Categories
TOP STORIES

สว. สู้กลับ ยื่นถอดถอน รมต. ปม “อั้งยี่-ซ่องโจร” ลามการเมือง

ศึกเดือด! ส.ว. เตรียมถอดถอน “รัฐมนตรี” กล่าวหา “อั้งยี่-ซ่องโจร” พร้อมยื่นอภิปราย-แจ้งความ สอบอำนาจดีเอสไอ

วุฒิสภาโต้กลับ! ชี้ข้อกล่าวหาทำให้ ส.ว. เสื่อมเสีย – จ่อส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยถอดถอนรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง

กรุงเทพฯ, 22 กุมภาพันธ์ 2568พลเอกเกรียงไกร ศรีรักษ์ รองประธานวุฒิสภาคนที่หนึ่ง ประกาศเดินหน้าตอบโต้ข้อกล่าวหากรณีการยื่นให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) รับเรื่อง ฮั้วเลือก ส.ว. ปี 2567″ เป็นคดีพิเศษ โดยยืนยันว่า จะให้ฝ่ายกฎหมายรวบรวมข้อมูล เพื่อดำเนินการแจ้งความบุคคลที่กล่าวหาวุฒิสภา รวมถึงหน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้อง ฐานทำให้วุฒิสภาเสียหายและสร้างความเข้าใจผิดแก่สังคม

นอกจากนี้ คณะกรรมาธิการ (กมธ.) วุฒิสภา เตรียม เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าชี้แจง ถึงอำนาจหน้าที่และข้อกล่าวหา อั้งยี่ ซ่องโจร” ซึ่งถูกระบุว่าเป็นภัยต่อความมั่นคง และเตรียมเปิดอภิปรายโดยไม่ลงมติ หรืออภิปรายไม่ไว้วางใจฝ่ายบริหารที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ โดยเฉพาะ บทบาทของดีเอสไอ ว่ามีเหตุผลที่ชอบธรรมหรือไม่

เรื่องนี้ทำให้วุฒิสภาเสื่อมเสีย จึงต้องแถลงข่าวด่วนในระหว่างการสัมมนาที่อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เพราะเรายึดมั่นในหลักการของกฎหมายรัฐธรรมนูญปี 2560 และไม่อาจยอมรับข้อกล่าวหาเช่นนี้ได้” พลเอกเกรียงไกร กล่าว

วุฒิสภาเตรียมยื่นศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยถอดถอนรัฐมนตรี

พลเอกเกรียงไกรเปิดเผยว่า วุฒิสภากำลังพิจารณาเข้าชื่อเพื่อเสนอให้ประธานวุฒิสภาส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยการถอดถอนรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ซึ่งคาดว่า จะได้รับเสียงสนับสนุนเพียงพอ

เราต้องดูว่าข้อกล่าวหาเหล่านี้ มีที่มาที่ไปอย่างไร และใครเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องตรวจสอบให้ชัดเจน และเราจะไม่ยอมให้วุฒิสภาต้องเสื่อมเสียชื่อเสียงเพราะเหตุนี้” พลเอกเกรียงไกรกล่าว พร้อมย้ำว่า ข้อกล่าวหาดังกล่าวอาจมีความเกี่ยวข้องกับการผลักดันให้เกิดการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นประเด็นที่วุฒิสภากำลังจับตาอย่างใกล้ชิด

เมื่อถูกถามว่า การยื่นเรื่องนี้เป็นเกมการเมืองเพื่อหวังล้ม ส.ว. สีน้ำเงินหรือไม่ พลเอกเกรียงไกรกล่าวว่า “เรื่องนี้มีความเกี่ยวโยงกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญอย่างแน่นอน แต่ ประเด็นสำคัญคือการที่วุฒิสภาถูกทำให้เสื่อมเสีย ซึ่งเป็นสิ่งที่ยอมไม่ได้

ข้อกล่าวหานี้เกินกว่าจะรับได้” – พลเอกเกรียงไกร ชี้เป็นเรื่องกระทบต่อเสถียรภาพชาติ

พลเอกเกรียงไกร ซึ่งมีประสบการณ์ทำงานด้านความมั่นคงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้มากว่า 38 ปี ยืนยันว่า ข้อกล่าวหาที่เกิดขึ้นทำให้วุฒิสภาเสียชื่อเสียง และกระทบต่อเสถียรภาพของประเทศ

ผมทำงานรับใช้ชาติบ้านเมืองมายาวนาน ปกป้องความมั่นคงมาโดยตลอด แต่พอมาดูข้อกล่าวหานี้ มันเกินกว่าที่เราจะรับได้” พลเอกเกรียงไกรกล่าว พร้อมเสริมว่า สมาชิกวุฒิสภาหลายคนที่ทำงานเพื่อชาติ ต่างก็ไม่พอใจที่ถูกกล่าวหาว่ามีความเกี่ยวข้องกับ “อั้งยี่ ซ่องโจร” ซึ่งเป็นข้อกล่าวหาที่ร้ายแรง

อภิปรายไม่ไว้วางใจ “ทวี สอดส่อง” และตรวจสอบบทบาท ดีเอสไอ

เมื่อถูกถามว่า การเปิดอภิปรายจะมุ่งเป้าไปที่พันตำรวจเอกทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมเพียงคนเดียวหรือไม่ พลเอกเกรียงไกรกล่าวว่า แน่นอนว่าเขาเป็นรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องโดยตรง” แต่ยังต้องตรวจสอบด้วยว่า มีใครอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้”

เราจะพิจารณาว่าการดำเนินงานของดีเอสไอเป็นไปอย่างถูกต้องหรือไม่ การยื่นเรื่องให้ดีเอสไอรับพิจารณาเป็นคดีพิเศษ มีเหตุผลเพียงพอหรือไม่ และมีการดำเนินการโดยชอบธรรมหรือไม่” พลเอกเกรียงไกรกล่าว

สรุปประเด็นร้อน

  • วุฒิสภาเตรียมยื่นถอดถอนรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับข้อกล่าวหา “ฮั้วเลือก ส.ว.”
  • เตรียมแจ้งความดำเนินคดีต่อผู้ที่กล่าวหาวุฒิสภา ทำให้เกิดความเสียหาย
  • กรรมาธิการวุฒิสภา เตรียมเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาชี้แจงข้อกล่าวหา “อั้งยี่-ซ่องโจร”
  • วางแผนเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง และตรวจสอบบทบาทของดีเอสไอ
  • คาดว่าข้อกล่าวหานี้อาจเชื่อมโยงกับการผลักดันแก้ไขรัฐธรรมนูญ

วิเคราะห์สถานการณ์: สัญญาณความขัดแย้งทางการเมืองรอบใหม่?

การเดินหน้าของวุฒิสภาเพื่อตอบโต้ข้อกล่าวหานี้ อาจกลายเป็นจุดเริ่มต้นของความขัดแย้งทางการเมืองครั้งใหม่ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพของรัฐบาลและระบบการเมืองไทยในช่วงเวลาที่กำลังมีการถกเถียงเกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ

ประเด็นที่น่าจับตา:

  • วุฒิสภาจะสามารถรวบรวมเสียงสนับสนุนเพียงพอสำหรับการถอดถอนรัฐมนตรีได้หรือไม่?
  • ดีเอสไอจะสามารถพิสูจน์ความถูกต้องของกระบวนการพิจารณาคดีพิเศษได้หรือไม่?
  • รัฐบาลและรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องจะตอบโต้การเคลื่อนไหวของวุฒิสภาอย่างไร?

การเมืองไทยกำลังเข้าสู่ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญ และการอภิปรายเรื่องนี้ในสภาจะเป็นตัวชี้วัดถึงอนาคตของวุฒิสภาและเสถียรภาพของรัฐบาลในระยะต่อไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
TOP STORIES

สว. แถลงโต้! คดีฮั้วเลือกตั้ง สว. 67 เกมการเมืองหวังล้มรัฐธรรมนูญ

ประธานวุฒิสภา’ นำทีม ‘สว.’ แถลงด่วน โต้คดีฮั้วเลือก สว. 67 เชื่อเป็นเกมการเมือง หวังให้เกิดวิกฤติรัฐธรรมนูญ

กรุงเทพฯ, 21 กุมภาพันธ์ 2568 – นายมงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา พร้อมคณะสมาชิกวุฒิสภา แถลงข่าวด่วนกรณีที่มีกลุ่ม ส.ว.สำรอง ยื่นเรื่องต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) เพื่อให้รับคดีฮั้วเลือกตั้ง ส.ว. ปี 2567 เป็นคดีพิเศษ โดยแถลงการณ์เกิดขึ้นระหว่างการสัมมนา ณ อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ โดยนายมงคล ระบุว่า การดำเนินการดังกล่าวของ DSI อาจไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ เนื่องจากการตรวจสอบกระบวนการเลือกตั้งเป็นอำนาจของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ซึ่งเป็นองค์กรอิสระที่ได้รับมอบหมายตามกฎหมาย

การที่ดีเอสไอเข้ามาตรวจสอบเรื่องนี้ ดูจะเป็นการก้าวก่ายอำนาจของ กกต. ซึ่งดำเนินการตรวจสอบมาโดยตลอด และจนถึงขณะนี้ยังไม่มีหลักฐานชี้ชัดว่า การเลือกตั้ง ส.ว. ปี 2567 มีความผิดปกติที่ถึงขั้นเป็นคดีพิเศษ” นายมงคลกล่าว พร้อมย้ำว่าสมาชิกวุฒิสภาชุดปัจจุบันปฏิบัติหน้าที่โดยชอบธรรม และเป็นไปตามกระบวนการรัฐธรรมนูญอย่างถูกต้อง

ส.ว.’ ป้องเกียรติคุณ – จวกข้อกล่าวหาว่า “อั้งยี่ ซ่องโจร” เกินเลยข้อเท็จจริง

พลตำรวจตรีฉัตรวรรษ แสงเพชร ส.ว. และประธานกรรมาธิการกิจการองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญฯ วุฒิสภา กล่าวเสริมว่า การกล่าวหาวุฒิสภาในลักษณะที่บ่อนทำลายความเชื่อมั่น เช่น การเปรียบเทียบกับอาชญากรรมข้ามชาติ หรือ “อั้งยี่ ซ่องโจร” เป็นการกล่าวเกินเลยจากข้อเท็จจริงและสร้างความเสียหายแก่สถาบันนิติบัญญัติของประเทศ การกล่าวหาเช่นนี้ มีผลกระทบโดยตรงต่อภาพลักษณ์ของวุฒิสภา และอาจเข้าข่ายการให้ร้ายโดยไม่มีมูลความจริง” เขากล่าว

พันตำรวจเอกกอบ อัจนากิตติ ส.ว. ในฐานะโฆษกกรรมาธิการการกฎหมายการยุติธรรม วุฒิสภา กล่าวเพิ่มเติมว่า การกล่าวหาเกี่ยวกับกระบวนการเลือกตั้ง ส.ว. โดยไม่มีหลักฐานแน่ชัด อาจเข้าข่ายการหมิ่นประมาทและทำให้เกิดความสับสนในสังคม หากมีหลักฐานแน่ชัดขอให้ดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรมที่ถูกต้อง ไม่ใช่ใช้วิธีการกล่าวหาโดยไม่มีมูล”

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมโต้ ยัน DSI มีอำนาจรับเรื่อง – เผยหลักฐาน “โพยฮั้ว” มีจริง

ด้านพันตำรวจเอกทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เปิดเผยหลังการแถลงข่าวของวุฒิสภาว่า ขณะนี้กรมสอบสวนคดีพิเศษได้รับเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับการเลือกตั้ง ส.ว. ปี 2567 และกำลังอยู่ในขั้นตอนของการสอบสวน เราไม่มีเจตนาจะกลั่นแกล้ง หรือมีวาระซ่อนเร้นทางการเมือง แต่ในเมื่อมีผู้ร้องเรียน และมีหลักฐานบางอย่างที่ต้องตรวจสอบ เราจึงต้องดำเนินการตามกฎหมาย”

พันตำรวจเอกทวี กล่าวอีกว่า DSI ไม่จำเป็นต้องรอ กกต. เนื่องจากเป็นหน่วยงานที่มีอำนาจตามกฎหมายในการพิจารณาว่ากรณีใดเข้าข่ายคดีพิเศษ ขณะนี้มีการรวบรวมหลักฐานหลายส่วน รวมถึงโพยตัวเลขที่ปรากฏชื่อ ส.ว. จำนวน 138 คน ซึ่งต้องมีการตรวจสอบอย่างละเอียด” เขากล่าว พร้อมเปิดเผยว่า อาจต้องเชิญผู้เชี่ยวชาญด้านคณิตศาสตร์และการเลือกตั้งมาให้ข้อมูลเพิ่มเติม เพื่อคลายข้อสงสัยว่าทำไมตัวเลขผลการเลือกตั้งจึงเป็นไปตามโพยดังกล่าว

เปิดเอกสารลับ “คดีฮั้วเลือก ส.ว.” – พบขบวนการจัดตั้งผู้สมัครล่วงหน้า

จากเอกสารที่ได้รับการเปิดเผยโดย DSI รายงานว่า มีการวางแผนจัดตั้งขบวนการเลือกตั้ง ส.ว. โดยแบ่งเป็นเครือข่ายที่มีการสมัครเป็นกลุ่มในระดับอำเภอและจังหวัด เพื่อนำไปสู่การเลือกตั้งระดับประเทศ มีการกำหนดค่าตอบแทนให้ผู้สมัครที่เข้าร่วมเครือข่าย ตั้งแต่ 5,000 บาท ในระดับอำเภอ จนถึง 100,000 บาท ในระดับประเทศ” เอกสารระบุ

หลักฐานจากการสืบสวนพบว่า ขบวนการนี้มีการจัดทำ “โพยเลือกตั้ง” ที่กำหนดล่วงหน้าว่าผู้ใดจะต้องเลือกใคร เพื่อให้ผลการลงคะแนนออกมาตามที่ต้องการ ผลการเลือกตั้งในรอบเช้าและรอบไขว้ พบว่าผลคะแนนออกมาตรงกับโพยทุกประการ” DSI รายงาน

เกมการเมือง” หรือ “การตรวจสอบที่จำเป็น”? – อนาคตของวุฒิสภาอยู่บนเส้นทางขั้วตรงข้าม

สถานการณ์ปัจจุบันทำให้เกิดความขัดแย้งอย่างหนักระหว่างวุฒิสภาและกระทรวงยุติธรรม โดยฝ่าย ส.ว. มองว่าเป็นเกมการเมืองที่มุ่งเป้าหมายไปสู่การสร้างวิกฤติรัฐธรรมนูญ เพื่อรื้อโครงสร้างใหม่ของวุฒิสภา ในขณะที่ฝ่ายกระทรวงยุติธรรมยืนยันว่าการสอบสวนครั้งนี้เป็นไปตามอำนาจหน้าที่ของ DSI ที่ได้รับเรื่องร้องเรียนจากผู้เสียหาย

นายมงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา กล่าวในช่วงท้ายของการแถลงข่าวว่า หากพบว่ามีการกระทำผิดจริง พวกเราไม่ขัดขวางการดำเนินการตามกฎหมาย แต่เราขอความเป็นธรรม และขอให้การตรวจสอบนี้เป็นไปอย่างโปร่งใส ไม่ถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง”

ทั้งนี้ คดีฮั้วเลือก ส.ว. ปี 2567 กำลังเข้าสู่กระบวนการพิจารณาว่าจะรับเป็นคดีพิเศษหรือไม่ ซึ่งหาก DSI รับเรื่องนี้เป็นคดีพิเศษ จะเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่การเลือกตั้งวุฒิสภาถูกตรวจสอบในระดับสูงสุด และอาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในโครงสร้างการเมืองของไทยในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI

วุฒิสภาลงพื้นที่เชียงราย ช่วยเกษตรกรประสบภัย

วุฒิสภาลงพื้นที่เชียงราย ติดตามผลกระทบจากอุทกภัยและหนอนกระทู้

เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2567 นายธวัช สุระบาล ประธานคณะกรรมาธิการเกษตรและสหกรณ์ วุฒิสภา พร้อมคณะ ลงพื้นที่จังหวัดเชียงราย เพื่อติดตามสถานการณ์อุทกภัยที่ส่งผลกระทบต่อภาคการเกษตรและปศุสัตว์ และศึกษาแนวทางการฟื้นฟู โดยได้เยี่ยมชมศูนย์วิจัยและพัฒนาหมูดำดอยตุง ศูนย์วิจัยและพัฒนาชาน้ำมันและพืชน้ำมัน และพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยและโรคระบาดในพื้นที่ตำบลเกาะช้าง

ติดตามสถานการณ์และให้กำลังใจเกษตรกร

คณะกรรมาธิการฯ ได้เดินทางไปยังศูนย์วิจัยและพัฒนาหมูดำดอยตุง เพื่อศึกษาแนวทางการเลี้ยงหมูดำดอยตุง ซึ่งเป็นพันธุ์หมูที่มีความแข็งแรงและสามารถปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมได้ดี จากนั้นได้เดินทางไปยังศูนย์วิจัยและพัฒนาชาน้ำมันและพืชน้ำมัน เพื่อเยี่ยมชมกระบวนการผลิตน้ำมันจากเมล็ดชา ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูง

สำรวจพื้นที่ประสบภัยและให้คำแนะนำ

คณะกรรมาธิการฯ ได้เดินทางไปยังพื้นที่ตำบลเกาะช้าง ซึ่งได้รับผลกระทบจากอุทกภัยอย่างหนัก โดยได้พบปะกับเกษตรกรเพื่อรับฟังปัญหาและอุปสรรคที่เกิดขึ้นจากเหตุการณ์ดังกล่าว พบว่าพื้นที่การเกษตรที่ติดแม่น้ำรวกได้รับความเสียหายอย่างรุนแรง พืชผลทางการเกษตร เช่น ข้าว ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ พืชสวนผลไม้ ได้รับความเสียหายไปเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ เกษตรกรผู้เลี้ยงปลานิลยังได้รับผลกระทบจากอุทกภัย เนื่องจากไม่ได้ขึ้นทะเบียน ทำให้ไม่ได้รับความช่วยเหลือ

ปัญหาหนอนกระทู้ระบาดซ้ำเติมความเสียหาย

นอกจากปัญหาอุทกภัยแล้ว เกษตรกรในพื้นที่ยังประสบปัญหาหนอนกระทู้ระบาด ทำให้ผลผลิตทางการเกษตรเสียหายเพิ่มเติม ซึ่งส่งผลกระทบต่อรายได้ของเกษตรกรอย่างมาก

ข้อเสนอแนะและแนวทางการแก้ไข

คณะกรรมาธิการฯ ได้ให้ข้อเสนอแนะในการแก้ไขปัญหา ดังนี้

  • สำรวจความเสียหายอย่างละเอียด: ดำเนินการสำรวจพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากทั้งอุทกภัยและโรคระบาดอย่างละเอียด เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้องและครบถ้วน
  • ช่วยเหลือเกษตรกร: ให้ความช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบอย่างเร่งด่วน โดยเฉพาะเกษตรกรที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียน
  • ฟื้นฟูพื้นที่: ดำเนินการฟื้นฟูพื้นที่ที่ได้รับความเสียหายตามแผนฟื้นฟูระยะสั้น กลาง และยาว
  • ป้องกันและแก้ไขปัญหาหนอนกระทู้: สนับสนุนให้เกษตรกรใช้ยาปราบศัตรูพืชอย่างถูกวิธีและปลอดภัย
  • บูรณาการความร่วมมือ: สนับสนุนให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมมือกันแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบ

บทสรุป

การลงพื้นที่ของคณะกรรมาธิการฯ ในครั้งนี้ เป็นการแสดงให้เห็นถึงความห่วงใยต่อปัญหาของเกษตรกร และเป็นการเริ่มต้นที่ดีในการแก้ไขปัญหาและฟื้นฟูพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยและโรคระบาด

หมูดำดอยตุง: อัญมณีแห่งขุนเขา และ น้ำมันเมล็ดชา: สุดยอดแห่งธรรมชาติ

หมูดำดอยตุง: มรดกอันล้ำค่าจากดอยสูง

หมูดำดอยตุง ไม่ใช่แค่สุกรทั่วไป แต่เป็นสัตว์พื้นเมืองที่มีความสำคัญทางวัฒนธรรมและเศรษฐกิจของชุมชนดอยตุงอย่างยิ่ง เป็นผลมาจากการนำหมูดำพันธุ์เหมยซานจากประเทศจีนมาผสมพันธุ์กับหมูพื้นเมือง จนได้สายพันธุ์ใหม่ที่มีลักษณะเด่นหลายประการ เช่น

  • ความแข็งแรง ทนทานต่อสภาพอากาศที่หนาวเย็น เหมาะกับการเลี้ยงบนพื้นที่สูง
  • เนื้อมีคุณภาพสูง มีรสชาติอร่อย เนื้อแน่น มีไขมันแทรกพอดี
  • ให้ลูกดก ช่วยเพิ่มปริมาณปศุสัตว์ในชุมชน
  • เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เลี้ยงด้วยอาหารจากธรรมชาติ ไม่ใช้ยาปฏิชีวนะ

การเลี้ยงหมูดำดอยตุง นั้นเน้นการใช้ทรัพยากรในท้องถิ่น เช่น พืชผลทางการเกษตรที่ปลูกในชุมชน ทำให้ลดต้นทุนการผลิตและส่งเสริมการเกษตรแบบยั่งยืน นอกจากนี้ การแปรรูปผลิตภัณฑ์จากหมูดำดอยตุง เช่น ไส้กรอกรมควัน แฮม ก็สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์และสร้างรายได้ให้กับชุมชนอย่างยั่งยืน

น้ำมันเมล็ดชา: เศรษฐกิจชุมชนและสุขภาพที่ดี

น้ำมันเมล็ดชา เป็นผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ วิตามิน และแร่ธาตุต่างๆ ที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ เช่น

  • ช่วยบำรุงผิวพรรณ ชะลอความเสื่อมของเซลล์ผิว
  • บำรุงเส้นผม ทำให้ผมแข็งแรงเงางาม
  • ลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด
  • ช่วยลดคอเลสเตอรอล
  • มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ

กระบวนการผลิตน้ำมันเมล็ดชา นั้นค่อนข้างซับซ้อนและต้องอาศัยความรู้และเทคโนโลยีที่เหมาะสม โดยทั่วไปแล้วกระบวนการผลิตจะประกอบด้วยขั้นตอนหลักดังนี้

  1. การคัดเลือกเมล็ดชา เลือกเมล็ดชาที่แก่จัด มีคุณภาพดี
  2. การทำความสะอาดเมล็ดชา ขจัดสิ่งสกปรกและวัตถุแปลกปลอมออก
  3. การบดเมล็ดชา บดเมล็ดชาให้ละเอียดเพื่อเพิ่มพื้นที่ผิวสัมผัสกับตัวทำละลาย
  4. การสกัดน้ำมัน ใช้ตัวทำละลาย เช่น น้ำมันพืชหรือสารเคมี เพื่อสกัดน้ำมันออกจากเมล็ดชา
  5. การกลั่นน้ำมัน กลั่นน้ำมันเพื่อขจัดตัวทำละลายและสิ่งเจือปนอื่นๆ
  6. การบรรจุ บรรจุน้ำมันใส่ภาชนะที่สะอาดและปิดสนิท

การผลิตน้ำมันเมล็ดชา นอกจากจะเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์จากชาแล้ว ยังเป็นการส่งเสริมการเกษตรแบบยั่งยืนและสร้างรายได้ให้กับชุมชนอีกด้วย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

สว. เตรียมงบ 81 ล้านบาท บินไปดูงาน เยือนยุโรป-เอเชีย ประชุมทวิภาคี

 

เมื่อวันที่ 18 เมษายน ผู้สื่อข่าวรายงานจากรัฐสภาถึงความเคลื่อนไหวของ สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ที่จะหมดวาระการดำรงตำแหน่งในเดือน พ.ค.นี้ ปรากฏว่าสำนักงานเลขาวุฒิสภาได้รับการจัดสรรงบประมาณร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2567 รายการค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปดูงานไปประชุมทวิภาคและไปเยือนต่างประเทศของคณะกรรมาธิการ (กมธ.) จำนวน 81 ล้านบาท

 

จากการตรวจสอบปรากฏว่ามี กมธ.สามัญ วุฒิสภา หลายคณะ มีกำหนดการเดินทางไปต่างประเทศ โดยอ้างว่าไปศึกษาดูงาน อาทิ กมธ.ทหารและความมั่นคงของรัฐ ที่มี พล.อ.บุญสร้าง เนียมประดิษฐ์ เป็นประธาน โดยมีกำหนดการเดินทางไปประชุมทวิภาคีและไปเยือนต่างประเทศ ณ สาธารณรัฐคาซัคสถาน และจอร์เจีย ระหว่างวันที่ 2-9 พ.ค.

 

กมธ.ท่องเที่ยว ที่มี พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร เป็นประธาน มีกำหนดการเดินทางเยือนสาธารณรัฐโครเอเชีย มอนเตเนโกร บอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา ระหว่างวันที่ 14-23 พ.ค. กมธ.แรงงาน ที่มี พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว เป็นประธาน มีกำหนดการเยือนนิวซีแลนด์ ระหว่างวันที่ 26 เม.ย.-3 พ.ค. โดยเดินทางร่วมกับ กมธ.การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ และนวัตกรรม วุฒิสภา ที่มี พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง เป็นประธาน

 

ส่วน กมธ.การศึกษา ที่มี นายตวง อันทะไชย เป็นประธาน มีกำหนดการเดินทางเยือนเมืองกุ้ยหลิน สาธารณรัฐประชาชนจีน ระหว่างวันที่ 11-16 พ.ค. และเดินทางเยือนสาธารณรัฐฟินแลนด์ ราชอาณาจักร สวีเดน และสาธารณรัฐเอสโตเนีย ในส่วนการเดินทางไปประชุมทวิภาคีและศึกษาดูงาน ณ สาธารณรัฐฟินแลนด์ ราชอาณาจักรสวีเดน และสาธารณรัฐเอสโตเนีย ระหว่างวันที่ 27 พ.ค.-3 มิ.ย.นั้น กมธ.ได้รับเชิญจากกองทุน Robbo ให้ไปศึกษาดูงานด้านการศึกษา และการวิจัยที่มุ่งเน้นนวัตกรรมด้านหุ่นยนต์และปัญญาประดิษฐ์ (AI) ณ Aalto University และศึกษาดูงานการจัดการเรียนการสอนของโรงเรียนในระดับมัธยมศึกษา

 

ขณะที่ กมธ.กิจการองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ กำลังพิจารณาเตรียมความพร้อมในการเดินทางไปประชุมทวิภาคี ณ สาธารณรัฐออสเตรีย สาธารณรัฐสโลวีเนีย และสาธารณรัฐโครเอเชีย กมธ.ติดตาม เสนอแนะและเร่งรัดการปฏิรูปประเทศ และการจัดทำและดำเนินการตามยุทธศาสตร์ชาติ มีกำหนดเยือนประเทศเยอรมนี เบลเยียม เนเธอร์แลนด์ ฟินแลนด์ และสวีเดน ระหว่างวันที่ 19-30 เม.ย.นี้

 

พล.อ.บุญสร้างชี้แจงว่า การเดินทางไปต่างประเทศของคณะกรรมาธิการชุดต่างๆ เขาไปได้ เพราะเป็นการใช้งบประมาณเพื่อหาข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการทำงานในอนาคต ไม่ได้มากมายอะไร เพียงแต่จำนวนคนมันเยอะ ไม่ใช่เรื่องทุจริตอะไร ตนมองว่าเป็นเรื่องที่เหมาะสมแล้ว คนปกติทั่วไปเขาไม่คิดอะไร เพราะเป็นงบปกติมาตั้งนานแล้ว ช่วงโควิด-19 ก็ไม่ได้มีการเบิกใช้ ดังนั้น อย่ามองว่าพวกเราไปเที่ยวทิ้งทวน

“ที่ผ่านมา ส.ว.ไม่อยากไปดูงานต่างประเทศก็เพราะกลัวข้อครหาเช่นนี้ ทำให้เวลาพิจารณาออกกฎหมาย บางทีก็ออกมาอย่างห่วยๆ ไม่มีข้อมูล ไม่ดูของจริง งบประมาณดังกล่าวเป็นงบไปสร้างทวิภาคีกับประเทศต่างๆ โดยการพบปะกับ ส.ว.แต่ละประเทศ แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน” พล.อ.บุญสร้างกล่าว

 

เมื่อถามว่า ส.ว.ชุดนี้จะหมดวาระในเดือน พ.ค.นี้ การไปหาข้อมูลต่างประเทศจะนำมาใช้ประโยชน์อย่างไร พล.อ.บุญสร้างกล่าวว่า มนุษย์เราไม่ใช่จะหาวันนี้แล้วได้ใช้พรุ่งนี้ มะรืนนี้ ข้อมูลที่จะนำมาเป็นการสร้างความรอบรู้ที่จะใช้ในอนาคต เป็นการลงทุนด้านสติปัญญาที่สามารถทำได้ทั้งชีวิต ยืนยันว่าไม่ใช่เรื่องไปเที่ยว เราเน้นไปดูข้อมูลที่เป็นประโยชน์จริงๆ บางคนอายุ 70-80 ปี เขาไม่ได้อยากไปเที่ยว

 

“ผมเชื่อว่าเราสามารถชี้แจงสังคมได้ เราไม่ได้เห็นแก่เงิน หรือเห็นแก่กิน วัยนี้ก็อยากอยู่กับลูกกับหลาน แม้บางคนสังขารจะไม่ไหว แต่สมองก็ยังดีทำงานได้ ยืนยันว่าพวกเราไปทำงานจริงๆ ไม่ได้ไปเที่ยว คณะของผมไปดูงานที่จอร์เจีย กำหนดเป็นเวลา 9 วัน และในรอบ 5 ปี เราเดินทางไปดูงานต่างประเทศเพียง 2 ครั้ง คิดเป็น 1% เท่านั้น จะบอกว่าพวกเราแก่แล้วไม่ต้องไปมันไม่ได้ เพราะคนแก่สมองยังใช้งานได้” พล.อ.บุญสร้างกล่าว

 

ด้าน นายเสรี สุวรรณภานนท์ ส.ว. กล่าวว่า ส่วนตัวไม่เห็นด้วยมานานแล้วและไม่เห็นด้วยมาตลอด แต่การเดินทางไปดูงานต่างประเทศครั้งนี้ไม่ได้ไปทั้งหมด มีเพียงบางคณะและบางคนก็ไม่ไป และได้ส่งเงินคืนคลังไปแล้ว เช่น ตน นายสถิต ลิ่มพงษ์พันธุ์ นายคำนูณ สิทธิสมาน ที่ไม่ได้ไป เป็นต้น เหตุที่ตนไม่เห็นด้วยเพราะเข้าใจว่าเป็นการเมืองที่ต้องระมัดระวัง การใช้เงินงบประมาณแผ่นดิน เมื่อเราจะตรวจคนอื่นไม่ให้ใช้เงินฟุ่มเฟือย เราก็ต้องทำเป็นตัวอย่าง ตนยืนยันหลักการนี้มาตลอด

 

นายเสรีกล่าวว่า ส่วนเหตุผลว่าไปดูงานนั้นฟังไม่ขึ้น เพราะ ส.ว.จะหมดวาระเดือนหน้านี้แล้ว จะไปดูอะไร ตอนตนทำรายงานของคณะกรรมการขับเคลื่อนปฏิรูปประเทศเคยเสนอว่าควรจะยกเลิกการตั้งงบประมาณให้ ส.ว.ไปดูงานต่างประเทศ ซึ่งมีบางส่วนที่เห็นด้วย แต่บางส่วนก็ไม่เห็นด้วย สุดท้ายเรื่องก็เงียบหายไป

 

“เมื่อ ส.ว.ชุดนี้เข้ามาใหม่ๆ ผมก็เคยเสนอว่าไม่ควรไปดูงานต่างประเทศ แม้จะอ้างว่าได้ประโยชน์อะไรก็ตามแต่สังคมข้างนอกเขามองว่าเราไปเที่ยว ไม่ได้มองว่าไปดูงานจริง แล้วเราจะทำทำไม แต่ปัญหาคือเมื่อมีการตั้งงบประมาณให้เขา เขาก็เอาไปใช้แล้วเราจะไปตั้งให้ทำไม ประเพณีนี้ควรจะเลิกได้แล้ว เพราะคนเขาด่าทุกปี ดังนั้น ใครจะไปก็ต้องระวังและเป็นเรื่องที่แต่ละคนต้องชี้แจงกันเอาเอง ให้สังคมเข้าใจด้วยว่ามี ส.ว.ไม่ได้ไปด้วย ไม่ใช่เหมารวมหมด” นายเสรีกล่าว

 

นายเสรีกล่าวอีกว่า ส่วนที่อ้างว่า ส.ว.ทำงานมา 5 ปีไม่ได้เดินทางไปไหนเลย โดยเฉพาะในช่วงโควิด-19 เรื่องนี้ไม่เกี่ยว ไม่ต้อง 5 ปีหรอก ทำงานตลอดชีวิตก็ไม่ควรเอาเงินประเทศไปใช้ หากอยากจะไปก็ควรใช้เงินส่วนตัว ไม่มีใครเขาว่า เป็น ส.ว.มีเงินเดือนเยอะแยะก็ควรจะเอาเงินส่วนตัวไปจะได้ไม่เป็นขี้ปากชาวบ้าน ปัญหามันอยู่ที่ว่ามีการเอาเงินภาษีประชาชนไปใช้ ยิ่งไปตอนช่วงจะหมดวาระแบบนี้ยิ่งเป็นปัญหาหลัก ตนเคยเตือนไปแล้วว่าจะโดนตรวจสอบและเป็นประเด็น แต่เขาไม่สนใจก็เลยปล่อยไป อุตส่าห์พยายามให้ภาพ ส.ว.ชุดนี้มันดี ด้วยการเปิดอภิปรายทั่วไปตามมาตรา 152 ให้เห็นว่า ส.ว.ยังมีประโยชน์ แต่ก็มาเกิดเรื่องนี้ขึ้น ก็ระมัดระวังกันเองแล้วกัน

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : รัฐสภา

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ส่งมอบบ่อน้ำบาดาล ให้โรงเรียนเพื่ออาข่า – เย้า – ม้ง เชียงราย

 

เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2566 ที่โรงเรียนนิคมสร้างตนเองสงเคราะห์ชาวเขา ตำบลป่าซาง อำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ ประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญการพิทักษ์และเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ วุฒิสภา พร้อมด้วยกรรมาธิการวิสามัญ และอนุกรรมาธิการ ได้ส่งมอบบ่อน้ำบาดาลให้โรงเรียนนิคมสร้างตนเองสงเคราะห์ชาวเขา โดยมี นายไชยรัตน์ จินะราช รองผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงราย เขต 3 นายอภิวัฒน์ พรหมขาม ปลัดอำเภอแม่จัน นายนิคมภาค หวายบุตร ผู้อำนวยการศูนย์พัฒนาราษฎรบนพื้นที่สูง จังหวัดเชียงราย นายเกียรติณรงค์ มงคลดี ผู้อำนวยการโรงเรียนนิคมสร้างตนเองสงเคราะห์ชาวเขา และนายโชคเอก พาณิชยญากิจ นายกเทศมนตรีตำบลป่าซาง ให้การต้อนรับและร่วมรับมอบ

 

การส่งมอบบ่อน้ำบาดาลให้โรงเรียนนิคมสร้างตนเองสงเคราะห์ชาวเขาครั้งนี้ คณะกรรมาธิการวิสามัญการพิทักษ์และเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ วุฒิสภา ได้รับความเมตตาจากพระไพศาลประชาทร วิ. (พระอาจารย์พบโชค ติสสฺวํโส) เจ้าอาวาสวัดห้วยปลากั้ง สนับสนุนการขุดเจาะบ่อน้ำบาดาล มูลค่า 250,000 บาท พร้อมกันนี้คณะกรรมาธิการวิสามัญได้สนับสนุนอุปกรณ์กีฬา ข้าวสาร และเครื่องอุปโภค บริโภค เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตนักเรียน นอกจากนี้นักศึกษาแผนกคหกรรม วิทยาลัยอาชีวศึกษาเชียงราย ได้ร่วมจัดกิจกรรมสอนทำพิซซ่า (พี่สอนน้อง) ให้กับนักเรียนโรงเรียนนิคมสร้างตนเองสงเคราะห์ชาวเขาด้วย
 
 
โรงเรียนนิคมสร้างตนเองสงเคราะห์ชาวเขา เลขที่ 99 หมู่ที่ 15 ตำบลป่าซาง อำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงรายเขต 3 สำนักงานคณะกรรมการศึกษาขั้นพื้นฐาน เปิดสอนระดับชั้นอนุบาล 2 ถึงระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีเนื้อที่
 
 
32 ไร่ 1 งาน 51 ตารางวา มีภูมิประเทศเป็นเนินเขา ลักษณะเป็นหมู่บ้านแบบชนบทบริเวณใกล้เคียงโดยรอบโรงเรียน ได้แก่ บ้าน, สวนยางและทุ่งนา อาชีพหลักของชุมชน คือเกษตรกรรมและรับจ้าง
 
 
คนในชุมชนนับถือศาสนาพุทธและศาสนาคริสต์ มีทั้งคนพื้นเมือง, ชนเผ่าอาข่า, ชนเผ่าเมี่ยน(เย้า), และม้ง ส่วนใหญ่นับถือศาสนาคริสต์และพุทธ ปัจจุบันโรงเรียนนิคมสร้างตนเองสงเคราะห์ชาวเขา มีจำนวนข้าราชการครูและบุคลากรทั้งหมด 21 คน ผู้อำนวยการโรงเรียน 1 คน ข้าราชการครู 15 คน ครูอัตราจ้าง 4 คน และนักการภารโรง 1 คน ปีการศึกษา 2566 มีจำนวนนักเรียนทั้งหมด 326 คน
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS SOCIETY & POLITICS

วุฒิสภา เยือนโอโซนฟาร์ม Young Smart Farmer จ.เชียงราย

วุฒิสภา เยือนโอโซนฟาร์ม Young Smart Farmer จ.เชียงราย

Facebook
Twitter
Email
Print

เมื่อวันอังคารที่ 30 พฤษภาคม 2566 เวลา 13.00 นาฬิกา คณะกรรมาธิการวิสามัญการพิทักษ์และเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ วุฒิสภา นำโดย นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ ประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญ พร้อมคณะ เดินทางศึกษาดูงาน ณ โอโซนฟาร์ม ตำบลแม่คำ อำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย เยี่ยมชมการดำเนินงานและรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับอนาคตและทิศทางเกษตรไทยในมุมมองของกลุ่มเกษตรกรรุ่นใหม่ และการสร้างเครือข่ายกลุ่มเกษตรกรรุ่นใหม่ (Young Smart Farmer) โดยมีนายพิเชษฐ์ กันทะวงค์ ผู้ก่อตั้งโอโซนฟาร์ม ให้การต้อนรับ พร้อมทั้งให้ข้อมูลและนำเยี่ยมชมโอโซนฟาร์ม

“โอโซน ฟาร์ม” เป็นฟาร์มที่นำวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม (Internet of Thing) มาทำเรื่องของเมล่อนให้มีรสชาติหวาน ทำเป็นฟรีชดรายแปรรูปส่งตลาด รวมทั้งการใช้ระบบให้อาหารพืชที่ปลูกในโรงเรือนแบบแม่นยำ และจัดทำระบบเครื่องจ่ายปุ๋ยผ่านโทรศัพท์มือถือที่สามารถควบคุมได้ ทำให้ผลผลิตในโอโซนฟาร์มมีคุณภาพและเป็นการลดต้นทุนในการทำฟาร์ม จึงทำให้เป็นการพลิกโฉมการทำเกษตรแบบใหม่ ซึ่งที่ผ่านมาเกษตรกรส่วนใหญ่ไม่รู้ว่าจะหาองค์ความรู้แบบนี้มาจากแหล่งใด โดยในปัจจุบันคนรุ่นใหม่ในพื้นที่จังหวัดเชียงรายให้ความสำคัญกับการทำการเกษตรแบบแม่นยำมากขึ้น และได้สมัครเป็นสมาชิก Young Smart Farmer เชียงราย เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

Facebook
Twitter
Email
Print
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS SOCIETY & POLITICS

คณะวุฒิสภาศึกษาดูงาน โรงเรียนนิคม สร้างตนเองสงเคราะห์ชาวเขา จ.เชียงราย

คณะวุฒิสภาศึกษาดูงาน โรงเรียนนิคม สร้างตนเองสงเคราะห์ชาวเขา จ.เชียงราย

Facebook
Twitter
Email
Print

เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2566 เวลา 09.30 นาฬิกา คณะกรรมาธิการวิสามัญการพิทักษ์และเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ วุฒิสภา นำโดย นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ ประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญ พร้อมคณะ เดินทางศึกษาดูงาน ณ โรงเรียนนิคมสร้างตนเองสงเคราะห์ชาวเขา จังหวัดเชียงราย เพื่อรับฟังประวัติความเป็นมา การดำเนินงาน และศึกษาความเป็นอยู่ของเด็กนักเรียนโรงเรียนนิคมสร้างตนเองสงเคราะห์ชาวเขา ซึ่งอยู่ในเครือมูลนิธิ ซี.ซี.เอฟ. เพื่อเด็กและเยาวชนในพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี รวมทั้งมอบทุนการศึกษาและสิ่งของบริจาคให้กับโรงเรียน โดยมีนายเกียรติณรงค์ มงคลดี ผู้อำนวยการโรงเรียน คณะครู และนักเรียน ให้การต้อนรับ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

Facebook
Twitter
Email
Print
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News