Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

สนามบินเชียงรายติดตั้งสะพานเทียบอากาศยานใหม่ 2 ตัว: เจาะมาตรการ SRM คุมเข้มความเสี่ยง FOD และยกหนัก

เชียงรายเดินหน้าอัปเกรด “สะพานเทียบอากาศยาน” ยกระดับความปลอดภัย-บริการ เจาะมาตรการ SRM, การสื่อสาร NOTAM และข้อเสนอแนะเชิงระบบ

เชียงราย, 15 พฤศจิกายน 2568 — เพจ GATC Thailand เผยแพร่ภาพความคืบหน้า “โครงการรื้อถอนและติดตั้งสะพานเทียบอากาศยาน (Passenger Boarding Bridges: PBB) จำนวน 2 ตัว” ที่ท่าอากาศยานนานาชาติแม่ฟ้าหลวง เชียงราย (CEI) โดยสนามบินยืนยันแนวทางปฏิบัติตามหลัก การบริหารการเปลี่ยนแปลง (Management of Change: MOC) และ การบริหารความเสี่ยงด้านความปลอดภัย (Safety Risk Management: SRM) ภายใต้ระบบบริหารความปลอดภัยการบิน (SMS) ตามข้อกำหนดขององค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO Annex 19) และกรอบกำกับดูแลของสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (CAAT) ซึ่งจากตัวเลข รายละเอียดเชิงเทคนิคบางส่วนของโครงการ (เช่น การเว้นเขต Fall Zone, รอบการ FOD sweep, ขั้นตอน Crane Lift Plan, รายการทดสอบ PBB ใหม่ และเกณฑ์ทางเทคนิคของผู้ผลิต) อ้างอิงจาก เอกสารโครงการ/ร่างรายงาน MOC–SRM ของท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย และ ข้อมูลผู้ใช้จัดเตรียม ในคำสั่งงานฉบับนี้ ซึ่งผู้สื่อข่าวได้ใช้ประกอบการรายงานเชิงวิเคราะห์ โดยหลีกเลี่ยงการตั้งข้อมูลใหม่ที่ไม่มีแหล่งอ้างอิง การเปลี่ยน PBB เป็น “การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ” ซึ่งตามกรอบ SMS ต้องระบุอันตราย (hazards) ประเมินความเสี่ยงด้วยเมทริกซ์ ICAO 5×5 และกำหนดมาตรการควบคุมก่อน อนุมัติ และหลังการใช้งานจริง เพื่อให้ “ระดับความปลอดภัยที่ยอมรับได้ (ALoS)” คงอยู่ตลอดวงจรโครงการ

ทำไม “สะพานเทียบอากาศยาน” จึงเป็นหัวใจของความปลอดภัยและคุณภาพบริการ

สะพานเทียบอากาศยาน (PBB) คือทางเชื่อมยกระดับระหว่างอาคารผู้โดยสารกับประตูอากาศยาน เป็นจุดสัมผัสสำคัญของผู้โดยสารกับเครื่องบิน หาก PBB มีความพร้อมด้าน โครงสร้าง-กลไก-การควบคุม จะช่วยให้การขึ้น/ลงเครื่องราบรื่น ปลอดภัย และลดเวลาหมุนเวียนเครื่องบิน (turnaround time) ซึ่งส่งผลต่อ ความตรงต่อเวลา (OTP) และ ความพึงพอใจผู้โดยสาร โดยตรง

โครงการที่ CEI มีทั้ง “การรื้อถอน PBB เก่า” และ “ติดตั้ง PBB ใหม่” ในพื้นที่ Airside (ลานจอด/เขตปฏิบัติการอากาศยาน) ซึ่งยังมีเที่ยวบินใช้งานจริง จึงจัดเป็นงานที่ต้องวางมาตรการความปลอดภัยเฉพาะเพื่อป้องกันการรุกล้ำพื้นที่เคลื่อนไหว (movement area), การใช้เครนยกหนัก (heavy lifting) และการเกิด FOD (Foreign Object Debris) หรือ “เศษวัสดุแปลกปลอม” ที่อาจถูกเครื่องยนต์ดูดเข้าไปจนเสียหายรุนแรง

รายงาน SRM ชี้ 2–3 ความเสี่ยงต้นทางสูง ต้องบังคับใช้มาตรการทันที

รายงานการบริหารความเสี่ยงด้านความปลอดภัย (SRM) ของโครงการ (ข้อมูลผู้ใช้จัดเตรียม) ระบุ “อันตรายหลัก” ที่ต้องควบคุมเข้มข้น ดังนี้

  1. FOD (เศษวัสดุแปลกปลอม) — ความเสี่ยงที่เศษโลหะ/เครื่องมือ/วัสดุก่อสร้างหลุดสู่ลานจอดและถูกดูดเข้าเครื่องยนต์อากาศยาน ถูกจัดเป็นความเสี่ยงระดับสูง (ตัวอย่างแนวคิดความรุนแรงตามการบินพลเรือน: FOD อาจก่อ “Hazardous severity”) จึงต้องมี FOD sweep ต่อเนื่อง, คุมเส้นทางขนส่ง (haul routes) และวินัยการเข้าถึง AOA อย่างเคร่งครัด  
  2. การยกหนัก (Heavy Lifting) ด้วยเครน — การชักรอก/เคลื่อนย้าย PBB ในพื้นที่จำกัดใกล้อากาศยานและอาคารผู้โดยสารถูกประเมิน “ความรุนแรงระดับ Catastrophic” จึงต้องมี แผนการยก (Crane Lift Plan) ที่วิศวกรผู้มีคุณสมบัติอนุมัติ, กำหนด Fall Zone ชัดเจน และ หยุดการปฏิบัติการบนลานจอดชั่วคราวช่วง critical lift โดยประสานหอควบคุมการบิน (ATC)
  3. การรุกล้ำพื้นที่ปฏิบัติการ (Airside Incursion) — ยานพาหนะ/บุคลากรก่อสร้างเข้าสู่ movement area โดยไม่ได้รับอนุญาต เสี่ยงต่อการชนกับอากาศยานที่กำลัง taxi/pushback จึงต้องมี low-profile barricades, ระบบอนุญาตขับขี่ในเขต airside, และการคุม “escort” ตลอดเวลา

รายงานยังย้ำว่า หลังติดตั้ง PBB ใหม่ ต้องทดสอบความเข้ากันได้ในการปฏิบัติงาน (operational compatibility) และทดสอบทางเทคนิค/โครงสร้าง (เช่น load test และการควบคุมแรงกดบนลำตัวอากาศยานตามสเปกผู้ผลิต) ให้ผ่านเกณฑ์ก่อนเปิดใช้งานจริง

เครื่องมือกำกับ “มองไม่เห็น” แต่สำคัญ MOC, SRM, AOM และการสื่อสารแบบ NOTAM

ด้วยสถานะ “การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ” สนามบินต้องเดินกระบวนการอนุมัติ 3 ช่วง ได้แก่ Compliance–Control–Completion (ยื่นรายละเอียด/แผนความปลอดภัย–ควบคุมงานจริงตาม SRM–ทดสอบรับรองและปรับปรุงเอกสาร) ภายใต้กรอบ SMS/Annex 19 ของ ICAO และกฎ CAAT  

ส่วน “การสื่อสารข้อจำกัดการใช้งานสนามบิน” ต้องทำผ่าน AIS/NOTAM อย่างทันท่วงที เพื่อให้สายการบิน นักบิน ผู้ควบคุมจราจร และผู้ปฏิบัติงานภาคพื้นรับรู้ตรงกันว่า “ช่วงไหน/หลุมจอดใด/ขอบเขตใด” มีงานก่อสร้างหรือข้อจำกัดเพื่อหลีกเลี่ยงความสับสนและลดอุบัติการณ์ โดยไทยมีการจัดทำ eAIP/NOTAM ภายใต้มาตรฐาน CAAT/AEROTHAI ซึ่งแยก series (เช่น Series A/C) สำหรับประกาศข้อจำกัดสนามบินระหว่างประเทศ/ในประเทศตามลำดับ  

ในทางปฏิบัติ หลายเหตุการณ์ไม่ปลอดภัยในสนามบินทั่วโลกมักเกี่ยวข้อง “ข้อมูลสนามบินช่วงก่อสร้างสื่อสารไม่ชัด” หรือ “แผนภาพพื้นที่จำกัดไม่ครบถ้วน” แนวทางสากลจึงแนะนำ Construction Notice Diagram ควบคู่ NOTAM เพื่อให้เห็นภาพรวมจุดกั้น/เส้นทางวิ่งใหม่อย่างเข้าใจง่าย ลดความคลุมเครือระหว่างงานกับการจราจรอากาศยาน  

มาตรการภาคสนาม จากรั้วกั้นเตี้ยสะท้อนแสง ถึง “FOD Sweep” รายชั่วโมง

เพื่อให้ “ดัชนีความเสี่ยงตกค้าง (Residual Risk)” ลดลงสู่ระดับยอมรับได้ แผนควบคุมในภาคสนามที่ CEI (ข้อมูลผู้ใช้จัดเตรียม) มีทั้งมาตรการ บริหารจัดการพื้นที่ก่อสร้าง และ มาตรการเฉพาะ PBB อาทิ

  • การแบ่งเขตก่อสร้าง (barricading/demarcation) ด้วย low-profile barricades สีสะท้อนแสงตามมาตรฐานการบิน, ป้าย/ไฟเตือนกลางคืน และการติดตั้งล่วงหน้าก่อนเริ่มงานจริง เพื่อให้ผู้ปฏิบัติการภาคพื้นและนักบินสังเกตเห็นได้ชัดเจน
  • AOA access control จำกัดเส้นทางขนส่งวัสดุ (haul routes), อนุญาตเฉพาะบุคลากรที่ผ่านการอบรมขับขี่ในเขต airside, และมี safety officer เฝ้าระวังเฉพาะงานก่อสร้างสนามบิน
  • Crane Lift Plan/Fall Zone แผนยกโดยวิศวกรที่มีคุณสมบัติ, คุมเขตอันตรายห้ามบุคคลอยู่ใต้โหลด, ใช้ qualified rigger และอุปกรณ์ rigging ที่มีตัวล็อกอัตโนมัติ พร้อม “หยุดปฏิบัติการบริเวณใกล้เคียงช่วง critical lift”
  • FOD Control กำหนดรอบ FOD sweep ถี่ขึ้น (ก่อน/ระหว่าง/หลังงานแต่ละช่วง), บังคับเก็บกวาดเส้นทาง haul routes และกำหนดบทลงโทษเรื่องวินัย FOD ไว้ในสัญญาผู้รับเหมา
  • การทดสอบ/รับรอง PBB ใหม่ ดำเนิน docking test, load test และทวนสอบ “ข้อกำหนดของผู้ผลิต” เพื่อยืนยันความเข้ากันได้กับชนิดอากาศยานที่ CEI รองรับ ก่อนบรรจุขั้นตอนใช้งาน/บำรุงรักษาใน คู่มือการดำเนินงานสนามบิน (AOM) ฉบับปรับปรุง

เมื่อนำมาตรการเหล่านี้ไปใช้ตามแผน SRM รายการเสี่ยงสูงหลายรายการ—เช่น FOD/การยกหนัก/การรุกล้ำพื้นที่—จะ “เลื่อนลง” สู่โซนยอมรับได้หรือยอมรับได้แบบมีเงื่อนไข ซึ่งต้องมีการ ติดตามผลต่อเนื่อง และ Post-Implementation Review (PIR) ในระยะ 6–12 เดือน เพื่อตรวจว่ามาตรการยังมีประสิทธิผลจริงในงานประจำวัน (ข้อมูลผู้ใช้จัดเตรียม)

ผู้โดยสาร–สายการบิน–ชุมชนท้องถิ่น ได้อะไร/ต้องรับรู้อะไร

ต่อผู้โดยสาร — ช่วงก่อสร้างอาจมี “ข้อจำกัดการใช้งานหลุมจอด/ประตู” บางช่วงเวลา ผู้โดยสารอาจพบการเปลี่ยนประตูขึ้นเครื่องหรือใช้รถบัสรับส่ง (bus gate) แทน PBB ชั่วคราว แต่มาตรการสื่อสารผ่าน NOTAM/ประกาศสนามบิน ช่วยให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียวางแผนล่วงหน้า ลดผลกระทบความล่าช้า

ต่อสายการบิน/ผู้ปฏิบัติการภาคพื้น — การวางแผน turnaround ต้องประสานหนาแน่นขึ้น โดยเฉพาะช่วง critical lift ที่อาจมี “หยุดการปฏิบัติการบนลานจอดเฉพาะจุด” ชั่วคราว การมี “แผนภาพเขตก่อสร้าง (construction diagram)” ชัดเจนและ brief ร่วมรายสัปดาห์ช่วยให้การขยับหลุมจอด/สลับอุปกรณ์เป็นระเบียบและปลอดภัย

ต่อชุมชน/เศรษฐกิจท้องถิ่น — PBB ใหม่ที่ปลอดภัยและทันสมัยช่วยหนุนภาพลักษณ์ “เมืองท่องเที่ยวคุณภาพ” ของเชียงราย สอดคล้องยุทธศาสตร์ Green/BCG และความต้องการรองรับนักท่องเที่ยวที่เติบโตต่อเนื่องในฐานะ “เมืองรองรายได้สูง” ของประเทศ

ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายและการจัดการ (เพื่อความปลอดภัย+ประสิทธิภาพระยะยาว)

อ้างอิงรายงานโครงการ/แนวปฏิบัติสากล ประสานกับบริบทสนามบินที่ยังปฏิบัติการจริงตลอดเวลา บทวิเคราะห์นี้เสนอ “สามคานงัด” เพื่อให้ CEI ได้ Safety + Efficiency ไปพร้อมกัน

  1. บูรณาการ SMS ของผู้รับเหมา (Contractor SMS Integration)
    กำหนดให้ผู้รับเหมาหลัก/ผู้ผลิต PBB จัดทำ “Project Safety Plan เฉพาะโครงการสนามบิน” (ไม่ใช่คู่มือองค์กรทั่วไป) ครอบคลุม hazards เฉพาะ เช่น FOD/hot works/rigging/airside driving และ nominate safety officer ที่คุ้นเคยกฎ Part 139/มาตรฐานสนามบินในไทย ข้อกำหนดนี้ช่วยแปลง “ความปลอดภัยโครงการ” ให้กลายเป็น “ความปลอดภัยของระบบ” เมื่อบันทึกลง AOM
  2. ยกระดับเทคโนโลยี PBB/การนำร่องอัตโนมัติ
    พิจารณา PBB ที่รองรับ remote control/automatic docking เพื่อลด human error ระหว่างเชื่อมต่อประตูอากาศยาน และพิจารณา VDGS/AGDGS ในหลุมจอดที่เกี่ยวข้องเพื่อเพิ่มความแม่นยำการเข้าประจำหลุมของอากาศยาน พร้อมทั้งทำ SOP+training แก่ช่าง/ภาคพื้นให้สอดคล้อง (ข้อมูลผู้ใช้จัดเตรียม)
  3. Lifecycle Management และอะไหล่สำรอง (Spares & Warranty)
    จัดสัญญาบำรุงรักษาระยะกลาง–ยาวกับผู้ผลิต PBB ใหม่ (เช่น 3–5 ปี) ควบคุมอะไหล่กุญแจสำคัญและวางแผน “reuse/repurpose” ชิ้นส่วนจาก PBB เก่าที่ปลอดภัยได้ เพื่อลด downtime และต้นทุน รวมถึงวัดผล KPI ความพร้อมใช้งาน (availability) และ Mean Time Between Failures ของ PBB เพื่อดูแลความเสี่ยงตกค้างด้านความต่อเนื่อง

มุมมองมาตรฐาน/กฎระเบียบ “ไม่ใช่แค่ทำให้เสร็จ” แต่ต้อง “ทำให้สอดคล้องและตรวจสอบได้”

MOC/SRM ไม่ใช่เอกสารพิธีการ แต่เป็น “หลักฐานความปลอดภัย” ที่ผู้ตรวจสอบสนามบินของ CAAT ใช้รับรองความพร้อม โดยหลังทดสอบ PBB ใหม่เสร็จ สนามบินต้อง “ปรับปรุง AOM” ให้สะท้อนสภาพจริง—ทั้งขีดความสามารถหลุมจอด/ชนิดอากาศยานที่รองรับ ขั้นตอนปฏิบัติ/บำรุงรักษา และแผนฉุกเฉิน—เพื่อให้มาตรการควบคุมที่เคยเป็น Project Controls ถูกถ่ายโอนเป็น System Controls ของสนามบินในชีวิตจริง

การสื่อสารต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ต้องเดินหน้าควบคู่—โดยเฉพาะการแจ้ง NOTAM ผ่าน AIS ของไทย (CAAT/AEROTHAI) อย่างครบถ้วน ชัดเจน และทันเวลา รวมถึงทำ แผนภาพพื้นที่ก่อสร้าง เผยแพร่ให้สายการบิน/ภาคพื้นใช้ประกอบการวางแผนปฏิบัติการเพื่อลดความเสี่ยงจาก “ช่องว่างข้อมูล”

โครงการรื้อถอนและติดตั้ง PBB ใหม่ 2 ตัวที่ CEI คือ “แบบฝึกหัดความปลอดภัย” ที่สะท้อนความพร้อมของสนามบินไทยในการยกระดับมาตรฐานตาม ICAO/CAAT ในบริบทที่ยังต้อง “บินจริง-ก่อสร้างจริง” พร้อมกัน การคุมเข้ม “สามเสี่ยงหลัก”—FOD, Heavy Lifting, Airside Incursion—ด้วยมาตรการเฉพาะงานสนามบิน (barricading, FOD sweep, crane lift plan, fall zone, haul routes, airside escort) บวกการสื่อสาร NOTAM/AIS ที่ทันเวลา จะลด “ความเสี่ยงเริ่มต้น” ลงสู่ “ความเสี่ยงตกค้างที่ยอมรับได้”

ในเชิงยุทธศาสตร์ การบูรณาการ SMS ของผู้รับเหมา, ยกระดับ เทคโนโลยี PBB/ระบบนำร่อง, และจัดการ วงจรชีวิต PBB อย่างเป็นระบบ จะช่วยให้ CEI ไม่เพียง “ผ่านโครงการ” แต่ “ผ่านการพิสูจน์ระบบ”—ส่งมอบความปลอดภัยและคุณภาพบริการที่สอดคล้องมาตรฐานสากล รองรับการเติบโตของผู้โดยสาร และเสริมภาพลักษณ์เชียงรายในฐานะ “เมืองท่องเที่ยวคุณภาพสูง” อย่างยั่งยืน

แหล่งข้อมูลอ้างอิง (ตรวจสอบได้)

  1. ICAO – Safety Management (Annex 19, SMS concept & framework) ภาพรวมกรอบ Annex 19/SMS และบทบาทของผู้ให้บริการ/ผู้กำกับดูแล (อธิบายโครง SMS, MOC/SRM ในระดับหลักการ). อ้างอิง: ICAO – Safety Management (หน้า overview และ knowledge center)
  2. CAAT – บทความ/หน้าความรู้เรื่อง Safety Management System บทบาทของระบบ SMS ในการยกระดับความปลอดภัยการบินพลเรือนของไทย (แนวคิด/บทบาท/ประโยชน์)
  3. FAA AC 150/5370-2G – Operational Safety on Airports During Construction: แนวทางมาตรฐานสหรัฐฯ สำหรับ “ความปลอดภัยระหว่างก่อสร้างในสนามบินที่ยังปฏิบัติการจริง” ครอบคลุมการกั้นพื้นที่, FOD, งานยกหนัก, การประสานงาน, การแจ้งเตือน ฯลฯ  
  4. AIP/eAIP Thailand – AIS/NOTAM (CAAT/AEROTHAI) โครงสร้าง/ซีรีส์ของ NOTAM ไทย (Series A/C) และรายการ NOTAM ที่ยังมีผล—ตอกย้ำบทบาท AIS/NOTAM ในการสื่อสารข้อจำกัดสนามบินช่วงก่อสร้าง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • ท่าอากาศยานนานาชาติแม่ฟ้าหลวง เชียงราย (CEI)
  • GATC Thailand
  • ICAO — กรอบมาตรฐาน Annex 19 (SMS/MOC/SRM) สำหรับการจัดการความปลอดภัยระดับสากล
  • CAAT — หน่วยงานกำกับดูแลความปลอดภัยการบินพลเรือนของไทยและ AIS/eAIP/NOTAM
  • AEROTHAI (AIS/NOTAM) — ผู้ให้บริการข่าวสารการบินและระบบ NOTAM ไทย
  • FAA — เอกสารแนวปฏิบัติความปลอดภัยระหว่างก่อสร้างสนามบิน (AC 150/5370-2G) ซึ่งใช้เป็นอ้างอิงสากลด้านวิธีปฏิบัติ
  •  
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

กรมการท่องเที่ยวรับรอง 5 ชุมชนเชียงรายได้ CBT Standard หนุนเศรษฐกิจท้องถิ่น

เชียงรายยกระดับมาตรฐานการท่องเที่ยว 5 ชุมชนคว้า “CBT Thailand Standard” ควบคู่สนามบินแม่ฟ้าหลวงติดตั้งสะพานเทียบอากาศยานใหม่ 2 ตัว ตอกย้ำ “คุณภาพ–ความปลอดภัย–ความยั่งยืน”

เชียงราย, 14 พฤศจิกายน 2568 – เช้าตรู่ฤดูหนาวเมื่อม่านหมอกปกคลุมแนวดอย แสงอาทิตย์ค่อย ๆ คลี่คลุมทุ่งนาสีทองและหมู่บ้านที่ขนาบด้วยกาแฟบนไหล่เขา จังหวัดเชียงรายประกาศ “ข่าวดีที่จับต้องได้” ให้กับภาคการท่องเที่ยวท้องถิ่น—5 ชุมชนท่องเที่ยวในพื้นที่พิเศษของเชียงรายผ่านการรับรองมาตรฐานการท่องเที่ยวโดยชุมชน (CBT Thailand Standard) ประจำปีงบประมาณ 2568 จากกรมการท่องเที่ยว ในห้วงเวลาเดียวกัน ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย เดินหน้ายกระดับโครงสร้างสำคัญ โดย รื้อถอนและติดตั้งสะพานเทียบอากาศยานใหม่จำนวน 2 ตัว ภายใต้กระบวนการ Safety Risk Management (SRM) ตามมาตรฐานและคู่มือการดำเนินงานสนามบินอย่างเคร่งครัด

ภาพรวมดังกล่าวสะท้อน “สองเสาหลัก” ของการพัฒนาปลายทางคุณภาพ—มาตรฐานชุมชน ที่เข้มแข็ง และ มาตรฐานสนามบิน ที่ปลอดภัย—ทำให้ห่วงโซ่ประสบการณ์การเดินทางของผู้มาเยือน “มั่นใจได้ตั้งแต่ล้อแตะรันเวย์จนถึงหน้าบ้านชุมชน”

CBT Thailand Standard จากใบรับรองสู่ “สัญญาคุณภาพ” ของชุมชน

มาตรฐานการท่องเที่ยวโดยชุมชน CBT Thailand Standard ของกรมการท่องเที่ยวคือ “เครื่องมือยกระดับคุณภาพ” ที่ให้ชุมชนเป็นศูนย์กลาง (community-led) เพื่อพัฒนา การบริหารจัดการ–บริการ–ความปลอดภัย–วัฒนธรรม–สิ่งแวดล้อม อย่างสมดุล เป้าหมายไม่ใช่เพียงการต้อนรับผู้มาเยือน แต่คือการรับประกันว่าการท่องเที่ยวจะ “ทิ้งร่องรอยดี” ให้ชุมชน ทั้งในมิติรายได้ อัตลักษณ์ และระบบนิเวศ

รายชื่อชุมชนเชียงรายที่ผ่านการรับรอง (พ.ศ. 2568)

  • อำเภอแม่สาย
    • วิสาหกิจชุมชนกลุ่มท่องเที่ยวดอยผาหมี
    • วิสาหกิจชุมชนกลุ่มเที่ยวดอยผาหมี
  • อำเภอแม่จัน
    • วิสาหกิจชุมชนวิถีไทย วิถียอง สันทางหลวง
    • วิถีไทย วิถียอง บ้านสันทางหลวง
  • อำเภอเชียงแสน
    • วิสาหกิจชุมชนท่องเที่ยวเมืองเชียงแสน
  • อำเภอเมืองเชียงราย
    • วิสาหกิจชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี บ้านเมืองรวง ตำบลแม่กรณ์

คำสำคัญของมาตรฐาน (Key Themes)

การบริหารจัดการที่ดี, เศรษฐกิจท้องถิ่นเข้มแข็ง, คงอัตลักษณ์วัฒนธรรม, รักษาสิ่งแวดล้อม, และ บริการ–ความปลอดภัยได้มาตรฐาน — 5 หัวใจนี้ทำให้ “การต้อนรับ” ของชุมชนกลายเป็น “ระบบคุณภาพที่ตรวจสอบได้” ไม่ใช่เพียงมิตรไมตรีแบบปากต่อปาก

เมื่อเรื่องเล่าท้องถิ่นถูกยกระดับด้วยมาตรฐาน

  • ดอยผาหมี – แม่สาย ภูมิทัศน์ชายแดน กาแฟบนไหล่ดอย และวัฒนธรรมอาข่า

ชุมชนบนไหล่ดอยที่เห็นเส้นขอบฟ้ากั้นไทย–เมียนมา โดดเด่นด้วยวิถีกาแฟคุณภาพและพิธีกรรมชุมชนอาข่า เมื่อได้รับการรับรองมาตรฐาน CBT การจัดการเส้นทางเดินป่า มัคคุเทศก์ท้องถิ่น อาหารพื้นถิ่น และระบบความปลอดภัย จึงถูกยกขึ้นเป็น “มาตรฐาน” ที่สื่อสารร่วมกันระหว่างผู้ให้บริการ–ผู้มาเยือน–หน่วยงานกำกับดูแล

  • วิถียอง สันทางหลวง – แม่จัน หัตถกรรม–เกษตรปลอดภัย–ธรรมาภิบาลชุมชน

อัตลักษณ์ “ไทยอง” ถ่ายทอดผ่านผืนผ้าและครัวท้องถิ่น เชื่อมโยงกับเกษตรปลอดภัยและระบบชุมชนเข้มแข็ง การยกระดับมาตรฐานเปิดทางให้กิจกรรมเรียนรู้ (workshop) และเส้นทางวัฒนธรรมรองรับผู้คนได้ “มากขึ้นอย่างยังยืน” โดยยังคงความแท้จริงของวิถีเดิม

  • เมืองเชียงแสน – ริมโขง จากมรดกประวัติศาสตร์สู่ประสบการณ์สร้างสรรค์

เมืองโบราณที่ผสาน “จิตวิญญาณล้านนา–สายน้ำโขง–ประวัติศาสตร์การค้า” ลงในกิจกรรมร่วมสมัย เช่น เส้นทางวัดเก่า เวิร์กช็อปงานสร้างสรรค์ อาหารถิ่น และการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ มาตรฐาน CBT ช่วยจัดวาง “ลำดับเรื่องเล่า” ให้สื่อสารกับผู้มาเยือนอย่างเป็นระบบ และปลอดภัย

  • บ้านเมืองรวง – ต.แม่กรณ์ เมืองเชียงราย OTOP นวัตวิถี–เศรษฐกิจหมุนเวียน

การจัดการขยะของชุมชนถูกต่อยอดเป็นนวัตกรรม “ดินบ้านเมืองรวง” กิจกรรมศึกษาดูงาน/CSR และศูนย์เรียนรู้ด้านคุณภาพชีวิต เน้น “สะอาด–เป็นระเบียบ–เรียนรู้ได้จริง” สอดรับ CBT ในเสาหลักสิ่งแวดล้อม–เศรษฐกิจท้องถิ่น–บริการ

สาระสำคัญร่วม มาตรฐานทำให้ “ความดีงามที่มีอยู่แล้ว” กลายเป็น “ระบบที่ทุกคนเข้าใจร่วมกัน”—ตั้งแต่วิธีรับแขก ความปลอดภัยกิจกรรม แผนฉุกเฉิน สุขอนามัยอาหาร ไปจนถึงสื่อความหมายสองภาษา

 ด้านอากาศยาน สะพานเทียบอากาศยานใหม่ 2 ตัว – คุณภาพประสบการณ์เริ่มที่ “ประตูเมือง”

ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย อยู่ระหว่างดำเนินงาน รื้อถอน–ติดตั้งสะพานเทียบอากาศยานใหม่จำนวน 2 ตัว ซึ่งเป็น Change Management ที่ส่งผลต่อการปฏิบัติงานภาคพื้นและการสัญจรของผู้โดยสารโดยตรง จึงต้อง ประเมินความเสี่ยง–กำหนดมาตรการควบคุม–สื่อสาร–ฝึกอบรมบุคลากร–ติดตามผล ตามกระบวนการ Safety Risk Management (SRM) และคู่มือการดำเนินงานสนามบิน

ความหมายเชิงระบบของงานนี้

  • ความปลอดภัยมาก่อน กำหนดเขตกั้น–ป้ายเตือน–แผนจราจรภาคพื้น–ขั้นตอนขึ้นลงเครื่องที่รัดกุม
  • คุณภาพการให้บริการ ยกระดับความสะดวก ลดจุดคอขวด เพิ่มความเชื่อมั่นด้านเวลา (on-time performance)
  • เชื่อมโยงสู่ชุมชน “การเดินทางที่ราบรื่น” ที่สนามบิน คือจุดเริ่มต้นของ “ความประทับใจ” ก่อนถึงชุมชน CBT

เมื่อ “ประตูเมือง” (สนามบิน) ลงทุนในความปลอดภัย–คุณภาพ พร้อมกับ “หมู่บ้านปลายทาง” (ชุมชน) ลงทุนในมาตรฐาน–สิ่งแวดล้อม–วัฒนธรรม เศรษฐกิจท่องเที่ยวเชิงคุณภาพของเชียงรายจึงมี “รางวิ่งคู่” ที่ประสานกันได้จริง

ทำไม “มาตรฐาน” จึงสำคัญต่อเศรษฐกิจชุมชน

  1. ความเชื่อมั่น = รายได้ที่ยั่งยืน
    มาตรฐานช่วยให้ผู้ซื้อทัวร์/องค์กร/นักท่องเที่ยวต่างชาติ “มั่นใจล่วงหน้า” ว่าประสบการณ์ได้คุณภาพ–ปลอดภัย–เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โอกาสรับกลุ่มนักท่องเที่ยวคุณภาพ (จ่ายต่อหัวสูง อยู่ยาว เรียนรู้ลึก) จึงเพิ่มขึ้น
  2. การคุ้มครองอัตลักษณ์ = ความต่างที่มีมูลค่า
    CBT ไม่ใช่แค่ “ไปเที่ยวบ้าน” แต่คือ “ไปเรียนรู้ระบบคุณค่า” ของวัฒนธรรม–ทรัพยากร–ผู้คน มาตรฐานจึงทำหน้าที่เป็น “รั้ว” ป้องกันการบิดเบือนอัตลักษณ์เพื่อการค้า
  3. บริการ–ความปลอดภัย = ใบอนุญาตสู่ตลาดสากล
    มาตรฐานด้านความปลอดภัยและบริการทำให้ชุมชนพร้อมรับข้อกำหนดตลาดสากลและกลุ่มองค์กร (เช่น study tour, CSR, MICE ชุมชน)

กล่องข้อมูล (FACT BOX) CBT Thailand Standard – จังหวัดเชียงราย (พ.ศ. 2568)

  • แม่สาย ดอยผาหมี (2 วิสาหกิจชุมชน)
  • แม่จัน วิถียองสันทางหลวง (2 หน่วย)
  • เชียงแสน เมืองเชียงแสน (1 วิสาหกิจชุมชน)
  • เมืองเชียงราย บ้านเมืองรวง ต.แม่กรณ์ (1 วิสาหกิจชุมชน)

สนามบินแม่ฟ้าหลวง เชียงราย – โครงการปัจจุบัน

  • งาน รื้อถอน–ติดตั้ง สะพานเทียบอากาศยาน 2 ตัว
  • กรอบ Change Management + Safety Risk Management (SRM)
  • เป้าหมาย ความปลอดภัย–ความสะดวก–ความตรงเวลา

ข้อเสนอเชิงนโยบาย–การขยายผล

  • แผนสื่อสาร “เส้นทางมาตรฐาน” ทั้งจังหวัด
    จัดทำแผนสื่อสารเชื่อม สนามบิน–เมือง–ชุมชน CBT เป็น “เส้นทางคุณภาพ” เดียวกัน พร้อมข้อมูลภาษาไทย–อังกฤษ (capacity ต่อวัน, วิธีจอง, แนวปฏิบัติความปลอดภัย, มารยาทชุมชน)
  • Open Data & Dashboard ชุมชน
    เผยแพร่ข้อมูลเปิดด้านกิจกรรม–รองรับนักท่องเที่ยว–มาตรการสิ่งแวดล้อม–ข้อควรปฏิบัติ ช่วยผู้ประกอบการวางแผน ลด “โอเวอร์โหลด” และเสริม “ความโปร่งใส”
  • Upskill ความปลอดภัย–สิ่งแวดล้อม–ภาษา–ดิจิทัล
    ต่อยอดทักษะมัคคุเทศก์ท้องถิ่น แผนฉุกเฉิน กิจกรรมที่เป็นมิตรต่อกลุ่มเปราะบาง และทักษะด้านภาษา/การสื่อสารดิจิทัล เพื่อรองรับตลาดพรีเมียมและความหลากหลายของผู้มาเยือน
  • Circular Economy ในทุกชุมชน
    ยกระดับบทเรียนจาก บ้านเมืองรวง ให้เป็นโมดูลฝึกอบรมเรื่อง “ขยะสู่มูลค่า”–นวัตกรรมชุมชน ลดการปล่อยของเสีย และสร้างรายได้เสริม
  • กลไกติดตาม–ประเมินผล (Quarterly Review)

    ตั้งคณะทำงานจังหวัดติดตาม ตัวชี้วัด CBT รายไตรมาส (เศรษฐกิจ, สังคม, สิ่งแวดล้อม, ความพึงพอใจนักท่องเที่ยว) เพื่อให้มาตรฐาน “มีชีวิต” และ “ปรับปรุงต่อเนื่อง”

มุมมองจากโซ่อุปทานท่องเที่ยว เมื่อ “มาตรฐาน” เป็นภาษากลาง

  • นักท่องเที่ยว ได้ “สัญญาคุณภาพ” ตั้งแต่ลงเครื่องถึงหมู่บ้าน
  • ผู้ประกอบการ มี “กรอบปฏิบัติ” ชัดเจน ขยายธุรกิจบนฐานคุณภาพ
  • หน่วยงานรัฐ/ท้องถิ่น ใช้ “ตัวชี้วัดเดียวกัน” ในการประเมิน–สนับสนุน
  • ชุมชน ได้ “อำนาจต่อรอง” สูงขึ้น เพราะคุณภาพและมาตรฐานคือสินทรัพย์ร่วม

การที่ 5 ชุมชนของเชียงราย ผ่านการรับรอง CBT Thailand Standard ในปีงบประมาณ 2568 พร้อม ๆ กับการยกระดับ สะพานเทียบอากาศยาน 2 ตัว ที่สนามบินแม่ฟ้าหลวง ไม่ใช่เพียงเหตุบังเอิญของเวลา แต่คือ “แผนที่เดียวกัน” ของการพัฒนาที่มองเห็น “คุณภาพและความปลอดภัย” เป็นแกนกลางเดียวกัน หากจังหวัดสามารถทำให้ “ภาษาเดียวของมาตรฐาน” ไหลลื่นจากประตูสนามบินสู่ปลายทางในหมู่บ้าน เชียงรายจะยืนอยู่ในตำแหน่ง “ปลายทางคุณภาพอย่างยั่งยืน” ที่ ใครมาเยือนก็มั่นใจ ใครอยู่จึงภาคภูมิใจ และใครเกี่ยวข้องก็เติบโตไปด้วยกัน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กรมการท่องเที่ยว (Department of Tourism)
  • สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงราย
  • ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

ส่องศักยภาพ สนามบินเชียงรายรองรับ 3 ล้านคน ทอท. ย้ำผู้โดยสารโต 2.3%

ทอท.ทุ่มงบ 5,870 ล้านบาท ขยายสนามบินแม่ฟ้าหลวงเชียงราย สร้างอาคารหลังที่ 2 เป้ารองรับ 8 ล้านคนต่อปี คาดเสร็จปี 2575

เชียงราย, 13 พฤศจิกายน 2568 – ท่ามกลางการเติบโตของภาคการท่องเที่ยวและการบินในภาคเหนือที่ยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. ได้ประกาศเดินหน้าโครงการพัฒนาท่าอากาศยานนานาชาติแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ระยะที่ 1 ด้วยงบประมาณสูงถึง 5,870 ล้านบาท โดยตั้งเป้าหมายเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับผู้โดยสารจากปัจจุบัน 3 ล้านคนต่อปี เป็น 6-8 ล้านคนต่อปี พร้อมยกระดับเชียงรายให้เป็น “ศูนย์กลางเศรษฐกิจใหม่” (New Economic Hub) ของภาคเหนือและเป็นประตูสู่ภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (Greater Mekong Subregion: GMS)

การลงทุนครั้งนี้ถือเป็นการตอบรับกับสถานการณ์การเติบโตของจำนวนผู้โดยสารที่กำลังจะเข้าสู่จุดอิ่มตัวของขีดความสามารถเดิมในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ตามข้อมูลของ ทอท. คาดการณ์ว่าท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงเชียงรายจะมีผู้โดยสารเต็มขีดความสามารถ 3 ล้านคนภายในปี 2573-2574 ขณะที่โครงการขยายจะแล้วเสร็จในปี 2575 ซึ่งอาจเกิดช่วง “ช่องว่างความแออัด” เป็นระยะเวลา 1-2 ปี ที่อาจส่งผลกระทบต่อคุณภาพการบริการและความสามารถในการแข่งขัน

ตัวเลักดันโครงการขยาย เติบโตช้าแต่ต้องเตรียมพร้อมรับอนาคต

ในปีงบประมาณ 2568 ท่าอากาศยานนานาชาติแม่ฟ้าหลวงเชียงรายมีปริมาณผู้โดยสารรวม 1.94 ล้านคน เติบโตขึ้นในอัตราร้อยละ 2.3 จากปีก่อน พร้อมทั้งมีจำนวนเที่ยวบิน 12,897 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ 5.2 แม้ว่าตัวเลขการเติบโตดังกล่าวจะถือว่าอยู่ในระดับที่ชะลอตัวลงเมื่อเทียบกับช่วงการฟื้นตัวหลังสถานการณ์โควิด-19 และต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของท่าอากาศยานในเครือ ทอท. ที่มีอัตราการเติบโตถึงร้อยละ 11.76 ในช่วง 6 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2568

อย่างไรก็ตาม การวิเคราะห์เชิงลึกพบว่า อัตราการเติบโตของเที่ยวบินที่ร้อยละ 5.2 สูงกว่าการเติบโตของผู้โดยสารที่ร้อยละ 2.3 กว่าสองเท่า แสดงให้เห็นว่าสายการบินกำลังเพิ่มความถี่ในการให้บริการเพื่อตอบสนองความต้องการและเตรียมความพร้อมสำหรับการขยายตัวในอนาคต ขณะเดียวกัน ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนถึงการพึ่งพาตลาดภายในประเทศเป็นหลัก ซึ่งแตกต่างจากท่าอากาศยานภูมิภาคอื่นๆ เช่น ภูเก็ตและเชียงใหม่ ที่ได้แรงขับเคลื่อนจากการฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งของตลาดระหว่างประเทศ

ปัจจุบันท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงเชียงรายมีอัตราการใช้ขีดความสามารถอยู่ที่ประมาณร้อยละ 64.67 จาก 3 ล้านคนต่อปี ซึ่งยังถือว่าอยู่ในระดับที่สบาย แต่ตามการคาดการณ์ของผู้เชี่ยวชาญด้านการบริหารจัดการท่าอากาศยาน การใช้งานที่เกินร้อยละ 70-80 ถือเป็นสัญญาณที่ต้องเริ่มดำเนินโครงการก่อสร้างและขยายเพื่อป้องกันปัญหาคอขวดในอนาคต

รายละเอียดโครงการ ครบวงจรทุกมิติ

โครงการพัฒนาท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ระยะที่ 1 ประกอบด้วยการพัฒนาที่ครอบคลุมทุกมิติ แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มงานหลัก ได้แก่

งานเขตการบิน (Airside) มีการก่อสร้างระบบทางขับขนานด้านทิศเหนือและการปรับปรุงทางขับท้ายหลุมจอด ซึ่งมีกำหนดแล้วเสร็จในเดือนมิถุนายน 2568 การปรับปรุงนี้จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการเที่ยวบิน โดยเฉพาะในช่วงเวลาเร่งด่วน รวมถึงการเพิ่มหลุมจอดอากาศยานแบบประชิดอาคารอีก 9 หลุม เพื่อรองรับอากาศยานขนาดใหญ่ขึ้นและลดระยะเวลาการปฏิบัติการภาคพื้นดิน

งานอาคารผู้โดยสารและอาคารสนับสนุน ถือเป็นหัวใจสำคัญของโครงการ ประกอบด้วยการก่อสร้างอาคารผู้โดยสารหลังใหม่ (อาคาร 2) การปรับปรุงอาคารผู้โดยสารหลังเดิม และการก่อสร้างอาคารจอดรถ การพัฒนาครั้งนี้จะช่วยให้สามารถแยกกระบวนการผู้โดยสารระหว่างประเทศและภายในประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ และยกระดับประสบการณ์ของผู้โดยสารให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล

งานระบบสนับสนุนท่าอากาศยาน รวมถึงการก่อสร้างศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยาน (Maintenance, Repair and Overhaul: MRO) การปรับปรุงระบบสาธารณูปโภคต่างๆ เช่น ถนนภายใน ระบบระบายน้ำ บำบัดน้ำเสีย ประปา และไฟฟ้า รวมถึงการสำรวจและออกแบบคลังสินค้าทดแทนและอาคารซ่อมอุปกรณ์ภาคพื้นดิน

โครงการนี้ตั้งเป้าหมายให้แล้วเสร็จภายในปี 2575 โดยมีเป้าหมายรองรับผู้โดยสารภายในประเทศ 5 ล้านคน และผู้โดยสารระหว่างประเทศ 1 ล้านคน ซึ่งหมายถึงการเพิ่มสัดส่วนผู้โดยสารระหว่างประเทศอย่างมากจากปัจจุบันที่มีเพียง 7,370 คนต่อปี หรือคิดเป็นสัดส่วนต่ำกว่าร้อยละ 1

กลยุทธ์ดึงเที่ยวบินนานาชาติ กุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จ

เพื่อให้การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเกิดประสิทธิภาพสูงสุด ทอท. ได้วางกลยุทธ์หลายด้านเพื่อดึงดูดสายการบินและผู้โดยสารระหว่างประเทศ

แรงจูงใจทางการเงิน ทอท. ได้จัดตั้ง Marketing Fund โดยเฉพาะสำหรับสนามบินภูมิภาคอย่างเชียงรายและหาดใหญ่ ให้เงินสนับสนุนสูงถึง 300 บาทต่อผู้โดยสารระหว่างประเทศที่มาใช้บริการในเส้นทางบินระหว่างประเทศใหม่ นอกจากนี้ยังมีการเสนอส่วนลดค่าธรรมเนียมการบินร้อยละ 50 เป็นเวลา 3 ปี สำหรับสายการบินที่เปิดเส้นทางบินใหม่ การสนับสนุนทางการเงินในระดับนี้ถูกออกแบบมาเพื่อลดความเสี่ยงในการสำรวจตลาดใหม่ของสายการบิน โดยเฉพาะในการเชื่อมโยงกับกลุ่มประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และ GMS

กลยุทธ์ Dual Hub แอร์เอเชียได้เปิดเส้นทางใหม่ “เชียงราย-สุวรรณภูมิ (CEI-BKK)” ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2568 โดยเสริมจากเส้นทางเดิม “เชียงราย-ดอนเมือง (CEI-DMK)” การเพิ่มการเชื่อมต่อกับท่าอากาศยานสุวรรณภูมิซึ่งเป็นศูนย์กลางการบินระหว่างประเทศหลักของประเทศ ช่วยให้ผู้โดยสารต่างชาติสามารถใช้ระบบ Fly-Thru เดินทางมายังเชียงรายทางอ้อมได้ง่ายขึ้น นับเป็นกลยุทธ์สำคัญในการสร้างฐานผู้โดยสารระหว่างประเทศก่อนที่โครงสร้างพื้นฐานระยะที่ 1 จะแล้วเสร็จ

การพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์ ทอท. ได้เปิดให้เอกชนลงทุนพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์รอบสนามบิน โดยมีพื้นที่แปลงหน้าท่าอากาศยานขนาด 91 ไร่ ที่พร้อมให้สัมปทานสูงสุดถึง 30 ปี สำหรับธุรกิจหลากหลาย เช่น โรงแรม ศูนย์ซ่อมอากาศยาน MRO โครงการแบบ Mixed-use และ Logistics Hub

เชียงราย จุดหมายปลายทางในประเทศยอดนิยม

แม้การเติบโตจะชะลอตัว แต่ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงเชียงรายยังคงเป็นจุดหมายปลายทางที่สำคัญในเครือข่ายการบินภายในประเทศ ตามข้อมูลจาก Flightradar24 เชียงรายติดอันดับ Top 10 สนามบินที่มีเที่ยวบินสูงสุดจากท่าอากาศยานดอนเมือง โดยอยู่ในอันดับที่ 8 รองจากภูเก็ต เชียงใหม่ หาดใหญ่ อุดรธานี สุราษฎร์ธานี กระบี่ และนครศรีธรรมราช ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความต้องการเดินทางภายในประเทศที่มั่นคง

ตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ของเชียงรายที่อยู่ในจุดยุทธศาสตร์ของสามเหลี่ยมเศรษฐกิจ (พม่า ลาว ไทย) ทำให้มีศักยภาพสูงในการเป็นศูนย์กลางการค้าและการเชื่อมต่อในภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง นอกจากนี้ จังหวัดเชียงรายยังเป็นจุดหมายปลายทางท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและธรรมชาติที่มีเอกลักษณ์ โดยมีสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงระดับโลก เช่น วัดร่องขุ่น วัดร่องเสือเต้น สามเหลี่ยมทองคำ และดอยแม่สลอง

มุมมองผู้เชี่ยวชาญ ลงทุนวันนี้เพื่ออนาคต

จากการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกพบว่า แม้ปัจจุบันท่าอากาศยานจะมีอัตราการใช้ขีดความสามารถเพียงร้อยละ 64.67 แต่การลงทุนเชิงป้องกันนี้มีความจำเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากระยะเวลาในการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่มักใช้เวลานานหลายปี และหากรอจนกระทั่งเกิดปัญหาความแออัดจริงๆ แล้วจึงเริ่มดำเนินการ จะส่งผลกระทบเชิงลบต่อศักยภาพการแข่งขันด้านการท่องเที่ยวของจังหวัดอย่างรุนแรง

ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายได้ยืนยันว่าโครงการนี้เป็นการเสริมสร้างโครงสร้างพื้นฐานสำคัญเพื่อรองรับการเติบโตด้านการท่องเที่ยวและการบินในอนาคต ซึ่งจะช่วยเปลี่ยนบทบาทของเชียงรายจากการเป็นเพียงจุดหมายปลายทางไปสู่การเป็นประตูการค้าและจุดเชื่อมต่อในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

นักวิเคราะห์ด้านการบินมองว่า การกำหนดเป้าหมายขีดความสามารถที่ 6 ล้านคนต่อปีนั้นสมเหตุสมผลเมื่อเทียบกับขนาดตลาดและศักยภาพของพื้นที่ โดยเป็นการจัดวางตำแหน่งเชิงกลยุทธ์ในฐานะศูนย์กลางระดับรอง (Secondary Regional Hub) ที่เสริมความแข็งแกร่งในตลาดเฉพาะทาง (Niche Market) ที่เชื่อมต่อกับประเทศเพื่อนบ้านและการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและธรรมชาติในภาคเหนือตอนบน ซึ่งแตกต่างจากท่าอากาศยานหลักอย่างภูเก็ตที่มีแผนขยายไปสู่ 18 ล้านคนต่อปี หรือเชียงใหม่ที่ตั้งเป้า 20 ล้านคนต่อปี

ผลตอบแทนที่คาดหวัง เกินกว่าตัวเลขทางการเงิน

การลงทุน 5,870 ล้านบาทในครั้งนี้ไม่ได้มุ่งเน้นเพียงผลตอบแทนทางการเงินในทันที แต่เป็นการลงทุนที่มองไปถึงผลกระทบทางเศรษฐกิจในวงกว้าง การเป็น “มหานครการบิน” (Aviation Metropolis) ที่มีขีดความสามารถ 6 ล้านคนต่อปีและมีบริการด้านโลจิสติกส์ครบวงจร จะช่วยสร้างการจ้างงาน กระตุ้นการลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง และเพิ่มรายได้ให้กับชุมชนท้องถิ่น

การพัฒนาศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยาน (MRO) และคลังสินค้าจะช่วยให้ ทอท. สามารถเพิ่มรายได้จากกิจกรรมที่ไม่เกี่ยวกับกิจการการบินโดยตรง ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายระยะยาวขององค์กรในการปรับสัดส่วนรายได้จากธุรกิจการบิน (Aeronautical) และธุรกิจอื่นๆ (Non-Aeronautical) ให้เป็น 50:50 นอกจากนี้ ผู้โดยสารระหว่างประเทศมักมีศักยภาพในการใช้จ่ายเชิงพาณิชย์สูงกว่า ทำให้รายได้ต่อผู้โดยสารเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

ความท้าทายและข้อควรระวัง

ถึงแม้โครงการจะมีศักยภาพสูง แต่ก็มีความท้าทายที่ต้องเผชิญ โดยเฉพาะช่วง “ช่องว่างความแออัด” ระหว่างปี 2573 ถึง 2575 ซึ่งท่าอากาศยานจะเข้าสู่ขีดความสามารถเต็มที่ 3 ล้านคน ขณะที่โครงการขยายยังไม่แล้วเสร็จ ทอท. จะต้องเตรียมมาตรการบริหารจัดการชั่วคราว เช่น การใช้ Remote Bay อย่างมีประสิทธิภาพ การปรับปรุงขั้นตอนการให้บริการ และการบริหารจัดการ Slot เพื่อรักษาคุณภาพการบริการ

นอกจากนี้ ความสำเร็จของโครงการยังขึ้นอยู่กับความสามารถในการดึงดูดสายการบินระหว่างประเทศให้มาเปิดเส้นทางใหม่ตามเป้าหมาย 1 ล้านคนต่อปี ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐ เอกชน และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยในการผลักดันและส่งเสริมการท่องเที่ยวเชียงรายในตลาดต่างประเทศอย่างจริงจัง

การบริหารโครงการก่อสร้างให้เป็นไปตามกำหนดเวลาก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญ การล่าช้าจะทำให้ช่องว่างความแออัดยาวนานขึ้น ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์และความสามารถในการแข่งขันของเชียงรายในระยะยาว ดังนั้น การติดตามความคืบหน้าและควบคุมคุณภาพอย่างเข้มงวดจึงเป็นสิ่งจำเป็น

มองไปข้างหน้า เชียงรายบนแผนที่การบินภูมิภาค

โครงการพัฒนาท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ระยะที่ 1 นี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการยกระดับเชียงรายให้เป็นศูนย์กลางการบินที่สำคัญในภูมิภาค การวางรากฐานที่แข็งแกร่งในขณะนี้จะช่วยให้เชียงรายสามารถแข่งขันและเติบโตได้อย่างยั่งยืนในอนาคต

ความสำเร็จของโครงการจะไม่เพียงแต่สร้างประโยชน์ให้กับ ทอท. และอุตสาหกรรมการบินเท่านั้น แต่จะเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจของภาคเหนือ สร้างงาน สร้างรายได้ และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน

การเชื่อมโยงกับเมืองใหญ่ในภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงและจีนตอนใต้จะเปิดโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ให้กับผู้ประกอบการไทย ขณะเดียวกัน นักท่องเที่ยวต่างชาติจะสามารถเข้าถึงเชียงรายได้สะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้น ซึ่งจะช่วยกระจายรายได้สู่ชุมชนท้องถิ่น โรงแรม ร้านอาหาร และธุรกิจบริการต่างๆ

บทบาทของเทคโนโลยีและนวัตกรรม

โครงการในครั้งนี้ไม่เพียงแต่เน้นการขยายโครงสร้างพื้นฐานทางกายภาพเท่านั้น แต่ยังให้ความสำคัญกับการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้ในการบริหารจัดการท่าอากาศยานสมัยใหม่ อาคารผู้โดยสารหลังใหม่จะได้รับการออกแบบให้รองรับระบบดิจิทัลที่ทันสมัย ตั้งแต่การเช็คอินอัตโนมัติ ระบบตรวจสอบความปลอดภัยที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง ไปจนถึงระบบจัดการสัมภาระที่มีประสิทธิภาพ

การใช้ระบบบริหารจัดการอาคารอัจฉริยะ (Smart Building Management System) จะช่วยลดการใช้พลังงาน ประหยัดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายการพัฒนาอย่างยั่งยืนของ ทอท. นอกจากนี้ ระบบข้อมูลและการสื่อสารที่ทันสมัยจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการประสานงานระหว่างหน่วยงานต่างๆ ภายในท่าอากาศยาน ทำให้การให้บริการมีความรวดเร็วและแม่นยำยิ่งขึ้น

มิติด้านความยั่งยืนและสิ่งแวดล้อม

ท่ามกลางความกังวลด้านสิ่งแวดล้อมที่เพิ่มมากขึ้นทั่วโลก ทอท. ได้ให้ความสำคัญกับการออกแบบและพัฒนาท่าอากาศยานที่คำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม การก่อสร้างอาคารใหม่จะเน้นการใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม มีระบบบำบัดน้ำเสียที่มีประสิทธิภาพ และการจัดการของเสียอย่างเป็นระบบ

ระบบระบายน้ำและการป้องกันน้ำท่วมได้รับการออกแบบให้รองรับปริมาณน้ำฝนที่เพิ่มขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การปลูกต้นไม้และจัดภูมิทัศน์รอบบริเวณท่าอากาศยานจะช่วยลดมลพิษทางอากาศและสร้างสภาพแวดล้อมที่น่าอยู่ นอกจากนี้ ยังมีการวางแผนใช้พลังงานทดแทน เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ เพื่อลดการพึ่งพาพลังงานจากเชื้อเพลิงฟอสซิล

การมีส่วนร่วมของชุมชนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย

ความสำเร็จของโครงการขนาดใหญ่อย่างนี้ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ด้วยการดำเนินงานของ ทอท. เพียงฝ่ายเดียว แต่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และชุมชนท้องถิ่น การประชาสัมพันธ์และการสร้างความเข้าใจกับชุมชนโดยรอบเกี่ยวกับผลกระทบและประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นจากโครงการเป็นสิ่งสำคัญ

การจ้างงานแรงงานท้องถิ่นในระหว่างการก่อสร้างและการดำเนินงานจะช่วยสร้างรายได้ให้กับครอบครัวในพื้นที่ โครงการฝึกอบรมและพัฒนาทักษะแรงงานเพื่อรองรับการขยายตัวของอุตสาหกรรมการบินและการท่องเที่ยวจะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน ในขณะเดียวกัน การพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการท้องถิ่นให้มีมาตรฐานและตอบโจทย์นักท่องเที่ยวต่างชาติก็เป็นโอกาสในการสร้างรายได้อย่างยั่งยืน

เปรียบเทียบกับสนามบินภูมิภาคอื่นในภูมิภาคอาเซียน

เมื่อมองในภาพกว้างของภูมิภาคอาเซียน การพัฒนาท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงเชียงรายเป็นส่วนหนึ่งของการแข่งขันที่ทวีความรุนแรงขึ้นในการดึงดูดนักท่องเที่ยวและการลงทุน ประเทศเพื่อนบ้านอย่างเวียดนามได้พัฒนาสนามบินในเมืองรองอย่าง ดานัง และเมืองโฮจิมินห์ให้เป็นศูนย์กลางการบินที่สำคัญ ขณะที่เมียนมาก็กำลังพัฒนาท่าอากาศยานในย่างกุ้งและมัณฑะเลย์

การลงทุนของไทยในครั้งนี้จึงเป็นการรักษาความสามารถในการแข่งขันและตอกย้ำบทบาทของไทยในฐานะศูนย์กลางการท่องเที่ยวและการบินในภูมิภาค การมีท่าอากาศยานที่ทันสมัยและมีประสิทธิภาพในทุกภูมิภาคของประเทศจะช่วยกระจายรายได้จากการท่องเที่ยวและลดความเหลื่อมล้ำระหว่างกรุงเทพฯ กับต่างจังหวัด

บทเรียนจากการขยายสนามบินในอดีต

ประสบการณ์จากการขยายท่าอากาศยานภูมิภาคอื่นๆ ของ ทอท. ให้บทเรียนที่มีค่า การวางแผนที่ดีและการคาดการณ์ความต้องการที่แม่นยำเป็นกุญแจสำคัญต่อความสำเร็จ ท่าอากาศยานภูเก็ตซึ่งเคยประสบปัญหาความแออัดอย่างรุนแรงในอดีต ได้รับการขยายและปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง จนปัจจุบันสามารถรองรับผู้โดยสารได้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

กรณีของท่าอากาศยานเชียงใหม่ก็ให้ข้อคิดสำคัญเช่นกัน การเติบโตของตลาดระหว่างประเทศที่รวดเร็วกว่าที่คาดการณ์ทำให้ต้องมีการปรับแผนและเร่งการพัฒนา สำหรับเชียงราย ทอท. ได้เรียนรู้จากประสบการณ์เหล่านี้และวางแผนให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น โดยเตรียมพร้อมสำหรับการขยายในระยะถัดไปหากความต้องการเพิ่มขึ้นเกินคาดการณ์

ผลกระทบต่อตลาดแรงงานและการศึกษา

การพัฒนาท่าอากาศยานจะส่งผลโดยตรงต่อตลาดแรงงานในพื้นที่ โดยเฉพาะความต้องการบุคลากรที่มีทักษะในอุตสาหกรรมการบิน การบริการ และการท่องเที่ยว สถาบันการศึกษาในจังหวัดเชียงรายและพื้นที่ใกล้เคียงจะได้รับโอกาสในการพัฒนาหลักสูตรและผลิตบุคลากรที่ตรงตามความต้องการของตลาด

มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงและสถาบันการศึกษาอื่นๆ สามารถพัฒนาหลักสูตรด้านการจัดการการบิน การบริหารโรงแรมและการท่องเที่ยว การโลจิสติกส์ และธุรกิจระหว่างประเทศ เพื่อรองรับความต้องการบุคลากรในอนาคต การฝึกอบรมวิชาชีพระยะสั้นในด้านต่างๆ เช่น การบริการลูกค้า ภาษาต่างประเทศ และทักษะดิจิทัล จะช่วยเปิดโอกาสให้คนในพื้นที่เข้าสู่ตลาดแรงงานที่มีรายได้ดีขึ้น

แนวโน้มการท่องเที่ยวและโอกาสทางธุรกิจ

ตลาดการท่องเที่ยวโลกกำลังเปลี่ยนแปลงไป นักท่องเที่ยวในปัจจุบันมีความสนใจในการท่องเที่ยวเชิงประสบการณ์ วัฒนธรรม และธรรมชาติมากขึ้น เชียงรายมีจุดเด่นในด้านนี้ด้วยมรดกทางวัฒนธรรมล้านนา ชุมชนชนเผ่าที่หลากหลาย และธรรมชาติที่สวยงาม

การเข้าถึงที่สะดวกขึ้นจะช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวกลุ่มใหม่ๆ โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวคุณภาพสูงที่มีกำลังซื้อดี และมองหาประสบการณ์ที่แตกต่างจากแหล่งท่องเที่ยวหลัก ธุรกิจโรงแรมบูติค รีสอร์ทเชิงนิเวศ ร้านอาหารท้องถิ่น และกิจกรรมการท่องเที่ยวเชิงผจญภัยจะมีโอกาสเติบโตอย่างมาก

นอกจากนี้ การเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์จะเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการส่งออกสินค้าเกษตรและผลิตภัณฑ์แปรรูปจากภาคเหนือไปยังตลาดในจีนและอาเซียนได้สะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้น ซึ่งจะช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าและสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรและผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม

ข้อเสนอแนะสำหรับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย

สำหรับผู้ประกอบการในพื้นที่ โอกาสนี้เป็นเวลาที่เหมาะสมในการเตรียมความพร้อมทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐาน คุณภาพบริการ และมาตรฐานสากล การศึกษาตลาดเป้าหมายและความต้องการของนักท่องเที่ยวแต่ละกลุ่มจะช่วยให้สามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการที่ตรงใจ การสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างผู้ประกอบการเพื่อแบ่งปันทรัพยากรและความรู้จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน

สำหรับภาครัฐ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเชื่อมต่อ เช่น ถนน ระบบขนส่งสาธารณะ และสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับนักท่องเที่ยว เป็นสิ่งจำเป็นที่จะช่วยให้ท่าอากาศยานที่ได้รับการพัฒนาสามารถสร้างประโยชน์สูงสุด การจัดทำแผนพัฒนาเมืองและการบริหารจัดการการเติบโตอย่างยั่งยืนจะช่วยป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นจากการขยายตัวอย่างรวดเร็ว

สำหรับชุมชนท้องถิ่น การเตรียมความพร้อมทั้งด้านทักษะ ภาษา และการบริการจะช่วยให้สามารถใช้ประโยชน์จากโอกาสที่เกิดขึ้น การอนุรักษ์และส่งเสริมเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมท้องถิ่นจะช่วยสร้างความแตกต่างและดึงดูดนักท่องเที่ยวที่มองหาประสบการณ์แท้จริง

ข้อมูลสำคัญและสถิติสรุป

  • งบประมาณโครงการ: 5,870 ล้านบาท
  • ขีดความสามารถปัจจุบัน: 3 ล้านคนต่อปี
  • ขีดความสามารถเป้าหมาย: 6-8 ล้านคนต่อปี
  • ผู้โดยสารปีงบ 2568: 1.94 ล้านคน (เติบโต 2.3%)
  • จำนวนเที่ยวบินปีงบ 2568: 12,897 เที่ยวบิน (เติบโต 5.2%)
  • อัตราการใช้ขีดความสามารถปัจจุบัน: 64.67%
  • เป้าหมายผู้โดยสารระหว่างประเทศ: 1 ล้านคนต่อปี
  • กำหนดแล้วเสร็จ: ปี 2575
  • จุดอิ่มตัวขีดความสามารถเดิม: คาดว่าจะเกิดขึ้นในปี 2573-2574

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) – ทอท. (AOT)
  • ท่าอากาศยานนานาชาติแม่ฟ้าหลวง เชียงราย (CEI)
  • Flightradar24
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

ทอท. ผงาดเวที ICAO “ดร.สมชนก” นำคณะทำงานยกระดับมาตรฐานสนามบินเอเชีย-แปซิฟิก

ทอท.ผงาดเวทีบินสากล—“นาวาอากาศตรี ดร.สมชนก เทียมเทียบรัตน์” ขับเคลื่อนคณะทำงาน ICAO ภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ยกระดับมาตรฐานสนามบินไทยสู่ระดับโลก

เชียงราย, 21 กันยายน 2568 — ยามเช้าที่หมอกบางโอบล้อมแนวเทือกเขาเหนือสุดของสยาม เสียงเดินเครื่องของรถบริการภาคพื้นบนรันเวย์ “แม่ฟ้าหลวง–เชียงราย” ดังเป็นจังหวะ งานทุกชิ้นที่สนามบินต้อง “เป๊ะ” ในระดับเซนติเมตร ตั้งแต่ตำแหน่งหลุมจอดไปจนถึงความกว้างเส้นสีเหลืองบนพื้นคอนกรีต เพราะมาตรฐานความปลอดภัยทางการบินวันนี้ไม่ได้หยุดอยู่ที่ “ทำตามคู่มือ” แต่กำลังยกระดับสู่ “ออกแบบมาตรฐานร่วมกัน” ในเวทีนานาชาติ—และคนไทยกำลังอยู่หน้าห้องประชุมคุมทิศ

บนเวทีนั้นคือ นาวาอากาศตรี ดร.สมชนก เทียมเทียบรัตน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ สายงานมาตรฐานท่าอากาศยานและการบิน บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (ทอท.) และผู้อำนวยการท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง–เชียงราย ผู้ได้รับความไว้วางใจให้ทำหน้าที่ ประธานคณะทำงาน Asia/Pacific Aerodrome Design and Operations Task Force (AP-ADO/TF) ภายใต้องค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) ระดับภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ต่อเนื่องในช่วงการประชุมวาระล่าสุดของคณะทำงานชุดนี้ ซึ่งมีสาระสำคัญว่าด้วย “มาตรฐาน” และ “ข้อแนะนำพึงปฏิบัติ (SARPs)” สำหรับการ วางแผน-ออกแบบ-ปฏิบัติการท่าอากาศยาน ให้เท่าทันความเสี่ยงและเทคโนโลยีใหม่ ๆ ในโลกการบินที่เปลี่ยนเร็ว (เช่น ระบบไฟส่องสว่าง, เส้นเครื่องหมาย, ระยะห่างไฟขอบทางวิ่ง, มาตรฐานพื้นที่ปลอดภัยปลายรันเวย์ RESA ฯลฯ) โดยยึดกรอบแกนกลางจาก ICAO Annex 14 Volume I: Aerodrome Design and Operations ซึ่งเป็น “คัมภีร์สนามบิน” ของโลกการบินพลเรือนยุคใหม่

จากเจ้าภาพ “เวทีเทคนิค” สู่ผู้นำความคิดของภูมิภาค

บทบาทของไทยไม่ได้เกิดจาก “คำประกาศ” แต่สะสมจาก “การทำจริง” หลายปีติดต่อกัน—เชียงราย ในฐานะสนามบินภูมิภาค ได้รับความเชื่อมั่นให้เป็นเจ้าภาพประชุม AP-ADO/TF ติดต่อกัน และถูกใช้เป็น “สนามเรียนรู้จริง” ให้ผู้แทนจากนานาชาติลงพื้นที่ดูการปฏิบัติการ airside ก่อนถอดบทเรียนเชิงมาตรฐานในห้องประชุม กว่า 13 ประเทศเข้าร่วมเมื่อครั้งประชุมปี 2567 ที่มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงเป็นสถานที่หลัก โดยมี นาวาอากาศตรี ดร.สมชนก ทำหน้าที่ประธานคุมวาระอย่างต่อเนื่อง สะท้อนความไว้วางใจของภาคี ICAO ในระดับภูมิภาคที่มีต่อประเทศไทยและทอท. ในเชิงเนื้อหาและการประสานความร่วมมือข้ามประเทศ

น้ำหนักของเวทีนี้ไม่ใช่ “พิธีการ” แต่คือการไล่แก้โจทย์ยาก ๆ ที่สนามบินทั่วโลกกำลังเผชิญ เช่น ค่าความคลาดเคลื่อน (tolerance) ของขนาด-ระยะ-ตำแหน่ง เส้นเครื่องหมายบนพื้นผิว และ การติดตั้งไฟส่องสว่าง ซึ่งหากมาตรฐานใน Annex 14 กำหนดไม่ชัดหรือไม่สอดคล้องกันระหว่างหัวข้อ อาจทำให้สนามบินตีความต่างกันและเกิดความเสี่ยงได้ เอกสารทำงานล่าสุดจากการประชุม AP-ADO/TF/6 (ก.พ. 2568, ลังกาวี) นำเสนอการเปรียบเทียบมาตรฐาน Annex 14 กับแนวปฏิบัติของ FAA สหรัฐฯ และ CAA สหราชอาณาจักร เพื่อตกผลึกค่าคลาดเคลื่อนที่ยอมรับได้ในทางปฏิบัติ (เช่น ±5%) เพื่อให้เกิด “ภาษาเดียวกัน” ทั้งภูมิภาค—นี่คือชิ้นงานเชิงเทคนิคที่ไทยอยู่แถวหน้าในการขับเคลื่อนร่วมกับคณะทำงานภูมิภาค

ทำไม “เก้าอี้ประธานคณะทำงานเชิงเทคนิค” จึงสำคัญต่อไทย

  1. จากผู้รับมาตรฐาน สู่ผู้ร่วมกำหนดมาตรฐาน – การมี ประธานคณะทำงาน อยู่ในมือ ทำให้เสียงของไทย “ได้ยิน” ตั้งแต่ยกร่างจนถึงเสนอแก้ไขข้อความใน Annex 14 เมื่อเจอปัญหาจริงในสนามบินไทย เราสามารถยกกรณีศึกษาเข้าสู่วาระภูมิภาคได้โดยตรง ส่งผ่าน “บทเรียนจากภาคปฏิบัติ” สู่ถ้อยคำมาตรฐานสากลที่ทุกประเทศต้องอ้างอิง
  2. ลดต้นทุนความไม่แน่นอน – มาตรฐานที่ชัดเท่ากันทั้งภูมิภาค ช่วยให้การออกแบบ-ก่อสร้าง-บำรุงรักษาโครงสร้างสนามบินเป็นไปในแนวเดียวกัน ลดความเสี่ยงในการตีความต่าง ช่วย “ลดต้นทุนรวม” ของระบบการบินและการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในระยะยาว (ทั้งฝั่งสนามบินและสายการบิน) เพราะทุกฝ่ายวางแผนบนฐานกติกาเดียวกัน
  3. เสริมสถานะฮับการบินของประเทศ – ไทยกำลังลงทุนขยายโครงสร้างพื้นฐานสนามบินหลักและภูมิภาค วาระนี้ต้องอาศัย “ความน่าเชื่อถือด้านมาตรฐานความปลอดภัย” เป็นใบอนุญาตทางสังคม (social licence) และเป็นคำตอบแก่นักลงทุน-สายการบิน การที่ผู้บริหารทอท. ขึ้นนำเวทีเทคนิคของ ICAO/เอเชีย-แปซิฟิก จึงช่วยยืนยันว่า “ไทยไม่ได้แค่ตามมาตรฐาน แต่ช่วยกันเขียนมาตรฐาน”

“งานช่างละเอียด” ที่เปลี่ยนอนาคตสนามบิน

หากเปิดเอกสารทำงาน AP-ADO/TF/6 จะเห็นว่าการประชุมไม่ได้คุย “กว้าง ๆ” แต่ไล่ถึงระดับมิลลิเมตรของเส้นสีบนรันเวย์ และ “ระยะดวงไฟ” ที่ต้องคงที่เพื่อช่วยนักบินในสภาวะทัศนวิสัยต่ำ ประเด็นที่หยิบมาถก ได้แก่

  • ค่าความคลาดเคลื่อนของเครื่องหมายพื้นผิว (runway/taxiway markings): ข้อเสนอให้กำหนด tolerance ที่ชัดเจน (เช่น ความกว้างเส้นกึ่งกลางทางขับ 0.15 เมตร อนุโลมคลาดเคลื่อนเล็กน้อย) เพื่อความสม่ำเสมอระหว่างสนามบิน ลดความเสี่ยงจากการตีความ Annex 14 ต่างกันในแต่ละรัฐ
  • ไฟส่องสว่างภาคพื้น (airfield ground lighting): เสนอการทบทวนระยะห่างไฟขอบทางวิ่ง-ทางขับที่ยอมรับได้ เพื่อให้แน่ใจว่าระบบไฟ “พาเครื่องบิน” ได้อย่างเที่ยงตรงแม้หมอกหนา ฝนหนัก หรือเที่ยวบินกลางคืน—หัวใจของความปลอดภัยและความต่อเนื่องทางปฏิบัติการ
  • ความสอดคล้องของถ้อยคำใน Annex 14: ชี้ “จุดไม่สอดคล้อง” บางข้อที่อาจสร้างความสับสน เช่น การตีเส้นกึ่งกลางทางขับ-เครื่องหมายจุดสิ้นสุดรันเวย์-ระบบไฟนำร่อน และเสนอให้ ICAO ปรับปรุงถ้อยคำให้เป็นเอกภาพมากขึ้น เพื่อให้ทุกสนามบินทำงานบนฐานกติกาเดียวกัน (one interpretation)

สิ่งเหล่านี้ดูเหมือนรายละเอียดเชิง “ช่าง” แต่ผลลัพธ์คือ ความปลอดภัยเชิงระบบ ที่สัมผัสได้: ลดความคลาดเคลื่อนในการมองเห็น-การนำร่อน เพิ่มความมั่นใจของสายการบิน และเปิดพื้นที่ให้สนามบินภูมิภาค—อย่างเชียงราย—ก้าวสู่บทบาทเครื่องยนต์เศรษฐกิจของเมืองและกลุ่มจังหวัดเหนือบนได้อย่างมีมาตรฐานรองรับ

น้ำหนักทางยุทธศาสตร์ ไทยในบทบาท “พี่เลี้ยง” ของภูมิภาค

การขับเคลื่อนของ AP-ADO/TF ยังสอดรับกับเจตนารมณ์ ICAO “No Country Left Behind” ที่ต้องการยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยให้ทั่วถึงทั้งภูมิภาค ผ่านการถ่ายทอดองค์ความรู้-ฝึกอบรม-พัฒนาเอกสารคำแนะนำ—บทบาท “ประธานคณะทำงาน” จึงไม่ใช่แค่คุมประชุม แต่คือการสร้างเครือข่ายความช่วยเหลือทางเทคนิคกับรัฐสมาชิก เพื่อให้ทุกสนามบินเดินไปข้างหน้าด้วยกัน ลด “ช่องว่างมาตรฐาน” ที่อาจกลายเป็นความเสี่ยงข้ามพรมแดนในระบบการบินที่เชื่อมต่อกันทั้งภูมิภาค

“เชียงราย” ห้องทดลองมาตรฐานจริง

ความต่อเนื่องที่เชียงรายได้เป็นเจ้าภาพและเวทีเรียนรู้เชิงปฏิบัติ ช่วยให้ผู้แทนจากต่างประเทศ “เห็นของจริง” ตั้งแต่ขั้นตอนปฏิบัติ airside ไปจนถึงการจัดการผู้โดยสาร-สัมภาระ-ระบบความปลอดภัย—ก่อนกลับเข้าห้องประชุมเพื่อกลั่นมาตรการที่ทำได้จริง ไม่ใช่เพียงถ้อยคำสวยงามในเอกสาร การที่ ผู้อำนวยการสนามบิน คนเดียวกันรับบท “ประธานคณะทำงาน” ต่อเนื่องหลายวาระ ช่วยเชื่อมโลกของ “มาตรฐานบนกระดาษ” เข้ากับ “โลกจริงบนรันเวย์” อย่างไร้รอยต่อ นี่คือเหตุผลที่เครือข่าย ICAO ในภูมิภาคมองไทยเป็นแหล่ง “องค์ความรู้จากภาคปฏิบัติ” ที่แบ่งปันได้

สิ่งที่ไทยควรทำ “ต่อจากนี้”

  1. ตั้งระบบถ่ายทอดองค์ความรู้เข้าข้างใน – ทุกบทเรียนและข้อเสนอเชิงเทคนิคจาก AP-ADO/TF ควรถูก “ดึงเข้าองค์กร” อย่างเป็นระบบ สู่คู่มือ-มาตรฐานปฏิบัติของทอท. ครอบคลุมสนามบินทั้ง 6 แห่ง เพื่อลด “ช่องว่างความรู้” ระหว่างสนามบินใหญ่กับสนามบินภูมิภาค
  2. เป็นผู้เสนอนวัตกรรมมาตรฐานใหม่ – สนับสนุนทีมผู้เชี่ยวชาญไทยจัดทำ เอกสารทำงาน (Working Paper) ยกประเด็นใหม่ ๆ เข้าสู่เวทีภูมิภาค เช่น แสงสะท้อนจากแผงโซลาร์เซลล์ใกล้เขตการบิน, ผลกระทบของโดรนต่อการออกแบบเขตปลอดสิ่งกีดขวาง, หรือการใช้ข้อมูลสภาพผิวรันเวย์แบบเรียลไทม์กับการจัดการความเสี่ยง—จากนั้นผลักต่อสู่การปรับภาษา Annex 14 ในขั้นถัดไป
  3. รักษาความต่อเนื่องการเป็นเจ้าภาพ – การเสนอตัวจัดประชุม/เวิร์กช็อป ICAO/APAC อย่างต่อเนื่อง จะตอกย้ำบทบาทไทยในฐานะ “ศูนย์กลางความเชี่ยวชาญสนามบิน” ของภูมิภาค และเปิดโอกาสให้บุคลากรไทยได้ฝึกมือกับโจทย์ระดับเอเชีย-แปซิฟิกอย่างสม่ำเสมอ

มาตรฐานที่ดี = ความปลอดภัยที่จับต้องได้ = ความเชื่อมั่นที่แปรเป็นโอกาสเศรษฐกิจ

มาตรฐาน Annex 14 ไม่ใช่ศัพท์เทคนิคที่ไกลตัวผู้โดยสาร—มันคือ “ความปลอดภัยที่จับต้องได้” ตั้งแต่เส้นสีที่เห็นยันขอบรันเวย์ไปจนถึงไฟทางขับที่พาเครื่องไปถึงหลุมจอดอย่างแม่นยำ ยิ่งมาตรฐานชัด-ตีความตรงกันทั้งภูมิภาค ยิ่งลด “จุดเสี่ยง” ที่อาจนำไปสู่อุบัติการณ์ ยิ่งสร้างความเชื่อมั่นแก่สายการบินในการเปิด/เพิ่มความถี่เส้นทาง ทั้งหมดนี้แปลตรงไปสู่ ต้นทุนประสิทธิภาพ ที่ดีขึ้นของสนามบิน และ โอกาสทางเศรษฐกิจ ของเมืองและประเทศ—โดยเฉพาะสนามบินภูมิภาคอย่างเชียงรายที่กำลังถูกวางบทบาทเป็น “ประตูเศรษฐกิจภาคเหนือบน”

ในแง่นี้ เก้าอี้ประธานคณะทำงานของ นาวาอากาศตรี ดร.สมชนก จึงมีนัยมากกว่าตำแหน่งส่วนบุคคล แต่คือ หลักหมุด ที่ตอกย้ำว่า “ไทยพร้อมและสามารถ” เป็นผู้นำความคิดในเวทีมาตรฐานสากล ขณะเดียวกันก็รับฟัง-ดึงองค์ความรู้กลับมาขับเคลื่อนการยกระดับสนามบินในประเทศอย่างเป็นระบบ

เมื่อสนามบินไทย “ออกแบบอนาคต” ร่วมกับโลก

โลกการบินหลังโควิดฯ กำลังโตกลับอย่างรวดเร็วและเปลี่ยนกติกา เช่น เทคโนโลยีการนำร่อน, ระบบไฟส่องสว่างอัจฉริยะ, เครื่องบินประหยัดพลังงานรุ่นใหม่, โดรน, และข้อมูลสภาพรันเวย์แบบเรียลไทม์ มาตรฐาน Annex 14 จึงต้องถูก “รีเฟรช” ต่อเนื่องให้ทันเทคโนโลยีและความเสี่ยงใหม่ ๆ เวที AP-ADO/TF ทำหน้าที่เป็น ห้องทดลองนโยบายเทคนิค ระดับภูมิภาค ก่อนป้อนข้อเสนอไปสู่การแก้ไขภาคผนวก (amendment) ในระดับสภา ICAO สิ่งที่ไทยได้—นอกจากชื่อชั้น—คือ โอกาสเรียนรู้ก่อน ปรับใช้ได้เร็วกว่า และ “ออกแบบสนามบิน” บนข้อมูลจริงที่ช่วยให้การลงทุนคุ้มค่า-ปลอดภัย-เป็นสากล

“บทบาทของเราบนเวทีสากลไม่ได้จบที่การประชุม แต่จะเริ่มต้นใหม่ทุกครั้งที่เรานำมาตรฐานกลับมาปรับใช้ในสนามบินไทย—จากเส้นสีบนพื้นรันเวย์ ไปจนถึงไฟดวงสุดท้ายปลายทางขับ ทุกจุดมีเหตุผลทางความปลอดภัยรองรับเสมอ”
— มุมมองจากผู้เชี่ยวชาญท่าอากาศยาน (สรุปสาระจากเอกสารและถ้อยคำในวงประชุม AP-ADO/TF/6)

เมื่อเรื่องมาตรฐานไม่ใช่ภารกิจของ “กฎระเบียบ” อย่างเดียว แต่คือ “สัญญาประชาคม” ว่าผู้โดยสารทุกคนจะขึ้น-ลงได้อย่างปลอดภัยในทุกเที่ยวบิน การที่ไทยมี “มือ” อยู่บนพวงมาลัยเวทีนี้ จึงเท่ากับได้อยู่ “หัวขบวน” ของการออกแบบอนาคตสนามบินเอเชีย-แปซิฟิก และนั่นหมายถึงการแปลงมาตรฐานให้เป็นความพร้อมของเมืองและโอกาสใหม่ของเศรษฐกิจฐานรากในที่สุด

สรุปสาระสำคัญ

  • นาวาอากาศตรี ดร.สมชนก เทียมเทียบรัตน์ จากทอท. ทำหน้าที่ ประธานคณะทำงาน AP-ADO/TF ของ ICAO/เอเชีย-แปซิฟิก ต่อเนื่องในช่วงการประชุมล่าสุด (การประชุมครั้งที่ 5-6) ตอกย้ำความไว้วางใจต่อไทยในเวทีมาตรฐานสากลด้านท่าอากาศยาน
  • เวที AP-ADO/TF/6 (ก.พ. 2568, ลังกาวี) เดินหน้า “ปิดจุดเสี่ยงจากความไม่สอดคล้องเชิงมาตรฐาน” โดยเฉพาะค่าความคลาดเคลื่อนของเส้นเครื่องหมายและระบบไฟส่องสว่างภาคพื้น เพื่อให้ทุกสนามบินทำงานบนกติกาเดียวกันทั้งภูมิภาค
  • ฐานความรู้หลักยึด ICAO Annex 14 Volume I ที่เพิ่งมีการพัฒนาต่อเนื่องในระดับสภา ICAO เพื่อให้เท่าทันเทคโนโลยีและความเสี่ยงยุคใหม่—มาตรฐานที่ดี = ความปลอดภัยที่จับต้องได้ = ความเชื่อมั่นที่แปรเป็นโอกาสเศรษฐกิจของประเทศ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • ICAO Asia/Pacific – AP-ADO/TF/6 Working Paper
  • ICAO Asia/Pacific – AOP SG/9, WP/08
  • International Civil Aviation Organization (ICAO)
  • มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง (MFU)
  • ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง–เชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

AOT ผุดแผนเมืองใหม่ รอบสนามบิน ‘เชียงราย’

AOT จัดโชว์เคสพื้นที่เชียงราย 762 ไร่ ปั้นศูนย์กลางเศรษฐกิจใหม่รอบสนามบิน

เชียงราย, 3 พฤษภาคม 2568 – บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT เปิดโอกาสครั้งสำคัญ จัดงาน “AOT Property Showcase: The Six Pillars of Opportunity” เพื่อดึงดูดภาคเอกชนเข้ามาร่วมลงทุนพัฒนาพื้นที่ศักยภาพสูงรอบสนามบินแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ขนาด 762 ไร่ รวมทั้ง 6 ท่าอากาศยานทั่วประเทศ มูลค่ารวมกว่า 28,800 ล้านบาท สร้างแรงขับเคลื่อนสู่การเป็น Aviation Hub แห่งภูมิภาคเอเชีย

เปิดฉากครั้งสำคัญของพื้นที่เศรษฐกิจเชียงราย

จังหวัดเชียงราย ได้รับเลือกเป็นหนึ่งในจุดยุทธศาสตร์สำคัญ โดยเฉพาะบริเวณพื้นที่สนามบินแม่ฟ้าหลวง ขนาดพื้นที่รวม 762 ไร่ ซึ่ง AOT เตรียมพัฒนาภายใต้รูปแบบการเช่าที่ดินระยะยาว (Leasehold) สูงสุดถึง 30 ปี บริเวณพื้นที่นี้ตั้งอยู่ในตำแหน่งทำเลทอง ติดถนนสายหลักเข้าสู่ตัวเมืองเชียงราย เดินทางสู่สนามบินได้สะดวกภายใน 5 นาที พร้อมรองรับการลงทุนที่หลากหลายทั้งโรงแรมระดับพรีเมียม ศูนย์การค้า ศูนย์โลจิสติกส์ และโครงการที่พักอาศัยแบบครบวงจร

ภายในงานดังกล่าว ได้รับเกียรติจากนายยงยุทธ ชัยพรหมประสิทธิ์ กรรมการอิสระและประธานกรรมการบริหารความเสี่ยง AOT นางสาวไตรทิพย์ ศิวะกฤษณ์กุล กรรมการ AOT และ นางสาวปวีณา จริยฐิติพงศ์ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ (สายงานวิศวกรรมและการก่อสร้าง) รักษาการผู้อำนวยการใหญ่ AOT ร่วมเป็นประธานพิธีเปิดอย่างเป็นทางการ ณ โรงแรม Mövenpick BDMS Wellness Resort กรุงเทพฯ

จุดยุทธศาสตร์เศรษฐกิจใหม่ ณ สนามบินเชียงราย

พื้นที่สนามบินแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มพื้นที่สำคัญอันดับต้นๆ จาก 6 เสาหลักของโอกาสการลงทุน (The Six Pillars of Opportunity) เนื่องจากมีจุดแข็งสำคัญคือทำเลที่ตั้งในเขตเมืองหลักของภาคเหนือ และมีแนวโน้มการเติบโตอย่างชัดเจน โดยเฉพาะศักยภาพการเป็นประตูเชื่อมต่ออนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขงและประเทศเพื่อนบ้านอย่างเมียนมา ลาว และจีนตอนใต้

นายยงยุทธ ชัยพรหมประสิทธิ์ กล่าวว่า การพัฒนาพื้นที่สนามบินเชียงราย จะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในการผลักดันเชียงรายสู่เมืองเศรษฐกิจใหม่ (New Economic Hub) และเมืองการบินที่ครบวงจร โดยการลงทุนจากภาคเอกชนจะสร้างการจ้างงานทั้งทางตรงและทางอ้อมให้กับประชาชนในพื้นที่ และยังช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่นให้เติบโตอย่างยั่งยืน

ศักยภาพรอบด้าน ดึงดูดการลงทุนระดับนานาชาติ

จุดเด่นสำคัญของพื้นที่สนามบินแม่ฟ้าหลวง เชียงราย คือการเดินทางที่สะดวกรวดเร็ว เชื่อมต่อถนนสายหลัก เข้าสู่ตัวเมืองเชียงรายและจังหวัดใกล้เคียง รวมถึงอยู่ใกล้แหล่งท่องเที่ยวสำคัญ เช่น วัดร่องขุ่น สิงห์ปาร์ค และแหล่งท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติอีกมากมาย

นายศิโรตม์ ดวงรัตน์ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ AOT กล่าวเพิ่มเติมว่า เชียงรายมีศักยภาพด้านการท่องเที่ยวที่โดดเด่น การลงทุนด้านที่พักและศูนย์การค้ารอบสนามบินจะช่วยรองรับจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นในอนาคต โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวคุณภาพจากต่างประเทศ รวมทั้งยังสามารถพัฒนาเป็น Premium Outlet หรือศูนย์การค้าขนาดใหญ่ระดับภูมิภาค เพื่อรองรับกลุ่มนักท่องเที่ยวเชิงคุณภาพอีกด้วย

แนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืนและครบวงจร

AOT ได้วางแผนการลงทุนในพื้นที่สนามบินเชียงรายให้สอดรับกับยุทธศาสตร์ประเทศ ทั้งในด้านโลจิสติกส์ การค้า การบริการ และการท่องเที่ยว รวมถึงการสนับสนุนการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ (Smart City) และโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีที่ทันสมัย เพื่อรองรับความต้องการในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ดร.กิริฎา เภาพิจิตร ผู้อำนวยการโครงการ TDRI Economic Intelligence Service ให้มุมมองว่า การพัฒนาพื้นที่สนามบินเชียงรายจะช่วยสร้างศูนย์กลางการลงทุนใหม่ในภูมิภาคเหนือ และช่วยลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจระหว่างเมืองใหญ่กับเมืองรองได้อีกด้วย

สถิติสำคัญที่สนับสนุนการลงทุน

ข้อมูลจากกรมท่าอากาศยานและสำนักงานสถิติแห่งชาติ ปี 2567 พบว่า ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย มีผู้โดยสารใช้บริการกว่า 2.8 ล้านคนต่อปี เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเฉลี่ยร้อยละ 7-9 ต่อปี และมีเที่ยวบินรวมกว่า 18,000 เที่ยวบินต่อปี ทำให้เชียงรายติดอันดับ 4 ของท่าอากาศยานภูมิภาคที่มีจำนวนผู้โดยสารสูงสุดในประเทศไทย (รองจากภูเก็ต เชียงใหม่ และหาดใหญ่) ซึ่งสะท้อนถึงแนวโน้มการเติบโตด้านเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวในพื้นที่จังหวัดเชียงรายที่มีความชัดเจนและมั่นคงในระยะยาว

(ที่มา: กรมท่าอากาศยาน, สำนักงานสถิติแห่งชาติ)

วิเคราะห์และโอกาสในอนาคต

จากศักยภาพทำเล และแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจของเชียงรายที่แข็งแกร่ง ประกอบกับการสนับสนุนจากภาครัฐในการผลักดันพื้นที่รอบสนามบินให้กลายเป็นเมืองเศรษฐกิจใหม่ ถือเป็นโอกาสทองที่นักลงทุนไม่ควรพลาด เนื่องจากจะได้รับผลตอบแทนที่มั่นคงในระยะยาว อีกทั้งยังช่วยสร้างประโยชน์ให้กับชุมชน และประชาชนในพื้นที่ได้อย่างยั่งยืนอีกด้วย

สำหรับนักลงทุนที่สนใจรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับการลงทุนในพื้นที่สนามบินแม่ฟ้าหลวง เชียงราย และสนามบินอีก 5 แห่งทั่วประเทศ สามารถติดต่อได้ที่ฝ่ายบริหารทรัพย์สิน AOT โทร. 0 2132 2031, 0 2132 2190

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (AOT)
  • กรมท่าอากาศยาน
  • สำนักงานสถิติแห่งชาติ (ปี 2567)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
NEWS UPDATE

สงกรานต์คึกคัก ‘เชียงใหม่’ เที่ยวได้ ฟรีจอดรถ 4 สนามบิน

รัฐบาลเตรียมพร้อมรับมือสงกรานต์ 2568 เพิ่มเที่ยวบิน-เปิดจอดรถฟรี ท่าอากาศยานเชียงรายพร้อมเต็มที่รับนักเดินทาง

ประเทศไทย, 9 เมษายน 2568 – รัฐบาลโดยกระทรวงคมนาคมเตรียมความพร้อมเต็มรูปแบบในการรองรับการเดินทางของประชาชนในช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2568 ซึ่งเป็นช่วงที่มีประชาชนเดินทางภายในประเทศและระหว่างประเทศอย่างหนาแน่น โดยมุ่งเน้นการบริหารจัดการด้านการคมนาคมในท่าอากาศยานหลักทั่วประเทศ รวมถึงท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย ซึ่งถือเป็นหนึ่งในประตูการเดินทางสำคัญของภาคเหนือที่มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการรองรับนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติในช่วงเวลาดังกล่าว

มาตรการรับมือผู้โดยสารช่วงสงกรานต์

นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลได้สั่งการให้กระทรวงคมนาคม ร่วมกับบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งดำเนินการตามแผนรองรับการเดินทางของประชาชน โดยเน้นการลดความแออัดในอาคารผู้โดยสาร การเพิ่มเจ้าหน้าที่บริการ และอำนวยความสะดวกในด้านการตรวจเอกสาร การเช็กอิน และการจัดระเบียบการเดินทางในพื้นที่ท่าอากาศยานหลักทั้ง 6 แห่ง ได้แก่

  1. ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ทสภ.)
  2. ท่าอากาศยานดอนเมือง (ทดม.)
  3. ท่าอากาศยานเชียงใหม่ (ทชม.)
  4. ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย (ทชร.)
  5. ท่าอากาศยานภูเก็ต (ทภก.)
  6. ท่าอากาศยานหาดใหญ่ (ทหญ.)

ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย พร้อมต้อนรับนักเดินทาง

ในส่วนของจังหวัดเชียงราย ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง ได้เตรียมการรองรับผู้โดยสารอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะจากแนวโน้มการเดินทางเข้าสู่พื้นที่ท่องเที่ยวภาคเหนือที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยจังหวัดเชียงรายถือเป็นหนึ่งในปลายทางยอดนิยม ทั้งในด้านการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ธรรมชาติ และกิจกรรมสงกรานต์พื้นเมือง

ในช่วงสงกรานต์นี้ คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าสู่เชียงรายจำนวนมาก โดยเฉพาะจากกรุงเทพฯ เชียงใหม่ และต่างประเทศ เช่น จีนและลาว ผ่านเที่ยวบินตรงมายังสนามบินเชียงราย ซึ่ง ทอท. ได้เพิ่มเจ้าหน้าที่ประจำเคาน์เตอร์เช็กอิน การดูแลผู้โดยสาร และเพิ่มความถี่ของการทำความสะอาดพื้นที่ส่วนรวม เพื่อให้ทุกการเดินทางเป็นไปด้วยความราบรื่นและปลอดภัย

ข้อมูลเที่ยวบิน-ผู้โดยสาร เพิ่มขึ้นชัดเจน

บริษัท ท่าอากาศยานไทย (ทอท.) ได้ประมาณการเที่ยวบินและจำนวนผู้โดยสารระหว่างวันที่ 11–17 เมษายน 2568 พบว่า

  • เที่ยวบินระหว่างประเทศมีจำนวน 267,603 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 9.1%
  • เที่ยวบินภายในประเทศมีจำนวน 213,792 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 22.7%
  • รวมผู้โดยสารทั้งหมด 79,191,431 คน เพิ่มขึ้น 18.3%
    • ผู้โดยสารระหว่างประเทศ 48,243,845 คน เพิ่มขึ้น 14.1%
    • ผู้โดยสารภายในประเทศ 30,947,586 คน เพิ่มขึ้น 25.5%

การเพิ่มขึ้นของเที่ยวบินและผู้โดยสารสะท้อนให้เห็นถึงการฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งของภาคการท่องเที่ยว และความเชื่อมั่นของนักเดินทางในการเดินทางภายในประเทศ

จอดรถฟรี 4 สนามบินทั่วประเทศ

เพื่อส่งมอบความสะดวกแก่ผู้โดยสาร รัฐบาลได้เปิดพื้นที่ “จอดรถฟรี” ณ ท่าอากาศยาน 4 แห่ง ระหว่างวันที่ 12 – 16 เมษายน 2568 ได้แก่

  1. ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ – ลานจอดรถระยะยาว โซน C
  2. ท่าอากาศยานดอนเมือง – ลานจอดหน้าตึกจอดรถ 5 ชั้น
  3. ท่าอากาศยานเชียงใหม่ – บริเวณลานช้าง ข้างอาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศ
  4. ท่าอากาศยานภูเก็ต – หน้าอาคารสำนักงาน ทภก.

การอำนวยความสะดวกด้วยเทคโนโลยี

นอกจากการเสริมกำลังเจ้าหน้าที่แล้ว ท่าอากาศยานทุกแห่ง รวมถึงเชียงราย ได้เตรียมความพร้อมด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น

  • เครื่องเช็กอินอัตโนมัติ (CUSS)
  • เครื่องโหลดกระเป๋าอัตโนมัติ (CUBD)
  • ระบบพิสูจน์อัตลักษณ์บุคคล (Biometric)

ผู้โดยสารสามารถลงทะเบียนใช้บริการได้ที่เครื่อง CUSS หรือผ่านเจ้าหน้าที่สายการบินในขั้นตอนเช็กอิน เพื่อช่วยประหยัดเวลาและลดความแออัด

เชียงใหม่มั่นใจ พร้อมรับนักท่องเที่ยวแม้เจอแผ่นดินไหว

นอกจากนี้ ที่จังหวัดเชียงใหม่ซึ่งเป็นปลายทางการท่องเที่ยวสำคัญของภาคเหนือ นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า แม้เกิดเหตุแผ่นดินไหวเล็กน้อยในช่วงต้นเดือนเมษายน แต่ผลกระทบมีเพียงบางส่วน เช่น อาคารดวงกมลคอนโดมิเนียมที่ได้รับผลกระทบด้านโครงสร้าง และอีก 2 อาคารที่ได้รับความเสียหายเล็กน้อยจากผิวฉาบแตก

ขณะนี้สถานการณ์โดยรวมกลับสู่ภาวะปกติ บรรยากาศการท่องเที่ยวในตัวเมืองเชียงใหม่ยังคงคึกคัก โดยเฉพาะพื้นที่สำคัญอย่างถนนนิมมานเหมินทร์ ถนนคนเดิน และรอบคูเมือง พร้อมทั้งมีกิจกรรมสงกรานต์ “ปี๋ใหม่เมือง” ที่จัดเต็มเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว

วิเคราะห์ผลกระทบและโอกาสของการเดินทางช่วงสงกรานต์ 2568

การที่รัฐบาลเพิ่มเที่ยวบินและอำนวยความสะดวกผ่านนโยบายจอดรถฟรี เป็นการตอบสนองต่อความต้องการที่เพิ่มขึ้นของประชาชน และช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจการท่องเที่ยวอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในจังหวัดท่องเที่ยวหลักอย่างเชียงราย ซึ่งในช่วงนี้มีเทศกาลประเพณีพื้นถิ่น เช่น สรงน้ำพระ รดน้ำดำหัว และขบวนแห่สืบสานวัฒนธรรมล้านนา ที่สร้างสีสันและความประทับใจให้นักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ

ขณะเดียวกันยังเป็นโอกาสในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากในท้องถิ่น ผ่านกิจกรรมจำหน่ายสินค้า OTOP การท่องเที่ยวชุมชน และการสร้างงานให้คนในพื้นที่

สถิติที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาข่าว

  • ทอท. คาดการณ์เที่ยวบินระหว่างวันที่ 11–17 เม.ย. 2568
    • เที่ยวบินระหว่างประเทศ: 267,603 เที่ยวบิน (+9.1%)
    • เที่ยวบินในประเทศ: 213,792 เที่ยวบิน (+22.7%)
  • ผู้โดยสารทั้งหมด: 79,191,431 คน (+18.3%)
    • ระหว่างประเทศ: 48,243,845 คน (+14.1%)
    • ในประเทศ: 30,947,586 คน (+25.5%)
  • จังหวัดเชียงราย:
    • มีเที่ยวบินเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 12% ช่วงเทศกาล (ข้อมูลจากสนามบินแม่ฟ้าหลวง, 2567)
    • คาดการณ์จำนวนนักท่องเที่ยวช่วงสงกรานต์: ไม่น้อยกว่า 180,000 คน (สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงราย, 2567)
  • พื้นที่จอดรถฟรีในสนามบินเชียงใหม่: รองรับได้มากกว่า 1,500 คัน ตลอดช่วงเวลาให้บริการ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • สำนักโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
  • บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน)
  • กระทรวงคมนาคม
  • สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงราย
  • สนามบินแม่ฟ้าหลวง เชียงราย
  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
ECONOMY

AOT กำไรพุ่ง! รับท่องเที่ยวฟื้น สนามบินเชียงรายร่วมด้วยทำโตขึ้น

AOT รายงานผลประกอบการไตรมาสแรกปีงบ 2568 กำไรสุทธิ 5,344.30 ล้านบาท เติบโตต่อเนื่อง

กรุงเทพฯ, 14 กุมภาพันธ์ 2568 – บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT รายงานผลประกอบการในช่วง 3 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2568 (ตุลาคม – ธันวาคม 2567) โดยมีกำไรสุทธิ 5,344.30 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17.12% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่รายได้รวมอยู่ที่ 17,906.01 ล้านบาท เติบโต 13.41% โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวและนโยบายส่งเสริมของภาครัฐ พร้อมตั้งเป้ายกระดับท่าอากาศยานไทยให้ติด 1 ใน 20 ท่าอากาศยานที่ดีที่สุดในโลกภายใน 5 ปี

ผลประกอบการและการเติบโตของรายได้

ดร.กีรติ กิจมานะวัฒน์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ AOT เปิดเผยว่า ในช่วง 3 เดือนแรกของปีงบ 2568 บริษัทมีกำไรสุทธิ 5,344.30 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 781.27 ล้านบาท หรือ 17.12% จากปีก่อน ขณะที่รายได้รวมเพิ่มขึ้น 13.41% อยู่ที่ 17,906.01 ล้านบาท ซึ่งรายได้หลักมาจาก:

  • รายได้จากกิจการการบิน 8,804.42 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 24.41% จากปีก่อน เนื่องจากปริมาณเที่ยวบินและผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะเที่ยวบินระหว่างประเทศ
  • รายได้ที่ไม่เกี่ยวข้องกับกิจการการบิน 8,859.49 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.65% จากปีก่อน
  • ค่าใช้จ่ายรวม 10,353.26 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.73% จากปีก่อน

การเติบโตของปริมาณผู้โดยสารและเที่ยวบิน

สำหรับปริมาณผู้โดยสารในช่วง 3 เดือนแรกของปีงบ 2568 ณ ท่าอากาศยานทั้ง 6 แห่งของ AOT ได้แก่ สุวรรณภูมิ, ดอนเมือง, เชียงใหม่, แม่ฟ้าหลวง เชียงราย, ภูเก็ต และหาดใหญ่ มีจำนวนผู้โดยสารรวม 33.62 ล้านคน เพิ่มขึ้น 16.41% แบ่งเป็น:

  • ผู้โดยสารระหว่างประเทศ 20.85 ล้านคน
  • ผู้โดยสารภายในประเทศ 12.77 ล้านคน
  • เที่ยวบินรวม 204,549 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 14.78%

ปัจจัยสำคัญที่ผลักดันการเติบโตของปริมาณผู้โดยสารมาจาก การฟื้นตัวของการท่องเที่ยว นโยบายส่งเสริมเศรษฐกิจของภาครัฐ และช่วงวันหยุดยาวของนักท่องเที่ยวจีน (Golden Week) ซึ่งช่วยเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวจากตลาดระยะไกลและระยะใกล้

กลยุทธ์พัฒนาท่าอากาศยานไทยสู่ระดับโลก

AOT มีแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและระบบการให้บริการของสนามบินทั้ง 6 แห่ง โดยเน้น การยกระดับคุณภาพมาตรฐานสู่ระดับสากล รวมถึงพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิให้เป็นศูนย์กลางการบินระดับโลก ผ่านโครงการสำคัญ ได้แก่:

  • โครงการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ระยะที่ 2 (SAT-1) เพิ่มขีดความสามารถรองรับผู้โดยสารจาก 45 ล้านเป็น 65 ล้านคนต่อปี
  • การสร้างระบบขนส่งผู้โดยสารอัตโนมัติ (APM) และทางวิ่งเส้นที่ 3
  • โครงการพัฒนาท่าอากาศยานดอนเมือง ระยะที่ 3 เพิ่มขีดความสามารถรองรับผู้โดยสารจาก 30 ล้านเป็น 50 ล้านคนต่อปี
  • โครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานท่าอากาศยานเชียงใหม่, ภูเก็ต, เชียงราย และหาดใหญ่

เทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อประสบการณ์เดินทางที่ดียิ่งขึ้น

AOT ได้นำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาปรับใช้เพื่อเพิ่มความสะดวกและลดระยะเวลาการเดินทางของผู้โดยสาร เช่น:

  • ระบบเช็กอินอัตโนมัติและการตรวจสอบใบหน้า (Biometric Identification)
  • ระบบตรวจหนังสือเดินทางอัตโนมัติ (ABC) รองรับ E-passport กว่า 90 ประเทศ
  • ระบบการจัดการข้อมูลเที่ยวบินแบบ A-CDM
  • ระบบประตูทางออกขึ้นเครื่องอัตโนมัติ (SBG)

เป้าหมายสู่ท่าอากาศยานสีเขียวและ Net Zero Carbon

AOT ดำเนินงานโดยคำนึงถึง เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ตามมาตรฐานสากล เช่น DJSI, GRI และ PDPA นอกจากนี้ สนามบินของ AOT ยังได้รับ Airport Carbon Accreditation ครบทุกแห่ง พร้อมตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้เป็น Net Zero ภายในปี 2587

ความสำเร็จระดับนานาชาติ

อาคาร SAT-1 ของ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ได้รับรางวัล ท่าอากาศยานสวยที่สุดในโลก 2567″ จาก Prix Versailles ของ UNESCO ซึ่งสะท้อนถึงการออกแบบที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน

บทสรุป

AOT ยังคงเดินหน้าพัฒนา ท่าอากาศยานไทยให้เป็นศูนย์กลางการบินระดับโลก และตั้งเป้าผลักดันท่าอากาศยานไทยให้ติด 1 ใน 20 ท่าอากาศยานที่ดีที่สุดในโลกภายใน 5 ปี พร้อมสนับสนุนการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : บริษัท ท่าอากาศยานไทย จํากัด (มหาชน) (AOT)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
ECONOMY

เคาะสร้าง 7 ปี “สนามบินล้านนา” สนามบินเชียงใหม่แห่งที่ 2 ทุ่ม 7 หมื่นล้าน

 

เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2567 นายกีรติ กิจมานะวัฒน์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัทท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (AOT) หรือ ทอท. เปิดเผยว่า ปัจจุบัน ทอท.มีแผนเพิ่มศักยภาพของท่าอากาศยานภูมิภาค ให้สามารถรองรับเที่ยวบินและผู้โดยสารได้มากขึ้น

โดยขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินโครงการพัฒนาท่าอากาศยานล้านนา จังหวัดเชียงใหม่ (ทชม.) ระยะที่ 1 วงเงินงบประมาณ 1.5 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะก่อสร้างอาคารผู้โดยสารระหว่างระหว่างประเทศหลังใหม่ มีพื้นที่กว่า 95,000 ตารางเมตร

 

รวมทั้งจะมีการปรับปรุงอาคารผู้โดยสารภายในประเทศ ทำให้มีพื้นที่ให้บริการเพิ่มขึ้นเป็น 66,600 ตารางเมตร เพื่อเพิ่มขีดความสามารถ ทชม. ในการรองรับผู้โดยสารได้เป็น 20 ล้านคนต่อปี โดยคาดว่าจะสามารถเริ่มดำเนินการได้ในปี 2569

 

สำหรับโครงการก่อสร้างท่าอากาศยานล้านนา (ทชม.แห่งที่ 2) บนพื้นที่ 8,050 ไร่ งบประมาณลงทุนประมาณ 7 หมื่นล้านบาท ประกอบด้วย การก่อสร้างอาคารผู้โดยสารเพื่อรองรับผู้โดยสาร 24 ล้านคนต่อปี ทางวิ่ง 2 เส้น สามารถรองรับเที่ยวบินได้ 41 เที่ยวบินต่อชั่วโมง และหลุมจอดอากาศยาน 38 หลุมจอด รองรับปริมาณการขนส่งสินค้าทางอากาศได้ 41 เที่ยวบินต่อชั่วโมง และหลุมจอดอากาศยาน 38 หลุมจอด รองรับปริมาณการขนส่งสินค้าทางอากาศได้ 32,000 ตัน

 

โดยคาดว่าจะตั้งอยู่ในอำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ และอำเภอบ้านธิ จังหวัดลำพูน ซึ่งห่างจาก ทชม. 22 กิโลเมตร ใช้ระยะเวลาเดินทางโดยรถยนต์ประมาณ 32 นาที โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างดำเนินการศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุน ตลอดจนกระบวนการจัดตั้งท่าอากาศยาน ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 7 ปี

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : บริษัทท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (AOT)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

‘สุริยะ’ ขานรับนโยบายเตรียมทำแผน รองรับนักท่องเที่ยวช่วงไฮซีซั่นปลายปีนี้

 

เมื่อ10 มิ.ย. 2567  นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ตามที่ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ได้มอบนโยบายให้กระทรวงคมนาคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไปจัดทำแผนรองรับนักท่องเที่ยวในทุกมิติ โดยเฉพาะช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว (ไฮซีซั่น) ปลายปี 2567 หรือไตรมาส 4 ที่จะถึงนี้ สอดรับกับมาตรการลดภาษีท่องเที่ยวเมืองรอง 55 จังหวัด ที่คาดว่า จะมีจำนวนนักท่องเที่ยว ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ เดินทางท่องเที่ยวในประเทศไทยเป็นจำนวนมาก

 

ทั้งนี้ ได้สั่งการให้บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. ไปดำเนินการจัดเตรียมการรองรับนักท่องเที่ยว ทั้งในส่วนของแผนเพิ่มจำนวนเครื่องบิน และเที่ยวบินให้เพียงพอต่อผู้โดยสารที่จะมาใช้บริการ ครอบคลุมผู้โดยสารระหว่างประเทศและในประเทศที่เดินทางผ่านเข้า-ออกท่าอากาศยานทั้ง 6 แห่งของ ทอท. ได้แก่ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ท่าอากาศยานดอนเมือง ท่าอากาศยานเชียงใหม่ ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ท่าอากาศยานภูเก็ต และท่าอากาศยานหาดใหญ่

 

“จากการรายงานของ ทอท. พบว่า ในช่วงเดือนพฤษภาคม 2567 มีจำนวนผู้โดยสารเข้า-ออก 6 ท่าอากาศยานรวม 9,503,475 คน ซึ่งเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 16.08% และมีจำนวนเที่ยวบิน 61,435 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 13.90% ขณะเดียวกัน ทอท. ยังได้คาดการณ์จำนวนผู้โดยสารในช่วงเดือนมิถุนายน – พฤศจิกายน 2567 มีจำนวนผู้โดยสารทั้งในประเทศและระหว่างประเทศ รวมจำนวน 60.3 ล้านคน และมีจำนวนเที่ยวบิน 380,000 เที่ยวบิน ดังนั้น เชื่อว่า ในช่วงเดือนตุลาคม – ธันวาคม 2567 ซึ่งเป็นช่วงไฮซีซั่นด้านการท่องเที่ยว จึงมีแนวโน้มสูงว่า จำนวนนักท่องเที่ยวจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง”นายสุริยะกล่าว

 

นอกจากนี้ ยังมอบหมายให้ ทอท. จัดเตรียมสิ่งอำนวยความสะดวก รวมถึงการบริหารจัดการการให้บริการในท่าอากาศยานอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้ผู้โดยสารทุกคน ได้สัมผัสกับการบริการที่สะดวก ปลอดภัย และรวดเร็ว สร้างความความประทับใจ และเกิดภาพลักษณ์ที่ดีของประเทศ โดยได้บูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบริหารจัดการการให้บริการผู้โดยสารในขั้นตอนต่างๆ ทั้งในส่วนของผู้โดยสารขาเข้าและขาออก ให้เกิดความคล่องตัว ไม่ให้เกิดภาพความหนาแน่นในแต่ละจุดบริการ โดยเฉพาะในขั้นตอนตรวจคนเข้าเมือง และบริเวณสายพานรับกระเป๋า รวมทั้งได้นำเทคโนโลยีมาอำนวยความสะดวกเพิ่มเติมด้วย

 

นายสุริยะ กล่าวอีกว่า ในส่วนของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) สั่งการให้จัดเตรียมเพิ่มขบวนรถไฟ ทั้งเส้นปกติและขบวนพิเศษ เพื่อรองรับนักท่องเที่ยว ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการจัดเตรียมแผนฯ โดยในเบื้องต้น จะเพิ่มขบวนนำเที่ยวเส้นทางสายวัฒนธรรมของไทย รวมถึงการท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ เพื่อสนองความต้องการของนักท่องเที่ยวที่หลากหลาย จากก่อนหน้านี้ได้ดำเนินการในหลายเส้นทาง ช่วงวันเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ ในรูปแบบไปเช้า-เย็นกลับ (วันเดย์ทริป) เช่น ขบวนรถไฟนำเที่ยวน้ำตกไทรโยค, ขบวนรถไฟนำเที่ยวสวนสนประดิพัทธ์, ขบวนรถไฟนำเที่ยวเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ เป็นต้น

 

นายสุริยะ กล่าวอีกว่า ในส่วนของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ได้จัดทำแผนเตรียมความพร้อมขบวนรถไฟฟ้าและสถานีของโครงการรถไฟฟ้ามหานคร ทั้ง 4 โครงการ ประกอบด้วย โครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน, สายสีม่วง, สายสีชมพู และสายสีเหลือง เพื่อรองรับการเดินทางของผู้โดยสาร ในช่วงไฮซีซั่นไตรมาส 4/2567 เบื้องต้นได้เตรียมขบวนรถเสริมให้บริการในกรณีมีผู้โดยสารหนาแน่น พร้อมทั้ง จัดเตรียมช่องทางพิเศษสำหรับจำหน่ายเหรียญโดยสาร เตรียมไว้ในสถานีที่มีผู้ใช้บริการจำนวนมาก

 

ขณะเดียวกัน จะทำการประชาสัมพันธ์ให้ข้อมูลแก่ผู้โดยสารอย่างต่อเนื่อง โดยการประกาศทางเสียง ป้ายประชาสัมพันธ์ และจอแสดงผล ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ อีกทั้ง ยังมุ่งเน้นด้านความปลอดภัยโดยจัดให้มีพนักงานสถานีเพิ่มเติม เพื่อให้มีเพียงพอและพร้อมปฏิบัติงานในสถานีที่คาดว่าจะมีผู้ใช้บริการหนาแน่น รวมถึง มีระบบกล้องโทรทัศน์วงจรปิดภายในสถานี และภายในขบวนรถไฟฟ้า ครอบคลุมทุกพื้นที่การให้บริการ และยังจัดเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยดูแลความปลอดภัยบนสถานี และตรวจสัมภาระผู้โดยสาร ดังนั้น รฟม. มั่นใจว่าประชาชนผู้ใช้บริการจะได้รับความสะดวก ปลอดภัย ตลอดเส้นทาง

 

“ยืนยันว่า กระทรวงคมนาคม และทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องภายใต้การกำกับดูแล พร้อมที่จะอำนวยความสะดวกในทุก ๆ ด้าน และทุกการคมนาคมต้องมีความปลอดภัยในระดับสูงสุด เพื่อสร้างความประทับใจให้แก่นักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเยือนประเทศไทย โดยหากทุกหน่วยงานฯ มีความคืบหน้าของแผนรองรับการท่องเที่ยวสำหรับมาตรการลดภาษีท่องเที่ยว สอดรับกับนโยบายของรัฐบาลดังกล่าว จะดำเนินการรายงานต่อประชาชนให้ ทราบโดนทันที“ นายสุริยะ กล่าว

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงคมนาคม

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News