชน์จากร่มเงา หรือการเลี้ยงแกะที่มีสุขภาพดีขึ้น นอกจากนี้ การสร้างที่อยู่อาศัยสำหรับผึ้งและแมลงผสมเกสรในฟาร์มโซลาร์ยังช่วยเพิ่มผลผลิตของพืชในพื้นที่ใกล้เคียง

ตัวอย่างจากต่างประเทศและอนาคตของ Agrivoltaics

ในขณะที่สหรัฐอเมริกากำลังพัฒนา Agrivoltaics อย่างรวดเร็ว ประเทศในยุโรป เช่น สเปน อิตาลี และฝรั่งเศส ได้นำแนวคิดนี้ไปใช้มานานหลายปี ตัวอย่างเช่น บริษัท Iberdrola ในโปรตุเกสใช้แกะ 300 ตัวในการบำรุงรักษาพื้นที่ฟาร์มโซลาร์ เพื่อลดความเสี่ยงจากไฟป่าและส่งเสริมความยั่งยืน ในสหราชอาณาจักร โครงการฟาร์มโซลาร์ขนาด 1 กิกะวัตต์ในนอตติงแฮมเชอร์คาดว่าจะประหยัดค่าใช้จ่ายในการตัดหญ้าได้ถึง 5 ล้านปอนด์ตลอดอายุ 40 ปี ด้วยการใช้แกะ 9,000 ตัว

ในอนาคต Agrivoltaics มีศักยภาพในการขยายไปสู่การเลี้ยงสัตว์ชนิดอื่นๆ เช่น กระต่ายหรือหมู รวมถึงการปลูกพืชที่หลากหลายมากขึ้น การทดลองในปัจจุบัน เช่น การปลูกข้าวโพด มันฝรั่ง หรือมะเขือเทศ ใต้แผงโซลาร์ กำลังแสดงผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจ การสนับสนุนจากรัฐบาลในรูปแบบเงินอุดหนุนหรือนโยบายส่งเสริมจะช่วยเร่งการนำ Agrivoltaics ไปใช้ในวงกว้าง

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  1. การสูญเสียพื้นที่เกษตรกรรม:
    • สหรัฐสูญเสียพื้นที่เกษตรและทุ่งเลี้ยงสัตว์ 2,000 เอเคอร์ต่อวัน ระหว่างปี 2001-2016
    • คาดการณ์สูญเสียพื้นที่เทียบเท่ารัฐเซาท์แคโรไลนาภายในปี 2040
    • ที่มา: American Farmland Trust
  2. การเลี้ยงแกะในฟาร์มโซลาร์:
    • แกะ 80,000 ตัวเลี้ยงในฟาร์มโซลาร์ 500 แห่ง ครอบคลุม 40,000 เฮกตาร์ใน 27 รัฐ
    • เพิ่มขึ้น 10 เท่าใน 2 ปี
    • ที่มา: American Solar Grazing Association
  3. ผลกระทบต่อดิน:
    • ดินในฟาร์มโซลาร์ที่เลี้ยงแกะกักเก็บคาร์บอนได้มากขึ้น 80%
    • ความชื้นในดินเพิ่มขึ้น 20-30%
    • ที่มา: SolarPower Europe
  4. ผลตอบแทนทางการเงิน:
    • เกษตรกรสามารถสร้างรายได้ 300-500 ดอลลาร์ต่อเอเคอร์ต่อปีจากการให้บริการ solar grazing
    • ที่มา: Cornell University
  5. ประชากรแกะในสหรัฐ:
    • ปัจจุบันมีแกะประมาณ 5 ล้านตัว ลดลงจาก 50 ล้านตัวในปี 1947
    • ที่มา: The Independent

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • American Farmland Trust: รายงานการสูญเสียพื้นที่เกษตรกรรม, 2001-2016
  • American Solar Grazing Association: ข้อมูลการเลี้ยงแกะในฟาร์มโซลาร์, 2025
  • SolarPower Europe: รายงานผลกระทบของ solar grazing ต่อดินและระบบนิเวศ
  • Cornell University: การวิเคราะห์ผลตอบแทนทางการเงินจาก solar grazing
  • Applied Animal Behaviour Science: การศึกษาเกี่ยวกับพฤติกรรมการกินหญ้าของแกะในฟาร์มโซลาร์, 2022
  • The Independent: บทสัมภาษณ์เจอาร์ โฮเวิร์ด, 2025
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
WORLD PULSE

“ทรัมป์” ลดภาษีให้ “จีน” สงครามการค้าเดือด ‘เอเชีย’ ป่วน

ความตึงเครียดการค้าโลก กลยุทธ์ภาษีศุลกากรของทรัมป์และผลกระทบต่อเอเชีย

สหรัฐอเมริกา, 10 พฤษภาคม 2568 – ในโลกที่ถูกกำหนดโดยความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่เชื่อมโยงกันอย่างแน่นแฟ้น การประกาศของประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2568 ซึ่งเสนอให้ลดอัตราภาษีศุลกากรสำหรับสินค้าจีนจากระดับสูงถึง 145% ลงเหลือ 80% ที่ยังคงสูงอยู่ ได้สร้างแรงสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งตลาดโลก คำแถลงนี้ได้ผ่านการเผยแพร่บนแพลตฟอร์ม Truth Social ก่อนการเจรจาการค้าที่สำคัญในสวิตเซอร์แลนด์ ถือเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญในสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีนที่ดำเนินอยู่อย่างต่อเนื่อง โดยมีผลกระทบอย่างกว้างขวางต่อเอเชียและทั่วโลก ขณะที่ประเทศต่าง ๆ เตรียมพร้อมรับผลลัพธ์จากการเจรจาครั้งนี้ การผสมผสานระหว่างนโยบายเศรษฐกิจ พันธมิตรระดับภูมิภาค และพลวัตการค้าโลกได้กลายเป็นประเด็นหลัก ทำให้เกิดคำถามเกี่ยวกับอนาคตของการค้าระหว่างประเทศ

โลกแห่งความตึงเครียดทางการค้า

ภูมิทัศน์การค้าโลกเต็มไปด้วยความไม่แน่นอนตั้งแต่ช่วงต้นทศวรรษ 2020 ซึ่งถูกกำหนดโดยการเพิ่มภาษีศุลกากร การตอบโต้ด้วยมาตรการต่าง ๆ และการเปลี่ยนแปลงพันธมิตร สหรัฐฯ ภายใต้การนำของทรัมป์ ได้ดำเนินนโยบายการค้าที่แข็งกร้าวเพื่อเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจโลก การกำหนดภาษีศุลกากรสูง โดยเฉพาะกับจีน เป็นรากฐานสำคัญของกลยุทธ์นี้ ซึ่งมีรากฐานมาจากความเชื่อของทรัมป์ว่าสหรัฐฯ ถูกเอาเปรียบจากคู่ค้า อย่างไรก็ตาม นโยบายนี้ไม่ได้ปราศจากผลกระทบ ดังที่เห็นได้จากความวุ่นวายทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นทั่วทั้งเอเชีย ซึ่งเป็นภูมิภาคที่พึ่งพาการส่งออกไปยังตลาดสหรัฐฯ เป็นอย่างมาก

จุดเริ่มต้นของสงครามการค้าสามารถย้อนไปถึงสมัยแรกของทรัมป์ เมื่อมีการกำหนดภาษีศุลกากรสำหรับสินค้าจีนเพื่อแก้ไขปัญหาความไม่สมดุลทางการค้าและข้อกังวลด้านทรัพย์สินทางปัญญา ในปี 2567 สหรัฐฯ ส่งออกสินค้าไปยังจีนมูลค่า 143.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐหรือประมาณ 4,735,500,000,000 บาท ขณะที่นำเข้าสินค้ามูลค่า 438.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐหรือประมาณ 14,483,700,000,000 บาท ตามข้อมูลจากสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ ซึ่งเน้นย้ำถึงความไม่สมดุลทางการค้าที่สำคัญที่เป็นเชื้อเพลิงให้กับวาทกรรมของทรัมป์ การเพิ่มภาษีศุลกากรถึง 145% สำหรับสินค้าจีนในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาได้เพิ่มความตึงเครียด โดยกระตุ้นให้ปักกิ่งกำหนดภาษีตอบโต้ที่เกิน 100% การตอบโต้แบบตาต่อตานี้ ได้รบกวนห่วงโซ่อุปทาน เพิ่มต้นทุนให้กับผู้บริโภค และจุดประกายความกังวลเกี่ยวกับการขาดแคลนสินค้าในตลาดสหรัฐฯ

ในบริบทนี้ การประกาศของทรัมป์เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2568 ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงกลยุทธ์ที่อาจเกิดขึ้น การเสนอลดภาษีเหลือ 80% แม้ว่าจะยังคงเป็นอุปสรรคต่อการค้า แต่บ่งชี้ให้เห็นถึงความพร้อมในการเจรจา แม้ว่าจะเป็นไปในเงื่อนไขที่ยังคงให้ประโยชน์ต่อผลประโยชน์ของสหรัฐฯ คำแถลงที่ว่า “ภาษี 80% สำหรับจีนดูเหมือนจะเหมาะสม! ขึ้นอยู่กับรัฐมนตรีคลัง ” ซึ่งอ้างถึงรัฐมนตรีคลัง สก็อตต์ เบสเซนต์ แสดงให้เห็นว่าสหรัฐฯ กำลังเตรียมพร้อมสำหรับการเจรจาที่มีเดิมพันสูงในสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งความมั่นคงในความสัมพันธ์ทางการค้าเป็นเป้าหมายสำคัญ อย่างไรก็ตาม ความคลุมเครือว่าอัตรานี้เป็นเป้าหมายระยะยาวหรือเป็นกลยุทธ์การเจรจาได้เพิ่มความไม่แน่นอนให้กับตลาดโลก

กลยุทธ์ภาษีศุลกากรของทรัมป์และผลกระทบระดับภูมิภาค

หัวใจของการพัฒนานี้คือกลยุทธ์ภาษีศุลกากรที่กว้างขวางของทรัมป์ ซึ่งไม่ได้มุ่งเป้าไปที่จีนเท่านั้น แต่ยังรวมถึงพันธมิตรสำคัญของสหรัฐฯ ในเอเชียด้วย เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2568 ซึ่งทรัมป์เรียกว่า “วันปลดปล่อย” (Liberation Day) สหรัฐฯ ได้เปิดเผยชุดภาษี “สมน้ำสมเนื้อ” สำหรับคู่ค้าหลัก โดยบางอัตราสูงสุดถูกกำหนดให้กับประเทศในเอเชียตะวันออก เวียดนามเผชิญกับภาษี 46% กัมพูชา 49% และแม้แต่ออสเตรเลีย ซึ่งเป็นพันธมิตรด้านความมั่นคงที่ใกล้ชิดและมีดุลการค้ากับสหรัฐฯ ก็ถูกกำหนดภาษี มาตรการเหล่านี้ รวมกับภาษีเดิม 10% สำหรับการนำเข้าทั้งหมด ส่งผลให้อัตราภาษีเฉลี่ยของสหรัฐฯ อยู่ที่ 28% ซึ่งสูงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2444 ตามข้อมูลจากสภาการต่างประเทศ (Council on Foreign Relations)

เหตุผลที่มุ่งเป้าไปที่เอเชียนั้นมีหลายมิติ เศรษฐกิจในเอเชียตะวันออกหลายแห่ง รวมถึงเกาหลีใต้ เวียดนาม และไทย ได้นำกลยุทธ์การพัฒนาแบบเน้นการส่งออกมาตั้งแต่กลางศตวรรษที่ 20 โดยพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ อย่างมากเพื่อขับเคลื่อนการเติบโต ความพึ่งพานี้ทำให้พวกเขาอ่อนไหวต่อนโยบายการค้าของสหรัฐฯ นอกจากนี้ รัฐบาลของทรัมป์ยังพยายามแก้ไขการปฏิบัติที่เรียกว่า “การย้ายฐานการผลิต” ซึ่งประเทศอย่างเวียดนามประกอบและจัดส่งสินค้าโดยใช้ส่วนประกอบจากจีนเพื่อหลบเลี่ยงภาษีสหรัฐฯ การกำหนดภาษีสูงต่อประเทศเหล่านี้มีเป้าหมายเพื่อขัดขวางการเข้าถึงตลาดสหรัฐฯ ของจีนโดยอ้อม

อย่างไรก็ตาม กลยุทธ์นี้ได้ก่อให้เกิดการต่อต้านเป็นอย่างมาก การลดลงอย่างรวดเร็วของตลาด ตราสารหนี้หลังจากการประกาศ “วันปลดปล่อย” (Liberation Day) บังคับให้ทรัมป์หยุดชะงักภาษีหลายรายการ ยกเว้นภาษีที่กำหนดต่อจีน การหยุดชะงักนี้ ประกาศเมื่อวันที่ 9 เมษายน 2568 เป็นการตอบสนองต่อความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจและแรงกดดันจากนักลงทุนต่างชาติ โดยเฉพาะญี่ปุ่น ซึ่งถือครองหนี้สหรัฐฯ จำนวนมาก แม้จะมีการหยุดชะงักนี้ ภาษีที่เหลืออยู่ได้เพิ่มต้นทุนให้กับผู้บริโภคและบริษัทในสหรัฐฯ โดยมีความเป็นไปได้ที่จะเกิดการขาดแคลนสินค้า เนื่องจากข้อมูลการขนส่งบ่งชี้ถึงการลดลงอย่างมากของสินค้าที่เคลื่อนย้ายจากจีนไปยังสหรัฐฯ

การยกระดับและการเจรจาการประชุมที่สวิตเซอร์แลนด์

การเจรจาการค้าที่กำลังจะเกิดขึ้นในสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งถูกกำหนดไว้ในวันนี้ (วันที่ 10 พฤษภาคม 2568) เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในการแก้ไขความตึงเครียดเหล่านี้ เจมส์สัน เกียร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ ได้เน้นย้ำถึงเป้าหมายในการบรรลุ “ความมั่นคง” เพื่อเป็นรากฐานสำหรับข้อตกลงในอนาคต โดยยอมรับว่าไม่น่าจะมีการทำข้อตกลงการค้าที่ครอบคลุมในระยะสั้น การมีส่วนร่วมของรัฐมนตรีคลัง สก็อตต์ เบสเซนต์ และเจ้าหน้าที่ระดับสูงอื่น ๆ ซึ่งจะกำหนดทิศทางของความสัมพันธ์สหรัฐฯ-จีน และมีอิทธิพลต่อพลวัตการค้าโลก

อย่างไรก็ตาม คำแถลงสาธารณะของทรัมป์ทำให้การเจรจามีความซับซ้อน การเรียกร้องให้จีน “เปิดตลาดให้กับสหรัฐฯ” และการยืนยันว่า “ตลาดที่ปิด ไม่ได้ผลอีกต่อไป” สะท้อนถึงจุดยืนที่แข็งกร้าว ซึ่งอาจขัดขวางความคืบหน้า นอกจากนี้การปฏิเสธของเขาก่อนหน้านี้ ในการลดภาษีเพื่อให้จีนมานั่งโต๊ะเจรจา ขัดแย้งกันกับข้อเสนอล่าสุดเกี่ยวกับอัตรา 80% ที่บ่งชี้ถึงการเปลี่ยนแปลงกลยุทธ์ที่อาจลดความตึงเครียดหรือยืดเยื้อสงครามการค้า ความไม่ชัดเจนว่าภาษี 80% เป็นเป้าหมายสุดท้ายหรือเป็นเครื่องมือในการเจรจา ได้เพิ่มความไม่แน่นอน ทำให้ทั้งนักลงทุนและผู้นำธุรกิจ เกิดความระมัดระวังมากขึ้น

ในส่วนของจีนนั้นไม่ได้อยู่นิ่ง สีจิ้นผิง ประธานาธิบดีผู้ทรงอิทธิพลที่สุดของจีน เพิ่งเดินทางมาเยือนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงกัมพูชา มาเลเซีย และเวียดนาม ซึ่งนำไปสู่การลงนามในข้อตกลงความร่วมมือทางเศรษฐกิจใหม่ เพื่อเสริมสร้างอิทธิพลของจีนในภูมิภาค การเข้าร่วมของปักกิ่งในความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) ซึ่งเป็นกลุ่มการค้าที่ใหญ่ที่สุดในโลก ยิ่งตอกย้ำถึงความเป็นผู้นำทางเศรษฐกิจในเอเชีย ซึ่งสหรัฐฯ พยายามต่อสู้เพื่อแข่งขันนับตั้งแต่ถอนตัวจากกรอบการค้าที่คล้ายคลึงกัน การเคลื่อนไหวเชิงกลยุทธ์ของจีน เช่น การจำกัดการส่งออกแร่หายากที่สำคัญต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยีชั้นสูงของสหรัฐฯ แสดงให้เห็นถึงความพร้อมในการใช้ประโยชน์จากจุดแข็งทางเศรษฐกิจในสงครามการค้าครั้งนี้

การตอบสนองของภูมิภาค การเปลี่ยนแปลงพันธมิตรของเอเชีย

ผลกระทบของนโยบายภาษีศุลกากรของทรัมป์ ขยายออกไปเกินกว่าความสัมพันธ์สหรัฐฯ-จีน โดยเปลี่ยนแปลงการจัดแนวทางเศรษฐกิจและยุทธศาสตร์ทั่วทั้งเอเชีย การสำรวจโดยสถาบัน ISEAS-Yusof Ishak ในช่วงเดือนมกราคมถึงกุมภาพันธ์ 2568 เผยให้เห็นถึงความนิยมที่เพิ่มขึ้นในหมู่ผู้นำความคิดเห็นในอาเซียนที่ต้องการจัดแนวทางกับจีนมากกว่าสหรัฐฯ ในประเทศไทย 56% สนับสนุนจีน เทียบกับ 44% ที่สนับสนุนสหรัฐฯ ในขณะที่ลาว กัมพูชา และเมียนมาแสดงแนวโน้มที่คล้ายคลึงกัน การเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนถึงความรู้สึกที่กว้างขึ้นว่า นโยบายการค้าที่คาดเดาไม่ได้ของวอชิงตันบ่อนทำลายความน่าเชื่อถือในฐานะพันธมิตร

เศรษฐกิจขนาดเล็ก เช่น กัมพูชาและเวียดนาม พยายามลดผลกระทบจากภาษีสหรัฐฯ โดยการเพิ่มการซื้อสินค้าจากสหรัฐฯ เวียดนาม ซึ่งมีดุลการค้ากับสหรัฐฯ เป็นอันดับสามของโลก ได้ลงนามในข้อตกลงการค้าใหม่กับวอชิงตันเพื่อเอาใจทำเนียบขาว อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจขนาดใหญ่มีทางเลือกมากกว่า ญี่ปุ่น ซึ่งเป็นผู้ถือครองหนี้สหรัฐฯ รายใหญ่ ได้ใช้ประโยชน์จากอิทธิพลทางการเงินเพื่อเจรจาลดภาษี ขณะที่ออสเตรเลียและเกาหลีใต้ ซึ่งคาดว่าจะมีรัฐบาลฝ่ายซ้ายในอนาคต กำลังเสริมสร้างความสัมพันธ์กับจีนและสหภาพยุโรป

มาเลเซียและประเทศไทย ซึ่งเผชิญกับแรงกดดันทางเศรษฐกิจจากภาษีสหรัฐฯ ก็กำลังเพิ่มการมีส่วนร่วมกับปักกิ่ง การส่งเสริมเส้นทางการค้าใหม่ของจีน รวมถึงการเชื่อมโยงระหว่างเอเชียตะวันออกและยุโรปผ่านจีนแผ่นดินใหญ่ มอบโอกาสทางการค้าและการลงทุนทางเลือกให้กับประเทศเหล่านี้ แนวโน้มที่กว้างขึ้นของเศรษฐกิจเอเชียที่กระจายตัวออกจากตลาดสหรัฐฯ ซึ่งเริ่มต้นในสมัยแรกของทรัมป์ กำลังเร่งตัวขึ้น โดยอาจส่งผลกระทบระยะยาวต่ออิทธิพลของสหรัฐฯ ในภูมิภาค

ความเสี่ยงและโอกาส

กลยุทธ์ภาษีศุลกากรของทรัมป์เป็นการเดิมพันที่มีความเสี่ยงสูงและมีผลกระทบสำคัญต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ และทั่วโลก การกำหนดภาษีสูงได้รบกวนห่วงโซ่อุปทาน เพิ่มต้นทุน และทำให้ความสัมพันธ์กับพันธมิตรตึงเครียด ขณะที่ล้มเหลวในการลดความไม่สมดุลทางการค้ากับจีนอย่างมีนัยสำคัญ ภาษีที่เสนอ 80% แม้ว่าจะลดลงจาก 145% ยังคงเป็นอุปสรรคและอาจยับยั้งการค้าแทนที่จะส่งเสริม นอกจากนี้ ความคาดเดาไม่ได้ของนโยบายของทรัมป์ ซึ่งเห็นได้จากคำประกาศภาษีที่ผันผวน ได้บ่อนทำลายความเชื่อมั่นในสหรัฐฯ ในฐานะพันธมิตรทางเศรษฐกิจที่มั่นคง

สำหรับเอเชีย ภาษีเหล่านี้นำเสนอทั้งความท้าทายและโอกาส เศรษฐกิจที่พึ่งพาการส่งออกเผชิญกับแรงกดดันทางเศรษฐกิจในทันที แต่การผลักดันให้กระจายตลาดและเสริมสร้างกรอบการค้าในภูมิภาค เช่น RCEP อาจเพิ่มความยืดหยุ่นในระยะยาว การมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันของจีนกับประเทศอาเซียนทำให้จีนสามารถใช้ประโยชน์จากการถอยตัวของสหรัฐฯ ซึ่งอาจทำให้จีนกลายเป็นอำนาจทางเศรษฐกิจที่โดดเด่นในภูมิภาค อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงนี้อาจทำให้ความตึงเครียดเชิงยุทธศาสตร์รุนแรงขึ้น โดยเฉพาะในพื้นที่เช่นทะเลจีนใต้ ซึ่งการมีตัวตนทางทหารของสหรัฐฯ ยังคงเป็นตัวถ่วงดุลอิทธิพลของจีน

การเจรจาที่สวิตเซอร์แลนด์มอบโอกาสในการลดความตึงเครียด แต่ความสำเร็จขึ้นอยู่กับความเต็มใจของทั้งสองฝ่ายในการประนีประนอม สำหรับสหรัฐฯ แนวทางที่สมดุลซึ่งลดภาษีในขณะที่จัดการกับความไม่สมดุลทางการค้าสามารถฟื้นฟูความเชื่อมั่นในหมู่พันธมิตรและทำให้ตลาดมีเสถียรภาพ สำหรับจีน การเปิดตลาดให้กับสินค้าสหรัฐฯ ตามที่ทรัมป์เรียกร้อง อาจช่วยลดความตึงเครียด แต่ต้องมีการยอมจำนนที่ปักกิ่งอาจลังเล ผลลัพธ์ของการเจรจาเหล่านี้จะกำหนดไม่เพียงแต่การค้าแบบทวิภาคี แต่ยังรวมถึงระเบียบเศรษฐกิจโลกที่กว้างขึ้นด้วย

สู่กระบวนทัศน์การค้าใหม่?

ขณะที่การเจรจาที่สวิตเซอร์แลนด์ใกล้เข้ามา โลกต่างจับตามองเพื่อหาสัญญาณของความคืบหน้า แม้ว่าจะไม่น่าจะมีการทำข้อตกลงการค้าฉบับสมบูรณ์ แต่ขั้นตอนเล็ก ๆ น้อย ๆ สู่ความมั่นคงอาจปูทางไปสู่ข้อตกลงในอนาคต การลดภาษีลงเหลือ 80% อาจบ่งบอกถึงความเต็มใจในการเจรจา แต่ประสิทธิภาพของมันขึ้นอยู่กับว่ามันถูกมองว่าเป็นสัญญาณของการประนีประนอมที่แท้จริงหรือเป็นการดำเนินการในท่าทีที่ก้าวร้าวต่อไป สำหรับเอเชีย ผลลัพธ์จะมีอิทธิพลต่อกลยุทธ์ทางเศรษฐกิจและการจัดแนวระดับภูมิภาค โดยประเทศอย่างประเทศไทยและเวียดนามต้องรักษาสมดุลอันละเอียดอ่อนระหว่างอิทธิพลของสหรัฐฯ และจีน

ความท้าทายที่ใหญ่กว่าคือการสร้างความไว้วางใจในระบบการค้าโลก ภาษีของทรัมป์ได้เผยให้เห็นจุดอ่อนในรูปแบบเศรษฐกิจที่เน้นการส่งออกของประเทศในเอเชีย ซึ่งกระตุ้นให้เกิดการประเมินกลยุทธ์ทางเศรษฐกิจใหม่ การเพิ่มขึ้นของกลุ่มการค้าในภูมิภาคและตลาดทางเลือกนำเสนอเส้นทางสู่ความยืดหยุ่น แต่ก็มีความเสี่ยงที่จะทำให้เศรษฐกิจโลกแตกแยก สำหรับสหรัฐฯ การฟื้นฟูชื่อเสียงในฐานะพันธมิตรที่เชื่อถือได้จะต้องมีนโยบายที่สม่ำเสมอและความมุ่งมั่นต่อความร่วมมือพหุภาคี

โดยสรุป กลยุทธ์ภาษีศุลกากรของทรัมป์ แม้ว่าจะมุ่งปกป้องผลประโยชน์ของสหรัฐฯ ได้เปลี่ยนแปลงพลวัตการค้าโลกในแบบที่อาจไม่สอดคล้องกับเป้าหมายของเขา ภาษีที่เสนอ 80% สำหรับจีน ซึ่งเป็นจุดสนใจของการเจรจาที่สวิตเซอร์แลนด์ที่กำลังจะมาถึง สรุปถึงความตึงเครียดและโอกาสของช่วงเวลานี้ ขณะที่ประเทศต่าง ๆ ปรับตัวเข้ากับความเป็นจริงทางเศรษฐกิจใหม่ การผสมผสานระหว่างภาษี การเจรจา และกลยุทธ์ระดับภูมิภาคจะกำหนดอนาคตของการค้าระดับโลก

ข้อมูลสถิติและแหล่งอ้างอิง

สถิติต่อไปนี้ให้บริบทสำหรับพลวัตการค้าที่กล่าวถึงในบทความนี้:

  1. การค้าสหรัฐฯ-จีน (2567):
    • การส่งออกของสหรัฐฯ ไปยังจีน: 143.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
    • การนำเข้าของสหรัฐฯ จากจีน: 438.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
    • แหล่งที่มา: สำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (2567), “ข้อเท็จจริงการค้าสหรัฐฯ-จีน”
  2. ผลสำรวจความคิดเห็นอาเซียน (มกราคม-กุมภาพันธ์ 2568):
    • ประเทศไทย: 56% สนับสนุนจีน, 44% กับสหรัฐฯ
    • ลาว: 51% สนับสนุนจีน, 49% สหรัฐฯ
    • กัมพูชา: 43% สนับสนุนจีน, 57% สหรัฐฯ
    • เมียนมา: 42% สนับสนุนจีน, 58% สหรัฐฯ
    • แหล่งที่มา: สถาบัน ISEAS-Yusof Ishak, “รายงานการสำรวจสถานะเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 2568”
  3. อัตราภาษีสหรัฐฯ:
    • อัตราภาษีเฉลี่ยภายใต้ทรัมป์ (2568): 28%
    • อัตราภาษีเฉลี่ยภายใต้ไบเดน (2564-2567): 2%
    • แหล่งที่มา: สภาการต่างประเทศ, “ทำไมเอเชียตะวันออกถึงเป็นเป้าหมายของสงครามภาษีของทรัมป์” (2568)
  4. ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP):
    • คิดเป็น 30% ของ GDP โลกและ 30% ของการค้าโลก
    • แหล่งที่มา: ธนาคารพัฒนาเอเชีย, “RCEP: ตัวเร่งใหม่สำหรับการค้าในภูมิภาค” (2567)

สถิติเหล่านี้เน้นย้ำถึงขนาดของความไม่สมดุลทางการค้าสหรัฐฯ-จีน ความเปลี่ยนแปลงในความนิยมของอาเซียน และความสำคัญทางเศรษฐกิจของกรอบการค้าในภูมิภาค โดยข้อมูลเหล่านี้มาจากแหล่งที่เชื่อถือได้เพื่อให้มั่นใจในความถูกต้องและความน่าเชื่อถือ

บทความโดย : กันณพงศ์ ก.บัวเกษร Founder สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์ และ Business – Group Head MBCS Thailand (Mediabrands Contents Studio)

เรียบเรียงโดย : มนรัตน์ ก.บัวเกษร Co-Founder สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
WORLD PULSE

อีลอน มัสก์ พาลูกชาย ร่วมแถลงข่าวทรัมป์ สื่อทั่วโลกจับตา

ขโมยซีน! อีลอน มัสก์ พาลูกชาย X Æ A-Xii ร่วมแถลงข่าวทรัมป์ ดึงความสนใจจากสื่อ

วอชิงตัน, 12 กุมภาพันธ์ 2568independent รายงาน บรรยากาศที่ทำเนียบขาวเมื่อวันอังคารกลายเป็นกระแสไปทั่วโลกโซเชียล เมื่อ X Æ A-Xii ลูกชายวัย 4 ขวบของอีลอน มัสก์ ขโมยซีนระหว่างการแถลงข่าวร่วมกับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ภายในห้องรูปไข่ เด็กชายตัวน้อยทำให้หลายคนอดยิ้มไม่ได้ ด้วยพฤติกรรมซุกซน เช่น การเลียนแบบพ่อของเขาขณะพูดถึงประชาธิปไตย และการแคะจมูกก่อนเช็ดลงบนโต๊ะ Resolute ซึ่งเป็นโต๊ะประจำตำแหน่งของประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่มีประวัติยาวนานกว่า 140 ปี

มัสก์เข้าร่วมแถลงการณ์ ทรัมป์ลงนามคำสั่งบริหารลดค่าใช้จ่ายภาครัฐ

อีลอน มัสก์ ซีอีโอของ SpaceX และ Tesla ได้เข้าร่วมการแถลงข่าวครั้งนี้ในฐานะสักขีพยานในการลงนามคำสั่งบริหารของประธานาธิบดีทรัมป์ ที่มีเป้าหมายให้หน่วยงานรัฐบาลกลางร่วมมือกับกระทรวงประสิทธิภาพรัฐบาล เพื่อปรับลดค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรภาครัฐ โดยขณะที่มัสก์กำลังตอบคำถามของผู้สื่อข่าว ลูกชายของเขาก็ทำให้หลายคนหลุดหัวเราะออกมา ด้วยการกระโดดเกาะไหล่พ่อ และพูดกระซิบกับทรัมป์แบบเป็นกันเอง

X Æ A-Xii สร้างสีสัน ดึงความสนใจจากทั้งแฟนคลับและสื่อมวลชน

หลังจากคลิปพฤติกรรมของ X Æ A-Xii ถูกเผยแพร่บนแพลตฟอร์ม X (เดิมคือ Twitter) ซึ่งมัสก์ซื้อกิจการมาในปี 2022 ด้วยมูลค่า 44 พันล้านดอลลาร์ ผู้ใช้งานโซเชียลมีเดียต่างออกมาแสดงความคิดเห็นกันอย่างหลากหลาย ผู้สนับสนุนมัสก์และทรัมป์หลายคนมองว่าเป็นโมเมนต์ที่น่ารักและเป็นกันเอง แต่บางส่วนก็รู้สึกว่าเป็นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมสำหรับงานแถลงข่าวอย่างเป็นทางการในทำเนียบขาว

ปฏิกิริยาของทรัมป์และความเห็นจากผู้ใช้โซเชียล

แม้ว่าจะถูกแย่งซีน แต่ประธานาธิบดีทรัมป์ดูเหมือนจะไม่ติดใจอะไร และยังกล่าวชม X Æ A-Xii ว่าเป็น “เด็กที่มีไอคิวสูง” ขณะที่มัสก์ยังคงดำเนินการแถลงข่าวต่อไป นอกจากนี้ บริจิตต์ กาเบรียล นักวิจารณ์อนุรักษ์นิยม ยังกล่าวว่า “ลูกชายของมัสก์มีความน่ารักเกินพิกัด” อย่างไรก็ตาม บางความคิดเห็นก็ไม่เห็นด้วย โดยมีผู้ใช้งานแพลตฟอร์ม X รายหนึ่งโพสต์ว่า “ฉันไม่ต้องการเห็นเด็กเช็ดขี้มูกบนโต๊ะ Resolute”

มัสก์ตอบโต้คำวิจารณ์ ย้ำเป้าหมายรัฐบาลใหม่คือการปฏิรูประบบราชการ

มัสก์ยังถูกถามเกี่ยวกับนโยบายต่อต้านภาครัฐที่เขาสนับสนุน ซึ่งบางฝ่ายมองว่าเป็นการพยายามควบคุมรัฐบาลกลาง เขาตอบว่า “ประชาชนโหวตให้เกิดการปฏิรูปครั้งใหญ่ และนั่นคือสิ่งที่พวกเขาจะได้รับ” โดยอ้างว่ารัฐบาลทรัมป์มีเป้าหมายในการฟื้นฟูประชาธิปไตย ด้วยการลดบทบาทของระบบราชการที่เขาอ้างว่าเป็น “องค์กรที่ไม่ได้รับการเลือกตั้งซึ่งควบคุมการบริหารประเทศ”

สรุป

การแถลงข่าวของอีลอน มัสก์และโดนัลด์ ทรัมป์ กลายเป็นกระแสในโลกออนไลน์ เนื่องจากพฤติกรรมซุกซนของ X Æ A-Xii ที่ทำให้บรรยากาศในห้องรูปไข่ดูผ่อนคลายกว่าปกติ อย่างไรก็ตาม ยังมีทั้งเสียงชื่นชมและเสียงวิจารณ์เกี่ยวกับความเหมาะสมของพฤติกรรมดังกล่าว ขณะที่มัสก์ยังคงย้ำจุดยืนในการสนับสนุนการลดขนาดภาครัฐ และการปฏิรูปการบริหารงานของรัฐบาล

คำถามที่พบบ่อย (FAQs)

  1. เหตุใดลูกชายของอีลอน มัสก์จึงกลายเป็นจุดสนใจของงานแถลงข่าว?
    เนื่องจาก X Æ A-Xii แสดงพฤติกรรมขี้เล่น เช่น การเลียนแบบพ่อ และแคะจมูกในระหว่างที่ทรัมป์และมัสก์กำลังแถลงข่าว
  2. โต๊ะ Resolute คืออะไร?
    เป็นโต๊ะทำงานของประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่ถูกใช้มาตั้งแต่ปี 1880 โดยได้รับมอบจากสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย
  3. อีลอน มัสก์กล่าวถึงการปฏิรูปภาครัฐอย่างไร?
    มัสก์กล่าวว่านโยบายของทรัมป์มุ่งเน้นไปที่การลดบทบาทของระบบราชการที่ไม่ได้รับการเลือกตั้ง
  4. โซเชียลมีปฏิกิริยาอย่างไรกับเหตุการณ์นี้?
    มีทั้งเสียงชื่นชมว่าลูกชายมัสก์น่ารัก และเสียงวิจารณ์ว่าเป็นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมสำหรับงานแถลงข่าวทางการ
  5.  ทำไมอีลอน มัสก์ถึงพาลูกชายมาร่วมงานแถลงข่าว?

มัสก์มักพาลูกชายเข้าร่วมงานใหญ่ทางการเมืองหลายครั้ง เช่น การเข้าร่วมพิธีสาบานตนของทรัมป์ในปี 2021

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : independent

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

ครั้งแรกในประวัติศาสตร์ “ส้มโอไทย” ส่งออกไปสหรัฐอเมริกา

 
 

วันที่ 3 กรกฎาคม 2566 นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีกลาโหม ยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ประเทศไทยสามารถขยายตลาดส่งออกได้เพิ่มขึ้น ผ่านการส่งออกส้มโอฉายรังสี 4 สายพันธุ์ ไปยังกรุงวอชิงตัน ดีซี (Washington, D.C.) สหรัฐอเมริกา ถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของไทย และยังส่งออกมะม่วงของฤดูกาลปี 2566 มังคุด และผลไม้อื่น ๆ ของไทย เพื่อนำไปร่วมงานเฉลิมฉลองในวันชาติของสหรัฐอเมริกา และ เพื่อกระชับความสัมพันธ์ทางการทูตไทย – สหรัฐอเมริกา ครบรอบ 190 ปี ในงานจัดแสดงผลไม้เทศกาล “Sawasdee DC Thai Festival” ที่กรุงวอชิงตัน ดีซี ระหว่างวันที่ 2 – 4 กรกฎาคม 2566 

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า วันที่ 26 มิถุนายน 2566 ที่ผ่านมา ไทยได้ส่งออกส้มโอชิปเมนท์แรก ไปยังสหรัฐฯ เพื่อจัดแสดงผลไม้ในงานเทศกาล Sawasdee DC Thai Festival ณ กรุงวอชิงตัน ดีซี ในโอกาสวันชาติของสหรัฐฯ ในวันที่ 2 – 4 กรกฎาคม 2566 และ เพื่อเฉลิมฉลองความสัมพันธ์ทางการทูต ไทย-สหรัฐอเมริกา ครบรอบ 190 ปี ทั้งนี้ กรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยถึงรายงานการส่งออกส้มโอไปสหรัฐฯ ครั้งแรก เป็นส้มโอฉายรังสี 4 สายพันธุ์ ได้แก่ พันธุ์ทองดี พันธุ์ขาวใหญ่ พันธุ์ขาวน้ำผึ้ง และพันธุ์ขาวแตงกวา พร้อมด้วย มะม่วงพันธุ์น้ำดอกไม้ มหาชนก แดงจักรพรรดิ และเขียวเสวย รวมทั้งมังคุด รวมทั้งสิ้น จำนวน 72 กล่อง น้ำหนัก 864 กิโลกรัม

การส่งออกส้มโอไปสหรัฐฯ ครั้งนี้ ถือเป็นความสำเร็จสำหรับเกษตรกรผู้ปลูกส้มโอ รวมถึงผู้ประกอบการส่งออกผลไม้ที่จะมีตลาดส่งออกเพิ่มมากขึ้น ซึ่งสหรัฐฯ เป็นตลาดที่มีศักยภาพสูง เป็นประเทศที่เข้มงวดด้านมาตรการสุขอนามัยพืชอย่างสูง โดยกระทรวงเกษตรสหรัฐอเมริกา (USDA) ได้มอบหมายหน่วยงานบริการตรวจสอบสุขภาพสัตว์และพืช (Animal and Plant Health Inspection Service : APHIS) ให้แจ้งถึงผลการทดสอบประสิทธิภาพการแพร่กระจายรังสีในบรรจุภัณฑ์ส้มโอ ซึ่งเป็นขั้นตอนสุดท้ายที่จะอนุญาตให้นำเข้า โดยส้มโอส่งออกจะต้องผ่านการฉายรังสีแกรมมา (Gamma: γ) ที่ระดับ 400 เกรย์ นาน 3 ชั่วโมง จากศูนย์ฉายรังสี สถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ (สทน.) พร้อมโรงคัดบรรจุที่ได้รับอนุญาตให้คัดบรรจุส้มโอเพื่อการส่งออกได้ โดยผลไม้ของไทยที่ส่งออกไปจำหน่ายยังประเทศสหรัฐฯ ต้องฉายรังสีแกรมมา ปริมาณ 400 เกรย์ ก่อนส่งออก

ขณะนี้ผลไม้ที่ส่งออกไปยังสหรัฐฯ มี 8 ชนิด ได้แก่ มะม่วง ลิ้นจี่ ลำไย สับปะรด มังคุด แก้วมังกร เงาะ และล่าสุดได้แก่ ส้มโอ โดยกรมวิชาการเกษตรยังมีแนวทางที่จะสนับสนุนภาคเอกชนให้มีการจัดส่งทางเรือเพื่อลดต้นทุนและจัดส่งได้ครั้งละจำนวนมาก ซึ่งอยู่ระหว่างการทดสอบในเชิงคุณภาพ โดยหากได้ผลดีจะเป็นการเพิ่มช่องทางให้ผู้ประกอบการนำไปใช้ในเชิงการค้าต่อไป 

“นายกรัฐมนตรียินดีต่อผลความสำเร็จในการส่งออกส้มโอทั้ง 4 สายพันธุ์ของไทย เป็นเครื่องสะท้อนถึงคุณภาพของผลไม้ไทยที่มีมาตรฐาน และเป็นที่ยอมรับในระดับสากล ทั้งนี้ นายกฯ เชื่อมั่นว่าเมื่อไทยผ่านมาตรฐานการส่งออกไปสหรัฐฯ จะเพิ่มโอกาสให้ผลไม้ไทยสามารถขยายตลาดส่งออกได้เพิ่มมากขึ้นอีกในอนาคต พร้อมขอบคุณความร่วมมือ การทำงานของทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการผลักดันสินค้าเกษตรของไทยให้มีศักยภาพ เพิ่มโอกาส เพิ่มขีดความสามารถในตลาดต่างประเทศ” นายอนุชาฯ กล่าว

 
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News