Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

พลังศรัทธาเชียงราย! เปิดตัวโครงการ “ความรักของนับพันปีแห่งแผ่นดิน” บันทึกพระมหากรุณาธิคุณผ่านงานศิลปะ

ความรักของนับพันปีแห่งแผ่นดิน มหากาพย์ภาพวาดพระบรมสาทิสลักษณ์ถวายความจงรักภักดี ศิลปินชื่อดังริเริ่มโครงการสร้างสรรค์ภาพวาดขนาดใหญ่เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง พร้อมจัดกิจกรรมเชิงสร้างสรรค์เพื่อปลูกฝังคุณค่าแก่เยาวชนรุ่นใหม่

เชียงราย,17 ธันวาคม 2568 ที่จังหวัดเชียงราย สมาคมขัวศิลปะร่วมกับสโมสรโรตารีเชียงราย และสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย ได้จัดแถลงข่าวเปิดตัวโครงการสร้างสรรค์กิจกรรมถ่ายทอดความจงรักภักดี ภายใต้ชื่อ “ความรักของนับพันปีแห่งแผ่นดิน” โดยมีอาจารย์สุวิทย์ ใจป้อม ศิลปินผู้เชี่ยวชาญด้านการวาดภาพพระบรมสาทิสลักษณ์ด้วยเทคนิคถ่านแท่ง (Charcoal) เป็นผู้รังสรรค์ผลงานชิ้นสำคัญนี้

โครงการดังกล่าวเกิดขึ้นจากความตั้งใจของศิลปินที่ต้องการถ่ายทอดพระมหากรุณาธิคุณและพระราชกรณียกิจของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ผู้ทรงเป็น “แม่พระของแผ่นดิน” ที่ได้ทรงอุทิศพระวรกายเคียงข้างพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในพระราชกรณียกิจเพื่อประโยชน์สุขของปวงชนชาวไทยมายาวนานกว่า 6 ทศวรรษ

ความหมายเชิงสัญลักษณ์ที่ซ่อนอยู่ในทุกมิติ

ผลงานภาพวาดชิ้นนี้ได้รับการออกแบบอย่างพิถีพิถันในทุกรายละเอียด เพื่อสื่อถึงความหมายเชิงสัญลักษณ์ที่ลึกซึ้ง ภาพมีความสูง 1.9 เมตร ซึ่งสื่อถึงรัชกาลที่ 9 และมีความยาว 9.3 เมตร หมายถึงพระชนมพรรษา 93 พรรษาของพระองค์ท่าน ตัวเลขเหล่านี้ไม่เพียงแต่สะท้อนความเชื่อมโยงทางประวัติศาสตร์ แต่ยังแสดงถึงความเป็นพระราชินีองค์เดียวในรัชกาลที่ 9 และพระบรมราชินีนาถพระองค์เดียวในประวัติศาสตร์ไทยที่ทรงครองตำแหน่งยาวนานถึง 93 พรรษา

เนื้อหาภาพครอบคลุมเรื่องราวตั้งแต่พระชนมายุวัย การเสด็จพระราชาภิเษกสมรส พระราชกรณียกิจต่างๆ และโครงการพระราชดำริกว่า 4,000 โครงการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบทบาท “แม่พระของแผ่นดิน” ที่ทรงเคียงข้างในหลวงรัชกาลที่ 9 ในการพัฒนาประเทศและบำบัดทุกข์บำรุงสุขให้แก่พสกนิกรชาวไทยทุกภูมิภาค

การเลือกใช้เทคนิคถ่านแท่งในโทนสีขาว-ดำ มิใช่เป็นเพียงการแสดงฝีมือทางศิลปะ แต่ยังสื่อถึงความคลาสสิก ความเป็นมิตร และแสงแห่งศรัทธากตัญญูที่ปวงชนชาวไทยมีต่อพระองค์ท่าน ซึ่งสอดคล้องกับยุคสมัยแรกเริ่มที่ภาพถ่ายส่วนใหญ่จะเป็นสีขาว-ดำ

อาจารย์สุวิทย์ ใจป้อม กล่าวในการแถลงข่าวว่า “การวาดพระบรมสาทิสลักษณ์ครั้งนี้ ข้าพเจ้าขอน้อมถวายเป็นการแสดงความจงรักภักดีและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ ภาพนี้ไม่ใช่เพียงงานศิลปะ หากคือการบันทึกพระมหากรุณาธิคุณด้วยหัวใจ เป็น ‘ภาพแทนใจ’ ที่สร้างขึ้นด้วยความรัก ความศรัทธา และความเคารพสูงสุด”

พลังสนับสนุนจากสโมสรโรตารีสากล

โครงการนี้ได้รับการสนับสนุนหลักจากสโมสรโรตารีสากลภาค 3360 ซึ่งครอบคลุม 14 จังหวัดภาคเหนือ โดยมีสโมสรโรตารีทั้งหมด 65 สโมสร นำโดยดร.จารุวรรณ เต็ชะวุฒิ ผู้ว่าการภาค และสโมสรโรตารีเชียงราย ซึ่งเป็นแกนหลักในการประสานงาน

ดร.จารุวรรณ เต็ชะวุฒิ ผู้ว่าการภาค 3360 สโมสรโรตารีสากล กล่าวว่า “สโมสรโรตารีก่อตั้งมาแล้ว 121 ปี เรามิใช่องค์กรการกุศล แต่เป็นองค์กรเพื่อการลงทุนเพื่อประโยชน์สาธารณะ ภารกิจของโรตารีมี 7 ด้าน ครอบคลุมน้ำสะอาด การศึกษา สุขภาพแม่และเด็ก สิ่งแวดล้อม และการป้องกันโรคระบาด โดยเฉพาะโรคโปลิโอที่เราสามารถลดผู้ป่วยจาก 350,000 คนต่อปีเหลือไม่ถึง 100 คนต่อปีในปัจจุบัน”

ท่านกล่าวเสริมว่า “โครงการนี้สอดคล้องกับภารกิจด้านการศึกษาและส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม ซึ่งเป็นหนึ่งในเจ็ดภารกิจหลักของโรตารี ในจังหวัดเชียงรายมีสโมสรโรตารีถึง 9 สโมสร ครอบคลุมพื้นที่เชียงราย แม่สาย เชียงแสน เชียงของ และเวียงป่าเป้า ทุกสโมสรพร้อมใจกันสนับสนุนโครงการนี้ด้วยงบประมาณและอุปกรณ์ต่างๆ”

สโมสรโรตารีสากลในปัจจุบันมีสมาชิกกว่า 1.2 ล้านคนทั่วโลก กระจายอยู่ใน 34,000 สโมสร โดยในประเทศไทยมี 4 ภาค ได้แก่ ภาค 3330 (ใต้) ภาค 3340 (อีสาน) ภาค 3350 (กลาง) และภาค 3360 (เหนือ) ซึ่งภาคเหนือมีสโมสรทั้งหมด 65 สโมสรกระจายใน 14 จังหวัด

นายกสโมสรโรตารีเชียงราย กล่าวว่า “การที่ศิลปินมีความตั้งใจ และสโมสรโรตารีเชียงรายได้ชักชวนสโมสรอื่นๆ รวมถึงภาครัฐและเอกชนมาร่วมกันทำให้โครงการนี้สำเร็จได้ เป็นเรื่องที่น่ายินดี นี่คือหนึ่งในเจ็ดภารกิจของโรตารีด้านการศึกษาและศิลปวัฒนธรรม”

กิจกรรม Art Workshop เพื่อเยาวชนและสังคม

นอกจากการวาดภาพที่คาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 2 เดือน ตั้งแต่ปัจจุบันจนถึงกลางเดือนกุมภาพันธ์ 2569 แล้ว ทางโครงการยังได้จัดกิจกรรมคู่ขนาน Art Workshop ณ สถานที่วาดภาพ โดยเปิดรับนักเรียนในพื้นที่วันละ 60 คน แบ่งเป็นช่วงเช้า 30 คน และช่วงบ่าย 30 คน

กิจกรรมนี้มีศิลปินจากสมาคมขัวศิลปะเป็นพี่เลี้ยงสอนเทคนิคการวาดภาพ พร้อมถ่ายทอดความรู้เรื่องราวพระราชกรณียกิจ เพื่อให้เยาวชนได้เรียนรู้ศิลปะควบคู่ไปกับการซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณ และสร้างสำนึกรักในสถาบันพระมหากษัตริย์

โครงการได้รับความร่วมมือจากสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงราย เขต 1 ในการประสานงานนำนักเรียนเข้าร่วมกิจกรรม และจัดหาอุปกรณ์การเรียนการสอน นักเรียนที่เข้าร่วมจะได้รับประกาศนียบัตร และมีโอกาสติดตามกระบวนการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะขนาดใหญ่อย่างใกล้ชิด

อาจารย์สุวิทย์กล่าวว่า “ระหว่างที่ผมทำงานอยู่ที่โรงแรมพิมานอินน์ เชียงราย ประมาณ 2 เดือนกว่า จะมีการเปิดให้คนเข้ามาชมและร่วมกิจกรรม Workshop เราอยากให้นี่เป็นจุดรวมของคนเชียงราย เป็นพื้นที่แห่งการเรียนรู้และแสดงความจงรักภักดีร่วมกัน”

ภาครัฐให้การสนับสนุนและเตรียมจัดแสดง

นายกำพล จาววัฒนาสกุล ผู้อำนวยการกลุ่มยุทศาสตร์และเฝ้าระวังทางวัฒนธรรม ปฏิบัติหน้าที่แทนวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย กล่าวว่า “นี่เป็นงานสักการะพระเกียรติอีกแห่งหนึ่งที่สำคัญมาก กิจกรรมนี้จะเป็นที่จดจำสำหรับเยาวชนและประชาชน และจะถูกบันทึกไว้เป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ ทางสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดจะให้การสนับสนุนด้านการประชาสัมพันธ์ และประสานงานกับเครือข่ายศิลปินและโรงเรียนต่างๆ ในพื้นที่”

ทางกระทรวงวัฒนธรรมโดยสำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย (สสร.) ซึ่งทำงานใกล้ชิดกับศิลปินอยู่แล้ว จะมีส่วนร่วมในการเผยแพร่ผลงานและจัดเก็บเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ในหอจดหมายเหตุต่อไป

แผนการจัดแสดงและความยั่งยืนของโครงการ

เมื่อภาพแล้วเสร็จในกลางเดือนกุมภาพันธ์ 2569 ซึ่งตรงกับช่วงเวลาที่หลายหน่วยงานจะจัดพิธีบำเพ็ญกุศลสมาทานพระบรมศพ ภาพจะเปิดให้ประชาชนเข้าชม ณ สถานที่วาดภาพก่อน จากนั้นจะนำไปจัดแสดงในการประชุมใหญ่ของสโมสรโรตารี (District Conference) ที่จะมีสมาชิกจาก 14 จังหวัดภาคเหนือ ประมาณ 400-500 คน เข้าร่วม

ดร.จารุวรรณกล่าวว่า “หลังจากการประชุมใหญ่ เราจะถ่ายทอดภาพนี้ออกสู่สาธารณะทั้ง 65 จังหวัดในประเทศไทย และอาจเผยแพร่ในเวทีสากล เพื่อสะท้อนให้โลกเห็นถึงความรักและความจงรักภักดีที่ปวงชนชาวไทยมีต่อพระองค์ท่าน”

อาจารย์สุวิทย์กล่าวเสริมว่า “ผมเชื่อว่าภาพนี้จะถูกจำลองไปไว้ที่พระเมรุมาศในพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพในแต่ละท่ี เพราะภาพนี้สะท้อนถึงพระราชจริยวัตรของพระองค์ท่าน และสะท้อนถึงความรักที่ปวงชนชาวไทยมีต่อพระองค์ท่าน ผมอยากให้ที่นี่เป็นจุดรวมของคนเชียงราย เป็นพื้นที่แสดงความจงรักภักดีร่วมกัน”

ในที่สุด ภาพจะได้รับการจัดเก็บรักษาไว้อย่างถาวรในหอจดหมายเหตุ โดยกระทรวงวัฒนธรรม เพื่อให้คนรุ่นหลังได้ศึกษาและระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณตราบนิรันดร์

เส้นทางศิลปินและผลงานที่ผ่านมา

อาจารย์สุวิทย์ ใจป้อม เป็นศิลปินที่มีชื่อเสียงในวงการศิลปะไทย โดยเฉพาะในการวาดภาพพระบรมสาทิสลักษณ์ด้วยเทคนิคถ่านแท่ง ผลงานที่ผ่านมาของท่านได้สร้างความประทับใจให้แก่สาธารณชนอย่างกว้างขวาง

ในปี 2559 หลังจากการสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ท่านได้ร่วมกับสมาคมขัวศิลปะเชียงราย วาดภาพขนาด 13 เมตร ณ วัดร่องขุ่น ปัจจุบันภาพดังกล่าวประดิษฐานอยู่ที่ศาลาธรรม

ในปี 2560 ท่านได้สร้างสรรค์ภาพขนาด 2 เมตร x 20 เมตร ซึ่งปัจจุบันตั้งอยู่ที่เซ็นทรัลเวิลด์ กรุงเทพมหานคร เล่าเรื่องราวพระราชประวัติตั้งแต่พระเยาว์วัยจนถึงการขึ้นครองราชย์ และพระราชกรณียกิจกว่า 4,000 โครงการพระราชดำริ

ท่านเป็นนายกสมาคมขัวศิลปะคนที่ 3 ต่อจากศิลปินแห่งชาติ และได้รับคำแนะนำจากอาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ศิลปินแห่งชาติ ในการจัดองค์ประกอบและเลือกเนื้อหาที่จะใส่ในภาพครั้งนี้

ชื่อผลงานที่มีความหมาย

ชื่อผลงาน “ความรักของนับพันปีแห่งแผ่นดิน” ได้รับการออกแบบโดยคุณสุรชัย บุญจรเวท นักออกแบบแบรนด์ผู้มีชื่อเสียง เพื่อให้สื่อถึงความหมายที่ลึกซึ้งของพระมหากรุณาธิคุณที่พระองค์ท่านมีต่อแผ่นดิน และความรักที่ปวงชนชาวไทยมีต่อพระองค์ท่านที่สืบทอดมาช้านานนับพันปี

การสนับสนุนจากภาคเอกชน

นอกจากการสนับสนุนหลักจากสโมสรโรตารีแล้ว โครงการยังได้รับการสนับสนุนอุปกรณ์จากบริษัทสีชั้นนำ ได้แก่ TOP FORM และ AB Art ที่พร้อมสนับสนุนโครงการที่เกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างเต็มที่

อาจารย์สุวิทย์กล่าวว่า “งานศิลปะไม่สามารถทำคนเดียวได้ ศิลปินไม่ได้มีเงินมากมาย แต่เมื่อมีผู้ให้โอกาสและยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ งานก็สมบูรณ์ยิ่งขึ้น ผมรู้สึกเติมเต็มใจมาก สโมสรโรตารีให้ความกรุณาสนับสนุนอุปกรณ์ต่างๆ ไม่ใช่แค่วัสดุ แต่คือการให้โอกาสให้งานนี้สมบูรณ์”

คำกล่าวจากใจของศิลปิน

ในการสัมภาษณ์ อาจารย์สุวิทย์ ใจป้อม กล่าวเสริมว่า “สำหรับข้าพเจ้า ภาพนี้ไม่ใช่เพียงงานศิลปะ หากคือการบันทึกพระมหากรุณาธิคุณด้วยหัวใจ เป็น ‘ภาพแทนใจ’ ที่สร้างขึ้นด้วยความรัก ความศรัทธา และความเคารพสูงสุด เพื่อให้ประชาชนได้ระลึกถึงพระเมตตาธรรมของพระองค์ท่านตราบนิจนิรันดร์ การดำเนินงานในครั้งนี้สำเร็จได้ด้วยแรงสนับสนุนสำคัญจากสโมสรโรตารีเชียงราย ซึ่งร่วมเป็นพลังเบื้องหลังในการส่งเสริมกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติให้เกิดขึ้นอย่างสมพระเกียรติ”

ท่านกล่าวอีกว่า “ข้าพเจ้าขอน้อมสำนึกในเกียรติครั้งนี้ และจะขอเป็นข้าพระบาทผู้จงรักภักดีต่อพระองค์ท่านตราบชีวิต”

บรรยากาศในวันแถลงข่าว

การแถลงข่าวในวันที่ 17 ธันวาคม 2568 มีผู้เข้าร่วมจากหลายภาคส่วน ประกอบด้วย นายกสโมสรจากหลากหลายสโมสรในเชียงราย ศิลปินจากสมาคมขัวศิลปะ สื่อมวลชน และผู้แทนจากหน่วยงานราชการ ได้แก่ สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงราย เขต 1 และผู้แทนจากหน่วยงานต่างๆ

บรรยากาศเต็มไปด้วยความประทับใจและความตื้นตันใจ เมื่อผู้เข้าร่วมได้เห็นภาพร่างเบื้องต้นและรับฟังแนวคิดของโครงการ ผู้เข้าร่วมต่างให้ความสนใจและแสดงความพร้อมที่จะสนับสนุนโครงการให้ประสบความสำเร็จ

หลังจากการแถลงข่าว ผู้เข้าร่วมได้เดินทางไปยังสถานที่วาดภาพ ณ โรงแรมพิมานอินน์ เชียงราย เพื่อรับฟังคำอธิบายรายละเอียดเพิ่มเติมจากอาจารย์สุวิทย์ และชมภาพร่างที่กำลังดำเนินการอยู่

ความสำคัญต่อสังคมและเยาวชน

โครงการนี้มิได้เป็นเพียงการสร้างสรรค์งานศิลปะเท่านั้น แต่ยังเป็นเครื่องมือในการปลูกฝังคุณค่าและสำนึกรักในสถาบันพระมหากษัตริย์แก่เยาวชนรุ่นใหม่ ผ่านกระบวนการเรียนรู้ที่เป็นรูปธรรม

การที่เยาวชนได้เข้ามามีส่วนร่วมในกิจกรรม Art Workshop ได้เห็นกระบวนการสร้างสรรค์งานศิลปะขนาดใหญ่ ได้เรียนรู้เทคนิคการวาดภาพจากศิลปินมืออาชีพ และได้รับรู้ถึงพระราชกรณียกิจต่างๆ จะเป็นประสบการณ์ที่มีคุณค่าและจดจำได้ตลอดไป

คุณรุ่งวัฒนากล่าวว่า “เราได้ประสานงานกับสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา เครือข่ายศิลปินทางศิลปะ และโรงเรียนต่างๆ เพื่อให้นักเรียนได้เข้ามาศึกษาและร่วมกิจกรรม นี่คือโอกาสทองที่เยาวชนจะได้เรียนรู้ทั้งศิลปะและประวัติศาสตร์ไปพร้อมกัน”

ผลกระทบในวงกว้าง

โครงการ “ความรักของนับพันปีแห่งแผ่นดิน” คาดว่าจะสร้างผลกระทบในวงกว้าง ทั้งในระดับท้องถิ่น ระดับชาติ และอาจขยายไปสู่ระดับสากล

ในระดับท้องถิ่น โครงการจะเป็นจุดรวมใจของชาวเชียงรายและภาคเหนือ เป็นสถานที่ที่ประชาชนสามารถมาแสดงความจงรักภักดีร่วมกัน โดยเฉพาะในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่มีการจัดพิธีบำเพ็ญกุศลสมาทานพระบรมศพ

ในระดับชาติ การจัดแสดงภาพในงาน District Conference และการเผยแพร่ผ่านสื่อต่างๆ จะทำให้คนไทยทั่วประเทศได้รับรู้และร่วมระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ

ในระดับสากล สโมสรโรตารีมีเครือข่ายที่แข็งแกร่งทั่วโลก การเผยแพร่ผลงานนี้จะทำให้นานาชาติได้เห็นถึงความรักและความจงรักภักดีที่ปวงชนชาวไทยมีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์

ความท้าทายและการเตรียมความพร้อม

การวาดภาพขนาดใหญ่เช่นนี้ต้องเผชิญกับความท้าทายหลายประการ ทั้งด้านเทคนิค เวลา และสภาพอากาศ อาจารย์สุวิทย์กล่าวว่า “การทำงานในช่วงหน้าหนาว อากาศเย็นสบาย แต่ต้องระมัดระวังเรื่องความชื้นที่อาจส่งผลต่อวัสดุ เราต้องวางแผนการทำงานอย่างละเอียด และมีทีมงานคอยดูแลสภาพแวดล้อมอย่างใกล้ชิด”

ด้านอุปกรณ์ ทางโครงการได้เตรียมความพร้อมครบถ้วน ตั้งแต่ผืนผ้าใบขนาดใหญ่ ถ่านแท่งคุณภาพสูง ระบบแสงสว่างเพื่อการทำงาน และอุปกรณ์ต่างๆ ที่จำเป็น ทั้งหมดได้รับการสนับสนุนจากสโมสรโรตารีและภาคเอกชน

ด้านความปลอดภัย มีการจัดเจ้าหน้าที่คอยดูแลพื้นที่ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อรักษาความปลอดภัยของผลงานและอุปกรณ์ รวมถึงอำนวยความสะดวกแก่ผู้ที่มาเยี่ยมชม

การเชิญชวนประชาชนเข้าร่วม

อาจารย์สุวิทย์กล่าวเชิญชวนประชาชนว่า “ผมอยากเชิญชวนพี่น้องชาวเชียงรายและผู้ที่สนใจ แวะเวียนมาเยี่ยมชมกระบวนการทำงาน มาให้กำลังใจ และมาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ครั้งนี้ ตลอดระยะเวลา 2 เดือนกว่า จนถึงกลางเดือนกุมภาพันธ์ จะมีกิจกรรมต่างๆ ให้ได้ร่วมสนุก โดยเฉพาะน้องๆ นักเรียนที่จะได้เรียนรู้ศิลปะและประวัติศาสตร์ไปพร้อมกัน”

ดร.จารุวรรณกล่าวเสริมว่า “เราขอเชิญชวนสมาชิกสโมสรโรตารีทั้ง 65 สโมสรในภาคเหนือ รวมถึงสมาชิกจาก 4 ภาคทั่วประเทศ และประชาชนทั่วไป มาร่วมเป็นสักขีพยานในเหตุการณ์สำคัญนี้ มาร่วมแสดงความจงรักภักดีต่อพระองค์ท่านผ่านงานศิลปะที่ยิ่งใหญ่นี้”

ช่วงเทศกาลและความพิเศษ

อาจารย์สุวิทย์กล่าวอย่างน่าสนใจว่า “ช่วงที่ผมวาดภาพนี้จะครอบคลุมช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ด้วย ถ้าใครอยากมาข้ามปีที่มีความหมาย มาข้ามปีกับภาพความรักของนับพันปีแห่งแผ่นดิน ผมยินดีต้อนรับ เราจะได้ร่วมกันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่อย่างมีคุณค่า”

นี่จึงเป็นโอกาสพิเศษสำหรับประชาชนที่ต้องการใช้เวลาในช่วงเทศกาลอย่างมีความหมาย แทนที่จะไปสถานบันเทิงหรือสถานที่ท่องเที่ยวทั่วไป การมาร่วมกิจกรรมนี้จะเป็นการส่งท้ายปีและต้อนรับปีใหม่อย่างมีคุณค่าและสร้างสรรค์

มิติทางประวัติศาสตร์

โครงการนี้มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์หลายประการ ประการแรก เป็นการบันทึกพระราชกรณียกิจและพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวงไว้ในรูปแบบของงานศิลปะที่จะคงอยู่ชั่วกาลนาน

ประการที่สอง เป็นการแสดงออกถึงความรักและความจงรักภักดีของปวงชนชาวไทยที่มีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ผ่านการร่วมมือกันของทุกภาคส่วนในสังคม ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม และภาคประชาชน

ประการที่สาม เป็นตัวอย่างของการใช้ศิลปะเป็นเครื่องมือในการสร้างสรรค์สังคม ปลูกฝังคุณค่า และถ่ายทอดประวัติศาสตร์ไปสู่คนรุ่นหลัง

คุณรุ่งวัฒนากล่าวว่า “นี่คือเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ที่จะถูกบันทึกไว้ในหอจดหมายเหตุ เป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่คนรุ่นหลังจะได้ศึกษาและเรียนรู้ เราจึงต้องดำเนินการอย่างพิถีพิถันในทุกขั้นตอน”

ภาพอนาคตหลังเสร็จสิ้นโครงการ

เมื่อภาพแล้วเสร็จในกลางเดือนกุมภาพันธ์ 2569 จะมีแผนการจัดแสดงและเผยแพร่อย่างต่อเนื่อง การจัดแสดงครั้งแรกจะเป็นที่โรงแรมพิมานอินน์ เชียงราย เปิดให้ประชาชนเข้าชมฟรี

จากนั้นจะมีการจัดแสดงในงาน District Conference ของสโมสรโรตารีภาค 3360 ซึ่งจะมีผู้เข้าร่วมประมาณ 400-500 คน จาก 14 จังหวัดภาคเหนือ

ต่อมาอาจมีการนำไปจัดแสดงในงานพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ เพื่อให้ประชาชนได้ร่วมน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ

ในที่สุด ภาพจะได้รับการจัดเก็บอย่างถาวรในหอจดหมายเหตุ โดยกระทรวงวัฒนธรรม พร้อมจัดทำเอกสารบันทึกกระบวนการสร้างสรรค์และความหมายของผลงาน เพื่อให้เป็นสมบัติของชาติสืบไป

พลังแห่งความรักและความร่วมมือ

โครงการ “ความรักของนับพันปีแห่งแผ่นดิน” เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของพลังแห่งความรักและความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในสังคม จากแนวคิดเล็กๆ ของศิลปินคนหนึ่งที่ต้องการแสดงความจงรักภักดี กลายเป็นโครงการขนาดใหญ่ที่มีคนหลากหลายภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วม

สโมสรโรตารีในฐานะองค์กรเพื่อการลงทุนเพื่อประโยชน์สาธารณะ ได้แสดงบทบาทสำคัญในการสนับสนุนทั้งด้านงบประมาณและการประสานงาน ภาครัฐโดยสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้การสนับสนุนด้านการประชาสัมพันธ์และการจัดเก็บเป็นมรดกทางวัฒนธรรม ภาคเอกชนสนับสนุนอุปกรณ์และวัสดุ และภาคประชาชนพร้อมเข้าร่วมกิจกรรมและให้กำลังใจ

ผลงานที่จะเกิดขึ้นจึงไม่ใช่ผลงานของศิลปินคนเดียว แต่เป็นผลงานของคนไทยทุกคนที่มีส่วนร่วมทำให้โครงการนี้สำเร็จ เป็นการแสดงออกถึงความรักและความจงรักภักดีที่ปวงชนชาวไทยมีต่อสมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง ผู้ทรงเป็น “แม่พระของแผ่นดิน” ที่ทรงอุทิศพระวรกายเพื่อความสุขของพสกนิกรมาตลอดพระชนมชีพ

ภาพ “ความรักของนับพันปีแห่งแผ่นดิน” จึงมิใช่เพียงผืนผ้าใบที่มีภาพวาด แต่คือการบันทึกความรัก ความกตัญญู และความจงรักภักดีของปวงชนชาวไทยไว้เป็นประวัติศาสตร์ เพื่อให้คนรุ่นหลังได้ระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณตราบนิรันดร์กาล

รายละเอียดโครงการโดยสังเขป

ชื่อโครงการ: ความรักของนับพันปีแห่งแผ่นดิน

ผู้รังสรรค์: อาจารย์สุวิทย์ ใจป้อม

ขนาดผลงาน: สูง 1.9 เมตร x ยาว 9.3 เมตร

เทคนิค: ถ่านแท่ง (Charcoal) โทนสีขาว-ดำ

ระยะเวลาดำเนินการ: ธันวาคม 2568 – กุมภาพันธ์ 2569 (ประมาณ 2 เดือน)

สถานที่วาดภาพ: โรงแรมพิมานอินน์ เชียงราย

สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สมาคมขัวศิลปะ จังหวัดเชียงราย
  • สโมสรโรตารีเชียงราย
  • สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
MOST POPULAR
FOLLOW ME
Categories
CULTURE

ยุทธศาสตร์ “Unseen” งานพระราชพิธีฯ เจาะลึกพระราชกรณียกิจที่โลกรู้จักน้อย

ศุภมาส” ระดมพลังแพลตฟอร์มโลก สื่อออนไลน์ สมาคมวิชาชีพ เดินเครื่องประชาสัมพันธ์งานพระราชพิธีฯ ให้สมพระเกียรติที่สุด เปิดยุทธศาสตร์ “เล่าเรื่อง Unseen” เจาะลึกพระราชกรณียกิจที่โลกรู้จักน้อย สื่อสารตรงใจคนไทยทุกเจนเนอเรชัน

กรุงเทพฯ,19 พ.ย. 2568 – ทำเนียบรัฐบาล นางสาวศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการฝ่ายประชาสัมพันธ์งานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพฯ นำทีมบูรณาการครั้งประวัติศาสตร์ ดึงกำลังจากแพลตฟอร์มระดับโลก สื่อออนไลน์ชั้นนำ และเครือข่ายสมาคมวิชาชีพสื่อ ร่วมห้องประชุมกำหนดยุทธศาสตร์แบบ “เร็ว ถูกต้อง เข้าถึงได้” ย้ำใช้ “กรมประชาสัมพันธ์” เป็น Data Center และ “เพจ พระลาน” เป็นแหล่งอ้างอิงหลัก ควบคู่แคมเปญเล่าเรื่อง “พระราชกรณียกิจ Unseen” เพื่อเชื่อมโยงความผูกพันระหว่างสถาบันพระมหากษัตริย์กับประชาชนในยุคดิจิทัล โดยมีตัวแทนจาก Facebook Thailand, TikTok Thailand, Line Today, Wisesight, AIS ตลอดจนสมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์และสมาพันธ์สื่อมวลชนทุกแขนงเข้าร่วมอย่างคับคั่ง

เมื่อ “ราชประเพณี” พบ “สื่อความเร็วสูง” โจทย์ใหม่ของการสื่อสารสาธารณะ

การสื่อสารงานพระราชพิธีฯ ในโลกปัจจุบันมิได้วัดกันด้วย “ความเร็ว” เพียงอย่างเดียว หากแต่วัดด้วย “ความถูกต้อง” “ความงดงาม” และ “ความเหมาะสม” ที่ต้องประสานกลมกลืนกับจารีตอันทรงคุณค่า ขณะเดียวกันก็ต้องส่งสารให้ทันสมัย เข้าใจง่าย และเข้าถึงประชาชนได้ทุกแพลตฟอร์ม ในที่ประชุมวันที่ 19 พฤศจิกายน 2568 ที่ทำเนียบรัฐบาล จึงเห็นภาพ “ทีมประเทศไทย” ในเวอร์ชันดิจิทัล  ภาครัฐเป็นแกนกลางข้อมูล ภาคเอกชนแพลตฟอร์มเป็นโครงข่ายคูณพลังการเข้าถึง และวิชาชีพสื่อเป็นด่านหน้าคุณภาพ จริยธรรม การตรวจสอบ

นางสาวศุภมาสระบุชัดว่า โจทย์สำคัญไม่ใช่เพียงการรายงานตามหมายกำหนดการ หากคือการ “เชื่อมโยงความผูกพัน” ให้ประชาชนทุกเจนเนอเรชันสัมผัสคุณค่าพระราชกรณียกิจอย่างลึกซึ้ง โดยเฉพาะ “เรื่องที่โลกรู้จักน้อย” หรือ Unseen ที่ช่วยเติมเต็มภาพความทรงจำร่วมกันให้ครบถ้วนและร่วมสมัย

ไทม์ไลน์และบรรยากาศการประชุม  การระดมสมองที่เริ่มจากความตั้งใจเดียวกัน

ช่วงเช้า ปูกรอบยุทธศาสตร์

  • ประธานที่ประชุมชี้กรอบ “3 เสาหลัก”  ข้อมูลถูกต้อง, เล่าเรื่องเข้าใจง่าย, เข้าถึงได้จริงทุกแพลตฟอร์ม
  • เห็นพ้องกำหนด กรมประชาสัมพันธ์ (กรมปชส.) ทำหน้าที่ Data Center รวมศูนย์ข้อมูล ข่าว ภาพ วิดีโอ อินโฟกราฟิก และชุดคำถาม คำตอบมาตรฐาน (FAQ) เพื่อให้ทุกฝ่ายอ้างอิงตรงกัน
  • รับรอง เพจ  พระลาน” เป็น Reference Hub สำหรับสื่อและครีเอเตอร์ดึงข้อมูลไปผลิตซ้ำอย่างถูกต้องและงดงาม

ช่วงบ่าย ออกแบบการทำงานระดับปฏิบัติการ

  • แพลตฟอร์มโซเชียล (Facebook Thailand, TikTok Thailand, Line Today) นำเสนอวิธีเพิ่มการเข้าถึงโดยไม่ลดทอนความศักดิ์สิทธิ์ของเนื้อหา เช่น หน้ารวมแคมเปญ, ปักหมุด (pin) คอนเทนต์หลัก, เพลย์ลิสต์เรียนรู้, และการคัดกรองคำค้นหาที่ถูกต้อง
  • บริษัทข้อมูล โซเชียลลิสซันนิง (Wisesight) ร่วมออกแบบแดชบอร์ดติดตามความเข้าใจสาธารณะ สัญญาณสับสน บิดเบือน ตั้งคำถาม เพื่อส่งกลับไปยังทีมสื่อสารให้ตอบสนองได้ทันท่วงที
  • ผู้ให้บริการโครงข่าย (AIS) สนับสนุนการกระจายสัญญาณและพื้นที่สื่อสาธารณะบนเครือข่ายในช่วงสำคัญ
  • สมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ (SONP) และสมาพันธ์สื่อ ร่วมวาง “มาตรฐานห้องข่าว” สำหรับการนำเสนอที่เคารพจารีต และคงหลักวิชาชีพสื่อมวลชน

บรรยากาศเป็นไปอย่างสร้างสรรค์และมีเอกภาพ ข้อเสนอของแต่ละฝ่ายมุ่งไปสู่เป้าหมายเดียวกัน  ให้ข้อมูลชุดเดียวกันที่ถูกต้อง งดงาม และเข้าถึงได้ ถูกส่งต่อสู่ประชาชนอย่างกว้างไกลที่สุด

เสียงจากผู้กำหนดยุทธศาสตร์  ย้ำ “เร็ว ถูกต้อง เคารพ” และ “มนุษย์อยู่ในวงจร”

นางสาวศุภมาส กล่าวในที่ประชุมว่า

“ความท้าทายของเราคือการผสาน ‘ขนบธรรมเนียมโบราณราชประเพณี’ เข้ากับ ‘ความรวดเร็วของสื่อออนไลน์’ วันนี้เราได้รับความร่วมมือจากทุกแพลตฟอร์มที่จะช่วยกันกระจายเสียงแห่งความจงรักภักดีนี้ออกไปให้กว้างไกลที่สุด เราจะใช้ Influencer และเครือข่ายสื่อออนไลน์เป็นสะพานเชื่อมข้อมูลที่ถูกต้องจากกรมประชาสัมพันธ์ ไปสู่หน้าจอโทรศัพท์ของประชาชนทุกคน”

ถ้อยคำดังกล่าวตอกย้ำแกนคิดหลักของการสื่อสารครั้งนี้ ความเร็ว ต้องเดินคู่กับ ความถูกต้องและความเคารพ และทุกชิ้นงานต้องมี “มนุษย์ในวงจร” (Human-in-the-loop) กลั่นกรองความเหมาะสมก่อนเผยแพร่เสมอ

เนื้อหาหลัก  ยุทธศาสตร์ “เล่าเรื่อง Unseen” ทำไมจึงสำคัญ

“Unseen” ในที่นี้ หมายถึง พระราชกรณียกิจ พระราชดำริ เรื่องเล่าจากพื้นที่ ภาพจำเล็กๆ ที่ประทับอยู่ในใจประชาชน แต่ยังไม่เป็นที่รับรู้ในวงกว้าง การเล่าเรื่องกลุ่มนี้มีคุณค่าต่อสังคมอย่างน้อยสามประการ

  1. เติมภาพประวัติศาสตร์ให้สมบูรณ์ จากเรื่องใหญ่สู่รายละเอียดชีวิตประจำวันที่สะท้อนพระเมตตาและพระวิริยะอุตสาหะ
  2. สร้างสะพานระหว่างรุ่น คอนเทนต์แบบสั้น ย่อยง่าย มีบริบท จะช่วยให้คนรุ่นใหม่เข้าถึงสาระสำคัญได้รวดเร็ว ก่อนพาไปอ่าน/รับชมเวอร์ชันเต็มที่มีรายละเอียดลึก
  3. สื่อสารสู่โลกภายนอกได้อย่างสง่างาม การคัดเลือกประเด็นพร้อมคำบรรยายที่ถูกต้อง จะช่วยให้สื่อสากลและผู้ชมต่างชาติ “เข้าใจ” อย่างถูกทิศทาง

ด้วยเหตุนี้ แผน “เล่าเรื่อง Unseen” จึงถูกวางแบบ สองชั้น

  • ชั้นแรก  คลิป/ภาพ/อินโฟการ์ดความยาวสั้นมาก (ไมโคร คอนเทนต์) เพื่อดึงความสนใจและให้รู้ “แก่น”
  • ชั้นสอง  บทความ วิดีโอความยาวปานกลางไปจนถึงยาว (Storytelling เต็มรูป) ที่มาพร้อม เชิงอรรถ ที่มา คำอธิบายพิธี และลิงก์ไปยัง “เพจ  พระลาน” กับชุดข้อมูลกลางของกรมประชาสัมพันธ์

กลไกทำงาน  “กรมประชาสัมพันธ์ = Data Center” / “เพจ  พระลาน = Reference Hub”

ที่ประชุมได้วาง โครง Workflow เพื่อให้ข้อมูลเดินทางได้ เร็วแต่แม่นยำ ดังนี้

  • Data Center (กรมปชส.)  รวมชุดข้อมูลต้นน้ำทั้งหมด หมายกำหนดการ ภาพ วิดีโอที่ได้รับอนุญาต อินโฟกราฟิก มาตรฐานภาษา คำสะกด คำแปลเพื่อใช้สื่อสารกับต่างชาติ คู่มือการใช้งานสื่อ (do & don’t) ตลอดจนคำถาม คำตอบมาตรฐาน
  • Reference Hub (เพจ  พระลาน)  ทำหน้าที่เผยแพร่ข้อมูลกลางฉบับประชาชนและภาคสื่อ เป็น “ลิงก์สั้น” ที่สื่อและครีเอเตอร์สามารถอ้างถึง ซ้ำ และขยายผลได้อย่างมั่นใจว่า ข้อมูลตรงและเป็นฉบับล่าสุด
  • แพลตฟอร์ม สื่อ สมาคม  นำข้อมูลจาก Reference Hub ไปผลิต คอนเทนต์รูปแบบต่างๆ บนแพลตฟอร์มของตน โดยยึดชุดคำอธิบาย เครดิต ข้อกำกับจริยธรรมที่ตรงกัน

ผลที่คาดหวังคือ ลดปัญหา “ข้อมูลหลายฉบับ” ที่ทำให้ผู้ชมสับสน และ เพิ่มความราบรื่นของประสบการณ์รับสาร ตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง

บทบาทแพลตฟอร์ม  ขยายการเข้าถึงอย่างเคารพ งดงาม

ตัวแทนจากแพลตฟอร์มต่างๆ ได้นำเสนอกลไกเฉพาะที่ช่วยคูณพลังการเข้าถึง โดยไม่ลดทอน “คุณค่าพิธี” เช่น

  • Facebook Thailand  สร้าง หน้าแคมเปญรวม (curated hub) ปักหมุดโพสต์หลัก จัดเพลย์ลิสต์วิดีโอ และสนับสนุนระบบแจ้งเตือนสำหรับคอนเทนต์ที่ผ่านการรับรอง
  • TikTok Thailand  เปิด เพลย์ลิสต์เรียนรู้ (learning playlist) จัดหมวด #Hashtag ทางการ และเครื่องมือ reminder สำหรับถ่ายทอดสด/ไลฟ์สำคัญ พร้อมแนวทางคัดกรองคำค้นให้สะท้อนคำอธิบายที่ถูกต้อง
  • Line Today  จัดทำหน้า “รวมบทความอธิบายพิธี ที่มา บริบท” เน้นสั้น ชัด เชื่อมต่อฉบับเต็ม
  • Wisesight  ตั้ง แดชบอร์ดโซเชียลลิสซันนิง คอยเฝ้าสัญญาณความเข้าใจผิดและคำถามที่พบบ่อย เพื่อส่งกลับไปยังกรมปชส.ปรับแต่งชุดคำอธิบาย
  • AIS  สนับสนุนพื้นที่สื่อบนโครงข่ายและระบบถ่ายทอดในช่วงเวลาสำคัญให้เข้าถึงผู้ชมได้ครอบคลุม

ทั้งหมดนี้จะยึดข้อมูลจาก กรมปชส. และ เพจ  พระลาน เป็นฐานเดียวกัน เพื่อให้ “ถ้อยคำ ภาพ คำบรรยาย” เดินไปในทิศทางเดียวกัน

มาตรฐานวิชาชีพและจริยธรรม  “เร็วได้ แต่ต้องไม่พลาด”

แม้โลกออนไลน์จะเคลื่อนที่เร็ว แต่ที่ประชุมยืนยัน สามหลักประกัน

  1. Human-in-the-loop  ทุกชิ้นงานต้องมีคนตรวจสอบความเหมาะสมก่อนเผยแพร่ โดยเฉพาะประเด็นอ่อนไหวทางวัฒนธรรม จารีต
  2. เครดิตชัดเจน  ทุกแพลตฟอร์ม สำนักข่าว ครีเอเตอร์ต้องให้เครดิตต้นทางชัดเจน “กรมปชส./เพจ  พระลาน” และ/หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พร้อมระบุวันที่ เวลาของข้อมูล
  3. คู่มือการใช้สื่อ (Do & Don’t)  กำหนดแนวปฏิบัติเกี่ยวกับภาพที่อนุญาต การตัดต่อที่เหมาะสม โทนภาษาที่ใช้ และการจัดวางโฆษณา/สปอนเซอร์เพื่อไม่ให้บดบังความสำคัญของพิธีการ

มาตรการเหล่านี้ทำหน้าที่เป็น “เบรกคุณภาพ” ควบคู่กับ “คันเร่งการเข้าถึง” เพื่อให้สารทุกชิ้น งดงามและรับผิดชอบ

กลยุทธ์การเข้าถึงผู้ชมหลากรุ่น  จากไมโครคอนเทนต์สู่สตอรีเต็มรูป

เพื่อให้เข้าถึงคนไทยทุกเจนเนอเรชัน ที่ประชุมวางแนวทาง สองชั้น หลายรูปแบบ

  • ไมโครคอนเทนต์  ภาพ คลิปสั้น อินโฟการ์ด ที่ตอบโจทย์พฤติกรรมเสพสื่อยุคใหม่ ช่วย “เปิดประตู” ให้ผู้ชมสนใจ
  • สตอรีเต็มรูป  บทความยาว วิดีโอสารคดีสั้น สกู๊ปอธิบายที่เชื่อมกลับไปยัง “เพจ  พระลาน” และฐานข้อมูลของกรมปชส. เพื่อให้ผู้สนใจศึกษาลึกต่อ
  • ภาษา การแปล  จัดเตรียมคำอธิบายภาษาไทยที่อ่านง่าย และชุดคำแปลภาษาอังกฤษสำหรับสื่อสากล/ผู้ชมต่างชาติ เพื่อสะท้อนคุณค่าพระราชพิธีฯ อย่างเที่ยงตรง

บทบาทสื่อ สมาคมวิชาชีพ  ห้องข่าวที่เข้มแข็งคือรากฐานความน่าเชื่อถือ

สมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ (SONP) และสมาพันธ์สื่อมวลชนทุกแขนง รับบทเป็น แกนกลางวิชาชีพ ทำงานสองชั้น

  1. ยกระดับคุณภาพเนื้อหา ตรวจแหล่งที่มา อธิบายบริบททางประวัติศาสตร์ จารีตให้เข้าใจง่าย และใช้ภาษามืออาชีพ
  2. สร้างมาตรฐานร่วม กำหนดแนวปฏิบัติเชิงบรรณาธิการสำหรับข่าวพิธีการสำคัญ (เช่น รูปแบบพาดหัว คำโปรย การใช้คำราชาศัพท์ และการยืนยันข้อมูลกับกรมปชส.)

ด้วยหลักการนี้ ห้องข่าวจะเป็น “ผู้คุมมาตรฐาน” ของสาร แม้จะกระจายผ่านแพลตฟอร์มที่หลากหลายเพียงใดก็ตาม

คำถามที่สังคมอยากรู้  ทำอย่างไรให้ “ไวรัล” โดยไม่ลดทอนคุณค่า

ที่ประชุมย้ำว่า เป้าหมายไม่ใช่ไวรัล แต่คือความเข้าใจที่ถูกต้อง อย่างไรก็ดี หากชิ้นงานมีส่วนช่วยให้คนจำนวนมากเข้าถึง “ด้วยความเคารพและความรู้ที่ถูกต้อง” ก็ถือว่าเป็นผลลัพธ์ที่พึงประสงค์ แนวทางปฏิบัติที่เสนอ เช่น

  • ใช้ ภาพเล่าเรื่อง ที่สะท้อนบริบท มากกว่าภาพที่หวือหวา
  • ใส่ คำบรรยายมาตรฐาน จากฐานข้อมูลกลาง เพื่อให้แชร์ต่อไปยังชุมชนออนไลน์ได้โดยไม่สูญเสียความหมาย
  • จัดทำ FAQ/Fact-check คู่กันสำหรับประเด็นที่สังคมถามบ่อย ลดการตีความผิดพลาดซ้ำ

ความร่วมมือ “ภาครัฐ แพลตฟอร์ม สื่อ ประชาชน”  เส้นทางเดียวสู่เอกภาพ

โมเดลความร่วมมือที่เกิดขึ้นในวันนี้ เป็นตัวอย่างของ “ประชาสัมพันธ์เชิงสาธารณะ” ที่ ทุกฝ่ายเดินไปในทิศทางเดียว โดยมีหลักการร่วมกันคือ

  • ข้อมูลแหล่งเดียว (single source of truth)
  • กระจายหลายช่องทาง (multi-platform distribution)
  • มาตรฐานร่วม (shared ethics & style)
  • ตรวจ ตอบ ปรับปรุง (listening & feedback) แบบวันต่อวัน

หากเดินตามเส้นทางนี้ได้ต่อเนื่อง จะเกิด “ความสง่างามของสาร” ควบคู่กับ “ความพร้อมเพรียงของสังคม” ในการส่งเสด็จฯ ครั้งสำคัญ

 “ความร่วมสมัยที่ไม่ละทิ้งจารีต” คือหัวใจของภารกิจ

ความท้าทายของการสื่อสารงานพระราชพิธีฯ ในยุคดิจิทัล ไม่ได้อยู่ที่การเลือกแพลตฟอร์มหรือรูปแบบคอนเทนต์อย่างเดียว แต่อยู่ที่การรักษา สาระ ศักดิ์ศรี และความงาม ของจารีตให้ครบถ้วน พร้อมๆ กับการทำให้คนรุ่นใหม่ “เข้าใจและเข้าถึง” ด้วยภาษาของยุคสมัย
คำย้ำของนางสาวศุภมาสว่า “เนื้อหาถูกต้อง เข้าใจง่าย และเข้าถึงได้จริง” จึงมิได้เป็นเพียงสโลแกน แต่เป็น คำมั่นทางยุทธศาสตร์ ที่ทุกฝ่ายในห้องประชุมยินดีเดินไปด้วยกันโดยมีกรมประชาสัมพันธ์เป็นแกนกลางข้อมูล “เพจ  พระลาน” เป็นประตูสู่สาธารณะ และเครือข่ายแพลตฟอร์ม สื่อ สมาคม ครีเอเตอร์ เป็นแรงขับเคลื่อนสู่หัวใจประชาชน

เมื่อความพร้อมเชิงระบบมาบรรจบกับความตั้งใจเชิงคุณค่า ภารกิจการสื่อสารงานพระราชพิธีฯ ก็มีโอกาสบรรลุทั้ง “ความถูกต้อง” และ “ความประทับใจ” อันคู่ควร

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นางสาวศุภมาส อิศรภักดี)
  • กรมประชาสัมพันธ์
  • เพจ  พระลาน
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

“พันดวงประทีป ธ ประดับสวรรคาลัย” ร่วมน้อมรำลึกพระมหากรุณาธิคุณ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง

แสงศรัทธาประดับสวรรคาลัย เชียงรายร่วมรำลึก “สมเด็จพระพันปีหลวง” ด้วยพันดวงประทีปและพิธีบำเพ็ญกุศล สองเวที–หนึ่งความหมาย บึงทัพฟ้าสว่างไสว และมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงรายก้องสะท้อนกตัญญู–สามัคคี–จงรักภักดี

เชียงราย, 4 พฤศจิกายน 2568 — ยามเย็นริม “บึงทัพฟ้า” ลมหนาวต้นเดือนพฤศจิกายนพัดผ่านเหนือผืนน้ำที่สงบนิ่งก่อนเปลวไฟนับพันดวงจะถูกจุดขึ้นพร้อมกันอย่างเป็นระเบียบ ตะเกียงแต่ละใบค่อย ๆ ส่องสว่างรอบคุ้งน้ำ ดั่งริ้วคลื่นแห่งความกตัญญูที่ทอดยาวไปไกลสุดสายตา ณ ชั่วขณะนั้น เมืองเชียงรายทั้งเมืองเหมือนหยุดหายใจเพื่อร่วม “วาระเดียวกัน”—รำลึกพระมหากรุณาธิคุณของ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ผู้ทรงเป็นแรงบันดาลใจและร่มพระบารมีของประชาชนไทยมายาวนาน

บนพื้นที่เดียวกัน เทศบาลนครเชียงราย นำโดย นายวันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย ได้ผนึกกำลังกับ กองทัพอากาศ จัดพิธี “พันดวงประทีป ธ ประดับสวรรคาลัย” อย่างสมพระเกียรติ โดยมี พลอากาศเอก ประภาส สอนใจดี ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารอากาศ เป็นประธานพิธี และมีผู้แทนหน่วยราชการ ทหาร ข้าราชการท้องถิ่น ตลอดจนประชาชนจำนวนมากเข้าร่วม ท่ามกลางบรรยากาศเรียบสง่า แต่เข้มขลังด้วย “แสงศรัทธา” ที่ทุกคนร่วมกันจุดถวายเพื่อแสดงความจงรักภักดีและขอบคุณในพระมหากรุณาธิคุณอันล้นพ้น

ขณะเดียวกัน ในเขตตัวเมืองอีกฟากหนึ่ง มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย (มรภ.เชียงราย) จัดพิธีบำเพ็ญกุศลอุทิศถวาย ณ หอประชุมใหญ่ โดยมี พระราชวชิรคณี เจ้าคณะจังหวัดเชียงราย/เจ้าอาวาสวัดพระธาตุผาเงา เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ และ รองศาสตราจารย์ ดร.ไพโรจน์ ด้วงนคร อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย เป็นประธานฝ่ายฆราวาส พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร คณาจารย์ บุคลากร นักศึกษา หัวหน้าส่วนราชการ ผู้นำท้องถิ่น และประชาชนร่วมพิธีอย่างพร้อมเพรียง ภาพของพุทธศาสนิกชนที่สงบนิ่งในหอประชุมตัดสลับกับแสงประทีปรอบบึงทัพฟ้าในยามค่ำ กลายเป็น “สองเวที–หนึ่งความหมาย” ที่สะท้อนพลังร่วมของเมืองทั้งเมือง

บึงทัพฟ้า—เมื่อ “หนึ่งเปลวไฟ” สานเป็น “พันดวงประทีป”

พิธีเริ่มขึ้นโดยขั้นตอนระเบียบเรียบร้อยตามแบบแผนราชพิธีร่วมสมัย เสียงเพลงเบา ๆ ผสานกับเสียงลมเหนือผืนน้ำ ผู้คนหลากวัยสวมชุดสุภาพร่วมจุดตะเกียงทีละดวง ลำดับแถวเรียงรายรอบบึงก่อเกิดเป็น “วงแหวนแห่งแสง” ซึ่งบันทึกความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณผ่านภาพที่เรียบง่ายแต่ตราตรึง การจัดวางพื้นที่และการกำกับดูแลความปลอดภัยดำเนินไปอย่างรัดกุม สะท้อนความร่วมมือของเทศบาล หน่วยงานความมั่นคง และจิตอาสาในพื้นที่

สาระของพิธี เน้นย้ำสามมิติสำคัญคือ “กตัญญู–จงรักภักดี–เสียสละ” ประชาชนที่เข้าร่วมต่างตั้งใจให้ “แสงแห่งความดีงาม” นี้เป็นสัญลักษณ์นำทางการดำรงตนในชีวิตประจำวัน ตามรอย พระราชปณิธาน ของพระบรมราชชนนีพันปีหลวง โดยเฉพาะด้านงานหัตถศิลป์และการอนุรักษ์วัฒนธรรมท้องถิ่น ซึ่งทรงวางรากฐานไว้ให้สังคมไทยยึดถือและสืบสานต่อมาอย่างยาวนาน

หอประชุมใหญ่ มรภ.เชียงราย—ความศรัทธาที่กลั่นเป็น “บุญกุศล”

ขณะบึงทัพฟ้าสุขุมด้วยแสงไฟ หอประชุมใหญ่ของมหาวิทยาลัยเต็มไปด้วยความสงบงามของพิธีสงฆ์ พระราชวชิรคณี นำประกอบพิธีบำเพ็ญกุศลอุทิศถวาย โดยมี รศ.ดร.ไพโรจน์ ด้วงนคร เป็นประธานฝ่ายฆราวาส ภายในพิธีประกอบด้วยบทสวดมนต์ อนุโมทนา และการร่วมใจภาวนาของผู้เข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง ความพร้อมหน้าของ คณาจารย์–บุคลากร–นักศึกษา–หัวหน้าส่วนราชการ–ผู้นำท้องถิ่น–ประชาชน บอกเล่า “พลวัตการมีส่วนร่วม” ที่บ่มเพาะในสถาบันการศึกษา เพื่อส่งต่อ “จิตสำนึกพลเมือง” เข้าสู่สังคมวงกว้าง

สาระสำคัญ ของพิธีที่มหาวิทยาลัย คือการให้พื้นที่กับ “ความทรงจำร่วม” ผ่านรูปแบบที่แสดงออกได้อย่างเหมาะสม—ทั้งด้านพุทธศาสนา (พิธีบำเพ็ญกุศล) และด้านพลเมือง (การรวมพลังทำความดี) นี่ไม่ใช่เพียง “พิธีกรรม” หากเป็น “บทเรียนสาธารณะ” ที่ทำให้นักศึกษาและคนรุ่นใหม่ได้เรียนรู้คุณค่าของความกตัญญูและการเสียสละ ผ่านการลงมือปฏิบัติและสัมผัสบรรยากาศจริง

ทำไม “พันดวงประทีป” จึงทรงพลัง อ่านสัญลักษณ์ในสามระดับ

  1. ระดับปัจเจก — เปลวไฟหนึ่งดวงคือคำมั่น ผู้จุดตะเกียง “ประกาศภายใน” ว่าจะเดินตามรอยความดีงาม ความอ่อนน้อม และความเสียสละของพระองค์
  2. ระดับชุมชน — เมื่อไฟนับพันดวงรวมเป็นวงแหวนรอบบึงทัพฟ้า เมืองทั้งเมืองได้ “เห็นกันและกัน” ว่าสังคมยังมีแก่นค่านิยมร่วมที่จับต้องได้—ความกตัญญูและความสามัคคี
  3. ระดับประเทศ — รูปธรรมของพิธีที่เชียงรายสอดรับจารีตการรำลึกในหลากพื้นที่ของไทย เชื่อม “ความทรงจำทางสังคม” เข้ากับ “อัตลักษณ์ร่วม” ที่ยืนยาวกว่าความต่างในรายละเอียด

เชียงรายในมุมความทรงจำ เมือง–ศรัทธา–งานหัตถศิลป์

ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา ชื่อ “เชียงราย” เด่นชัดในบทสนทนาเรื่องวัฒนธรรมและหัตถศิลป์ล้านนา ตั้งแต่งานทอผ้า งานจักสาน งานแกะสลัก ไปจนถึงงานศิลป์ร่วมสมัย แก่นค่านิยมหนึ่งที่สะท้อนชัดจากพิธีในวันนี้คือ การสืบสานอย่างมีชีวิต” ไม่ใช่เพียงการเก็บรักษา แต่คือการทำให้มี “ผู้สืบทอด” อยู่เสมอ ซึ่งสอดคล้องกับพระราชปณิธานของพระบรมราชชนนีพันปีหลวงในการทรงทำนุบำรุงงานหัตถศิลป์และศิลปวัฒนธรรมพื้นถิ่น

เมื่อ เทศบาลนครเชียงราย ผนึกกำลังกับ กองทัพอากาศ และหน่วยงานท้องถิ่น การจัดพิธีที่เรียบง่ายแต่เปี่ยมความหมายจึงไม่ใช่ “งานครั้งคราว” หากเป็น “กลไก” ในการก่อรูปความทรงจำและบ่มเพาะความเป็นพลเมืองร่วมสมัยให้แข็งแรงขึ้น

มหาวิทยาลัยคือสะพาน เชื่อมความทรงจำสู่อนาคตของคนรุ่นใหม่

บทบาทของ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย ในค่ำคืนนี้ ไม่เพียงแสดงความพร้อมทางวิชาการและพิธีการ แต่ยังตอกย้ำบทบาทของ “สถาบันอุดมศึกษา” ในฐานะ “พื้นที่กลางของชุมชน” ที่เปิดรับคนทุกวัย ทุกสาขาอาชีพเข้าสู่พิธีกรรมทางสังคมที่มีความหมาย การได้เห็นนักศึกษา “เรียนบทเรียนพลเมือง” ผ่านการมีส่วนร่วมจริง—ตั้งแต่เตรียมงาน อำนวยความสะดวก ไปจนถึงร่วมภาวนา—คือการส่งต่อทุนสังคมชุดสำคัญ ความรับผิดชอบ–ความอ่อนน้อม–ความเคารพในสถาบันหลักของชาติ

สถิติ–สัญญะ–ส่วนร่วม (Reading the Impact)

แม้พิธีเชิงสัญลักษณ์จะวัดค่าเชิงปริมาณได้ยาก แต่สามองค์ประกอบต่อไปนี้ช่วย “อ่านผลลัพธ์” ได้ชัดเจนขึ้น

  • สถิติในเชิงโครงสร้าง มี “สองเวทีพิธีหลัก” ในวันเดียวกัน—บึงทัพฟ้า (พิธีประทีป) และ มรภ.เชียงราย (พิธีบำเพ็ญกุศล) ดึงผู้มีส่วนร่วมจากหลายภาคส่วน ทั้งทหาร ส่วนท้องถิ่น ส่วนกลาง ชุมชน นักศึกษา และประชาชน
  • สัญญะของแสง “พันดวงประทีป” ไม่ใช่เพียงจำนวน แต่คือ “การรวมพลัง” ที่มองเห็นได้ด้วยตา—การที่ไฟแต่ละดวงต้อง “ถูกจุดด้วยมือ” ทำให้ทุกคนเป็น “เจ้าของพิธี” เท่า ๆ กัน
  • ส่วนร่วมอย่างมีคุณภาพ พิธีทั้งสองไม่ใช่กิจกรรมแบบผู้จัด–ผู้ชม หากเป็นกิจกรรมที่ “ทุกฝ่ายมีบทบาท” ตั้งแต่เตรียมงาน ดูแลความปลอดภัย ไปจนถึงร่วมภาวนา—มิตินี้คือหัวใจของ “ความเข้มแข็งทางสังคม”

เชื่อมโยงพระราชปณิธาน จากงานศิลป์–หัตถกรรม สู่ความดีงามในชีวิตประจำวัน

หนึ่งในรากฐานที่ทำให้พิธีค่ำคืนนี้ทรงความหมายคือการได้ “น้อมระลึก” ถึงพระราชปณิธานด้านการทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรม งานหัตถกรรม และภูมิปัญญาพื้นถิ่น—สิ่งที่ส่งผลจริงต่อวิถีชีวิตประชาชน ทั้งการสร้างงาน สร้างรายได้ และสร้างความภาคภูมิใจให้ชุมชน เมื่อประชาชนและนิสิตนักศึกษาลุกขึ้นมาร่วมพิธีอย่างพร้อมเพรียง สิ่งที่ซึมลึกกว่าความงามของเปลวไฟ คือ “แรงบันดาลใจจะทำความดีต่อเนื่อง” ในหน่วยเล็ก ๆ ของสังคม ครอบครัว โรงเรียน วัด ชุมชน

บทเรียนสำหรับเมือง ทำอย่างไรให้ “ความทรงจำร่วม” ดำรงอยู่ยาวนาน

  1. ปฏิทินพิธีกรรมประจำปี – เมืองสามารถกำหนด “จังหวะเวลา” ให้ประชาชนคุ้นเคยและรอคอย เหมือนฤดูกาลของความดีงามที่กลับมาเสมอ
  2. การมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง – เปิดพื้นที่ให้ภาคีหลากหลายได้ “ทำ” ไม่ใช่แค่ “มาดู” เช่น กลุ่มเยาวชน องค์กรชุมชน โรงเรียน อาสาสมัคร
  3. สื่อสารสาระอย่างเข้าใจง่าย – อธิบายความหมายของพิธีและสัญลักษณ์ เช่น ทำไมต้อง “ตะเกียงนับพันดวง” ทำไมต้อง “บำเพ็ญกุศล”—ยิ่งเข้าใจ ยิ่งมีพลัง
  4. เชื่อมงานบุญกับงานชุมชน – ต่อท่อกิจกรรมจาก “พิธี” ไปสู่ “โครงการย่อย” เช่น เวิร์กช็อปงานหัตถกรรม อนุรักษ์สิ่งแวดล้อมรอบบึงทัพฟ้า ทุนการศึกษาด้านศิลปวัฒนธรรม ฯลฯ

สองพื้นที่—หนึ่งใจเดียว

ค่ำคืนที่ “บึงทัพฟ้า” เมืองได้เห็นแสงประทีปนับพันดวงโอบกอดผืนน้ำ ขณะที่ “หอประชุมใหญ่ มรภ.เชียงราย” เปล่งเสียงสวดกังวานด้วยความสงบเยือกเย็น—สองภาพนี้คือ บทกวีร่วมสมัยของเชียงราย ที่ร้อยเรียงด้วยเส้นด้ายเดียวกันคือ ความกตัญญูและความจงรักภักดี ต่อ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง และเมื่อเปลวไฟสุดท้ายค่อย ๆ มอดดับ ผู้คนแยกย้ายกลับบ้านพร้อม “แสงเล็ก ๆ ในใจ” ที่ยังอุ่นอยู่—แสงที่เตือนว่า ในโลกที่หมุนเร็วขึ้นทุกวัน ยังมีค่าหนึ่งที่ไม่เคยเปลี่ยน: การระลึกคุณและการทำความดีร่วมกัน

KEY TAKEAWAYS (สำหรับผู้อ่านเชิงนโยบาย/การจัดการเมือง)

  • สองเวทีหลัก: พิธีประทีป ณ บึงทัพฟ้า (เทศบาลฯ–กองทัพอากาศ) และพิธีบำเพ็ญกุศล ณ มรภ.เชียงราย (ฝ่ายสงฆ์–ฝ่ายฆราวาส–สาธารณะ)
  • สาระกลาง: ความกตัญญู–ความจงรักภักดี–การสืบสานพระราชปณิธานด้านวัฒนธรรมและหัตถศิลป์
  • ผลลัพธ์ทางสังคม: เกิดพื้นที่ส่วนร่วมของพลเมืองอย่างกว้างขวาง สร้างความเชื่อมโยงระหว่างรัฐ–สถาบันการศึกษา–ศาสนา–ชุมชน
  • ข้อเสนอเชิงระบบ: ทำปฏิทินพิธีประจำปี—เปิดโอกาสให้ “ทำ” มากกว่า “ดู”—สื่อสารความหมายให้เข้าใจง่าย—เชื่อมพิชญ์กรรมกับกิจกรรมชุมชนเชิงยั่งยืน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • เทศบาลนครเชียงราย
  • กองทัพอากาศ
  • สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย
  • มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย (มรภ.เชียงราย)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI FEATURED NEWS

มฟล. เชียงราย จัดพิธี “จุดเทียนถวายอาลัย” น้อมรำลึกพระมหากรุณาธิคุณ “สมเด็จพระพันปีหลวง”

น้อมรำลึกสุดอาลัย! มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงนำพสกนิกรเชียงราย ร่วมพิธีถวายความเคารพ

เชียงราย, 25 ตุลาคม 2568 – แสงเทียนหลายสิบเล่มค่อย ๆ สว่างขึ้นท่ามกลางความมืดของลานเฉลิมพระเกียรติ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย พร้อมเสียงสวดถวายความอาลัยที่ดังขึ้นอย่างนอบน้อม นี่ไม่ใช่เพียงพิธีเชิงสัญลักษณ์ แต่คือภาพสะท้อนของสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณที่สั่งสมมาหลายทศวรรษต่อสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และประชาชนไทยทั้งแผ่นดิน

พิธี “จุดเทียนน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง” จัดขึ้นโดยมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง (มฟล.) เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2568 เวลา 18.00 น. หลังจากสำนักพระราชวังประกาศการสวรรคตอย่างเป็นทางการของสมเด็จพระพันปีหลวง ท่ามกลางบรรยากาศโศกเศร้าของทั้งประเทศ ภายในพิธี ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.มัชฌิมา นราดิศร อธิการบดีมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ทำหน้าที่นำคณาจารย์ บุคลากร นักศึกษา และประชาชนชาวเชียงรายกว่า 100 คน ร่วมถวายอาลัยแด่ “พระผู้เสด็จสู่สวรรคาลัย” ด้วยความอ่อนน้อมและระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่ที่ทรงมีต่อชาติบ้านเมือง

พิธีดังกล่าวมีความหมายทั้งในเชิงสัญลักษณ์และเชิงสถาบัน เพราะมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงมิได้เป็นเพียงสถาบันอุดมศึกษาในภาคเหนือ หากยังเป็นมหาวิทยาลัยที่ถือกำเนิดขึ้นภายใต้พระราชปณิธานด้านการพัฒนาคนและพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ห่างไกลของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี (สมเด็จย่า) ผู้ทรงเป็น “แม่ฟ้าหลวง” อันเป็นที่มาของพระนามมหาวิทยาลัย ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้มักยืนอยู่แนวหน้าในการแสดงความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ในวาระสำคัญของแผ่นดิน

ความอาลัยที่มากกว่าพิธีการ “พระองค์ทรงอยู่ในชีวิตประจำวันของประชาชน”

ในพิธี ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.มัชฌิมา นราดิศร กล่าวถึงความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ของชาติด้วยถ้อยคำที่สะท้อนความรู้สึกของคนไทยจำนวนมากในช่วงเวลานี้ว่า

“พสกนิกรชาวไทยทั่วประเทศต่างโศกเศร้าเสียใจเป็นอย่างยิ่ง พระองค์ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณและคุณูปการอันยิ่งใหญ่ต่อประเทศชาติและประชาชน มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงจึงได้จัดพิธีจุดเทียนขึ้น เพื่อถวายความเคารพและน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้”

ข้อความดังกล่าวมิได้เป็นเพียงคำปราศรัยในโอกาสพิเศษ แต่คือการย้ำเตือนว่า สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงมีบทบาทอันยิ่งใหญ่ต่อการพัฒนาสังคมไทยในหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นศิลปวัฒนธรรม วิถีชุมชนชายแดน การอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้และต้นน้ำ การทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา การดูแลประชาชนในพื้นที่ทุรกันดาร รวมถึงการทรงงานด้านสาธารณสุขและสวัสดิการสังคม ในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา

สำหรับจังหวัดเชียงรายและพื้นที่ภาคเหนือ พระราชกรณียกิจของสมเด็จพระพันปีหลวงถูกจดจำอย่างลึกซึ้งในมิติการพัฒนาอาชีพและเศรษฐกิจชุมชน โดยเฉพาะการส่งเสริมงานหัตถกรรมผ้า การพัฒนาคุณภาพชีวิตของสตรี และการส่งเสริมการอยู่ร่วมกันอย่างยั่งยืนระหว่างคนกับป่า ซึ่งทั้งหมดนี้ได้วางรากฐานให้หลายชุมชนในภาคเหนือสามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างมีศักดิ์ศรีในระยะยาว

กล่าวอีกนัยหนึ่ง สำหรับคนในพื้นที่เชียงราย พระองค์ไม่ใช่เพียง “สมเด็จพระราชินี” ในเชิงสถานะทางราชสำนัก แต่เป็น “แม่” ในความหมายจริงของคำว่า ผู้หล่อเลี้ยง ดูแล ปกป้อง และยืนเคียงข้างประชาชนในยามยากลำบาก

ดังนั้น พิธีจุดเทียนของมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงจึงไม่ใช่เหตุการณ์เชิงพิธีกรรมเพียงชั่วโมงเดียว หากเป็นการแสดงออกถึงความต่อเนื่องของสายสัมพันธ์ระหว่างประชาชนในท้องถิ่นกับสถาบันฯ ที่ยังคงชัดเจนและมีความหมายในสังคมไทยร่วมสมัย

มฟล. กับบทบาท “พื้นที่กลางของความอาลัย” ของชาวเชียงราย

พิธีดังกล่าวได้รับการออกแบบให้ประชาชนทั่วไปสามารถเข้าร่วมได้ ไม่จำกัดเพียงบุคลากรในมหาวิทยาลัย ซึ่งสะท้อนบทบาทที่มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงตั้งใจจะทำในฐานะ “พื้นที่กลางของสังคมเชียงราย” ไม่ใช่ “พื้นที่เฉพาะของคนในรั้วมหาวิทยาลัย” เท่านั้น

ในแง่นี้ มฟล. ทำหน้าที่คล้ายศูนย์รวมใจของจังหวัดเชียงรายในช่วงเวลาที่ผู้คนต้องการสถานที่เพื่อแสดงความอาลัยร่วมกันอย่างสงบและมีเกียรติ พื้นที่ลานเฉลิมพระเกียรติจึงทำหน้าที่ไม่ต่างจาก “ลานหลวงของจังหวัด” ในค่ำคืนนี้ ผู้เข้าร่วมหลายคนสวมเสื้อผ้าสีสุภาพ สีดำ สีเทา และสีขาว บางคนถือดอกไม้ บางคนถือภาพความทรงจำ บางคนเพียงต้องการยืนร่วมแถวแสงเทียนและพนมมือเงียบ ๆ

สำหรับนักศึกษาหลายคน นี่อาจเป็นช่วงเวลาที่พวกเขารับรู้ว่าภาษาอย่าง “พระมหากรุณาธิคุณ” หรือ “พระราชกรณียกิจ” ที่เคยได้ยินในตำรานั้น แท้จริงแล้วมีผลอย่างไรต่อการศึกษา สิ่งแวดล้อม วิถีชีวิต และโอกาสของคนในพื้นที่บ้านเกิดของตนเอง

กล่าวได้ว่า มหาวิทยาลัยไม่ได้เพียง “จัดพิธี” แต่กำลัง “จัดความหมายร่วมของจังหวัด”

มติ ครม. และจังหวะที่ทั้งประเทศยืนไว้อาลัยพร้อมกัน

พิธีที่เชียงรายเกิดขึ้นควบคู่กับมาตรการแสดงความอาลัยระดับชาติ หลังคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบตามประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่องการสวรรคตของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง โดยกำหนดแนวทางปฏิบัติสำหรับหน่วยงานของรัฐและสังคม ดังนี้

  • ลดธงครึ่งเสา
    ให้สถานที่ราชการ รัฐวิสาหกิจ หน่วยงานของรัฐ และสถานศึกษาทุกแห่งลดธงครึ่งเสาเป็นเวลา 30 วัน นับตั้งแต่วันที่ 25 ตุลาคม 2568 เป็นต้นไป
  • การไว้ทุกข์ของข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐ
    ให้ข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ และเจ้าหน้าที่ของรัฐไว้ทุกข์เป็นเวลา 1 ปี ซึ่งถือเป็นระยะเวลาที่ยาวนาน สะท้อนถึงความเคารพอย่างสูงสุดที่รัฐบาลและหน่วยงานรัฐมีต่อพระราชสถานะและพระราชกรณียกิจของสมเด็จพระพันปีหลวง
  • การร่วมไว้อาลัยของประชาชนทั่วไป
    ขอความร่วมมือให้ประชาชนร่วมกันแสดงความอาลัยเป็นเวลา 90 วัน โดยพิจารณาตามความเหมาะสมของแต่ละบุคคลและบริบทของแต่ละพื้นที่

แนวทางดังกล่าวทำให้บรรยากาศในประเทศในช่วงเวลานี้ไม่ใช่เพียงการแสดงความรู้สึกส่วนบุคคลหรือของท้องถิ่นใดท้องถิ่นหนึ่ง แต่เป็นการเคลื่อนไหวของสังคมไทยทั้งระบบ ทั้งภาครัฐ ภาคการศึกษา ภาคประชาชน และภาคชุมชนวัฒนธรรมร่วมกัน

ในมิติทางสังคม สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นว่า ความจงรักภักดีและความอาลัยยังคงมีบทบาทสำคัญในวัฒนธรรมการเมืองและวัฒนธรรมสาธารณะของไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเกี่ยวข้องกับพระบรมวงศานุวงศ์ที่ประชาชนจำนวนมากมองว่าทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจเพื่อประชาชนอย่างแท้จริงในพื้นที่ห่างไกล

ความหมายของ “การไว้ทุกข์ร่วมกัน” ในระดับชุมชน

เมื่อมติ ครม. ประกาศออกมาพร้อม ๆ กับพิธีจุดเทียนของมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ค่ำคืนนี้จึงไม่ได้เป็นเพียงการรำลึกถึงความสูญเสีย แต่เป็นการประกาศเจตจำนงร่วมของจังหวัดเชียงรายว่า จะยืนอยู่ในกรอบแห่งความอาลัยเดียวกันกับทั้งประเทศ

จุดนี้มีความสำคัญในเชิงสังคมการเมือง เพราะในยุคปัจจุบันที่ความหลากหลายทางความคิดทางสังคมและการเมืองมีมากขึ้น พิธีสาธารณะในลักษณะนี้ทำหน้าที่เป็น “พื้นที่ร่วม” ที่ผู้คนสามารถเข้ามายืนเคียงข้างกันได้โดยไม่จำเป็นต้องมีภูมิหลังเดียวกัน หรือความคิดเห็นทางการเมืองตรงกันทุกประการ หากแต่มีพื้นที่ร่วมทางอารมณ์และความทรงจำประวัติศาสตร์ร่วมกัน

กล่าวอย่างเรียบง่าย ความอาลัยทำให้สังคมกลับมายืนอยู่ข้างกันอีกครั้ง แม้เพียงชั่วคราวก็ตาม

เชียงราย จังหวัดชายแดนที่เติบโตจากพระราชกรณียกิจ

อีกประเด็นที่ควรพิจารณาคือ ความสัมพันธ์ระหว่างจังหวัดเชียงรายกับพระราชกรณียกิจของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา

เชียงรายเป็นจังหวัดเหนือสุดของประเทศไทย เป็นพื้นที่ชายแดนที่มีความหลากหลายทางชาติพันธุ์สูง มีทั้งกลุ่มไทลื้อ ไทเขิน อาข่า ม้ง ลาหู่ รวมถึงชุมชนที่ตั้งถิ่นฐานตามแนวชายแดนติดสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวและสหภาพเมียนมา พื้นที่เหล่านี้ในอดีตเผชิญทั้งความยากจนเชิงโครงสร้าง การขาดโอกาสทางการศึกษา ปัญหาการเข้าถึงบริการสาธารณสุข และความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจอย่างยืดเยื้อ

หนึ่งในพระราชกรณียกิจสำคัญของสมเด็จพระพันปีหลวงคือการสนับสนุนการพัฒนาอาชีพของสตรีและชุมชนบนพื้นที่สูง รวมถึงการส่งเสริมการทอผ้าและหัตถกรรมพื้นถิ่นในฐานะอาชีพเสริมและอาชีพหลัก ซึ่งไม่เพียงช่วยสร้างรายได้ แต่ยังช่วยฟื้นฟูศักดิ์ศรีของคนท้องถิ่นในพื้นที่ชนบทห่างไกล โดยเฉพาะกลุ่มสตรี ที่เดิมอาจไม่ได้ถูกมองว่าเป็น “เสาหลักทางเศรษฐกิจของครอบครัว”

นอกจากนี้ พระองค์ยังทรงมีบทบาทสำคัญด้านการอนุรักษ์ป่าและการจัดระเบียบพื้นที่ทำกิน เพื่อให้ประชาชนสามารถอยู่ร่วมกับทรัพยากรธรรมชาติได้โดยไม่ทำลายฐานการดำรงชีพในระยะยาว แนวคิดเรื่อง “คนอยู่กับป่าได้โดยไม่ทำลายป่า” ซึ่งปรากฏในหลายโครงการในพื้นที่ภาคเหนือ กลายเป็นแนวนโยบายด้านการจัดการทรัพยากรที่ได้รับการสืบสานในระดับหน่วยงานรัฐมาจนถึงปัจจุบัน

ดังนั้น สำหรับชาวเชียงราย ความอาลัยในครั้งนี้จึงไม่ใช่อารมณ์ลอย ๆ แต่ผูกพันกับวิถีชีวิตจริง ทั้งในเชิงเศรษฐกิจ วัฒนธรรม และความมั่นคงของถิ่นฐาน

มหาวิทยาลัยในฐานะผู้สืบสานอุดมการณ์ “การพัฒนาคน”

สิ่งที่สะท้อนเด่นชัดในพิธี คือการที่มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงย้ำบทบาทของตนเองว่า ไม่ได้ทำหน้าที่ผลิตบัณฑิตอย่างเดียว แต่ยังมีพันธกิจในการสืบสานแนวทางการพัฒนาคนตามรอยพระราชปณิธานของพระบรมวงศานุวงศ์

การจัดพิธีจุดเทียนถวายอาลัยจึงเป็นการส่งสัญญาณทางสถาบันในสามมิติหลัก

  1. มิติศักดิ์ศรีและอัตลักษณ์ของมหาวิทยาลัย
    มฟล. ถือกำเนิดขึ้นเพื่อเป็น “มหาวิทยาลัยของภาคเหนือตอนบน” ที่ยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในภูมิภาค การจัดพิธีถวายอาลัยต่อสมเด็จพระพันปีหลวง ซึ่งทรงมีบทบาทในการดูแลคุณภาพชีวิตคนชายขอบและคนบนพื้นที่สูง จึงเป็นการแสดงออกถึงความเชื่อมโยงโดยตรงของอุดมการณ์ของมหาวิทยาลัยกับพระราชปณิธานของพระองค์
  2. มิติของการให้การศึกษาเชิงคุณค่า (Value-based Education)
    นักศึกษาที่เข้าร่วมพิธีมิได้เพียง “ทำกิจกรรม” แต่กำลังซึมซับกรอบความคิดแบบไทยร่วมสมัยที่ผสานทั้งอัตลักษณ์ชาติ วัฒนธรรมพลเมือง ความจงรักภักดี และจิตสำนึกเพื่อสาธารณะ นี่คือการสร้างทุนทางสังคม (social capital) ให้คนรุ่นใหม่เข้าใจว่าการเป็นบัณฑิตไม่ใช่เพียงเรื่องวุฒิการศึกษา แต่คือการเป็นคนที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมรอบตัวด้วย
  3. มิติของความต่อเนื่องทางสังคม
    ในช่วงที่สังคมไทยเปลี่ยนผ่านอย่างรวดเร็ว พิธีลักษณะนี้ทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมระหว่างรุ่นสู่รุ่น ทำให้คนรุ่นก่อนสามารถถ่ายทอดความหมายของความจงรักภักดี ความกตัญญู และความระลึกในพระมหากรุณาธิคุณ สู่คนรุ่นใหม่ผ่านประสบการณ์ร่วม ไม่ใช่แค่ผ่านตำราเรียน

กล่าวโดยสรุป การจุดเทียนในค่ำคืนนี้จึงเป็นทั้งการไว้อาลัย การประกาศคุณค่า และการส่งไม้ต่อ

ความสงบ งดงาม และความต่อเนื่องของความทรงจำ

ท่ามกลางความเงียบในช่วงท้ายของพิธี หลายคนหลับตาลงพร้อมกับประคองเปลวเทียนในมือ บางคนยกเทียนขึ้นเหนือศีรษะเพื่อแสดงความเคารพครั้งสุดท้าย บางคนปิดหน้าไว้กับฝ่ามือ ราวกับพยายามเก็บภาพเหตุการณ์นี้ไว้ในความทรงจำส่วนตัว นั่นคือภาพของความอาลัยที่มิใช่เพียงเรื่องของรัฐ แต่เป็นเรื่องในหัวใจประชาชน

และเมื่อมองในระดับจังหวัด เหตุการณ์ที่มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงจัดขึ้นในค่ำคืนนี้ คือการประกาศว่า จังหวัดเชียงราย ในฐานะจังหวัดชายแดนซึ่งมีอัตลักษณ์เฉพาะตัวทั้งเชิงชาติพันธุ์ ประวัติศาสตร์ และสังคม ยังคงยึดโยงอยู่กับสถาบันหลักของชาติ และยังคงมุ่งหมายจะสืบสานคุณค่านั้นต่อไป

บทสรุปเชิงนโยบายและสังคม

  1. พิธีของมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงไม่ใช่เพียงการจัดตามธรรมเนียม แต่เป็นการแสดงบทบาทเชิงสถาบันของมหาวิทยาลัยในฐานะ “พื้นที่กลางทางสังคม” ที่ให้ทั้งบุคลากร นักศึกษา และประชาชนทั่วไปได้ร่วมกันแสดงออกเชิงสัญลักษณ์อย่างสงบและมีศักดิ์ศรี
  2. มติคณะรัฐมนตรีและประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับการลดธงครึ่งเสา 30 วัน การไว้ทุกข์ของข้าราชการเป็นเวลา 1 ปี และขอความร่วมมือประชาชนร่วมอาลัย 90 วัน ชี้ให้เห็นถึงน้ำหนักเชิงสถาบันของพระราชสถานะของสมเด็จพระพันปีหลวง และยังตอกย้ำว่าพระองค์ทรงถูกนับเป็นหนึ่งในเสาหลักทางจิตวิญญาณของชาติ
  3. สำหรับจังหวัดเชียงราย เหตุการณ์ในครั้งนี้ยังย้ำให้เห็นรากทางสังคม-วัฒนธรรมที่ลึก ระหว่างสถาบันพระมหากษัตริย์กับพื้นที่ภาคเหนือ โดยเฉพาะในมิติการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนกลุ่มเปราะบางในพื้นที่ชายแดนและพื้นที่สูง
  4. ในระยะยาว พิธีอาลัยครั้งนี้อาจกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการจัดกิจกรรมเชิงรำลึกและเชิงวิชาการ เพื่อศึกษาสืบสานแนวคิดการพัฒนาชุมชน ทรัพยากร และคุณภาพชีวิตตามแนวพระราชดำริของสมเด็จพระพันปีหลวง ผ่านบทบาททางวิชาการและทางสังคมของมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง

ท้ายที่สุด ค่ำคืนที่แสงเทียนสว่างขึ้นเหนือพื้นลานมหาวิทยาลัย ไม่ได้เป็นเพียงช่วงเวลาแห่งความเศร้า แต่เป็นการให้คำมั่นร่วมกันว่า “พระมหากรุณาธิคุณจะไม่เลือนหาย” และพันธกิจเพื่อประชาชน โดยเฉพาะผู้ยากไร้และผู้ด้อยโอกาส จะยังเดินหน้าต่อไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
TOP STORIES

โขน-ผ้าไทย-ป่า! 9 พระราชกรณียกิจที่ยังขับเคลื่อนเมืองไทย สู่ Soft Power ยั่งยืน

9 พระราชกรณียกิจ “สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง” โอบอุ้มประชาราษฎร์ให้ยั่งยืน—จากศิลปาชีพ ผืนป่า น้ำ และการศึกษา สู่ภูมิคุ้มกันสังคมไทยระยะยาว

ประเทศไทย, 25 ตุลาคม 2568 — ยามเช้าบนดอยสูงอันชื้นเย็นของภาคเหนือ เราเห็นเงาคนงานชุมชนเดินเรียงในแสงแรก หลายคนสวมซิ่นทอลวดลายดั้งเดิม บางคนอุ้มตะกร้าใส่เมล็ดพันธุ์แห้ง เตรียมลงแปลงผักตามรอยคันนาที่ถูกจัดแบบขั้นบันไดอย่างประณีต ภาพเล็กๆ เช่นนี้เกิดขึ้นพร้อมกันในหมู่บ้านนับพันทั่วประเทศ และล้วนมี “เส้นด้าย” เดียวกันผูกโยง—พระราชกรณียกิจของ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ที่ทรงบุกป่าฝ่าดอย โดยเสด็จ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ไปเยี่ยมราษฎรทุกภาคส่วนต่อเนื่องหลายทศวรรษ วางรากฐาน “อยู่ดีกินดี” ผ่านโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริที่ครอบคลุมศิลปวัฒนธรรม อาชีพ สุขภาพ ป่าไม้ น้ำ การศึกษา และการคุ้มครองผู้เปราะบาง

บนโอกาสแห่งการระลึกพระมหากรุณาธิคุณและสืบสานแนวทางพัฒนา ผู้สื่อข่าวได้ถอดบทเรียน 9 พระราชกรณียกิจ ที่ยังคงขับเคลื่อนอยู่ในพื้นที่จริง—ตั้งแต่ลุ่มน้ำที่ไหลลงทุ่ง ไปจนถึงเข็มทอที่เคลื่อนไปบนกี่—เพื่อชี้ให้เห็น “แกนหลักของเรื่อง” ว่าพระราชกรณียกิจเหล่านี้ไม่ใช่เพียงงานการกุศลเฉพาะหน้า หากคือ “ระบบนิเวศการพัฒนา” ที่ทำให้ประชาชนไทยมีภูมิคุ้มกันยั่งยืน

1) “ศิลปาชีพ” และการฟื้นผ้าไทย: จากงานบ้านเป็น “อุตสาหกรรมสร้างคุณค่า”

ในยามที่ผ้าไหมและหัตถกรรมพื้นบ้านเคยถูกเมิน พระองค์ทรงหยิบยกให้กลับมามีศักดิ์ศรี ตั้งแต่ พ.ศ. 2513 ที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือประสบอุทกภัยครั้งใหญ่ พระองค์มี พระราชเสาวนีย์ให้จัดตั้งงานส่งเสริมการทอผ้าไหม เพื่อให้ชาวบ้านมีรายได้ท่ามกลางวิกฤต ก่อเกิดโครงสร้าง มูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ (SUPPORT)” เป็นกลไกขับเคลื่อนอาชีพทั่วประเทศ

ผลลัพธ์เชิงรูปธรรม—ในระดับ “อัตลักษณ์ชาติ”—คือการที่ผ้าไทยก้าวพ้นความเป็นเครื่องนุ่งห่มท้องถิ่น สู่แฟชั่นร่วมสมัยที่คนทั้งโลกชื่นชม (พระองค์ทรงได้รับการยกย่องใน พ.ศ. 2505 ว่าเป็นหนึ่งในสตรีที่แต่งพระองค์งามที่สุดจากผู้เชี่ยวชาญแฟชั่นนานาชาติ) ขณะเดียวกัน นโยบายรัฐช่วงหลังยังต่อยอดการสวมใส่ผ้าไทยในชีวิตประจำวัน (คณะรัฐมนตรีเห็นชอบมาตรการ “สืบสาน อนุรักษ์ศิลป์ผ้าถิ่นไทย” ให้หน่วยงานส่งเสริมการแต่งผ้าไทยอย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 วัน) ทำให้ห่วงโซ่อุปทานทอผ้า—ปั่นไหม–ย้อมสีธรรมชาติ–ออกแบบ–แปรรูป—คึกคักขึ้น ผู้ทอมีอำนาจต่อรองมากขึ้น และชุมชนสามารถรักษาลวดลายเฉพาะถิ่นไว้ได้โดยมีตลาดรองรับ

แกนสำคัญ ไม่ใช่เพียง “ขายได้” แต่คือการยกระดับ “ความรู้-มาตรฐาน-การตลาด” จนผ้าไทยกลายเป็นสินค้าคุณภาพสูง ส่งมูลค่าเพิ่มกลับสู่มือชุมชน เป็น Soft Power ที่ทรงพลังกว่าการประชาสัมพันธ์ใดๆ

2) พระราชทานความคุ้มครองด้านสาธารณสุข: จากหน่วยแพทย์พระราชทานถึงยุคโรคอุบัติใหม่

การเดินทางไปทุกพื้นที่ทำให้พระองค์ทอดพระเนตรเห็น “ช่องว่างสุขภาพ” ของชนบท พระองค์จึงมีพระราชดำริให้จัด คณะแพทย์ตามเสด็จ วางฐานสู่ หน่วยแพทย์พระราชทาน” ที่ยังทำงานอยู่จนปัจจุบัน ควบคู่การสนับสนุนโครงการ หมอหมู่บ้าน” ให้ชาวบ้านรู้จักการดูแลสุขภาพเบื้องต้น ใช้ยาถูกวิธี และส่งต่อผู้ป่วยหนักได้ทันท่วงที

ในยุคโรคอุบัติใหม่อย่างโควิด-19 พระองค์ยังทรง พระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ และ อุปกรณ์ PAPR ให้โรงพยาบาลของรัฐหลายสังกัด เพื่อคุ้มครองบุคลากรด่านหน้า สะท้อน หลักคิด “คุ้มครองผู้คุ้มครองเรา” ที่ลดความสูญเสียเชิงระบบ หากคำนวณเชิงเศรษฐศาสตร์สุขภาพ การป้องกันบุคลากรหนึ่งคนให้ปลอดภัยย่อมแปลเป็นศักยภาพการดูแลผู้ป่วยนับร้อย—คือผลตอบแทนต่อสังคมที่สูงอย่างยิ่ง

3) “บ้านเล็กในป่าใหญ่”: ปรัชญาป่ากับน้ำ และการอยู่ร่วมกันของคนกับธรรมชาติ

พระราชดำรัสที่ชาวไทยคุ้นหู พระเจ้าอยู่หัวเป็นน้ำ ฉันจะเป็นป่า” ไม่ได้เป็นเพียงถ้อยคำไพเราะ แต่คือ ยุทธศาสตร์สิ่งแวดล้อม ที่จับต้องได้ โครงการ บ้านเล็กในป่าใหญ่” (Small House in the Big Forest) เริ่มที่ บ้านห้วยไม้หก อ.อมก๋อย จ.เชียงใหม่ (พ.ศ. 2534) เป็นต้นแบบการจัดการพื้นที่สูง: รักษาป่าดั้งเดิม ฟื้นฟูป่าเสื่อมโทรม จัดพื้นที่ทำกินให้ชัดเจน ส่งเสริมเกษตรที่ไม่ทำลายป่า และจัดหาแหล่งน้ำให้พอเพียง

จากต้นแบบดังกล่าว ขยายไปยังหลายจังหวัด—บ้านอุดมทรัพย์ (กำแพงเพชร), บ้านหนองห้า (พะเยา), ดอยฟ้าห่มปก (เชียงใหม่)—ผลสำคัญคือ “ยุติแรงดึงให้บุกรุกป่า” ด้วยการสร้างทางเลือกอาชีพที่มั่นคงกว่า และทำให้ป่ากลายเป็น สินทรัพย์สาธารณะ” ที่ชุมชนร่วมดูแล ไม่ใช่ทรัพยากรที่ถูกช่วงชิง

4) ฟื้น “โขน” สู่มรดกภูมิปัญญามนุษยชาติ: เมื่อศิลปะและอัตลักษณ์คือภูมิคุ้มกันทางวัฒนธรรม

พระองค์ทรงเล็งเห็นว่าศิลปะระดับชั้นสูงอย่าง โขน” กำลังเผชิญความเสี่ยงสูญหาย จึงมีพระราชเสาวนีย์ให้ ศึกษารากเหง้าเครื่องแต่งกาย–ดนตรี–ท่ารำ ตามราชประเพณี สร้างองค์ความรู้และฝึกช่างฝีมือรุ่นใหม่ให้ครบห่วงโซ่ จนเกิด โขนพระราชทาน” เรื่องรามเกียรติ์ (พ.ศ. 2552 เป็นต้นมา) ที่ยกระดับมาตรฐานทั้งศิลป์และระบบจัดการเบื้องหลัง

จุดคลี่คลายปม ในเวทีโลกเกิดขึ้นเมื่อ ยูเนสโก (UNESCO) ประกาศขึ้นทะเบียน โขนไทย” เป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของมนุษยชาติ พ.ศ. 2561 ไม่เพียงยืนยันความงาม หากยืนยัน “ความมีชีวิต” ของศิลปะไทยที่ยังถ่ายทอดต่อไปได้ พระราชกรณียกิจด้านวัฒนธรรมจึงไม่ใช่การห่อหุ้มของเก่า แต่คือการต่อชีวิตให้วัฒนธรรมยืนหยัดได้จริงในตลาดร่วมสมัย

5) ทรงอุปถัมภ์ศาสนา—เสริม “ทุนทางจิตใจ” ให้สังคมพหุวัฒนธรรม

พระองค์ทรงแสดงบทบาท ธรรมราชินี” ผ่านการเคารพและอุปถัมภ์ ทุกศาสนา—พุทธ คริสต์ อิสลาม พราหมณ์–ฮินดู ซิกข์—เพราะทรงเห็นว่าศาสนาเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจและชี้นำพฤติกรรมพลเมือง พระองค์โดยเสด็จในหลวงรัชกาลที่ 9 ในพระราชพิธีสำคัญทางศาสนาอย่างสม่ำเสมอ พร้อมทั้ง พระราชทานปัจจัยบำรุงสงฆ์ ดูแลพระภิกษุอาพาธ สนับสนุนโรงพยาบาลที่ให้บริการพระสงฆ์ และให้ความสำคัญกับมารยาทข้ามศาสนาในทุกพื้นที่ที่เสด็จฯ

เมื่อสังคมเผชิญความหลากหลายสูงขึ้น “ทุนทางจิตใจ” และ ทักษะอยู่ร่วมกัน คือภูมิคุ้มกันเชิงสถาบัน พระราชกรณียกิจด้านศาสนาจึงเป็นรากที่ทำให้สังคมไทยยืนตัวอยู่ได้ท่ามกลางความแตกต่าง

6) “สถาบันสิริกิติ์” และพิพิธภัณฑ์ “ศิลป์แผ่นดิน”: หล่อเลี้ยงฝีมือคน สร้างตลาดศิลป์ไทย

ผลงานประณีตศิลป์จาก โรงฝึกศิลปาชีพสวนจิตรลดา ที่พัฒนาต่อเนื่องเกือบ 40 ปี ได้ยกระดับเป็น สถาบันสิริกิติ์” (ตั้งแต่ 21 กันยายน 2553) ทำหน้าที่ทั้งพัฒนา–อนุรักษ์–เผยแพร่งานช่างไทยชั้นสูง เช่น ปักเส้นไหมโบราณ งานคร่ำ งานสานย่านลิเภา งานถนิมพิมพาภรณ์ ไปจนถึง เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์จำลอง อันวิจิตร

ปลายทางของการพัฒนาไม่หยุดที่ “ชิ้นงาน” แต่คือ พื้นที่เรียนรู้และตลาด อย่างพิพิธภัณฑ์ ศิลป์แผ่นดิน” (อ.ย.) ที่จัดแสดงงานช่างให้คนไทย–ชาวโลกได้สัมผัส สร้างมูลค่าเศรษฐกิจสร้างสรรค์ และทำให้ลูกหลานชาวไร่ชาวนากลายเป็นช่างฝีมืออาชีพ—นี่คือการยกระดับ “ทุนมนุษย์” ผ่านศิลป์และวัฒนธรรมอย่างแท้จริง

7) “ฟาร์มตัวอย่าง” ตามพระราชดำริ: ศูนย์เรียนรู้เกษตรครบวงจรและความมั่นคงในยามวิกฤต

ก่อกำเนิดที่ บ้านขุนแตะ อ.จอมทอง จ.เชียงใหม่ ฟาร์มตัวอย่างทำหน้าที่เป็น ห้องเรียนกลางแจ้ง ให้ประชาชนเข้าใจระบบเกษตรครบวงจร—ปลูกพืชผสมผสาน เลี้ยงสัตว์ ทำประมง ระบบน้ำ—โดยยึดหลัก พอเพียง–พึ่งตนเอง–หมุนเวียนทรัพยากร เมื่อถึงวิกฤตอย่างโควิด-19 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงสืบสานพระราชดำริและพระราชทานอนุญาตนำพื้นที่ ฟาร์มตัวอย่าง 30 แห่ง ใน 17 จังหวัด มาใช้ จ้างงานประชาชน ภายใต้โครงการ “ต้านภัยโควิด-19” ช่วยพยุงครัวเรือนที่ตกงานให้มีรายได้ระยะสั้น พร้อมถ่ายทอดทักษะอาชีพระยะยาว

ผลสะท้อนเชิงนโยบายคือ ฟาร์มไม่ใช่ “แปลงสาธิต” เฉยๆ แต่เป็น “เครื่องมือเสถียรภาพ” ของเศรษฐกิจชุมชนในช่วงผันผวน—เมล็ดพันธุ์ ความรู้ และตลาดชุมชนถูกออกแบบให้เชื่อมต่อกัน จนคนสามารถยืนได้ด้วยตัวเองหลังวิกฤต

8) พระเมตตาด้านสังคมสงเคราะห์: ปกป้องผู้เปราะบางในและนอกพรมแดน

ตั้งแต่การช่วยเหลือผู้เจ็บป่วยยากไร้ ไปจนถึงเหตุการณ์ผู้ลี้ภัยชายแดน—เช่น เหตุเขาล้าน จ.ตราด—พระองค์เสด็จฯ เยี่ยมผู้ลี้ภัยด้วยพระองค์เอง พระราชทานอาหาร ยา เครื่องนุ่งห่ม และ โปรดเกล้าฯ ให้สภากาชาดไทยร่วมกับกาชาดสากล เข้าไปช่วยอย่างเป็นระบบ พร้อมทั้งสนับสนุน การศึกษาทักษะอาชีพ เพื่อให้ผู้ลี้ภัยสามารถพึ่งพาตนในระยะยาว

สำหรับทหาร ตำรวจ อาสาสมัครผู้พลีชีพหรือบาดเจ็บ พระองค์ทรงก่อตั้ง มูลนิธิสายใจไทย เพื่อฟื้นฟูร่างกาย–จิตใจ–อาชีพ ให้สามารถกลับมาเป็นพลังครอบครัวอีกครั้ง ผลิตภัณฑ์หัตถกรรมของมูลนิธิยังเป็นทั้งรายได้และศักดิ์ศรีให้กับผู้เสียสละเหล่านี้

9) การศึกษาสำหรับเด็กด้อยโอกาส: “โรงเรียนเจ้าแม่หลวงอุปถัมภ์” และทุนการศึกษา

พระองค์ทรงเจาะจงดูแลพื้นที่ ห่างไกล ที่เด็กมีโอกาสน้อย ผ่านการพระราชทานทุนเริ่มต้นจัดตั้ง โรงเรียนเจ้าแม่หลวงอุปถัมภ์ ในพื้นที่ชายแดนและดอยสูง (เช่น บ้านห้วยขาน อ.ฝาง และ ต.แม่ริม จ.เชียงใหม่) โดยประสาน ตำรวจตระเวนชายแดน ดูแล ต่อมาขยายการสอนถึงระดับมัธยมต้น และที่สำคัญ—พระองค์ทรง รับนักเรียนยากจนไว้ในพระบรมราชานุเคราะห์ เกือบ 2,000 คน รวมถึงเด็กพิการให้เข้าศึกษาในโรงเรียนเฉพาะความสามารถ จนสามารถประกอบอาชีพดูแลตนเองได้

การศึกษาที่พระราชทานโอกาสเช่นนี้ แก้โจทย์ “ความเหลื่อมล้ำรุ่นสู่รุ่น” โดยตรง—เมื่อลูกหลานบนดอยอ่านออกเขียนได้ มีวิชาชีพ และกลับมาพัฒนาชุมชนตนเอง—ความมั่นคงชายแดนและการอยู่ร่วมกันในสังคมพหุวัฒนธรรมก็แข็งแรงขึ้นโดยอัตโนมัติ

เชียงรายในกระจกพระราชกรณียกิจ: จากป่า–ผ้า–พหุชนเผ่า สู่เมืองท่องเที่ยวยั่งยืน

หากซูมลงพื้นที่เชียงราย—จังหวัดชายแดนที่มีทั้งป่าเขาสลับซับซ้อนและความหลากหลายทางชาติพันธุ์—เราพบรอยพิมพ์ชัดเจนของพระราชกรณียกิจทั้ง 9 ด้าน

  • ป่าและน้ำ: แนวทาง “บ้านเล็กในป่าใหญ่” และการอนุรักษ์ดิน–น้ำถูกใช้เป็นต้นแบบในหลายลุ่มน้ำชายแดน ช่วยชะลอปัญหาดินถล่ม–น้ำหลาก และทำให้แปลงเกษตรบนพื้นที่สูงทำกินได้โดยไม่บุกรุกป่า
  • ศิลปาชีพ: ผ้าทอลวดลายล้านนาปรับตัวเป็นสินค้า Q (คุณภาพ) และสินค้าเชิงท่องเที่ยว สร้างรายได้เสริมให้ผู้หญิงและผู้สูงอายุในชนบท
  • การศึกษา: โรงเรียนในเครือข่ายตำรวจตระเวนชายแดนและโรงเรียนท้องถิ่นได้รับการพัฒนาต่อเนื่อง เด็กชาติพันธุ์เข้าถึงภาษาไทยและทักษะอาชีพมากขึ้น
  • สังคมสงเคราะห์และสุขภาพ: หน่วยแพทย์เคลื่อนที่–โครงการฟื้นฟูหลังภัยพิบัติ—ถูกใช้จริงในฤดูฝนยืดเยื้อของภาคเหนือ

เมื่อนำทั้งหมดมาประกอบกัน เชียงรายจึงมี “ทุนสังคม” สำคัญในการก้าวสู่ เมืองท่องเที่ยวคุณภาพ” อย่างที่จังหวัดพยายามผลักดันในช่วงไฮซีซัน—นักท่องเที่ยวที่มองหาประสบการณ์แท้จริงจะพบทั้งป่าแหล่งน้ำที่สมบูรณ์ ศิลป์ผ้าและกาแฟพิเศษของชุมชน และเรื่องเล่าการพัฒนาที่มีคนท้องถิ่นเป็นพระเอก

พลังที่ต่อยอดได้ของ “พระราชกรณียกิจแบบระบบ”

หัวใจของพระราชกรณียกิจทั้ง 9 ด้านคือ ความต่อเนื่อง” และ “การทำงานเชิงระบบ”—ไม่ใช่โครงการฉาบฉวย แต่เป็น แพลตฟอร์ม ที่ให้คนตัวเล็กสามารถลุกขึ้นยืนได้ ท่ามกลางโลกที่ผันผวนกว่าเดิม

  • ถ้าต้องการลดความยากจนอย่างถาวร: ต้องสร้างทั้ง รายได้ (ศิลปาชีพ–ฟาร์มตัวอย่าง–ตลาดสร้างสรรค์) และ ลดความเสี่ยง (สุขภาพ–การอนุรักษ์ป่า–การศึกษา)
  • ถ้าต้องการคุมวิกฤตสาธารณสุข: ต้องเสริม ระบบคุ้มครองด่านหน้า และ ความรู้ชุมชน ให้รับมือได้ก่อนป่วยหนัก
  • ถ้าต้องการให้วัฒนธรรมอยู่ได้: ต้องทำให้ ศิลป์–การตลาด–การถ่ายทอดช่าง เชื่อมกัน

เพราะฉะนั้น เมื่อสังคมไทยเดินหน้าสู่นโยบายพัฒนารอบใหม่ บทเรียนจากพระราชกรณียกิจของสมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวงคือ ทำเล็กให้ลึก ทำช้าให้ยั่งยืน” แล้วปล่อยให้ผลลัพธ์ขยายตัวด้วยพลังของชุมชนเอง

เสียงทอผ้าบนกี่ไม้ยังดังแผ่วในยามสาย ขณะน้ำที่ไหลตามฝายชะลอค่อยๆ เติมความชุ่มชื้นสู่ทุ่ง หากมองเครือข่ายเหล่านี้จากบนฟ้า เราจะเห็นเป็นเส้นเลือดฝอยของประเทศ—เส้นเลือดที่พระราชกรณียกิจได้วางไว้ให้หล่อเลี้ยง “หัวใจ” ของประชาชนอย่างสม่ำเสมอ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • มูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ (SUPPORT Foundation)
  • สถาบันสิริกิติ์ (โรงฝึกศิลปาชีพสวนจิตรลดาเดิม) / พิพิธภัณฑ์ “ศิลป์แผ่นดิน”
  • กรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย
  • กรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม / UNESCO
  • สำนักนายกรัฐมนตรี / กรมประชาสัมพันธ์
  • กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช / กรมป่าไม้
  • สำนักงานตำรวจตระเวนชายแดน / กระทรวงศึกษาธิการ
  • สภากาชาดไทย / คณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ (ICRC)
  • มูลนิธิสายใจไทย
  • สำนักราชเลขาธิการ / สำนักพระราชวัง
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News