Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

จากประวัติศาสตร์สู่ Creative Economy! ถ้ำพระเชียงรายเปิดฐานเรียนรู้ ตอกลายโลหะ-ทำสวยกาบ ตามนโยบาย “ไท ไทย”

วธ.เชียงรายนำภาคีจัดพิธีใหญ่ “120 ปี รัชกาลที่ 6 เสด็จถ้ำพระ” เชื่อมถวายราชกุศลพระพันปีหลวง สืบสานภูมิปัญญาท้องถิ่นสู่เศรษฐกิจสร้างสรรค์อย่างยั่งยืน

เชียงราย, 11 ธันวาคม 2568 – บริเวณโบราณสถานถ้ำพระ อำเภอเมืองเชียงราย ในช่วงเช้าจรดเย็นของวันที่ 11 ธันวาคม 2568 เต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งความสงบ ศรัทธา และความภาคภูมิใจของคนท้องถิ่น เมื่อสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย (วธ.ชร.) ผนึกกำลังกับคณะสงฆ์ หน่วยงานท้องถิ่น สถาบันการศึกษา และภาคประชาชน จัดพิธีบำเพ็ญถวายราชกุศลครั้งสำคัญ ควบคู่กับกิจกรรมสืบสานภูมิปัญญาวัฒนธรรมในระดับพื้นที่อย่างเป็นระบบ

งานในครั้งนี้มี “สองวาระหลัก” ที่มีนัยสำคัญทั้งทางประวัติศาสตร์และสถาบันพระมหากษัตริย์ ได้แก่ การรำลึกครบรอบ 120 ปี ที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 6) เสด็จประพาสโบราณสถานถ้ำพระ เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2448 และพิธีบำเพ็ญถวายราชกุศลสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เนื่องในวันสวรรคต 24 ตุลาคม 2568

ตลอดเวลาตั้งแต่ 09.00–18.00 น. บริเวณถ้ำพระจึงกลายเป็น “เวทีร่วม” ที่ผสานมิติประวัติศาสตร์ ศาสนา ศิลปวัฒนธรรม และภูมิปัญญาท้องถิ่นเข้าด้วยกัน ภายใต้กรอบนโยบาย “ไท ไทย” ของกระทรวงวัฒนธรรม ที่ต้องการนำความเป็นไทยดั้งเดิมให้ก้าวเดินเคียงคู่ไปกับความร่วมสมัย สร้างทั้งพลังทางจิตวิญญาณและมูลค่าทางเศรษฐกิจในระยะยาว

รำลึก 120 ปี เสด็จประพาสถ้ำพระ ประวัติศาสตร์ที่ “ยังมีชีวิต”

โบราณสถานถ้ำพระ เป็นหนึ่งในพื้นที่ทางศาสนาและโบราณคดีที่สำคัญของจังหวัดเชียงราย มีความผูกพันกับชุมชนในพื้นที่มาอย่างยาวนาน แต่สิ่งที่ทำให้วันที่ 11 ธันวาคม 2568 มีความหมายเป็นพิเศษ คือการครบรอบ 120 ปี การเสด็จประพาสของรัชกาลที่ 6 เมื่อครั้งยังทรงดำรงพระอิสริยยศ เป็นมงกุฎราชกุมาร และทรงเสด็จตรวจเยี่ยมดินแดนภาคเหนือในปลายสมัยรัชกาลที่ 5

วาระ “120 ปี” จึงไม่ใช่เพียงการนับตัวเลขของกาลเวลา หากเป็นการย้ำเตือนว่าพื้นที่เล็ก ๆ ริมขุนเขาและป่าไม้ของเชียงรายแห่งนี้ เคยเป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางพระราชกรณียกิจที่เกี่ยวข้องกับการเชื่อมโยงดินแดน การปกครอง และการดูแลทุกข์สุขของราษฎรในอดีต การจัดพิธีบำเพ็ญถวายราชกุศลในครั้งนี้จึงมีนัยของการ “เชื่อมอดีตกับปัจจุบัน” ให้คนรุ่นใหม่ได้เห็นภาพที่ต่อเนื่องกันของประวัติศาสตร์ชาติและชุมชน

ในช่วงเช้า นายพิสันต์ จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย ทำหน้าที่เป็นประธานในพิธีฝ่ายฆราวาส นำข้าราชการ เจ้าหน้าที่ คณะสงฆ์ และประชาชน ร่วมประกอบพิธีบำเพ็ญกุศลถวายพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยมีพิธีทางศาสนาและการกล่าวรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณที่เคยมีต่อดินแดนล้านนาและประชาชนในพื้นที่ภาคเหนือ

บรรยากาศของพิธีเป็นไปด้วยความสงบและสมพระเกียรติ แสดงให้เห็นว่าการรำลึกถึงพระมหากษัตริย์ในอดีต ไม่ได้ดำรงอยู่เพียงในหน้าหนังสือประวัติศาสตร์หรือห้องเรียนเท่านั้น แต่ยังสามารถถูก “ปลุกให้ตื่น” ในพื้นที่จริง ผ่านการประกอบพิธีกรรม วัฒนธรรม และกิจกรรมการเรียนรู้ที่จับต้องได้

ถวายราชกุศล “พระพันปีหลวง” เชื่อมสายใยศรัทธาในยุคปัจจุบัน

อีกหนึ่งวาระสำคัญของกิจกรรมครั้งนี้ คือพิธีบำเพ็ญถวายราชกุศลสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เนื่องในวันสวรรคต 24 ตุลาคม 2568 ซึ่งนับเป็นช่วงเวลาไม่นานนักในมิติประวัติศาสตร์ร่วมสมัยของคนไทย

พิธีดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึง “สายใยแห่งความผูกพัน” ระหว่างสถาบันพระมหากษัตริย์กับชุมชนท้องถิ่นในภาคเหนือ การเลือกจัดงาน ณ ถ้ำพระ ซึ่งเป็นโบราณสถานด้านพุทธศาสนา ยังสื่อถึงความตั้งใจในการเชื่อมโยงพระราชกรณียกิจด้านศาสนา วัฒนธรรม และการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน ที่พระองค์ท่านทรงให้ความสำคัญมาตลอดพระชนมชีพ

ในเชิงสัญลักษณ์ การจัดให้มีพิธีถวายราชกุศลสองวาระในวันเดียวกัน – ทั้งรัชกาลที่ 6 ในมิติประวัติศาสตร์เมื่อ 120 ปีก่อน และพระบรมราชชนนีพันปีหลวงในมิติร่วมสมัย – ทำให้ถ้ำพระในวันนี้กลายเป็น “สะพานเชื่อมเวลา” ระหว่างอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ผ่านพิธีกรรมและวัฒนธรรมที่ยังคงดำรงอยู่

จากพิธีกรรมสู่การเรียนรู้ ฐานภูมิปัญญาท้องถิ่น และบทบาทของเยาวชน

สิ่งที่ทำให้กิจกรรมครั้งนี้แตกต่างจากพิธีรำลึกเชิงสัญลักษณ์ทั่วไป คือการขยายมิติจาก “พิธีกรรม” ไปสู่ “การเรียนรู้” อย่างเป็นรูปธรรม ผ่านการออกแบบ “ฐานการเรียนรู้ภูมิปัญญาท้องถิ่น” เพื่อให้เด็ก เยาวชน และประชาชนได้ลงมือสัมผัสวัฒนธรรมด้วยตนเอง

ภายใต้โครงการส่งเสริมสนับสนุนการอนุรักษ์ฟื้นฟูขนบธรรมเนียมประเพณีวัฒนธรรมท้องถิ่นและมรดกภูมิปัญญา ประจำปีงบประมาณ 2569 วธ.เชียงรายได้เชิญคณะครูและนักเรียนจากหลายสถาบันการศึกษา อาทิ โรงเรียนสามัคคีวิทยาคม โรงเรียนองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย และโรงเรียนสหศาสตร์ศึกษา รวมถึงประชาชนและนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติ รวมมากกว่า 100 คน ให้เข้าร่วมกิจกรรมฐานเรียนรู้หลากหลายรูปแบบ

หนึ่งในฐานสำคัญคือ “ฐานการตอกลายโลหะ” ที่ถ่ายทอดองค์ความรู้โดยนายพงศกร ไกรกิจราษฎร์ และนายนัยยะ เหมือนนิ่ม จากศูนย์ฝึกและพัฒนาอาชีพราษฎรไทยบริเวณชายแดนเชียงราย อำเภอเชียงแสน ฐานนี้ไม่ได้สอนเพียงการใช้ค้อนและเหล็กตอกลายลงบนแผ่นโลหะ หากยังเป็น “พื้นที่สนทนา” เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของศิลปะการตกแต่งวัตถุโลหะในสังคมล้านนา และการนำทักษะดังกล่าวไปต่อยอดเป็นอาชีพ หรือผลิตภัณฑ์เชิงสร้างสรรค์ในยุคปัจจุบัน

อีกฐานหนึ่งคือ “ฐานการทำสวยกาบ” ซึ่งมีนางสาวนงคราญ สมบัติหลาย และนางเพ็ญพักตร์ มหาวรรณ จากวิทยาลัยอาชีวศึกษาเชียงราย ทำหน้าที่เป็นวิทยากรถ่ายทอดองค์ความรู้ การทำสวยกาบ หรือพานบายศรีแบบล้านนา ไม่ได้เป็นเพียงงานประดิษฐ์ตกแต่ง แต่เกี่ยวข้องกับความหมายเชิงพิธีกรรม ความเชื่อ การแสดงความเคารพ และการใช้ในงานบุญประเพณีต่าง ๆ การให้เยาวชนได้ฝึกทำด้วยตนเองจึงเป็นทั้งการรักษา “ภาษาทางพิธีกรรม” และการสร้างแรงบันดาลใจให้เกิดการต่อยอดออกแบบผลิตภัณฑ์พิธีกรรมแบบร่วมสมัยในอนาคต

ในมิติของการสร้างแรงบันดาลใจเชิงศิลปะ วธ.เชียงรายยังเชิญศิลปินและกลุ่มศิลปวัฒนธรรมในพื้นที่มาร่วมถ่ายทอดผลงานอย่างใกล้ชิด อาจารย์ฉลอง พินิจสุวรรณ ศิลปินอาวุโสเชียงราย ผู้ได้รับรางวัลเชิดชูเกียรติทั้งระดับ “เพชรราชภัฏ–เพชรล้านนา” และ “เพชรพระนคร” สาขาวรรณศิลป์ ได้นำเครื่องดนตรีพื้นบ้าน “ปี่น้ำเต้า” มาบรรเลงในพื้นที่โบราณสถาน เสียงปี่ที่เป่าด้วยลมหายใจของศิลปินผู้คร่ำหวอดในงานวัฒนธรรม ช่วยให้ผู้เข้าร่วมงานสัมผัสได้ถึง “ความต่อเนื่องของลมหายใจทางวัฒนธรรม” จากรุ่นสู่รุ่น

ขณะเดียวกัน การแสดง “อื่อกะโลง” ถ่ายทอดบทกวีโดยอาจารย์ธัญญณัฐ ชาวเหนือ การแสดงดนตรีจากมหาวิทยาลัยวัยที่สาม เทศบาลนครเชียงราย และการฟ้อนชุด “สร้อยแสงแดง” โดยกลุ่มแม่บ้านบ้านป่าอ้อ ตำบลแม่ลาว ล้วนเป็นส่วนเสริมที่ทำให้กิจกรรมครั้งนี้ไม่ใช่เพียงงานรำลึกในเชิงพิธีกรรม แต่เป็น “เทศกาลการเรียนรู้วัฒนธรรมขนาดย่อม” ที่เกิดขึ้นท่ามกลางโบราณสถานที่มีชีวิต

บูรณาการเครือข่าย วัฒนธรรมไม่ได้อยู่ลำพังในห้องทำงานราชการ

เบื้องหลังความสำเร็จของกิจกรรมที่ดำเนินตลอดทั้งวันอย่างเป็นระบบ คือการประสานความร่วมมือจากหลายหน่วยงาน ทั้งภาครัฐส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น

ในการจัดงานครั้งนี้ วธ.เชียงรายได้บูรณาการความร่วมมือกับ สำนักสงฆ์โบราณสถานถ้ำพระ องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย เทศบาลนครเชียงราย เทศบาลตำบลแม่ยาว มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย รวมถึงเครือข่ายวัฒนธรรมในพื้นที่จังหวัดเชียงราย ตลอดจนภาคประชาชนในชุมชนรอบถ้ำพระ

ในเชิงการบริหารจัดการ นายพิสันต์ จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย ได้มอบหมายภารกิจให้ทีมงานมืออาชีพด้านวัฒนธรรมหลายฝ่าย อาทิ นายกำพล จาววัฒนาสกุล นักวิชาการวัฒนธรรมชำนาญการพิเศษ ผู้อำนวยการกลุ่มยุทธศาสตร์และเฝ้าระวังทางวัฒนธรรม, นางวนิดาพร ธิวงศ์ ผู้อำนวยการกลุ่มส่งเสริมศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม, และนางสาวณพิชญา นันตาดี นักวิชาการวัฒนธรรมชำนาญการ รักษาการผู้อำนวยการกลุ่มกิจการพิเศษ พร้อมข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย ร่วมออกแบบและขับเคลื่อนกิจกรรมภาคสนามให้ดำเนินการได้อย่างเรียบร้อย

ภาพรวมของการทำงานจึงสะท้อนให้เห็นว่า “งานวัฒนธรรม” ไม่ใช่กิจกรรมที่ปฏิบัติโดยหน่วยงานราชการเพียงลำพัง แต่เกิดขึ้นจาก “โครงข่าย” ของพระสงฆ์ ท้องถิ่น สถาบันการศึกษา ศิลปิน กลุ่มแม่บ้าน เยาวชน และประชาชนทั่วไปที่ต่างมีบทบาทของตนเองในพื้นที่เดียวกัน

เชื่อมโยงนโยบาย “ไท ไทย” สู่เศรษฐกิจวัฒนธรรมในระดับพื้นที่

ด้านนโยบายระดับชาติ กิจกรรมครั้งนี้ถูกออกแบบให้สอดคล้องกับแนวคิด “ไท ไทย” ภายใต้วิสัยทัศน์ “สืบสาน สร้างสรรค์ นำวัฒนธรรมไทย สู่อนาคตอย่างยั่งยืน” ของกระทรวงวัฒนธรรม ซึ่งนางสาวซาบีดา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ได้ผลักดันให้เป็นกรอบใหญ่ในการขับเคลื่อนงานวัฒนธรรมของประเทศ

หัวใจสำคัญของแนวคิด “ไท ไทย” คือการยกระดับ “ความเป็นไทยดั้งเดิม” (Traditional Thai) ให้ผสานกับ “ความร่วมสมัย” (Contemporary Thai) และกลายเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตที่คนสามารถสัมผัสได้จริงในปัจจุบัน ไม่ใช่เพียงวัฒนธรรมที่สงวนอยู่ในพิพิธภัณฑ์หรืออยู่ในภาพจำของอดีตเท่านั้น

หากมองจากรูปแบบของกิจกรรมที่ถ้ำพระในครั้งนี้ จะพบว่ามีการทำงานบนสามมิติหลัก ได้แก่

  1. มิติการสืบสาน – ผ่านพิธีบำเพ็ญถวายราชกุศล การเป่าปี่น้ำเต้า การทำสวยกาบ การฟ้อน และฐานการเรียนรู้ภูมิปัญญาท้องถิ่น ที่ทำให้เยาวชน “ได้สัมผัสของจริง”
  2. มิติการสร้างสรรค์ – ผ่านการออกแบบฐานเรียนรู้และกิจกรรมที่เปิดโอกาสให้มีการต่อยอดองค์ความรู้ เช่น การนำทักษะตอกลายโลหะหรือออกแบบพานบายศรีไปเชื่อมกับผลิตภัณฑ์ร่วมสมัย สร้างโอกาสทางเศรษฐกิจใหม่ ๆ
  3. มิติการมองไปข้างหน้า – ผ่านการเชื่อมโยงกับการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม การสร้าง “ประสบการณ์วัฒนธรรม” ให้กับนักท่องเที่ยว และการใช้กิจกรรมเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของ “เศรษฐกิจสร้างสรรค์” ในระดับจังหวัด

แม้ในวันจัดงานจะยังไม่มีตัวเลขเชิงเศรษฐกิจอย่างเป็นทางการ แต่การมีผู้เข้าร่วมมากกว่า 100 คน จากหลายสถาบัน และการผนวกกลุ่มเป้าหมายทั้งครู นักเรียน ประชาชน และนักท่องเที่ยวเข้าไว้ด้วยกัน แสดงให้เห็นว่า “วัฒนธรรม” กำลังถูกใช้เป็นฐานในการสร้างทั้งทุนทางสังคม (Social Capital) และทุนทางเศรษฐกิจ (Economic Capital) อย่างค่อยเป็นค่อยไปในพื้นที่เชียงราย

จากถ้ำพระสู่อนาคตเชียงราย ความทรงจำ ประวัติศาสตร์ และทุนวัฒนธรรมร่วมสมัย

หากพิจารณาในภาพกว้างของจังหวัดเชียงราย ซึ่งกำลังผลักดันตนเองให้เป็น “นครแห่งศิลปะ สีสัน และเทศกาลตลอดปี” กิจกรรมที่ถ้ำพระในวันที่ 11 ธันวาคม 2568 จึงมีความสำคัญไม่น้อยไปกว่างานเทศกาลใหญ่ในตัวเมือง

ถ้ำพระในวันนี้ไม่ได้เป็นเพียงโบราณสถานเก่าแก่ในหุบเขา หากแต่เริ่มกลายเป็น “จุดหมายทางวัฒนธรรม” ที่เชื่อมโยงประวัติศาสตร์ชาติ สถาบันพระมหากษัตริย์ ศาสนสถานท้องถิ่น ภูมิปัญญาชุมชน และนโยบายวัฒนธรรมระดับชาติไว้ในพื้นที่เดียวกัน

สำหรับประชาชนในพื้นที่ การได้เห็นข้าราชการ นักวิชาการวัฒนธรรม ศิลปิน และเยาวชนมาร่วมกันทำกิจกรรมในวันเดียวกัน ทำให้เกิดความรู้สึกว่ามรดกทางวัฒนธรรมที่สืบทอดมาตั้งแต่บรรพบุรุษนั้น “ไม่ได้ถูกทอดทิ้ง” แต่กำลังถูกนำกลับมาใช้เป็นเครื่องมือในการสร้างความภาคภูมิใจและโอกาสทางอาชีพในอนาคต

สำหรับเยาวชน การได้ลองตอกลายโลหะ ทำสวยกาบ เป่าปี่น้ำเต้า หรือฟังบทกวี “อื่อกะโลง” ท่ามกลางบรรยากาศของถ้ำพระ อาจเป็นจุดเริ่มต้นเล็ก ๆ ของคำถามสำคัญในใจว่า “วัฒนธรรมท้องถิ่นของเรา สามารถกลายเป็นอาชีพ เป็นงานสร้างสรรค์ หรือเป็นธุรกิจได้อย่างไรบ้าง” ซึ่งคำถามเหล่านี้เองคือหัวใจของการผลักดันเศรษฐกิจสร้างสรรค์ในระยะยาว

สำหรับผู้กำหนดนโยบายระดับจังหวัด กิจกรรมในครั้งนี้เป็นตัวอย่างหนึ่งของการใช้ “จุดแข็งด้านวัฒนธรรม” มาสร้างความโดดเด่นให้พื้นที่นอกเขตเมืองใหญ่ ช่วยกระจายจุดท่องเที่ยวและประสบการณ์ให้กว้างออกไปจากตัวเมืองเชียงราย เชื่อมโยงเส้นทางการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมไปสู่ชุมชนอื่น ๆ รอบนอก

ในท้ายที่สุด กิจกรรมรำลึก 120 ปี รัชกาลที่ 6 เสด็จประพาสถ้ำพระ และพิธีถวายราชกุศลสมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง ที่ผสานเข้ากับฐานการเรียนรู้ภูมิปัญญาท้องถิ่นและการแสดงศิลปวัฒนธรรม จึงไม่ใช่เพียง “งานพิธีครั้งหนึ่งแล้วผ่านไป” แต่เป็นเสมือน “บทเรียนภาคสนาม” ที่แสดงให้เห็นว่า หากมีการออกแบบอย่างรอบคอบ วัฒนธรรมสามารถเป็นทั้งความทรงจำร่วมของผู้คน เป็นแหล่งเรียนรู้ของเยาวชน และเป็นต้นทุนสำคัญของการพัฒนาเมืองได้ในเวลาเดียวกัน

สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
MOST POPULAR
FOLLOW ME
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

ทุนวัฒนธรรมเชียงราย ฟ้อนรำ-เสภาอิ้วเมี่ยน สื่อความกตัญญูต่อโครงการศิลปาชีพ

ชาวอิ้วเมี่ยนสามอำเภอรวมพลัง ณ ดอยหลวง น้อมรำลึก “พระบรมราชชนนีพันปีหลวง” ด้วยศิลป์ชาติพันธุ์ สะท้อนพลังศิลปาชีพ–ทุนวัฒนธรรมเชียงราย

เชียงราย, 15 พฤศจิกายน 2568 – ภาพรวมเหตุการณ์“หนึ่งสนาม–สามอำเภอ–หนึ่งหัวใจ” จังหวัดเชียงรายร่วมประจักษ์โมเมนต์ “รวมใจต่างเผ่าพันธุ์” เมื่อมูลนิธิอิ้วเมี่ยนไทยและผู้นำชุมชนจากดอยหลวง–เชียงแสน–เวียงเชียงรุ้ง จัดพิธีถวายอาลัยและน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ที่โรงเรียนบ้านขุนแม่บง วัฒนธรรม–ดนตรี–ฟ้อนรำ–เสภา ตามแบบอัตลักษณ์อิ้วเมี่ยนโอบกอดสนามพิธี สื่อสารความจงรักภักดีและความกตัญญูต่อโครงการพระราชดำริด้านศิลปาชีพและการส่งเสริมภูมิปัญญาชุมชนซึ่งต่อยอดคุณภาพชีวิตบนผืนดอยมายาวนาน.  เวลา 09.00 น. สนามโรงเรียนบ้านขุนแม่บงกลายเป็นพื้นที่แห่งการ “ร้อยใจชาติพันธุ์” เมื่อชาวอิ้วเมี่ยน (เย้า) จาก สามอำเภอ ได้แก่ อำเภอดอยหลวง อำเภอเชียงแสน และอำเภอเวียงเชียงรุ้ง พร้อมใจกันจัดพิธีศักดิ์สิทธิ์ถวายความอาลัย และ น้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ อันยิ่งใหญ่ของ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง พิธีดำเนินโดย มูลนิธิอิ้วเมี่ยนไทย ประสานผู้นำชุมชนและเครือข่ายวัฒนธรรมท้องถิ่น

บนเวทีพิธี เสียงดนตรีชาติพันธุ์คลอไปกับ การฟ้อนรำ และ การขับเสภา ตามวิถีอิ้วเมี่ยน ถ่ายทอดเรื่องราวความกตัญญูและความภาคภูมิใจในรากเหง้าวัฒนธรรม อัตลักษณ์การแต่งกาย–เสียงแคน–จังหวะกลองที่สืบทอดกันมายาวนาน ถูกนำมาร้อยเรียงเป็น “ภาษาแห่งพิธีกรรม” เพื่อแสดงออกถึงความอาลัยและ สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ที่ทรงมีต่อพสกนิกรบนผืนดอยตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา

ผู้แทนภาครัฐด้านวัฒนธรรม เข้าร่วมในพิธีอย่างพร้อมเพรียง อาทิ นายพิสันต์ จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย นายกำพล จาววัฒนาสกุล นักวิชาการวัฒนธรรมชำนาญการพิเศษ พร้อมด้วย นายอภิชาต กันธิยะเขียว และ นางสาวอัมพิกา จิณะเสน นักวิชาการวัฒนธรรมปฏิบัติการ จากสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย การเข้าร่วมของภาครัฐสะท้อนบทบาท “พี่เลี้ยงนโยบายวัฒนธรรม” ที่ช่วยเชื่อมพิธีกรรมชุมชนกับระบบการคุ้มครอง–ส่งเสริมมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมให้เดินหน้าบนฐานมาตรฐานและความยั่งยืน

ความหมายที่ลึกกว่าพิธี“ทุนวัฒนธรรม” เชื่อมแผ่นดิน–เชื่อมชุมชน–เชื่อมหัวใจ

พิธีครั้งนี้ไม่ใช่เพียง “งานรำลึก” หากแต่เป็น สัญลักษณ์ของสายใย ระหว่างราชสำนัก–มูลนิธิ/โครงการด้านศิลปาชีพ–ชุมชนชาติพันธุ์ ซึ่งส่งผลจริงต่อชีวิตคนบนภูเขา ทั้งด้านรายได้ อาชีพ และศักดิ์ศรีวัฒนธรรม หลายโครงการภายใต้ มูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ (SUPPORT) ช่วยสร้างโอกาสให้ชุมชนใช้ฝีมือ–หัตถกรรม–ภูมิปัญญา มาต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์และประสบการณ์วัฒนธรรม สร้าง “ความภูมิใจและรายได้” ควบคู่กัน กรอบคิดเช่นนี้ถูกเผยแพร่และยืนยันบทบาทไว้โดยหน่วยงานรัฐด้านสื่อสาธารณะ (กรมประชาสัมพันธ์) ซึ่งมีความน่าเชื่อถือในแง่นโยบายสาธารณะ

เชียงรายคือจังหวัดที่ หลากหลายทางชาติพันธุ์ อย่างเด่นชัด ความหลากหลายนี้เป็น “ทุนทางสังคม” ที่สามารถต่อยอดไปสู่การศึกษา วัฒนธรรม และเศรษฐกิจสร้างสรรค์ มีงานภาคสนาม/บทความของ ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) ที่บันทึกชุมชนอิ้วเมี่ยนในเชียงราย ทั้งมิติพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ พิธีกรรม และการจัดการทรัพยากรชุมชน (เช่น “ป่าช้าบ้านห้วยน้ำเย็น” เชียงราย) ซึ่งเป็นหลักฐานสำคัญทางวิชาการว่าชาติพันธุ์นี้ดำรงอยู่–มีอัตลักษณ์–มีระบบความเชื่อของตนเองในโครงสร้างสังคมเชียงราย.

ในระดับประเทศ การสวรรคตของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ เมื่อ 24 ตุลาคม 2568 ทำให้เกิดการจัดพิธีน้อมรำลึก–ถวายอาลัยในหลายจังหวัด สื่อสาธารณะและแถลงข่าวอย่างเป็นทางการใช้เป็นพยานหลักฐานยืนยันเส้นเวลาประวัติศาสตร์ร่วมสมัย อันสอดคล้องกับธรรมเนียมการแสดงความอาลัยของประชาชน

พิธีกรรมในสนาม “ศิลป์ชาติพันธุ์” ในฐานะภาษาแห่งความกตัญญู

ผู้เข้าร่วมงานบรรยายว่า โครงสร้างพิธี ตั้งใจยก “ภาษาศิลป์อิ้วเมี่ยน” ขึ้นเป็นแกนกลาง เพื่อสื่อสารความจงรักภักดีในแบบของตนเอง จาก ท่วงทำนองดนตรี ที่มี “จังหวะเรียกขวัญ” ไปจนถึง การฟ้อนรำ ที่แฝงการเคารพบรรพชน และ การขับเสภา ที่เป็นระบบการเล่าเรื่องเชิงวรรณศิลป์ของชนเผ่า พิธีกรรมทั้งหมด “คารวะ” พระมหากรุณาธิคุณที่ทรงสนับสนุน อาชีพ–ศิลป์–ภูมิปัญญา ให้เติบโตบนพื้นที่ดอยในห้วงเวลาหลายทศวรรษ

ในเวทีสาธารณะของเชียงราย “การแสดงอัตลักษณ์” ไม่ได้หมายถึงการแสดงเพื่อการท่องเที่ยวเท่านั้น แต่คือ “ระบบความหมาย” ที่ทำให้คนรุ่นใหม่เห็น คุณค่า ของรากเหง้าตนเอง รู้เท่าทันโลกสมัยใหม่ และ เชื่อมโยงอดีต–ปัจจุบัน–อนาคต เข้าด้วยกันอย่างมีศักดิ์ศรี นี่คือเงื่อนไขของความยั่งยืนด้านวัฒนธรรม เมื่อเยาวชนรู้สึกว่า “บ้านเกิด–ชาติพันธุ์–ภาษา–ศิลป์” เป็นความภูมิใจ เขาจะ อยากสืบสาน มากกว่าเพียง “จำใจรักษา”

เชียงราย ห้องทดลองวัฒนธรรมมีชีวิต

เชียงรายมีการเคลื่อนไหวชุมชนชาติพันธุ์อย่างต่อเนื่อง แปลงสาธารณะในดอยหลวง–เชียงแสน–เวียงเชียงรุ้ง ล้วนเป็น “ชุมชนเรียนรู้” ที่ผสาน วิถีเกษตร–ความเชื่อ–ภาษา–พิธีกรรม เข้าด้วยกัน แนวโน้มใหม่คือการต่อยอดสู่ เศรษฐกิจสร้างสรรค์ ผ่านการพัฒนา “งานศิลป์–หัตถกรรม–เครื่องแต่งกาย–ดนตรี–การแสดง” ให้ตอบโจทย์ตลาดร่วมสมัยโดยยังคงมาตรฐาน ความถูกต้องของอัตลักษณ์ (authenticity) ซึ่งกรอบคิดนี้สอดรับกับแนวทางของ มูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ และการทำงานด้านมรดกทางวัฒนธรรมของรัฐไทยที่เผยแพร่ในสื่อทางการ

ชาวอิ้วเมี่ยน เป็นหนึ่งในกลุ่มชาติพันธุ์สำคัญของเชียงราย การดำรงอยู่ของชุมชน–พิธีกรรม–พื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ ได้รับการบันทึกและอธิบายในฐานข้อมูลของ ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) ซึ่งมักทำงานร่วมกับชุมชนท้องถิ่นและนักวิชาการ เพื่อ “อ่าน” ความหมายที่อยู่หลังพิธีกรรม ไม่ใช่เพียงกิจกรรม แต่คือ “รัฐธรรมนูญทางวัฒนธรรมของชุมชน” ที่กำกับจริยธรรมการอยู่ร่วมกับคน–ป่า–สิ่งศักดิ์สิทธิ์.

ขณะเดียวกัน งานวิชาการของ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง (ตัวอย่างในคลังปริทัศน์/สารสนเทศของสถาบัน) ก็สะท้อนหลักฐานของกลุ่มชาติพันธุ์อิ้วเมี่ยนในเชียงราย/เชียงแสน ทั้งด้านชื่อสกุล–มรดกความทรงจำ–เครือข่ายทางสังคม อันเป็นองค์ประกอบของ “ทุนทางวัฒนธรรม” ที่สามารถเชื่อมสู่มิติการเรียนการสอน–การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม–การสื่อสารสาธารณะได้

เชื่อมพิธี–เชื่อมนโยบาย จากสนามโรงเรียนสู่ระบบคุ้มครองมรดก

การเข้าร่วมของ สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย ในพิธี ไม่เพียงสะท้อน “กัลยาณมิตรภาครัฐ” แต่ยังหมายถึงความพยายาม ผนวกพิธีชุมชนเข้ากับระบบงานของรัฐ เพื่อให้เกิดการคุ้มครองมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมอย่างยั่งยืน ตั้งแต่การ บันทึก–ถอดความ–จัดทำคลังข้อมูล ไปจนถึงการ ให้คำปรึกษาด้านมาตรฐาน เมื่อชุมชนต้องการยกระดับการแสดง/งานหัตถกรรมเข้าสู่ กิจกรรมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ หรือ การท่องเที่ยวโดยชุมชน ให้สอดคล้องกับนโยบายรัฐ โดยแกนปรัชญาระดับชาติเรื่อง “ศิลปาชีพ–ภูมิปัญญา–รายได้–ศักดิ์ศรี” มีพยานหลักฐานในสื่อทางการของรัฐที่อธิบายบทบาทของ มูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ ตามที่อ้างถึง

ถ้อยคำให้ถูกต้อง กรอบทางการของพระนามและพิธีน้อมรำลึก

สื่อมวลชนและหน่วยงานท้องถิ่นควรยึดตาม กรอบการ พระนามอย่างเป็นทางการ ตามประกาศ–ข้อบังคับที่ตีพิมพ์ใน ราชกิจจานุเบกษา เพื่อให้เนื้อหาในสื่อสาธารณะสอดคล้องกับมาตรฐานทางพิธีการ โดยเฉพาะการใช้ถ้อยคำ “สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง” ในสื่อทางการ/ข่าวพิธีกรรม/เอกสารประชาสัมพันธ์ของรัฐและชุมชน (เอกสารปี 2562 ชี้แนวทางได้อย่างชัดเจน)

เสียงสะท้อนจากสนาม (ประเด็นเด่น–ประเด็นรอง)

ประเด็นเด่น

  1. ความพร้อมของเครือข่ายชุมชน การรวมตัวของสามอำเภอสะท้อนศักยภาพ “จัดการตนเอง” ของชาติพันธุ์อิ้วเมี่ยน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญต่อการคุ้มครอง–สืบทอดวัฒนธรรม
  2. การมีส่วนร่วมของภาครัฐ การเข้าร่วมของวัฒนธรรมจังหวัดเสริมแรง “ความถูกต้อง–มาตรฐาน–ความยั่งยืน” ของพิธี และเปิดประตูสู่การพัฒนาต่อยอดเชิงนโยบาย
  3. กรอบอ้างอิงระดับชาติ งานด้าน ศิลปาชีพ/ภูมิปัญญา ที่อยู่ใต้พระราชดำริยาวนาน ทำให้พิธีรำลึกมิใช่เพียงการไว้อาลัย แต่ยังเป็นการ “ทบทวนพัฒนาการ” ของทุนวัฒนธรรมไทยร่วมสมัย

ประเด็นรอง

  • โอกาสสื่อสารสาธารณะ บันทึกเสียง–ภาพ–คลิปความทรงจำ “พิธี-เพลง-ฟ้อน” โดยเยาวชนในชุมชน เพื่อทำเป็นคลังดิจิทัล (Local Digital Heritage) รองรับการเรียนรู้ของคนรุ่นใหม่
  • การเชื่อมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ยกระดับเครื่องแต่งกาย/ลายผ้า/หัตถกรรม/งานดนตรีสู่ “แพ็กเกจประสบการณ์” วัฒนธรรมในเทศกาลท้องถิ่น–การท่องเที่ยวโดยชุมชน โดยเคารพ ความถูกต้องทางวัฒนธรรม และแบ่งปันผลประโยชน์อย่างเป็นธรรม
  • หลักสูตร–ห้องเรียนวัฒนธรรม ใช้สนามโรงเรียนบ้านขุนแม่บงเป็น “พื้นที่การเรียนรู้” ที่บูรณาการประวัติศาสตร์ท้องถิ่น–ชาติพันธุ์ศึกษา–ดนตรี–หัตถกรรม ร่วมกับสถาบันอุดมศึกษาในพื้นที่ เช่น มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ฯลฯ (อ้างอิงคลังวิชาการ MFU ที่เคยศึกษาลักษณะชื่อสกุล/ชาติพันธุ์ในเชียงแสน)

บทสรุปเชิงนโยบายและทางปฏิบัติ

  1. พิธีรำลึก ครั้งนี้ตอกย้ำว่า “ทุนวัฒนธรรม” คือ พลังเชื่อม รัฐ–ราชสำนัก–ชุมชน  เมื่อชุมชนสามารถสื่อสารอัตลักษณ์ตนเองผ่านดนตรี–ฟ้อน–เสภา ได้อย่างภาคภูมิ ศักดิ์ศรีวัฒนธรรมจะงอกงามและคุ้มครองตนเองได้
  2. ยึดกรอบถ้อยคำทางการ สื่อ/หน่วยงานควรตรวจสอบการใช้พระนามให้ถูกต้องตามราชกิจจานุเบกษาในการร่างข่าว/เอกสาร เพื่อความเรียบร้อยของพิธีการ
  3. เดินหน้าศิลปาชีพ–เศรษฐกิจสร้างสรรค์ บูรณาการการฝึกทักษะ/ออกแบบผลิตภัณฑ์/บรรจุภัณฑ์/การตลาด ให้สอดคล้องแนวทางที่ภาครัฐเคยเผยแพร่เกี่ยวกับบทบาท มูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ เพื่อยกระดับรายได้ชุมชนโดยไม่ละทิ้งความถูกต้องของอัตลักษณ์
  4. ฐานความรู้ชาติพันธุ์ ใช้ฐานข้อมูล–บทความของ ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) และงานวิชาการในมหาวิทยาลัยท้องถิ่น เป็น “หลักฐาน–แหล่งเรียนรู้” สนับสนุนการจัดทำคลังดิจิทัล/ทะเบียนมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาวอิ้วเมี่ยนในเชียงราย

จากสนามโรงเรียนบ้านขุนแม่บงสู่ภาพรวมจังหวัด พิธีน้อมรำลึกครั้งนี้ชี้ให้เห็น “พลังเงียบของวัฒนธรรม” ที่เมื่อหยั่งรากในชุมชน ก็สามารถเป็นทั้ง ภาษาแห่งความกตัญญู และ เครื่องมือพัฒนาคุณภาพชีวิต พหุวัฒนธรรมของเชียงรายจึงมิใช่ความต่างที่ต้องจัดระยะห่าง หากคือ “ความงามที่ต้องจัดระเบียบใหม่” ให้ร่วมสร้างอนาคตเดียวกันได้ ด้วยกรอบถ้อยคำที่ถูกต้อง ความจริงเชิงนโยบายที่ตรวจสอบได้ และการมีส่วนร่วมอย่างแท้จริงของคนรุ่นใหม่บนผืนดอย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ZINEWICH นิทรรศการศิลปะเชียงราย ดึงอดีต สู่เรื่องเล่าใหม่ สร้างแรงบันดาลใจเยาวชน

เชียงราย เมืองศิลปะที่ไม่หยุดนิ่ง กับบทบาทของ “ZINEWICH” นิทรรศการศิลปะร่วมสมัย เชื่อมอดีต สร้างเรื่องเล่าใหม่ของเชียงราย

เชียงราย, 6 กรกฎาคม 2568 – ในขณะที่โลกหมุนไปข้างหน้าและวัฒนธรรมท้องถิ่นเสี่ยงต่อการจางหาย จังหวัดเชียงรายกลับเลือกขับเคลื่อนอดีตให้เป็นส่วนหนึ่งของปัจจุบันและอนาคต ผ่านนิทรรศการศิลปะร่วมสมัย “ZINEWICH” แอ่วของเก่า เล่าของใหม่ ณ บ้านสิงหไคล มูลนิธิมดชนะภัย ใจกลางเมืองเชียงราย งานนี้ไม่ใช่แค่การเปิดพื้นที่ให้ศิลปินรุ่นใหม่ แต่เป็น “การปักหมุด” ให้เชียงรายบนแผนที่เมืองศิลปะของไทยอย่างแท้จริง

ที่ผ่านมา นิทรรศการ “ZINEWICH” ได้รับเกียรติจากนายวิญญู ทองทัน เลขานุการนายก อบจ.เชียงราย ผู้แทนนางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย เข้าร่วมในกิจกรรมท่ามกลางนักเรียน นักประวัติศาสตร์ นักท่องเที่ยว ศิลปิน และผู้หลงใหลศิลปะท้องถิ่นที่หลั่งไหลเข้าร่วมอย่างคึกคัก งานนี้ไม่เพียงแต่เติมสีสันให้เมืองเชียงรายในช่วงฤดูฝน แต่ยังสร้างบทสนทนาระหว่าง “อดีต” และ “ปัจจุบัน” ผ่านสายตาของคนรุ่นใหม่ที่ไม่จำกัดอยู่ในกรอบเดิม

บ้านสิงหไคลจากเรือนเก่า สู่ศูนย์กลางศิลปะร่วมสมัย

บ้านสิงหไคล มูลนิธิมดชนะภัย เป็นมากกว่าบ้านโบราณหรือพิพิธภัณฑ์ ด้วยภารกิจส่งเสริมการเรียนรู้และรณรงค์เรื่องสถาปัตยกรรมกับภัยพิบัติ ที่แห่งนี้ถูกเปลี่ยนให้เป็นจุดนัดพบของกิจกรรมทางสังคมและศิลปวัฒนธรรม บ้านสิงหไคลยืนหยัดเป็นพื้นที่ปลอดภัยสำหรับนักสร้างสรรค์ท้องถิ่นและนักเรียน นักศึกษา เปิดโอกาสให้ผู้สนใจได้สัมผัสผลงานศิลปะหมุนเวียนตลอดปีและเป็นจุดตั้งต้นของการสืบสานวัฒนธรรมด้วยวิธีใหม่ๆ ที่ตอบโจทย์โลกยุคดิจิทัล

“Illus Illy” พลังใหม่ของวงการสร้างสรรค์เชียงราย

เบื้องหลังนิทรรศการ “ZINEWICH” คือกลุ่ม “Illus Illy” ซึ่งเกิดจากการรวมตัวของศิลปินรุ่นใหม่ในเชียงรายเมื่อปี 2565 พวกเขาเชื่อว่าศิลปะคือสะพานที่เชื่อมอดีตและอนาคต โดยไม่ผูกติดกับขนบเดิม กลุ่มนี้เคยสร้างชื่อในเทศกาลสำคัญอย่าง Chiangrai Sustainable Design Week (CRSDW) และงาน Collateral event ในมหกรรม Thailand Biennale, Chiangrai 2023 จุดยืนสำคัญของ Illus Illy คือการผลักดัน “ศิลปะที่เล่าเรื่องท้องถิ่น” ให้กลายเป็นสิ่งร่วมสมัย ผ่านงานวาด ภาพประกอบ และหนังสือทำมือขนาดเล็ก (Zine)

“ZINEWICH”หนังสือเล่มเล็กกับการเล่าเรื่องใหญ่

ไฮไลต์ของนิทรรศการนี้อยู่ที่ Zine หรือหนังสือทำมือขนาดเล็กและภาพประกอบจาก 16 นักสร้างสรรค์ ที่บอกเล่าเรื่องราวประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และวิถีชีวิตเชียงรายในมุมมองร่วมสมัย “ZINEWICH” ไม่เพียงเป็นเวทีให้ศิลปินท้องถิ่นทดลองและถ่ายทอดความคิดสร้างสรรค์ แต่ยังเชิญชวนให้ผู้ชมโดยเฉพาะเยาวชน “อ่าน” และ “สัมผัส” ประวัติศาสตร์ในรูปแบบที่จับต้องได้

โครงการนี้เป็นส่วนหนึ่งของ “อิล-ลี-ลี้ อิลัสเชียงราย แอ่วของเก่า เล่าของใหม่” ได้รับการสนับสนุนจากกองทุนส่งเสริมศิลปะร่วมสมัย สำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย กระทรวงวัฒนธรรม สะท้อนถึงการบูรณาการนโยบายของรัฐกับพลวัตศิลปะร่วมสมัยในพื้นที่จริง

นายวิญญู ทองทัน ตัวแทน อบจ.เชียงราย กล่าวว่า “นิทรรศการนี้เป็นการผสานอดีตกับปัจจุบันอย่างสร้างสรรค์ ช่วยให้คนรุ่นใหม่เข้าถึงรากเหง้าทางวัฒนธรรม ไม่ใช่แค่เรียนจากตำรา แต่ได้สัมผัสผ่านมุมมองร่วมสมัย ซึ่ง อบจ. พร้อมสนับสนุนกิจกรรมสร้างสรรค์เช่นนี้ให้ต่อเนื่อง”

ศิลปะร่วมสมัยพลังขับเคลื่อนเมืองและผู้คน

ความสำคัญของ “ZINEWICH” ไม่ได้อยู่แค่ในตัวผลงานศิลปะ แต่ยังอยู่ที่การขยายพื้นที่ศิลปะในสังคมเชียงราย ศิลปินและนักเรียนที่เข้าร่วม ได้เรียนรู้การสร้างสรรค์ การทำงานร่วมกัน และการเล่าเรื่องอดีตให้คนรุ่นใหม่สนใจ

การใช้ Zine เป็นสื่อกลางในครั้งนี้ช่วยลดช่องว่างระหว่างประวัติศาสตร์กับผู้ชม ศิลปะจึงไม่ใช่เรื่องไกลตัวสำหรับนักเรียนหรือประชาชนอีกต่อไป นิทรรศการนี้เปิดให้เข้าชมฟรี กลางเมืองเชียงราย ทำให้ทั้งนักท่องเที่ยว นักเรียน และชุมชนเข้าถึงได้ง่าย ส่งผลดีต่อการสร้างเมืองศิลปะและท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม

ผลลัพธ์และความยั่งยืนศิลปะกับการพัฒนาเมืองเชียงราย

นิทรรศการ “ZINEWICH” เป็นตัวอย่างของการนำอดีตมาหลอมรวมกับปัจจุบันอย่างสร้างสรรค์ โดยมีเป้าหมายมากกว่าการโชว์ผลงาน นั่นคือการสร้างแรงบันดาลใจใหม่ๆ ให้เยาวชนเชียงรายตระหนักถึงรากเหง้าของตนเอง พร้อมเปิดกว้างรับความคิดใหม่ๆ จากศิลปะร่วมสมัย เชียงรายในวันนี้กำลังยืนอยู่บนจุดเปลี่ยนผ่านของการเป็น “เมืองศิลปะ” ที่เชื่อมโยงรากวัฒนธรรมกับโลกสมัยใหม่

นิทรรศการ “ZINEWICH” แอ่วของเก่า เล่าของใหม่ จัดแสดงระหว่างวันที่ 6 กรกฎาคม – 2 สิงหาคม 2568 ณ บ้านสิงหไคล มูลนิธิมดชนะภัย เปิดให้ชมฟรี (เว้นวันจันทร์) 10.00-16.00 น.

ข้อคิดและคำถามถึงสังคม

“คุณคิดว่าการนำเสนอประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมผ่านศิลปะที่เข้าถึงง่ายเช่นนี้ จะกระตุ้นให้คนรุ่นใหม่สนใจรากเหง้าของตนเองได้หรือไม่ และเชียงรายจะก้าวเป็นเมืองศิลปะอย่างยั่งยืนได้อย่างไร?”

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย)
  • บ้านสิงหไคล มูลนิธิมดชนะภัย
  • กลุ่ม Illus Illy
  • กองทุนส่งเสริมศิลปะร่วมสมัย สำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย กระทรวงวัฒนธรรม
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE FEATURED NEWS

พลังศิลปะพลิกชีวิต พุทธรักษ์ ดาษดา สู่มิติใหม่ 7-Eleven Art Gallery

เมื่อ 7-Eleven กลายเป็นแกลเลอรี่ศิลปะ เรื่องราวแห่งการสร้างสรรค์ที่เชื่อมโยงชุมชนกับศิลปะ

ในยามที่โลกกำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว และคนเราเริ่มมองหาความหมายใหม่ในชีวิตประจำวัน มีเรื่องราวหึ่งหนึ่งที่กำลังเกิดขึ้นอย่างเงียบๆ ในจุดที่เราไม่เคยคิดว่ามันจะเป็นไปได้ นั่นคือการเปลี่ยนโฉมร้านสะดวกซื้อธรรมดาให้กลายเป็นพื้นที่แห่งศิลปะ ที่ไม่เพียงแต่สร้างความสวยงาม แต่ยังเป็นสะพานเชื่อมระหว่างชุมชนกับความงาม สร้างเอกลักษณ์และเปิดโอกาสให้ศิลปินรุ่นใหม่ได้แสดงความสามารถ

เรื่องราวนี้เริ่มต้นจากโครงการ “7-Eleven Art Gallery” ซึ่งเกิดขึ้นจากแนวคิดที่ต้องการให้ร้านค้าปลีกเป็นมากกว่าแค่สถานที่ซื้อของ แต่เป็นส่วนหนึ่งของชุมชน เป็นจุดหมายปลายทางที่มีความหมาย และเป็นแลนด์มาร์คที่สะท้อนเอกลักษณ์ของแต่ละพื้นที่ ผ่านกระบวนการ Co-Creation ที่เชื่อมโยงงานศิลปะ วัฒนธรรม และแบรนด์เข้าด้วยกัน

การเดินทางสู่การเปลี่ยนแปลงในเชียงราย

ในจังหวัดเชียงราย ซีพี ออลล์ ได้ร่วมมือกับขัวศิลปะ (พิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัยเมืองเชียงราย) ในการสร้างงานศิลปะแห่งแรกที่ร้าน 7-Eleven สาขาหอนาฬิกา 2 ด้วยผลงานชื่อ “The Magical Land” ในปี 2024 ที่สื่อถึงความมหัศจรรย์ของวิถีชีวิตของผู้คน ความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติ และความหลากหลายทางศิลปะวัฒนธรรม รวมถึงพืชผลทางการเกษตรกรรมของชุมชนและเส้นทางท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่รวมเป็นจังหวัดเชียงราย

ความสำเร็จของงานชิ้นแรกนำไปสู่การสร้างสรรค์ผลงานที่สองที่สาขาชุมชนห้วยปลากั้ง ด้วยผลงานชื่อ “The Wonderland” ในปี 2025 ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวที่น่าสนใจยิ่งขึ้น

พุทธรักษ์ ดาษดา ศิลปินผู้ซ่อนเรื่องราวไว้ในชื่อ

เบื้องหลังความสำเร็จของผลงาน “The Wonderland” คือศิลปินหญิงชื่อ “อิ๋ม-พุทธรักษ์ ดาษดา” ซึ่งชื่อนี้เป็นชื่อจริงเสียงจริงที่มารดาตั้งให้ มิใช่ชื่อในวงการอย่างที่หลายคนเข้าใจ

ตามข้อมูลของ the cloud ชื่อของ อิ๋ม-พุทธรักษ์ ดาษดา คือ “ถ้ามี ‘ษา’ มันจะเหมือนดอกไม้ใช่ไหม ตั้งแต่เวลาใครประกาศชื่อเรา เขาจะเติม ‘ษา’ ให้ กลายเป็น ‘พุทธรักษา’ แม่บอกว่าอิ๋มเกิดวันพุธ เลยเป็นพุทธรักษ์” เธอชี้แจงท่ามกลางกรอบรูป เฟรมผ้าใบ แจกันดอกไม้ แมลงสตัฟฟ์ในขวดโหล และสารพัดของกระจุกกระจิกที่คับคั่งอยู่ในห้องทำงานของ ‘ดาษดาสตูดิโอ’

เรื่องราวของพุทธรักษ์เริ่มต้นจากการตัดสินใจที่กล้าหาญและเสี่ยงภัย นั่นคือการลาออกจากงานประจำเพื่อออกมาทำงานศิลปะเต็มตัว ด้วยการรวบรวมเงินเก็บทั้งหมดเพื่อจัดแสดงเดี่ยวครั้งแรกของตัวเอง (Solo Art Exhibition)

“ในระหว่างนั้นที่แสดงงาน ก็เจอผู้คนมากมายที่มาชมผลงาน พูดคุย ซัพพอร์ตผลงานและติดตามผลงานเสมอ จากครั้งนั้นมาจนถึงทุกวันนี้” เธอเล่าด้วยความซาบซึ้ง

สิ่งที่เป็นแรงขับเคลื่อนให้เธอทำงานต่อไปคือการได้รับกำลังใจจากผู้คนที่ติดตามผลงาน ไม่เพียงแต่การซื้อขายผลงานเท่านั้น แต่ยังมีคนเดินทางมาเยี่ยมชมสตูดิโอ ส่งกำลังใจ และบอกว่าผลงานของเธอเป็นแรงบันดาลใจและทำให้พวกเขาสบายใจเมื่อได้เห็น

กระบวนการสร้างสรรค์ที่ซับซ้อนแต่ลงตัว

การทำงาน Mural Art ขนาดใหญ่ไม่ใช่เรื่องง่าย พุทธรักษ์อธิบายกระบวนการทำงานที่ต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายฝ่าย มีทีมเพ้นท์ มีทีมติดตั้งนั่งร้านให้มีความปลอดภัย และตัวเธอเองเป็นคนออกแบบเรื่องราวทั้งหมดของงาน ลงพื้นที่สำรวจและนำมาเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ผลงานในแต่ละครั้ง

ทีมที่มาทำงานร่วมจะเป็นคนที่จบทางด้านศิลปะและนักศึกษาศิลปะที่ผ่านการคัดเลือก เพื่อให้งานลุล่วงด้วยความสมบูรณ์และตรงตามวิสัยทัศน์ของศิลปิน การมีทีมเวิร์คที่ดีทำให้สามารถรับงาน Mural Art ในพื้นที่ใหญ่ขึ้น หรือพื้นที่ที่ไม่เคยทำได้ในอนาคต

“The Wonderland” ผลงานที่เชื่อมโยงชุมชนกับศิลปะ

ผลงาน “The Wonderland” ที่สาขาห้วยปลากั้งไม่ใช่แค่ภาพสวยงามบนกำแพง แต่เป็นผลงานที่เกิดจากการลงพื้นที่อย่างจริงจัง พุทธรักษ์ได้ลงไปสำรวจพื้นที่ พูดคุยกับผู้คน จึงได้รู้ที่มาที่ไปของชื่อหมู่บ้านที่มีความเกี่ยวข้องกับปลากั้ง ซึ่งเป็นปลาสายพันธุ์หนึ่งที่ลักษณะคล้ายปลาช่อน ที่เมื่อก่อนเคยมีมากมายในลำธารของชุมชนแห่งนี้

ผลงานนี้เต็มไปด้วยสัญลักษณ์ที่มีความหมายลึกซึ้ง ทั้งดอกโบตั๋นที่เป็นเนื้อหาหลักของผลงาน มีสมญานามราชาแห่งเหล่ามวลดอกไม้ เป็นสัญลักษณ์ของความมั่งคั่ง ร่ำรวย โชคลาภ ความซื่อสัตย์ และมีเมตตา ทั้งยังเป็นสัญลักษณ์ของความมีเกียรติยศ

แมงสี่หูห้าตาจากตำนานล้านนาปรากฏอยู่ในผลงาน เป็นสัตว์ประหลาดตัวหนึ่งในตำนานว่าด้วยวัดพระธาตุดอยเขาควายแก้ว อำเภอเมืองเชียงราย ที่มีลักษณะมีหูสองคู่และตาห้าดวง รับประทานถ่านไฟร้อนเป็นอาหาร และถ่ายมูลเป็นทองคำ ตามความเชื่อของภาคเหนือเชื่อว่าเป็น “เทพเจ้าแห่งโชคลาภเงินทอง ความอุดมสมบูรณ์”

นกผีเสื้อในผลงานเป็นสิ่งมีชีวิตที่ศิลปินเพิ่มความแฟนตาซีเข้าไป เป็นตัวแทนที่แสดงถึงความอุดมสมบูรณ์ของพื้นที่โดยรอบและเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติอุทยานลำน้ำกก แม่น้ำในภาพเป็นสายธารที่หล่อเลี้ยงสัพชีวิตของผู้คน สัตว์ต่างๆ ผืนดิน ต้นไม้ ก่อให้เกิดเป็นชุมชนที่เชื่อมโยงและช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกัน

ปลากั้งที่บินตามดอกไม้เป็นการเปรียบเทียบกับผู้คนที่มาใช้ชีวิตและอาศัยชุมชนห้วยปลากั้งเป็นที่อยู่อาศัยและประกอบสัมมาอาชีพมาจนถึงปัจจุบันไม่ต่างจากเมื่อครั้งอดีต

เด็กในดอกไม้เป็นตัวแทนของผู้คนที่อยู่ร่วมกันในพื้นที่ ที่มีความหลากหลายทั้งเชื้อชาติ ภาษา วัฒนธรรมและประเพณี สื่อถึงการผลิบานของผู้คนในรุ่นต่อๆไป รวมถึงในวัดห้วยปลากั้งเองที่พระอาจารย์พบโชคยังอุปการะเด็กชายขอบที่ยากไร้ในการให้ที่พัก อาหาร และให้การศึกษากับเด็กๆเหล่านี้

ความลงตัวระหว่างศิลปะกับแบรนด์

สิ่งที่น่าสนใจในผลงานนี้คือการผสมผสานระหว่างเอกลักษณ์ของชุมชนกับอัตลักษณ์ของแบรนด์อย่างลงตัว พุทธรักษ์ได้สอดแทรกสีแดง ส้ม เขียว ขาว ซึ่งเป็นสีสัญลักษณ์ของ 7-Eleven เข้าไปในกลีบดอกไม้ของดอกโบตั๋นที่เป็นองค์ประกอบหลักของผลงาน เพื่อสื่อถึงการอยู่ร่วมกันระหว่างชุมชนและ 7-Eleven ที่ผสมกลมกลืนซึ่งกันและกันอย่างอ่อนน้อม พร้อมกับยินดีดูแลและช่วยเหลือกิจกรรมทางสังคมกับชุมชนโดยรอบ

พลังของศิลปะในการเปลี่ยนแปลงสังคม

เมื่อถูกถามถึงพลังของศิลปะในการสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกต่อผู้คนและสังคม พุทธรักษ์มองว่างานศิลปะในพื้นที่สาธารณะมีบทบาทสำคัญในการเชื่อมโยงและสร้างความเข้าใจระหว่างคนในชุมชน การที่ผู้คนได้เห็นเรื่องราวของตนเองถูกสะท้อนผ่านงานศิลปะ ทำให้เกิดความภูมิใจและความรู้สึกเป็นเจ้าของร่วมกัน

มากกว่านั้น งานศิลปะยังเป็นสื่อกลางในการถ่ายทอดเรื่องราว ประวัติศาสตร์ และภูมิปัญญาท้องถิ่นให้คนรุ่นใหม่ได้รับรู้และสืบทอดต่อไป เช่นเดียวกับการนำเรื่องราวของแมงสี่หูห้าตาจากตำนานล้านนามาสู่สายตาของคนรุ่นใหม่ในรูปแบบที่ทันสมัยและเข้าถึงได้ง่าย

ความฝันและเป้าหมายในอนาคต

พุทธรักษ์มีเป้าหมายที่ชัดเจนในการพัฒนาตัวเองและงานศิลปะ เธอกำลังเตรียมตัวและเก็บรวบรวมผลงานเพื่อจัดแสดงเดี่ยวที่ต่างประเทศ ซึ่งเป็นความฝันที่เธอหวังจะทำให้เป็นจริงในอนาคตอันใกล้

ในขณะเดียวกัน เธอยังคงสร้างสรรค์ผลงานอย่างต่อเนื่อง ไม่หยุดนิ่ง และมุ่งมั่นที่จะพัฒนาทักษะและเทคนิคของตนเองให้ดีขึ้นเรื่อยๆ

ข้อคิดสำหรับคนที่อยากก้าวเข้าสู่เส้นทางศิลปะ

สำหรับใครที่กำลังคิดจะเริ่มต้นหรือพัฒนาตนเองบนเส้นทางศิลปะ พุทธรักษ์มีข้อแนะนำที่มาจากประสบการณ์จริง เธอเชื่อมั่นว่าการทำงานด้านศิลปะ (Fine Art) สามารถเป็นอาชีพได้ สามารถหล่อเลี้ยงทางใจและทางกายให้เราไม่ต่างกันกับสายอาชีพอื่นๆเลย

“ในทางความสุนทรีย์ภายในจิตใจ จึงส่งผลมาสู่ทางกระบวนการการใช้ชีวิต ระบบการทำงาน เรารู้ว่าเรารัก เราชอบ และถนัดในด้านใด มีเป้าหมายและมุ่งมั่นทำอย่างจริงจังและต่อเนื่องไปเรื่อยๆ ไม่ท้อถอย หาความรู้ ศึกษาและฝึกฝนตัวเองอยู่เสมอ” เธอแนะนำ

เมื่อศิลปะกลายเป็นสะพานเชื่อมโลก

โครงการ 7-Eleven Art Gallery และผลงาน “The Wonderland” ของพุทธรักษ์ ดาษดา เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่าศิลปะมีพลังในการเปลี่ยนแปลงพื้นที่และสร้างความหมายใหม่ให้กับสิ่งที่เราคุ้นเคย ร้านสะดวกซื้อที่เคยเป็นแค่จุดซื้อของใช้ประจำวัน กลายเป็นจุดหมายปลายทางที่คนอยากแวะไปชม เป็นแลนด์มาร์คที่สร้างความภูมิใจให้กับชุมชน และเป็นพื้นที่ที่เชื่อมโยงอดีต ปัจจุบันน และอนาคตเข้าด้วยกัน

การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงแค่ในเชียงราย แต่เป็นส่วนหนึ่งของกระแสโลกที่กำลังให้ความสำคัญกับการนำศิลปะมาใช้ในพื้นที่สาธารณะ เพื่อสร้างคุณค่าทางสังคมและวัฒนธรรม มากกว่าการมองเพียงแค่ผลกำไรทางธุรกิจ

ผลงานของพุทธรักษ์แสดงให้เห็นว่าศิลปินรุ่นใหม่ของไทยมีความสะามารถและวิสัยทัศน์ที่จะสร้างงานศิลปะที่มีคุณค่าทั้งในด้านความงามและความหมายทางสังคม โดยไม่สูญเสียเอกลักษณ์ท้องถิ่นหรือความเป็นไทย

เรื่องราวนี้เป็นแรงบันดาลใจให้เราทุกคนได้เห็นว่า ศิลปะไม่ใช่สิ่งที่อยู่ห่างไกลหรือเข้าถึงได้ยาก แต่สามารถอยู่ร่วมกับเราในชีวิตประจำวันได้อย่างกลมกลืน และที่สำคัญคือ ศิลปะมีพลังในการสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกที่แท้จริงต่อสังคมและชุมชนของเรา

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักข่าว นครเชียงรายนิวส์
  • ขัวศิลปะเชียงราย (พิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัยเมืองเชียงราย)
  • ซีพี ออลล์
  • การสัมภาษณ์พิเศษกับ พุทธรักษ์ ดาษดา ศิลปินผู้สร้างสรรค์ผลงาน “The Wonderland”
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

เชียงรายชู Soft Power อาหาร! ดัน ‘แกงแค-ข้าวแรมฟืน’ สู่เวทีโลก

เชียงรายเดินหน้าคัดเลือกเมนูอาหารถิ่น สืบสานภูมิปัญญาท้องถิ่นสู่เวที “รสชาติ…ที่หายไป The Lost Taste” ต่อยอดสู่มรดกทางวัฒนธรรมไทย

เชียงราย, 12 มิถุนายน 2568 – ในยุคที่โลกเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและค่านิยมการบริโภคอาหารมีแนวโน้มถูกกลืนไปกับกระแสวัฒนธรรมสมัยใหม่ จังหวัดเชียงรายจึงได้เดินหน้านโยบายสำคัญในการอนุรักษ์และส่งเสริมอาหารถิ่นดั้งเดิม ด้วยการจัดประชุมคณะกรรมการคัดเลือกเมนูอาหารถิ่นประจำจังหวัด ณ ห้องประชุมเวียงกาหลง ชั้น 3 ศาลากลางจังหวัดเชียงราย เพื่อเฟ้นหาสุดยอดเมนูแห่งเอกลักษณ์เข้าสู่เวทีประกวด “รสชาติ…ที่หายไป The Lost Taste” ประจำปี 2568

เวทีแห่งความร่วมมือขับเคลื่อนวัฒนธรรม

การประชุมครั้งนี้ได้รับเกียรติจากนายนรศักดิ์ สุขสมบูรณ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธาน พร้อมด้วยนางสินีนาฏ ทองสุข นายกเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงราย และคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจากหลากหลายภาคส่วนทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และเครือข่ายชุมชน เข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง สะท้อนถึงความตื่นตัวในการอนุรักษ์ภูมิปัญญาอาหารท้องถิ่นให้อยู่คู่สังคมไทย

โดยสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงรายได้ร่วมขับเคลื่อนโครงการ “รสชาติ…ที่หายไป The Lost Taste” ภายใต้แนวคิด Thailand Best Local Food มุ่งเน้นการอนุรักษ์ ยกระดับ และสร้างความรู้ให้กับคนรุ่นใหม่ถึงคุณค่าทางวัฒนธรรมของอาหารถิ่น พร้อมนำเสนอวิถีการกินแบบดั้งเดิมที่มีรากฐานจากวัตถุดิบและภูมิปัญญาท้องถิ่น

5 เมนูชูอัตลักษณ์ ต่อยอดเศรษฐกิจสร้างสรรค์

ที่ประชุมมีมติร่วมกันคัดเลือก 5 เมนูเด่นของเชียงราย แบ่งเป็นอาหารคาว อาหารว่าง และอาหารหวาน โดยทุกเมนูผ่านเกณฑ์ที่กรมส่งเสริมวัฒนธรรมกำหนดและสะท้อนเอกลักษณ์ของชาวเชียงราย ได้แก่

  • อาหารคาว: “แกงแคไก่เมือง” อาหารพื้นบ้านทรงคุณค่าทางสมุนไพร, “น้ำพริกถั่วเน่า” เมนูเด็ดแห่งแดนเหนือ และ “ผัดรากชูหมู” อาหารพื้นถิ่นที่หากินยาก
  • อาหารว่าง: “ข้าวแรมฟืน” เมนูสุดสร้างสรรค์จากถั่วลันเตา
  • อาหารหวาน: “ขนมปาด” ขนมโบราณที่กำลังจะเลือนหาย

การคัดเลือกเมนูเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงการอนุรักษ์สูตรอาหารดั้งเดิมเท่านั้น แต่ยังเป็นจุดเริ่มต้นในการต่อยอดเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ ด้วยการเน้นใช้วัตถุดิบท้องถิ่น ส่งเสริมสมุนไพรในชุมชน และสนับสนุนการพัฒนาสินค้าชุมชนในรูปแบบอาหารสร้างสรรค์ เพื่อเชื่อมโยงสู่การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม

“The Lost Taste” เวทีพลิกฟื้นมรดกอาหารถิ่นสู่สากล

โครงการ “รสชาติ…ที่หายไป The Lost Taste” ปี 2568 นี้ ดำเนินการโดยกรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม ร่วมกับเครือข่ายท้องถิ่นทั่วประเทศ มีเป้าหมายเพื่อคัดเลือกเมนูอาหารถิ่นจากแต่ละจังหวัด เหลือเพียง 3 เมนูเด่นระดับชาติ และจะเปิดให้ประชาชนทั่วประเทศร่วมโหวตเมนูที่โดดเด่นที่สุดผ่านระบบออนไลน์ เพื่อปลุกกระแสตระหนักรู้และส่งเสริมคุณค่าทางวัฒนธรรมให้กับอาหารถิ่นที่ใกล้สูญหาย

การสืบสานที่มีชีวิต – จากรุ่นสู่รุ่น

ความสำคัญของโครงการนี้ไม่เพียงเน้นการประกวด หากยังเป็นการสืบทอดค่านิยมการบริโภคอาหารไทยที่มีคุณค่าทางวัฒนธรรม ปลูกฝังให้คนรุ่นใหม่เห็นคุณค่าของรากเหง้าท้องถิ่น โดยเฉพาะในยุคที่อิทธิพลจากต่างชาติเข้ามามีบทบาท การผลักดันให้เมนูอาหารถิ่นกลับมาเป็นที่รู้จัก ถือเป็นทั้งภารกิจเชิงวัฒนธรรมและการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก

ก้าวต่อไปสู่เวทีระดับประเทศ

สำหรับ 5 เมนูของเชียงรายที่ผ่านการคัดเลือกในวันนี้ จะถูกนำเสนอให้กรมส่งเสริมวัฒนธรรมเพื่อคัดเลือกในระดับประเทศต่อไป ให้เหลือเพียง 3 เมนูเท่านั้น ซึ่งการโหวตจะเปิดให้ประชาชนทั่วประเทศร่วมลงคะแนนเลือกเมนูที่ชื่นชอบผ่านระบบออนไลน์ เป็นการสร้างการมีส่วนร่วมและสร้างแรงบันดาลใจในการอนุรักษ์อาหารถิ่นอย่างยั่งยืน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย (12 มิถุนายน 2568)
  • กรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม
  • ข่าวสารราชการ กระทรวงวัฒนธรรม
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

มนต์ขลังริมโขง อ.เชียงของ จัดพิธีไหว้เจ้าพ่อปลาบึก

เชียงของจัดยิ่งใหญ่ พิธีบวงสรวงเจ้าพ่อปลาบึก ประจำปี 2568 อนุรักษ์วัฒนธรรมพื้นบ้าน

เปิดฉากพิธีบวงสรวงเจ้าพ่อปลาบึก ประเพณีสำคัญของชาวเชียงของ

เชียงราย, 18 เมษายน 2568 – เวลา 09.00 น. ณ ลานโพธิ์หน้าวัดหาดไคร้ ตำบลเวียง อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย ได้มีการจัดพิธีบวงสรวงเจ้าพ่อปลาบึก ประจำปี 2568 โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่ออนุรักษ์และสืบทอดประเพณีท้องถิ่นที่มีคุณค่าทางวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์อันยาวนานของชาวเชียงของ

พิธีนี้ได้รับเกียรติจาก นายอุดม ปกป้องบวรกุล นายอำเภอเชียงของ เป็นผู้กล่าวต้อนรับผู้เข้าร่วมพิธี และได้รับเกียรติจาก นายมนตรี ชัยกิจวัฒนะ หัวหน้ากลุ่มบริหารจัดการด้านการประมง ผู้แทนประมงจังหวัดเชียงราย มาเป็นประธานในพิธีกล่าวเปิดงาน โดยมีนายทรงศักดิ์ เรืองศรีมั่น ปลัดเทศบาลตำบลเวียงเชียงของ ปฏิบัติหน้าที่นายกเทศมนตรีตำบลเวียงเชียงของ เป็นผู้กล่าวรายงานความสำคัญของงานครั้งนี้

ที่มาของประเพณีบวงสรวงเจ้าพ่อปลาบึก

การบวงสรวงเจ้าพ่อปลาบึก เป็นพิธีกรรมที่ชาวบ้านหาดไคร้ ตำบลเวียง อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย ได้ปฏิบัติสืบทอดกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษ เนื่องจากชาวบ้านมีความเชื่อว่าปลาบึกในแม่น้ำโขงเป็นปลาที่มีเทพเจ้าคอยคุ้มครองรักษา การที่จะสามารถจับปลาบึกได้สำเร็จนั้น จำเป็นต้องมีการทำพิธีขออนุญาตต่อเทพเจ้าที่คุ้มครองปลา และปลุกขวัญแม่ย่านางเรือให้มีอานุภาพแกร่งกล้าเสียก่อน

แม้ปัจจุบันชาวบ้านจะไม่ได้มีการล่าปลาบึกแล้ว เนื่องจากการอนุรักษ์สายพันธุ์ปลาและความเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อม แต่ประเพณีบวงสรวงเจ้าพ่อปลาบึกยังคงถูกจัดขึ้นทุกปีอย่างต่อเนื่อง เพื่อรักษาขนบธรรมเนียมประเพณีที่ดีงามของหมู่บ้านที่สืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น และแสดงออกถึงความกตัญญูต่อเทพเจ้าที่เชื่อว่าปกปักษ์รักษาชุมชนให้อยู่ดีมีสุข

กิจกรรมสำคัญในงานพิธีบวงสรวง

ภายในงานครั้งนี้ มีกิจกรรมสำคัญหลายอย่าง ได้แก่ พิธีเลี้ยงลวงหรือบวงสรวงเจ้าพ่อปลาบึก พิธีฟ้อนบวงสรวง การแสดงทางวัฒนธรรมของชาวบ้านที่มีความวิจิตรงดงาม และสร้างความประทับใจแก่ผู้ร่วมงานเป็นอย่างมาก

นอกจากนี้ยังมีพิธีมอบพันธุ์ปลาและพิธีปล่อยปลาลงสู่แม่น้ำโขง ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการอนุรักษ์พันธุ์ปลาในแม่น้ำโขง และส่งเสริมให้ประชาชนตระหนักถึงความสำคัญของการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ โดยได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากเทศบาลตำบลเวียงเชียงของ

การมีส่วนร่วมของประชาชนและหน่วยงานในท้องถิ่น

พิธีบวงสรวงเจ้าพ่อปลาบึกในครั้งนี้ได้รับความสนใจจากประชาชนบ้านหาดไคร้และชาวอำเภอเชียงของเป็นจำนวนมาก ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความสามัคคีของคนในชุมชน และความร่วมมือร่วมใจในการอนุรักษ์และสืบทอดประเพณีอันดีงามของท้องถิ่น

นายมนตรี ชัยกิจวัฒนะ ประธานในพิธี ได้กล่าวเน้นย้ำถึงความสำคัญของการรักษาประเพณีและการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติว่า “ประเพณีบวงสรวงเจ้าพ่อปลาบึกไม่เพียงแต่เป็นการแสดงความเคารพต่อเทพเจ้าที่คุ้มครองปลา แต่ยังเป็นเครื่องมือสำคัญในการปลูกฝังจิตสำนึกเรื่องการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้กับประชาชนในชุมชน”

จุดวิเคราะห์และข้อเสนอแนะในการสืบทอดประเพณี

จากการจัดงานในครั้งนี้ เห็นได้ชัดว่าชุมชนมีความตระหนักถึงความสำคัญของประเพณีดั้งเดิม แต่เพื่อให้ประเพณีนี้ดำรงอยู่ต่อไปอย่างยั่งยืน ควรมีการส่งเสริมให้คนรุ่นใหม่มีส่วนร่วมในการจัดกิจกรรมมากขึ้น รวมถึงการให้ความรู้เรื่องประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมท้องถิ่น ผ่านสื่อและช่องทางการเรียนรู้ต่างๆ เพื่อให้ประเพณีดังกล่าวยังคงมีชีวิตชีวาและได้รับการสืบทอดอย่างมั่นคง

สถิติที่เกี่ยวข้องและแหล่งอ้างอิง

ข้อมูลจากกรมประมงระบุว่า ปลาบึกเป็นปลาน้ำจืดที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งพบมากในลุ่มแม่น้ำโขง โดยมีน้ำหนักเฉลี่ยประมาณ 150-250 กิโลกรัม และมีอายุเฉลี่ยประมาณ 50 ปี ปัจจุบันปลาบึกมีจำนวนลดลงมากจากเดิมกว่า 80% ในช่วง 50 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงและการประมงที่ขาดการควบคุม (ที่มา: กรมประมง, 2567)

ดังนั้น การจัดกิจกรรมปล่อยพันธุ์ปลาลงแม่น้ำโขง จึงเป็นมาตรการสำคัญในการอนุรักษ์พันธุ์ปลาบึกให้คงอยู่ และเป็นการกระตุ้นเตือนให้ประชาชนทุกภาคส่วนตระหนักถึงความสำคัญของการดูแลทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • กรมประมง
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

ศิลปินเชียงรายผนึกสิบสองปันนา สร้างสัมพันธ์ผ่านงานศิลปะ

ศิลปินเชียงรายร่วมสร้างสรรค์งานศิลปะกระชับสัมพันธ์กับศิลปินสิบสองปันนา

เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2568 ศิลปินไทยจากสมาคมขัวศิลปะเชียงรายได้เดินทางไปยังเขตปกครองตนเองสิบสองปันนา มณฑลยูนนาน สาธารณรัฐประชาชนจีน เพื่อศึกษาดูงานและร่วมสร้างสรรค์ผลงานจิตรกรรมร่วมกับกลุ่มศิลปินสิบสองปันนา โดยกิจกรรมในครั้งนี้มุ่งเน้นการแลกเปลี่ยนความรู้ด้านศิลปะ วัฒนธรรม และพระพุทธศาสนาระหว่างสองเมือง นับเป็นก้าวสำคัญในการกระชับความสัมพันธ์ระหว่างศิลปินทั้งสองประเทศให้แน่นแฟ้นและยั่งยืน

กิจกรรมสร้างสรรค์และแลกเปลี่ยนความรู้

คณะศิลปินไทยนำโดยสุวิทย์ ใจป้อม ประธานสมาคมขัวศิลปะเชียงราย พร้อมด้วยศิลปินทรงเดช ทิพย์ทอง, เสงี่ยม ยารังษี, พิชิต สิทธิวงศ์, กำธร สีฟ้า และคณะรวม 12 คน ได้ร่วมกับศิลปินสิบสองปันนาในการวาดภาพสถาปัตยกรรมอันโดดเด่น เช่น วัดไทยลื้อ หมู่บ้านชาวไทยลื้อบ้านหัวนา และแหล่งท่องเที่ยวสำคัญในพื้นที่สิบสองปันนา

การแลกเปลี่ยนในครั้งนี้ไม่เพียงเป็นการสร้างผลงานศิลปะ แต่ยังเป็นการแบ่งปันความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ ความเชื่อ และวิถีชีวิตของชาวไทยลื้อ ซึ่งสะท้อนผ่านงานจิตรกรรมที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว โดยผลงานเหล่านี้จะถูกนำมาจัดแสดงในนิทรรศการศิลปะเพื่อประชาสัมพันธ์ความงดงามของวัฒนธรรมท้องถิ่นในทั้งสองประเทศ

กระชับความสัมพันธ์เมืองพี่เมืองน้อง

นายสุวิทย์ ใจป้อม กล่าวว่าศิลปินจากเขตปกครองตนเองสิบสองปันนาและเชียงรายมีความสัมพันธ์กันมาอย่างยาวนานผ่านการแลกเปลี่ยนศิลปะและวัฒนธรรม รวมถึงการศึกษาในด้านพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของความสัมพันธ์ระหว่างสองเมือง

ในครั้งนี้ ศิลปินสิบสองปันนาได้แสดงความยินดีและตั้งใจอย่างยิ่งที่จะเดินทางมายังจังหวัดเชียงรายในอนาคตเพื่อตอบแทนการต้อนรับที่อบอุ่นและมิตรภาพอันดีจากศิลปินไทย การแลกเปลี่ยนนี้ยังเป็นโอกาสที่ดีในการแสดงผลงานศิลปะจากทั้งสองประเทศให้ผู้คนได้ชื่นชม พร้อมทั้งเรียนรู้วิถีชีวิตและวัฒนธรรมของกันและกัน

เชื่อมโยงศิลปะ วัฒนธรรม และการศึกษา

ในฐานะตัวแทนศิลปินไทย นายสุวิทย์ ใจป้อม ยังได้เชิญชวนให้ศิลปินจากสิบสองปันนาเยือนจังหวัดเชียงรายเพื่อร่วมงานด้านศิลปะและวัฒนธรรม โดยไทยพร้อมให้การต้อนรับและจัดกิจกรรมเพื่อสานสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น

กิจกรรมในครั้งนี้สะท้อนถึงความตั้งใจของศิลปินทั้งสองฝ่ายในการใช้ศิลปะเป็นสื่อกลางเพื่อกระชับความสัมพันธ์และแลกเปลี่ยนความรู้ระหว่างกันอย่างยั่งยืน

การเดินหน้าความสัมพันธ์ในอนาคต

ความสัมพันธ์ระหว่างศิลปินไทยและศิลปินสิบสองปันนาจะยังคงดำเนินต่อไปผ่านกิจกรรมแลกเปลี่ยนต่างๆ ในอนาคต อันเป็นโอกาสสำคัญในการสร้างสรรค์ผลงานที่ไม่เพียงแสดงถึงความงดงามของศิลปะ แต่ยังแสดงถึงพลังแห่งความร่วมมือระหว่างสองวัฒนธรรม

กิจกรรมดังกล่าวช่วยส่งเสริมชื่อเสียงของจังหวัดเชียงรายและเขตปกครองตนเองสิบสองปันนาให้เป็นที่รู้จักในระดับสากล และตอกย้ำถึงความสำคัญของศิลปะในฐานะสะพานเชื่อมโยงวัฒนธรรมและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สมาคมขัวศิลปะเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE