Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เยาวชนไทยในสหรัฐฯ คืนถิ่นสานวัฒนธรรม

โครงการเยาวชนไทยในสหรัฐอเมริกา เยือนแผ่นดินแม่ ครั้งที่ 14 สานสายใยวัฒนธรรม สร้างรากเหง้าในหัวใจลูกหลานไทยโพ้นทะเล

เชียงราย, 5 กรกฎาคม 2568 – จังหวัดเชียงรายให้การต้อนรับอย่างอบอุ่นแก่คณะโครงการเยาวชนไทยในสหรัฐอเมริกา เยือนแผ่นดินแม่ ครั้งที่ 14 หรือ Thai American Youth Heritage Program 2024 ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 28 มิถุนายน – 13 กรกฎาคม 2568 โดยมีเยาวชนไทยและผู้ปกครองที่เกิดและเติบโตในประเทศสหรัฐอเมริกา เดินทางกลับสู่ประเทศไทย เพื่อทัศนศึกษา ศึกษาวัฒนธรรม และทำกิจกรรมจิตอาสาบนแผ่นดินเกิดของบรรพบุรุษ

การเดินทางมาเยือนจังหวัดเชียงรายในครั้งนี้ ถือเป็นหนึ่งในกิจกรรมหลักของโครงการฯ ซึ่งได้รับความสนใจและการต้อนรับจากภาคส่วนต่าง ๆ ทั้งภาครัฐ วัดวาอาราม ชุมชน และสถานศึกษา โดยคณะเยาวชนได้เยี่ยมชมสถานที่สำคัญหลากหลาย อาทิ วัดห้วยปลากั้ง วัดพระธาตุผาเงา พิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัยเชียงราย และโรงเรียนในอำเภอแม่จัน เพื่อสัมผัสวิถีชีวิตไทยจากหลายมิติ

ต้นกำเนิดโครงการจากวัดไทยในลอสแอนเจลิส สู่การคืนถิ่นแห่งศรัทธา

จุดเริ่มต้นของโครงการนี้ เกิดขึ้นจากความพยายามของชาวไทยในนครลอสแอนเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา ที่ต้องการสืบทอดรากวัฒนธรรมไทยสู่รุ่นลูกหลานที่เกิดในต่างแดน โดยริเริ่ม “โครงการวัฒนธรรมไทยคืนถิ่น” ครั้งแรกในปี พ.ศ.2533 ด้วยการนำนักเรียนจากโรงเรียนพุทธศาสนาวัดไทยลอสแอนเจลิส มาเปิดการแสดงศิลปวัฒนธรรมไทยในประเทศไทย และได้เสียงตอบรับอย่างอบอุ่นจากประชาชนชาวไทย

จากจุดเล็ก ๆ ในวัดไทยแห่งหนึ่ง โครงการนี้ได้เติบโตอย่างต่อเนื่อง จัดขึ้นทุก 2 ปี ด้วยความร่วมมือจากชุมชนไทยในรัฐต่าง ๆ ของสหรัฐอเมริกา จนกลายเป็นโครงการระดับชาติที่มีความสำคัญทั้งในด้านการสืบสานวัฒนธรรม และสร้างความสัมพันธ์ทางการทูตแบบประชาชนสู่ประชาชน

ผู้บริหารโครงการ: แรงใจและความทุ่มเทเพื่อ “รากไทย” ในใจเยาวชน

สำหรับการเดินทางมาเยือนประเทศไทยในครั้งที่ 14 นี้ คณะโครงการประกอบด้วยบุคคลสำคัญ ได้แก่

  • นายสมใจนึก เองตระกูล ประธานโครงการ
  • นายชนะ เมี้ยนเจริญ กงสุล สถานกงสุลใหญ่ ณ นครลอสแอนเจลิส
  • นายสุรศักดิ์ วงศ์ข้าหลวง ประธานฝ่ายสหรัฐอเมริกา
  • นายดำฤทธิ์ วิริยะกุล เลขานุการโครงการ

โดยมีเป้าหมายในการให้เยาวชนเรียนรู้วัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ วิถีชีวิต และบทบาทของประเทศไทยในเวทีโลก รวมถึงสร้างความตระหนักถึงคุณค่าความเป็นไทย พร้อมสร้างแรงบันดาลใจให้เยาวชนสามารถนำความรู้กลับไปเผยแพร่ต่อในชุมชนไทยในสหรัฐอเมริกา

กิจกรรมบนแผ่นดินแม่สัมผัสรากเหง้า บำเพ็ญประโยชน์ด้วยหัวใจ

หนึ่งในกิจกรรมที่เป็นไฮไลต์ของการมาเยือนจังหวัดเชียงราย คือการเข้าเยี่ยมชมวัดห้วยปลากั้งและวัดพระธาตุผาเงา ซึ่งเยาวชนได้มีโอกาสสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ศึกษาศิลปกรรมล้านนา และแลกเปลี่ยนความรู้กับพระสงฆ์ในพื้นที่ นอกจากนี้ ยังได้ไปเยี่ยมชมการเรียนการสอนของโรงเรียนในอำเภอแม่จัน เรียนรู้วิถีชีวิตของเยาวชนในพื้นที่ชนบท และนำบทเรียนกลับไปถ่ายทอดยังชุมชนของตนในต่างประเทศ

พิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัยเชียงราย หรือบ้านของศิลปินแห่งชาติ อาจารย์ถวัลย์ ดัชนี ก็เป็นอีกหนึ่งจุดหมายที่สร้างความประทับใจให้เยาวชน โดยเฉพาะในแง่ของการนำเสนอความเป็นไทยผ่านมุมมองของศิลปะร่วมสมัย

จากรุ่นสู่รุ่นโครงการแห่งความต่อเนื่อง

ตลอดเวลากว่า 30 ปีที่ผ่านมา โครงการนี้ได้ถูกยกระดับเป็นโครงการเฉลิมพระเกียรติในโอกาสสำคัญระดับชาติหลายครั้ง เช่น ปี พ.ศ.2547 ซึ่งจัดเพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ ในวาระพระชนมพรรษา 6 รอบ และในปี พ.ศ.2549 เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชฯ ในโอกาสครองราชย์ครบ 60 ปี

แม้ในช่วงสถานการณ์โควิด-19 โครงการจะต้องเว้นช่วงไป แต่ในปี พ.ศ.2566 และปีนี้ (พ.ศ.2568) โครงการได้กลับมาดำเนินการอีกครั้ง ด้วยรูปแบบที่เข้มข้นและหลากหลายมากขึ้น เพื่อให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกและวิถีชีวิตของเยาวชนยุคใหม่

วิเคราะห์ผลลัพธ์ สายสัมพันธ์ไทย-สหรัฐฯ ผ่านพลังเยาวชน

โครงการนี้มิได้เป็นเพียงแค่การเดินทางมาเยือนบ้านเกิดของบรรพบุรุษเท่านั้น หากแต่เป็นการ “ลงทุนระยะยาว” เพื่อสร้างเครือข่ายคนไทยในต่างแดนที่มีความผูกพันกับประเทศไทย รู้จักรากเหง้าของตน และพร้อมจะเป็นสะพานเชื่อมระหว่างสองวัฒนธรรม — ไทยและอเมริกัน — ในอนาคต

นอกจากนี้ ยังถือเป็นแนวทางหนึ่งของ “Soft Power” ที่มีผลจริงในระดับปัจเจก ผ่านความผูกพันทางอารมณ์และการมีส่วนร่วมของเยาวชน ซึ่งในระยะยาว จะส่งผลต่อการส่งเสริมภาพลักษณ์ของประเทศไทยในเวทีนานาชาติ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กระทรวงการต่างประเทศ: www.mfa.go.th
  • คณะกรรมการโครงการเยาวชนไทยในสหรัฐอเมริกา เยือนแผ่นดินแม่
  • สถานกงสุลใหญ่ ณ นครลอสแอนเจลิส
  • ข้อมูลพื้นฐานจาก วัดไทยนครลอสแอนเจลิส
    (เรียบเรียงโดยทีมข่าว นครเชียงรายนิวส์)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ENTERTAINMENT

มิลลิ-บัวขาว Soft Power ไทยเขย่าโลก!

มิลลิ-บัวขาว สร้างปรากฏการณ์ Soft Power ไทยบนเวที Head in the Clouds สหรัฐฯ กระหึ่มโลก!

สหรัฐอเมริกา, 2 มิถุนายน 2568 – ปรากฏการณ์ “Soft Power” ของไทยยังคงสร้างแรงสั่นสะเทือนในเวทีระดับนานาชาติ เมื่อนักร้องแร็ปเปอร์ชื่อดัง “มิลลิ” หรือ ดนุภา คณาธีรกุล สร้างความฮือฮาอีกครั้งกลางเทศกาลดนตรีระดับโลก Head in the Clouds Festival 2025 ณ ลอสแอนเจลิส สหรัฐอเมริกา โดยนำศิลปะแม่ไม้มวยไทยขึ้นเวที พร้อมตำนานนักมวยขวัญใจคนไทย “บัวขาว บัญชาเมฆ” ร่วมแสดงกับเพลง “ONE PUNCH” จุดกระแสความสนใจสื่อทั่วโลก ดันชื่อเสียงไทยสู่สายตาชาวโลกอย่างงดงาม

จุดเริ่มต้นของปรากฏการณ์ Soft Power บนเวทีดนตรีโลก

ตลอดหลายปีที่ผ่านมา “มิลลิ” เป็นหนึ่งในศิลปินหญิงที่มีบทบาทสำคัญในการนำวัฒนธรรมไทยไปสู่สากล ไม่ว่าจะเป็นปรากฏการณ์ “ข้าวเหนียวมะม่วง” กลางคอนเสิร์ต Coachella 2022 ที่สร้างกระแส “Mango Sticky Rice” ระดับโลก หรือการขึ้นแสดงในเวทีต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง

ในปี 2568 มิลลิได้รับเชิญให้ขึ้นเวที Head in the Clouds Festival ซึ่งจัดโดยค่าย 88rising ที่ลอสแอนเจลิส สหรัฐอเมริกา เธอได้สร้างเซอร์ไพรส์ด้วยการเชิญ “บัวขาว บัญชาเมฆ” นักมวยไทยซูเปอร์สตาร์ระดับโลก ขึ้นแสดงแม่ไม้มวยไทยโชว์บนเวทีโลกคู่กับเสียงเพลง “ONE PUNCH” ถือเป็นครั้งแรกที่มวยไทยขึ้นเวทีดนตรีอินเตอร์ในรูปแบบนี้

บัวขาวบัญชาเมฆสัญลักษณ์ความแข็งแกร่งของไทยสู่โลก

“บัวขาว บัญชาเมฆ” เจ้าของแชมป์โลก K-1 และราชันย์มวยไทย ได้รับเกียรติขึ้นโชว์ลีลาเตะต่อยในงานเดียวกันนี้ ท่ามกลางเสียงเชียร์และความสนใจจากผู้ชมชาวไทยและนานาชาติ การแสดงดังกล่าวกลายเป็นไฮไลต์ประจำคืน สะท้อนพลังวัฒนธรรมไทยผ่านมวยไทยอย่างเต็มภาคภูมิ

บัวขาวมีชื่อเสียงโด่งดังในฐานะนักมวยไทยที่สร้างชื่อเสียงให้ประเทศไทยไปทั่วโลก โดยเฉพาะในยุโรปและญี่ปุ่น ตลอดชีวิตการชกมวยระดับอาชีพกว่า 350 ไฟต์ และสถิติชนะมากกว่า 240 ไฟต์ ถือเป็นนักกีฬาไทยที่ได้รับการยอมรับในเวทีโลก

4EVE ร่วมสร้างชื่อเสียง T-Pop ไทยสู่สายตาโลก

นอกจากมิลลิและบัวขาวแล้ว งาน Head in the Clouds ครั้งนี้ยังมีเกิร์ลกรุ๊ป T-Pop สุดฮอตของไทยอย่าง “4EVE” ขึ้นเวทีแสดงความสามารถด้านดนตรีและการแสดง ท่ามกลางแฟนเพลงต่างชาติที่ให้การตอบรับอย่างล้นหลาม ถือเป็นการเปิดประสบการณ์ใหม่ของวงดนตรีไทยในเวทีนานาชาติ

มิลลิกับพลัง Soft Power ไทย สะท้อนผ่านวัฒนธรรมร่วมสมัย

ตลอดเส้นทางการเป็นศิลปิน มิลลิได้นำวัฒนธรรมไทยไปเผยแพร่ผ่านดนตรี แฟชั่น และศิลปะการแสดง ไม่ว่าจะเป็นการนำข้าวเหนียวมะม่วงหรือแม่ไม้มวยไทยขึ้นเวทีต่างประเทศ เธอเป็นตัวแทนคนรุ่นใหม่ที่กล้าสร้างสรรค์และนำเสนอเอกลักษณ์ความเป็นไทยให้คนทั่วโลกรู้จัก

ไม่เพียงเท่านั้น มิลลิยังเป็นศิลปินหญิงไทยคนแรกที่ได้ขึ้นแสดงในเวที Coachella พร้อมสร้างไวรัลข้าวเหนียวมะม่วง กระตุ้นยอดขายผลไม้ไทยในตลาดโลกเพิ่มขึ้นในช่วงปี 2565 อีกทั้งยังมีบทบาทในฐานะศิลปินแร็ปเปอร์หญิงรุ่นใหม่ที่ได้รับการยอมรับในวงการเพลงระดับนานาชาติ

มิลลิในบทบาทนักมวยหญิง

ก่อนหน้านี้ มิลลิสร้างเซอร์ไพรส์ให้แฟนคลับด้วยการขึ้นชกมวยไทยในรายการ FAIRTEX FIGHT มวยมันพันธุ์เอ็กซ์ตรีม ที่เวทีมวยลุมพินี รามอินทรา พิกัด 50 กิโลกรัม ภายใต้ชื่อ “อำนวยจิต สิทธิ์แลกซื้อ” แม้จะแพ้ให้กับจีตัว จินสือ นักชกสาวจีน แต่ได้รับเสียงชื่นชมจากผู้ชมทั่วโลกทั้งในแง่ของความกล้าและการส่งเสริมศิลปะมวยไทยในคนรุ่นใหม่

วิเคราะห์ผลลัพธ์และความสำเร็จของ Soft Power ไทย

การแสดงของมิลลิและบัวขาวใน Head in the Clouds สะท้อนให้เห็นศักยภาพของ Soft Power ไทยในการสร้างกระแสระดับโลก ทั้งดนตรี แฟชั่น อาหาร และศิลปะการต่อสู้ ถูกนำเสนออย่างมีชั้นเชิง สร้างภาพจำใหม่ๆ ของประเทศไทยในสายตาชาวโลก ตอกย้ำการเป็น “ผู้นำด้าน Soft Power” แห่งเอเชีย

เหตุการณ์นี้ยังช่วยตอกย้ำยุทธศาสตร์การส่งออกวัฒนธรรมไทยให้เป็นที่รู้จักและยอมรับมากขึ้นในตลาดโลก ส่งผลเชิงบวกต่อการท่องเที่ยว เศรษฐกิจสร้างสรรค์ และอุตสาหกรรมบันเทิงไทยในระยะยาว

สถิติที่เกี่ยวข้องและแหล่งอ้างอิง

  • มิลลิเป็นศิลปินหญิงไทยคนแรกที่ขึ้นแสดงใน Coachella (2022) ทำไวรัลข้าวเหนียวมะม่วง เพิ่มยอดส่งออกข้าวเหนียว-มะม่วง 2 เท่า (กระทรวงพาณิชย์, 2565)
  • บัวขาว บัญชาเมฆ มีสถิติการชกอาชีพกว่า 350 ไฟต์ ชนะมากกว่า 240 ไฟต์ (บัญชาเมฆ ยิม, 2567)
  • Head in the Clouds Festival จัดโดย 88rising, ปี 2568 มีผู้เข้าร่วมกว่า 50,000 คน (เว็บไซต์ 88rising)
  • อุตสาหกรรมดนตรีไทยปี 2566–2567 มูลค่าตลาดรวมกว่า 3,100 ล้านบาท (ศูนย์วิจัยกสิกรไทย)
  • ศิลปินไทยขึ้นเวที Head in the Clouds Festival ได้แก่ มิลลิ, 4EVE, ร่วมสร้าง Soft Power ไทย (กรมส่งเสริมวัฒนธรรม)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • กรมส่งเสริมวัฒนธรรม
  • บัญชาเมฆ ยิม
  • กระทรวงพาณิชย์
  • เว็บไซต์ 88rising
  • ศูนย์วิจัยกสิกรไทย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
CULTURE

นายกฯ หนุนผ้าไทย ใส่สนุก สงกรานต์นี้ อุดหนุนเลย

นายกฯ แพทองธาร ชู “ผ้าไทยใส่ให้สนุก” รับสงกรานต์ 2568 ดัน Soft Power วัฒนธรรมไทย สร้างรายได้ชุมชนอย่างยั่งยืน

ประเทศไทย, 10 เมษายน 2568 – บรรยากาศการเตรียมพร้อมเข้าสู่เทศกาลสงกรานต์ 2568 ไม่เพียงแต่สะท้อนถึงความสุขของคนไทยทั่วประเทศ แต่ยังเป็นโอกาสสำคัญที่รัฐบาลไทยใช้เป็นเวทีขับเคลื่อนนโยบาย Soft Power ด้านวัฒนธรรม โดยเฉพาะการส่งเสริมการใช้ผ้าไทยให้เป็นที่นิยมอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดเมื่อวันที่ 8 เมษายน 2568 น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยคณะรัฐมนตรี ได้เยี่ยมชมการจัดแสดงและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ผ้าไทย ณ ชั้น 1 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล โดยมีการจัดกิจกรรมภายใต้แนวพระดำริ “ผ้าไทยใส่ให้สนุก

รัฐบาลหนุนผ้าไทยสู่ Sustainable Fashion ขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก

การเยี่ยมชมในครั้งนี้ได้รับการต้อนรับจาก นายสยาม ศิริมงคล อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน และผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงมหาดไทย โดยมีการจัดนิทรรศการแสดงผลงานผ้าไทยจากกลุ่มผู้ประกอบการทั่วประเทศ ทั้งผ้าไหม ผ้าฝ้าย ผ้าบาติก และผ้าลายพระราชทาน ที่ได้รับคำแนะนำจาก สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา จนเกิดเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีความสวยงาม ทันสมัย ใช้วัสดุธรรมชาติ และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า “วันนี้เราไม่ได้มองผ้าไทยแค่ในฐานะเครื่องแต่งกายอีกต่อไป แต่คือ Soft Power ที่มีคุณค่าทั้งทางวัฒนธรรมและเศรษฐกิจ เป็นเครื่องมือที่ช่วยสร้างรายได้ กระจายโอกาสให้ถึงมือชุมชน โดยเฉพาะกลุ่มทอผ้าในพื้นที่ห่างไกล”

ผ้าไทย = รายได้คนไทย เมื่อแฟชั่นเชื่อมต่อกับความยั่งยืน

นายกรัฐมนตรีกล่าวเพิ่มเติมว่า ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ปีนี้ รัฐบาลขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนร่วมกันอุดหนุนผ้าไทย ไม่ว่าจะซื้อไว้ใส่เอง ใช้ในกิจกรรมประเพณีหรือมอบเป็นของขวัญให้ผู้หลักผู้ใหญ่ เพื่อสืบสานภูมิปัญญาไทยและเป็นการหมุนเวียนเศรษฐกิจภายในประเทศ

“ทุกบาทที่เราจ่ายไปกับผ้าไทย ไม่ใช่แค่การซื้อผ้า แต่คือการลงทุนในคุณค่าของชุมชน ทุนทางวัฒนธรรม และคุณภาพชีวิตของคนไทย” นายกรัฐมนตรีเน้นย้ำ

ความร่วมมือจากทุกภาคส่วน รากฐานของการพัฒนา

กลุ่มผู้ประกอบการที่นำผลิตภัณฑ์เข้าร่วมในงาน ได้แก่

  • ศูนย์การเรียนรู้และออกแบบขวัญตา จ.หนองบัวลำภู
  • กลุ่มผ้าทอลายมงคลมนตราธิกาญจน์ จ.กาฬสินธุ์
  • กลุ่มยาริงบาติก จ.ปัตตานี

กลุ่มเหล่านี้ไม่เพียงเป็นผู้ชนะจากการประกวดผ้าลายพระราชทานเท่านั้น แต่ยังเป็นแบบอย่างของความสำเร็จในการพัฒนาแบรนด์ท้องถิ่นไปสู่ตลาดระดับประเทศและสากล

ผ้าไทยใส่ให้สนุก” = ความงาม + ความภูมิใจ + ความยั่งยืน

แนวพระดำริ “ผ้าไทยใส่ให้สนุก” ไม่ใช่เพียงแนวคิดเชิงวัฒนธรรม แต่สะท้อนวิสัยทัศน์ที่มุ่งให้คนไทยทุกกลุ่มสามารถเข้าถึงผ้าไทยได้ง่ายขึ้น ในราคาที่จับต้องได้ พร้อมรูปแบบที่ทันสมัย เหมาะกับไลฟ์สไตล์ในทุกโอกาส ไม่ว่าจะในสำนักงาน ชุมชน หรือเทศกาล

การออกแบบที่ร่วมสมัย การใช้สีจากธรรมชาติ และการพัฒนาระบบการผลิตที่ปลอดภัยต่อสิ่งแวดล้อม ล้วนเป็นองค์ประกอบของแนวคิด “Sustainable Fashion” ที่ประเทศไทยกำลังผลักดันสู่เวทีโลก

Soft Power ที่เป็นมากกว่าวัฒนธรรม คือเครื่องมือพัฒนาเศรษฐกิจ

รัฐบาลได้กำหนดนโยบายผลักดัน Soft Power เป็นหนึ่งในเครื่องมือสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในภาคชนบทที่มีทุนวัฒนธรรมอยู่มาก การพัฒนาเครือข่ายผ้าทอชุมชน จึงเป็นการสร้างรายได้อย่างยั่งยืนโดยไม่ทำลายรากเหง้าแห่งภูมิปัญญา

กรมการพัฒนาชุมชนระบุว่า กลุ่มผู้ผลิตผ้าไทยทั่วประเทศกว่า 12,400 กลุ่ม สามารถสร้างมูลค่ารวมกว่า 8,900 ล้านบาท/ปี และมีแนวโน้มเติบโตเฉลี่ย 7–9% ต่อปี หลังการสนับสนุนจากนโยบายของรัฐ

บทวิเคราะห์ ผ้าไทยในโลกเศรษฐกิจสร้างสรรค์

ในยุคที่ผู้บริโภคทั่วโลกหันมาให้ความสำคัญกับสินค้าที่มีที่มาชัดเจนและมีความยั่งยืน ผ้าไทยไม่ใช่เพียงเครื่องนุ่งห่ม แต่คือ “สินค้าเชิงวัฒนธรรม” ที่มีโอกาสขยายตลาดอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

การสนับสนุนของนายกรัฐมนตรีในครั้งนี้ไม่เพียงแต่สร้างกระแสเชิงสัญลักษณ์ แต่ยังสะท้อนเจตนารมณ์ในการ “ยกระดับผ้าไทย” ให้มีบทบาทในเวทีแฟชั่นระดับโลก โดยใช้สงกรานต์ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่คนไทยให้ความสำคัญกับการแต่งกายพื้นถิ่น เป็นเวทีผลักดันให้ “ผ้าไทยใส่ให้สนุก” เป็นวาระแห่งชาติอย่างแท้จริง

สถิติที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาข่าว

  • กลุ่มผู้ผลิตผ้าไทยทั่วประเทศ: 12,407 กลุ่ม (ข้อมูลจากกรมการพัฒนาชุมชน, มี.ค. 2568)
  • มูลค่าการจำหน่ายผ้าไทยในประเทศ ปี 2567: ประมาณ 8,900 ล้านบาท
  • อัตราการเติบโตของยอดขายผ้าไทยหลังการส่งเสริมจากรัฐ: เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 7–9% ต่อปี
  • ประชาชนที่ซื้อผ้าไทยเป็นของขวัญช่วงเทศกาลสงกรานต์ ปี 2567: กว่า 2.3 ล้านคน (จากผลสำรวจโดยศูนย์วิจัยแฟชั่นและวัฒนธรรม ม.ราชภัฏเชียงใหม่)
  • กลุ่มผู้ผลิตผ้าที่เข้าร่วมงานแสดงที่ทำเนียบรัฐบาล 8 เม.ย. 2568: มากกว่า 30 กลุ่มจาก 20 จังหวัด
  • ยอดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ผ้าไทยในงานครั้งนี้ (เบื้องต้น): รวมมากกว่า 1.2 ล้านบาท (จากข้อมูลกรมการพัฒนาชุมชน ณ วันจัดงาน)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • กรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย
  • ศูนย์วิจัยแฟชั่นและวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่
  • สมาคมส่งเสริมผ้าไทยแห่งประเทศไทย
  • สำนักข่าวทำเนียบรัฐบาล
  • รายงานนโยบาย Soft Power สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
  • สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดต่าง ๆ
  • ข้อมูลโครงการ Thailand Textile Sustainable ปี 2566
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

โครงการสืบสาน อนุรักษ์ ประเพณีวัฒนธรรม 4 ชนเผ่า ประจำปี 2568 ที่บ้านปางขอน จ.เชียงราย

โครงการสืบสาน อนุรักษ์ ประเพณีวัฒนธรรม 4 ชนเผ่า ประจำปี 2568 ที่บ้านปางขอน จ.เชียงราย

เมื่อวันที่ 9 มกราคม 2568 ณ สนามโรงเรียนจีนบ้านปางขอน ม.7 ต.ห้วยชมภู อ.เมืองเชียงราย จ.เชียงราย ได้มีการจัดพิธีเปิดโครงการ “สืบสาน อนุรักษ์ ประเพณีวัฒนธรรม 4 ชนเผ่า” ประจำปี 2568 ซึ่งได้รับเกียรติจาก นายวิรัตน์ วงศ์มา แรงงานจังหวัดเชียงราย เป็นประธานในพิธีเปิดงาน โดยมี นายยุทธชัย ไอ่ดอ นายกองค์การบริหารส่วนตำบลห้วยชมภู (อบต.ห้วยชมภู) นำคณะผู้บริหาร ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ร่วมจัดกิจกรรมในครั้งนี้

บรรยากาศในงานเต็มไปด้วยความสนุกสนานและสีสันสดใสจากการแต่งกายในชุดชนเผ่าของผู้ร่วมงาน ซึ่งประกอบไปด้วยผู้แทนจากหน่วยงานราชการ เอกชน ผู้นำชุมชน และชาวบ้านในพื้นที่จำนวนมาก

ส่งเสริมการเรียนรู้และอนุรักษ์วัฒนธรรมชนเผ่า

นายยุทธชัย ไอ่ดอ กล่าวว่า กิจกรรมสืบสาน อนุรักษ์ ประเพณีวัฒนธรรม 4 ชนเผ่านี้ จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี โดยปีนี้เลือกจัดที่โรงเรียนจีนบ้านปางขอน เพื่อเป็นการสร้างโอกาสให้ประชาชนและเยาวชนได้เรียนรู้ถึงขนบธรรมเนียม ประเพณี และวัฒนธรรมของชนเผ่าต่าง ๆ ในท้องถิ่น

การจัดงานนี้ยังมีเป้าหมายเพื่อปลูกจิตสำนึกในการอนุรักษ์และสืบสานวัฒนธรรมชนเผ่า รวมถึงนำเสนอวัฒนธรรมเหล่านี้ให้กับนักท่องเที่ยวและสาธารณชนได้รับรู้อย่างกว้างขวาง อีกทั้งยังช่วยประชาสัมพันธ์แหล่งท่องเที่ยวในพื้นที่ให้เป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น

กิจกรรมที่หลากหลายเพื่ออนุรักษ์วัฒนธรรม

กิจกรรมในงานประกอบด้วยนิทรรศการวิถีชีวิตของชนเผ่า 4 ชนเผ่าหลัก ได้แก่

  • ชนเผ่าอาข่า
  • ชนเผ่าลาหู่
  • ชนเผ่าอิ้วเมี่ยน
  • ชนเผ่าลีซู

นอกจากนี้ ยังมีการแสดงวัฒนธรรมประจำชนเผ่า เช่น การละเล่นพื้นบ้าน การเต้นรำตามเทศกาลดั้งเดิม และการแสดงที่ปรับปรุงให้ทันสมัย เพื่อให้สอดคล้องกับยุคปัจจุบัน

ความร่วมมือจากทุกภาคส่วน

นายยุทธชัย กล่าวเสริมว่า งานนี้ได้รับความร่วมมืออย่างดียิ่งจากกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน สมาชิก อบต.ห้วยชมภู รวมถึงเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานราชการต่าง ๆ ในพื้นที่ ทั้งในด้านบุคลากร แรงกาย และแรงใจ

การมีส่วนร่วมของประชาชนในพื้นที่ก็เป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ทำให้งานนี้สำเร็จลุล่วง โดยทุกคนได้ร่วมมือกันเพื่อสืบทอดประเพณีอันทรงคุณค่าให้คงอยู่ต่อไป

ส่งเสริมการท่องเที่ยวผ่านวัฒนธรรม

นอกจากจะเป็นการอนุรักษ์วัฒนธรรมแล้ว งานนี้ยังเป็นช่องทางสำคัญในการส่งเสริมศักยภาพด้านการท่องเที่ยวในพื้นที่ อ.เมืองเชียงราย ซึ่งไม่เพียงแต่ช่วยประชาสัมพันธ์วัฒนธรรมชนเผ่า ยังช่วยให้จังหวัดเชียงรายเป็นที่รู้จักในฐานะเมืองที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรม

ข้อสรุป

กิจกรรม “สืบสาน อนุรักษ์ ประเพณีวัฒนธรรม 4 ชนเผ่า” เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่แสดงถึงความร่วมมือร่วมใจของประชาชนและหน่วยงานต่าง ๆ ในการสืบทอดวัฒนธรรมอันล้ำค่าให้ยังคงอยู่ และสร้างโอกาสใหม่ ๆ ให้กับการพัฒนาท้องถิ่นในด้านวัฒนธรรมและการท่องเที่ยว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

พิธีตักบาตรปีใหม่เชียงราย 2568 เสริมสิริมงคล ต้อนรับความสุข

พิธีอัญเชิญพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์และตักบาตรรับปีใหม่ เชียงราย ปี 2568

เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2568 ที่บริเวณแยกสุริวงค์ ถนนธนาลัย อำเภอเมืองเชียงราย เทศบาลนครเชียงรายได้จัดพิธีอัญเชิญพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์จาก 9 วัด ประดิษฐานบนราชรถบุษบกศิลปะล้านนา 9 คัน พร้อมพิธีทำบุญตักบาตรข้าวสารอาหารแห้ง เนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ พ.ศ. 2568

พิธีนี้มีพระรัตนมุนี ที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดเชียงราย เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ และนายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานฝ่ายฆราวาส โดยมีนางสินีนาฏ ทองสุข นายกเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงราย รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย นายกเทศมนตรีนครเชียงราย เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายกสมาคมกีฬาแห่งจังหวัดเชียงราย ผู้บริหารเทศบาลนครเชียงราย พุทธศาสนิกชนชาวจังหวัดเชียงราย และนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติเข้าร่วมพิธีอย่างคับคั่ง

ราชรถบุษบก 9 คันแห่งศรัทธา

ราชรถบุษบกที่ใช้ประดิษฐานพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ทั้ง 9 องค์ ถูกออกแบบและสร้างสรรค์ด้วยศิลปะล้านนาที่วิจิตรบรรจง สะท้อนเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมและความเชื่อของชาวล้านนา โดยราชรถเหล่านี้ถูกใช้ในพิธีสำคัญที่เชียงรายมาตลอดหลายปี ทั้งยังเป็นสัญลักษณ์แห่งความเป็นสิริมงคลที่สร้างแรงศรัทธาให้แก่ผู้พบเห็น

พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ทั้ง 9 องค์ ได้แก่

  1. พระพุทธสิหิงค์
  2. พระพุทธชินราชจำลอง
  3. พระแก้วมรกตจำลอง
  4. พระพุทธเมตตา
  5. พระพุทธโสธรจำลอง
  6. พระพุทธไตรรัตนนายก
  7. พระพุทธมหามุนีจำลอง
  8. พระพุทธปางลีลา
  9. พระพุทธชินบัญชรจำลอง

ตักบาตรปีใหม่ สืบสานวัฒนธรรมไทย

พิธีทำบุญตักบาตรในครั้งนี้จัดขึ้นต่อเนื่องเป็นปีที่ 25 โดยมีพระภิกษุสงฆ์และสามเณรจากวัดต่างๆ ในเขตเทศบาลนครเชียงราย จำนวน 129 รูป ออกรับบิณฑบาตจากประชาชนและนักท่องเที่ยวที่มาร่วมงาน ตั้งแต่แยกสุริวงค์ ถนนธนาลัย ไปจนถึงแยกศาลแขวงเชียงราย รวมระยะทางกว่า 1 กิโลเมตร

บรรยากาศภายในงานเต็มไปด้วยความศรัทธาและความอบอุ่น ประชาชนจำนวนมากร่วมกันทำบุญตักบาตรข้าวสาร อาหารแห้ง และดอกไม้เพื่อความเป็นสิริมงคลในวันเริ่มต้นปีใหม่ ทั้งยังถือเป็นการส่งเสริมและสืบสานประเพณีอันดีงามของชาวไทย

ความสำคัญของพิธี

พิธีอัญเชิญพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์และทำบุญตักบาตรในวันขึ้นปีใหม่ ไม่เพียงเป็นการเสริมสิริมงคลให้แก่ชีวิต แต่ยังสะท้อนถึงความร่วมมือของชุมชนในการสืบสานวัฒนธรรมไทยที่งดงาม อีกทั้งยังเป็นโอกาสที่ดีให้ประชาชนได้แสดงความกตัญญูและความเคารพต่อพระพุทธศาสนา

นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย กล่าวว่า “พิธีนี้เป็นประเพณีสำคัญที่ชาวเชียงรายร่วมกันสืบสานมายาวนานกว่า 2 ทศวรรษ ถือเป็นการเริ่มต้นปีใหม่ที่เปี่ยมด้วยศรัทธาและความสุข อีกทั้งยังส่งเสริมภาพลักษณ์ของเชียงรายในฐานะเมืองแห่งวัฒนธรรมล้านนาและการท่องเที่ยวเชิงศาสนา”

ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกสารทิศ

นอกจากจะเป็นพิธีที่สำคัญต่อชาวเชียงรายแล้ว ยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ดึงดูดผู้คนจากทั่วประเทศและชาวต่างชาติให้มาสัมผัสบรรยากาศของประเพณีไทยที่งดงาม พิธีนี้จึงมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมการท่องเที่ยวของจังหวัดเชียงราย

เทศบาลนครเชียงรายได้ย้ำถึงความพร้อมในการจัดงาน พร้อมเชิญชวนทุกคนมาร่วมสัมผัสความงดงามและศรัทธาในปีหน้า เพื่อสืบสานประเพณีนี้ต่อไปอย่างยั่งยืน

พิธีอัญเชิญพระพุทธรูปและตักบาตรปีใหม่ที่เชียงราย เป็นมากกว่าพิธีกรรมทางศาสนา แต่เป็นสะพานเชื่อมโยงชุมชนและวัฒนธรรมไทยให้ยืนยาวต่อไปในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
CULTURE

“พระเจ้าตอง” คืนสู่ ‘พะเยา’ หลังสูญหายกว่า 36 ปี

“พระเจ้าตอง” โบราณวัตถุสำคัญของไทย กลับคืนสู่พะเยาหลังสูญหายกว่า 36 ปี

เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2567 นางสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานในพิธีรับมอบ “พระเจ้าตอง” พระพุทธรูปสำคัญของจังหวัดพะเยา ณ พระที่นั่งอิศราวินิจฉัย พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร โดยมีนายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ ประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) และนายพนมบุตร จันทรโชติ อธิบดีกรมศิลปากร เข้าร่วมงาน

“พระเจ้าตอง” หรือ “หลวงพ่อลอ” เป็นพระพุทธรูปศิลปะล้านนาอันทรงคุณค่า หล่อด้วยสัมฤทธิ์ ตักกว้าง 78 เซนติเมตร สูง 110 เซนติเมตร มีอิทธิพลศิลปะสุโขทัยผสมผสาน เดิมประดิษฐานที่วัดศรีปิงเมือง บ้านเวียงลอ ตำบลลอ อำเภอจุน จังหวัดพะเยา พระพุทธรูปองค์นี้สูญหายไปตั้งแต่ปลายปี 2531 หลังถูกโจรกรรม โดยมีการตัดฐานองค์พระ และไม่มีเบาะแสอีกเลย จนกระทั่งเดือนสิงหาคม 2567 กรมศิลปากรได้รับแจ้งจากนายวิสุทธิ์ ว่าพบพระพุทธรูปที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับพระเจ้าตองปรากฏในสถานประมูลโบราณวัตถุในประเทศสวิตเซอร์แลนด์

กรมศิลปากรจึงประสานงานกับผู้ครอบครองและสถานประมูล จนนำพระพุทธรูปองค์นี้กลับคืนสู่ประเทศไทยในวันที่ 24 ตุลาคม 2567 หลังจากการตรวจพิสูจน์โดยใช้หลักฐานภาพถ่ายและข้อมูลเก่าตั้งแต่ปี 2528 พบว่าลักษณะศิลปะ ชายสังฆาฏิ และตำหนิต่าง ๆ ตรงกับพระเจ้าตองดั้งเดิม จึงสามารถยืนยันได้ว่าพระพุทธรูปองค์นี้คือพระเจ้าตอง

นางสุดาวรรณกล่าวว่า การนำพระเจ้าตองกลับมาสู่แหล่งกำเนิดในครั้งนี้เป็นความร่วมมือระหว่างหลายภาคส่วน ทั้งภาครัฐและเอกชน โดยพระเจ้าตองจะถูกอัญเชิญกลับไปประดิษฐาน ณ วัดศรีปิงเมือง จังหวัดพะเยา เพื่อเป็นศูนย์รวมจิตใจและศักดิ์สิทธิ์ของชาวพะเยา

ชายสังฆาฏิ ลวดลายเอกลักษณ์ของพระเจ้าตอง

นายพนมบุตร อธิบดีกรมศิลปากรกล่าวว่า การตรวจพิสูจน์พบลักษณะเฉพาะตัวของพระเจ้าตอง เช่น ร่องรอยสีแดงเดิมบริเวณริมฝีปากและนัยน์ตา ตำหนิที่หน้าผาก และลวดลายชายสังฆาฏิ ซึ่งตรงกับบันทึกเดิมของฝ่ายทะเบียน กองพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ

การติดตามโบราณวัตถุของไทยในต่างแดน

ปัจจุบันยังมีโบราณวัตถุอีกกว่า 130 ชิ้นที่อยู่ในแผนการติดตามกลับคืน โดยภาคเอกชนได้มีบทบาทสำคัญในการช่วยประสานงาน การนำพระเจ้าตองกลับสู่ประเทศไทยจึงเป็นความสำเร็จที่สร้างความหวังให้กับการดำเนินงานในอนาคต

ประชาชนสามารถเข้าสักการะพระเจ้าตองได้ที่พระที่นั่งอิศราวินิจฉัย พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ก่อนจะถูกอัญเชิญกลับไปยังจังหวัดพะเยา

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงวัฒนธรรม

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
TOP STORIES

ต้มยำกุ้งขึ้นทะเบียนยูเนสโก มรดกวัฒนธรรมโลกปี 2567

ยูเนสโกขึ้นทะเบียน “ต้มยำกุ้ง” มรดกวัฒนธรรมของมนุษยชาติปี 2567

เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2567 นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (รมว.วธ.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลเพื่อการสงวนรักษามรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ ครั้งที่ 19 ของ ยูเนสโก ณ นครอซุนซิออน สาธารณรัฐปารากวัย มีมติรับรองให้ “ต้มยำกุ้ง” อาหารชื่อดังของไทย ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ ประจำปี 2567 ต่อจาก โขน, นวดไทย, โนรา, และสงกรานต์

ภูมิปัญญาไทยที่สะท้อนวิถีชีวิต

รมว.วธ. ระบุว่า “ต้มยำกุ้ง” ได้รับการประกาศขึ้นบัญชีมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติเมื่อปี พ.ศ. 2554 ในสาขาความรู้และการปฏิบัติเกี่ยวกับธรรมชาติและจักรวาล โดยต้มยำกุ้งสะท้อนถึงวิถีชีวิตเรียบง่ายของชาวไทยในชุมชนเกษตรกรรม โดยใช้วัตถุดิบธรรมชาติในท้องถิ่น เช่น กุ้ง, ข่า, ตะไคร้, ใบมะกรูด, มะนาว, และพริก มาปรุงรสแบบจัดจ้าน

Soft Power ไทยบนเวทีโลก

ปัจจุบัน ต้มยำกุ้งได้รับความนิยมทั่วโลก และเป็นตัวอย่างของ Soft Power ด้านอาหารที่กระทรวงวัฒนธรรมให้การสนับสนุน โดยจะมีการส่งเสริมเมนูต้มยำกุ้งให้เป็นส่วนหนึ่งของโปรแกรมการท่องเที่ยว เมนูสำคัญในงานประชุมระดับนานาชาติ และเป็นเมนูที่ต้องลองเมื่อมาเยือนประเทศไทย

รมว.วธ. ยังกล่าวว่า กระทรวงวัฒนธรรมเตรียมขับเคลื่อนเศรษฐกิจทางวัฒนธรรม โดยใช้ต้มยำกุ้งเป็นตัวเชื่อมโยงกับอุตสาหกรรมภาพยนตร์, ละคร, เกม และรายการโทรทัศน์ รวมถึงร่วมมือกับธุรกิจการท่องเที่ยว โรงแรม และภัตตาคาร เพื่อจัดแคมเปญส่งเสริมยอดขายเมนูต้มยำกุ้ง

กิจกรรมฉลองความสำเร็จ

เนื่องในโอกาสที่ “ต้มยำกุ้ง” ได้รับการขึ้นทะเบียน กระทรวงวัฒนธรรมจัดงาน “ฉลองต้มยำกุ้งและเคบายา มรดกวัฒนธรรมของมนุษยชาติ” ระหว่างวันที่ 6-8 ธันวาคม 2567 ณ Quartier Avenue ชั้น G ศูนย์การค้าเอ็มควอเทียร์ ภายในงานจะมี:

  • พิธีเปิดงานโดย รมว.วธ.
  • การสาธิตทำต้มยำกุ้งโดยเชฟชื่อดัง เช่น เชฟไอซ์ ศุภักษร และ เชฟตุ๊กตา
  • แฟชั่นโชว์ชุด “เคบายา” และนิทรรศการอาหารเปอรานากัน
  • การแสดงทางวัฒนธรรม และการชิมต้มยำกุ้งฟรี

เคบายา: มรดกอีกหนึ่งรายการที่รอรับรอง

นอกจากนี้ ในวันที่ 4 ธันวาคม 2567 เวลา 19.30 – 22.30 น. ตามเวลาไทย ชาวไทยยังมีโอกาสลุ้นอีกหนึ่งรายการมรดกวัฒนธรรมคือ “เคบายา” ที่เสนอขอขึ้นทะเบียนร่วม 5 ประเทศ ได้แก่ มาเลเซีย, บรูไน, อินโดนีเซีย, สิงคโปร์ และไทย

การผลักดันต่อยอด

การได้รับการขึ้นทะเบียนมรดกฯ ของ “ต้มยำกุ้ง” ถือเป็นการส่งเสริมคุณค่าทางวัฒนธรรมของไทยในระดับสากล พร้อมกระตุ้นเศรษฐกิจจากรากฐานวัฒนธรรมในทุกมิติ โดยกระทรวงวัฒนธรรมมุ่งผลักดันให้เกิดการรับรู้ถึงคุณค่าอันลึกซึ้งของเมนูต้มยำกุ้ง และใช้เป็นแรงขับเคลื่อนเพื่อสร้างรายได้และความมั่นคงทางเศรษฐกิจให้กับประเทศไทยในอนาคต.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงวัฒนธรรม

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เทศบาลนครเชียงราย ผนึกกำลัง พัฒนาการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม

เชียงรายเดินหน้ายกระดับการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม สร้างเศรษฐกิจฐานราก

เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2567 เทศบาลนครเชียงราย ร่วมกับพันธมิตรทั้งภาครัฐและภาคเอกชน เดินหน้าขับเคลื่อนโครงการยกระดับการท่องเที่ยวและบริการเชิงสร้างสรรค์บนฐานภูมิปัญญาและวัฒนธรรม เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและสร้างเศรษฐกิจฐานรากให้เติบโตอย่างยั่งยืน

ความร่วมมือเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน

ในการนี้ นายวันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย ได้ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย ชุมชนดอยสะเก็น ชุมชนสันป่าก่อไทยใหญ่ และชุมชนป่างิ้ว เพื่อร่วมกันพัฒนาโครงการดังกล่าว โดยมีเป้าหมายหลักคือการนำเอาภูมิปัญญาและวัฒนธรรมท้องถิ่นมาสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์และบริการทางการท่องเที่ยว

มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย: ผู้ขับเคลื่อนงานวิจัยและพัฒนา

มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย ในฐานะหน่วยงานทางวิชาการ จะเข้ามามีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนงานวิจัยและพัฒนาโครงการ โดยจะนำองค์ความรู้ทางวิชาการมาประยุกต์ใช้ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการทางการท่องเที่ยวให้มีความน่าสนใจและตอบสนองความต้องการของตลาด

ชุมชนท้องถิ่น: ผู้สร้างสรรค์และผู้ได้รับประโยชน์โดยตรง

ชุมชนท้องถิ่นทั้งสามแห่ง ได้แก่ ชุมชนดอยสะเก็น ชุมชนสันป่าก่อไทยใหญ่ และชุมชนป่างิ้ว จะมีส่วนร่วมในการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์และบริการทางการท่องเที่ยว โดยนำเสนอเอกลักษณ์และวัฒนธรรมของตนเอง ซึ่งจะส่งผลให้ชุมชนมีรายได้เพิ่มขึ้นและเกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน

การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม: กุญแจสำคัญสู่การพัฒนาเศรษฐกิจ

การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมเป็นหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของจังหวัดเชียงราย โดยการนำเสนอเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมที่หลากหลายของชุมชน จะดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติให้มาเยือน ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการจ้างงานและสร้างรายได้ให้กับชุมชน

ผลกระทบที่คาดว่าจะเกิดขึ้น

โครงการนี้คาดว่าจะก่อให้เกิดผลกระทบเชิงบวกต่อจังหวัดเชียงราย ดังนี้

  • การพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก: สร้างรายได้ให้กับชุมชนและผู้ประกอบการท้องถิ่น
  • การอนุรักษ์และส่งเสริมวัฒนธรรม: ช่วยอนุรักษ์และสืบทอดมรดกทางวัฒนธรรมของชุมชน
  • การสร้างงาน: สร้างโอกาสทางการงานให้กับคนในชุมชน
  • การพัฒนาการท่องเที่ยว: ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาเยือนจังหวัดเชียงรายมากขึ้น

บทสรุป

โครงการยกระดับการท่องเที่ยวและบริการเชิงสร้างสรรค์บนฐานภูมิปัญญาและวัฒนธรรม เป็นโครงการที่สำคัญในการพัฒนาจังหวัดเชียงรายให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจและยั่งยืน โดยการนำเอาศักยภาพของชุมชนและทรัพยากรทางวัฒนธรรมมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : เทศบาลนครเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI

เชียงรายจัดงานใหญ่ สืบสานวัฒนธรรมล้านนา

สำนักงานวัฒนธรรมเชียงรายร่วมจัดงานเทศกาล “จิสีสาย ก๋องหลัวปูจา เผาตี๋นก๋า วันตาแม่พระเจ้า” ฟื้นฟูวัฒนธรรมล้านนา

เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2567 เวลา 15.00 น. ณ วัดดอนไชย ตำบลศรีดอนไชย อำเภอเทิง จังหวัดเชียงราย สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย ได้ร่วมกับหน่วยงานท้องถิ่นและมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย จัดงานเทศกาลวัฒนธรรมท้องถิ่นภายใต้ชื่อ “จิสีสาย ก๋องหลัวปูจา เผาตี๋นก๋า วันตาแม่พระเจ้า” ซึ่งจัดขึ้นเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์วัฒนธรรมและประเพณีของชุมชนบ้านแม่ลอยหลวง โดยมุ่งเน้นการฟื้นฟูและสืบสานคุณค่าทุนวัฒนธรรมท้องถิ่น เพื่อสร้างความตระหนักถึงมรดกภูมิปัญญาท้องถิ่นและยกระดับคุณภาพชีวิตของชาวบ้าน

การขับเคลื่อนทุนทางวัฒนธรรมโดยมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย

โครงการนี้ได้รับการสนับสนุนจาก สำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (ววน.) และหน่วยบริหารจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) ประจำปีงบประมาณ 2567 โดยมีมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงรายเป็นผู้ดำเนินการวิจัยเพื่อศึกษาและส่งเสริมทุนทางวัฒนธรรมของชุมชนบ้านแม่ลอยหลวง งานวิจัยครั้งนี้มุ่งเน้นการใช้ทรัพยากรทางวัฒนธรรมในการสร้างรายได้และพัฒนาชุมชน

กิจกรรมภายในงานเพื่ออนุรักษ์วัฒนธรรมล้านนา

เทศกาลนี้จัดขึ้นในระหว่างวันที่ 14 – 15 พฤศจิกายน 2567 ณ วัดดอนไชย โดยมีการจัดกิจกรรมที่หลากหลาย เช่น การประกวดโคมแขวนล้านนา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของประเพณี ยี่เป็ง ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะของชาวล้านนา กิจกรรมการประกวดนี้จัดขึ้นเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมและจารีตประเพณีที่สืบทอดมาอย่างยาวนาน รวมถึงการจัดนิทรรศการนำเสนอผลงานวิจัยเกี่ยวกับการขับเคลื่อนทุนทางวัฒนธรรมของชุมชนบ้านแม่ลอยหลวง

การสาธิตและการแสดงผลิตภัณฑ์จากทุนวัฒนธรรมท้องถิ่น

ในงานยังมีกิจกรรมสาธิตการทำ แตะดอกไม้ ขนมเทียน ฝางประทีป และงานหัตถศิลป์พื้นบ้านที่ใช้ในเทศกาลยี่เป็ง ซึ่งเป็นการนำเสนอภูมิปัญญาท้องถิ่นเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้และสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้เข้าร่วมงาน โดยเฉพาะกลุ่มเยาวชนและเด็กที่ได้เข้าร่วมกิจกรรมการทำงานหัตถศิลป์พื้นบ้านนี้

นอกจากนี้ยังมีการแสดงสินค้าจากทุนวัฒนธรรม เช่น ผ้าทอพื้นเมือง และ ผลิตภัณฑ์ชุมชน เพื่อเป็นการสนับสนุนผู้ประกอบการในพื้นที่ให้สามารถขยายตลาดและเพิ่มรายได้อย่างยั่งยืน รวมถึงการแสดงมหรสพและการละเล่นพื้นบ้านที่ได้รับความนิยมในพื้นที่ภาคเหนือ

ปลูกฝังจิตสำนึกการอนุรักษ์วัฒนธรรมผ่านการมีส่วนร่วมของประชาชน

การจัดงานครั้งนี้ได้รับการตอบรับอย่างดีจากประชาชนในพื้นที่ มีผู้เข้าร่วมงานกว่า 300 คน รวมถึงเด็กและเยาวชนที่แต่งกายด้วยชุดล้านนาอย่างสวยงาม ทั้งนี้ยังมีการมอบเกียรติบัตรให้แก่ผู้ที่เข้าร่วมประกวดและผู้ที่แต่งกายล้านนางดงาม

นายพิสันต์ จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย และนางวนิดาพร ธิวงศ์ ผู้อำนวยการกลุ่มส่งเสริมศาสนา ศิลปะ และวัฒนธรรม ได้เข้าร่วมงานและกล่าวถึงความสำคัญของการจัดงานนี้ว่า “การอนุรักษ์และสืบสานวัฒนธรรมท้องถิ่นถือเป็นการรักษามรดกของชาติ และยังช่วยสร้างรายได้ให้กับชุมชนในระยะยาว”

ส่งเสริมความร่วมมือระหว่างหน่วยงานท้องถิ่นและชุมชน

โครงการนี้เกิดขึ้นได้ด้วยความร่วมมือระหว่างหลายหน่วยงาน ทั้งสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย องค์การบริหารส่วนตำบลศรีดอนไชย และวัดดอนไชย โดยมีพระครูโสภิตชัยสาร เจ้าอาวาสวัดดอนไชย เป็นผู้ประสานงานหลักในการจัดกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมความร่วมมือในการอนุรักษ์วัฒนธรรมและประเพณีท้องถิ่น

FAQs

  1. งานเทศกาล “จิสีสาย ก๋องหลัวปูจา” จัดขึ้นเมื่อไหร่?
    จัดขึ้นระหว่างวันที่ 14 – 15 พฤศจิกายน 2567 ณ วัดดอนไชย อำเภอเทิง จังหวัดเชียงราย

  2. วัตถุประสงค์ของการจัดงานครั้งนี้คืออะไร?
    เพื่ออนุรักษ์และฟื้นฟูวัฒนธรรมล้านนา รวมถึงส่งเสริมการสร้างรายได้จากทุนวัฒนธรรมท้องถิ่น

  3. ใครเป็นผู้สนับสนุนงานนี้?
    ได้รับการสนับสนุนจาก ววน. และ บพท. พร้อมความร่วมมือจากมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย

  4. กิจกรรมที่จัดขึ้นในงานมีอะไรบ้าง?
    ประกอบด้วยการประกวดโคมแขวนล้านนา นิทรรศการ การสาธิตหัตถศิลป์ และการแสดงมหรสพพื้นบ้าน

  5. การเข้าร่วมงานมีค่าใช้จ่ายหรือไม่?
    ไม่มีค่าใช้จ่ายในการเข้าร่วมงาน ประชาชนสามารถเข้าร่วมได้ฟรี

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ประเพณีลอยกระทงสันกลางเชียงราย ส่งเสริมวัฒนธรรมและความสามัคคี

งานประเพณีลอยกระทงตำบลสันกลาง อำเภอพาน จังหวัดเชียงราย ประจำปี 2567

เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2567 เวลา 20.00 น. นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการประเพณีลอยกระทงตำบลสันกลาง ประจำปี 2567 ณ บริเวณองค์การบริหารส่วนตำบลสันกลาง อำเภอพาน จังหวัดเชียงราย โดยมีนายทัศพงษ์ สุวรรณมงคล เลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย ว่าที่ร้อยตรี ปภาวิน ปวงใจ เลขานุการสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย และนายสุรเชษฐ วงศ์น้อย สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย อำเภอพาน เขต 2 ร่วมงานครั้งนี้ด้วย

ภายในงานมีคณะผู้บริหารตำบลสันกลาง ได้แก่ นายอลงกรณ์ ดีน้อย นายกองค์การบริหารส่วนตำบลสันกลาง นายภัทราวุธ ชุ่มอินจักร์ ประธานสภาองค์การบริหารส่วนตำบลสันกลาง และนายศรีวรรณ์ วงศ์จินา กำนันตำบลสันกลาง ร่วมให้การต้อนรับแขกผู้มีเกียรติและประชาชนที่มาร่วมงานอย่างอบอุ่น

การจัดงานประเพณีลอยกระทงตำบลสันกลางปีนี้ มุ่งส่งเสริมเยาวชนและประชาชนทุกวัยให้ได้มีส่วนร่วมในกิจกรรมสำคัญนี้ ซึ่งเป็นประเพณีที่มีการสืบสานมาแต่โบราณเพื่อแสดงความเคารพและขอบคุณแม่น้ำลำคลองที่ให้ชีวิตและความอุดมสมบูรณ์ โดยกิจกรรมครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่ออนุรักษ์และสืบทอดวัฒนธรรมไทยอันทรงคุณค่า พร้อมกับสร้างความสามัคคีในชุมชนและเสริมสร้างจิตสำนึกในการรักษาประเพณีวัฒนธรรมไทยให้ยั่งยืน

กิจกรรมภายในงานประกอบไปด้วย:

  1. การประกวดกระทง – ประชาชนและนักเรียนในพื้นที่ได้มีโอกาสแสดงความสามารถในการประดิษฐ์กระทงที่สวยงามและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
  2. การประกวดหนูน้อยนพมาศ – เพื่อส่งเสริมความน่ารักและการเรียนรู้เกี่ยวกับประเพณีของไทยให้กับเยาวชน
  3. การประกวดโคมไฟเครื่องแขวน – เป็นการนำเสนอศิลปะที่เป็นเอกลักษณ์ของชุมชน ซึ่งแสดงถึงความสามารถและความคิดสร้างสรรค์ของผู้เข้าร่วม
  4. การแข่งขันชกมวยไทย – กิจกรรมกีฬาที่สร้างความตื่นเต้นและความสนุกสนานให้กับผู้เข้าร่วมงาน
  5. เวทีดนตรีรำวง – เพื่อสร้างบรรยากาศแห่งความรื่นเริงและสนุกสนานให้กับประชาชนผู้มาร่วมงาน

งานประเพณีลอยกระทงในปีนี้จัดขึ้นโดยมีจุดประสงค์เพื่อส่งเสริมให้เยาวชนและประชาชนทั่วไปได้ร่วมกันอนุรักษ์และสืบสานประเพณีไทยที่มีมาอย่างยาวนาน นอกจากจะเป็นการแสดงถึงความกตัญญูต่อธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมแล้ว ยังช่วยให้ชุมชนมีความเข้มแข็งและเกิดความสามัคคีในการร่วมกิจกรรมที่สร้างความสุขและความสนุกสนานให้กับทุกคนที่เข้าร่วมงาน

นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย ได้กล่าวในพิธีเปิดงานว่า “การจัดงานลอยกระทงในปีนี้เป็นโอกาสที่ดีให้กับเยาวชนและประชาชนได้มีส่วนร่วมในการสืบสานประเพณีอันดีงามของชาติไทย เราหวังว่ากิจกรรมเหล่านี้จะเป็นที่ประทับใจและจดจำของผู้เข้าร่วมงานทุกท่าน และส่งเสริมให้คนรุ่นหลังได้ตระหนักถึงคุณค่าของประเพณีที่มีความสำคัญเช่นนี้”

นอกจากนี้ งานครั้งนี้ยังเป็นโอกาสที่ดีในการเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ความงดงามของวัฒนธรรมล้านนาให้กับคนรุ่นใหม่และนักท่องเที่ยวที่มาเยือนจังหวัดเชียงราย ซึ่งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่นและส่งเสริมการท่องเที่ยวในพื้นที่อีกด้วย

โดยสรุป งานประเพณีลอยกระทงตำบลสันกลางครั้งนี้ไม่เพียงแต่เป็นการอนุรักษ์วัฒนธรรมที่สำคัญของไทย แต่ยังส่งเสริมความสัมพันธ์ในชุมชน และสร้างบรรยากาศที่อบอุ่นและสนุกสนานให้กับทุกคนที่มาร่วมงาน ทั้งนี้ งานจะดำเนินไปจนถึงช่วงค่ำของวันที่ 15 พฤศจิกายน 2567 ซึ่งคาดว่าจะมีประชาชนเข้าร่วมเป็นจำนวนมาก

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : อบจ.เชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE