Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

ผู้ว่าฯ ชูเชียงรายเมืองศิลปะ! ขัวศิลปะจัดงานใหญ่ 3 เดือน ผสาน Artist Talk และ Art Market สู่เศรษฐกิจสร้างสรรค์

ขัวศิลปะจัด “นิทรรศการประจำปี ครั้งที่ 14” ที่ CCAM ตอกย้ำเชียงรายในฐานะเมืองศิลปะ และเวทีหลักของศิลปินไทยร่วมสมัย

เชียงราย, 7 ธันวาคม 2568 – ที่พิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัยเมืองเชียงราย (Chiang Rai Contemporary Art Museum – CCAM) สมาคมขัวศิลปะจัดพิธีเปิด “นิทรรศการประจำปีขัวศิลปะ ครั้งที่ 14” อย่างเป็นทางการ บรรยากาศภายในงานคึกคักด้วยขบวนศิลปิน สถาปนิก นักออกแบบ ภาคีเครือข่ายด้านวัฒนธรรม ตลอดจนผู้แทนจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชนเข้าร่วมอย่างคับคั่ง สะท้อนให้เห็นว่า “ศิลปะ” ไม่ได้เป็นเรื่องไกลตัวของสังคมเชียงรายอีกต่อไป

พิธีเปิด  6 ธันวาคม 2568 ได้รับเกียรติจาก นายชูชีพ พงษ์ไชย ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธาน พร้อมด้วยศิลปินแห่งชาติ อาจารย์สมลักษณ์ ปันติบุญ และคณะศิลปินเชียงรายร่วมเป็นสักขีพยาน โดยผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายกล่าวบนเวทีตอนหนึ่งว่า

“เชียงรายเป็นเมืองที่มีศิลปินพำนักอยู่มากที่สุดในประเทศไทย เป็นหลักฐานชัดเจนว่าเชียงรายคือเมืองแห่งศิลปะ และเมืองแห่งศิลปินอย่างแท้จริง”

คำกล่าวนี้ไม่เพียงเป็นถ้อยแถลงเชิงสัญลักษณ์ แต่ยังสะท้อนทิศทางนโยบายจังหวัดที่เลือก “ศิลปะและวัฒนธรรม” เป็นหนึ่งในกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของพื้นที่อย่างเป็นรูปธรรม

14 ปีของเจตนารมณ์ “เชื่อมคน เชื่อมศิลปะ เชื่อมวัฒนธรรม”

นายนิพนธ์ ใจนนท์ถี นายกสมาคมขัวศิลปะ ระบุว่า การจัดนิทรรศการประจำปีครั้งนี้ต่อเนื่องมาเป็นปีที่ 14 แล้ว สะท้อนความมั่นคงของสมาคมในฐานะองค์กรศิลปะที่เติบโตจากภาคประชาชนและศิลปินเอง ไม่ใช่โครงการระยะสั้นที่เกิดขึ้นแล้วจบไป

ภายใต้เจตนารมณ์ “เชื่อมคน เชื่อมศิลปะ เชื่อมวัฒนธรรม” สมาคมขัวศิลปะทำหน้าที่เสมือน “ขัว” หรือ “สะพาน” ตามคำในภาษาเหนือ ที่เชื่อมต่อสามมิติสำคัญเข้าด้วยกันคือ

  1. เชื่อมศิลปินกับสังคม – ทำให้ผลงานและตัวตนของศิลปินเข้าถึงผู้ชมทั่วไป ไม่จำกัดอยู่ในวงแคบของนักสะสม
  2. เชื่อมวัฒนธรรมดั้งเดิมกับศิลปะร่วมสมัย – เปิดพื้นที่ให้ศิลปินตีความเมืองเชียงรายด้วยภาษาศิลปะสมัยใหม่ แต่อิงรากทางวัฒนธรรมเดิม
  3. เชื่อมท้องถิ่นกับเวทีประเทศและนานาชาติ – ผ่านการเชิญศิลปินรับเชิญจากหลายภูมิภาค และการใช้พื้นที่อย่าง CCAM เป็นเวทีมาตรฐานระดับประเทศ

การที่สมาคมสามารถยืนหยัดมาถึงปีที่ 14 ได้ แสดงให้เห็นว่า โมเดลองค์กรศิลปะที่นำโดยศิลปิน (Artist-led Organization) สามารถบริหารจัดการตนเองได้อย่างยั่งยืน หากมีวิสัยทัศน์ชัดเจนและสร้างความเชื่อมั่นจากภาคส่วนอื่นได้อย่างต่อเนื่อง

โครงสร้างนิทรรศการ มากกว่า 150 ผลงาน และเทศกาลศิลปะตลอด 3 เดือน

นิทรรศการประจำปีครั้งนี้จัดแสดงผลงานศิลปะร่วมสมัยกว่า 150 ชิ้น ครอบคลุมสื่อหลากหลายประเภท ทั้งจิตรกรรม ประติมากรรม สื่อผสม ภาพถ่าย และศิลปะแบบสื่อใหม่ จากศิลปินเชียงราย ศิลปินรุ่นใหม่ และศิลปินรับเชิญจากทั่วประเทศ

ตลอดระยะเวลา 3 เดือน การจัดงานไม่ได้จำกัดอยู่เพียงการ “เดินชมภาพ” ภายในห้องจัดแสดง แต่ถูกออกแบบให้เป็นลักษณะ เทศกาลศิลปะต่อเนื่อง ผ่านกิจกรรมคู่ขนาน เช่น

  • Artist Talk ให้ศิลปินเล่าที่มาของผลงานด้วยตนเอง
  • เวิร์กช็อปศิลปะ สำหรับเยาวชนและประชาชนทั่วไป
  • กิจกรรมสำหรับเด็กและครอบครัว เพื่อปลูกฝังการมองศิลปะเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน
  • การแสดงดนตรีและศิลปะการแสดง เพิ่มมิติทางประสบการณ์ให้ผู้เข้าชม
  • ตลาดศิลปะและโซนอาหารพื้นเมือง เชื่อมศิลปะกับเศรษฐกิจฐานรากของชุมชน

สมาคมขัวศิลปะตั้งเป้าผู้เข้าชมไว้ไม่ต่ำกว่า 15,000 คน ตลอด 3 เดือนของการจัดแสดง ซึ่งหากบรรลุเป้าหมาย ตัวเลขดังกล่าวจะไม่ใช่เพียง “จำนวนคนเดินชมงาน” แต่หมายถึงเม็ดเงินที่ไหลเวียนสู่ร้านอาหาร ที่พัก ร้านกาแฟ แท็กซี่ท้องถิ่น และผู้ค้าชุมชนรอบพื้นที่ CCAM ในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวอย่างชัดเจน

จากที่ดิน 5 ไร่ สู่พิพิธภัณฑ์ร่วมสมัย พลังการลงทุนของศิลปิน

หนึ่งในจุดแข็งที่ทำให้เชียงรายโดดเด่นเหนือเมืองอื่น คือการมี “ศิลปินชั้นนำระดับชาติ” ลงทุนสร้างโครงสร้างพื้นฐานทางศิลปะด้วยตนเอง

  • อาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ศิลปินชื่อดัง ได้มอบที่ดินจำนวน 5 ไร่ เพื่อพัฒนาเป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัยเมืองเชียงราย (CCAM) และเคยเป็นผู้มอบทุนตั้งต้นในการจัดตั้งกองทุนศิลปินเชียงราย
  • อาจารย์สมลักษณ์ ปันติบุญ ศิลปินแห่งชาติ เจ้าของ “ดอยดินแดง” และนายกสมาคมขัวศิลปะคนแรก ทำหน้าที่วางรากฐานการรวมตัวของศิลปินเชียงรายและสร้างมาตรฐานงานสร้างสรรค์ที่ได้รับการยอมรับในระดับประเทศ

บทบาทของศิลปินทั้งสองท่าน ทำให้ขัวศิลปะไม่ได้เป็นเพียงหอศิลป์ขนาดกลางในจังหวัด แต่กลายเป็น “โครงสร้าง/ระบบ” ที่มีทั้งหอศิลป์ดั้งเดิม ร้านอาหาร (เช่น ครัวศิลปิน) พื้นที่เวิร์กช็อป และ CCAM เป็นปลายทางของงานระดับชาติ–นานาชาติ

ด้วยเหตุนี้ นิทรรศการประจำปีครั้งที่ 14 ที่ย้ายไปจัดที่ CCAM จึงสะท้อน “การยกระดับสถานะ” ของงานจากกิจกรรมของสมาคม ไปสู่การเป็น “กิจกรรมหลักของเมือง” อย่างชัดเจน

CCAM พื้นที่ศิลปะของเมือง และจังหวะเวลาที่สอดรับฤดูท่องเที่ยว

CCAM เปิดให้ประชาชนเข้าชมตั้งแต่วันอังคารถึงวันอาทิตย์ ทำหน้าที่เสมือน “ประตูเมืองทางวัฒนธรรม” ของเชียงราย ที่นักท่องเที่ยวสามารถบรรจุไว้ในโปรแกรมการเดินทางควบคู่ไปกับจุดหมายสำคัญอื่น ๆ เช่น วัดร่องขุน ดอยตุง หรือถนนคนเดินในตัวเมือง

การกำหนดช่วงเวลาจัดนิทรรศการระหว่าง พฤศจิกายน 2568 – กุมภาพันธ์ 2569 ถือเป็นการวางจังหวะเชิงกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับฤดูกาลท่องเที่ยวหลักของจังหวัด ซึ่งมีอากาศหนาวเย็นและมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าพื้นที่จำนวนมาก การจัดงานศิลปะขนาดใหญ่ในช่วงนี้ จึงช่วยเพิ่ม “เหตุผลใหม่” ให้ผู้คนมาใช้เวลานานขึ้นในเมืองเชียงราย ไม่เพียงเพื่อชมธรรมชาติ แต่เพื่อสัมผัสประสบการณ์เชิงวัฒนธรรมที่ลึกขึ้น

ผสานพลังนิทรรศการระดับชาติ สร้าง “ความหนาแน่นทางศิลปะ” ให้เชียงราย

หนึ่งในกลยุทธ์ที่น่าสนใจในช่วงปลายปี 2568 คือ การจัดนิทรรศการสำคัญของประเทศให้ “ซ้อนทับ” อยู่ในช่วงเวลาเดียวกันกับงานประจำปีขัวศิลปะ ณ พื้นที่ CCAM เช่น นิทรรศการ “I AM FINE สัญจร ครั้งที่ 2” ที่รวบรวมผลงานและเรื่องเล่าชีวิตของศิลปินแถวหน้าของไทยหลายคน

การจัดนิทรรศการระดับชาติและกิจกรรมประจำปีของสมาคมในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน ทำให้เชียงรายมี “ความหนาแน่นของเหตุการณ์ทางศิลปะ” สูงเป็นพิเศษในช่วงเดือนพฤศจิกายน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ดึงดูดทั้งนักสะสม ผู้เชี่ยวชาญด้านศิลปะ สื่อมวลชน และนักท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมให้เดินทางขึ้นเหนือในช่วงเวลาเดียวกัน เพิ่มโอกาสให้ผู้ประกอบการท้องถิ่นได้รับประโยชน์จากเม็ดเงินและการประชาสัมพันธ์ไปพร้อมกัน

เปลี่ยนผู้ชมให้เป็น “ผู้ร่วมสร้างประสบการณ์ศิลปะ”

ต่างจากภาพจำของ “หอศิลป์เงียบ ๆ” นิทรรศการครั้งนี้ถูกออกแบบให้ผู้เข้าชมมีบทบาทมากกว่าผู้สังเกตการณ์ ผ่านกิจกรรมเชิงโต้ตอบ (Interactive) หลายรูปแบบ เช่น

  • เวิร์กช็อปสำหรับเด็กและเยาวชน เพื่อให้การเรียนรู้ศิลปะเกิดขึ้นผ่านการลงมือทำ
  • เวทีสนทนาศิลปะ (Artist Talk) ที่เปิดโอกาสให้ตั้งคำถามและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับศิลปินโดยตรง
  • การใช้พื้นที่นอกห้องจัดแสดงเป็นลานกิจกรรม เปิดเพลง ขับกล่อมด้วยดนตรี และการแสดงในบรรยากาศสบาย ๆ ยามเย็น

แนวทางนี้ทำให้ “ศิลปะร่วมสมัย” ซึ่งมักถูกมองว่ายากและเข้าถึงลำบาก กลายเป็นประสบการณ์ที่จับต้องได้ เข้าใจได้ และสนุกกับได้ในทุกวัย เป็นการยกระดับ “สายตาศิลปะ” (Art Literacy) ของชุมชนอย่างค่อยเป็นค่อยไป แต่ต่อเนื่องและเป็นระบบ

Artbridge Young Artist และศิลปะเพื่อสังคม เมื่องานศิลป์เดินออกจากผนังห้องจัดแสดง

อีกหนึ่งกลไกสำคัญที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังนิทรรศการ คือโครงการสำหรับศิลปินรุ่นใหม่อย่าง Artbridge Young Artist ที่เน้นให้ศิลปินไม่เพียงสร้างผลงานเพื่อจัดแสดง แต่ยังต้องออกแบบโครงการที่ใช้ศิลปะเข้าไป “เปลี่ยนพื้นที่จริง” และตอบโจทย์สังคมร่วมสมัย

ตัวอย่างกิจกรรมเช่น การออกแบบทางม้าลายร่วมกับโรงเรียนและชุมชน เพื่อนำลายเส้นจากจินตนาการของเด็ก ๆ ไปใช้จริงในพื้นที่ตลาดและเขตชุมชน โครงการลักษณะนี้ชี้ให้เห็นว่า สำหรับขัวศิลปะแล้ว ศิลปะไม่ใช่เพียงภาพแขวนผนัง แต่เป็นเครื่องมือในการทำให้เมืองน่าอยู่ ปลอดภัย และมีเอกลักษณ์ไม่เหมือนที่ใด

บทบาทดังกล่าวช่วยขยายภาพของขัวศิลปะจาก “ผู้จัดนิทรรศการ” ไปสู่การเป็น “ผู้พัฒนาพื้นที่ด้วยศิลปะ” ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดการพัฒนาเมืองเชิงสร้างสรรค์ (Creative City) ในระดับสากล

Art Market และเศรษฐกิจสร้างสรรค์ เมื่อการดูงานศิลป์เชื่อมต่อกับรายได้ของชุมชน

ภายในนิทรรศการมีการจัด “ตลาดศิลปะ” ควบคู่กับโซนจำหน่ายอาหารและของที่ระลึกท้องถิ่น เป้าหมายไม่ใช่เพียงให้ศิลปินมีพื้นที่วางขายงานของตนเอง แต่เป็นการทดลองโมเดล “ตลาดศิลปะที่เข้าถึงได้” เพื่อพิสูจน์ว่า งานศิลปะสามารถเป็นสินค้าที่อยู่ในชีวิตประจำวันของคนทั่วไป ไม่จำกัดแค่กลุ่มนักสะสมรายใหญ่

เมื่อเชื่อมต่อกับเป้าหมายผู้เข้าชม 15,000 คนตลอดระยะเวลา 3 เดือน นิทรรศการประจำปีขัวศิลปะจึงกลายเป็น “จุดยุทธศาสตร์” สำคัญของเศรษฐกิจสร้างสรรค์เชียงราย ที่เชื่อมสามเส้นเลือดคือ ศิลปิน–ผู้ประกอบการท้องถิ่น–นักท่องเที่ยว ให้ไหลเวียนถึงกันอย่างเป็นรูปธรรม

โมเดล Public–Private–Artist Partnership รัฐ–เอกชน–ศิลปิน ร่วมกันขับเคลื่อนเมืองศิลปะ

จากโครงสร้างการดำเนินงาน สามารถมองเห็นได้ชัดว่า นิทรรศการประจำปีครั้งที่ 14 ยืนอยู่บนโมเดลความร่วมมือแบบ Public–Private–Artist Partnership (PPAP) ได้แก่

  • ภาครัฐ (Public) – ผู้ว่าราชการจังหวัดและหน่วยงานด้านวัฒนธรรมร่วมให้การรับรอง สนับสนุน และบรรจุงานไว้ในปฏิทินกิจกรรมสำคัญของจังหวัด
  • ภาคเอกชน (Private) – ผู้ประกอบการท้องถิ่น ผู้สนับสนุนต่าง ๆ และเครือข่ายธุรกิจที่เข้ามาร่วมสนับสนุนด้านงบประมาณและการประชาสัมพันธ์
  • ภาคศิลปิน (Artist) – สมาคมขัวศิลปะ ศิลปินเชียงราย ศิลปินรับเชิญ และศิลปินรุ่นใหม่ ที่เป็นผู้ลงมือสร้างสรรค์ผลงานและกิจกรรมเชิงเนื้อหา

โมเดลนี้ทำให้ขัวศิลปะไม่ต้องพึ่งพิงงบประมาณรัฐเพียงด้านเดียว ในขณะเดียวกัน ภาครัฐก็สามารถใช้ศิลปะเป็นเครื่องมือสื่อสารภาพลักษณ์จังหวัดและขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ Creative City ได้อย่างมีน้ำหนักและความน่าเชื่อถือ เพราะตั้งอยู่บนฐานชุมชนจริง ไม่ได้เกิดจากโครงการชั่วคราวที่ “สร้างเสร็จแล้วเงียบหาย”

รักษามาตรฐานและความต่อเนื่องในวันที่เชียงรายถูกจับตามองมากขึ้น

เมื่อเชียงรายถูกยกให้เป็น “เมืองแห่งศิลปะและเมืองแห่งศิลปิน” ความคาดหวังจากทั้งสังคมในประเทศและต่างประเทศก็ย่อมสูงขึ้นตามไปด้วย ความท้าทายสำคัญที่ตามมาคือ

  1. การรักษาคุณภาพและมาตรฐานของผลงาน – เมื่อจำนวนกิจกรรมและศิลปินเพิ่มขึ้น จำเป็นต้องมีกลไกคัดสรรและดูแลคุณภาพอย่างรอบคอบ เพื่อไม่ให้ “ปริมาณ” กลบ “คุณภาพ”
  2. การบริหารจัดการเชิงวิชาชีพ – การเติบโตของ CCAM และสมาคมขัวศิลปะต้องมาพร้อมการเสริมทักษะด้านบริหารหอศิลป์ การเงิน การสื่อสาร และการตลาด เพื่อรองรับงานระดับนานาชาติในอนาคต
  3. การยึดโยงกับชุมชนฐานราก – ยิ่งงานเติบโตมากเท่าใด ยิ่งต้องระวังไม่ให้ศิลปะถูกจำกัดอยู่ในวงการเฉพาะกลุ่ม เป้าหมายเรื่อง “เชื่อมคน เชื่อมศิลปะ เชื่อมวัฒนธรรม” จึงต้องถูกย้ำอย่างต่อเนื่องผ่านโครงการที่ลงไปทำงานกับโรงเรียน ชุมชน และกลุ่มเยาวชนอย่างเป็นรูปธรรม

 “เชียงรายเมืองศิลปะ” จากคำขวัญสู่ข้อเท็จจริงที่พิสูจน์ได้

นิทรรศการประจำปีขัวศิลปะ ครั้งที่ 14 ที่จัดขึ้น ณ CCAM ในปี 2568 ไม่ได้เป็นเพียงหมุดหมายในปฏิทินกิจกรรมศิลปะของจังหวัด หากแต่เป็น “หลักฐานเชิงประจักษ์” ว่าเชียงรายกำลังพัฒนาไปสู่การเป็นเมืองศิลปะระดับสากลด้วยกระบวนการที่มีระบบ มีฐานชุมชน และมีการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วนอย่างแท้จริง

ผลงานกว่า 150 ชิ้น กิจกรรมต่อเนื่อง 3 เดือน เป้าหมายผู้เข้าชม 15,000 คน บทบาทของศิลปินแห่งชาติ การลงทุนที่ดินและทุนตั้งต้นของศิลปินชั้นนำ การสนับสนุนจากผู้ว่าราชการจังหวัด และโครงการพัฒนาศิลปินรุ่นใหม่ ล้วนผสานกันเป็น “โครงสร้าง” ที่ทำให้คำว่า “เชียงรายเมืองศิลปะ” ไม่ใช่เพียงคำขวัญสวยหรู แต่เป็นข้อเท็จจริงที่มองเห็นได้ ลงแตะพื้นที่เมือง และสัมผัสได้ในชีวิตคนเชียงรายอย่างเป็นรูปธรรม

สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • สมาคมขัวศิลปะ (Art Bridge Chiang Rai)
  • พิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัยเมืองเชียงราย (Chiang Rai Contemporary Art Museum – CCAM)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
MOST POPULAR
FOLLOW ME
Categories
ENTERTAINMENT

มิลลิ-บัวขาว Soft Power ไทยเขย่าโลก!

มิลลิ-บัวขาว สร้างปรากฏการณ์ Soft Power ไทยบนเวที Head in the Clouds สหรัฐฯ กระหึ่มโลก!

สหรัฐอเมริกา, 2 มิถุนายน 2568 – ปรากฏการณ์ “Soft Power” ของไทยยังคงสร้างแรงสั่นสะเทือนในเวทีระดับนานาชาติ เมื่อนักร้องแร็ปเปอร์ชื่อดัง “มิลลิ” หรือ ดนุภา คณาธีรกุล สร้างความฮือฮาอีกครั้งกลางเทศกาลดนตรีระดับโลก Head in the Clouds Festival 2025 ณ ลอสแอนเจลิส สหรัฐอเมริกา โดยนำศิลปะแม่ไม้มวยไทยขึ้นเวที พร้อมตำนานนักมวยขวัญใจคนไทย “บัวขาว บัญชาเมฆ” ร่วมแสดงกับเพลง “ONE PUNCH” จุดกระแสความสนใจสื่อทั่วโลก ดันชื่อเสียงไทยสู่สายตาชาวโลกอย่างงดงาม

จุดเริ่มต้นของปรากฏการณ์ Soft Power บนเวทีดนตรีโลก

ตลอดหลายปีที่ผ่านมา “มิลลิ” เป็นหนึ่งในศิลปินหญิงที่มีบทบาทสำคัญในการนำวัฒนธรรมไทยไปสู่สากล ไม่ว่าจะเป็นปรากฏการณ์ “ข้าวเหนียวมะม่วง” กลางคอนเสิร์ต Coachella 2022 ที่สร้างกระแส “Mango Sticky Rice” ระดับโลก หรือการขึ้นแสดงในเวทีต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง

ในปี 2568 มิลลิได้รับเชิญให้ขึ้นเวที Head in the Clouds Festival ซึ่งจัดโดยค่าย 88rising ที่ลอสแอนเจลิส สหรัฐอเมริกา เธอได้สร้างเซอร์ไพรส์ด้วยการเชิญ “บัวขาว บัญชาเมฆ” นักมวยไทยซูเปอร์สตาร์ระดับโลก ขึ้นแสดงแม่ไม้มวยไทยโชว์บนเวทีโลกคู่กับเสียงเพลง “ONE PUNCH” ถือเป็นครั้งแรกที่มวยไทยขึ้นเวทีดนตรีอินเตอร์ในรูปแบบนี้

บัวขาวบัญชาเมฆสัญลักษณ์ความแข็งแกร่งของไทยสู่โลก

“บัวขาว บัญชาเมฆ” เจ้าของแชมป์โลก K-1 และราชันย์มวยไทย ได้รับเกียรติขึ้นโชว์ลีลาเตะต่อยในงานเดียวกันนี้ ท่ามกลางเสียงเชียร์และความสนใจจากผู้ชมชาวไทยและนานาชาติ การแสดงดังกล่าวกลายเป็นไฮไลต์ประจำคืน สะท้อนพลังวัฒนธรรมไทยผ่านมวยไทยอย่างเต็มภาคภูมิ

บัวขาวมีชื่อเสียงโด่งดังในฐานะนักมวยไทยที่สร้างชื่อเสียงให้ประเทศไทยไปทั่วโลก โดยเฉพาะในยุโรปและญี่ปุ่น ตลอดชีวิตการชกมวยระดับอาชีพกว่า 350 ไฟต์ และสถิติชนะมากกว่า 240 ไฟต์ ถือเป็นนักกีฬาไทยที่ได้รับการยอมรับในเวทีโลก

4EVE ร่วมสร้างชื่อเสียง T-Pop ไทยสู่สายตาโลก

นอกจากมิลลิและบัวขาวแล้ว งาน Head in the Clouds ครั้งนี้ยังมีเกิร์ลกรุ๊ป T-Pop สุดฮอตของไทยอย่าง “4EVE” ขึ้นเวทีแสดงความสามารถด้านดนตรีและการแสดง ท่ามกลางแฟนเพลงต่างชาติที่ให้การตอบรับอย่างล้นหลาม ถือเป็นการเปิดประสบการณ์ใหม่ของวงดนตรีไทยในเวทีนานาชาติ

มิลลิกับพลัง Soft Power ไทย สะท้อนผ่านวัฒนธรรมร่วมสมัย

ตลอดเส้นทางการเป็นศิลปิน มิลลิได้นำวัฒนธรรมไทยไปเผยแพร่ผ่านดนตรี แฟชั่น และศิลปะการแสดง ไม่ว่าจะเป็นการนำข้าวเหนียวมะม่วงหรือแม่ไม้มวยไทยขึ้นเวทีต่างประเทศ เธอเป็นตัวแทนคนรุ่นใหม่ที่กล้าสร้างสรรค์และนำเสนอเอกลักษณ์ความเป็นไทยให้คนทั่วโลกรู้จัก

ไม่เพียงเท่านั้น มิลลิยังเป็นศิลปินหญิงไทยคนแรกที่ได้ขึ้นแสดงในเวที Coachella พร้อมสร้างไวรัลข้าวเหนียวมะม่วง กระตุ้นยอดขายผลไม้ไทยในตลาดโลกเพิ่มขึ้นในช่วงปี 2565 อีกทั้งยังมีบทบาทในฐานะศิลปินแร็ปเปอร์หญิงรุ่นใหม่ที่ได้รับการยอมรับในวงการเพลงระดับนานาชาติ

มิลลิในบทบาทนักมวยหญิง

ก่อนหน้านี้ มิลลิสร้างเซอร์ไพรส์ให้แฟนคลับด้วยการขึ้นชกมวยไทยในรายการ FAIRTEX FIGHT มวยมันพันธุ์เอ็กซ์ตรีม ที่เวทีมวยลุมพินี รามอินทรา พิกัด 50 กิโลกรัม ภายใต้ชื่อ “อำนวยจิต สิทธิ์แลกซื้อ” แม้จะแพ้ให้กับจีตัว จินสือ นักชกสาวจีน แต่ได้รับเสียงชื่นชมจากผู้ชมทั่วโลกทั้งในแง่ของความกล้าและการส่งเสริมศิลปะมวยไทยในคนรุ่นใหม่

วิเคราะห์ผลลัพธ์และความสำเร็จของ Soft Power ไทย

การแสดงของมิลลิและบัวขาวใน Head in the Clouds สะท้อนให้เห็นศักยภาพของ Soft Power ไทยในการสร้างกระแสระดับโลก ทั้งดนตรี แฟชั่น อาหาร และศิลปะการต่อสู้ ถูกนำเสนออย่างมีชั้นเชิง สร้างภาพจำใหม่ๆ ของประเทศไทยในสายตาชาวโลก ตอกย้ำการเป็น “ผู้นำด้าน Soft Power” แห่งเอเชีย

เหตุการณ์นี้ยังช่วยตอกย้ำยุทธศาสตร์การส่งออกวัฒนธรรมไทยให้เป็นที่รู้จักและยอมรับมากขึ้นในตลาดโลก ส่งผลเชิงบวกต่อการท่องเที่ยว เศรษฐกิจสร้างสรรค์ และอุตสาหกรรมบันเทิงไทยในระยะยาว

สถิติที่เกี่ยวข้องและแหล่งอ้างอิง

  • มิลลิเป็นศิลปินหญิงไทยคนแรกที่ขึ้นแสดงใน Coachella (2022) ทำไวรัลข้าวเหนียวมะม่วง เพิ่มยอดส่งออกข้าวเหนียว-มะม่วง 2 เท่า (กระทรวงพาณิชย์, 2565)
  • บัวขาว บัญชาเมฆ มีสถิติการชกอาชีพกว่า 350 ไฟต์ ชนะมากกว่า 240 ไฟต์ (บัญชาเมฆ ยิม, 2567)
  • Head in the Clouds Festival จัดโดย 88rising, ปี 2568 มีผู้เข้าร่วมกว่า 50,000 คน (เว็บไซต์ 88rising)
  • อุตสาหกรรมดนตรีไทยปี 2566–2567 มูลค่าตลาดรวมกว่า 3,100 ล้านบาท (ศูนย์วิจัยกสิกรไทย)
  • ศิลปินไทยขึ้นเวที Head in the Clouds Festival ได้แก่ มิลลิ, 4EVE, ร่วมสร้าง Soft Power ไทย (กรมส่งเสริมวัฒนธรรม)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • กรมส่งเสริมวัฒนธรรม
  • บัญชาเมฆ ยิม
  • กระทรวงพาณิชย์
  • เว็บไซต์ 88rising
  • ศูนย์วิจัยกสิกรไทย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE