Categories
FEATURED NEWS

เปิดประชุมบอร์ด กสว. นัดแรกทำงานบูรณาการแบบไร้รอยต่อ

 
เมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2567 สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.)    จัดการประชุม คณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (กสว.) หรือ “บอร์ด กสว.” ครั้งที่ 1/2567 ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง กสว. ชุดใหม่ เมื่อวันที่ 30 มกราคม 2567 นำโดย ศาสตราจารย์ นพ.ดร.สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ประธานกรรมการ พร้อมด้วยคณะกรรม กสว. ร่วมประชุมนัดแรก โดยประเด็นสำคัญของการประชุมในวันนี้คือ การหารือแนวทางการดำเนินงานทำงานแบบบูรณาการแบบไร้รอยต่อ มุ่งเน้นการขับเคลื่อนงานวิจัยตอบโจทย์การพัฒนาประเทศพร้อมหนุนเสริมงานวิจัยพื้นฐานและประยุกต์ เสริมแกร่งเพื่อให้เกิดความยั่งยืน
 
 

ศาสตราจารย์ นพ.ดร.สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ประธาน กสว. กล่าวว่า การทำงานของ กสว.ชุดปัจจุบันเป็นการดำเนินงานบนฐานที่เกิดขึ้นแล้ว โดยใน 4 ปีนับจากนี้ กสว.จะปั้นให้ชัดคมมากขึ้น มีการพัฒนาที่ต่อเนื่อง จากการหารือกับ Stakeholder ด้าน ววน. ในช่วงที่ผ่านมา เชื่อว่าจะทำให้ระบบวิจัยของประเทศเกิดผลกระทบที่สำคัญและพัฒนาต่อไปได้ จุดนี้ต้องอาศัยโมเมนตัมระบบวิจัยของประเทศ ที่ต้องตั้งเป้าให้ชัดเจนว่าในการปฏิบัติหน้าที่ของ กสว.ชุดนี้ จะเกิดอะไรขึ้น เห็นผลอย่างไร ภายใต้การกำหนดเป้าหมายที่อยู่บนพื้นฐานของหลักคิด ความเชื่อในวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม หรือ ววน. ที่เป็นกลไกสำคัญในการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน

โดยเป้าหมายสำคัญที่สุด คือ ทำให้สังคมเชื่อถือระบบวิจัย นักวิจัยเชื่อมั่นระบบขับเคลื่อนการวิจัย เกิดประโยชน์จากงานวิจัย กองทุน ววน.ใช้ทรัพยากรราว 1.7 – 1.9 หมื่นล้านบาท/ปี ใน 5 ปี นี้ กสว. ได้มองเห็นภาพบริหารจัดการ การดูแลทิศทางงบประมาณของประเทศในภาพรวม ขับเคลื่อนอย่างมีทิศทางตามที่ประเทศต้องการ ประกอบด้วย

  1. กำหนดเป้าหมายที่ชัดเจน มีกลไกขับเคลื่อนและสร้างความสำเร็จเห็นผลสัมฤทธิ์ ประชาคมวิจัยมีความเชื่อมั่นในระบบ ววน. เน้นการร่วมหารืออย่างต่อเนื่องกับทุกภาคส่วน การมีส่วนร่วมของเครือข่ายและประชาคมที่เพิ่มเติมจากที่มีอยู่อย่างต่อเนื่อง
  2. กำหนดสัดส่วนงบประมาณที่เหมาะสม เกิดการใช้ประโยชน์ทั้งในระยะสั้น กลาง และยาว ผสานการสร้างประโยชน์และเสริมสร้างความเข้มแข็ง มีความโปร่งใส อยู่บนพื้นฐานสร้างความเสมอภาค แม้อยู่ในสภาวะงบประมาณจำกัด มุ่งให้ทุกภาคส่วนที่เป็นการลงทุนของระบบ ววน. ทั้งประชาชน ประเทศ อุตสาหกรรมได้ประโยชน์ และเห็นความสำเร็จของโครงการสำคัญของประเทศ เช่น แก้ปัญหาสภาพแวดล้อม การสร้างความมั่นคงทางสุขภาพ สนับสนุนให้เกิดรายได้ที่เพิ่มขึ้น รวมถึงการเกษตรสมัยใหม่ เป็นต้น
  3. สร้างการเจริญเติบโตและความเสถียรของกองทุน ววน. ด้วยกลไกของการกำหนดทรัพยากรส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนกิจกรรมที่สำคัญ เป็นชุดโครงการขนาดใหญ่ที่ขับเคลื่อนทั้งห่วงโซ่อุปทาน อาศัยการมีส่วนร่วม demand side approach เช่น แก้ปัญหาเรื่องฝุ่น PM 2.5 ยาและเคมีภัณฑ์ มีวัคซีนเพียงพอ น้ำท่วมน้ำแล้ง โดยระบุระยะเวลาความสำเร็จที่ชัดเจน
  4. มุ่งสร้างการยอมรับให้กับ กองทุน ววน.ให้เป็นที่ประจักษ์ด้วย เข้าถึงและจับต้องได้ ด้วยการมีกลยุทธ์การสื่อสารที่ชัดเจน มีการสื่อสารแบบสองทางที่พร้อมตอบคำถามสำคัญ
  5. ทำให้เกิดความร่วมมือกับกลไกอื่นของประเทศ เช่น ความร่วมมือโดยตรงระหว่างกองทุน ววน.กับกองทุนอื่นๆ ราชบัณฑิตยสภา มหาวิทยาลัย เพื่อให้เกิดผลกระทบที่มากขึ้น รวมถึงมีแนวทางที่ชัดเจนร่วมกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียด้วยการทำแผนการปฏิบัติงานที่จะสร้างการเปลี่ยนแปลง ครบถ้วน และเหมาะสมทั้งกรอบของกระบวนการ กรอบเวลาที่แน่นอน เพื่อให้มหาวิทยาลัยและหน่วยงานวิจัยได้รับผลกระทบจากการปรับปรุงเปลี่ยนแปลง
  6. การปรับปรุง/แก้ไข กฎระเบียบสำคัญเพื่อให้มีความคล่องตัวมุ่งเน้นการดำเนินงานเป็นสำคัญ และการมีส่วนร่วมกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย

ประธาน กสว.กล่าวเสริม

รศ.ดร.วีระพงษ์ แพสุวรณ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ กสว. กล่าวว่า การใช้งบประมาณการวิจัยที่เป็นเครื่องมือสำคัญของการพัฒนา คือ การสร้างภูเขา ไม่ใช่การเทพื้นในแนวราบ จะเห็นความชัดเจน ต้องมีการปักหมุดแบบ Top Down แต่ในขณะเดียวกันก็มีแบบ Bottom Up ได้ด้วย มุ่งที่ผลลัพธ์ผลสัมฤทธิ์มากกว่าการจัดกิจกรรม ผลของการดำเนินงานต้องระบุได้ว่า เกิดผลอย่างไร มากกว่าที่จะระบุว่า ทำอะไรไปแล้ว ที่สำคัญคือ มุ่งการทำงานแบบเชื่อมต่อกับสำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) และหน่วยบริหารและจัดการทุน (PMU) ซึ่งทุกหน่วยมีบอร์ด เสนอว่าให้ทำงานแบบใกล้ชิดมากยิ่งขึ้น

ด้านของ ศาสตราจารย์ ดร.บัณฑิต เอื้ออาภรณ์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ กสว. ภายหลังจากที่รับทราบแนวทางการดำเนินงานสภานโยบายฯแล้ว กสว.มีหน้าที่ทำให้มีภาพของการวิจัยที่ชัดเจนขึ้น และทำให้ผู้ที่เกี่ยวข้องพึงพอใจ ในปัจจุบันเรามีฐานพื้นฐานมาดีในระดับหนึ่งแล้ว สิ่งที่ต้องดำเนินการต่อการโฟกัส เพื่อให้ฉายภาพได้ว่าจะช่วยสร้างความเข้มแข็งของชาติได้อย่างไร

นอกจากนี้ ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ กรรมการผู้แทนหน่วยงาน กล่าวว่า ประเด็นสำคัญของ สกสว.คือการร่วมงานกับ สอวช. อย่างไร้ร้อยต่อ เสนอให้ สกสว. ทำงานอย่างใกล้ชิด เชื่อมการทำงานกับบอร์ด สอวช. เป็นระยะๆ รวมถึงเสนอให้มีกลไกการทำงานขาขึ้นและขาลงเพื่อรับลูกต่อจากสภานโยบาย  โดยมี กสว.ทำหน้าที่ขับเคลื่อนนโยบายตามที่สภานโยบายได้มอบหมาย

ในการนี้ รศ.ปัทมาวดี โพชนุกูล ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) ในฐานะกรรมการและเลขานุการ กสว. ให้ข้อมูลว่า คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติงบประมาณกองทุนส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2567 รวมจำนวน 19,033,6729 ล้านบาท เป็นงบประมาณที่จัดสรรให้แก่หน่วยรับงบประมาณ 186 หน่วยงาน จำแนกเป็นงบประมาณด้านวิจัยและนวัตกรรม 18,300 ล้านบาท โดยเป็นงบการวิจัยและนวัตกรรม 16,219.14 ล้านบาท ที่สนับสนุนงานเชิงกลยุทธ์ (Strategic Fund) 9,943.41 ล้านบาท และงบประมาณเพื่อสนับสนุนงานมูลฐาน (Fundamental Fund) 6,275.72 ล้านบาท และงบการนำงานวิจัยและนวัตกรรมไปใช้ประโยชน์ (RU) 2,160.86 ล้านบาท ทั้งนี้ในส่วนของงบประมาณโครงการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (วท.) ได้รับการจัดสรร 653.67 ล้านบาท

ทั้งนี้ ศาสตราจารย์ ดร. นายแพทย์พงษ์รักษ์ ศรีบัณฑิตมงคล กรรมการผู้แทนหน่วยงาน เสนอว่า การจัดการงบประมาณในปี 2567 ควรขับเคลื่อนให้ PMU ทำให้ครบตั้งแต่ต้นจนถึงปลาย เป็นเรื่องท้าทาย สิ่งที่อยากให้มุ่งเน้นทำ 15 แผน ให้มีโครงการขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญมากอาจเสนอเป็น Multiyear งบผูกพันโดยเริ่มตั้งแต่ปีนี้เลย ซึ่งน่าจะมีความเป็นไปได้ ในส่วนของการนำผลงานวิจัยไปใช้ประโยชน์ (RU) ควรเสนอโครงการที่ใกล้เคียงความจริงเชื่อมโยงโดยตรงกับการวิจัยเชิงกลยุทธ์ (SF) พร้อมเสนอโมเดลรวม RU กับโครงการ SF ทั้งหมด โครงการไหนที่ควรต่อยอดกับยุทธศาสตร์ประเทศได้ เช่นในปี 2567 ถ้าชุดโครงการไหนพร้อมใช้ ก็มีความคุ้มค่าที่จะลงทุนต่อ แต่หากยังอยู่ในห้องแล็บก็อาจยังไม่คุ้มค่านัก และเสนอว่าในปีถัดไปควรมีการติดตามประเมินผลเพิ่มเติมให้คมชัดขึ้นอีก

ทั้งนี้จากการประชุมวันนี้ คณะกรรมการ กสว. มีมติเห็นชอบแนวทางการดำเนินงานตามที่ได้เสนอต่อสภาฯ โดยมีข้อสังเกตตามที่คณะกรรมการ กสว.ได้ให้แนวทางไว้ ทั้งนี้เพื่อการขับเคลื่อนทิศทางตาม Flagship สำคัญ ขอให้มุ่งเน้น  5-10 เรื่องเป็นสำคัญ โดยปรับให้เริ่มดำเนินการได้เลย และเตรียมการสำหรับปี 2568 ในขั้น pre-ceiling ต่อไป

กองทุนส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเป็นเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนระบบ วิทยาศาสตร์และวิจัยของประเทศ ทำให้เกิดการวิจัยที่ตรงเป้าตรงกับความต้องการของประเทศทั้งในระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว  โดยมีคณะกรรมการ กสว. ดูแลกำกับทิศทางการขับเคลื่อนที่ทำให้เกิดระบบ เกิดกลไกต่างๆในการจัดสรรทรัพยากรการวิจัย เพื่อที่จะสามารถตอบสนองต่อการพัฒนาประเทศได้อย่างรวดเร็วและยั่งยืนในขณะเดียวกันก็ทำให้นักวิจัยต่างๆมีความคล่องตัวในการปฏิบัติงานรวมทั้งการสร้างฐานวิชาการและการใช้ประโยชน์ โดยต้องทำทั้งในการกำหนดนโยบายและการขับเคลื่อนให้เกิดผล ตลอดจนติดตามและประเมินผลได้ทั้งระบบ รวมทั้งให้ดำเนินการในแต่ละส่วนให้เกิดประโยชน์สูงสุด

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
FEATURED NEWS

บพข. กองทุน ววน. ร่วมกับ CAMP เปิดตัว “Leisure Lanna Super App”

 

วิทยาลัยศิลปะ สื่อและเทคโนโลยี (CAMP) มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เปิดตัวแพลตฟอร์มล้านนาสร้างสรรค์ให้เป็น Soft Power สู่สากล ภายใต้ทุนวิจัยจาก บพข. สกสว. โดยกองทุน ววน. พัฒนาแอพพลิเคชั่น ใช้แนวคิด PLAY TRAVEL and EARN โดยใช้ “Leisure Lanna Super App” ต่อยอดเชื่อม TAGTHAi (ทักทาย) ด้วยแนวคิดจากการเล่มเกมมาเปลี่ยนเป็นคะแนนเพื่อแลกส่วนลดในร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการ ตลอดจนร่วมมือ แอพพลิเคชั่น GOGO และ Hop and Go ของกรีนบัส โลจิสติกส์ท้องถิ่นให้เกิดเศรษฐกิจหมุนเวียนในพื้นที่ ในเขตพื้นที่ 8 จังหวัดล้านนา

 

การพัฒนาแอปพลิเคชัน “Leisure Lanna Super App” ภายใต้โครงการ “การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อสร้างมูลค่าและคุณค่าแก่การท่องเที่ยวเชิงพักผ่อนล้านนา (Creative Leisure Lanna)” โดยมี ดร.ดนัยธัญ พงษ์พัชราธรเทพ เป็นหัวหน้าโครงการ ประยุกต์ใช้แนวคิดของ PLAY TRAVEL and EARN เพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยว การเดินทาง การแนะนำสถานที่ ร้านค้า ที่พักหรือกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการนำเสนอข้อมูลเชิงการท่องเที่ยว การค้าพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงพื้นที่ตลาด (Market Place) ให้กับสินค้ากับแหล่งท่องเที่ยวชุมชน ตลอดจนสร้างเครือข่ายการท่องเที่ยวชุมชนในเขตพื้นที่ 8 จังหวัดล้านนา เตรียมจัดอบรมเชิงปฏิบัติการด้านสื่อสร้างสรรค์ (Creative Content) ทั่วประเทศไทย 4 ภูมิภาค ให้กับ SMEs และท่องเที่ยวชุมชนจำนวน 120 ราย ออกแบบกิจกรรมการ ท่องเที่ยวและนำอัตลักษณ์ชุมชนมาสร้างเป็นผลิตภัณฑ์ที่สามารถจำหน่ายผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ได้ โดยโครงการได้ร่วมมือกับ TAGTHAi (ทักทาย) แพลตฟอร์มบริการด้านการท่องเที่ยวและผู้ประกอบการด้านการขนส่งเพื่อการท่องเที่ยวโดยเชื่อมโยงกับระบบขนส่งสาธารณะในสองระดับคือ ในเขตเมืองเชียงใหม่คือการสร้างความร่วมมือกับระบบขนส่งสาธารณะขนาดเล็ก เช่น Sharing bike เช่น GOGO และผู้ให้บริการท่องเที่ยวด้วยพาหนะขนาดเล็ก เช่น E-Tuk Tuk ของ LoMo ขณะที่เชื่อมโยงสู่แหล่ง ท่องเที่ยวเชื่อมต่อในและนอกเมืองเชียงใหม่ รวมถึงกับจังหวัดโดยรอบผ่านเครือข่ายการให้บริการของระบบขนส่งสาธารณะภาคเหนือบริษัท Green Bus เป็นต้น ทั้งนี้หากสนับสนุนให้การท่องเที่ยวเชื่อมกับระบบขนส่งสาธารณะและเครือข่ายระบบขนส่งสาธารณะขนาดเล็กในเมือง เพื่อมุ่งสู่การสร้าง “Net Zero” ทางการท่องเที่ยว

 

ในการนี้บพข. กองทุน ววน. ร่วมกับ CAMP จัดกิจกรรมเปิดตัวแพลตฟอร์มล้านนา “Leisure Lanna Super App” ในวันที่ 15 มีนาคม พ.ศ.2567 ณ ห้องประชุมสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้แอปพลิเคชัน “Leisure Lanna Super App” เป็นที่รับรู้สู่สาธารณชนและขับเคลื่อนนำไปใช้เพื่อเป็นแพลตฟอร์มกลางสนับสนุนการใช้ประโยชน์ในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวอย่างเป็นรูปธรรม ได้รับเกียรติจากนายสรศักดิ์ วจีสัตย์ รองปลัด อบจ. จังหวัดเชียงใหม่ เป็นประธานในพิธี และผู้แทนจาก สกสว. และ บพข. โดย ผศ.สุภาวดี โพธิยะราช ผู้เชี่ยวชาญอาวุโส สกสว. และประธานอนุกรรมการแผนงานท่องเที่ยวและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ บพข. กล่าวแนะนำแผนงานกลุ่มท่องเที่ยวและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ บพข. พร้อมทั้งจัดกิจกรรมประชาสัมพันธ์กางเกงข้างคุณภาพสูงเชียงใหม่ผ่านแบรนด์ 1) Thai Global Sourcing Co.,Ltd 2) Lofbaz Company Limited & Dalla Brand และ 3) Lanna Clothes Design Co.,Ltd ด้วยการถ่ายภาพนักศึกษาจีนจำนวน 30 ราย เพื่อนำไปประชาสัมพันธ์บนสื่อสังคมของชาวจีนให้เป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น ปิดท้ายด้วยการเสวนาแนวทางการใช้ประโยชน์แอปพลิเคชัน Leisure Lanna เพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและ Soft Power ล้านนา โดยสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจังหวัดเชียงใหม่ แอปพลิเคชันทักทาย และ CAMT 

 
นายสรศักดิ์ วจีสัตย์ รองปลัด อบจ. จังหวัดเชียงใหม่ เป็นประธานในพิธี กล่าวว่า จังหวัดเชียงใหม่ถือเป็นเมืองการท่องเที่ยวที่สำคัญของภาคเหนือ มีหน่วยงานทั้งภาครัฐและภาคเอกชนของจังหวัดที่ได้ส่งเสริมการตลาดด้านการท่องเที่ยวเชิงพักผ่อน ซึ่งแอปพลิเคชันการท่องเที่ยว Leisure Lanna จะเป็นสื่อกลางในการรวบรวมข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ ของจังหวัดเชียงใหม่ โดยหวังเป็นอย่างยิ่งว่าการจัดกิจกรรมในครั้งนี้จะเป็นประโยชน์ในการส่งเสริมการตลาดการท่องเที่ยวของจังหวัดเชียงใหม่ให้เกิดประสิทธิผล เป็นโมเดลในการใช้ดิจิทัลแพลตฟอร์มในการพัฒนาศักยภาพสินค้าและบริการการท่องเที่ยวให้มีความพร้อมในการรองรับและสนับสนุนการเป็นจุดหมายปลายทางที่มีคุณภาพ    
 
 
 
ผศ.สุภาวดี โพธิยะราช ผู้เชี่ยวชาญอาวุโส สกสว. และประธานอนุกรรมการแผนงานท่องเที่ยวและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ บพข. กล่าวว่า ในภาคของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและบริการ กองทุนส่งเสริม ววน. และสกสว. ได้มอบหมายภารกิจให้ บพข. บริหารจัดการแผนงานวิจัยการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ซึ่งแบ่งออกเป็นแผนงานย่อย 2 แผนงาน  (1) แผนงานการท่องเที่ยวมูลค่าสูง ซึ่งมีกรอบการดำเนินการภายใต้แผนงานย่อย จำนวน 3 ประเด็น ได้แก่ (1.1) การท่องเที่ยวบนฐานมรดกทางธรรมชาติที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและการท่องเที่ยวคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ (1.2) การยกระดับมาตรฐานการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (1.3) การยกระดับความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและบริการ และ (2) แผนงานเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ซึ่งมีกรอบการดำเนินการเพื่อการยกระดับอุตสาหกรรมสร้างสรรค์เพื่อเพิ่มมูลค่าเศรษฐกิจสร้างสรรค์ เน้นการทำงานแบบแผนงานวิจัยเพื่อร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจการท่องเที่ยว สร้างรายได้และคุณภาพชีวิตที่ดีให้แก่ประชาชนและผู้ให้บริการในภาคการท่องเที่ยว มุ่งตอบเป้าหมายสำคัญ เพื่อให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายของการท่องเที่ยวที่เน้นคุณค่า ความยั่งยืน เพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจให้กับประเทศ
 
         “ทั้งนี้แผนงานเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ดำเนินการขับเคลื่อนเศรษฐกิจสร้างสรรค์มาอย่างต่อเนื่อง มีฐานทุนทางด้านการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม นำ Soft Power 11 สาขา ตามนโยบายของรัฐบาลมาต่อยอดร่วมกับภูมิปัญญาเดิม โดยแผนการดำเนินงานปีพ.ศ. 2566-2570 จะเป็นการเชื่อมโยงนวัตกรรม สร้างสรรค์ธุรกิจรูปแบบใหม่ พัฒนาไปสู่การบูรณาการระหว่างอุตสาหกรรมอื่นๆและอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ ซึ่งแผนงานเศรษฐกิจสร้างสรรค์ดูแลทั้งระบบนิเวศ พัฒนาสินค้าสร้างสรรค์รูปแบบใหม่ ๆ ผ่านเทคโนโลยีและนวัตกรรมร่วมกับอุตสาหกรรมสร้างสรรค์อื่น ๆ โดยผลลัพธ์จากงานวิจัยแผนงานเศรษฐกิจสร้างสรรค์ที่ผ่านมา อาทิ เทศกาลยี่เป็ง การท่องเที่ยวทางรถไฟ การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมอาหาร 7 ลุ่มน้ำ มวยไทย และผ้าทอ เป็นต้น มีการบูรณาการทำงานร่วมกับผู้ประกอบการและจะดำเนินการขับเคลื่อนต่อไปเพื่อให้เกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจ” ผศ.สุภาวดี กล่าวเสริม
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
FEATURED NEWS

สกสว. ร่วมมือ สมาชิกวุฒิสภา ขับเคลื่อน งานวิจัยท่องเที่ยวเชิงพักผ่อนล้านนา

 

เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2567 คณะกรรมการโครงการสมาชิกวุฒิสภาพบประชาชนในพื้นที่จังหวัดภาคเหนือ (ตอนบน) นำโดย พลเอก สกนธ์ สัจจานิตย์ พร้อมด้วย นายสถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์ ผศ.สุภาวดี โพธิยะราช ผู้แทนผู้อำนวยการ สกสว.และผู้แทนผู้อำนวยการ บพข. ศาสตราจารย์ปฏิบัติ ดร.เอกชัย มหาเอก รองอธิการบดี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ผศ.ดร.วรวิชญ์ จันทร์ฉาย คณบดีวิทยาลัยศิลปะ สื่อ และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และคณะนักวิจัยมหาลัยเชียงใหม่ ร่วมแถลงข่าวเปิดตัวแพลตฟอร์มล้านนาสร้างสรรค์ (Creative Lanna Platform) ณ ห้องพระยาศรีวิสารวาจา อาคารสำนักงานอธิการบดี ชั้น 1 มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

 

        พลเอก สกนธ์ สัจจานิตย์ รองประธานกรรมการฯ คนที่หนึ่ง กล่าวว่า แพลตฟอร์มล้านนาสร้างสรรค์ (Creative Lanna Platform) เกิดจากความร่วมมือของคณะกรรมการโครงการสมาชิกวุฒิสภาพบประชาชนในพื้นที่จังหวัดภาคเหนือ (ตอนบน) โดยการสนับสนุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) ร่วมด้วยวิทยาลัยสื่อ ศิลปะ และเทคโนโลยี (CAMT) มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เป็นผู้คิดค้นจัดทำแพลตฟอร์มดังกล่าว โดยวุฒิสภาเล็งเห็นโอกาสในการสร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจสร้างสรรค์ผ่านการใช้ Soft Power จาก “อัตลักษณ์ประจำถิ่น” ที่โดดเด่น เช่น การท่องเที่ยว อาหาร แฟชั่น เทศกาลและประเพณีของ 8 จังหวัดภาคเหนือตอนบน ได้แก่ จังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย ลำปาง ลำพูน พะเยา แพร่ แม่ฮ่องสอน และน่าน โดยเลือกจังหวัดเชียงใหม่เป็นพื้นที่นำร่องและจะขยายผลต่อยอดการใช้งานแพลตฟอร์มดังกล่าวให้ครอบคลุม 8 จังหวัดภาคเหนือตอนบนผ่านการบูรณาการการทำงานร่วมกัน เพื่อสร้างโอกาสและรายได้จากการท่องเที่ยวให้เพิ่มมากยิ่งขึ้น

 
         นายสถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์ สมาชิกวุฒิสภา กล่าวว่า ประเทศไทยกำลังขับเคลื่อน Soft Power โดยใช้พลังสร้างสรรค์ทางวัฒนธรรมไทย นำภูมิปัญญาเดิมที่มีอยู่มาทำให้เกิดความสร้างสรรค์และทันสมัย เกิดเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมและชุมชนได้ ซึ่งวิทยาลัยสื่อ ศิลปะ และเทคโนโลยี (CAMP) ที่สร้างแพลตฟอร์มล้านนาสร้างสรรค์ (Creative Lanna Platform) ออกแบบแผนที่ท่องเที่ยวสร้างสรรค์ผ่านการเล่นเกม หรือมูเตลูก็ตาม ได้แสดงถึงอัตลักษณ์ของสถานที่ท่องเที่ยวเหล่านั้น และการสร้างระบบ “PLAY EARN TRAVEL and E-commerce” ให้กับสินค้าและการท่องเที่ยวชุมชนล้านนาสามารถสร้างรายได้ให้กับ 8 จังหวัดภาคเหนือตอนบน ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการพัฒนาล้านนาไปสู่เศรษฐกิจสร้างสรรค์

    

        ผศ.สุภาวดี โพธิยะราช ผู้เชี่ยวชาญอาวุโส สกสว. และประธานอนุกรรมการแผนงานกลุ่มการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ บพข. ในฐานะผู้แทนผู้อำนวยการ สกสว.และผู้แทนผู้อำนวยการ บพข. กล่าวว่า ในภาคของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและบริการ กองทุนส่งเสริม ววน. และสกสว. ได้มอบหมายภารกิจให้ บพข. บริหารจัดการแผนงานวิจัยการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ซึ่งแบ่งออกเป็นแผนงานย่อย 2 แผนงาน 

(1) การพัฒนาและยกระดับการท่องเที่ยวโดยใช้แนวคิดเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ที่เน้นคุณค่า สร้างความยั่งยืน และเพิ่มรายได้ของประเทศ หรือแผนงานการท่องเที่ยวมูลค่าสูง ซึ่งมีกรอบการดำเนินการภายใต้แผนงานย่อย
จำนวน 3 ประเด็น ได้แก่ (1.1) การท่องเที่ยวบนฐานมรดกทางธรรมชาติที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและ
การท่องเที่ยวคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ (1.2) การยกระดับมาตรฐานการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (1.3) การยกระดับความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและบริการ และ (2) การพัฒนาการและยกระดับเศรษฐกิจสร้างสรรค์ที่เน้นคุณค่า สร้างความยั่งยืน และเพิ่มรายได้ของประเทศ หรือแผนงานเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ซึ่งมีกรอบการดำเนินการเพื่อการยกระดับอุตสาหกรรมสร้างสรรค์เพื่อเพิ่มมูลค่าเศรษฐกิจสร้างสรรค์ เน้นการทำงานแบบแผนงานวิจัยเพื่อร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจการท่องเที่ยว สร้างรายได้และคุณภาพชีวิตที่ดีให้แก่ประชาชนและผู้ให้บริการในภาคการท่องเที่ยว มุ่งตอบเป้าหมายสำคัญ เพื่อให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายของการท่องเที่ยวที่เน้นคุณค่า ความยั่งยืน เพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจให้กับประเทศ

        สกสว. บพข. และสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ได้บูรณาการการทำงานและขับเคลื่อนงานวิจัยแผนงานการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ จึงได้สนับสนุนให้มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ดำเนินการวิจัย “การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อสร้างมูลค่าและคุณค่าแก่การท่องเที่ยวเชิงพักผ่อนล้านนา” ประยุกต์แนวคิดของ PLAY TRAVEL and EARN เพื่อสร้างโอกาสในการใช้เทคโนโลยีและะนวัตกรรม หนุนเสริมการท่องเที่ยวในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่และพื้นที่เชื่อมโยง ผ่านแอพพลิเคชั่นที่ครอบคลุมการสร้างกิจกรรมการท่องเที่ยวออนไลน์ในรูปแบบเกม ประกอบการท่องเที่ยวอย่างสนุกสนานได้ความรู้ และสามารถนำเอาคะแนนที่ได้จากการเล่มเกมมาเปลี่ยนเป็นคะแนนเพื่อแลกส่วนลดในร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการ

         

        ศาสตราจารย์ปฏิบัติ ดร.เอกชัย มหาเอก รองอธิการบดี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวว่า มหาวิทยาลัยเชียงใหม่มีแผนพัฒนาการดำเนินงานล้านนาสร้างสรรค์ (Creative Lanna) มาอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 4  นำเอาภูมิปัญญาและต้นทุนที่มีอยู่ภายใต้ 5F ของ Soft Power มาต่อยอดในเชิงคุณค่าและเชิงมูลค่า
ซึ่งแพลตฟอร์มล้านนาสร้างสรรค์ (Creative Lanna Platform) สอดคล้องกับแผนการดำเนินงานของมหาวิทยาลัย โดยมีวิทยาลัยสื่อ ศิลปะ และเทคโนโลยี (CAMT) เป็นแรงขับเคลื่อนและผลักดันที่สำคัญในการสร้างมูลค่าให้กับกระบวนการท่องเที่ยวชุมชนเชิงวัฒนธรรมล้านนาในเขตพื้นที่ 8 จังหวัดภาคเหนือ เกิดการใช้ประโยชน์จากโครงการของ CAMT ที่ดำเนินการมาก่อนหน้านำไปสู่การสร้างเครือข่ายการท่องเที่ยวชุมชนในเขตพื้นที่ 8 จังหวัดล้านนาได้

                ผศ.ดร.วรวิชญ์ จันทร์ฉาย คณบดีวิทยาลัยศิลปะ สื่อ และเทคโนโลยี (CAMT) กล่าวว่า CAMT ในฐานะผู้ดูแลจะใช้ “Leisure Lanna Super App”ภายใต้ตัวแบบธุรกิจ “PLAY TRAVEL EARN” สนับสนุนการท่องเที่ยว การเดินทาง การแนะนำสถานที่ ร้านค้า ที่พัก หรือกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการนำเสนอข้อมูลเชิงการท่องเที่ยว การค้าพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงพื้นที่ตลาด (Market Place) ให้กับสินค้ากับแหล่งท่องเที่ยวชุมชน จะยกระดับสู่การเป็นพื้นที่กลางเพื่อเป็นช่องทางสำหรับ “การท่องเที่ยวชุมชน” โดยเปิดพื้นที่กลางให้กับแหล่งท่องเที่ยวชุมชนสามารถสร้างข้อมูลและเส้นทางการท่องเที่ยว อัตลักษณ์และสินค้าชุมชนเข้าสู่แพลตฟอร์ม “Super App” กระบวนการนี้จำเป็นอย่างยิ่งที่ “ท่องเที่ยวชุมชน” ต้องเรียนรู้วิธีการสร้างเรื่องราวท่องเที่ยว และพัฒนาสินค้าชุมชนเพื่อนำเสนอผ่านแพลตฟอร์ม “Leisure Lanna Super App” ในการนี้วิทยาลัยศิลปะ สื่อและเทคโนโลยีจึงได้วางแนวทางต่อยอดในอนาคต โดยออกแบบ พัฒนาหลักสูตร และจัดอบรมเชิงปฏิบัติการด้านสื่อสร้างสรรค์ (Creative Content) ทั่วประเทศไทย 4 ภูมิภาค ให้กับ SMEs และท่องเที่ยวชุมชนจำนวน 120 ราย เพื่อพัฒนาทักษะการใช้ Generative AI มาใช้กับการสร้างคอนเทนท์และ Character สินค้าชุมชน เป็นรูปแบบการต่อยอดการใช้ทุนทางวัฒนธรรมของแต่ละพื้นที่มาใช้ออกแบบกิจกรรมการท่องเที่ยวและนำอัตลักษณ์ชุมชนมาสร้างเป็นผลิตภัณฑ์ที่สามารถจำหน่ายผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ได้
             ทั้งนี้งานวิจัยแผนงาน “การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อสร้างมูลค่าและคุณค่าแก่การท่องเที่ยวเชิงพักผ่อนล้านนา” โดยมี ดร.ดนัยธัญ พงษ์พัชราธรเทพ และคณะ สังกัดมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ สนับสนุนทุนโดยหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) ได้จัดทำแอพพลิเคชั่นด้วยแนวคิด PLAY TRAVEL and EARN ออกเป็นสามแอพพลิเคชั่น ได้แก่
 

        1) แอพพลิเคชั่น “โลกเสมือนสามมิติสนับสนุนการท่องเที่ยวในรูปแบบประสบการณ์เชิงประวัติศาสตร์ เขตเมืองเก่าเชียงใหม่” ซึ่งจัดเก็บข้อมูลกับนักท่องเที่ยว เพื่อระบุกิจกรรมเชิงพักผ่อนและสถานที่ท่องเที่ยวในพื้นที่ย่านเมืองเก่าเชียงใหม่ นำมาพัฒนาและทดสอบระบบความจริงเสมือนและดิจิทัลเกมอย่างง่าย เก็บข้อมูลกิจกรรมการท่องเที่ยวเชิงประสบการณ์ประวัติศาสตร์ของวัฒนธรรมล้านนา ในพื้นที่คูเมืองจังหวัดเชียงใหม่ วิเคราะห์ข้อมูลกิจกรรมท่องเที่ยว พฤติกรรมนักท่องเที่ยว และเนื้อหาเชิงประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมล้านนา ออกแบบรูปแบบการใช้งานแอปพลิชันเกมอย่าง่ายและระบบตัวตนเสมือนจริง วิเคราะห์และออกแบบโลกเสมือนสำหรับการท่องเที่ยวเชิงประสบการณ์ประวัติศาสตร์ของวัฒนธรรมล้านนา และสร้างกราฟิกสามมิติของโลกเสมือน และสร้างระบบของโลกเสมือน

        2) แอพพลิเคชั่น “สนับสนุนการท่องเที่ยวเชิงความศรัทธาด้วยเทคโนโลยีโลกเสมือนผสานโลกแห่งความจริง” ภายใต้แนวความคิดที่จะพัฒนาแอพพลิเคชั่นที่มีเทคโนโลยี AR เป็นส่วนประกอบเพื่อสร้างความแตกต่างและมอบประสบการณ์แปลกใหม่ให้แก่นักท่องเที่ยว ด้วยเนื้อหาที่น่าสนใจเชิงความเชื่อและความศรัทธา เช่น เส้นทางแห่งความรัก และเส้นทางเสริมบารมี เมื่อผู้ใช้งานอยู่บริเวณโบราณสถานและมองผ่านกล้องดิจิทัล ระบบจะทำการแสดงฟังก์ชันแสดงผลโลกเสมือนจริงให้นักท่องเที่ยวได้ทำกิจกรรมเพื่อเพิ่มประสบการณ์ในการท่องเที่ยว และกระตุ้นนักท่องเที่ยวให้เกิดการเดินทางมายังสถานที่จริง

        3) แอพพลิเคชั่น “เส้นทางเดินชมเมือง (Chiang Mai Old Town Trail) ในเขตเมืองเก่าเชียงใหม่ผ่านเทคโนโลยี AR ผ่านมุมมอง 360 องศา รองรับกิจกรรมท่องเที่ยวกายภาพ” ภายใต้ชื่อ Lanna Passport มุ่งหวังให้ใช้เป็นเครื่องมือเสริมประสบการณ์ท่องเที่ยวที่ใช้แนวคิด Gamification การล่าเหรียญสมบัติในเมืองเก่า ใช้เทคโนโลยี AR ร่วมกับ AI Image recognition นำเสนอเรื่องราวได้ 3 ภาษา (ไทย จีน อังกฤษ) ก่อให้เกิดกิจกรรมทางกาย (Wellness) ผ่านการ เดิน วิ่ง ปั่น เพื่อคำนวณเป็นเหรียญรางวัลสำหรับกิจกรรมทางกาย นอกจากนี้ระบบที่ใช้เทคโนโลยี AR ได้นำเสนอเรื่องราวสถานที่ท่องเที่ยวในมุมมอง 360 องศาผ่านสายตาผู้ใช้งานในช่วงเวลาต่าง ๆ พร้อมกับการนำเสนอภูมิทัศน์เสียง หรือดนตรีที่แสดงอัตลักษณ์ความเป็นล้านนา จากสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ

        สำหรับแอพพลิเคชั่น “Leisure Lanna Super App” นอกเหนือจากเป็นแอพฯ หลักสำหรับเป็น Platform กลางสำหรับแอพพลิเคชั่นทั้งสามที่พัฒนาขึ้น ร่วมกับการเป็นพื้นที่นำเสนอข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยวร้านค้าที่เข้าร่วมแล้ว ยังสามารถนำมาใช้เป็นพื้นที่สำหรับแพลตฟอร์มพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ข้ามพรมแดน เพื่อต่อยอดสำหรับจำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องของแหล่งท่องเที่ยวในพื้นที่ต่อไป ทั้งนี้วิทยาลัยศิลปะ สื่อและเทคโนโลยีมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ได้ร่วมสมทบงบประมาณในการพัฒนา “Super App” มอบส่วนลดให้กับผู้เล่นได้รับเหรียญรางวัลสะสมจากการพิชิตกิจกรรมที่กำหนดในแต่ละแอพพลิเคชั่น สามารถนำมาใช้เพื่อแลกเป็นส่วนลดเพื่อใช้บริการได้ เพื่อใช้เป็นฐานสำหรับรองรับแอพพลิเคชั่นอื่นที่อยู่ในรูปแบบสนับสนุนการเรียนรู้ และการท่องเที่ยวชุมชน

 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
FEATURED NEWS

ผอ.สกสว. ปิดโครงการ ลกส. รุ่นที่ 1 ยันการสนับสนุนสภาการสื่อมวลชนฯ

 
เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2567 ที่โรงแรมรอยัลริเวอร์ การจัดอบรม โครงการ “เพิ่มองค์ความรู้สื่อมวลชนเรื่อง : โลกาภิวัตน์ในกระบวนทัศน์ใหม่ของสื่อ” ได้จัดให้มีการนำเสนอโครงงานของผู้เข้ารับการอบรม และปิดการอบรมหลักสูตรโครงการดังกล่าว โดยดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ ประธานคณะกรรมการหลักสูตร กล่าวปัจฉิมนิเทศว่า ครั้งแรกที่หารือกันในที่ประชุมกรรมการสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ เรื่องอยากจะให้ระดมพลคนสื่อมาเรียนรู้เรื่องใหม่ๆ ซึ่งตอนนั้นใช้คำว่าโลกาภิวัตน์ กรรมการทุกคนเห็นด้วยอย่างยิ่ง จนทำให้เกิดเป็นวันนี้ขึ้นมา

ดร.พิเชฐ กล่าวอีกว่า การนำคน 20-30 คนมาอยู่ด้วยกัน คงมีโอกาสไม่มากนัก ประกอบกับต้องขยายขอบเขตให้คนที่ไม่ได้เป็นสื่อเข้ามาอยู่ในวงด้วยจนเกิดปฏิสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน เป็นคุณค่าที่จับต้องไม่ได้ แต่สำคัญยิ่ง นับเป็น Real Power ของพวกเราอย่างมาก เมื่อเรามีรุ่นแรก ก็น่าจะเป็นความคิดให้พวกเราช่วยกันมองอนาคตของสื่อที่จะทำอย่างไรให้เข้มแข็ง และขยายโอกาสไปให้กลุ่มอื่นๆ เข้ามาร่วมด้วย หัวข้อในอนาคตอาจเป็นเรื่องอื่นๆ เพราะตอนนี้เราอยู่ในโลกที่มีความหลากหลายอย่างมาก ศาสตร์เดียวเอาไม่อยู่ เราต้องเรียนรู้กันตลอดชีวิต เพราะปัจจุบันมีหลายเรื่องเกิดขึ้น ทั้ง Geopolitics ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ ทุกประเทศต้องหาจุดยืน สร้างขีดความสามารถในการแข่งขันกัน สิ่งแวดล้อมก็เป็นเงื่อนที่สำคัญยิ่ง แต่การตกลงในกรอบความร่วมมือต่างๆ ของโลกกลับยังไม่เห็นผลอะไร แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือ อุณหภูมิโลกสูงขึ้นเยอะ หรือเรื่องของเทคโนโลยี ไม่เรียนรู้ก็ไม่ได้ ซึ่งน่าเป็นห่วงอย่างยิ่งสำหรับลูกหลานในอนาคต จึงเป็นเรื่องของพวกเราต้องช่วยกันบอกสังคมให้ตระหนักรู้กับสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะเหล่านี้คือเรื่องของอนาคตจริงๆ

 

ดร.พิเชฐ กล่าวว่า ขอบคุณทุกคนที่ทำให้รุ่น 1 เป็นจริงขึ้น ทุกคนล้วนบอกว่าสนุกสนานมีความสุข เพิ่มพูนองค์ความรู้ได้ดี นำไปประยุกต์ใช้ในการทำงานได้ ก็หวังว่าในอนาคตจะช่วยกันสื่ออะไรที่สำคัญให้สังคมทราบ เพิ่มเครือข่ายการทำงานและความร่วมมือแบบนี้ ให้เพิ่มมากขึ้นอีก

 ส่วนช่วงบ่ายมีการนำเสนอโครงงานกลุ่มของผู้เข้ารับการอบรม กลุ่มที่ 1 ศักยภาพผู้สูงอายุไทยที่ไม่มีวัน…เกษียณแก้โจทย์แรงงานไทย หยุดตีกรอบวัยทำงาน สร้างทางเลือกหลังเกษียณ กลุ่มที่ 2 โอกาสและการขับเคลื่อน SOFT POWER ผ่านอุตสาหกรรมบันเทิงไทย กลุ่มที่ 3 วิกฤตการเกิด เรื่องกำเนิด…ใครกำหนด?

กลุ่มที่ 4 PM 2.5 วิกฤติฝุ่นพิษ “ข้ามแดน” ปัญหาไร้ทางออก? และกลุ่มที่ 5 ผีน้อยส่งออก “Made in Thailand” ผลผลิตจากสังคมไทยไร้โอกาส ซึ่งทั้ง 5 กลุ่มได้นำเสนอให้อาจารย์ที่ปรึกษาให้คำแนะนำ และปรับปรุงแก้ไขมาก่อนหน้านี้ โดยวันนี้กรรมการหลักสูตรและผู้ทรงคุณวุฒิร่วมให้ความเห็นเพิ่มเติมด้วย

 รองศาสตราจารย์ ดร.ปัทมาวดี โพชนุกูล ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริม วิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) กล่าวปิดการอบรมว่า ในนามสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม หรือ สกสว. มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้รับเกียรติมาเป็นประธานปิดการอบรมโครงการ “เพิ่มองค์ความรู้สื่อมวลชนเรื่อง: โลกาภิวัตน์ในกระบวนทัศน์ใหม่ของสื่อ” ซึ่งจัดโดยสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติร่วมกับสกสว. ในวันนี้ 

ผู้อำนวยการ สกสว. กล่าวว่า สกสว.เป็นองค์กรที่มุ่งยกระดับศักยภาพและขับเคลื่อนระบบวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม หรือ ววน. ของประเทศ เพื่อส่งมอบคุณค่าทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างยั่งยืน รวมถึงผลักดันให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว การสนับสนุนสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติจัดหลักสูตรอบรมในครั้งนี้ จึงถือว่าสอดคล้องกับพันธกิจของ สกสว. ในการที่จะช่วยยกระดับศักยภาพของสังคมทุกภาคส่วนในการใช้ความรู้และนวัตกรรมร่วมขับเคลื่อนประเทศ  โดยที่สื่อมวลชนไทย ในฐานะที่ท่าน ที่มีหน้าที่สำคัญในการเป็นสื่อกลางให้ข้อมูลความรู้แก่สังคม  สามารถเป็นผู้ใช้ประโยชน์จากงานวิจัยและนวัตกรรม โดยเฉพาะองค์ความรู้เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของโลกและระเบียบโลก  สภาการสื่อมวลสามารถเป็นสื่อกลางให้กับสื่อมวลชนไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อเพิ่มขีดความสามารถของสื่อมวลชนและบุคลากรในหน่วยงาน ในการรายงานและวิเคราะห์ข่าว ความเคลื่อนไหวในมุมต่าง ๆ ของระเบียบโลกที่เปลี่ยนแปลงไปได้อย่างถูกต้อง ครบถ้วน รอบด้าน และเป็นไปตามหลักจริยธรรมของสื่อมวลชน อีกทั้งเพื่อสร้างความสัมพันธ์อันดี และแลกเปลี่ยนประสบการณ์ระหว่างสื่อมวลชนกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง  

 

ผอ.สกสว. กล่าวต่อว่า ส่วนตัวชอบทำงานกับคนรุ่นใหม่ อนาคตของประเทศ ซึ่งทั้ง 5 หัวข้อเลือกมาเป็นประเด็นที่มีความสำคัญและมีความหมายกับประเทศ ดีใจที่ทุกคนได้มีโอกาสสืบค้นข้อมูล สื่อมวลชนกับนักวิจัยมีส่วนคล้ายๆ กัน คือ สืบค้นข้อมูล วิเคราะห์สังเคราะห์ข้อมูล และการสื่อสาร ว่าสิ่งที่ได้จากข้อมูลคืออะไร แต่สิ่งที่ต่างกันมากๆ คือนักวิชาการอาจเข้าถึงยากกำลังพูดหรือเขียนอะไร แต่สื่อมวลชนมีทั้งศาสตร์และศิลป์น่าจะเป็นหน่วยงานที่สำคัญที่จะทำให้สังคมไทยเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น ตนเชื่อพลังของการสื่อสาร ไม่ว่าจะเป็นวรรณกรรม ที่เมื่อก่อนเปลี่ยนโลก  สร้างแรงบันดาลใจได้ ยุคสมัยผ่านไปวรรณกรรมอาจอยู่เฉพาะคนบางกลุ่ม แต่สื่อมวลชน คนทั่วไปเข้าถึงได้ง่ายกว่า แล้วสื่อมวลชนจะสื่อสารเรื่องอะไร กรณีแบบนี้สื่อมวลชนอาจยากกว่านักวิชาการ งานวิจัยนักวิชาการจบ 1 เรื่อง แต่การทำความเข้าใจกับสาธารณะ ต้องบูรณาการหลายเรื่อง ถึงแก้ปัญหาได้ จะเห็นภาพเชิงระบบเพื่อให้ได้ข้อเสนอแนะและทางออกที่ดีกว่า สื่อมวลชนมีบทบาทช่วยได้มากในเรื่องนี้ ถ้าจะสร้างสังคมที่ดีกว่า คือการสร้างปัญญา การหาข้อเสนอหรือทางออก นักวิชาการกับสื่อจึงควรทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด ในการนำข้อมูลที่น่าสนใจและข้อมูลเชิงลึกต่างๆ เสนอให้สาธารณะรับทราบ

 

ผอ.สกสว. กล่าวอีกว่า หวังเป็นอย่างยิ่งว่า ผู้เข้ารับการอบรมทุกท่านจะได้นำความรู้และประสบการณ์อันมีคุณค่าไปใช้ในการรายงานข่าวที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชน พร้อมกันนี้ขอแสดงความยินดีกับผู้ได้รับรางวัลจากการรายงานผลงานกลุ่มทุกท่าน และหวังว่าจะมีการเผยแพร่ผลงานดังกล่าวต่อสาธารณชนหรือภาคนโยบาย เพื่อร่วมกันสร้างพลังแห่งการเปลี่ยนแปลงของประเทศในประเด็นที่ท้าทายภายใต้ระเบียบโลกใหม่ และหวังว่าสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติจะจัดการอบรมหลักสูตรที่เป็นประโยชน์เช่นนี้ต่อไปอย่างต่อเนื่อง เราอาจจะมาช่วยกันวิเคราะห์สถานการณ์  วิเคราะห์ข้อมูลและเลือกหัวข้อสำหรับการจัดอบรมในครั้งต่อๆไป 

 

ผอ.สกสว. กล่าวว่า สกสว. เป็นหน่วยงานบริหารจัดการกองทุนส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (กองทุน ววน.) มีหน้าที่ในการส่งเสริม สนับสนุน ขับเคลื่อนระบบวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ของประเทศในทุกด้าน เพื่อให้เกิดการพัฒนาประเทศอย่างสมดุลและยั่งยืน

นายชวรงค์ ลิมป์ปัทมปาณี ประธานสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ กล่าวว่า โครงการนี้ เป็นโครงการนำร่องที่สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติตั้งใจจะเพิ่มองค์ความรู้ด้านโลกาภิวัตน์หรือความเปลี่ยนแปลงของโลกให้แก่สื่อมวลชนไทยและภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การรายงานข่าวของสื่อมวลชนไทยมีความรอบด้านและครอบคลุมมากขึ้น ซึ่งสิ่งที่สะท้อนได้อย่างดีว่าผู้เข้ารับการอบรมได้รับความรู้ตามวัตถุประสงค์หรือไม่คือ ผลงานที่ผู้เข้ารับการอบรมผลิตตามที่หลักสูตรมอบหมาย

“ต้องขอบคุณทาง สกสว.เป็นอย่างมากที่เข้าใจและให้ความสำคัญต่อโครงการนี้ เชื่อว่าการสนับสนุนจาก สกสว.จะเป็นเริ่มต้นของการร่วมงานที่เป็นรูปธรรมในการเสริมสร้างความรู้และศักยภาพของสื่อมวลชนไทย ซึ่งผลที่ตามมาคือ การที่สาธารณชนจะได้รับข้อมูลข่าวสารจากสื่อมวลชนที่สมบูรณ์มากขึ้น” ประธานสภาการสื่อมวลชนฯกล่าว.

ซึ่งในการอบรมครั้งนี้ ทางนายกันณพงศ์ ก.บัวเกษร ผู้ก่อตั้ง สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์ ได้เข้าร่วมฝึกอบรมแลกเปลี่ยนในโครงการครั้งนี้ด้วย

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
EDITORIAL

โอกาสและการขับเคลื่อนซอฟต์พาวเวอร์ ผ่านอุตสาหกรรมบันเทิงไทย

ประเด็นสำคัญ

ที่ผ่านมา ซอฟต์พาวเวอร์ (Soft Power) ถูกกล่าวถึงในฐานะของหนึ่งในเครื่องมือขับเคลื่อนเศรษฐกิจของไทย แต่กลไกสำคัญในกระบวนการขับเคลื่อนซอฟต์พาวเวอร์ ไม่ใช่แค่การกำหนดนโยบายที่เหมาะสมเท่านั้น แต่ต้องมีกลไกที่ผสานกันระหว่าง ‘ความคิดสร้างสรรค์’ และ ‘เทคโนโลยี’ จึงจะสามารถเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ ให้พัฒนาทั้งรายได้และคุณภาพชีวิตของผู้คน ที่ทำให้ซอฟต์พาวเวอร์ของไทยไปสู่ระดับโลกได้อย่างแท้จริง

ทำไมต้อง ‘Soft Power’ ?

ศาสตราจารย์โจเซฟ ไนย์ (Joseph S. Nye) อาจารย์มหาวิทยาลัยฮาร์เวิร์ด ได้อธิบายคำว่า ‘Soft Power’ ไว้ว่า ‘การทูตสาธารณะ (Public Diplomacy)’ คือเครื่องมือที่สำคัญในการส่งเสริมการใช้อำนาจการโน้มน้าวใจเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย โดยเครื่องมือหลัก ได้แก่ ภาพยนตร์ สิ่งพิมพ์ การแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม วิทยุ และโทรทัศน์

คำนี้เริ่มนำมาใช้ตั้งแต่ทศวรรษ 1980 ในช่วงยุคสงครามเย็นและหลังสงครามเย็น ในฐานะกลยุทธ์ทางการเมืองของสหรัฐอเมริกาและรัสเซีย โดยมีทั้งการใช้กำลังทหารหรือเรียกว่าฮาร์ดพาวเวอร์ (Hard Power) และมีการสร้างอิทธิพลเพื่อให้ประเทศอื่น ๆ ยอมทำในสิ่งที่ต้องการโดยยินยอมพร้อมใจ อย่างซอฟต์พาวเวอร์ (Soft Power) ควบคู่กันมานับตั้งแต่นั้น

ปัจจุบันซอฟต์พาวเวอร์ถูกนำมาใช้พัฒนาเศรษฐกิจได้อย่างมีนัยสำคัญ ในประเทศไทยซอฟต์พาวเวอร์ เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ถูกหยิบยกขึ้นมาในระดับประเทศ เช่นในช่วงที่ผ่านมาถูกกล่าวถึงในฐานะนโยบายสำคัญที่รัฐบาลจะผลักดัน ‘1 ครอบครัว 1 ซอฟต์พาวเวอร์’

โดยมีการแต่งตั้งคณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ เพื่อกำหนดนโยบายและทิศทางทางรวมเกี่ยวข้องกับยุทธศาสตร์ซอฟต์เพาเวอร์ของประเทศอีกด้วย

ซอฟต์พาวเวอร์ที่ขาดหายในประเทศไทย

แม้ประเทศไทยจะมีศักยภาพในด้านซอฟต์พาวเวอร์หลายด้านเป็นต้นทุนเดิม แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าการขับเคลื่อนซอฟต์พาวเวอร์ให้ได้ผลลัพธ์อย่างที่ควรจะเป็น ยังมีข้อจำกัดอยู่หลายมิติ

1) สังคมไทยยังขาดความเข้าใจในเรื่องซอฟต์พาวเวอร์

2) การถูกนำไปผูกโยงกับการเมือง

และ 3) ขาดการบูรณาการและวางแผนระยะยาว

 

Soft Power ที่โซเชียลมีเดียกล่าวถึง
การจัดอันดับ Global Soft Power Index

จากการจัดอันดับ Global Soft Power Index ประจำปี 2566 ในด้านวัฒนธรรมและมรดก อันประกอบไปด้วย 6 องค์ประกอบ ดังนี้ 

1) ผู้อิทธิพลในด้านศิลปะและความ บันเทิง 

2) อาหารที่ทั่วโลกชื่นชอบ 

3) สถานที่ที่ดีเยี่ยมใน การเยี่ยมชม 

4) มรดกอันยาวนาน 

5) วิถีชีวิตที่น่าดึงดูด ใจ 

และ 6) ผู้นำด้านกีฬา โดยได้มีการจัดอันดับและการ ให้คะแนนเต็มอยู่ที่ 10 คะแนน 

 

ผ่านการรวบรวมคำตอบ จากผู้คนกว่า 110,000 คน ในกว่า 100 ประเทศ ด้วยวิธี สำรวจการรับรู้ของแบรนด์ระดับประเทศจากทั่วโลก ผลการสำรวจ พบว่า ประเทศที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจสูง ในอุตสาหกรรมบันเทิง 5 อันดับ โดยอันดับแรก คือ ประเทศฝรั่งเศส 7 คะแนน รองลงมาจะเป็นประเทศ สหรัฐอเมริกาและประเทศอิตาลี 6.9 คะแนน ประเทศ สเปน 6.6 คะแนน และประเทศอังกฤษ 6.5 คะแนน โดย เรียงตามอันดับ สำหรับในเอเชียประเทศที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจใน อุตสาหกรรมบันเทิงสูงที่สุด ได้แก่ ประเทศญี่ปุ่น 6 คะแนน (อันดับที่ 6 ของโลก) สาธารณรัฐประชาชนจีน 5.3 คะแนน (อันดับที่ 10 ของโลก) ประเทศเกาหลีใต้ 5 คะแนน (อันดับที่ 17 ของโลก) และประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 32 ซึ่งมีคะแนนอยู่ที่ 4.4 คะแนน

 

ภาพรวมสื่อบันเทิงในไทยและระดับโลก

จากการสำรวจของ Intellias Global Technology Partner ในด้านสื่อและอุตสาหกรรมบันเทิงในปี 2567 พบว่าสื่อบันเทิงในรูปแบบสตรีมมิ่งมีการเติบโตและมีความ หลากหลายและจำนวนที่เพิ่มมากขึ้น 

 

นอกจากนี้ยังมีการศึกษาภาพรวมภูมิทัศน์สื่อไทยปี 2566 – 2567 พบว่าคอนเทนต์ครีเอเตอร์ และอินฟลูเอนเซอร์ที่ ดาหน้าเข้าสู่วงการสื่อมีจำนวนเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก ตลาด อินฟลูเอนเซอร์จึงยังได้คงรับความนิยมจากทั้งแบรนด์และ เอเจนซี่ต่าง ๆ ส่งผลให้ “แฟนด้อม มาร์เก็ตติ้ง” (Fandom Marketing) หรือกลยุทธ์ในการสร้างแบรนด์ ผ่านทางแฟนคลับถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลาย เพราะความ เคลื่อนไหวของเหล่าด้อมได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วถึง “บทบาท และอำนาจการซื้อ” ในการสนับสนุนศิลปินหรืออินฟลูเอน เซอร์ในดวงใจจากหลายแคมเปญ สำหรับแพลตฟอร์ม สื่อต่าง ๆ นั้น โซเชียลมีเดียอย่างเฟซบุ๊ก ยูทูบ ติ๊กต๊อก สามารถครองใจผู้ใช้โซเชียลมีเดียในไทย แต่ยูทูบเป็น แพลตฟอร์มยอดนิยมในการสร้างรายได้ อย่างไรก็ดี การ ที่ติ๊กต๊อกเข้าสู่วงการอีคอมเมิร์ซและผลักดันให้กระแส Live-Commerce หรือการไลฟ์ขายของออนไลน์ถูกใจผู้ใช้ งานติ๊กต๊อกในไทยที่ชื่นชอบการชอปปิงออนไลน์อยู่เป็นทุน เดิมอยู่แล้ว ก็เป็นอีกหนึ่งความเคลื่อนไหวที่น่าติดตาม

ถอดบทเรียนซอฟต์พาวเวอร์ ประเทศญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ ทำอย่างไรให้สำเร็จ
การโปรโมตซอฟต์พาวเวอร์ของประเทศญี่ปุ่น

ข้อมูลจากเว็บไซต์ Global Asia ที่รายงานเกี่ยวกับ ความเคลื่อนไหวในภูมิภาคเอเชียตะวันออก ระบุว่า ประเทศญี่ปุ่นได้ดำเนินนโยบายการโปรโมท ซอฟพาวเวอร์ของตัวเองผ่านแคมเปญที่มีชื่อว่า คูล เจแปน (Cool Japan) โดยที่ผ่านมาญี่ปุ่นจะใช้งบ ประมาณสาธารณะสนับสนุนในสิ่งที่ เรียกกันว่า ‘วัฒนธรรมชั้นสูง’ ของตัวเองมาโดยตลอด ต่อมา รัฐบาลญี่ปุ่นก็ต้องการทำแบบเดียวกันกับวัฒนธรรม ‘Pop culture’ ของตัวเองให้เป็นที่รู้จัก รัฐบาลญี่ปุ่น จึงได้มีการสนับสนุนกิจกรรมการแข่งขัน คอสเพล ย์จากทั่วโลกให้มาแข่งที่ญี่ปุ่น และยังได้มอบรางวัล นานาชาติประจำปีให้กับศิลปินวาดการ์ตูน มัง

การโปรโมตซอฟต์พาวเวอร์ของประเทศเกาหลีใต้

ซอฟต์พาวเวอร์เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยยกระดับจาก ประเทศเกาหลีใต้ จากที่เคยต้องกู้เงินกองทุนการเงิน ระหว่างประเทศ (IMF) มาถึง 57 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ในช่วงปลายทศวรรษ 1990 แต่ปัจจุบันเกาหลีใต้กลาย เป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ เป็นอันดับที่ 12 ของโลก มีมูลค่ากว่า 1.63 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ

 

เกาหลีใต้ผ่านวิกฤตินี้ไปได้จากการมุ่งพัฒนา อุตสาหกรรมบันเทิงอย่างจริงจัง จนเกิดเป็นกระแส Korean Wave หรือ ฮันรยู (Hallyu) โดยรัฐบาล เกาหลีใต้เข้ามามีบทบาทอย่างมากในการจัดการและส่ง เสริมอย่างเต็มที่ รวมถึงมีการก่อตั้ง ‘Korea Creative Content Agency (KOCCA)’ หรือสำนักงานส่งเสริม คอนเทนต์เกาหลี เมื่อปี 2009 ที่ส่งเสริมและช่วยเหลือ ด้านเงินทุนให้แก่ภาคเอกชนในการสร้างคอนเทนต์และ พัฒนากลยุทธ์และถ่ายทอดเนื้อหาสาระความเป็นเกาหลี ในคอนเทนต์ทุกรูปแบบสู่สายตาคนทั่วโลก

กรณีศึกษา มูลค่าทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นจาก
Korean Wave หรือ ฮันรยู (Hallyu)

ซอฟต์พาวเวอร์เป็นปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลให้ GDP ของ เกาหลีใต้เติบโตอย่างต่อเนื่อง เริ่มตั้งแต่ ด้านการ ท่องเที่ยว อิทธิพลของ Korean Wave ที่เกิดขึ้น จากภาพยนตร์ วงดนตรี ละคร ที่ทำให้คนมีโอกาส ได้เห็นหลายแง่มุมของประเทศผ่านสื่อบันเทิง เช่น ความปลอดภัย ระบบขนส่งสาธารณะ ความทัน สมัยของเทคโนโลยี เป็นต้น ยิ่งส่งเสริมการท่องเที่ยว ในของเกาหลีใต้หรือ K-Travel ให้มีชื่อเสียงในทางที่ดี ขึ้นอย่างชัดเจน

 

ขณะที่ ด้านภาษาและวัฒนธรรม ด้วยพลังของ ซอฟต์พาวเวอร์ที่กล่าวมาข้างต้น ทำให้ปัจจุบันผู้คน ทั่วโลกจึงให้ความสนใจและเข้าใจในวัฒนธรรมและ ภาษาเกาหลีมากขึ้น จากรายงานของ Duolingo แอปพลิเคชันสอนภาษาพบว่าภาษาเกาหลีได้รับ ความนิยมมากเป็นอันดับที่ 7 ของโลกไปแล้ว

ซอฟต์พาวเวอร์ไทยอยู่ตรงไหนของโลก

ซอฟต์พาวเวอร์สามารถนำมาใช้เพื่อส่งเสริมจุดยืน ของประเทศในเวทีโลกผ่านการสร้างภาพลักษณ์ที่ดี ของประเทศ จากการจัดอันดับ Global Soft Power Index 2023 โดย Brand Finance ประเทศไทยอยู่ในอันดับ 41 ของโลก ซึ่งตกลงจาก เดิมซึ่งได้ที่ 35 ในปีก่อน 6 อันดับ

ด้าน ดร.ชาคริต พิชยางกูร ผู้อำนวยการสำนักงานส่ง เสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (CEA) ได้ อธิบายถึงประเด็น ที่ต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับตัวชี้วัด Global Soft Power Index ที่ต้องมองแบบองค์รวม “ เมื่อพูดถึง Soft Power คนมักจะคิดว่าเป็นเรื่องทุนวัฒนธรรม แต่ ถ้าเราดูจากการจัดโครงสร้างดัชนีในการจัดอันดับ Global Soft Power Index จะมีการแบ่งนํ้าหนักคะแนน เป็น 5 ส่วน คือ Familiarity 10% หมายความว่า คุณต้องมีความคุ้นเคย Reputation 10% คือความ มีชื่อเสียงเชิงบวก Influence 30% คือคุณต้องรู้สึกว่า สินค้าและบริการสามารถชักจูงให้คุณเชื่อถือและชื่นชม ได้ และให้นํ้าหนัก 7 Soft Power Pillars อีก 40% ฉะนั้นต้องมองเป็น holistic view คือ มุมมองแบบองค์ รวมในการขับเคลื่อน Soft Power ”

ข้อเสนอแนะ
ด้านอุตสาหกรรมบันเทิง

หม่อมราชวงศ์ เฉลิมชาตรี ยุคล ตัวแทนผู้ขับเคลื่อน Soft Power สาขาภาพยนตร์ ได้กล่าวว่า “หาก ต้องการผลักดันซอฟต์พาวเวอร์วงการบันเทิงไทยให้ไป สู่สายตาชาวโลกและเชื่อมั่นว่า ‘ของไทยดีจริง’ จะต้องมี 3 องค์ประกอบ ได้แก่ 1) พัฒนาบุคลากรในประเทศให้มี ความสามารถ 2) การเปิดตลาดให้ใหญ่ขึ้นทั้งในประเทศ และต่างประเทศ และ 3) เพิ่มบทบาทของรัฐด้วยการเข้า มาเป็นตัวกลางเพื่อสนับสนุนการขายคอนเทนต์ และ สร้างพื้นฐานของทรัพยากรในประเทศไทยให้แข็งแรง”

 

ดร.ไพบูลย์ ปิตะเสน ประธานศูนย์เกาหลีศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ “มองว่าการสร้าง ซอฟต์พาวเวอร์ของไทยให้มีอิทธิพล ควรมีองค์ ประกอบ 3 อย่างที่ร่วมมือกัน 1) ภาคธุรกิจเอกชน B : Business จำเป็นต้องมีความเชื่อมต่อกัน ระหว่างทรัพยากร 2) ภาครัฐ G : Government มี ความสำคัญมากในบทบาทของการจัดองค์กร ภายในประเทศ เช่น หน่วยงานที่รับผิดชอบให้เป็น ระบบ เปลี่ยนโครงสร้างจัดตั้งกลไก และบูรณาการ ได้ทุกกระทรวง และ 3) พลเมือง C : Citizen เกาหลีใต้เป็นอีกหนึ่งตัวเองในการใช้การทูต สาธารณะ โดยใช้พลเมืองเกาหลีที่มีโอกาสออกไป อยู่ในต่างประเทศเป็นทูตในการถ่ายทอดวัฒนธรรม ได้ด้วยตัวเอง นับเป็นการทำการทูตโดยอัตโนมัติ”

 

จากข้อเสนอแนะจากหลายฝ่ายในข้างต้นกำลัง สะท้อนว่าประเทศไทยเริ่มมองเห็นความสำคัญแต่ ยังไม่สามารถผลักดันให้ซอฟต์พาวเวอร์กลายเป็น พลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้เต็มที่ ดังนั้นจึงควรมี แนวทางในการขับเคลื่อนทั้งภาครัฐและเอกชน ดังนี้

 

การขับเคลื่อนจากภาคเอกชน

ด้านสินค้าและบริการ ธุรกิจไทยหลายแห่งมุ่งเน้นการ พัฒนาสินค้าและบริการที่สอดแทรกเอกลักษณ์ของ ไทยเข้าไปผสมผสานกับนวัตกรรมใหม่ ๆ การสนับสนุนงานศิลปะและวัฒนธรรม เช่น แสดงงาน ศิลปะและวัฒนธรรมต่าง ๆ ทั้งระดับประเทศและระดับ นานาชาติ การสื่อสารผ่านสื่อ ภาคเอกชนไทยใช้สื่อเป็นสื่อกลาง ที่มีพลังสำคัญในการขับเคลื่อนซอฟต์พาวเวอร์ของ ประเทศไปสู่สายตาชาวโลก การพัฒนาบุคลากร ภาคเอกชน โดยเฉพาะในภาค บริการให้มีคุณภาพตรงความต้องการของตลาด และ เพียงพอต่อความต้องการ

 

การขับเคลื่อนจากภาครัฐ

การขับเคลื่อนจากภาครัฐต้องมีบทบาทสำคัญใน การเป็น ‘Facilitator’ หรือผู้สนับสนุนการขับเคลื่อนของ ภาคเอกชน ผ่านนโยบายและมาตรการต่าง ๆ ดังนี้ ปรับปรุงกฎเกณฑ์ เนื่องจากปัจจุบันยังมีกฎเกณฑ์ บางข้อในประเทศไทยที่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนา ซอฟต์พาวเวอร์ เช่น กฎหมายลิขสิทธิ์ใน ประเทศไทยไทยยังมีความซับซ้อน และควร สนับสนุนการระดมทุนสำหรับโครงการซอฟต์พาว เวอร์ผ่านกลไกต่าง ๆ เช่น เงินอุดหนุน การยกเว้น ภาษี หรือการจัดตั้งกองทุนสนับสนุน เป็นต้น พัฒนาบุคลากร การพัฒนาบุคลากรที่มีความรู้ ความสามารถในด้านต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ผ่านการ ส่งเสริมการศึกษา พัฒนาหลักสูตร มีทุน สนับสนุนการพัฒนา นอกจากนี้รัฐยังสามารถ สนับสนุนในการสร้างเครือข่ายระหว่างภาครัฐและ ภาคเอกชนด้วย

 

เอกสารอ้างอิง

Brand Finance. GLOBAL SOFT POWER INDEX 2023. สืบค้นจาก https://brandirectory.com/softpower/nation

Intellias. 2024 Media & Entertainment Industry Qutlook + Key Trends. สืบค้นจาก https://intellias.com/media-entertainment-industry-trends/

dataxet infoquest. ภาพรวมภูมิทัศน์สื่อไทยปี 2566 – 2567. สืบค้นจาก https://www.dataxet.co/media-landscape/2024-th

สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์. ขับเคลื่อนเศรษฐกิจสร้างสรรค์เป็นซอฟท์พาวเวอร์ เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน. สืบค้นจาก https://nida.ac.th/economy-into-soft-power-for-sustainable-development/

 

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
FEATURED NEWS

“เศรษฐา” ชูไทยจุดหมายนักมวยทั่วโลก กองทุน ววน. ยกระดับเป็นเฟสติวัลมวยไทย

 

เมื่อวันที่ 6 ก.พ. 67 นายกรัฐมนตรี พร้อมรัฐมนตรีว่าการ 4 กระทรวง ร่วมงาน “มหัศจรรย์วันมวยไทย ดังไกลสู่ชาวโลก” ที่อุทยานราชภักดิ์ จ.ประจวบคีรีขันธ์ พร้อมเยี่ยมชมนิทรรศการมวยไทย ผลงานจากกองทุน ววน.มุ่งหวังไทยเป็นจุดหมายของนักมวยจากทุกมุมโลก

 

นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในงาน “มหัศจรรย์ วันมวยไทย ดังไกลสู่ ชาวโลก ประจำปี 2567” (Amazing Muay Thai World Festival 2024) จัดโดย กองทัพบก ผนึกกำลังภาครัฐ เอกชน และคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมด้านกีฬา เพื่อส่งเสริมกีฬามวยไทยเป็นซอฟต์พาวเวอร์ของประเทศ ณ อุทยานราชภักดิ์ อําเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ระหว่างวันที่ 4-6 กุมภาพันธ์ พร้อมส่งเสริมกีฬามวยไทย พัฒนาการท่องเที่ยวเชิงกีฬา และยกระดับมวยไทยสู่มาตรฐานสากล มุ่งให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางด้านกีฬามวยไทยของโลก โดยมี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายสุทิน คลังแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม น.ส.สุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ให้เกียรติร่วมงาน

 

นายเศรษฐา ทวีสิน โพสต์ถึงงานวันมวยไทยว่า “วันนี้เรากำลังทำให้มวยไทยเป็นมรดกของโลก ซึ่งต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา เรามีงาน WBC Amazing Muay Thai ที่รวมนักมวยกว่า 60 ประเทศ ความยิ่งใหญ่ที่เราร่วมกันถ่ายทอด และความงดงามของการไหว้ครูมวย ทำให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางของนักมวยจากทุกมุมโลก ที่ครั้งหนึ่งในชีวิตต้องเดินทางมาร่วมไหว้ครูมวยที่นี่ครับ”

 

ด้าน ผศ.สุภาวดี โพธิยะราช ผู้เชี่ยวชาญอาวุโส สกสว.ในฐานะผู้แทนผู้อำนวยการ สกสว. กล่าวรายงานต่อนายกรัฐมนตรีถึงการประยุกต์ใช้วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เพื่อยกระดับความสามารถทางการแข่งขันของอุตสาหกรรมมวยไทย ให้เป็น SOFT POWER ที่ทรงพลังสู่สากล ผ่านการสนับสนุนทุนวิจัยให้แก่มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง นับตั้งแต่ปี 2558-2567 โดยในช่วงปี 2558-2560 เป็นงบประมาณจากทุนวิจัยมุ่งเป้า โดย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) และในช่วงปี 2563- ปัจจุบัน ได้รับการสนับสนุนทุนวิจัย จากแผนงานการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ โดยหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) งบประมาณจากกองทุนส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (กองทุน ววน.) ทั้งนี้เป็นการสนับสนุนการวิจัยด้าน Soft Power Mauy Thai อย่างต่อเนื่องสู่สากล

 

 

การวิจัยได้ให้ความสำคัญกับการบูรณาการพลัง SOFT POWER (5F)  และธุรกิจเชื่อมโยงเพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมสร้างสรรค์มวยไทยสู่การจัดการเทศกาลมวยไทย (MauyThai Festival) เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวและส่งออกวัฒนธรรมสู่สากล  เป็นการศึกษาเพื่อยกระดับ อีเว้นท์มวยไทย สู่การเป็น เฟสติวัลมวยไทย (Muay Thai Festival) ซึ่งเป็นการขับเคลื่อนจากฐานความรู้เดิมได้แก่ 1. ฐานข้อมูลค่ายมวย องค์ประกอบและปัจจัยสำเร็จของธุรกิจค่ายมวย 2. เครือข่ายการท่องเที่ยวเชิงกีฬาเชื่อมโยงในภูมิภาคอาเซียนโดยใช้มวยสุวรรณภูมิ (มวยไทย มวยพม่า มวยเขมร และมวยลาว) 3. องค์ความรู้การออกแบบประสบการณ์ท่องเที่ยวเชิงกีฬาโดยใช้ศิลปะการต่อสู้มวยไทยบูรณาการวิถีไทย สำหรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ 4. ต้นแบบการบูรณาการการจัดกีฬาเพื่อการเสริมสร้างสุขภาวะในโรงแรม (WellHotel) โดยใช้โมเดลกีฬามวยไทยบูรณาการวิถีไทย 5.การจัดอีเว้นท์กีฬามวยไทยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ 6. การท่องเที่ยว Pre–event และ Post-event เชิงสร้างสรรค์เพื่อชดเชยคาร์บอนเชื่อมโยงกับการท่องเที่ยวเชิงกีฬา สำหรับตลาดนักท่องเที่ยวคุณภาพทั้งในและต่างประเทศ 7. ต้นแบบเทคโนโลยีจักรวาลนฤมิตร มวยไทยเพื่อพัฒนาศักยภาพการแข่งขันของธุรกิจค่ายมวยสู่การส่งออกสินค้าทางวัฒนธรรมและส่งเสริมการท่องเที่ยว ผศ.สุภาวดี กล่าวเสริม

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI FEATURED NEWS

ผู้อบรมหลักสูตรวิเคราะห์ข่าวระเบียบโลก ศึกษาดูงาน จ.เชียงราย – สปป.ลาว

สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม หรือสกสว.และ สภาการการสื่อมวลชนแห่งชาติ จัดกิจกรรมศึกษาดูงานและแลกเปลี่ยนเรียนรู้ด้านตลาดการค้าชายแดน สปป.ลาว – ประเทศไทย ” ระหว่างวันศุกร์ที่ 26 – วันเสาร์ที่ 27 มกราคม 2567

 

เมื่อวันที่ 26 – 27 มกราคม 2567 ที่ผ่านมา เพื่อเสริมสร้างองค์ความรู้เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของระเบียบโลกให้กับสื่อมวลชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงความสามารถของสื่อมวลชนในการรายงานและวิเคราะห์ข่าว ความเคลื่อนไหวในมุมต่างๆ ของระเบียบโลกได้อย่างถูกต้อง รอบด้าน และเป็นไปตามหลักจริยธรรมสื่อมวลชน ที่ซึ่งจัดโดย สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ โดยการสนับสนุนของ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) กองทุนส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (กองทุน ววน.) โดยได้ ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ สภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี แลนายชวรงค์ ลิมป์ปัทมปาณี ประธานสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ เข้าร่วมเดินทางในครั้งนี้ด้วย

 

 

 

โครงการได้คัดเลือกในรูปแบบของการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม (Participatory Action Research) โดยการเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง (Purposive Sampling) ตามสัดส่วนของทั้งสื่อมวลชน องค์กรภาครัฐและเอกชนรวม จำนวน 31 คน นอกจากจะมีการศึกษาดูงานในส่วนกลางที่กระทรวงการต่างประเทศ และสหประชาชาติใน ประเทศไทย นอกจกานี้ยังจะมีในส่วนภูมิภาคที่จังหวัดเชียงราย เพื่อศึกษาดูงานการค้าขายชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้านทั้ง ลาว – เมียนมา – จีน เพื่อให้ได้รับข้อมูลและความรู้โดยตรงจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งการจัดทำรายงานกลุ่มเพื่อร่วมกันออกแบบการสื่อสารเกี่ยวกับระเบียบโลกที่เปลี่ยนแปลงไปให้น่าสนใจและสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องแก่ผู้รับสาร ต้องขอบคุณ สกสว. กองทุน ววน.ที่เห็นความสำคัญในการพัฒนาองค์ความรู้ในครั้งนี้

 

 

ซึ่งทาง สำนักข่าว นครเชียงรายนิวส์ หรือเดิมชื่อหนังสือพิมพ์นครเชียงราย มีนายกันณพงศ์ ก.บัวเกษร ผู้ก่อตั้งนครเชียงรายนิวส์ได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งท่านในโครงการอบรมครั้งนี้ด้วย

 

ในวันที่ 26 มกราคม 2567  ผู้เข้ารับการอบรม โครงการ “เพิ่มองค์ความรู้สื่อมวลชนเรื่อง : โลกาภิวัตน์ในกระบวนทัศน์ใหม่ของสื่อ” จัดโดยสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ โดยการสนับสนุนของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) ได้เดินทางไปศึกษาดูงานในส่วนภูมิภาค ที่จังหวัดเชียงราย

 

โดยมี นายเกรียงศักดิ์ วันไชยธนวงศ์ รองนายก อบจ. เชียงราย ให้การต้อนรับ และนางสาวผกายมาศ เวียร์รา รองประธานหอการค้าจังหวัดเชียงราย ได้บรรยาย สถานการณ์การเมือง-เศรษฐกิจชายแดน แก่ผู้เข้ารับการอบรมทราบ

 

จากนั้น คณะฯ เดินทางไปสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 4 (เชียงของ-ห้วยทราย) เพื่อศึกษาดูงานแขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว  โดยมี ท่านไพบูน พิลาทอง รองอธิบดีกรมสื่อมวลชน กระทรวงแถลงข่าว วัฒนธรรม และการท่องเที่ยว แห่ง สปป.ลาว ให้การต้อนรับ และนายสีสุพรรณ สีลิวงศ์ ประธานสภาอุตสาหกรรมและการค้า แขวงบ่อแก้ว บรรยายสรุปอุตสาหกรรมและการค้าแขวงบ่อแก้ว ให้ผู้เข้ารับการอบรมทราบ และนมัสการพระธาตุสุวรรณผ้าคำ เมืองห้วยทราย 

 

โดยในวันที่ 27 มกราคม คณะฯ ได้เยี่ยมชมหอศิลป์ร่วมสมัยเมืองเชียงราย ในช่วงการจัดงาน ไทยแลนด์ เบียนนาเล่ เชียงราย 2023 มหกรรมศิลปะร่วมสมัยนานาชาติ ครั้งที่ 3 ซึ่งนายพิสันต์ จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย มอบหมายให้นางสุภัสสร ประภาเลิศ นักวิชาการวัฒนธรรมชำนาญการ ร่วมต้อนรับ มีนางสาววัจนีย์ บุญเจ็น ผู้จัดการขัวศิลปะ กล่าวต้อนรับและนำชมงาน นอกจากนี้ คณะฯ มีโอกาสได้ไปเยี่ยมกิจการสิงห์ปาร์ค วัดร่องเสือเต้น และถนนคนเดินเมืองเชียงรายด้วย

โดยสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ ได้ประกาศรับสมัครผู้เข้ารับการอบรบโครงการ “เพิ่มองค์ความรู้สื่อมวลชนเรื่อง : โลกาภิวัตน์ในกระบวนทัศน์ใหม่ของสื่อ” ตั้งแต่วันที่ 2 ตุลาคม 2566 – 25 ตุลาคม 2566 นั้น บัดนี้ สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ ได้ดำเนินการพิจารณาแล้ว ผลปรากฎว่ามีผู้มีสิทธิ์เข้ารับการอบรมจำนวน 31 คน ดังนี้

1. นายกันณพงศ์ ก.บัวเกษร ผู้ก่อตั้งสำนักข่าวออนไลน์ นครเชียงรายนิวส์

2. นายกิตติกร แสงทอง ผู้สื่อข่าว สำนักข่าวอิศรา

3. นางสาวจารุพร โอภาสรัตน์ ผู้สื่อข่าว องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย

4. ดร.ฉัตรฉวี คงดี ผู้ช่วยผู้อำนวยการหน่วยข้อมูลและสำนักงานผู้อำนวยการ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม

5. นายชนาภัทร กำลังหาญ ผู้สื่อข่าว The Nation (บริษัท เนชั่น กรุ๊ป (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน))

6. นายณรงค์กร มโนจันทร์เพ็ญ คอนเทนต์ ครีเอเตอร์ บริษัท เดอะสแตนดาร์ด จำกัด (The Standard)

7. นายณัฐพล สมุหเสนีโต นักสื่อสารมวลชนชำนาญการ กรมประชาสัมพันธ์

8. นางสาวณัฐยา เมืองแมน รองผู้อำนวยการอาวุโส ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

9. นางสาวดวงกมล เจนจบ ผู้สื่อข่าว-เว็บไซต์ องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย

10. นางสาวดารินทร์ หอวัฒนกุล ผู้สื่อข่าวอาวุโส บริษัท เนชั่น ทีวี จำกัด (เนชั่น ทีวี)

11. อาจารย์ต้นฝน ทรัพย์นิรันดร์ อาจารย์ประจำ วิทยาลัยนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา

12. นางธัญดา วาณิชฤดี ผู้วิเคราะห์อาวุโส ธนาคารแห่งประเทศไทย

13. นายนครินทร์ ศรีเลิศ หัวหน้าข่าวเศรษฐกิจ – นโยบายสาธารณะ บริษัท กรุงเทพธุรกิจ จำกัด (หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ)

14. นางสาวนิธิปรียา จันทวงษ์ นักวิชาการอาวุโส สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม

15. นางสาวเนาวรัตน์ เสือสอาด ผู้จัดการฝ่ายสื่อสารองค์กร แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย

16. นายปรัชญา ชีพเจริญรัตน์ บรรณาธิการบริหารข่าวออนไลน์ (Onenews) บริษัท เดอะ วัน เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) (ช่อง ONE)

17. นายพงษ์ธร กิจเจริญยิ่ง ผู้สื่อข่าว บริษัท ไทย เวิลด์ มีเดีย จำกัด (ผู้จัดการออนไลน์)

18. นางสาวมนกนก ภาณุสิทธิกร ผู้จัดการ – Public Relations บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน)

19. นางสาววนิดา เพ็งจันทร์ ผู้ชำนาญการ ขั้นพิเศษ ส่วนสารนิเทศและกิจกรรมสังคม ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน)

20. นายวรพล เพชรสุทธิ์ หัวหน้าข่าวภูมิภาค บริษัท สี่พระยาการพิมพ์ จำกัด(หนังสือพิมพ์เดลินิวส์)

21. นางสาววรางคณา จำปาทอง กรรมการผู้จัดการ บริษัท เซียน ทีวี จำกัด

22. นายวิชัย สอนเรือง หัวหน้าข่าวออนไลน์ บริษัท สยามรัฐ จำกัด (หนังสือพิมพ์สยามรัฐ)

23. ผศ.วิภาวี วีระวงศ์ อาจารย์ประจำคณะเทคโนโลยีสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี

24. นายวีรยุทธ แก้วจินดา ผู้อำนวยการฝ่ายผลิตรายการ บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน)

25. นายวีระพันธ์ โตมีบุญ ผู้ดำเนินรายการวิทยุ สถานีวิทยุศึกษา

26. นายศราวุธ ดีหมื่นไวย์ ผู้สื่อข่าวอาวุโส เจาะประเด็น บริษัท เทรนด์วีจี 3 จำกัด (ไทยรัฐออนไลน์)

27. นางสาวศิดาพักตร์ ศักดิ์บุญญารัตน์ บรรณาธิการการเมือง บริษัท ไทย นิวส์ เน็ตเวิร์ค (ทีเอ็นเอ็น 16)

28. นายศุภเกษม เกษมศรี ณ อยุธยา นักวิจัย มูลนิธิสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย

29. นางสาวสราลี แซ่เตี๋ยว กรรมการบริหารฝ่ายปฏิบัติการ บจก.เชียงใหม่รายวัน จำกัด (สำนักข่าวเชียงใหม่นิวส์)

30. นางสาวสุมนชยา จึงเจริญศิลป์ ผู้จัดการแผนก บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน)

31. นางสาวอาทิตญา ทาแป้ง ผู้สื่อข่าวต่างประเทศ บริษัท วัชรพล จำกัด (หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ)

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News