Categories
CULTURE

ผ้าไหมไทลื้อศรีดอนชัยจากผืนผ้าสู่งานออกแบบ ยกระดับเชียงรายสู่เมืองสร้างสรรค์โลก

ผ้าไหมไทลื้อศรีดอนชัย: จากผืนผ้าสู่งานออกแบบสร้างสรรค์ ปลุกพลังวัฒนธรรมพื้นถิ่น ยกระดับ “เชียงรายเมืองสร้างสรรค์โลก”

เชียงราย, 3 สิงหาคม 2568 – ณ ห้วงเวลาที่วัฒนธรรมพื้นบ้านจำนวนมากกำลังถูกกระแสโลกาภิวัตน์กลืนหาย “ผ้าไหมไทลื้อศรีดอนชัย” กลับโดดเด่นขึ้นมาเป็นสัญลักษณ์ของการอนุรักษ์และต่อยอดภูมิปัญญาพื้นถิ่นอย่างมีชั้นเชิง ด้วยการผนึกกำลังของชุมชน สถาบันวิชาการ หน่วยงานรัฐ และองค์กรระดับนานาชาติ ก่อให้เกิด “โมเดลการพัฒนาใหม่” ที่ผสมผสานมรดกวัฒนธรรมกับเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ผลักดันเชียงรายก้าวสู่เวทีเมืองสร้างสรรค์โลกของ UNESCO อย่างเป็นรูปธรรม

สมเด็จพระราชินีเสด็จทอดพระเนตรนิทรรศการ – ฟื้นมรดกภูมิปัญญาหลายชั่วคน

โอกาสสำคัญเกิดขึ้นเมื่อสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีเสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตรนิทรรศการเครือข่ายสตรีภาคเหนือ ณ กรุงเทพมหานคร เนื่องในวันสตรีไทย 2568 ภายในงาน รองศาสตราจารย์ ดร.พลวัฒ ประพัฒน์ทอง หัวหน้าสถาบันศิลปวัฒนธรรมและอารยธรรมลุ่มน้ำโขง ม.แม่ฟ้าหลวง ได้ถวายรายงานโครงการวิจัย “สืบสายลายเส้นไหมศรีดอนชัยใช้สร้างสรรค์” ที่ถือเป็นก้าวสำคัญของการคืนชีวิตให้ “ผ้าไหมไทลื้อศรีดอนชัย” บ้านศรีดอนชัย อ.เชียงของ จ.เชียงราย

ผ้าไหมไทลื้อที่เคยทอใช้ในครัวเรือนและพิธีกรรมชุมชน ปัจจุบันกำลังกลายเป็น “จุดเริ่มต้น” ของการยกระดับผู้หญิงและเยาวชนให้ก้าวสู่บทบาท “นักออกแบบ” ที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมของตนเองอย่างมั่นคง

โมเดล “โรงเรียนออกแบบ” – ปลุกจิตวิญญาณนักสร้างสรรค์ในชุมชน

หัวใจของความสำเร็จนี้คือโครงการ “สืบสายลายเส้นไหมศรีดอนชัยใช้สร้างสรรค์ (บพท.67)” ที่ได้รับทุนจากหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) และริเริ่ม “โรงเรียนออกแบบ” ภายในชุมชน โดยยกระดับทักษะ “ช่างทอผ้าสตรี” ให้เป็น “นักออกแบบร่วมสมัย” ผ่านกระบวนการเรียนรู้ที่ทันสมัย เช่น Body Mapping (แผนที่ร่างกาย) เพื่อให้คนในชุมชนได้สำรวจและตีความรากเหง้าของตนเอง ต่อยอดสู่คอนเซ็ปต์ “LUE LOVE LIVE ROOT (เป็นลื้อ รัก ราก วิถี)” สะท้อนความภูมิใจในอัตลักษณ์ของไทลื้ออย่างแท้จริง

หลักสูตร “การออกแบบพื้นถิ่น (Vernacular Design)” ถูกบูรณาการในโรงเรียนออกแบบของชุมชน สอนให้เยาวชนและผู้หญิงรู้จักใช้ศิลปะและความคิดสร้างสรรค์ในการแปลงร่างลายผ้าโบราณให้กลายเป็นผลงานร่วมสมัย สอดรับกับความต้องการของตลาดและอุตสาหกรรมแฟชั่นในโลกยุคใหม่

เครือข่ายความร่วมมือ สร้างพลังทวีคูณสู่เวทีโลก

โครงการนี้เติบโตได้อย่างแข็งแกร่งจากเครือข่ายพันธมิตรหลายฝ่าย ไม่ว่าจะเป็น มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง, หน่วยงานรัฐ, เทศบาลตำบลศรีดอนชัย, พิพิธภัณฑ์ลื้อลายคำ, พาณิชย์จังหวัดเชียงราย ตลอดจนเครือข่ายนักออกแบบ ทั้งหมดนี้ร่วมกันออกแบบระบบนิเวศทางวัฒนธรรมที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก โดยมี “ผ้าไหมไทลื้อศรีดอนชัย” เป็นหัวใจสำคัญ

ผลงานวิจัยและการมีส่วนร่วมของคนรุ่นใหม่ในชุมชนไม่ได้จบแค่การอนุรักษ์หัตถกรรมเดิม แต่เดินหน้าสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ สร้างพื้นที่ทางการตลาด จัดกิจกรรมเชิงวัฒนธรรม นำเสนอผลงานสู่สายตาสาธารณะ ทั้งในระดับประเทศและต่างประเทศ

เชียงรายเมืองสร้างสรรค์ – มรดกวัฒนธรรมสู่วิสัยทัศน์ระดับสากล

หนึ่งในเป้าหมายสูงสุดของโครงการนี้ คือการผลักดัน “เชียงราย” เข้าสู่เครือข่ายเมืองสร้างสรรค์ด้านการออกแบบของ UNESCO โดยใช้งานหัตถกรรมฝีมือสตรีเป็นเครื่องมือเสริมพลังท้องถิ่นและสร้างแบรนด์เชียงรายบนเวทีโลก

แนวคิดดังกล่าวสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) โดยเฉพาะข้อที่ 5 (ความเสมอภาคทางเพศ) และข้อที่ 11 (เมืองและชุมชนยั่งยืน) ขณะเดียวกันยังเป็นโมเดลฟื้นฟูเศรษฐกิจและจิตวิญญาณของเมืองตามแนวคิด “ฟื้นใจเมือง” ของ บพท. ที่เน้นการฟื้นคืนจิตวิญญาณชุมชนและสร้างพลังร่วมของคนท้องถิ่น

มุมมองนักวิเคราะห์ ผ้าไหมไทลื้อศรีดอนชัย กับเศรษฐกิจสร้างสรรค์ที่แท้จริง

ความสำเร็จในระยะแรกของโครงการนี้สะท้อนให้เห็นว่า “เศรษฐกิจฐานวัฒนธรรม” ไม่ได้เป็นแค่แนวคิดในตำรา แต่สามารถสร้างรายได้ เพิ่มคุณค่า สร้างแรงบันดาลใจ และส่งต่อองค์ความรู้สู่คนรุ่นใหม่อย่างเป็นรูปธรรม

จุดเด่นสำคัญคือ “การมีส่วนร่วม” ของชุมชน การถ่ายทอดภูมิปัญญาจากรุ่นสู่รุ่น การสนับสนุนของหน่วยงานรัฐและวิชาการอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการเปิดกว้างสู่ตลาดในระดับประเทศและต่างประเทศ หากหน่วยงานเกี่ยวข้องสามารถพัฒนาช่องทางการตลาด จัดทำฐานข้อมูลองค์ความรู้ และต่อยอดผลิตภัณฑ์อย่างเป็นระบบ เชียงรายจะกลายเป็น “ต้นแบบเมืองสร้างสรรค์” ที่ใช้มรดกวัฒนธรรมเป็นเครื่องจักรขับเคลื่อนเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน

บทสรุป

ผ้าไหมไทลื้อศรีดอนชัยจึงเป็นมากกว่าผ้าทอพื้นเมือง หากแต่เป็นสัญลักษณ์ของการปลุกพลังท้องถิ่น สร้างสรรค์คุณค่าทางวัฒนธรรม เชื่อมอดีตกับอนาคต และสร้างความมั่นคงให้สตรีและเยาวชนในบ้านเกิด นี่คือโมเดลใหม่ของการพัฒนาชุมชนที่ยั่งยืน “คนเชียงราย” ไม่เพียงเป็นผู้อนุรักษ์ แต่เป็น “นักสร้างสรรค์” ที่กล้าฝัน กล้าสร้าง และพร้อมเดินไปข้างหน้าบนเวทีโลก

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.)
  • หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.)
  • มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง
  • เทศบาลตำบลศรีดอนชัย อ.เชียงของ จ.เชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TRAVEL

มฟล.ทุ่ม 350 ล้าน สร้าง “พิพิธภัณฑ์ศิลปะและธรรมชาติ” ยกระดับเชียงราย

มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงปักหมุดสร้าง “พิพิธภัณฑ์ธรรมชาติ” ศูนย์การเรียนรู้-ท่องเที่ยวแห่งใหม่ของเชียงราย

เชียงราย, 1 สิงหาคม 2568 – ในยุคที่การศึกษาเชิงบูรณาการและการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมกำลังได้รับความสำคัญมากขึ้น มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง (มฟล.) ได้ก้าวสู่การเป็นผู้นำในการสร้างสรรค์พื้นที่การเรียนรู้แห่งใหม่ด้วยโครงการ “พิพิธภัณฑ์ศิลปะและธรรมชาติ” ซึ่งจะเป็นมากกว่าพิพิธภัณฑ์ทั่วไป แต่เป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ด้านวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ การอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ และเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงการศึกษาที่จะเปลี่ยนโฉมหน้าการท่องเที่ยวจังหวัดเชียงรายให้มีมิติใหม่ที่ลึกซึ้งและยั่งยืน

โครงการแห่งความยิ่งใหญ่นี้สะท้อนถึงปรัชญาหลัก “ปลูกป่า สร้างคน” ของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ที่มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงยึดถือมาตั้งแต่ก่อตั้ง พร้อมกับวิสัยทัศน์การเป็น “มหาวิทยาลัยเพื่อสังคม” และ “มหาวิทยาลัยปลอดคาร์บอนสุทธิ” ซึ่งได้รับการยอมรับในระดับสากล โดยเฉพาะการติดอันดับมหาวิทยาลัยสีเขียวอันดับ 8 ของประเทศไทยและอันดับ 101 ของโลกในปี 2567

การลงทุนเชิงยุทธศาสตร์กว่า 350 ล้านบาท สู่อนาคตแห่งการเรียนรู้

โครงการพิพิธภัณฑ์ศิลปะและธรรมชาติแห่งนี้ถือเป็นการลงทุนเชิงยุทธศาสตร์ครั้งสำคัญ ด้วยงบประมาณก่อสร้างรวมกว่า 350 ล้านบาท ครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมด 18,500 ตารางเมตร ที่ออกแบบมาอย่างพิถีพิถันเพื่อตอบสนองความต้องการของศตวรรษที่ 21

การออกแบบโครงการในรูปแบบ “กลุ่มอาคาร” ประกอบด้วย 3 องค์ประกอบหลัก ได้แก่ อาคารพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติที่จะเป็นหัวใจของการจัดแสดงและเก็บรักษาองค์ความรู้ อาคารหอประชุม (Auditorium) สำหรับกิจกรรมสาธารณะและการมีส่วนร่วมของชุมชน และอาคาร Co-Working Space/คาเฟ่ธรรมชาติ ที่จะเป็นพื้นที่สร้างสรรค์และผ่อนคลายให้กับนักเรียน นักศึกษา นักวิจัย และนักท่องเที่ยว

แนวคิดการออกแบบนี้สะท้อนถึงความเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่าพิพิธภัณฑ์ในยุคปัจจุบันต้องเป็นมากกว่าสถานที่จัดแสดง แต่ต้องเป็น “พื้นที่มีชีวิต” ที่ส่งเสริมการเรียนรู้แบบมีปฏิสัมพันธ์ การแลกเปลี่ยนความรู้ และการสร้างประสบการณ์ที่หลากหลาย

เส้นทางสู่ความสำเร็จ จากแผนสู่การปฏิบัติ

การติดตามความคืบหน้าของโครงการแสดงให้เห็นถึงการบริหารจัดการที่มีระบบและโปร่งใส โดย รศ.ดร.ชยาพร วัฒนศิริ อธิการบดีมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง เคยรายงานสถานะของโครงการเมื่อเดือนกันยายน 2565 ว่ากำลังดำเนินการอย่างต่อเนื่อง

ขั้นตอนการดำเนินงานที่ผ่านมาแสดงให้เห็นถึงความรอบคอบและมีระบบ:

เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2565 มหาวิทยาลัยได้ประกาศเปลี่ยนแปลงแผนการจัดซื้อจัดจ้างสำหรับค่าควบคุมงานก่อสร้าง ซึ่งแสดงถึงการปรับปรุงและพัฒนาแผนงานให้เหมาะสมที่สุด

ต่อมาเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2566 มีการประกาศราคากลางสำหรับงานก่อสร้างและระบบสาธารณูปการ โดยใช้วิธีการประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์ (e-bidding) ซึ่งสะท้อนถึงการใช้เทคโนโลยีเพื่อความโปร่งใสและมีประสิทธิภาพ

ในปี 2566 ได้มีการประกาศผลผู้ชนะการจัดซื้อจัดจ้างที่เกี่ยวข้องกับการก่อสร้างพิพิธภัณฑ์ ซึ่งเป็นขั้นตอนสำคัญที่นำไปสู่การก่อสร้างจริง

ข้อมูลเหล่านี้ยืนยันว่าโครงการได้ผ่านขั้นตอนการวางแผน การจัดหาผู้รับเหมา และกำลังก้าวสู่ขั้นตอนการก่อสร้างทางกายภาพ ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับการเปลี่ยนแผนยุทธศาสตร์ให้เป็นรูปธรรมอย่างจริงจัง

ความหมายเชิงลึกเมื่อศิลปะผสานกับธรรมชาติ

สิ่งที่น่าสนใจและแตกต่างจากพิพิธภัณฑ์ทั่วไปคือ การใช้ชื่อ “พิพิธภัณฑ์ศิลปะและธรรมชาติ” ซึ่งแสดงให้เห็นถึงแนวทางสหวิทยาการที่จะนำเสนอธรรมชาติผ่านมุมมองทางศิลปะ และใช้ศิลปะเป็นสื่อในการถ่ายทอดองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์

แนวทางนี้สอดคล้องกับแนวโน้มการศึกษาในศตวรรษที่ 21 ที่เน้นการเชื่อมโยงศาสตร์ต่างๆ เข้าด้วยกัน (STEAM Education) เพื่อสร้างประสบการณ์การเรียนรู้ที่สมบูรณ์และเข้าถึงได้ง่ายสำหรับผู้เรียนทุกเพศทุกวัย

การผสานศิลปะเข้ากับวิทยาศาสตร์ธรรมชาติอาจรวมถึงการใช้เทคโนโลยี Virtual Reality (VR) และ Augmented Reality (AR) เพื่อให้ผู้เยี่ยมชมได้สัมผัสกับระบบนิเวศป่าฝนหรือความหลากหลายทางชีวภาพในรูปแบบที่น่าตื่นตาตื่นใจ การจัดแสดงศิลปะจากวัสดุธรรมชาติ หรือการใช้ศิลปะเป็นสื่อในการสื่อสารประเด็นสิ่งแวดล้อม

สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจว่าพิพิธภัณฑ์แห่งนี้แตกต่างจาก “อุทยานศิลปะวัฒนธรรมแม่ฟ้าหลวง” (ไร่แม่ฟ้าหลวง) ที่มีอยู่แล้วและมุ่งเน้นศิลปะวัฒนธรรมล้านนา โดยพิพิธภัณฑ์แห่งใหม่นี้จะตั้งอยู่ในวิทยาเขตของมหาวิทยาลัยและมุ่งเน้นธรรมชาติเป็นหลัก

ผลกระทบหลายมิติการศึกษา การอนุรักษ์ และการท่องเที่ยว

โครงการพิพิธภัณฑ์แห่งนี้จะส่งผลกระทบในวงกว้าง ครอบคลุมหลายภาคส่วน:

ด้านการศึกษาและการวิจัย พิพิธภัณฑ์จะทำหน้าที่เป็นห้องปฏิบัติการธรรมชาติขนาดใหญ่ สนับสนุนหลักสูตรวิทยาศาสตร์ชีวภาพ วิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม และศาสตร์ที่เกี่ยวข้องของมหาวิทยาลัยโดยตรง นักศึกษาจะได้เรียนรู้จากตัวอย่างจริง ข้อมูลที่ทันสมัย และเทคโนโลยีการจัดแสดงที่ล้ำสมัย นอกจากนี้ยังจะเป็นศูนย์กลางการวิจัยความหลากหลายทางชีวภาพในระดับภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง

ด้านการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม พิพิธภัณฑ์จะเป็นเวทีสาธารณะในการสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับประเด็นสำคัญด้านสิ่งแวดล้อม เช่น ปัญหาการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ ผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และความสำคัญของการพัฒนาที่ยั่งยืน การจัดแสดงจะช่วยให้ประชาชนเข้าใจความเชื่อมโยงระหว่างกิจกรรมของมนุษย์กับสภาพแวดล้อม และเห็นแนวทางในการร่วมมือกันอนุรักษ์ธรรมชาติ

ด้านการท่องเที่ยวเชิงการศึกษา ด้วยชื่อเสียงของเชียงรายในฐานะจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวที่สำคัญ และการออกแบบพิพิธภัณฑ์ที่มีฟังก์ชันหลากหลาย จึงมีศักยภาพสูงที่จะกลายเป็นแหล่งดึงดูดนักท่องเที่ยวเชิงการศึกษาและวัฒนธรรมแห่งใหม่ ซึ่งจะสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจให้กับท้องถิ่นและส่งเสริมการท่องเที่ยวแบบยั่งยืน

ก้าวสำคัญสู่การเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ระดับโลก

โครงการนี้ถือเป็นก้าวสำคัญที่สอดคล้องกับแนวโน้มการศึกษาโลก ที่เน้นการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม การใช้เทคโนโลยี และการเชื่อมโยงกับชุมชน

การที่มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงได้รับการจัดอันดับเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในไทยปี 2025 ด้านความเป็นสากลและความเป็นนานาชาติ ตาม Times Higher Education World University Rankings นั้น เป็นสัญญาณที่ดีว่ามหาวิทยาลัยมีศักยภาพในการจัดการโครงการระดับสากล

นอกจากนี้ การที่มหาวิทยาลัยติดอันดับมหาวิทยาลัยสีเขียวอันดับ 8 ของประเทศไทย และอันดับ 101 ของโลก ยังแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นด้านความยั่งยืนที่แท้จริง ซึ่งจะสะท้อนออกมาในการดำเนินงานของพิพิธภัณฑ์

ความท้าทายและโอกาส

แม้โครงการจะมีศักยภาพสูง แต่ก็มีความท้าทายที่ต้องเผชิญ เช่น การจัดหาผู้เชี่ยวชาญในการจัดแสดงและดูแลรักษาสิ่งของ การพัฒนาเนื้อหาที่ทันสมัยและน่าสนใจ รวมถึงการสร้างเครือข่ายความร่วมมือกับสถาบันการศึกษาและองค์กรอื่นๆ

อย่างไรก็ตาม โอกาสที่จะเกิดขึ้นจากโครงการนี้มีมากมาย ไม่เพียงแต่จะเป็นการยกระดับการศึกษาของจังหวัดเชียงราย แต่ยังจะเป็นการสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ การเสริมสร้างอัตลักษณ์ของพื้นที่ และการเป็นต้นแบบของการพัฒนาที่ยั่งยืน

ก้าวสู่อนาคตแห่งการเรียนรู้

การก่อสร้างพิพิธภัณฑ์ศิลปะและธรรมชาติของมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง จึงไม่เพียงเป็นการขยายโครงสร้างพื้นฐานทางการศึกษา แต่เป็นการลงทุนเพื่ออนาคตของจังหวัดเชียงรายและภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ในฐานะศูนย์กลางแห่งการเรียนรู้ การอนุรักษ์ และการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน

โครงการนี้เป็นเครื่องพิสูจน์ความมุ่งมั่นของมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงในการสืบสานพระราชปณิธาน “ปลูกป่า สร้างคน” และการก้าวสู่การเป็นมหาวิทยาลัยระดับโลกที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืนและการมีส่วนร่วมของสังคม

เมื่อพิพิธภัณฑ์แห่งนี้เปิดให้บริการในอนาคต คาดว่าจะกลายเป็นจุดหมายปลายทางสำคัญสำหรับนักเรียน นักศึกษา นักวิจัย และนักท่องเที่ยวที่ต้องการสัมผัสกับความงดงามของธรรมชาติผ่านมุมมองทางวิทยาศาสตร์และศิลปะ พร้อมทั้งเป็นแรงบันดาลใจในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมเพื่อคนรุ่นต่อไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง (www.mfu.ac.th)
  • ข้อมูลการจัดซื้อจัดจ้างโครงการพิพิธภัณฑ์ศิลปะและธรรมชาติ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง
  • รายงานการจัดอันดับมหาวิทยาลัย Times Higher Education World University Rankings 2025
  • รายงานการจัดอันดับมหาวิทยาลัยสีเขียว UI Green Metric World University Rankings 2567
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

ที่ปรึกษาศูนย์ฯ ชงแผนเด็ด แก้มลพิษน้ำเชียงราย ผสานสื่อสาร-เยียวยา-ข้ามแดน

 “สารปนเปื้อนในน้ำ” วิกฤตซ้ำซ้อนของลุ่มน้ำกก-สาย-รวก-โขง ที่ปรึกษาศูนย์อำนวยการฯ เสนอแนวคิดสื่อสาร-เยียวยา พร้อมดันมาตรการข้ามพรมแดน

น้ำที่เคยมั่นใจ กลายเป็นความกังวลของคนเชียงราย

เชียงราย, 10 กรกฎาคม 2568 — ฤดูฝนวนกลับมาอีกครั้งในจังหวัดเชียงราย ทว่าแทนที่จะนำความชุ่มชื้นและชีวิตชีวาสู่ชุมชนริมฝั่งแม่น้ำ สายน้ำในปีนี้กลับกลายเป็นแหล่งแห่งความวิตกกังวล เมื่อสารปนเปื้อนที่มองไม่เห็นได้แทรกซึมเข้าสู่แม่น้ำสำคัญอย่างแม่น้ำกก แม่น้ำสาย แม่น้ำรวก และแม่น้ำโขง ประชาชนในพื้นที่และภาคส่วนต่าง ๆ ต่างเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด

ล่าสุด นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานการประชุมคณะที่ปรึกษาศูนย์อำนวยการแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำ (ส่วนหน้า) จังหวัดเชียงราย ณ ห้องประชุมอูหลง ศาลากลางจังหวัดเชียงราย ร่วมกับคณะผู้เชี่ยวชาญและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งในรูปแบบออนไซต์และออนไลน์ เพื่อสรุปข้อเสนอเชิงลึกที่หวังจะแก้ไขวิกฤตน้ำที่ครอบคลุมตั้งแต่ต้นน้ำไปจนถึงการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ

ประเด็นร้อนกลางวงประชุม “ประชาชนต้องการชัดเจน-มีส่วนร่วม”

เสียงสะท้อนจากภาคประชาชน ภาควิชาการ และตัวแทนภาคเอกชนต่างเน้นย้ำว่า “ข้อมูลที่โปร่งใส-เข้าถึงได้” คือหัวใจสำคัญของการจัดการวิกฤตน้ำครั้งนี้ โดยเฉพาะ 5 คำถามสำคัญที่ต้องการคำตอบเร่งด่วนจากภาครัฐ

  • รัฐบาลมีไทม์ไลน์ชัดเจนหรือไม่ในการควบคุมมลพิษที่ต้นทาง?
  • จะลดสารหนูและสารพิษอื่นในแม่น้ำด้วยวิธีใด?
  • จะมีคู่มือรับมือภาวะน้ำปนเปื้อนสำหรับประชาชนหรือไม่?
  • แหล่งน้ำทางเลือกและการเข้าถึงน้ำสะอาดมีทางออกอย่างไร?
  • จะมีเวทีวงสนทนาเปิดพื้นที่ให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่มได้อย่างไร?

คณะที่ปรึกษาฯ ยังเสนอให้ภาครัฐดำเนินการ “Social Listening” รับฟังเสียงและความกังวลจากโซเชียลมีเดียอย่างเป็นระบบ เพื่อสร้างฐานข้อมูลปัญหาและแนวทางแก้ไขที่แท้จริง

สื่อสาร-แก้ข้ามพรมแดน-เยียวยาอย่างยั่งยืน

การประชุมมีข้อเสนอสำคัญที่ต้องเร่งขับเคลื่อน ดังนี้

  1. สื่อสารความเสี่ยงแบบโปร่งใสและจริงใจ

ที่ประชุมเน้นให้ภาครัฐเผยแพร่แผนตรวจสอบและรายงานคุณภาพน้ำฉบับเต็มบนเว็บไซต์หน่วยงาน เช่น กรมควบคุมมลพิษ เพื่อให้ประชาชนตรวจสอบได้ตลอดเวลา สื่อสารข้อมูลให้สม่ำเสมอและชัดเจน รวมถึงอธิบายข้อจำกัดและความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้น เพื่อสร้างความเชื่อมั่นระหว่างรัฐและประชาชน

  1. เปิดเผยข้อมูลเหมืองแร่ในเมียนมา

สารพิษจำนวนมากในแม่น้ำมีต้นกำเนิดข้ามพรมแดน คณะที่ปรึกษาฯ เสนอให้รัฐบาลไทยผลักดันการเปิดเผยข้อมูลเหมืองแร่ในเมียนมา ทั้งที่ตั้ง จำนวน และประเภทของเหมือง เพื่อวางแผนรับมือและเจรจากับเพื่อนบ้านอย่างเป็นทางการ

  1. แผนเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ

เสนอให้สำรวจผู้ได้รับผลกระทบโดยตรง ได้แก่ ผู้ใช้น้ำเพื่ออุปโภคบริโภคในพื้นที่เสี่ยง ชาวประมงที่ต้องหยุดกิจการ ผู้ประกอบการร้านอาหารและแพท่องเที่ยว รวมถึงกำหนดมาตรการเยียวยาและชดเชยภายใน 2 เดือน

  1. แผนรับมือน้ำท่วมที่มีสารพิษ

ทุกชุมชนควรได้รับคู่มือและความรู้ในการป้องกันตัวเมื่อต้องเผชิญน้ำท่วมที่มีสารโลหะหนัก เช่น วิธีหลีกเลี่ยงสัมผัสน้ำปนเปื้อน การล้างบ้านหลังน้ำลด และการจัดการโคลนที่มีสารพิษ

  1. เฝ้าระวังผลผลิตทางการเกษตร

แผนเฝ้าระวังและตรวจสอบผลผลิตเกษตรกรรมที่ใช้น้ำจากแม่น้ำที่มีสารปนเปื้อน เช่น การจัดทำห่วงโซ่อุปทาน และการตรวจสอบผลผลิตก่อนออกสู่ตลาด โดยเฉพาะข้าวนาปี หากพบการปนเปื้อนต้องมีมาตรการเยียวยาและดึงผลผลิตออกจากระบบ

  1. จัดตั้งศูนย์ตรวจสอบสารโลหะหนักประจำจังหวัด

ยกระดับศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์และศูนย์ตรวจมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง เพิ่มศักยภาพการตรวจสอบในจังหวัด ลดเวลารอผลและต้นทุน

  1. สร้างพลเมืองวิทยาศาสตร์-แก้ปัญหามลพิษข้ามพรมแดน

ผลักดันการสอนวิชาพลเมืองวิทยาศาสตร์ในโรงเรียน-มหาวิทยาลัย และจัดกิจกรรมสัปดาห์เรียนรู้สำหรับประชาชนในจังหวัดเชียงใหม่และเชียงราย

  1. เพิ่มการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน

ภาครัฐควรเพิ่มสัดส่วนภาคประชาชนในคณะทำงาน แทนที่จะเน้นประชาสัมพันธ์ ควรเปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นและให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการตัดสินใจแก้ปัญหาอย่างแท้จริง

วิกฤตข้ามพรมแดนต้องอาศัยพลังของ “ความโปร่งใส-ความร่วมมือ”

การประชุมครั้งนี้สะท้อนให้เห็นว่าการแก้ปัญหาคุณภาพน้ำในเชียงรายไม่ใช่เรื่องในประเทศอีกต่อไป หากแต่โยงใยกับมลพิษข้ามพรมแดนและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ อุปสรรคสำคัญคือ การเปิดเผยข้อมูลและการเจรจากับเมียนมา ซึ่งเป็นกระบวนการที่ต้องใช้ทั้งเวลาและความพยายามจากทุกฝ่าย

ขณะเดียวกัน แม้จะมีข้อเสนอแนะเชิงนโยบายที่หลากหลาย การผลักดันให้เป็นรูปธรรมยังต้องการทรัพยากร บุคลากร งบประมาณ และระบบติดตามที่มีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง

“ความเชื่อมั่น” ของประชาชนในพื้นที่จะฟื้นคืนได้ ก็ต่อเมื่อรัฐแสดงให้เห็นความโปร่งใส จริงใจ และสามารถขับเคลื่อนข้อเสนอเหล่านี้ให้เกิดผลจริงทั้งระยะสั้นและระยะยาว

จุดเปลี่ยนของลุ่มน้ำเชียงรายบนเส้นทางความร่วมมือใหม่

การประชุมครั้งนี้คือจุดเริ่มต้นของการจัดการปัญหาน้ำในเชียงรายอย่างบูรณาการ ทุกข้อเสนอจะต้องถูกขับเคลื่อนให้เกิดขึ้นจริง ด้วยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนทั้งในประเทศและระดับภูมิภาค หากคุณคือผู้มีอำนาจในการตัดสินใจ คุณจะให้ความสำคัญกับข้อเสนอใดเป็นอันดับแรก เพื่อสร้างความมั่นใจและความปลอดภัยให้แก่ประชาชนในพื้นที่อย่างแท้จริง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • ศูนย์อำนวยการแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำ (ส่วนหน้า) จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเชียงราย
  • กรมควบคุมมลพิษ
  • มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง
  • เครือข่ายนักวิชาการเพื่อสิ่งแวดล้อมภาคเหนือ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TRAVEL

เมืองแห่งชาและกาแฟ เชียงรายยกระดับกาแฟไทยสู่เวทีโลก สร้างมูลค่าพันล้าน

เชียงรายผงาด! ศูนย์กลางกาแฟโลก ผนึกกำลังรัฐ-เอกชน ขับเคลื่อนเศรษฐกิจยั่งยืน

เชียงราย, 9 กรกฎาคม 2568 – เชียงรายก้าวสู่ผู้นำกาแฟระดับโลก ด้วยสายพันธุ์-แบรนด์-นวัตกรรมครบเครื่อง กำลังก้าวเข้าสู่บทบาทสำคัญในฐานะศูนย์กลางกาแฟระดับโลก ด้วยความได้เปรียบเชิงภูมิศาสตร์ พันธุ์กาแฟอาราบิก้าคุณภาพสูง การส่งเสริมจากภาครัฐ และการเติบโตของธุรกิจเอกชน ตั้งแต่ฟาร์มปลูกกาแฟจนถึงแบรนด์ร้านกาแฟระดับประเทศ

การขับเคลื่อนเกิดขึ้นอย่างเป็นระบบ ด้วยแนวนโยบาย “เมืองแห่งชาและกาแฟ” ที่เปิดตัวอย่างเป็นทางการในปี 2565 ส่งผลให้เชียงรายกลายเป็นโมเดลเศรษฐกิจสร้างสรรค์ที่ผสานเกษตรกรรม การท่องเที่ยว และนวัตกรรมเข้าไว้ด้วยกันอย่างยั่งยืน

ตลาดกาแฟโตไม่หยุด “เชียงราย” ตัวแปรสำคัญขับเคลื่อนประเทศ

จากข้อมูลการวิเคราะห์ตลาดปี 2567-2568 พบว่าตลาดกาแฟไทยมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะกาแฟพิเศษ (Specialty Coffee) ที่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มสูงถึง 3-5 เท่าของกาแฟทั่วไป และเชียงรายกลายเป็นจังหวัดที่ครองบทบาทสำคัญในห่วงโซ่การผลิตนี้

กาแฟ GI อย่าง “ดอยตุง” และ “ดอยช้าง” เป็นเครื่องการันตีคุณภาพระดับประเทศ สอดรับกับแบรนด์ใหม่ที่เติบโตเร็ว เช่น 1:2 Coffee ที่เน้น “คุณภาพดี ราคาจับต้องได้” และขยายสาขาทั่วประเทศกว่า 50 แห่ง กลายเป็นตัวแบบสำเร็จในการต่อยอดผลิตภัณฑ์จากท้องถิ่นสู่สเกลชาติ

เทศกาลกาแฟทั่วเชียงราย ยกระดับเมืองแห่งประสบการณ์กาแฟ

เชียงรายไม่ได้เป็นเพียงแหล่งผลิตกาแฟเท่านั้น แต่ยังสร้าง “ประสบการณ์” ให้กับนักท่องเที่ยวผ่านงานเทศกาลตลอดปี 2568 ดังนี้

  • Tea & Coffee Central CEI 25–29 มิ.ย. 2568 ณ เซ็นทรัล เชียงราย
  • Eastern Lanna Tea & Coffee 25–28 ก.ค. 2568
  • Brewtopia ไร่แม่ฟ้าหลวง 17–20 ส.ค. 2568
  • TEDxChiangRai 23 ส.ค. 2568 (เจาะลึกองค์ความรู้และนวัตกรรมกาแฟ)
  • CCL Coffee Journey by TCEB 26–28 ส.ค. 2568

ภายในงานมีการแข่งขัน Latte Art ชิงแชมป์บาริสต้ามือทอง เวิร์คช็อปคั่วบด การชิมกาแฟเชิงลึก (cupping) และกิจกรรมสร้างสรรค์อื่นๆ ที่มีเป้าหมายกระตุ้นเศรษฐกิจภาคเหนือด้วยเม็ดเงินหมุนเวียนมากกว่า 700 ล้านบาทต่อปี

นวัตกรรม-วิจัย อาวุธลับสร้างความต่างสู่เวทีโลก

เชียงรายไม่เพียงแต่ผลิตกาแฟคุณภาพสูง หากแต่ยังลงทุนวิจัยอย่างต่อเนื่อง โดยกรมวิชาการเกษตรพัฒนาสายพันธุ์ “เชียงราย 1” และ “เชียงราย 2” ให้เหมาะกับภูเขาสูงโดยเฉพาะ

นอกจากนี้ยังมีการสร้างต้นแบบ “จมูกอิเล็กทรอนิกส์” ที่สามารถวิเคราะห์รสชาติเฉพาะของกาแฟแต่ละสายพันธุ์ และงานวิจัยลดปริมาณคาเฟอีนในกาแฟได้มากถึง 93.12% โดยไม่สูญเสียรสชาติ ถือเป็นการตอบโจทย์กลุ่มผู้บริโภคใหม่ที่ใส่ใจสุขภาพ

ภาครัฐรวมพลังทุกภาคส่วน ยกระดับเมืองกาแฟ

การยกระดับ “เชียงรายเมืองแห่งชาและกาแฟ” ไม่ได้เกิดขึ้นจากหน่วยงานเดียว แต่เกิดจากการผนึกกำลังของภาครัฐ ภาควิชาการ และชุมชน ได้แก่

  • จังหวัดเชียงราย ตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนนโยบายตั้งแต่ปี 2565
  • สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) สนับสนุนทุนวิจัยด้านกาแฟ
  • มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง และ ราชภัฏเชียงราย ร่วมจัดกิจกรรมการศึกษา สัมมนา และหลักสูตรกาแฟ
  • สมาคมกาแฟพิเศษไทย ช่วยประสานเครือข่ายระดับประเทศและต่างประเทศ

การสนับสนุนนี้ครอบคลุมตั้งแต่การรับรองมาตรฐาน (GMP, HACCP, GAP) ไปจนถึงการขยายพื้นที่ผลิตแบบ Organic Thailand ที่ช่วยผลักดันกาแฟเชียงรายสู่ตลาดพรีเมียมได้อย่างมั่นคง

ความท้าทายที่ต้องรับมือ โอกาสแฝงในวิกฤต

แม้เชียงรายจะมีศักยภาพมหาศาล แต่ก็ยังเผชิญกับหลายปัจจัยท้าทาย

  • สภาพภูมิอากาศแปรปรวน ทำให้ผลผลิตผันผวนและต้นทุนสูงขึ้น
  • การแข่งขันจากกาแฟนำเข้า ที่มีต้นทุนต่ำกว่าในบางตลาด
  • การรับรู้ในระดับโลก กาแฟไทยยังไม่เป็นที่รู้จักในบางภูมิภาค

อย่างไรก็ตาม สิ่งเหล่านี้กลับกลายเป็นโอกาสใหม่ เช่น การพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงกาแฟ ผสานไร่กาแฟกับฟาร์มสเตย์ โรงคั่ว และร้านกาแฟท้องถิ่นในรูปแบบ Coffee Trail ซึ่งไม่เพียงสร้างรายได้จากการขายเมล็ด แต่ยังเพิ่มรายได้ผ่านการท่องเที่ยวและการให้บริการประสบการณ์กาแฟโดยตรง

ข้อเสนอเชิงกลยุทธ์ สู่อนาคตกาแฟยั่งยืน

  1. เกษตรกรและผู้ผลิต
    • รวมกลุ่มในรูปแบบสหกรณ์หรือวิสาหกิจชุมชน
    • พัฒนาผลิตภัณฑ์กาแฟพิเศษที่มีมาตรฐาน
    • ใช้นวัตกรรมเพิ่มมูลค่า ลดต้นทุน และรักษาสิ่งแวดล้อม
  2. ผู้ประกอบการและธุรกิจ
    • สร้างแบรนด์ที่มีเรื่องราว
    • ขยายช่องทางออนไลน์และส่งออก
    • พัฒนาโมเดลธุรกิจที่เข้าถึงได้ง่ายและแตกต่าง
  3. ภาครัฐและนโยบาย
    • ขยายผลแผน “เมืองแห่งชาและกาแฟ” ให้เป็นนโยบายระดับชาติ
    • สนับสนุนทุนวิจัย แพลตฟอร์มประชาสัมพันธ์ และการเข้าถึงเงินทุน
    • พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ระบบขนส่ง บรรจุภัณฑ์ และลอจิสติกส์

เชียงรายไม่ใช่แค่แหล่งปลูกกาแฟ แต่คือเมืองแห่งอนาคต

เชียงรายกำลังพิสูจน์ให้เห็นว่าการพัฒนาอุตสาหกรรมกาแฟไม่ใช่แค่เรื่องของการเกษตร แต่คือการออกแบบเศรษฐกิจอย่างชาญฉลาด ที่เชื่อมโยงผู้ผลิต นวัตกรรม วัฒนธรรม และการท่องเที่ยวเข้าด้วยกัน

หากเดินตามแนวทางอย่างต่อเนื่อง เชียงรายจะไม่ใช่แค่ “เมืองแห่งชาและกาแฟ” ของไทย แต่จะเป็นหนึ่งใน “จุดหมายกาแฟระดับโลก” ที่สร้างทั้งรายได้ ความยั่งยืน และความภาคภูมิใจให้กับคนในพื้นที่อย่างแท้จริง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานจังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.)
  • กรมวิชาการเกษตร
  • สมาคมกาแฟพิเศษไทย
  • งานวิจัย “จมูกอิเล็กทรอนิกส์วิเคราะห์กาแฟ GI” ปี 2567
  • รายงานการตลาด Specialty Coffee ปี 2567 โดย TCEB และ Cluster Coffee Lab
  • บันทึกการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนเมืองแห่งชาและกาแฟ จังหวัดเชียงราย (3 พ.ค. 2565)
  • CCL Chiangrai Coffee Lovers
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

มฟล.สร้างเครือข่าย ชวนชุมชนเฝ้าระวังน้ำ-เกษตรอินทรีย์ ในเชียงราย

มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงผนึกเทศบาลนครเชียงราย จัดอบรมเชิงปฏิบัติการ สร้างเครือข่ายชุมชนเฝ้าระวังคุณภาพน้ำ รับมือมลพิษแม่น้ำกก สู่การดูแลสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน

เชียงราย, 14 มิถุนายน 2568 – ท่ามกลางวิกฤตปัญหามลพิษและโลหะหนักในแม่น้ำกก ที่ยังเป็นปมร้อนต่อเนื่องในพื้นที่จังหวัดเชียงราย ภาคีภาครัฐและสถาบันการศึกษาชั้นนำในท้องถิ่นเดินหน้ารุกหนักสู่การแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน นำโดยศูนย์นวัตกรรมสมุนไพรครบวงจร มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง (มฟล.) ที่ร่วมกับเทศบาลนครเชียงราย จัดอบรมเชิงปฏิบัติการ “การเฝ้าระวังคุณภาพน้ำชุมชน (กรณีศึกษามลพิษแม่น้ำกก)” ณ ศูนย์การเรียนรู้เชียงรายเมืองอาหารปลอดภัย เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2568

สร้างองค์ความรู้-เสริมทักษะคนท้องถิ่น สู้ภัยมลพิษน้ำ

การอบรมครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ “เกษตรปลอดภัยด้วยวิทยาศาสตร์พลเมือง” ที่เน้นการมีส่วนร่วมของชุมชนและภาคประชาสังคม มุ่งสร้างเครือข่ายประชาชนที่มีทักษะในการติดตาม ตรวจสอบ และจัดการปัญหามลพิษทางน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะประเด็นการปนเปื้อนของโลหะหนักที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อสุขภาพ สิ่งแวดล้อม และวิถีชีวิตของประชาชนในเขตลุ่มน้ำกก

พิธีเปิดได้รับเกียรติจาก พ.จ.อ.อัษฎางค์ วิเศษวงศ์ษา ปลัดเทศบาลนครเชียงราย ปฏิบัติหน้าที่นายกเทศมนตรีนครเชียงราย พร้อมด้วย รศ.ดร.ระวิวรรณ์ เจริญทรัพย์ หัวหน้าศูนย์นวัตกรรมสมุนไพรครบวงจร มฟล. ที่กล่าวต้อนรับและเน้นย้ำถึงวัตถุประสงค์ของกิจกรรม วางกรอบการอบรมให้เน้นทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ

ลงลึก 5 หัวใจสำคัญ ฝึกทักษะเฝ้าระวัง-จัดการน้ำเสีย

เนื้อหาหลักสูตรแบ่งเป็น 5 ช่วงสำคัญ ได้แก่

  1. ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับสารพิษในน้ำ ให้ชุมชนเข้าใจถึงภัยเงียบที่แฝงมากับสายน้ำ
  2. ฝึกปฏิบัติเครื่องมือเฝ้าระวัง ชี้แนะการใช้ test kit และอุปกรณ์เบื้องต้นสำหรับตรวจสอบคุณภาพน้ำในท้องถิ่น
  3. การประดิษฐ์เครื่องกรองน้ำอย่างง่าย ถ่ายทอดเทคโนโลยีภูมิปัญญาท้องถิ่นสู่การกรองสารพิษเบื้องต้น
  4. การเกษตรอินทรีย์ในพื้นที่ปนเปื้อน สอนแนวทางปรับวิธีการผลิต ลดความเสี่ยงในการปนเปื้อนเข้าสู่ห่วงโซ่อาหาร
  5. การสร้างเครือข่ายชุมชนเฝ้าระวังที่ยั่งยืน เสริมพลังให้ชุมชนร่วมกันติดตาม แจ้งเตือน และส่งต่อข้อมูลสู่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

ผู้เชี่ยวชาญระดับประเทศแลกเปลี่ยนความรู้เชิงลึก

งานอบรมครั้งนี้ได้รับการสนับสนุนองค์ความรู้จากคณาจารย์และนักวิจัยชั้นนำจากมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงและสถาบันพันธมิตร อาทิ

  • ผศ.ดร.อภิสม อินทรลาวัณย์ สำนักวิชาการจัดการ บรรยายภาพรวมสถานการณ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
  • รศ.ดร.โกวิทย์ นามบุญมี สำนักวิชาวิทยาศาสตร์สุขภาพ อธิบายผลกระทบของโลหะหนักต่อสุขภาพ
  • ผศ.ดร.ไกรลักษณ์ ฟักแก้ว สำนักวิชาวิทยาศาสตร์สุขภาพ ให้แนวทางลดการปนเปื้อนในสิ่งแวดล้อม
  • ผศ.ดร.ธรากร มณีรัตน์ สำนักวิชาวิทยาศาสตร์ วิเคราะห์แนวทางปรับปรุงคุณภาพดินและน้ำสำหรับการปลูกพืชสมุนไพร
  • ดร.ประเดิม วณิชชนานันท์ จากทีมวิจัย BIOTEC/สวทช. เสนอแนวคิดเสริมศักยภาพของพืชสมุนไพรทนพิษ เช่น ฟ้าทะลายโจร

ตลอดทั้งวัน นอกจากการบรรยายแล้วยังมีการฝึกปฏิบัติจริง การทดลองใช้อุปกรณ์ รวมถึงการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ตรงจากเกษตรกรและเครือข่ายชุมชนในพื้นที่ ถือเป็นเวทีแห่งการเรียนรู้ร่วมที่ชูบทบาทของชุมชนเป็นศูนย์กลาง

ก้าวสำคัญสู่การบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมเชิงรุก

ผลจากกิจกรรมอบรมครั้งนี้ไม่เพียงแต่เพิ่มทักษะการเฝ้าระวังคุณภาพน้ำ แต่ยังเป็นก้าวสำคัญในการสร้างเครือข่าย “นักวิทยาศาสตร์พลเมือง” ที่จะมีส่วนร่วมตรวจสอบ ติดตาม แจ้งเตือน และผลักดันให้ภาครัฐเข้ามาแก้ไขปัญหาได้อย่างตรงจุดในอนาคต

การทำงานร่วมระหว่างมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงกับเทศบาลนครเชียงราย และภาคีเครือข่ายท้องถิ่น เป็นตัวอย่างการสร้างพลังสังคมเพื่อแก้ไขวิกฤตน้ำและสุขภาวะชุมชนอย่างยั่งยืน ทั้งยังตอบโจทย์เป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน (SDGs) ที่ให้ความสำคัญกับคุณภาพน้ำและสุขภาพประชาชนในระยะยาว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • ศูนย์นวัตกรรมสมุนไพรครบวงจร มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง
  • เทศบาลนครเชียงราย
  • สำนักวิชาการจัดการ/สำนักวิชาวิทยาศาสตร์สุขภาพ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เตรียมพร้อม เชียงรายวางแผน สู้ภัยพิบัติ “น้ำท่วม” ไม่ประมาท

เชียงรายประชุมวางแผนรับมือภัยพิบัติ เน้นเฝ้าระวังพื้นที่เสี่ยง-ซ้อมรับมือ-สื่อสารชัดเจนก่อนวิกฤติ

เชียงราย, 14 พฤษภาคม 2568 – จังหวัดเชียงรายเดินหน้าเชิงรุกประชุมวางแผนบริหารจัดการภัยพิบัติอย่างเป็นระบบ ภายใต้ความร่วมมือของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อป้องกันความสูญเสียจากอุทกภัยที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต โดยมุ่งเน้นการจัดทำแผนเผชิญเหตุล่วงหน้า การซักซ้อมแผนในพื้นที่เปราะบาง และการสื่อสารเตือนภัยแบบเรียลไทม์ให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลได้ง่ายและทั่วถึง

ผู้ว่าฯ นำทีมประชุมกำหนดทิศทางรับมือภัยพิบัติ

เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2568 นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานการประชุมหารือแนวทางการจัดการภัยพิบัติของจังหวัด โดยมีนายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัด นายครรชิต ชมภูแดง หัวหน้าสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 37 ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดเชียงราย และผู้บริหารจากมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง เข้าร่วมประชุมอย่างพร้อมเพรียง

การประชุมครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อกำหนดแนวทางเชิงปฏิบัติที่ชัดเจนในการบริหารจัดการภัยพิบัติ โดยเฉพาะอุทกภัย ซึ่งเป็นปัญหาที่จังหวัดเชียงรายเผชิญหน้าในรอบหลายปีที่ผ่านมา

จัดทำแผนเผชิญเหตุครอบคลุมทุกระดับ

ที่ประชุมมีมติให้ทุกหน่วยงานทั้งภาครัฐ ภาคการศึกษา ภาคความมั่นคง และภาคประชาชน ต้องร่วมมือกันจัดทำแผนเผชิญเหตุอุทกภัยอย่างละเอียด โดยเน้นระดับพื้นที่ให้ครอบคลุมตั้งแต่ชุมชน หมู่บ้าน ตำบล อำเภอ จนถึงระดับจังหวัด

ในแผนดังกล่าว แบ่งพื้นที่เป้าหมายออกเป็น 2 กลุ่มหลัก ได้แก่

  1. พื้นที่เปราะบาง ที่ต้องเฝ้าระวังไม่ให้เกิดน้ำท่วม เช่น โรงพยาบาล ศูนย์สุขภาพ หมู่บ้านชุมชนแออัด และเส้นทางคมนาคมสายหลัก
  2. พื้นที่รองรับน้ำ ที่อาจต้องถูกใช้เป็นที่รองรับกรณีเกิดภาวะวิกฤติ เช่น ที่ราบลุ่ม ชุมชนใกล้แหล่งน้ำ หรือพื้นที่โล่งกลางเมือง ซึ่งจะต้องมีแผนรองรับกรณีอพยพ การจัดตั้งศูนย์พักพิงชั่วคราว ระบบสนับสนุนด้านสุขภาพและอาหาร ตลอดจนการประสานงานข้ามหน่วยงานให้พร้อมใช้งานทันที

ฝึกซ้อมแผนให้พร้อมใช้จริง ไม่ต้องรอภัยพิบัติมาก่อน

ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายได้เน้นย้ำว่า “แผนจะไม่มีประโยชน์เลยถ้าไม่มีการฝึกซ้อม” ดังนั้นจึงมีมติให้หน่วยงานต่าง ๆ จัดการฝึกซ้อมแผนเผชิญเหตุในพื้นที่เปราะบางเป็นประจำ โดยไม่จำเป็นต้องรอการฝึกขนาดใหญ่ของจังหวัด

การฝึกซ้อมควรครอบคลุมทุกระดับ เริ่มตั้งแต่ระดับชุมชนหรือหมู่บ้านที่มีความเสี่ยง ไปจนถึงการซ้อมแผนในระดับตำบล อำเภอ และศูนย์บัญชาการจังหวัด เพื่อสร้างความคุ้นเคยให้กับเจ้าหน้าที่ ประชาชน และอาสาสมัครในพื้นที่

ระบบเตือนภัยต้องเป็นข้อมูลเรียลไทม์ เข้าใจง่าย เข้าถึงได้

อีกหนึ่งหัวข้อสำคัญที่ถูกหยิบยกในการประชุมครั้งนี้ คือ “ระบบเตือนภัย” โดยมีข้อเสนอให้ทุกหน่วยงานร่วมกันติดตามข้อมูลจากสถานีตรวจวัดน้ำฝนและระดับน้ำท่าทั้งแบบอัตโนมัติและแบบตรวจสอบด้วยคน (manual)

ข้อมูลทั้งหมดต้องถูกรวบรวมและแสดงผลแบบ REAL-TIME พร้อมมีการเผยแพร่ให้ประชาชนได้รับทราบอย่างต่อเนื่อง ทั้งผ่านแอปพลิเคชัน เว็บไซต์ การแจ้งเตือนผ่านเสียงตามสาย หอกระจายข่าว หรือข้อความ SMS รวมถึงการใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย โดยไม่ใช้ศัพท์ทางเทคนิคมากเกินไป เพื่อให้ประชาชนทุกกลุ่มสามารถเข้าใจและปฏิบัติตามได้ทันท่วงที

มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงต้นแบบฝึกซ้อมแผน

เพื่อเป็นต้นแบบของการดำเนินการฝึกซ้อมแผนป้องกันภัยพิบัติ ที่ประชุมมีมติให้ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง จัดการฝึกซ้อมในวันที่ 9 มิถุนายน 2568 โดยใช้แผนเผชิญเหตุที่วางร่วมกับหน่วยงานรัฐ พร้อมทดสอบระบบเตือนภัย การอพยพ การช่วยเหลือผู้ประสบภัย และการประสานงานในสถานการณ์วิกฤติอย่างครบวงจร

การฝึกซ้อมครั้งนี้จะเชิญผู้แทนจากหน่วยงานอื่น ๆ มาร่วมสังเกตการณ์และศึกษาแนวทางการจัดการ เพื่อขยายผลสู่ชุมชนและพื้นที่เสี่ยงอื่น ๆ ในจังหวัดเชียงราย

บทสรุปและแนวทางต่อยอด

แนวทางทั้งหมดที่ประชุมเห็นชอบในครั้งนี้ เป็นการกำหนดรากฐานของระบบบริหารจัดการภัยพิบัติแบบบูรณาการ ซึ่งไม่เพียงป้องกันและลดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต แต่ยังเป็นต้นแบบที่สามารถขยายผลไปยังจังหวัดอื่น ๆ ได้

นายชรินทร์ ทองสุข กล่าวว่า “เราไม่สามารถหยุดฝนได้ แต่เราสามารถหยุดความสูญเสียได้ หากเรามีแผนที่ดีและซ้อมจนเกิดความพร้อมสูงสุด”

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  • จำนวนพื้นที่เสี่ยงอุทกภัยในจังหวัดเชียงราย: 22 อำเภอ 94 ตำบล (ที่มา: สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย, 2567)
  • จำนวนประชากรในพื้นที่เสี่ยงระดับสูง: ประมาณ 285,000 คน (ข้อมูล: สำนักงานสถิติแห่งชาติ, 2567)
  • จำนวนสถานีตรวจวัดน้ำและฝนในพื้นที่จังหวัดเชียงราย: รวม 137 สถานี (อ้างอิง: กรมชลประทาน, 2566)
  • พื้นที่รองรับน้ำตามแผนจัดการน้ำท่วม: มากกว่า 45 จุดในระดับตำบล (ที่มา: แผนแม่บทบริหารจัดการน้ำ จ.เชียงราย, 2567)

ข่าวนี้สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของจังหวัดเชียงรายในการบริหารจัดการความเสี่ยงด้านภัยพิบัติอย่างมีประสิทธิภาพ โดยยึดหลักการป้องกันล่วงหน้า ซ้อมเพื่อความพร้อม และสื่อสารให้ชัดเจน ซึ่งหากสามารถดำเนินการตามแนวทางนี้ได้อย่างต่อเนื่อง ย่อมช่วยลดผลกระทบต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนได้อย่างยั่งยืน.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย, 2567
  • สำนักงานสถิติแห่งชาติ, 2567
  • กรมชลประทาน, 2566
  • แผนแม่บทบริหารจัดการน้ำ จ.เชียงราย, 2567
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

พลังเยาวชน เล่าเรื่อง Climate Change ผ่านหนังสั้น

เชียงรายจัดกิจกรรม LearnScape climateX ส่งเสริมเยาวชนสร้างสารคดีแก้ไขปัญหาภาวะโลกรวน

ประเทศไทย, 4 พฤษภาคม 2568 – พิพิธภัณฑ์อารยธรรมลุ่มน้ำโขง มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ร่วมกับกองทุนส่งเสริมศิลปะร่วมสมัย สำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย กระทรวงวัฒนธรรม จัดกิจกรรมสำคัญ “LearnScape climateX” เพื่อส่งเสริมบทบาทเยาวชนในการผลิตสื่อสารคดีสั้นแก้ไขปัญหาภาวะโลกรวนในพื้นที่จังหวัดเชียงราย โดยเฉพาะพื้นที่อำเภอเวียงป่าเป้า ณ พิพิธภัณฑ์อารยธรรมลุ่มน้ำโขง มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง เมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม 2568 เวลา 13.00 น.

งานนี้มีเป้าหมายสำคัญเพื่อปลูกฝังความรู้ สร้างจิตสำนึก และเสริมสร้างทักษะการเล่าเรื่องผ่านภาพยนตร์สารคดีสั้นให้กับเยาวชนในพื้นที่จังหวัดเชียงราย โดยเฉพาะการถ่ายทอดมุมมองการเผชิญหน้ากับปัญหาภาวะโลกรวนที่กำลังส่งผลกระทบโดยตรงต่อวิถีชีวิตของชุมชนในพื้นที่ต่างๆ ทั่วโลก รวมถึงจังหวัดเชียงรายเองด้วย

จุดเริ่มต้นของโครงการสำคัญเพื่อเยาวชน

กิจกรรม LearnScape climateX เริ่มต้นจากแนวคิดที่ว่า เยาวชนถือเป็นกำลังสำคอันสำคัญในการสื่อสารและเปลี่ยนแปลงทัศนคติของสังคมเกี่ยวกับปัญหาภาวะโลกรวน โครงการนี้จึงถูกริเริ่มขึ้นเพื่อพัฒนาศักยภาพของเยาวชนรุ่นใหม่ในการเป็นนักเล่าเรื่อง ผ่านการสร้างภาพยนตร์สารคดีสั้นที่สามารถสะท้อนปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม และนำเสนอทางออกที่สามารถนำไปใช้แก้ไขปัญหาได้จริง

ในพิธีเปิดกิจกรรมครั้งนี้ รองศาสตราจารย์ ดร.พลวัฒ ประพัฒน์ทอง หัวหน้าโครงการจัดตั้งพิพิธภัณฑ์อารยธรรมลุ่มน้ำโขง มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง เป็นประธานเปิดงาน พร้อมด้วยนายธนวัฒน์ ตาลสุข หัวหน้าโครงการ กล่าวถึงภาพรวมกิจกรรมและวัตถุประสงค์ของการดำเนินงานร่วมกับเครือข่ายในพื้นที่ โดยมีนายสุพจน์ ทนทาน นักวิชาการวัฒนธรรมชำนาญการ และนายอภิชาต กันธิยะเขียว นักวิชาการวัฒนธรรมปฏิบัติการ เข้าร่วมเป็นผู้แทนจากสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย เพื่อแสดงถึงความร่วมมือของหน่วยงานภาครัฐในกิจกรรมที่สำคัญนี้

กิจกรรมฉายภาพยนตร์สารคดีสั้น สะท้อนปัญหาภาวะโลกรวน

ภายในกิจกรรมได้มีการฉายภาพยนตร์สารคดีสั้นจำนวน 5 เรื่อง ที่สร้างสรรค์โดยเยาวชนในพื้นที่อำเภอเวียงป่าเป้า (บ้านห้วยหินลาดใน) จังหวัดเชียงราย โดยภาพยนตร์แต่ละเรื่องนำเสนอปัญหาสิ่งแวดล้อมและผลกระทบจากภาวะโลกรวน ผ่านมุมมองและประสบการณ์จริงของชุมชน ประกอบด้วยภาพยนตร์ดังนี้

  1. เรื่อง คนหลังเขา สะท้อนชีวิตของผู้คนที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างรุนแรงในพื้นที่ห่างไกล
  2. เรื่อง กลอเกละ ถ่ายทอดวิถีชีวิตของชนเผ่ากะเหรี่ยงและการปรับตัวในสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
  3. เรื่อง Modus Vivendi เล่าถึงแนวทางในการอยู่ร่วมกันอย่างสมดุลระหว่างมนุษย์และธรรมชาติ
  4. เรื่อง ศรัทธาแห่งป่า สื่อถึงความศรัทธาและความเชื่อในการรักษาผืนป่าของชุมชนท้องถิ่น
  5. เรื่อง คนรวน โลกก็รวน นำเสนอการตระหนักถึงบทบาทของมนุษย์ที่มีส่วนในการสร้างผลกระทบต่อโลกและสิ่งแวดล้อม

สนทนาเชิงลึกกับนักเล่าเรื่องรุ่นเยาว์

นอกจากนี้ ยังมีการจัดกิจกรรมสนทนาเพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์จากนักเล่าเรื่องรุ่นเยาว์ที่ได้ลงพื้นที่สำรวจและเก็บข้อมูลจริง โดยมีนายธนบดินทร์ วงค์ตะวัน นายวิโพ โตเชอ นายคฑาเดช ใจเที่ยง และนางสาวณัฐชนันท์ สุริยะวงศ์ ร่วมถ่ายทอดบทเรียนที่ได้จากการทำงานภาคสนาม และการทำหน้าที่ของเยาวชนในการนำเสนอข้อมูลเพื่อสร้างการรับรู้ของสังคม

กิจกรรมสนทนาดำเนินรายการโดย ผศ.ดร.สุวิชาน พัฒนาไพรวัลย์ และนางสาวปวริศา เอลิช แน็ปป์ ซึ่งได้กระตุ้นให้เยาวชนและผู้เข้าร่วมได้แสดงความคิดเห็น แลกเปลี่ยนมุมมอง และนำไปสู่การค้นหาแนวทางในการแก้ไขปัญหาภาวะโลกรวนที่เหมาะสมและยั่งยืนสำหรับชุมชนท้องถิ่น

จุดวิเคราะห์และแนวทางการแก้ไขปัญหา

จากการนำเสนอภาพยนตร์สารคดีสั้นและการสนทนา พบว่า ปัญหาภาวะโลกรวนส่งผลกระทบอย่างชัดเจนต่อชีวิตและความเป็นอยู่ของชาวบ้านในจังหวัดเชียงราย โดยเฉพาะพื้นที่ที่มีความอ่อนไหวทางระบบนิเวศสูง เช่น พื้นที่ป่าต้นน้ำที่บ้านห้วยหินลาดใน อำเภอเวียงป่าเป้า ดังนั้น การสร้างความตระหนักรู้ในหมู่เยาวชนและชุมชนจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง

แนวทางสำคัญที่ถูกเสนอในกิจกรรมครั้งนี้คือการส่งเสริมให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม โดยใช้การผลิตสื่อสารคดีจากเยาวชนเป็นสื่อกลางในการสื่อสาร สร้างการรับรู้ และกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในระดับชุมชน ซึ่งสามารถขยายผลไปสู่สังคมในวงกว้าง

สถิติและข้อมูลสนับสนุน

จากข้อมูลของสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) ปี 2567 ระบุว่า จังหวัดเชียงรายเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบรุนแรงจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ มีปัญหาภัยแล้งและน้ำท่วมซ้ำซากในรอบ 5 ปีที่ผ่านมาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเฉลี่ยร้อยละ 15 ต่อปี ซึ่งกิจกรรมดังกล่าวนี้ ถือเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยสนับสนุนให้ชุมชนมีความพร้อมรับมือและปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) ปี 2567 รายงานสถานการณ์สิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศประเทศไทย
  • มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง รายงานผลการดำเนินงานโครงการ LearnScape climateX ปี 2568
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

น้ำสาย-น้ำรวกวิกฤต! สารหนูพุ่ง มฟล.เตือนภัย

เชียงรายเผชิญวิกฤตแม่น้ำปนเปื้อนสารหนูเกินมาตรฐานสูงสุดถึง 19 เท่า นักวิชาการเตือนส่งผลต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม

เชียงราย, 1 พฤษภาคม 2568 – จากกรณีที่ อาจารย์ ดร.สุรพล วรภัทราทร จากมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ได้เผยแพร่ข้อมูลผ่านสื่อสังคมออนไลน์เกี่ยวกับผลการตรวจวิเคราะห์คุณภาพน้ำในพื้นที่อำเภอแม่สายและอำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย พบว่ามีการปนเปื้อนของ “สารหนู” (Arsenic) ในระดับที่สูงเกินมาตรฐานอย่างมีนัยสำคัญในหลายจุด โดยบางพื้นที่พบค่าที่สูงถึง 0.19 มิลลิกรัมต่อลิตร หรือเกินกว่าค่ามาตรฐานสูงสุดถึง 19 เท่า สร้างความวิตกกังวลต่อทั้งหน่วยงานรัฐ นักวิชาการ และประชาชนในพื้นที่อย่างมาก

ผลการตรวจเบื้องต้น ภาพรวมการปนเปื้อนในแม่น้ำสายและแม่น้ำรวก

จากการเปิดเผยของโครงการจัดตั้งสถาบันวิจัยและพยากรณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติในเขตภาคเหนือตอนบน ซึ่งดำเนินงานโดย ผศ.ดร.สุรพล วรภัทราทร ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาฯ ดังกล่าว ได้ทำการเก็บตัวอย่างน้ำจากพื้นที่เสี่ยงจำนวน 9 จุดใน อ.แม่สาย และ อ.เชียงแสน ได้แก่

  1. น้ำสาย บ้านถ้ำผาจม – หัวฝาย อ.แม่สาย = 0.14 mg/L
  2. ลำเหมือง บ้านถ้ำผาจม – หัวฝาย อ.แม่สาย = ไม่เกินมาตรฐาน
  3. น้ำสาย สะพานมิตรภาพที่ 1 อ.แม่สาย = 0.14 mg/L
  4. คลองชลประทาน บ้านเหมืองแดง อ.แม่สาย = 0.18 mg/L
  5. น้ำรวก บ้านเวียงหอม ต.เกาะช้าง อ.แม่สาย = 0.12 mg/L
  6. น้ำสาย สะพานมิตรภาพที่ 2 อ.แม่สาย = 0.12 mg/L
  7. น้ำรวก บ้านสบรวก อ.เชียงแสน = 0.12 mg/L
  8. น้ำรวกไหลลงแม่น้ำโขง สามเหลี่ยมทองคำ = 0.19 mg/L
  9. แม่น้ำโขง เทศบาลเวียงเชียงแสน = 0.14 mg/L

ทั้งนี้ ค่ามาตรฐานของสารหนูในน้ำตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข ต้องไม่เกิน 0.01 มิลลิกรัมต่อลิตร หรือ 10 ไมโครกรัมต่อลิตร การตรวจพบที่ 0.19 mg/L ถือว่าเกินกว่ามาตรฐานถึง 19 เท่า

เวทีวิชาการ “รู้ทัน ร่วมมือ รับมือ” กับภัยสุขภาพจากน้ำปนเปื้อน

เมื่อวันที่ 30 เมษายน ที่มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง มีการจัดเวทีเสวนาวิชาการหัวข้อ “รู้ทัน ร่วมมือ รับมือ: ภัยสุขภาพจากแม่น้ำปนเปื้อน” เพื่อตอบสนองต่อผลกระทบของแม่น้ำกกที่พบการปนเปื้อนสารหนูใน อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ (0.026 mg/L) และ อ.เมืองเชียงราย (0.012–0.013 mg/L) ซึ่งล้วนเกินมาตรฐานเช่นกัน

ศาสตราจารย์ ดร.สุจิตรา วงศ์เกษมจิตต์ รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง กล่าวว่า “แม่น้ำกกคือเส้นเลือดหลักของเชียงราย ปัญหานี้กระทบทั้งสุขภาพและระบบนิเวศ การวิจัยและความร่วมมือทุกภาคส่วนจึงเป็นสิ่งจำเป็นในการป้องกันและฟื้นฟู”

ความกังวลจากนักวิทยาศาสตร์และหน่วยงานสุขภาพ

ผศ.ดร.ไกรลักษณ์ ฟักแก้ว ผู้เชี่ยวชาญด้านอนามัยสิ่งแวดล้อม ระบุว่า สารหนูเมื่อเข้าสู่ร่างกาย แม้ในปริมาณน้อย แต่หากสะสมในระยะยาวอาจก่อให้เกิดมะเร็งตับ มะเร็งผิวหนัง และส่งผลต่อระบบประสาท เด็กเล็กและหญิงตั้งครรภ์ถือเป็นกลุ่มเสี่ยงสูง หากได้รับสารหนูอย่างต่อเนื่องจะกระทบพัฒนาการของสมอง

ขณะเดียวกัน รศ.ดร.ระวิวรรณ์ เจริญทรัพย์ รักษาการผู้อำนวยการ MFU Wellness Center ชี้ว่า “ไม่ควรตื่นตระหนก แต่ต้องเฝ้าระวัง หากมีอาการผิดปกติควรพบแพทย์ทันที การหลีกเลี่ยงการสัมผัสน้ำโดยตรงเป็นแนวทางเบื้องต้นที่ดีที่สุดในสถานการณ์ขณะนี้”

ปัญหาจากประเทศเพื่อนบ้าน การทำเหมืองและต้นตอการปนเปื้อน

รายงานจาก อ.แม่สาย เปิดเผยว่า แม่น้ำสายมีต้นน้ำมาจากเมืองสาด ประเทศเมียนมา ห่างจากพรมแดนประมาณ 90 กิโลเมตร มีการดำเนินเหมืองแร่ 4 แห่ง โดยทุนจีน ครอบคลุมทั้งการทำเหมืองทองคำ แมงกานีส และสังกะสี ซึ่งบางแห่งสูบน้ำจากลำน้ำสายโดยตรงเพื่อฉีดพ่นดินหิน ทำให้เกิดการปนเปื้อนโลหะหนักอย่างชัดเจน

ข้อมูลเพิ่มเติมระบุว่า แม่น้ำกกก็มีต้นทางจากเขตว้าแดง (พิเศษที่ 2) ซึ่งมีบริษัทเหมืองแร่ของจีนมากกว่า 23 แห่ง ทำกิจกรรมการทำเหมืองโดยไร้มาตรฐานสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด ส่งผลให้ปริมาณสารหนู สารตะกั่ว และโลหะหนักอื่นๆ ไหลลงแม่น้ำกกอย่างต่อเนื่อง

มาตรการรัฐ ยังอยู่ในขั้นประสานงาน-เฝ้าระวัง

นายวรายุทธ ค่อมบุญ นายอำเภอแม่สาย ได้ออกประกาศแจ้งเตือนประชาชนให้ “งดใช้และงดสัมผัสน้ำจากแม่น้ำสาย” พร้อมส่งตัวอย่างน้ำให้สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 ตรวจสอบซ้ำอีกครั้ง โดยเน้นว่าการผลิตน้ำประปายังมีมาตรฐานและปลอดภัยเนื่องจากผ่านกระบวนการกรองโลหะหนัก

ในขณะเดียวกัน อำเภอเชียงแสนและท้องถิ่นในเขตริมฝั่งแม่น้ำโขงได้จัดเวรตรวจน้ำและส่งข้อมูลรายงานรายสัปดาห์เพื่อเฝ้าระวังต่อเนื่อง

วิเคราะห์และข้อเสนอแนะ ปัญหาซับซ้อนที่ต้องการการจัดการข้ามพรมแดน

จากข้อมูลทั้งหมดพบว่า “ต้นตอ” ของการปนเปื้อนอาจไม่ได้อยู่ในฝั่งไทยโดยตรง หากแต่เป็นผลจากการดำเนินการของเหมืองในประเทศเพื่อนบ้าน แต่ผลกระทบตกอยู่กับประชาชนไทยทั้งในด้านสุขภาพและเศรษฐกิจ โดยเฉพาะกลุ่มที่พึ่งพาแม่น้ำในชีวิตประจำวัน

ข้อเสนอเชิงนโยบายเบื้องต้น ได้แก่

  • จัดตั้งกลไกความร่วมมือไทย-เมียนมา ในการควบคุมการทิ้งของเสียลงแม่น้ำ
  • ส่งเสริมเทคโนโลยีบำบัดน้ำเสียในพื้นที่เสี่ยง
  • ตรวจคุณภาพน้ำในพื้นที่เสี่ยงเป็นรายไตรมาส และเปิดเผยต่อสาธารณะ
  • สนับสนุนงบประมาณวิจัย-ติดตามคุณภาพน้ำโดยสถาบันการศึกษาในพื้นที่

สถิติเกี่ยวข้องและแหล่งอ้างอิง

  • ค่ามาตรฐานสารหนูในน้ำดื่ม: ≤ 0.01 mg/L ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข
  • แม่น้ำสายตรวจพบสูงสุด: 0.19 mg/L (สถาบันวิจัยภัยพิบัติฯ ม.แม่ฟ้าหลวง, 2568)
  • แม่น้ำกกที่แม่อาย: 0.026 mg/L (สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1)
  • รายงานการวิเคราะห์คุณภาพน้ำจากบริษัทห้องปฏิบัติการกลาง (ประเทศไทย) จำกัด (G-Lab, เม.ย. 2568)
  • องค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่า การรับสารหนูสะสมในร่างกายมากเกินไปอาจก่อให้เกิดมะเร็งผิวหนัง, ระบบทางเดินปัสสาวะ, ตับ และความผิดปกติทางระบบประสาทในระยะยาว

แม้สถานการณ์ขณะนี้จะยังไม่ถึงขั้นวิกฤตระดับต้องอพยพ แต่หากไม่มีการแก้ไขเชิงระบบและความร่วมมือระหว่างประเทศ เชียงรายอาจต้องเผชิญกับภัยสิ่งแวดล้อมระดับวิกฤตในเวลาไม่นานจากนี้

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : โครงการจัดตั้งสถาบันวิจัยและพยากรณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติในเขตภาคเหนือตอนบน

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

เชียงรายแฟชั่นโลก ผสานผ้าชาติพันธุ์ สร้างแบรนด์ดัง

โครงการ Chiang Rai Fashion to the World Season 3 เปิดอบรมออกแบบผ้าทอกลุ่มชาติพันธุ์ สร้างแบรนด์เชียงรายสู่ตลาดโลก

เชียงราย, 25 เมษายน 2568 – จังหวัดเชียงราย ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ เอกชน และสถาบันการศึกษา จัดอบรมครั้งที่ 1 ภายใต้โครงการ Chiang Rai Fashion to the World Season 3 เพื่อส่งเสริมการออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์ผ้าทอกลุ่มชาติพันธุ์ สร้างสรรค์ “เชียงรายแบรนด์” สู่เวทีโลก งานนี้ไม่เพียงมุ่งเน้นการอนุรักษ์มรดกวัฒนธรรมลุ่มน้ำโขง แต่ยังเปิดโอกาสให้เยาวชนรุ่นใหม่ได้แสดงศักยภาพด้านการออกแบบแฟชั่น พร้อมสนับสนุนการศึกษาและพัฒนาชุมชนชาติพันธุ์ในพื้นที่จังหวัดเชียงราย

มรดกผ้าทอและความสำคัญของเชียงราย

จังหวัดเชียงราย ถือเป็นศูนย์กลางของความหลากหลายทางวัฒนธรรมในภาคเหนือของประเทศไทย โดยเฉพาะกลุ่มชาติพันธุ์ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ เช่น ไทลื้อ ไทใหญ่ ลาหู่ และกะเหรี่ยง ซึ่งแต่ละกลุ่มมีเอกลักษณ์ด้านศิลปะการทอผ้าที่สืบทอดมานานหลายศตวรรษ ผ้าทอเหล่านี้ไม่เพียงสะท้อนถึงอัตลักษณ์และประวัติศาสตร์ของชุมชน แต่ยังเป็นส่วนสำคัญของเศรษฐกิจสร้างสรรค์ที่สามารถสร้างมูลค่าในตลาดโลกได้

ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา การทอผ้าของกลุ่มชาติพันธุ์ได้รับความสนใจจากนักออกแบบและแบรนด์แฟชั่นระดับสากล อย่างไรก็ตาม การพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ตอบโจทย์ตลาดสมัยใหม่โดยคงไว้ซึ่งคุณค่าทางวัฒนธรรมยังคงเป็นความท้าทาย โครงการ Chiang Rai Fashion to the World จึงเกิดขึ้นเพื่อเป็นเวทีที่เชื่อมโยงมรดกทางวัฒนธรรมกับนวัตกรรมสมัยใหม่ โดยมีเป้าหมายในการสร้าง “เชียงรายแบรนด์” ที่โดดเด่นในระดับสากล และสนับสนุนชุมชนท้องถิ่นผ่านการศึกษาและการพัฒนาเศรษฐกิจ

การอบรมออกแบบผ้าทอกลุ่มชาติพันธุ์

เมื่อวันที่ 25 เมษายน 2568 ณ ห้อง Studio 1 พิพิธภัณฑ์อารยธรรมลุ่มน้ำโขง มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย ได้มีการจัดอบรมครั้งที่ 1 ภายใต้หัวข้อ “การออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์ผ้าทอกลุ่มชาติพันธุ์เพื่อขับเคลื่อน นโยบายที่ 7 ศูนย์เศรษฐกิจสร้างสรรค์ (TCDC) สร้างเชียงรายแบรนด์สู่ตลาดโลก” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ Chiang Rai Fashion to the World Season 3

งานนี้ได้รับเกียรติจาก นายนิพนธ์ นิยม หัวหน้าสำนักงานจังหวัดเชียงราย เป็นประธานในพิธีเปิด พร้อมด้วยผู้แทนจากองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง และบริษัท เวลคัม ทู เชียงราย จำกัด (TRADER CHIANG RAI) ซึ่งร่วมกันจัดการอบรมให้ความรู้แก่กลุ่มผู้เข้าร่วมที่ประกอบด้วย:

  • นักเรียนจากโรงเรียนนานาชาติเวลลิงตันคอลเลจ กรุงเทพ
  • นักศึกษาจากมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง
  • นักออกแบบและดีไซเนอร์เยาวชนรุ่นใหม่

การอบรมครั้งนี้มุ่งเน้นการพัฒนาทักษะการออกแบบผ้าทอของกลุ่มชาติพันธุ์ โดยผสมผสานความรู้ด้านวัฒนธรรมและเทคนิคการผลิตเข้ากับแนวคิดสมัยใหม่ เพื่อสร้างผลิตภัณฑ์ที่สามารถแข่งขันในตลาดโลกได้ เนื้อหาการอบรมประกอบด้วย:

  1. การบรรยายประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมผ้าทอชาติพันธุ์ลุ่มน้ำโขง โดย รศ.ดร.พลวัต ประพัฒน์ทอง ผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมลุ่มน้ำโขง ซึ่งให้ความรู้เกี่ยวกับความเป็นมาของผ้าทอในกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รวมถึงความหมายของลวดลายและสีสันที่สะท้อนถึงวิถีชีวิตและความเชื่อของชุมชน
  2. การบรรยายเทคนิคการทอผ้าจากช่างฝีมือท้องถิ่น โดย นายกฤตพงศ์ แจ่มจันทร์ ช่างทอผ้าผู้มากประสบการณ์ ซึ่งถ่ายทอดเทคนิคการทอผ้าแบบดั้งเดิมและวิธีการปรับใช้เทคนิคเหล่านี้ในผลิตภัณฑ์สมัยใหม่

ผู้เข้าร่วมอบรมได้รับโอกาสในการลงมือปฏิบัติจริง โดยได้ทดลองออกแบบลวดลายและสร้างชิ้นงานต้นแบบจากผ้าทอชาติพันธุ์ ผลงานที่โดดเด่นจากการอบรมจะถูกคัดเลือกเพื่อพัฒนาต่อเป็นผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์เชียงราย และนำไปจำหน่ายในงานแสดงแฟชั่นของโครงการในอนาคต

ผลกระทบต่อชุมชนและเยาวชน

โครงการ Chiang Rai Fashion to the World Season 3 ไม่เพียงเป็นเวทีสำหรับการพัฒนาทักษะด้านการออกแบบของเยาวชน แต่ยังมีเป้าหมายในการสร้างโอกาสให้กับชุมชนชาติพันธุ์ในจังหวัดเชียงราย โดยเฉพาะผ่านการสนับสนุนด้านการศึกษา รายได้จากการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่ออกแบบโดยนักเรียนโรงเรียนนานาชาติเวลลิงตันคอลเลจ กรุงเทพ และนักศึกษามหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง จะถูกนำไปเป็นทุนการศึกษาให้กับเด็กนักเรียนกลุ่มชาติพันธุ์ในพื้นที่ ซึ่งถือเป็นการสร้างวงจรแห่งโอกาสที่ยั่งยืน

นอกจากการอบรม ผู้เข้าร่วมโครงการยังได้มีส่วนร่วมในกิจกรรมเสริมที่ช่วยให้เข้าใจวัฒนธรรมเชียงรายอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น เช่น:

  • พิธีสืบชะตาเสริมบุญญาบารมี ณ วัดพระธาตุดอยเวา ซึ่งเป็นประเพณีสำคัญที่แสดงถึงความผูกพันของชุมชนกับความเชื่อและศาสนา
  • การเยี่ยมชมและช้อปปิ้งสินค้าท้องถิ่น ณ ร้าน Welcome to Chiang Rai Shop (TRADER CHIANG RAI) ซึ่งเป็นแหล่งรวมสินค้าจากผู้ประกอบการเชียงราย ส่งเสริมเศรษฐกิจชุมชนและการท่องเที่ยว

กิจกรรมเหล่านี้ช่วยให้เยาวชนที่เข้าร่วมโครงการได้สัมผัสกับวัฒนธรรมและวิถีชีวิตของชาวเชียงรายอย่างใกล้ชิด ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจในการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่สะท้อนถึงอัตลักษณ์ท้องถิ่น ขณะเดียวกัน การที่นักเรียนจากโรงเรียนนานาชาติและนักศึกษาท้องถิ่นทำงานร่วมกันยังช่วยสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างเยาวชนจากหลากหลายพื้นเพ ซึ่งจะเป็นรากฐานสำหรับการพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์ในอนาคต

ความท้าทายและโอกาส

โครงการ Chiang Rai Fashion to the World Season 3 สะท้อนถึงความพยายามในการผสมผสานมรดกวัฒนธรรมกับนวัตกรรมสมัยใหม่ เพื่อสร้างมูลค่าให้กับเศรษฐกิจท้องถิ่น อย่างไรก็ตาม โครงการนี้ยังเผชิญกับความท้าทายและโอกาสในหลายมิติ:

มิติด้านวัฒนธรรม การอนุรักษ์และพัฒนาผ้าทอกลุ่มชาติพันธุ์ต้องดำเนินการอย่างระมัดระวัง เพื่อรักษาคุณค่าทางวัฒนธรรมและป้องกันการใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ที่ไม่เหมาะสม การให้ความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์และความหมายของผ้าทอจึงเป็นสิ่งสำคัญในการสร้างความเข้าใจและความเคารพในมรดกของชุมชนชาติพันธุ์

มิติด้านเศรษฐกิจ การผลักดัน “เชียงรายแบรนด์” สู่ตลาดโลกต้องเผชิญกับการแข่งขันจากแบรนด์แฟชั่นอื่นๆ ที่ใช้ผ้าทอจากภูมิภาคต่างๆ การสร้างจุดเด่นที่แตกต่าง เช่น การเน้นเรื่องราวของชุมชนชาติพันธุ์และความยั่งยืน จะช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์

มิติด้านการศึกษาและชุมชน การที่รายได้จากการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ถูกนำไปเป็นทุนการศึกษาให้เด็กชาติพันธุ์เป็นแนวทางที่ยั่งยืนในการพัฒนาชุมชน อย่างไรก็ตาม การขยายผลกระทบของโครงการให้ครอบคลุมชุมชนชาติพันธุ์ในวงกว้างมากขึ้นยังคงเป็นสิ่งที่ต้องดำเนินการต่อไป

โอกาสที่สำคัญของโครงการนี้คือ การสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐ เอกชน และสถาบันการศึกษา ซึ่งจะช่วยให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืนในระยะยาว นอกจากนี้ การที่เยาวชนรุ่นใหม่มีส่วนร่วมในโครงการจะช่วยสร้างผู้นำด้านการออกแบบและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ในอนาคต

ทัศนคติเป็นกลางต่อความเห็นทั้งสองฝั่ง

ความคาดหวังของชุมชนชาติพันธุ์
ชุมชนชาติพันธุ์อาจคาดหวังว่าโครงการนี้จะช่วยเพิ่มรายได้และรักษามรดกวัฒนธรรมของตนไว้ได้อย่างยั่งยืน ขณะเดียวกัน พวกเขาอาจกังวลว่าการพัฒนาผลิตภัณฑ์ในเชิงพาณิชย์อาจทำให้สูญเสียความหมายดั้งเดิมของผ้าทอ หรือไม่สามารถเข้าถึงชุมชนในวงกว้างได้

ความพยายามของหน่วยงานและเยาวชน

หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น จังหวัดเชียงราย มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง และบริษัท เวลคัม ทู เชียงราย แสดงถึงความมุ่งมั่นในการส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์และการศึกษาเยาวชน การที่นักเรียนและนักศึกษามีส่วนร่วมในการออกแบบผลิตภัณฑ์แสดงถึงความตั้งใจในการสร้างนวัตกรรมที่สอดคล้องกับความต้องการของตลาด

ทัศนคติ ความคาดหวังของชุมชนชาติพันธุ์ในเรื่องการอนุรักษ์วัฒนธรรมและการพัฒนาเศรษฐกิจเป็นสิ่งที่สมเหตุสมผลและควรได้รับการตอบสนองผ่านการมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง ขณะเดียวกัน ความพยายามของหน่วยงานและเยาวชนในการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เป็นก้าวสำคัญในการผลักดันเชียงรายสู่เวทีโลก การแก้ไขปัญหาควรเน้นที่การสร้างสมดุลระหว่างการอนุรักษ์วัฒนธรรมและการพัฒนาในเชิงพาณิชย์ พร้อมทั้งขยายโอกาสให้ชุมชนชาติพันธุ์มีส่วนร่วมในทุกขั้นตอนของโครงการ

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  1. มูลค่าตลาดแฟชั่นผ้าทอในประเทศไทย ในปี 2567 ตลาดผลิตภัณฑ์ผ้าทอและแฟชั่นพื้นบ้านในประเทศไทยมีมูลค่าประมาณ 10,000 ล้านบาท โดยภาคเหนือเป็นภูมิภาคที่มีส่วนแบ่งตลาดสูงสุดถึง 35% (ที่มา: รายงานเศรษฐกิจสร้างสรรค์, สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์, 2567)
  2. จำนวนกลุ่มชาติพันธุ์ในเชียงราย จังหวัดเชียงรายมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 10 กลุ่ม คิดเป็นประชากรประมาณ 20% ของประชากรทั้งจังหวัด หรือราว 250,000 คน (ที่มา: สำนักบริหารการทะเบียน กรมการปกครอง, 2566)
  3. การมีส่วนร่วมของเยาวชนในเศรษฐกิจสร้างสรรค์ การสำรวจของ TCDC ในปี 2566 พบว่า 70% ของเยาวชนอายุ 15–25 ปีในประเทศไทยสนใจงานด้านการออกแบบและศิลปะ แต่มีเพียง 20% ที่ได้รับโอกาสในการพัฒนาทักษะอย่างเป็นระบบ (ที่มา: รายงานการสำรวจเยาวชนและเศรษฐกิจสร้างสรรค์, TCDC, 2566)
  4. ผลกระทบของการศึกษาต่อชุมชนชาติพันธุ์ องค์การยูเนสโกระบุว่า การเพิ่มโอกาสทางการศึกษาให้เด็กในชุมชนชาติพันธุ์สามารถลดอัตราการยากจนได้ถึง 30% ภายในหนึ่งชั่วอายุคน (ที่มา: UNESCO Education Report, 2023)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (CEA)

  • สำนักบริหารการทะเบียน กรมการปกครอง

  • ศูนย์เศรษฐกิจสร้างสรรค์ (TCDC)

  • องค์การยูเนสโก (UNESCO)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

ดีเอสไอ เผย ‘ไชน่า เรลเวย์’ คว้างานรัฐ พบ 1 ใน 29 โครงการที่ ‘เชียงราย’

ดีเอสไอเผย 29 โครงการรัฐ “ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10” รับงาน 2.7 หมื่นล้าน เชียงรายร่วมตรวจสอบ

เชียงราย, 4 เมษายน 2568 – กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ได้เปิดเผยรายชื่อ 29 โครงการภาครัฐที่เกี่ยวข้องกับบริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งดำเนินการในรูปแบบกิจการร่วมค้า และได้รับงานก่อสร้างจากหน่วยงานรัฐรวมมูลค่ากว่า 27,803 ล้านบาท โดยหนึ่งในโครงการที่อยู่ในความสนใจคืออาคารหอพักบุคลากรทางการแพทย์ของมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างการก่อสร้างและได้รับการตรวจสอบหลังเหตุแผ่นดินไหวเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 เพื่อยืนยันความปลอดภัยของโครงสร้าง

การแถลงของดีเอสไอและที่มาของคดี

เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2568 พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พร้อมด้วยพันตำรวจโท ยุทธนา แพรดำ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ และร้อยตำรวจเอก สุรวุฒิ รังไสย์ รองอธิบดีดีเอสไอ ในฐานะหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ได้แถลงผลการประชุมคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษที่ 32/2568 เกี่ยวกับกรณีการประกอบธุรกิจของบริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งถูกตั้งข้อสงสัยว่าอาจเข้าข่ายการใช้ “นอมินี” ตามพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 คดีนี้เริ่มต้นจากเหตุการณ์อาคารสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) แห่งใหม่ ความสูง 30 ชั้น ย่านจตุจักร กรุงเทพมหานคร ซึ่งบริษัทดังกล่าวเป็นผู้รับเหมาก่อสร้าง พังถล่มจากเหตุแผ่นดินไหวเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตและสูญหายจำนวนมาก

ดีเอสไอได้ขยายผลการสืบสวนไปยังการประมูลงานภาครัฐของบริษัทนี้ พบว่า ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 ได้ร่วมมือกับเอกชนในรูปแบบ “กิจการร่วมค้า” อย่างน้อย 11 ราย และคว้างานก่อสร้างจากหน่วยงานรัฐรวม 29 โครงการทั่วประเทศ ด้วยวงเงินงบประมาณรวม 27,803,128,433.13 บาท และเงินตามสัญญารวม 22,773,856,494.83 บาท โครงการเหล่านี้ครอบคลุมตั้งแต่การก่อสร้างอาคารพักอาศัย ระบบสาธารณูปโภค ไปจนถึงโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ เช่น รถไฟความเร็วสูงกรุงเทพฯ-นครราชสีมา

รายชื่อโครงการที่เกี่ยวข้อง

รายชื่อ 29 โครงการที่ดีเอสไอเปิดเผย มีดังนี้:

  1. อาคารพักอาศัยสูง 32 ชั้น ชุมชนดินแดง การเคหะแห่งชาติ กรุงเทพฯ (807 ล้านบาท)
  2. ศูนย์เรียนรู้และพัฒนาสุขภาพผู้สูงอายุ โรงพยาบาลรามาธิบดี กรุงเทพฯ (563 ล้านบาท)
  3. เปลี่ยนระบบสายไฟฟ้าอากาศเป็นใต้ดิน ถนนอรุณอมรินทร์-บรมราชชนนี การไฟฟ้านครหลวง กรุงเทพฯ (1,261 ล้านบาท)
  4. อาคารที่ทำการสถานีตำรวจ สน.สุทธิสาร กรุงเทพฯ (139 ล้านบาท)
  5. อาคารบ้านพักส่วนกลาง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรุงเทพฯ (231 ล้านบาท)
  6. อาคารที่ทำการศาลแรงงานกลาง กรุงเทพฯ (467 ล้านบาท)
  7. ระบบรวบรวมน้ำเสียริมคลองแสนแสบ กรุงเทพฯ (541 ล้านบาท)
  8. วางท่อประปา การประปานครหลวง กรุงเทพฯ (347 ล้านบาท)
  9. อาคารศาลแพ่งและศาลอาญามีนบุรี กรุงเทพฯ (782 ล้านบาท)
  10. หอพักนักศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต (129 ล้านบาท)
  11. ทาวน์โฮมสองชั้น โครงการเคหะชุมชน จังหวัดภูเก็ต (343 ล้านบาท)
  12. อาคารการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค จังหวัดภูเก็ต (210 ล้านบาท)
  13. อาคารชุดพักอาศัยข้าราชการตุลาการศาลอุทธรณ์ภาค 9 จังหวัดสงขลา (386 ล้านบาท)
  14. อาคารผู้ป่วยนอกและอุบัติเหตุ โรงพยาบาลสงขลา (424 ล้านบาท)
  15. อาคารที่พักผู้โดยสาร ท่าอากาศยานนราธิวาส (639 ล้านบาท)
  16. งานป้องกันน้ำท่วมคลองประปา จังหวัดปทุมธานี (194 ล้านบาท)
  17. ระบบป้องกันน้ำท่วมสถานีสูบน้ำดิบสำแล จังหวัดปทุมธานี (372 ล้านบาท)
  18. สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ จังหวัดนนทบุรี (716 ล้านบาท)
  19. อาคารคลังพัสดุ สถาบันการแพทย์จักรีนฤบดินทร์ กรุงเทพฯ (146 ล้านบาท)
  20. อาคารกองบังคับการ กรมพลาธิการทหารเรือ กรุงเทพฯ (179 ล้านบาท)
  21. สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) แห่งใหม่ กรุงเทพฯ (2,136 ล้านบาท)
  22. อาคารเรียนโรงเรียนวัดอัมรินทราราม กรุงเทพฯ (160 ล้านบาท)
  23. อาคารสถาบันวิชาการ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค จังหวัดนครปฐม (606 ล้านบาท)
  24. อาคารหอพักบุคลากรทางการแพทย์ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย (468 ล้านบาท)
  25. ศูนย์ราชการจังหวัดแพร่ (540 ล้านบาท)
  26. การกีฬาแห่งประเทศไทย (608 ล้านบาท)
    27-28. แขวงทางหลวงชนบทสุพรรณบุรี (10.7 ล้านบาท และ 9.9 ล้านบาท)
  27. รถไฟความเร็วสูง กรุงเทพฯ-นครราชสีมา (9,348 ล้านบาท)

โครงการในเชียงรายและการตรวจสอบหลังแผ่นดินไหว

หนึ่งในโครงการที่เกี่ยวข้องกับจังหวัดเชียงราย คือการก่อสร้างอาคารหอพักบุคลากรทางการแพทย์ของมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง (มฟล.) วงเงิน 468 ล้านบาท ซึ่งดำเนินการโดย “กิจการร่วมค้า ทีพีซี” อันประกอบด้วยบริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัท ไทยพารากอน คอนสตรัคชั่น จำกัด การประมูลโครงการนี้ใช้วิธีการประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์ (e-bidding) ตามพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 โดยกิจการร่วมค้า ทีพีซี เสนอราคาต่ำสุดและชนะการประมูล

หลังเหตุแผ่นดินไหวขนาด 8.2 ริกเตอร์ในเมียนมาเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 ซึ่งส่งผลกระทบถึงเชียงรายและกรุงเทพฯ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.มัชฌิมา นราดิศร อธิการบดีมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ได้นำทีมผู้บริหาร วิศวกรโยธา และเจ้าหน้าที่ส่วนอาคารสถานที่ เข้าตรวจสอบโครงสร้างอาคารทั่วทั้งมหาวิทยาลัย รวมถึงอาคารหอพักบุคลากรทางการแพทย์ เมื่อวันที่ 29-30 มีนาคม 2568 ผลการตรวจสอบเบื้องต้นระบุว่า ไม่พบความเสียหายใด ๆ จากเหตุแผ่นดินไหว โดยมหาวิทยาลัยยืนยันว่า อาคารทุกหลังได้รับการออกแบบให้ทนต่อแรงสั่นสะเทือนตามมาตรฐาน และมีการควบคุมการก่อสร้างอย่างเข้มงวด

ความคืบหน้าการก่อสร้างและการควบคุมคุณภาพ

ปัจจุบัน การก่อสร้างอาคารหอพักบุคลากรทางการแพทย์ของ มฟล. มีความคืบหน้าโดยรวมร้อยละ 46 โดยงานโครงสร้างหลักแล้วเสร็จทั้งหมด และกำลังดำเนินการในส่วนงานสถาปัตยกรรมและงานภายนอก อย่างไรก็ตาม โครงการนี้ล่าช้ากว่าแผนเดิม เนื่องจากผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งส่งผลต่อการจัดหาวัสดุและแรงงาน

มหาวิทยาลัยระบุว่า วัสดุที่ใช้ในการก่อสร้าง โดยเฉพาะเหล็ก ได้รับการรับรองมาตรฐาน มอก. และผ่านการทดสอบจากหน่วยงานที่ได้รับการขึ้นทะเบียน รวมถึงมีการตรวจสอบคุณภาพวัสดุโดยหน่วยงานทดสอบอิสระ เพื่อให้มั่นใจว่าโครงสร้างมีความแข็งแรงตามข้อกำหนด การก่อสร้างอยู่ภายใต้การควบคุมของบริษัทวิศวกรรมที่แยกจากกรณีอาคาร สตง. และมีการประชุมติดตามความคืบหน้าร่วมกับผู้รับเหมาทุกสัปดาห์ เพื่อให้งานเป็นไปตามแบบและมาตรฐาน

เพื่อเพิ่มความมั่นใจให้กับทุกฝ่าย มหาวิทยาลัยได้ประสานผู้เชี่ยวชาญจากหน่วยงานกลาง เช่น กรมโยธาธิการและผังเมือง เข้าตรวจสอบโครงสร้างเพิ่มเติมหลังเหตุแผ่นดินไหว ซึ่งผลการตรวจสอบขั้นสุดท้ายจะมีการรายงานในภายหลัง

กลยุทธ์ธุรกิจของไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10

จากการตรวจสอบของกรุงเทพธุรกิจ พบว่า ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 ใช้โมเดล “กิจการร่วมค้า” ร่วมกับเอกชนไทยอย่างน้อย 8 ราย เพื่อเข้าประมูลงานภาครัฐ โดยเริ่มจากงานรับเหมาก่อสร้าง ก่อนขยายไปสู่การวางระบบสาธารณูปโภค เช่น สายไฟฟ้าใต้ดินและท่อประปา ระหว่างปีงบประมาณ 2562-2568 บริษัทนี้เป็นคู่สัญญารัฐอย่างน้อย 18 สัญญา รวมวงเงินกว่า 1 หมื่นล้านบาท และเมื่อรวมโครงการอื่น ๆ ที่ดีเอสไอระบุ พบว่าได้งานถึง 29 โครงการ

ในกรณีอาคารหอพักบุคลากรทางการแพทย์เชียงราย บริษัทได้ร่วมมือกับไทยพารากอน คอนสตรัคชั่น จำกัด ซึ่งจดทะเบียนตั้งแต่ปี 2532 มีทุนจดทะเบียน 110 ล้านบาท และมีผู้ถือหุ้นหลักเป็นคนไทยและจีน อย่างไรก็ตาม งบการเงินล่าสุดปี 2565 แสดงผลขาดทุนสุทธิ 24.79 ล้านบาท ซึ่งอาจสะท้อนถึงความท้าทายในธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง

 

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  1. จำนวนโครงการก่อสร้างภาครัฐในเชียงราย: จากข้อมูลของสำนักงานจังหวัดเชียงราย ในช่วงปี 2565-2567 มีโครงการก่อสร้างที่ได้รับงบประมาณจากภาครัฐในจังหวัดเชียงรายรวม 142 โครงการ วงเงินรวม 15,873 ล้านบาท (ที่มา: รายงานงบประมาณจังหวัดเชียงราย, 2567)
  2. เหตุแผ่นดินไหวในภาคเหนือ: กรมอุตุนิยมวิทยารายงานว่า ในรอบ 10 ปี (2558-2567) ภาคเหนือเผชิญเหตุแผ่นดินไหวที่มีผลกระทบถึงโครงสร้างอาคารรวม 12 ครั้ง โดยครั้งรุนแรงที่สุดเกิดเมื่อปี 2557 ขนาด 6.3 ริกเตอร์ (ที่มา: รายงานธรณีพิบัติภัย, กรมอุตุนิยมวิทยา, 2567)
  3. มูลค่างานรับเหมาก่อสร้างของบริษัทต่างชาติในไทย: สภาวิศวกรระบุว่า ในปี 2566 บริษัทต่างชาติได้รับงานก่อสร้างจากภาครัฐไทยรวมมูลค่ากว่า 85,000 ล้านบาท คิดเป็น 22% ของงานทั้งหมด (ที่มา: รายงานประจำปีสภาวิศวกร, 2566)

ทัศนคติเป็นกลางต่อความเห็นทั้งสองฝ่าย

การเปิดเผยข้อมูลของดีเอสไอจุดประกายความเห็นสองฝั่งในสังคม ฝ่ายหนึ่งมองว่า การที่ ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 คว้างานรัฐจำนวนมาก โดยเฉพาะในเชียงราย เป็นโอกาสในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่น การที่ มฟล. ตรวจสอบและยืนยันความปลอดภัยของอาคารหลังแผ่นดินไหว แสดงถึงความรับผิดชอบต่อคุณภาพงาน ซึ่งอาจพิสูจน์ได้ว่าไม่ใช่ทุกโครงการของบริษัทนี้มีปัญหา

ในทางกลับกัน อีกฝ่ายกังวลว่า การใช้โมเดล “นอมินี” และการชนะประมูลด้วยราคาต่ำสุดอาจนำไปสู่การลดคุณภาพงาน เพื่อประหยัดต้นทุน เหตุการณ์ที่ สตง. เป็นตัวอย่างที่ทำให้เกิดข้อสงสัยถึงความโปร่งใสและมาตรฐานการก่อสร้างของบริษัทนี้ โดยเฉพาะในพื้นที่เสี่ยงภัยอย่างเชียงราย

จากมุมมองที่เป็นกลาง การสืบสวนของดีเอสไอเป็นขั้นตอนสำคัญในการตรวจสอบความถูกต้องตามกฎหมายและคุณภาพงาน ซึ่งจะช่วยคลายข้อสงสัยของประชาชนได้ ขณะที่การยืนยันของ มฟล. ถึงความปลอดภัยของโครงการในเชียงราย ก็เป็นหลักฐานที่ควรพิจารณา การหาข้อสรุปต้องรอผลการตรวจสอบอย่างเป็นทางการ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมต่อทุกฝ่าย โดยไม่ตัดสินล่วงหน้าจากกรณีใดกรณีหนึ่ง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ)
  • เว็บไซต์จัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ (www.gprocurement.go.th)
  • ฐานข้อมูล ACT Ai (www.actai.co)
  • มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง
  • หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ (ข้อมูลฐานข้อมูลผู้ถือหุ้น)
  • สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน
  • พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ.2542
  • พ.ร.บ.จัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ.2560
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE