Categories
AROUND CHIANG RAI FEATURED NEWS

มรภ.เชียงราย ปั้น “ชาดอกซ้อ” ไทลื้อบ้านหาดบ้าย พลิกวิกฤตความหายาก สู่ Functional Tea ระดับโลก ด้วยนวัตกรรม

ดอกซ้อ” พืชพื้นถิ่นไทลื้อ พลิกวิกฤตความหายาก สู่ “Functional Tea” ระดับโลก ยุทธศาสตร์นวัตกรรมที่ท้าทายพลวัตตลาดชามูลค่ากว่า 5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ

เชียงราย, 10 ตุลาคม 2568 – ในขณะที่ตลาดค้าปลีกชาทั่วโลกยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยมีมูลค่าสูงถึง 51,470 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2567 แต่พลวัตการค้าระหว่างประเทศกลับแสดงการหดตัวในกลุ่มชาดั้งเดิมอย่างน่าตกใจ แต่กระแสของการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างนี้ ภูมิปัญญาของกลุ่มชาติพันธุ์ไทลื้อแห่งบ้านหาดบ้าย ตำบลริมโขง อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย ได้ถูกนำมาผนวกเข้ากับนวัตกรรมทางวิทยาศาสตร์ เพื่อยกระดับ “ชาดอกซ้อ” ซึ่งเป็นพืชพื้นถิ่นที่ออกดอกเพียงปีละครั้ง ให้กลายเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพที่มีคุณค่าสูง (Functional Tea) ถือเป็นกรณีศึกษาที่สำคัญของการสร้างมูลค่าเพิ่ม (Value Creation) ให้กับสินค้าเกษตรเฉพาะถิ่นของไทย เพื่อตอบสนองอุปสงค์ของตลาดพรีเมียมโลกที่กำลังมองหาสินค้าที่มี “เรื่องราว” และ “คุณสมบัติที่เหนือกว่า”

การเดินทางของดอกซ้อจาก “ขนมประจำเทศกาล” สู่ “ชาสุขภาพไร้คาเฟอีน” ไม่เพียงแต่สะท้อนถึงความยืดหยุ่นทางวัฒนธรรมของชาวไทลื้อ แต่ยังเป็นการก้าวเข้าสู่สนามแข่งขันระดับโลกได้อย่างถูกจังหวะ ตามข้อเสนอแนะเชิงกลยุทธ์ที่ระบุว่า ประเทศไทยควรเน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์ชาเพื่อสุขภาพเพื่อรักษาและขยายความได้เปรียบทางการค้า

จากต้นไม้พื้นบ้านสู่ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ

ดอกซ้อ (Dok Sor) เป็นต้นไม้พื้นถิ่นทางภาคเหนือที่เป็นไม้ใหญ่ยืนต้น ซึ่งทุกส่วนของต้นสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้อย่างหลากหลาย เนื้อไม้นำมาทำเครื่องเรือน เช่น โต๊ะ เก้าอี้ ครก เขียง ซึ่งเป็นที่นิยมเนื่องจากมีกลิ่นหอมเฉพาะตัวที่เป็นเอกลักษณ์ของผลิตภัณฑ์ไม้ซ้อ ตัวใบใช้เป็นสมุนไพรในการต้มอาบหรือแก้ผดคัน ส่วนผลสุกสามารถนำมาขยี้แล้วกินกับข้าวเหนียว ซึ่งเป็นความรู้ด้านการใช้ประโยชน์ที่บรรพบุรุษชาวไทลื้อได้ส่งต่อกันมาเป็นเวลานาน

เดิมที ดอกซ้อมีบทบาทสำคัญทางวัฒนธรรมสำหรับชาวไทลื้อบ้านหาดบ้าย คือการนำดอกมาทำเป็น “ขนมดอกซ้อ” ซึ่งเป็นขนมที่รับประทานเฉพาะช่วงเทศกาลสงกรานต์หรือปีใหม่เมืองเท่านั้น การทำขนมดอกซ้อเพื่อถวายพระในวันสงกรานต์นั้นเปรียบเสมือนสัญลักษณ์ของการเริ่มต้นปีใหม่ สัญญาว่าทั้งปีจะมีความเจริญรุ่งเรือง แต่ความคิดริเริ่มของชาวบ้านกลับพลิกเปลี่ยนการใช้ประโยชน์ของพืชพื้นถิ่นนี้ให้ไปไกลกว่าขนมดั้งเดิม

นางสนอง จันต๊ะคาด ประธานวิสาหกิจชุมชนอาหารท้องถิ่นไทลื้อบ้านหาดบ้าย

นางสนอง จันต๊ะคาด ประธานวิสาหกิจชุมชนอาหารท้องถิ่นไทลื้อบ้านหาดบ้าย เล่าถึงจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญว่า “เริ่มแรกเกิดจากความคิดที่ว่า หากดอกซ้อสามารถนำมาทำขนมได้ ไฉนจึงไม่สามารถนำมาทำเป็นเครื่องดื่มได้บ้าง” ความพยายามในการนำมาแปรรูปเป็นชาเริ่มต้นด้วยการลองผิดลองถูกหลายปี ก่อนที่จะได้รับความร่วมมือครั้งสำคัญจากคณะวิทยาการจัดการและคณะสังคมศาสตร์ สาขาคหกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย ภายใต้โครงการนวัตกรรมการพัฒนาและเล่าเรื่องชาดอกซ้อตามแนวทางอาหารปลอดภัย

“ครั้งแรกที่เอามาทำเป็นน้ำดอกซ้อ เราก็ลองผิดลองถูกนานมาก เพราะไม่มีใครเคยทำมาก่อน ก็เลยต้องศึกษาจากภูมิปัญญาบ้านเรา แล้วก็ลองคิดคิดได้อะไรขึ้นมา เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่คุณภาพ” นางสนองเล่าให้ฟัง ตั้งแต่นั้นมา ความร่วมมือกับสถาบันการศึกษาได้นำมาซึ่งการปรับปรุงกระบวนการผลิตให้เป็นมาตรฐาน การออกแบบบรรจุภัณฑ์ที่สื่อถึงเรื่องราว และการสร้างแบรนด์ที่สะท้อนตัวตนของชุมชน

การค้นพบทางวิทยาศาสตร์ และคุณสมบัติที่ตอบโจทย์เทรนด์สุขภาพโลก

ชาดอกซ้อไม่ได้เป็นเพียงเครื่องดื่มทั่วไป แต่มีคุณสมบัติที่แตกต่างจากชาสมุนไพรอื่นในตลาดอย่างมีนัยสำคัญ คณะวิจัยจากมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงรายได้เสริมสร้างจุดเด่นของชาดอกซ้อในมิติทางวิทยาศาสตร์ นอกเหนือจากความหายากและมีกลิ่นเอกลักษณ์ ข้อค้นพบทางวิทยาศาสตร์ได้เผยให้เห็นความแตกต่างพื้นฐานของผลิตภัณฑ์นี้

ประการแรก คือกลิ่นและรสชาติเฉพาะตัว ชาดอกซ้อมีกลิ่นเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่เกิดจากกระบวนการหมักโดยธรรมชาติ (Fermentation) ซึ่งเกิดขึ้นอย่างทีเป็นธรรมชาติผ่านการตากแดด กลิ่นของมันจะหอมคล้าย “น้ำผึ้งป่า” และดอกไม้ ซึ่งเป็นกลิ่นที่ไม่พบได้ทั่วไปในชาสมุนไพรทั่วไป และมีรสหวานอ่อน ๆ ในตัวชาเอง ที่น่าสนใจเป็นพิเศษ คือกลิ่นอโรมา (Aroma) นี้ ผู้เชี่ยวชาญจากกรมป่าไม้ได้ตั้งข้อสังเกตว่า อาจเกี่ยวข้องกับผึ้งป่าที่ไปตอมต้นซ้อแล้วนำกลิ่นเนกตาร์มาสู่ดอกซ้อ เป็นเหตุให้ชาดอกซ้อมีลักษณะเฉพาะตัว

ผู้ช่วยศาสตราจารย์อภิสรา กฤตาวาณิชย์

คุณสมบัติด้านสุขภาพที่โดดเด่น ผู้ช่วยศาสตราจารย์อภิสรา กฤตาวาณิชย์ หัวหน้าโครงการนวัตกรรมการพัฒนาและเล่าเรื่องชาดอกซ้อตามแนวทางอาหารปลอดภัยของมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย ระบุว่า ชาชนิดนี้ไม่มีคาเฟอีน ทำให้เหมาะสำหรับผู้ที่แพ้คาเฟอีน เนื่องจากไม่กระตุ้นระบบไหลเวียนโลหิต ความไม่มีคาเฟอีนนี้เองทำให้ชาดอกซ้อกลายเป็นตัวเลือกที่มีศักยภาพสูงสำหรับบุคคลที่ต้องการลดการบริโภคสารกระตุ้นระบบประสาท

นอกจากนั้น ชาดอกซ้อยังช่วยผ่อนคลายและส่งเสริมการหลับสบาย เนื่องจากไม่มีคาเฟอีน และมีกลิ่นอโรมาคล้ายดอกไม้ป่า นักโภชนาการจึงแนะนำว่า ชาชนิดนี้เหมาะสำหรับการดื่มก่อนนอน ชาดอกซ้อมีสารต้านอนุมูลอิสระในกลุ่มที่เรียกว่า “ฟลาโวนอยด์” (Flavonoids) ซึ่งเป็นสารที่พบได้ในชาสมุนไพรทั่วไป แต่จากการส่งตรวจในห้องแล็บ พบว่าในปริมาณชา 500 กรัม มีสารฟลาโวนอยด์อยู่สูงถึงประมาณ 600 มิลลิกรัม ซึ่งเป็นปริมาณที่สูงมากเมื่อเทียบกับชาสมุนไพรอื่นในตลาด สารกลุ่มนี้ช่วยลดไขมันในเลือด ต้านการเกิดอักเสบในร่างกาย

ความท้าทายในการผลิต และนวัตกรรมที่เปลี่ยนเกม

ความท้าทายหลักที่ขวางกั้นไม่ให้ชาดอกซ้อขยายตัวในตลาดคือ ข้อจำกัดด้านการเก็บวัตถุดิบและการรักษาคุณภาพ ดอกซ้อเป็นพืชพิเศษที่ออกดอกในช่วง ธันวาคมจนถึงเดือนเมษายน เท่านั้น ที่ยิ่งไปกว่านั้น ดอกซ้อที่เก็บมานั้นเน่าเสียง่ายมาก และต้องเก็บและนำเข้าสู่กระบวนการแปรรูป ภายใน 1 วัน มิฉะนั้นดอกจะเหี่ยวในตอนเย็น ซึ่งทำให้การผลิตมีข้อจำกัดด้านปริมาณและคุณภาพ

ไม่เพียงแต่เวลาการเก็บหรือระยะเวลาการรักษาความสด พื้นที่ปลูกดอกซ้อก็มีข้อจำกัด ต้นซ้อบางต้นใช้เวลาปลูกหลายปีกว่าจะเติบโตและออกดอกได้ การออกดอกเพียงปีละครั้งเท่านั้นนี้ ทำให้เกิดปัญหาใหญ่ด้านการบริหารจัดการวัตถุดิบเพื่อให้สามารถจัดจำหน่ายได้ตลอดทั้งปี

เพื่อแก้ไขปัญหาด้านคุณภาพ ปริมาณ และความปลอดภัย ทีมวิจัยจึงนำ “ตู้ตากพลังงานแสงอาทิตย์” เข้ามาใช้ ซึ่งเป็นนวัตกรรมที่เปลี่ยนเกมในการผลิตชาดอกซ้อ

อาจารย์ธงชัย ลาหุนะ

ด้าน ผศ.กนกวรรณ ปลาศิลาและอาจารย์ธงชัย ลาหุนะ คณะสังคมศาสตร์ สาขาคหกรรมศาสตร์ คณะวิจัยผู้พัฒนาชาดอกซ้อตามแนวทางอาหารปลอดภัย อธิบายว่า หากตากแบบทั่วไปข้างนอก ต้องใช้เวลาประมาณ 3 วัน ซึ่งทำให้เกิดการหมัก (Fermentation) มากเกินไป และมีความเสี่ยงต่อการเกิดเชื้อราและสิ่งปนเปื้อน เมื่อนำตู้ตากพลังงานแสงอาทิตย์เข้ามาใช้ ระยะเวลาการตากลดลงเหลือเพียง 1-2 วัน ซึ่งเป็นการเร่งให้ชาแห้งเร็วที่สุดโดยยังคงไว้ซึ่งคุณค่าของชา

นวัตกรรมนี้มีประโยชน์หลากหลาย ไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มปริมาณการเก็บสต็อกให้จำหน่ายได้ตลอดปี แต่ยังช่วยรักษาคุณค่าทางโภชนาการ โดยเฉพาะกลิ่นต่างๆ ของชาดอกซ้อให้คงอยู่ และยังช่วยป้องกันความไม่ปลอดภัยที่อาจเกิดจากการตากภายนอก เช่น ฝุ่นละออง สัตว์ แมลง หรือเศษหญ้า ทำให้กระบวนการจัดการมีประสิทธิภาพมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

มาตรฐาน GHP และกระบวนการผลิตที่เข้มงวด

เพื่อให้ผู้บริโภคมั่นใจได้ว่าชาดอกซ้อมีกระบวนการผลิตที่ถูกสุขอนามัย ทางโครงการได้ให้ความรู้และส่งเสริมเรื่อง GHP (Good Hygiene Practice) หรือสุขลักษณะที่ดีในการผลิตอาหาร ซึ่งเป็นมาตรฐานการควบคุมคุณภาพอาหารรูปแบบหนึ่งที่รับรองโดยหน่วยงานสาธารณสุข

ผู้ช่วยศาสตราจารย์กนกวรรณ ปลาศิลา และอาจารย์ธงชัย ลาหุนะ จากคณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย เป็นผู้นำร่องในการให้ความรู้เรื่องนี้ พวกเขาได้ยกตัวอย่างขั้นตอนสำคัญที่ได้เข้าไปปรับปรุงและควบคุมอย่างเข้มงวด เพื่อให้ชาดอกซ้อถูกผลิตตามมาตรฐานการอาหารปลอดภัย

ขั้นตอนแรก คือการคัดแยกเบื้องต้นและการทำความสะอาด เนื่องจากดอกซ้อร่วงลงพื้นก่อนจึงมีการเก็บ จึงมีความเสี่ยงต่อการปนเปื้อน ขั้นตอนแรกคือการคัดแยกดอกที่เสีย ดอกที่ไม่สมบูรณ์ หรือดอกที่มีการปนเปื้อนแมลงออกไปก่อน หลังจากนั้นต้องทำความสะอาดด้วยการล้างเพื่อขจัดฝุ่นละอองและเศษต่างๆ

ขั้นตอนที่สอง คือการควบคุมอุณหภูมิและการฆ่าเชื้อ การใช้ตู้ตากพลังงานแสงอาทิตย์ นอกจากจะช่วยให้ชาแห้งเร็วแล้ว ยังช่วยในการควบคุมอุณหภูมิและความร้อนจากแสงแดด เพื่อฆ่าเชื้อโรคบางชนิด เช่น เชื้อความชื้นและจุลินทรีย์ที่อยู่ในชา ซึ่งช่วยลดการเกิดเชื้อราและสิ่งปนเปื้อน

ขั้นตอนที่สาม คือการจัดการสินค้าคงคลังและการแปรรูปขั้นสุดท้าย มีการวางระบบ First in First Out (FIFO) ในการจัดเก็บ ก่อนการบรรจุลงถุงเล็กๆ ทางกลุ่มจะนำชามาผ่านกระบวนการทำความสะอาดอีกรอบ คือ การอบด้วยลมร้อน (Hot Air Oven) โดยใช้เตาอบขนาดเล็ก การอบด้วยเตาเล็กๆ มีเหตุผลสำคัญ คือ เพื่อป้องกันไม่ให้ชาดอกซ้อเสียความหอม หากอบปริมาณมากและทิ้งไว้นาน กลิ่นจะหายไป ขั้นตอนนี้เป็นการควบคุมคุณภาพขั้นสุดท้ายก่อนการแพ็ค

นอกจากนี้ ยังรวมถึงการควบคุมสุขอนามัยส่วนบุคคล เช่น การสวมเสื้อผ้า ใส่ถุงมือ และการแบ่งโซนการผลิตที่ชัดเจนเพื่อหลีกเลี่ยงการปนเปื้อนข้าม (Cross Contamination) ซึ่งอาจเกิดจากการสัมผัสของเชื้อจุลินทรีย์หรือสิ่งแปลกปลอม

ซึ่งเราได้วางแผนกระบวนการพัฒนาชาดอกซ้อให้ได้มาตรฐานความปลอดภัยและการควบคุมคุณภาพชาดอกซ้อ เพื่อเข้าสู่มาตราฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน(มผช) และการขอเลขสารบบขององค์การอาหารและยา(อย.) ในลำดับต่อไป

ผศ.กนกวรรณ ปลาศิลา

กลยุทธ์การเล่าเรื่องราว Storytelling และการสร้างแบรนด์

โครงการวิจัยไม่ได้มุ่งเน้นเพียงด้านวิทยาศาสตร์และการผลิตเท่านั้น แต่ยังใช้กลยุทธ์การ “เล่าเรื่อง” (Storytelling) เพื่อนำเสนออัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมของชาวไทลื้อบ้านหาดบ้ายผ่านผลิตภัณฑ์ชาดอกซ้อ

ผู้ช่วยศาสตราจารย์อภิสรา กฤตาวาณิชย์ อธิบายว่า กลยุทธ์ในการสื่อสารเรื่องราวนี้คือการนำอัตลักษณ์ของบ้านหาดบ้ายมานำเสนอผ่านบรรจุภัณฑ์ โดยดึงเอาองค์ประกอบสำคัญของวิถีชีวิตไทลื้อมาใช้ในการออกแบบ

อย่างเช่น ผ้าทอไทลื้อบ้านหาดบ้าย มีความโดนเด่นด้านภูมิปัญญาหัตถกรรมการทอผ้า และยังเป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงวิถีชีวิต วัฒนธรรม ลวดลายต่างๆ สืบทอดกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษ เช่น ลายแมงปอ ลายตาไก่ ลายขอใหญ่ ลายขอเล็ก โดยเราได้นำผ้าทอไทลื้อมาสื่อสารผ่านการออกแบบบนบรรจุภัณฑ์เพื่อทำเป็นของที่ระลึก ซึ่งเป็นการส่งเสริมการนำวัสดุในชุมชนมาต่อยอด สร้างสรรค์เป็นบรรจุภัณฑ์ไม่เพียงเพิ่มมูลค่า แต่ยังกระจายรายได้สู่ชุมชนและส่งเสริม Soft Power ไทย

ตลาดชาโลกและไทย ในปี 2567 สะท้อนการเปลี่ยนจากวัตถุดิบสู่สินค้ามูลค่าเพิ่ม

ความสำเร็จนี้สอดคล้องกับพลวัตตลาดชาโลกและไทย ในปี 2567 การส่งออกชาดำหดตัว -3.0% ชาเขียว -7.3% แต่ผลิตภัณฑ์ชาแปรรูป (HS 210120) เติบโต +11.9% สะท้อนการเปลี่ยนจากวัตถุดิบสู่สินค้ามูลค่าเพิ่ม ประเทศไทยสวนทางโลก โดยส่งออกชาและผลิตภัณฑ์เติบโต +13.6% (70.2 ล้านเหรียญสหรัฐ) ชาเขียว +65.2% และใน 8 เดือนแรกปี 2568 เติบโต +21.4% (53.3 ล้านเหรียญสหรัฐ) ในประเทศ ตลาดชาพร้อมดื่ม (RTD) มีมูลค่า 16,834.7 ล้านบาท (+6.8%) ชา Specialty ร้านใหม่ +205% ใน 3 ปี มัทฉะฟีเวอร์ ยอดสั่งซื้อ 5 ล้านแก้ว (+78%) ชาดอกซ้อจึงมีโอกาสเติมช่องว่าง โดยเฉพาะการนำเข้าผลิตภัณฑ์ชาแปรรูปที่เพิ่ม +13.4% (22.9 ล้านเหรียญสหรัฐ) ขณะที่การส่งออกกลุ่มนี้หด -2.5%

การต่อยอดไม่ได้หยุดแค่ชา ทีมวิจัยวางแผนขยายสู่ผลิตภัณฑ์อื่น เช่น คุกกี้ชาดอกซ้อ ขนมปังสังขยาชาดอกซ้อ น้ำพริกผั่วทรายชาดอกซ้อ และกัมมี่ชาดอกซ้อสำหรับเด็ก อาจารย์ธงชัย กล่าวว่า “จริงๆ ทำอยู่นะ ได้นำแนวคิดในโครงการวิจัยครั้งนี้ เอาไปเป็นโปรเจ็กต์ให้กับนักศึกษา แล้วก็ได้มีการทดลองทำ ก็คือเป็นอาหารเป็นขนม จะมีขนมที่เกี่ยวกับเบเกอรี่ อย่างเช่น คุกกี้ชาดอกซ้อ ขนมปังชาดอกซ้อ ขนมปังสังขยาชาดอกซ้อ อันนี้ก็จะเป็นอีกทางเลือกที่เป็นแบบสมัยใหม่หน่อยก็คือเป็นอาหารแบบเบเกอรี่ น้ำพริกผั่วทราย ชามะนาวชาดอกซ้อน้ำชามะนาวจะเป็นแบบทานเย็นหรือร้อน อีกอันหนึ่งก็คือจะมีกัมมี่ชาดอกซ้อ ก็คือใช้ประโยชน์ที่เป็นตัวของมันด้วย ซึ่งมันก็บาง เด็กมันไม่ชอบกินเรื่องของผักแล้วก็เอาตัวใยอาหารที่มันอยู่ในดอกซ้อเอามาทำเป็นกัมมี่ มันก็เด็กมันก็กินได้ เพราะถ้าเป็นชาปกติทั่วไปเด็กมันไม่ค่อยกินกัน มันก็สามารถตอบโจทย์ให้กับเด็กได้ด้วย” การขยายเครือข่ายรับซื้อดอกซ้อจากชุมชนใกล้เคียงยังกระจายรายได้ ส่งเสริมการปลูกต้นซ้อซึ่งเป็นไม้ยืนต้น ช่วยสร้างพื้นที่สีเขียวและความยั่งยืน

เอกลักษณ์ ดอกซ้อ กลิ่นหอมอ่อนๆ ของน้ำผึ้ง

นางสนอง จันต๊ะคาด ประธานวิสาหกิจชุมชนอาหารท้องถิ่นไทลื้อบ้านหาดบ้าย กล่าวถึงจุดเปลี่ยนว่า “ตอนแรกที่เอามาทำเป็นดอกซ้อก็คือเอามาทำผ่านกระบวนการการแห้งเอาตากแห้งทำความสะอาดล้างตากแห้งอะไรต่างๆ พอเรามาทำเป็นน้ำดอกซ้อแรกๆ ก็มีหลายที่ก็ เอ๊ะ ทำไมชั้นก็ไม่เคยเห็น เหมือนเหมือนตอนนั้นว่าทำไมดอกซ้อมาทำเป็นน้ำดื่มได้เหรอ คือคนในพื้นที่เขาจะมองว่ามันมันไม่น่า แต่พอเราลองเอามาทำ เออก็กลายเป็น มันได้ผลตอบรับที่น่าภูมิใจ ก็คือนักท่องเที่ยวที่มา เขาบอกว่า เอ๊ะ ชิมแล้วมันแปลก แล้วก็มันกลิ่นหอมของดอกซ้อ มันเป็นเอกลักษณ์ ชงมันจะมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ของน้ำผึ้ง จุดเปลี่ยนอย่างหนึ่งที่สำคัญมากก็คือ เมื่อมีหน่วยงานทางมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงรายเข้ามาสนับสนุนในเรื่องของการให้ความรู้ในเรื่องของชาดอกซ้อ โดยมีโครงการวิจัย ซึ่งตอนนั้นเราก็คิดอยู่เหมือนกันว่ามันจะได้ไหม เพราะหนึ่งเรายังไม่ได้มีมาตรฐานอะไรรับรองตอนนั้นตอนที่ทำใหม่ๆ เราทำเป็นแค่น้ำดอกซ้อเฉยๆ แต่พอเราทำไปทำมากลายเป็นว่าผลตอบรับที่เราได้จากนักท่องเที่ยว แล้วผู้คนที่มาเที่ยวบ้านเรา ลองชิมแล้วก็มาลองเราลองเอามาต้อนรับนักท่องเที่ยว กลายเป็นว่ามันเป็นผลตอบรับที่น่าภูมิใจ แล้วก็พอมีทางมหาวิทยาลัยเข้ามาสนับสนุนให้เรามั่นใจมากขึ้นในตัวผลิตภัณฑ์”

สำหรับการผลักดันให้ชาดอกซ้อเป็น “ของดีที่ต้องแวะชิม” นางสนอง จันต๊ะคาด ประธานวิสาหกิจชุมชนอาหารท้องถิ่นไทลื้อบ้านหาดบ้าย กล่าวว่า “การที่เราแนะนำนำเสนอในส่วนของดอกซ้อตัวผลิตภัณฑ์ของดอกซ้อเองก็คือหนึ่งอันดับแรกก็คือการทำขนมแน่นอนอยู่แล้ว อันนี้เป็นภูมิปัญญาดั้งเดิม มรดกที่บรรพบุรุษเขามอบให้เรามาเรามาสานต่อในเรื่องของการนำเสนอ ให้ให้แขกผู้มาเยือนได้ลองชิมทำขนมบ้างทำน้ำบ้าง ซึ่งเราจะใช้ในการต้อนรับแขกนักท่องเที่ยวที่มาจัดเบรกบ้าง ให้ต้อนรับทำเป็นนะคะ อันนี้ก็คือหลังจากที่เราทำท่องเที่ยวก็กลายเป็นว่าทำให้ดอกซ้อกลายเป็นมีชื่อเสียงขึ้นมา และก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าต่อไปในอนาคต ดอกซ้อจะสามารถทำอะไรได้หลายอย่างมากกว่านี้โดยเฉพาะทางมหาวิทยาลัยตอนนี้เริ่มเอา คิดค้นในเรื่องเมนูต่างๆ ขนม จากในไม่ว่าขนมแบบโบราณ หรือว่าขนมที่สากลแบบขนมแบบเค้กทำกัมมี่อะไรพวกนั้นเยอะแยะขึ้นไป อันนี้ก็จะเป็นแล้วอีกอย่างหนึ่งก็คือ เราอยากเราเราทำให้เราให้นักท่องเที่ยวมาทำกิจกรรมเกี่ยวกับดอกซ้อด้วยเกี่ยวกับเรื่องอาหาร”

ผสานภูมิปัญญา วิทยาศาสตร์ และตลาด เพื่อยกระดับสินค้าเกษตรไทย

ในบทสรุป ชาดอกซ้อบ้านหาดบ้ายเป็นตัวอย่างชัดเจนของการผสานภูมิปัญญา วิทยาศาสตร์ และตลาด เพื่อยกระดับสินค้าเกษตรไทย ท่ามกลางตลาดชาโลกที่กำลังเปลี่ยนสู่ Functional Teas รัฐบาลควรสนับสนุนนโยบายการลงทุนในเทคโนโลยีแปรรูป เพื่อลดการพึ่งพานำเข้าและขยายส่งออก HS 210120 ซึ่งเติบโต +11.9% ชาดอกซ้อไม่ใช่แค่เครื่องดื่ม แต่เป็นสะพานเชื่อมวัฒนธรรมไทลื้อสู่โลก หากรัฐและชุมชนเดินหน้าต่อยอด ศักยภาพนี้จะสร้างรายได้ยั่งยืนและกระตุ้นเศรษฐกิจชุมชนได้อย่างมหาศาล คิดดูสิว่า พืชหายากปีละครั้งจะเปลี่ยนชีวิตชุมชนได้อย่างไร หากได้รับการสนับสนุนที่ถูกต้อง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • เขียนโดย : กันณพงศ์ ก.บัวเกษร
  • เรียบเรียง : มนรัตน์ ก.บัวเกษร
  • ภาพถ่าย : กีรติ ชุติชัย
  • สนค. (สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า) กระทรวงพาณิชย์
  • กระทรวงพาณิชย์ (MOC)
  • The Standard
  • The Bangkok Insight
  • กรมการค้าต่างประเทศ (DFT)
  • ผู้ช่วยศาสตราจารย์อภิสรา กฤตาวาณิชย์ คณะวิทยาการจัดการ หัวหน้าโครงการนวัตกรรมการพัฒนาและเล่าเรื่องชาดอกซ้อตามแนวทางอาหารปลอดภัยของวิสาหกิจชุมชนอาหารท้องถิ่นไทลื้อบ้านหาดบ้าย จังหวัดเชียงราย
  • ผศ.กนกวรรณ ปลาศิลาและอาจารย์ธงชัย ลาหุนะ คณะสังคมศาสตร์
  • นางสนอง จันต๊ะคาด ประธานวิสาหกิจชุมชนอาหารท้องถิ่นไทลื้อบ้านหาดบ้าย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

“แสงประทีปสู่หัวใจวิชาชีพ”: มรภ.เชียงรายมอบหมวกพยาบาล 79 คน ก้าวสู่หอผู้ป่วย

แสงประทีปสู่หัวใจวิชาชีพ” มรภ. เชียงรายจัดพิธีมอบหมวก–ดวงประทีป–เข็มชั้นปี ให้นักศึกษาพยาบาล “ช่อทองคำรุ่นที่ 2” 79 คน ก้าวแรกสู่หอผู้ป่วยอย่างมีศักดิ์ศรี–จริยธรรม

ในช่วงรอยต่อการฟื้นตัวของระบบบริการสุขภาพและสังคมไทย ภูมิภาคเหนือโดยเฉพาะจังหวัดชายแดนอย่างเชียงรายต้องการ “คน” และ “คุณค่า” มากพอๆ กับ “เครื่องมือ” และ “งบประมาณ” สถานพยาบาลปลายทางต้องรองรับผู้ป่วยหลากหลายมิติ ขณะที่ชุมชนต้องการบุคลากรที่มีทั้งความรู้เชิงวิชาการ ทักษะการปฏิบัติ และหัวใจของความเป็นมนุษย์ พิธี “มอบหมวก–ดวงประทีป–เข็มชั้นปี” ของคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย (มรภ.เชียงราย) จึงไม่ใช่เพียงพิธีการ หากเป็น “พิธีกรรมแห่งการเปลี่ยนผ่าน” ที่ประกาศต่อสาธารณะว่า นี่คือจุดเริ่มต้นของการก้าวสู่แถวหน้าการดูแลสุขภาพอย่างมีจริยธรรมและความรับผิดชอบ

รายงานนี้หยิบ “สาระความหมายบริบท” ของพิธีครั้งล่าสุด (22 สิงหาคม 2568) มาคลี่ให้เห็นทั้งภาพพิธีการ สัญลักษณ์หลัก และนัยต่อระบบสุขภาพท้องถิ่น ผ่านเลนส์การสื่อสารที่เป็นกลาง และรองรับด้วยข้อมูลอ้างอิงที่ตรวจสอบได้

พิธีที่เป็นมากกว่าความภาคภูมิใจจุดเปลี่ยนสู่การปฏิบัติจริง

เชียงราย,22 สิงหาคม 2568 –  อาคารเรียนรวม 101 ของคณะพยาบาลศาสตร์ มรภ.เชียงราย คลาคล่ำไปด้วยรอยยิ้ม น้ำตา และความคาดหวังของนักศึกษาพยาบาลชั้นปีที่ 2 “ช่อทองคำรุ่นที่ 2” จำนวน 79 คน พร้อมครอบครัวและคณาจารย์ผู้ปลูกฝังวิชาชีพ พิธีมอบหมวก–ดวงประทีป–เข็มชั้นปี เป็นธรรมเนียมอันทรงเกียรติที่สืบทอดมายาวนานในแวดวงการพยาบาลไทย ใช้ยืนยันว่า นักศึกษากลุ่มนี้ได้ผ่านรากฐานทางทฤษฎีที่จำเป็น และพร้อมก้าวเข้าสู่การฝึกปฏิบัติในหอผู้ป่วย โดยมีระบบพี่เลี้ยงและสถาบันคู่ความร่วมมือทางคลินิกคอยกำกับคุณภาพอย่างใกล้ชิด

พิธีได้รับเกียรติจากผู้บริหารมหาวิทยาลัยระดับรองอธิการบดีเป็นประธาน พร้อมด้วยคณบดีคณะพยาบาลศาสตร์กล่าวรายงานวัตถุประสงค์ ตอกย้ำความสำคัญของ “คนดีคนเก่งคนกล้าเปลี่ยนแปลง” ที่สังคมต้องการ ยิ่งในบริบทจังหวัดชายแดนที่มีพลวัตด้านประชากร สุขภาวะ และวัฒนธรรมแตกต่างหลากหลาย การหล่อหลอมบัณฑิตให้ “รู้เท่าทันข้อมูลเข้าใจผู้คนเชื่อมต่อระบบ” คือสิ่งที่ทุกภาคส่วนคาดหวัง

สัญลักษณ์สามประการหลักยึดของการดูแลด้วยหัวใจมนุษย์

สาระสำคัญของพิธีประกอบด้วย “สามสัญลักษณ์” ซึ่งล้วนมีที่มาและความหมายลึกซึ้งในวิชาชีพพยาบาล

  1. หมวกพยาบาล – หมวกสีขาวบริสุทธิ์คือเครื่องหมายเชิงจริยธรรมที่ย้ำถึงความอ่อนน้อมถ่อมตน วินัย และการอุทิศตนเพื่อประโยชน์ส่วนรวม แม้ในงานบริการสุขภาพยุคใหม่จะไม่ได้สวมหมวกในทุกสถานการณ์ แต่หมวกในพิธีคือ “สัญญาใจ” ที่เตือนผู้สวมให้รักษามาตรฐานวิชาชีพ–มาตรฐานความเป็นมนุษย์เสมอ
  2. ดวงประทีปไนติงเกล – ตะเกียงส่องทางที่สืบเรื่องราวจากฟลอเรนซ์ ไนติงเกล สตรีผู้ได้รับฉายา “สุภาพสตรีแห่งดวงประทีป” ยุคสงครามไครเมีย แสงจากประทีปมิใช่เพียงประกายไฟ หากเป็น “แสงแห่งความหวัง” ที่พยาบาลถือไปหาและอยู่เคียงข้างผู้ป่วยในห้วงมืดมนของความเจ็บปวด
  3. เข็มชั้นปี – เครื่องหมายความก้าวหน้าทางวิชาการของนักศึกษา ผู้ผ่านการเรียนรู้รายวิชาพื้นฐานและมีคุณสมบัติตามหลักสูตร พร้อมเข้าสู่สนามจริงในหอผู้ป่วย เข็มชั้นปีจึงเป็นทั้ง “เกียรติยศ” และ “ภาระรับผิดชอบ” ในคราวเดียวกัน

ลำดับพิธี–สายใยเครือข่าย

ไฮไลต์ของงานอยู่ที่การจุดเทียนไนติงเกลและส่งมอบตะเกียงแก่ผู้แทนนักศึกษา ก่อนเข้าสู่ช่วงติดหมวกและประดับเข็มชั้นปีโดยคณาจารย์และตัวแทนภาคีเครือข่ายโรงพยาบาลในจังหวัด อาทิ โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ ซึ่งเป็นหนึ่งในสถานพยาบาลหลักที่รับนักศึกษาเข้าฝึกปฏิบัติ สะท้อน “สะพานเชื่อม” ระหว่างมหาวิทยาลัยและบริการสุขภาพจริง ทำให้การเรียนรู้ไม่ขาดช่วงระหว่างทฤษฎีกับคลินิก

ในงานยังมีการมอบทุนการศึกษา–เกียรติบัตรแก่นักศึกษาที่โดดเด่นด้านจิตอาสาและความรับผิดชอบต่อสังคม พร้อมบทเพลงเครื่องทองเหลืองโดยวง Crru Brass Project สร้างบรรยากาศขรึมขลังและอบอุ่นไปพร้อมกัน

ตัวเลขชวนคิด

  • นักศึกษาที่เข้ารับหมวก–ดวงประทีป–เข็มชั้นปี: 79 คน
  • ช่วงเวลาพิธีที่สถาบันประกาศกำหนดในปฏิทินกิจกรรมประจำปี: 08.30–11.00 น.

ทำไมพิธีนี้จึงสำคัญ “ตอนนี้”?

คำตอบอยู่ที่โจทย์ของระบบสุขภาพและแนวโน้มกำลังคนพยาบาลระดับโลก องค์การอนามัยโลก (WHO) เคยประเมินในรายงาน State of the World’s Nursing 2020 ว่าโลกยังขาดแคลนพยาบาลราว 5.9 ล้านคน โดยกระจุกตัวในประเทศรายได้ปานกลาง–ต่ำ การสร้างและรักษากำลังคนพยาบาลคุณภาพจึงเป็นวาระเร่งด่วนของทุกประเทศ รวมถึงไทยด้วย การที่สถาบันท้องถิ่นอย่างมรภ.เชียงราย ย้ำ “คุณธรรม–จริยธรรม–ความเป็นมืออาชีพ” ตั้งแต่ก้าวแรก ย่อมช่วยวางรากฐานให้การบริการสุขภาพเชิงชุมชนมีความเชื่อถือและเข้าถึงได้จริงในระยะยาว

ยิ่งในเชียงรายจังหวัดที่มีภูมิศาสตร์ชายแดน การเดินทางของแรงงานข้ามแดน และโครงสร้างประชากรชนเผ่า–กลุ่มชาติพันธุ์บทบาทของพยาบาลที่ “สื่อสารได้ เข้าใจบริบทได้ ไวต่อความต่างทางวัฒนธรรม” จึงเป็นหัวใจของการดูแลสุขภาพระดับปฐมภูมิและทุติยภูมิอย่างแท้จริง

สัญญาใจของวิชาชีพ จาก “คำปฏิญาณ” สู่ “การกระทำ”

แก่นแท้ของพิธีไม่ได้หยุดอยู่ที่เครื่องแบบ หากอยู่ที่ “คำปฏิญาณ” และบรรทัดฐานวิชาชีพที่ต้องยึดถือ สภาการพยาบาลไทยระบุกรอบจริยธรรมไว้อย่างชัดเจน อาทิ ความซื่อสัตย์ การเคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ การรักษาความลับผู้ป่วย และการอุทิศตนเพื่อสังคม ซึ่งสอดคล้องกับแนวทาง ICN Code of Ethics for Nurses (2021) ของสภาการพยาบาลนานาชาติที่เน้น “พยาบาลกับผู้รับบริการ–กับการปฏิบัติวิชาชีพ–กับวิชาชีพพยาบาล–กับสุขภาพโลก” เป็นสี่เสาหลักสำคัญในการตัดสินใจและการกระทำของพยาบาลทุกคน (เอกสารฉบับภาษาไทยโดยสถาบันการพยาบาลศรีสวรินทิรา สช.มหิดล และฉบับสากลโดย ICN)

การที่นักศึกษาชั้นปีที่ 2 ได้รับเข็มชั้นปีและเข้าสู่การฝึกปฏิบัติในโรงพยาบาล จึงเท่ากับถือ “ใบเบิกทาง” ที่มาพร้อมพันธสัญญาจะยึดมั่นกรอบจริยธรรมดังกล่าว—จากถ้อยคำในพิธี สู่การกระทำจริงข้างเตียงผู้ป่วย

พิธีกรรมเชื่อมอดีต–ปัจจุบัน สืบสายไนติงเกล

เพื่อให้ “ดวงประทีป” มีชีวิตในใจคนรุ่นใหม่ รายละเอียดของพิธีในไทยหลายสถาบันยังคงยึดโยงกับประวัติศาสตร์ไนติงเกลในฐานะผู้บุกเบิกการพยาบาลสมัยใหม่สัญลักษณ์ “สุภาพสตรีแห่งดวงประทีป” ที่ถือโคมไฟเดินตรวจทหารบาดเจ็บยามวิกาล กลายเป็นแรงบันดาลใจให้นักศึกษาพยาบาลทั่วโลกใช้ “แสง” เป็นเครื่องหมายของความหวัง ความเอื้ออาทร และความไม่ทอดทิ้งผู้ป่วยในห้วงยากลำบาก (สาระอ้างอิงจากสารานุกรมบริแทนนิกา).

ในระดับสถาบัน มรภ.เชียงรายจัดพิธีมอบหมวก–ดวงประทีป–เข็มชั้นปีอย่างต่อเนื่องมายาวนาน ทั้งในมิติ “พิธีหลวง” และ “ชีวิตนักศึกษา” สื่อสาธารณะของมหาวิทยาลัยและคณะพยาบาลศาสตร์สะท้อนภาพความต่อเนื่องดังกล่าวไว้หลายครั้งในปีที่ผ่านมา ช่วยยืนยันว่า พิธีนี้คือ “วัฒนธรรมองค์กร” ที่สถาบันยึดถือเพื่อพัฒนาคนก่อนปล่อยสู่สนามจริงของการพยาบาลคลินิกและชุมชน

ความหมายเชิงระบบ เมื่อพิธีปั้น “คน” ให้รองรับเมือง

  1. สร้างมาตรฐานความเป็นมืออาชีพ – เมื่อก้าวสู่หอผู้ป่วย นักศึกษาจะต้องเผชิญสถานการณ์จริงที่ซับซ้อน การมี “กรอบคิด–กรอบใจ” ที่มาจากพิธีและหลักจริยธรรมชัดเจน ช่วยให้การตัดสินใจในพื้นที่คลุมเครือทำได้อย่างเป็นระบบและปลอดภัยยิ่งขึ้น
  2. เสริมสมรรถนะอ่อน (soft skills) – พยาบาลต้องสื่อสารกับผู้ป่วย ครอบครัว ทีมสหวิชาชีพ และชุมชน พิธีและการเตรียมความพร้อมก่อนเข้าคลินิกช่วยปลูกฝังความสุภาพ อดทน เห็นอกเห็นใจ และพร้อมเรียนรู้ตลอดชีวิต—คุณสมบัติที่ไม่อาจวัดได้ด้วยคะแนนสอบเพียงอย่างเดียว
  3. เชื่อมมหาวิทยาลัย–ชุมชน–โรงพยาบาล – รายละเอียดพิธีที่มีตัวแทนโรงพยาบาลหลักของจังหวัดเข้าร่วม สะท้อนความร่วมมือเชิงโครงสร้างระหว่างสถาบันผลิตกับหน่วยบริการ ซึ่งเป็นหัวใจของการแก้โจทย์กำลังคนสุขภาพอย่างยั่งยืนในภูมิภาค
  4. รับมือบริบทชายแดน – เชียงรายมีความต้องการบริการสุขภาพหลากหลาย พยาบาลที่เข้าใจวัฒนธรรมและภาษาท้องถิ่นจึงทำหน้าที่เป็น “สะพานใจ” ของระบบบริการได้ดีขึ้น โดยเฉพาะในบริการปฐมภูมิ การสร้างประสบการณ์ฝึกปฏิบัติในพื้นที่จริงตั้งแต่ต้นช่วยให้บัณฑิต “พร้อมใช้” มากขึ้นเมื่อสำเร็จการศึกษา

เล่าเรื่องด้วยตัวเลข จากรหัสวิชาสู่ชั่วโมงจริง

  • ผ่านหลักสูตรทฤษฎีตามกรอบสภาการพยาบาล  เข้าสู่การฝึกภาคปฏิบัติในหอผู้ป่วย (clinical placement) ภายใต้การนิเทศของคณาจารย์และพี่เลี้ยงพยาบาล
  • ประกอบพิธีกลางสถาบัน (เช้า–สาย) เพื่อให้ออกเดินทางสู่ภาคสนามทันรอบตารางฝึก
  • ตอกย้ำความร่วมมือกับโรงพยาบาลคู่ภาคี ซึ่งตามโครงสร้างปกติมักเป็นโรงพยาบาลจังหวัด/โรงพยาบาลชุมชนในเครือข่าย เพื่อให้เกิด “วงจรเรียนรู้–ปรับปรุงบริการ” อย่างต่อเนื่อง

แม้ในพิธีจะไม่ทยอยประกาศตัวเลขกำลังคนระดับชาติ แต่หากวางไว้บนฉากหลังรายงาน WHO ที่ชี้ปัญหา “ขาดแคลนพยาบาลทั่วโลกหลายล้านคน” การได้เห็น “คนรุ่นใหม่” สวมหมวก รับดวงประทีป และกลัดเข็มชั้นปี จึงเป็นภาพที่มีทั้งความหวังและความรับผิดชอบซ่อนอยู่—สำหรับตัวนักศึกษา ครอบครัว สถาบัน และสังคมร่วมกัน.

จากห้องพิธีสู่หอผู้ป่วย—รักษา “ไฟในใจ” ให้สว่างยาวนาน

พิธีมอบหมวก–ดวงประทีป–เข็มชั้นปีของคณะพยาบาลศาสตร์ มรภ.เชียงราย ในปีการศึกษา 2568 เป็นมากกว่าพิธีเฉลิมฉลอง มันคือ “สัญญาสาธารณะ” ที่บอกกับสังคมว่า คนรุ่นใหม่ 79 คนพร้อมออกเดินทางสู่พื้นที่จริงของการดูแลสุขภาพ โดยมีแสงประทีปเป็นสัญลักษณ์เตือนใจ และมีเข็มชั้นปีเป็นเครื่องหมายความรับผิดชอบ

จากนี้ไป ทุกชั่วโมงในหอผู้ป่วยจะเป็นบททดสอบจริงของความรู้ ทักษะ และคุณธรรมที่ได้รับการหล่อหลอมมา หากรักษา “ไฟในใจ” ให้สว่างไสวเหมือนในพิธีได้ยาวนาน พยาบาลรุ่นนี้ย่อมจะเป็นหนึ่งในเสาหลักที่ทำให้ระบบสุขภาพของเชียงรายและภาคเหนือ “อบอุ่น–เข้าถึง–เชื่อถือได้” มากขึ้น

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย
  • มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย
  • โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์
  • International Council of Nurses (ICN)
  • องค์การอนามัยโลก (WHO) / Hfocus (สื่อสุขภาพ)
  • สถาบันการพยาบาลศรีสวรินทิรา สภากาชาดไทย – คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล (เอกสารจรรยาบรรณภาษาไทย)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

มรภ.เชียงรายเปิดศักราชใหม่! ทุ่ม 78 ล้าน สร้างอาคารคณะมนุษยศาสตร์ฯ พร้อมให้บริการปี 69

มรภ.เชียงราย เปิดศักราชใหม่! อาคารคณะมนุษยศาสตร์ฯ หลังใหม่ มูลค่ากว่า 78 ล้าน พร้อมให้บริการปี 2569

เชียงราย, 5 สิงหาคม 2568 – ในยุคที่การศึกษาเป็นรากฐานสำคัญของการพัฒนาประเทศ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย (มรภ.ชร.) กำลังเขียนบทใหม่แห่งความก้าวหน้า ด้วยโครงการก่อสร้าง “อาคารการศึกษาและอเนกประสงค์หลังใหม่” สำหรับคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ ที่มีมูลค่าการลงทุนกว่า 78.39 ล้านบาท

เมื่อย้อนกลับไปเมื่อ 50 ปีที่แล้ว อาคารหมายเลข 1 ของคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ได้ถือกำเนิดขึ้น เป็นสักขีพยานแห่งการเรียนรู้ของนักศึกษารุ่นแล้วรุ่นเล่า แต่เวลาที่ผ่านไปกว่าครึ่งศตวรรษ ได้ทิ้งร่องรอยแห่งความเก่าแก่ไว้บนผนังและโครงสร้างของอาคารแห่งนี้ จนถึงจุดที่ไม่สามารถรองรับภารกิจทางการศึกษาในยุคปัจจุบันได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ความท้าทายที่ไม่อาจมองข้าม

วันนี้ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มรภ.ชร. ต้องรับผิดชอบต่อชีวิตการเรียนรู้ของผู้คนมากกว่า 2,400 คน ประกอบด้วยนักศึกษาไทยมากกว่า 2,100 คน นักศึกษาต่างชาติมากกว่า 200 คน คณาจารย์มากกว่า 78 คน และบุคลากรสนับสนุนมากกว่า 11 คน ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงการเติบโตอย่างต่อเนื่องของมหาวิทยาลัยฯ โดยเฉพาะในด้านการรับนักศึกษาต่างชาติที่เพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก

“อาคารเดิมที่มีอายุการใช้งาน 50 ปี มีสภาพทรุดโทรมอย่างมีนัยสำคัญ และมีพื้นที่ไม่เพียงพอต่อการรองรับจำนวนผู้ใช้งานจริง” ดังที่ปรากฏในรายงานการประเมินสภาพอาคาร สถานการณ์นี้ไม่เพียงส่งผลต่อคุณภาพการจัดการเรียนการสอน แต่ยังเป็นอุปสรรคโดยตรงต่อประสิทธิภาพการดำเนินงานของคณะฯ

ปัจจุบันคณะฯ เปิดสอนหลักสูตรระดับปริญญาตรีถึงมากกว่า 11 หลักสูตร และระดับบัณฑิตศึกษามากกว่า 3 หลักสูตร การขยายตัวของหลักสูตรเหล่านี้จำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนจากโครงสร้างพื้นฐานที่เพียงพอและทันสมัย เพื่อให้สามารถส่งมอบการศึกษาที่มีคุณภาพแก่นักศึกษาได้อย่างเต็มศักยภาพ

วิสัยทัศน์สู่ “มหาวิทยาลัยอัจฉริยะ”

โครงการก่อสร้างอาคารใหม่นี้ไม่ใช่เพียงการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า แต่เป็นการลงทุนเชิงกลยุทธ์ที่สำคัญเพื่อขับเคลื่อนมหาวิทยาลัยฯ สู่การเป็น “มหาวิทยาลัยอัจฉริยะ” ในกรอบนโยบาย “ประเทศไทย 4.0” ที่เน้นนวัตกรรมและเทคโนโลยี

มหาวิทยาลัยฯ มองเห็นโอกาสสำคัญในการยกระดับคุณภาพการศึกษาโดยรวม และเสริมสร้างศักยภาพในการดึงดูดนักศึกษาต่างชาติจำนวนมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากภาคใต้ของประเทศจีน อาคารใหม่นี้ถูกกำหนดให้เป็นศูนย์ความเป็นเลิศเฉพาะทางสำหรับนักศึกษาที่ศึกษาด้านภาษาศาสตร์และวิจิตรศิลป์

ความเชี่ยวชาญเฉพาะทางนี้เป็นส่วนสำคัญในการสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงของมหาวิทยาลัยฯ ไปสู่การเป็น “มหาวิทยาลัยอัจฉริยะ” ซึ่งหมายถึงการบูรณาการเทคโนโลยีขั้นสูงและวิธีการเรียนรู้เชิงนวัตกรรมภายในสิ่งอำนวยความสะดวกแห่งใหม่

กระบวนการที่โปร่งใสและตรวจสอบได้

ความน่าเชื่อถือของโครงการนี้สะท้อนได้จากกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างที่โปร่งใสและเป็นไปตามมาตรฐานสากล โดยแบ่งออกเป็นสองระยะที่ชัดเจน ได้แก่ การจ้างบริการออกแบบ และการจ้างก่อสร้าง

การจัดซื้อจัดจ้างทั้งสองระยะดำเนินการผ่านระบบจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐด้วยอิเล็กทรอนิกส์ (e-Government Procurement: e-GP) ซึ่งเป็นการรับรองความโปร่งใสและสามารถตรวจสอบได้ในทุกขั้นตอน

สำหรับงบประมาณค่าจ้างบริการออกแบบ มีมูลค่าประมาณ 2,283,167.77 บาท โดยใช้เงินสำรองของมหาวิทยาลัยฯ ในปีงบประมาณ 2566 ส่วนงบประมาณค่าก่อสร้างมีมูลค่าประมาณ 76,105,592.39 บาท ซึ่งจะมีการลงนามสัญญาเมื่อได้รับการอนุมัติเงินจากงบประมาณรายได้ประจำปีงบประมาณ 2567

มหาวิทยาลัยฯ ได้ยึดหลักเกณฑ์คุณสมบัติและการประเมินที่เข้มงวด ทั้งผู้ให้บริการออกแบบและก่อสร้างจะต้องมีคุณสมบัติตามกฎหมาย มีความมั่นคงทางการเงิน และมีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพและประสบการณ์ที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะสำหรับผู้ให้บริการออกแบบ จะต้องมีประสบการณ์ในการออกแบบอาคารสาธารณะมูลค่าไม่น้อยกว่า 38 ล้านบาท

ผลกระทบที่คาดหวังต่อชุมชนและสังคม

เมื่อโครงการนี้แล้วเสร็จและเปิดให้บริการในปี 2569 ประชาชนทั่วไปจะได้รับประโยชน์ในหลายมิติ ทั้งในด้านการศึกษา เศรษฐกิจ และสังคม

ในด้านการศึกษา อาคารใหม่จะช่วยยกระดับคุณภาพการเรียนการสอน เสริมสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้ และสร้างโอกาสให้นักศึกษาได้เข้าถึงเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ทันสมัย สิ่งนี้จะส่งผลต่อคุณภาพบัณฑิตที่จบออกไป ซึ่งจะเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศต่อไป

ในด้านเศรษฐกิจ การดึงดูดนักศึกษาต่างชาติมากขึ้นจะช่วยสร้างรายได้ให้กับชุมชนท้องถิ่น ทั้งจากค่าใช้จ่ายในการครองชีพ ที่พัก และการท่องเที่ยว นอกจากนี้ การเป็นศูนย์ความเป็นเลิศด้านภาษาศาสตร์และวิจิตรศิลป์ยังจะช่วยส่งเสริมอุตสาหกรรมสร้างสรรค์และการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมในจังหวัดเชียงราย

ในด้านสังคม มหาวิทยาลัยที่มีคุณภาพจะช่วยลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาระหว่างกรุงเทพฯ และภูมิภาค ทำให้เยาวชนในพื้นที่ได้เข้าถึงการศึกษาที่มีมาตรฐานสากลโดยไม่จำเป็นต้องเดินทางไปศึกษายังเมืองใหญ่

การคลี่คลายปมปัญหาและการก้าวไปข้างหน้า

ปมปัญหาหลักที่โครงการนี้มาแก้ไขคือการขาดแคลนพื้นที่การเรียนรู้ที่เหมาะสมและทันสมัย ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาคุณภาพการศึกษา การแก้ไขปัญหานี้ไม่ใช่เพียงการสร้างอาคารใหม่ แต่เป็นการสร้างระบบนิเวศแห่งการเรียนรู้ที่ครบครัน

อาคารใหม่จะไม่เพียงแต่ทดแทนพื้นที่เดิมที่ไม่เพียงพอ แต่ยังเป็นการลงทุนเพื่อเพิ่มศักยภาพในการรองรับการเติบโตในอนาคต สิ่งนี้สำคัญอย่างยิ่งในยุคที่การศึกษาต้องปรับตัวอย่างรวดเร็วเพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงานและการพัฒนาประเทศ

การเชื่อมโยงกับยุทธศาสตร์ “ประเทศไทย 4.0” ยังแสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ระยะยาวที่มองเห็นความสำคัญของการศึกษาในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานนวัตกรรม การสร้างบัณฑิตที่มีทักษะในศตวรรษที่ 21 รวมถึงการเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ของภูมิภาคอาเซียน

มิติการพัฒนาที่ยั่งยืน

โครงการนี้ไม่เพียงแต่แก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า แต่ยังเป็นการวางรากฐานสำหรับการพัฒนาที่ยั่งยืนในระยะยาว การออกแบบอาคารที่คำนึงถึงประสิทธิภาพการใช้พลังงาน สิ่งแวดล้อม และความยืดหยุ่นในการใช้งาน จะช่วยให้อาคารนี้สามารถรองรับการเปลี่ยนแปลงในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การเป็นศูนย์ความเป็นเลิศด้านภาษาศาสตร์และวิจิตรศิลป์ยังสอดคล้องกับแนวโน้มโลกที่ให้ความสำคัญกับเศรษฐกิจสร้างสรรค์และการอนุรักษ์วัฒนธรรม สิ่งนี้จะช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับภูมิปัญญาท้องถิ่นและเสริมสร้างอัตลักษณ์ของจังหวัดเชียงรายในฐานะศูนย์กลางทางวัฒนธรรมของภาคเหนือ

โครงการก่อสร้างอาคารการศึกษาและอเนกประสงค์หลังใหม่สำหรับคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย จึงเป็นมากกว่าการสร้างอาคาร แต่เป็นการสร้างอนาคตที่สดใสให้กับการศึกษาไทย การลงทุนกว่า 78 ล้านบาทนี้คาดว่าจะส่งผลกระทบเชิงบวกต่อการพัฒนาภูมิภาคและความก้าวหน้าทางปัญญาอย่างยั่งยืนต่อไป

เมื่อปี 2569 อาคารแห่งใหม่นี้จะเปิดประตูต้อนรับนักศึกษารุ่นใหม่ ในฐานะสัญลักษณ์แห่งการเปลี่ยนแปลงและความก้าวหน้าของการศึกษาไทย สร้างความหวังใหม่ให้กับเยาวชนที่จะเป็นพลังสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศสู่อนาคตที่เจริญรุ่งเรือง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • รายงานการประเมินสภาพอาคาร คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย
  • ข้อมูลการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ ระบบ e-Government Procurement (e-GP)
  • รายละเอียดโครงการก่อสร้างอาคารการศึกษาและอเนกประสงค์ มรภ.เชียงราย
  • แผนยุทธศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย ปีงบประมาณ 2566-2570
  • นโยบาย “ประเทศไทย 4.0” กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

คืนโอกาสให้เด็กเชียงราย! ม.ราชภัฏฯ-ม.จีน ร่วมฟื้นฟูโรงเรียนหลังน้ำท่วม

น้ำใจจากจีนถึงเชียงราย ม.ราชภัฏเชียงรายผนึกกำลัง Pu’er University ฟื้นฟูการศึกษา 13 โรงเรียนที่ถูกน้ำท่วมด้วย ‘สื่อการเรียนรู้ผ่านการเล่น’

เชียงราย, 4 สิงหาคม 2568 – รอยยิ้มหลังวิกฤตจุดเริ่มต้นของการฟื้นฟูจากมหาอุทกภัย แม้เวลาจะผ่านจากเหตุการณ์อุทกภัยครั้งใหญ่ที่ถาโถมเข้าใส่จังหวัดเชียงรายในปี 2567 ไปเกือบปีแล้ว แต่ภาพความเสียหาย โดยเฉพาะในภาคการศึกษายังคงชัดเจน โรงเรียนหลายแห่งต้องสูญเสียทั้งอุปกรณ์ ห้องเรียน สื่อการสอน และความมั่นใจในอนาคตของเด็กๆ ซึ่งเป็นอนาคตของชาติ อย่างไรก็ตาม วันนี้ ความหวังได้หวนคืนสู่ห้องเรียนอีกครั้ง เมื่อ “มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย” (มร.ชร.) ได้จับมือกับ “Pu’er University” สาธารณรัฐประชาชนจีน ส่งมอบ “สื่อการเรียนรู้ผ่านการเล่น” สู่โรงเรียน 13 แห่งในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ ให้เด็กๆ ได้กลับมาสัมผัสประสบการณ์การเรียนรู้ที่มีคุณภาพ

ภารกิจฟื้นฟูการศึกษาหลังน้ำลด

เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2568 ณ ห้องประชุมพญามังราย สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงราย เขต 1 (สพป.เชียงราย เขต 1) ได้มีพิธีส่งมอบชุดสื่อการเรียนรู้โดยมีนายนิคม อัสสรัตนะสุขิน ผู้เชี่ยวชาญ และ ดร.ธีรวัฒน์ วังมณี ผู้อำนวยการกองพัฒนานักศึกษา พร้อมตัวแทนนักศึกษา จาก มร.ชร. ส่งมอบให้กับนายมรกต อนุเคราะห์ ผู้อำนวยการ สพป.เชียงราย เขต 1 เพื่อนำไปจัดสรรแก่โรงเรียน 13 แห่ง อันได้แก่ โรงเรียนผาขวางวิทยา, บ้านห้วยทรายขาว, บ้านน้ำลัด, บ้านเวียงกือนา, บ้านป่ายางหลวง, ห้วยพลูพิทยา, บ้านโป่งน้ำตก, บ้านป่ารวก (คุรุราษฎร์สงเคราะห์), ชุมชนบ้านแม่ข้าวต้มหลวง, บ้านผาเสริฐ, บ้านป่าสักไก่, บ้านถ้ำผาตอง และบ้านนางแลใน

เด็กนักเรียนและครูจากโรงเรียนที่ได้รับผลกระทบต่างซาบซึ้งในน้ำใจและความมุ่งมั่นของทั้งสองสถาบันอุดมศึกษาที่เล็งเห็นถึงหัวใจของการฟื้นฟู นั่นคือ “การคืนโอกาสการเรียนรู้ที่มีคุณภาพให้กับเด็กทุกคน” ซึ่งเหนือกว่าการบริจาคเพียงเพื่อบรรเทาทุกข์ระยะสั้น แต่เป็นการเสริมสร้างรากฐานทางการศึกษาในระยะยาว

สื่อการเรียนรู้ผ่านการเล่น นวัตกรรมแห่งความหวัง

หัวใจของการสนับสนุนในครั้งนี้อยู่ที่ “Learning Through Play” หรือ “การเรียนรู้ผ่านการเล่น” ซึ่งได้รับการยอมรับในระดับสากลว่าเป็นเครื่องมือสำคัญในการเสริมสร้างทักษะศตวรรษที่ 21 ไม่ว่าจะเป็นทักษะทางสังคม อารมณ์ การคิดวิเคราะห์ การสื่อสาร หรือการทำงานเป็นทีม นอกจากนี้ การเล่นยังช่วยลดความเครียดและความวิตกกังวลของเด็กที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติ เพิ่มพลังบวกและสร้างพื้นที่ปลอดภัยให้กับพวกเขาในการกลับคืนสู่การเรียนรู้

ตัวแทนครูในพิธีส่งมอบได้เล่าว่า “ตั้งแต่เกิดอุทกภัย เด็กๆ ขาดอุปกรณ์และของเล่นที่ส่งเสริมจินตนาการ ครูเองก็รู้สึกขาดแรงบันดาลใจในการจัดกิจกรรม เมื่อได้รับสื่อการเรียนรู้ชุดใหม่ ทุกคนต่างตื่นเต้น เด็กๆ กลับมาสนุกกับการเรียนมากขึ้น เห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของพวกเขาแล้ว รู้สึกได้ถึงพลังบวกที่ค่อยๆ กลับคืนมา”

บทพิสูจน์พลังความร่วมมือไทย-จีน

การร่วมมือกันระหว่าง มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย และ Pu’er University ไม่ใช่เพียงแค่การบริจาคเพื่อการกุศล แต่ยังเป็นสะพานสำคัญของการสร้างสัมพันธ์ทางวิชาการและวัฒนธรรมระหว่างไทย-จีน ทั้งสองสถาบันได้นำจุดแข็งของแต่ละฝ่ายมาผสมผสานกัน โดย มร.ชร. เข้าใจลึกซึ้งถึงบริบทชุมชน และ Pu’er University มีศักยภาพในการสนับสนุนสื่อการเรียนรู้รุ่นใหม่ การจับมือกันในครั้งนี้จึงทำให้ความช่วยเหลือมีความตรงจุดและเกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม

ไม่เพียงแค่นั้น โครงการนี้ยังเปิดโอกาสให้เกิดการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ทั้งด้านนวัตกรรมการศึกษา การพัฒนาเด็กและเยาวชน รวมถึงการขยายเครือข่ายเพื่อรองรับความท้าทายที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

ผลกระทบที่ยิ่งใหญ่ต่อเด็กเชียงรายและสังคม

แม้สื่อการเรียนรู้แต่ละชิ้นอาจดูเรียบง่าย แต่เมื่อรวมกันแล้วกลับมีอานุภาพมหาศาลในการเปลี่ยนชีวิตเด็กหลายร้อยคนให้กลับมามีไฟในการเรียนรู้ ปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงหลังวิกฤต และพร้อมเผชิญความท้าทายใหม่ๆ ข้อมูลจาก สพป.เชียงราย เขต 1 ระบุว่า เด็กนักเรียนใน 13 โรงเรียนที่ได้รับสื่อการสอนในครั้งนี้กว่า 1,400 คนจะได้รับประโยชน์โดยตรง ขณะที่ครูผู้สอนสามารถนำเครื่องมือดังกล่าวไปต่อยอดพัฒนาหลักสูตรให้ทันสมัยขึ้นได้

ฟื้นฟู-คืนโอกาส-สร้างอนาคต

สิ่งที่โครงการนี้สะท้อนออกมาชัดเจนคือ บทบาทของสถาบันอุดมศึกษาในฐานะ “ตัวกลาง” ของการฟื้นฟูทางสังคม ที่สามารถขับเคลื่อนความร่วมมือจากนานาชาติมาสู่ชุมชน โดยไม่เพียงเติมเต็มทรัพยากรที่ขาดแคลน แต่ยังปลุกพลังและความหวังให้กับผู้ได้รับผลกระทบ การนำ “Learning Through Play” มาเป็นแนวทางแก้ไขปัญหาการศึกษาในภาวะวิกฤต ยังเป็นโมเดลตัวอย่างที่ขยายผลต่อไปได้ในพื้นที่อื่นๆ ที่ประสบภัย

ไม่เพียงแค่เด็กเท่านั้นที่ได้รับประโยชน์ ครูและชุมชนก็กลับมามีความมั่นใจในศักยภาพของตนเอง และมีส่วนร่วมในการสร้างสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ที่มีความหมาย ซึ่งจะกลายเป็นต้นทุนสำคัญสำหรับการพัฒนาอย่างยั่งยืนของเชียงรายต่อไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงราย เขต 1 (สพป.เชียงราย เขต 1)

     

  • มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย

  • มหาวิทยาลัย Pu’er University สาธารณรัฐประชาชนจีน

  • ข้อมูลข่าวจากสื่อประชาสัมพันธ์ สพป.เชียงราย เขต 1

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เชียงราย-ม.ราชภัฏ-ครูบาอริยชาติผนึก! “เพชรล้านนา” มอบทุน 1.7 ล้าน ปั้นพลเมืองคุณภาพ

 “เพชรล้านนา 2568” กลับมาอย่างยิ่งใหญ่! ครูบาอริยชาติ เทศบาลนครเชียงราย และมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย ผนึกกำลังเฟ้นหา “คนดี-คนเก่ง” มอบทุนการศึกษากว่า 1.7 ล้านบาท จุดไฟความหวังให้เยาวชนภาคเหนือ

เชียงราย, 21 กรกฎาคม 2568 – หลังหยุดชะงักจากวิกฤตโควิด-19 และเหตุการณ์ไฟไหม้วัดแสงแก้วโพธิญาณที่สร้างความสูญเสียต่อศรัทธาชาวพุทธในพื้นที่ โครงการ “เพชรล้านนา” กลับมาอีกครั้งในปี 2568 อย่างทรงพลัง โดยได้รับการขับเคลื่อนจากความร่วมมือระหว่าง พระภาวนารัตนญาณ วิ. (ครูบาอริยชาติ อริยจิตฺโต) เจ้าอาวาสวัดแสงแก้วโพธิญาณ จังหวัดเชียงราย, นายวันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย และผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ศรชัย มุ่งไธสง อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย

พิธีแถลงข่าวเปิดตัวโครงการและลงนามข้อตกลงความร่วมมือระหว่างสามหน่วยงานหลักจัดขึ้นที่ศูนย์ประชุมเทศบาลนครเชียงราย ท่ามกลางบรรยากาศอบอุ่นและความคาดหวังจากผู้แทนเครือข่ายองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ภาคการศึกษา ศาสนา ผู้ปกครอง ตลอดจนสื่อมวลชนและเยาวชนใน 8 จังหวัดภาคเหนือ

จุดยืน “เพชรล้านนา” สร้างคนดีควบคู่คนเก่ง สู่การพัฒนาสังคมที่ยั่งยืน

รองศาสตราจารย์ ดร.ศรชัย มุ่งไธสง กล่าวย้ำถึงเป้าหมายสูงสุดของโครงการว่า “มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงรายดำเนินงานโครงการเพชรล้านนาอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2560 ด้วยความเมตตาของครูบาอริยชาติและการสนับสนุนจากเทศบาลนครเชียงราย โดยเราเน้นการคัดเลือกเยาวชนที่มีความประพฤติดี มีจิตอาสา เป็นแบบอย่างแก่สังคม พร้อมกับความเป็นเลิศทางวิชาการ เพื่อหล่อหลอม ‘คนดี คนเก่ง’ ที่พร้อมจะเติบโตเป็นพลเมืองคุณภาพของท้องถิ่นและประเทศ”

ความท้าทายในการคัดเลือก “เพชรล้านนา” จึงไม่ใช่เพียงการประเมินผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษา แต่ยังต้องค้นหาเยาวชนที่มีหัวใจงดงาม รู้จักเสียสละ มีจิตสาธารณะ และสามารถนำความรู้กลับไปพัฒนาชุมชน สอดคล้องกับแนวทาง “บ่มเพาะคุณธรรม-ปัญญา” ของครูบาอริยชาติ และหลักคิด “พัฒนาคน พัฒนาชาติ” ที่ยังยืนหยัดในทุกบริบทสังคมยุคใหม่

เทศบาลนครเชียงราย ขยายโอกาส-ลดเหลื่อมล้ำทางการศึกษา

นายวันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย กล่าวเสริมว่า เทศบาลมุ่งมั่นที่จะสร้างเชียงรายให้เป็น “นครแห่งการศึกษา” ผ่านการผนึกเครือข่ายกับสถาบันการศึกษาท้องถิ่นและครูบาอริยชาติในการกระจายโอกาสทางการศึกษาให้ทั่วถึง “เมื่อครูบาอริยชาติริเริ่มโครงการเพชรล้านนา เทศบาลฯ จึงพร้อมผลักดันให้ขยายสู่ 8 จังหวัดภาคเหนือ เพราะเราเชื่อว่าการสร้าง ‘คนดี’ ที่พร้อมทั้งจริยธรรมและความรู้ จะเป็นรากฐานของการพัฒนาที่ยั่งยืน พร้อมทั้งมอบทุนการศึกษาฟรีตลอดหลักสูตรระดับอุดมศึกษา จัดสร้างหอพักนักเรียนที่ได้มาตรฐาน และพัฒนาสวัสดิการรองรับ”

เทศบาลนครเชียงรายยืนยันจะขยายเครือข่ายและแรงสนับสนุนไปสู่ 16 จังหวัดภาคเหนือในอนาคต ด้วยเป้าหมายลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาและสร้างสังคมแห่งโอกาสอย่างแท้จริง

กลไกคัดเลือก “โปร่งใส-รอบด้าน” กว่า 272 ทุน รวม 1.7 ล้านบาท

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ยิ่งศักดิ์ เพชรนิล รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย เปิดเผยว่า โครงการเพชรล้านนา 2568 เปิดรับสมัครเยาวชนใน 8 จังหวัดภาคเหนือ ได้แก่ เชียงราย, เชียงใหม่, ลำปาง, ลำพูน, พะเยา, แพร่, น่าน, และแม่ฮ่องสอน แบ่งกลุ่มเป้าหมายเป็นระดับประถมศึกษา มัธยมศึกษาตอนต้น และมัธยมศึกษาตอนปลาย คัดเลือกเข้มข้น 3 รอบ ได้แก่

  1. รอบคัดเลือกเบื้องต้น: โรงเรียนเสนอรายชื่อเยาวชนที่มีศักยภาพ ทั้งด้านวิชาการและคุณธรรม กลุ่มสาระละไม่เกิน 5 คน
  2. รอบทดสอบความรู้: มหาวิทยาลัยร่วมกับเทศบาลฯ จัดสอบวัดผลวิชาการ (คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ภาษาอังกฤษ พระพุทธศาสนา ศาสตร์ไทย และในระดับมัธยมปลายเพิ่ม ฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา)
  3. รอบพิจารณาความเหมาะสม: คณะกรรมการคัดเลือกตามคุณสมบัติครบถ้วน

รวมรางวัลทุนการศึกษาทั้งสิ้น 272 รางวัล มูลค่ารวมกว่า 1,785,000 บาท แบ่งเป็นรางวัล “เพชรล้านนา” 136 รางวัล (ทั้งประเภทชนะเลิศ รองชนะเลิศ และชมเชย) และรางวัลเพชรล้านนาระดับจังหวัดอีก 136 รางวัล

โดยรับสมัครถึง 30 กันยายน 2568 เชิญชวนผู้บริหารโรงเรียน และภาคีเครือข่ายร่วมกันส่งเสริมเยาวชนสมัครเข้าร่วมคัดเลือก เพื่อสืบสานเจตนารมณ์ “ครูบาอริยชาติ” ในการกระจายโอกาสอย่างเท่าเทียม

 “เพชรล้านนา” โมเดลต้นแบบ สร้างชาติด้วย “คนดี-คนเก่ง”

โครงการเพชรล้านนา 2568 เป็นกรณีศึกษาชั้นดีของการผนึกกำลังทุกภาคส่วนในการพัฒนาเยาวชน โดยเฉพาะการบูรณาการบทบาทของศาสนา การศึกษา และท้องถิ่น จุดเด่นที่สำคัญคือ

  • เน้นคุณธรรมควบคู่วิชาการ: ให้ความสำคัญกับการบ่มเพาะจิตอาสา ความรับผิดชอบ และแบบอย่างที่ดี โดยไม่มองข้ามความเก่งเชิงวิชาการ
  • ขยายเครือข่ายสู่ภูมิภาค: การประสานมหาวิทยาลัยราชภัฏหลายแห่งและเทศบาลนครใน 8 จังหวัด สะท้อนพลังร่วมที่ยั่งยืน
  • สนับสนุนต่อเนื่องจากพระศาสนา: ครูบาอริยชาติอุทิศทุนกว่า 1.7 ล้านบาท เป็นพลังใจให้สังคมมุ่งมั่นสืบทอดโครงการ
  • กลไกคัดเลือกโปร่งใส: พิจารณารอบด้าน ไม่ยึดติดแค่ผลการเรียน แต่ดูที่ศักยภาพและความเหมาะสมจริง

ความท้าทาย อยู่ที่การประชาสัมพันธ์ให้เข้าถึงเยาวชนชนบทห่างไกล และการติดตามผลความก้าวหน้าของเด็กทุนหลังรับรางวัลแล้ว เพื่อประเมินความสำเร็จและต่อยอดการสนับสนุนในอนาคต

โครงการเพชรล้านนา 2568 จึงมิใช่เพียงการมอบทุน แต่เป็นกลไกสร้าง “พลเมืองคุณภาพ” ที่มีทั้งคุณธรรมและปัญญา เป็นแรงบันดาลใจแก่ท้องถิ่นและประเทศชาติ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • วัดแสงแก้วโพธิญาณ
  • เทศบาลนครเชียงราย
  • มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
HEALTH

Soft Power สุขภาพนำร่อง! เชียงรายเปิด “Wellness City” ตอบรับเมกะเทรนด์โลก

เชียงรายกับ Soft Power ขับเคลื่อนการท่องเที่ยวและสุขภาพสู่ระดับโลก

เชียงราย, 20 กรกฎาคม 2568  – เมื่อโลกเข้าสู่ยุคแห่งการแข่งขันด้วยพลังอ่อน (Soft Power) การที่จังหวัดเชียงรายกำลังยืนอยู่บนจุดเปลี่ยนสำคัญในการเปลี่ยนผ่านจาก “เมืองท่องเที่ยว” สู่ “เมืองแห่งสุขภาพ” (Wellness City) อาจเป็นบทตอบของความต้องการตลาดโลกที่กำลังหันมาให้ความสำคัญกับเรื่องสุขภาวะและการใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพมากขึ้น

ผลสำรวจจากสถาบันศิโรจน์ผลพันธินร่วมกับสวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต ที่เพิ่งเปิดเผยเมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2568 ได้ส่องแสงให้เห็นถึงศักยภาพที่ไทยพึงมีในการใช้ Soft Power เป็นเครื่องมือขับเคลื่อนเศรษฐกิจสู่ระดับโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ธุรกิจสุขภาพ ความงาม และการดูแลสุขภาพแบบไทย” ที่ได้คะแนนสูงสุดถึง 58.24% ในฐานะ Soft Power ที่มีศักยภาพสูงสุดในการผลักดันเศรษฐกิจไทยในอนาคต

การสำรวจครั้งนี้ดำเนินการกับกลุ่มตัวอย่างจำนวน 1,128 คน ทั่วประเทศ ระหว่างวันที่ 15-18 กรกฎาคม 2568 ผ่านทั้งแบบสำรวจออนไลน์และการสำรวจภาคสนาม ซึ่งผลที่ได้มิเพียงแต่สะท้อนถึงความคิดเห็นของประชาชนไทยเท่านั้น แต่ยังเป็นเครื่องชี้ทิศทางการพัฒนายุทธศาสตร์ Soft Power ของประเทศในระยะยาวด้วย

จากฝันสู่ความเป็นจริงของ Wellness City

ในขณะที่ผลสำรวจชี้ให้เห็นถึงศักยภาพของธุรกิจสุขภาพบนระดับชาติ เชียงรายกลับเป็นจังหวัดที่กำลังนำเครื่องในทางปฏิบัติ ด้วยการเปิดตัว “Chiang Rai Wellness City 2025” อย่างเป็นทางการเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายเป็นผู้นำทัพในการขับเคลื่อนโครงการครั้งสำคัญนี้

“เชียงรายเมืองแห่งสุขภาพ 2025 (Chiang Rai Wellness city bolet)” ไม่ใช่เพียงแค่สโลแกนหรือแนวคิดเท่านั้น แต่เป็นโครงการที่มีการออกแบบเส้นทางท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Wellness Trail) ที่ครอบคลุม 2 เส้นทางหลัก โดยเส้นทางที่ 2 จะผ่าน “น้ำพุร้อนป่าตึง – ร้านชอบ บราสเซอรี่ เชียงราย – ชุมชนโป่งแดง – น้ำพุร้อนห้วยทรายขาว” ซึ่งได้รับความสนใจจากสื่อมวลชนและกรุ๊ปทัวร์นักท่องเที่ยวจาก 17 จังหวัดภาคเหนือ กว่า 200 คน

ความพิเศษของเชียงรายในฐานะ Wellness City ไม่ได้อยู่เพียงแค่การมีสถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงาม หากแต่อยู่ที่การผสมผสานระหว่างภูมิปัญญาท้องถิ่น ธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ และการพัฒนาแนวคิดสมัยใหม่เข้าด้วยกัน “เชียงรายเป็นจังหวัดที่มีศักยภาพด้าน Wellness หรือสุขภาวะเพียบพร้อมที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศไทย ทั้งในแง่ภูมิศาสตร์ วัฒนธรรม สังคม และจิตวิญญาณ” ตามที่นักวิชาการชี้ให้เห็น

เมื่อ Soft Power พบกับธุรกิจมูลค่าหลายล้านล้าน

หากมองในมุมของการตลาดโลก ธุรกิจสุขภาพและเวลเนส (Health & Wellness) กำลังเป็นเทรนด์ที่มาแรงที่สุดในช่วงทศวรรษนี้ โดยมูลค่าตลาดสุขภาพและเวลเนสของไทยมีขนาดใหญ่มากอยู่ที่ราว 1.5 ล้านล้านบาทในปี 2562 คิดเป็น 8% ของ GDP ไทย ซึ่งแสดงให้เห็นถึงขนาดของตลาดที่มีอยู่แล้วในปัจจุบัน

ยิ่งไปกว่านั้น ตลาดโลกด้านนี้มีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากมูลค่า 5.6 ล้านล้านดอลลาร์ ในปี 2022 มีแนวโน้มที่จะเติบโตไปจนถึง 7 ล้านล้านดอลลาร์ ในปี 2025 การเติบโตนี้มาจาก 4 เมกะเทรนด์สุขภาพ ได้แก่ การก้าวเข้าสู่สังคมสูงอายุโดยสมบูรณ์ พฤติกรรมการใส่ใจสุขภาพที่เพิ่มขึ้น การเข้าถึงเทคโนโลยีสุขภาพ และความตื่นตัวเรื่องการป้องกันโรคมากกว่าการรักษา

สิ่งที่น่าสนใจคือ คนไทยกว่า 45.39% หันมาใส่ใจด้านสุขภาพมากขึ้น ทั้งด้านการออกกำลังกายและด้านการบริโภคอาหาร ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าแม้แต่ในตลาดภายในประเทศ ความต้องการด้านนี้กำลังเติบโตอย่างแข็งแกร่ง

ยุทธศาสตร์ Soft Power จากท้องถิ่นสู่เวทีโลก

ผลสำรวจครั้งนี้ได้เผยให้เห็นถึงความคิดเห็นของประชาชนไทยเกี่ยวกับแนวทางการใช้ Soft Power เป็นยุทธศาสตร์หลักในการสร้างภาพลักษณ์และความได้เปรียบในเวทีโลก โดยอันดับ 1 คือ “การส่งเสริมการท่องเที่ยวไทยและเทศกาลระดับโลก” ด้วยสัดส่วน 70.78% ตามมาด้วย “การส่งเสริมอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ เช่น อาหาร แฟชั่น ดนตรี ภาพยนตร์” 68.12% และ “การใช้สื่อดิจิทัลและแพลตฟอร์มออนไลน์เผยแพร่ความเป็นไทยสู่โลก” 57.64%

สิ่งที่น่าสังเกตคือ การท่องเที่ยวยังคงเป็นจุดแข็งหลักที่ประชาชนไทยมองว่าสามารถนำไปใช้เป็น Soft Power ได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่เมื่อมองในมุมของศักยภาพในการสร้างรายได้ในอนาคต ธุรกิจสุखภาพกลับกลายเป็นตัวเลือกอันดับหนึ่ง ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของทัศนคติและความต้องการของตลาด

เชียงรายในฐานะพื้นที่ที่มีศักยภาพทั้งด้านการท่องเที่ยวและสุขภาพ จึงกลายเป็นตัวอย่างที่ดีของการนำ Soft Power มาใช้ในทางปฏิบัติ โดยไม่ได้แยกทั้งสองเรื่องออกจากกัน แต่เชื่อมโยงให้เป็นหนึ่งเดียวในรูปแบบของ “การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ”

บทบาทมหาวิทยาลัยและนักศึกษาขุมพลังแห่งการเปลี่ยนแปลง

ผลสำรวจยังได้เจาะลึกถึงบทบาทของสถาบันการศึกษาในการขับเคลื่อน Soft Power ซึ่งประชาชนเห็นว่ามหาวิทยาลัยไทยควร “เป็นศูนย์กลางการวิจัยและพัฒนานวัตกรรม Soft Power” 61.08% “เป็นเวทีแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม จัดนิทรรศการ การแสดง งานเทศกาลวัฒนธรรมไทย” 59.40% และ “เปิดหลักสูตรหรือวิชาเกี่ยวกับ Soft Power ไทย” 51.24%

สำหรับนักศึกษา ประชาชนเห็นว่าควร “เป็นผู้เผยแพร่วัฒนธรรมไทยผ่านกิจกรรมต่าง ๆ” 64.18% “มีส่วนร่วมในงานวิจัยหรือโครงการด้าน Soft Power ร่วมกับมหาวิทยาลัย” 62.50% และ “เป็นนักสร้างสรรค์เนื้อหา (content creator) ที่เชื่อมโยงความเป็นไทยกับโลก” 58.33%

ในบริบทของเชียงราย มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงรายที่มีคณะการท่องเที่ยวและการโรงแรม กำลังมีบทบาทสำคัญในการผลิตบุคลากรที่สามารถรองรับการเป็น Wellness City “นักศึกษาเป็นผู้มีทักษะ มีความสามารถในศาสตร์ของตัวเองเป็นอย่างดี พัฒนาต่อยอดได้ สู่การเป็นมืออาชีพ” ตามปณิธานของสถาบัน

ความท้าทายและโอกาสในอนาคต

แม้ว่าภาพรวมจะดูในแง่บวก แต่ผลสำรวจยังชี้ให้เห็นถึงความท้าทายที่มีอยู่ เมื่อถามถึงศักยภาพของมหาวิทยาลัยไทยในการขับเคลื่อน Soft Power ให้เกิดผลกระทบระดับนานาชาติ ประชาชนส่วนใหญ่ 43.97% เห็นว่า “มีศักยภาพในบางสาขา แต่ยังต้องพัฒนาเพิ่มเติม” ขณะที่ 29.08% เห็นว่า “มีศักยภาพและควรได้รับการสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง”

สิ่งที่น่าสนใจคือ เมื่อถามถึงความร่วมมือระหว่างประเทศ ประชาชนอยากเห็น “หลักสูตรความร่วมมือระดับนานาชาติ” 65.72% “การร่วมวิจัยและพัฒนาองค์ความรู้ด้าน Soft Power” 56.66% และ “การผลิตบุคลากรคุณภาพให้กับอุตสาหกรรมสร้างสรรค์” 54.53%

สำหรับเชียงราย การเป็น Wellness City ที่ประสบความสำเร็จจะต้องอาศัยการผสมผสานระหว่างภูมิปัญญาท้องถิ่นกับมาตรฐานสากล การพัฒนาบุคลากรที่มีความรู้ทั้งด้านการท่องเที่ยวและสุขภาพ รวมถึงการสร้างระบบนิเวศที่รองรับนักท่องเที่ยวที่มาเพื่อสุขภาวะในระยะยาว

วิเคราะห์ผลกระทบและแนวโน้มอนาคต

การที่เชียงรายเลือกใช้ Soft Power ในรูปแบบของ Wellness City นั้น มีทั้งจุดแข็งและความเสี่ยงที่ควรพิจารณา

จุดแข็งหลักอยู่ที่การมีทรัพยากรธรรมชาติที่เอื้ออำนวย วัฒนธรรมล้านนาที่เป็นเอกลักษณ์ และตำแหน่งที่ตั้งที่เป็นประตูสู่อาเซียน ซึ่งทำให้สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งจากในประเทศและต่างประเทศได้

อย่างไรก็ตาม ความท้าทายสำคัญอยู่ที่การสร้างมาตรฐานการบริการที่สอดคล้องกับความคาดหวังของตลาดนานาชาติ การพัฒนาบุคลากรที่มีทักษะเฉพาะด้าน และการสร้างความยั่งยืนในระยะยาว

หากดูจากแนวโน้มตลาดโลก การเติบโตของธุรกิจ Wellness Tech ที่ผสมผสานเทคโนโลยีเข้ากับการดูแลสุขภาพ จะเป็นโอกาสสำคัญที่เชียงรายสามารถนำมาประยุกต์ใช้ เพื่อสร้างความแตกต่างและเพิ่มมูลค่าให้กับการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ

จากวิสัยทัศน์สู่การปฏิบัติ

การสำรวจของสถาบันศิโรจน์ผลพันธินและสวนดุสิตโพลครั้งนี้ ไม่เพียงแต่สะท้อนถึงความคิดเห็นของประชาชนไทยเกี่ยวกับ Soft Power เท่านั้น แต่ยังเป็นเครื่องยืนยันว่าทิศทางที่เชียงรายกำลังดำเนินการอยู่นั้นสอดคล้องกับความต้องการของตลาดและสังคม

ความสำเร็จของ “เชียงรายเมืองแห่งสุขภาพ” จะไม่ได้วัดจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นเพียงอย่างเดียว แต่รวมถึงการสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืน การอนุรักษ์วัฒนธรรมท้องถิ่น และการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่

ในยุคที่การแข่งขันระหว่างประเทศไม่ได้อยู่เพียงแค่ในเรื่องของ Hard Power เท่านั้น แต่รวมถึง Soft Power ที่สามารถสร้างอิทธิพลและดึงดูดใจได้ การที่เชียงรายเลือกใช้ธุรกิจสุขภaวะเป็นจุดยืน อาจเป็นตัวอย่างที่สำคัญของการนำ Soft Power ของไทยไปใช้ในทางที่สร้างสรรค์และมีประสิทธิภาพ

เส้นทางสู่การเป็น Wellness City ที่แท้จริงยังมีอีกยาวไกล แต่เมื่อมองจากความพยายามที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน รวมถึงการสนับสนุนจากทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และสถาบันการศึกษา ทำให้เชื่อได้ว่าเชียงรายมีโอกาสที่จะกลายเป็นแบบอย่างของการใช้ Soft Power ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจท้องถิ่นสู่ระดับสากลได้อย่างแท้จริง

สรุปผลได้ สำรวจ “บทบาทมหาวิทยาลัยไทยกับ Soft Power”

“สถาบันศิโรจน์ผลพันธิน” ร่วมกับ “สวนดุสิตโพล” มหาวิทยาลัยสวนดุสิต สำรวจความคิดเห็นประชาชน ทั่วประเทศ เรื่อง “บทบาทมหาวิทยาลัยไทยกับ Soft Power” กลุ่มตัวอย่างจำนวน 1,128 คน (สำรวจทางออนไลน์และภาคสนาม) ระหว่างวันที่ 15-18 กรกฎาคม 2568 สรุปผลได้ ดังนี้

1. ประชาชนคิดว่าประเทศไทยควรใช้ Soft Power เป็นยุทธศาสตร์หลักในการสร้างภาพลักษณ์และความได้เปรียบในเวทีโลกได้อย่างไร

  • อันดับ 1 ส่งเสริมการท่องเที่ยวไทยและเทศกาลระดับโลก 70.78%
  • อันดับ 2 ส่งเสริมอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ เช่น อาหาร แฟชั่น ดนตรี ภาพยนตร์ 68.12%
  • อันดับ 3 ใช้สื่อดิจิทัลและแพลตฟอร์มออนไลน์เผยแพร่ความเป็นไทยสู่โลก 57.64%

2. Soft Power เรื่องใดที่ประชาชนเห็นว่ามีศักยภาพสูงสุดในการผลักดันเศรษฐกิจไทยในอนาคต


  • อันดับ 1 ธุรกิจสุขภาพ ความงาม และการดูแลสุขภาพแบบไทย 58.24%
  • อันดับ 2.ดนตรี ศิลปะ แฟชั่น และภาพยนตร์.55.85%
  • อันดับ 3 ศิลปิน-นักออกแบบร่วมสมัย และอุตสาหกรรมดิจิทัลครีเอทีฟ.53.63%

3.ประชาชนคิดว่า “มหาวิทยาลัยไทย” ควรมีบทบาทอย่างไรในการพัฒนา Soft Power ของประเทศ

  • อันดับ 1 เป็นศูนย์กลางการวิจัยและพัฒนานวัตกรรม Soft Power 61.08%
  • อันดับ 2 เป็นเวทีแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม จัดนิทรรศการ การแสดง งานเทศกาลวัฒนธรรมไทย 59.40%
  • อันดับ 3 เปิดหลักสูตรหรือวิชาเกี่ยวกับ Soft Power ไทย 51.24%

4. ประชาชนคิดว่า “นักศึกษาไทย” ควรมีบทบาทอย่างไรในการส่งเสริม Soft Power ของประเทศ

  • อันดับ 1 เป็นผู้เผยแพร่วัฒนธรรมไทยผ่านกิจกรรมต่าง ๆ 64.18%
  • อันดับ 2 มีส่วนร่วมในงานวิจัยหรือโครงการด้าน Soft Power ร่วมกับมหาวิทยาลัย 62.50%
  • อันดับ 3.เป็นนักสร้างสรรค์เนื้อหา (content creator) ที่เชื่อมโยงความเป็นไทยกับโลก 58.33%


5. ประชาชนคิดว่ามหาวิทยาลัยไทยมีศักยภาพที่จะขับเคลื่อน Soft Power ให้เกิดผลกระทบในระดับนานาชาติหรือไม่

  • อันดับ 1 มีศักยภาพในบางสาขา แต่ยังต้องพัฒนาเพิ่มเติม 43.97%
  • อันดับ 2 มีศักยภาพและควรได้รับการสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง 29.08%
  • อันดับ 3 ศักยภาพยังไม่เพียงพอ ควรเน้นสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศ 20.66%
    อันดับ 4 ยังไม่สามารถประเมินได้ 6.29%

6. ประชาชนอยากเห็นความร่วมมือด้านใดมากที่สุดระหว่างมหาวิทยาลัยไทยกับต่างประเทศในการพัฒนา Soft Power

  • อันดับ 1 มีหลักสูตรความร่วมมือระดับนานาชาติ 65.72%
  • อันดับ 2 ร่วมวิจัยและพัฒนาองค์ความรู้ด้าน Soft Power 56.66%
  • อันดับ 3 ผลิตบุคลากรคุณภาพให้กับอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ 54.53%

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สถาบันศิโรจน์ผลพันธิน และสวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต, ผลสำรวจ “บทบาทมหาวิทยาลัยไทยกับ Soft Power” วันที่ 15-18 กรกฎาคม 2568
  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย, โครงการ “เชียงรายเมืองแห่งสุขภาพ 2025”
  • ThaiPublica, บทความ “พัฒนาเชียงรายให้เป็น Wellness City แห่งแรกของไทย”
  • Nakorn Chiang Rai News, “ผู้ว่าฯ เชียงรายนำทัพเปิด Wellness Trail ครั้งแรก!”
  • สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงราย
  • คณะการท่องเที่ยวและการโรงแรม มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

ม.ราชภัฏเชียงรายผนึกเทศบาลฯ ปลุกพลัง Soft Power สร้างคุณค่าเศรษฐกิจสร้างสรรค์

เชียงรายเดินหน้าพัฒนาชุมชน สร้าง Soft Power จากฐานอัตลักษณ์วัฒนธรรม เปิดเส้นทาง “หมาน มัก ม่วน” ขับเคลื่อนเศรษฐกิจสร้างสรรค์

เชียงราย, 21 มิถุนายน 2568 – จังหวัดเชียงรายก้าวสู่การเป็นเมืองต้นแบบด้านการพัฒนาชุมชนและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ผ่านโครงการเพิ่มศักยภาพชุมชน Soft Power บนฐานอัตลักษณ์ศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่น จัดโดยคณะการท่องเที่ยวและการโรงแรม มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย เมื่อวันเสาร์ที่ 21 มิถุนายน 2568 ณ ศาลาเอนกประสงค์ราชเดชดำรง เทศบาลนครเชียงราย โดยมีนายวันชัย จงสุทธนามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการ พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการ ตัวแทนภาคประชาชน ผู้แทนชุมชน และสื่อมวลชนเข้าร่วมงานอย่างคึกคัก

โครงการยกระดับศักยภาพชุมชนผ่าน Soft Power บนรากวัฒนธรรม

โครงการนี้มีเป้าหมายสำคัญในการยกระดับศักยภาพชุมชนและส่งเสริมการท่องเที่ยวในเขตเทศบาลนครเชียงราย ด้วยการนำ “Soft Power” มาเป็นเครื่องมือสำคัญในการขับเคลื่อน ผ่านการพัฒนาเส้นทางท่องเที่ยวที่ร้อยเรียงเอกลักษณ์และคุณค่าทางวัฒนธรรมของชุมชนเข้าด้วยกัน โดยเน้นการมีส่วนร่วมของคนในพื้นที่อย่างแท้จริง

เส้นทางท่องเที่ยว “หมาน มัก ม่วน” ถือเป็นนวัตกรรมทางการท่องเที่ยวที่นำเสนออัตลักษณ์เฉพาะของ 3 ชุมชน ได้แก่ ชุมชนรากเดชดำรง ชุมชนดอยทอง และชุมชนวัดพระแก้ว สะท้อนเรื่องราวรากเหง้า ความเชื่อ วิถีชีวิต ภูมิปัญญา และความภาคภูมิใจในวัฒนธรรมล้านนา ต่อยอดสู่การสร้างเศรษฐกิจสร้างสรรค์ และเปิดโอกาสให้ผู้คนภายนอกได้สัมผัสความงดงามเหล่านี้อย่างใกล้ชิด

เสวนา “หมาน มัก ม่วน” – สะท้อนพลังวัฒนธรรมสู่เศรษฐกิจสร้างสรรค์

ภายในงานมีเวทีเสวนาหัวข้อ “หมาน มัก ม่วน” เส้นทาง Soft Power ชุมชน : จากรากเง้าวัฒนธรรมสู่คุณค่าเศรษฐกิจสร้างสรรค์ โดยมีตัวแทนชุมชนทั้ง 3 แห่ง รวมถึงผู้แทนจากสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย และเทศบาลนครเชียงราย ร่วมแบ่งปันแนวคิดและประสบการณ์เกี่ยวกับการพัฒนาชุมชนด้วยฐานวัฒนธรรม ทั้งนี้ได้รับเกียรติจากนางวนิดาพร ธิวงศ์ นักวิชาการวัฒนธรรมชำนาญการ ผู้อำนวยการกลุ่มส่งเสริมศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม ร่วมเป็นวิทยากรบรรยายและแลกเปลี่ยนความรู้

การเสวนานี้เปิดโอกาสให้แต่ละชุมชนได้นำเสนอแนวคิด “Soft Power” ที่แตกต่างกัน เช่น การส่งต่อภูมิปัญญาผ่านงานหัตถกรรมพื้นถิ่น กิจกรรมทางวัฒนธรรม งานประเพณีและอาหารท้องถิ่น โดยทุกกิจกรรมถูกบูรณาการเข้ากับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน

การขับเคลื่อน “หมาน มัก ม่วน” สู่การเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน

การจัดโครงการและกิจกรรมในครั้งนี้นับเป็นก้าวสำคัญของเทศบาลนครเชียงรายในการสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชน และสร้างการรับรู้เชิงบวกต่อเส้นทางท่องเที่ยวใหม่ ๆ ของเมืองเชียงรายในระดับท้องถิ่นและระดับประเทศ จากการมีส่วนร่วมของคนในพื้นที่ สะท้อนให้เห็นถึงความตื่นตัวในการนำพลังวัฒนธรรมท้องถิ่นมาใช้ขับเคลื่อนเมือง เชื่อมโยงกับแนวคิด Soft Power ที่กำลังได้รับความสำคัญในยุคเศรษฐกิจสร้างสรรค์

นายวันชัย จงสุทธนามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย กล่าวย้ำถึงเป้าหมายการขับเคลื่อนนโยบายพัฒนาชุมชนผ่านกิจกรรมที่เน้นการมีส่วนร่วมและการสร้างคุณค่าให้กับรากเหง้าวัฒนธรรมพื้นถิ่น โดยตั้งเป้าให้เส้นทาง “หมาน มัก ม่วน” เป็นหนึ่งในโมเดลตัวอย่างของการพัฒนาท่องเที่ยวที่เกิดจากพลังชุมชนและวัฒนธรรมอย่างแท้จริง

ก้าวต่อไปของเชียงรายในโลก Soft Power

ความสำเร็จของโครงการนี้ชี้ให้เห็นถึงศักยภาพของการนำ Soft Power มาสร้างการเปลี่ยนแปลงในระดับรากหญ้า หากสามารถบูรณาการภาคประชาชน ภาครัฐ และสถานศึกษาอย่างต่อเนื่อง เชียงรายจะสามารถต่อยอดโมเดลนี้สู่ชุมชนอื่น ๆ ทั่วประเทศ กลายเป็นตัวอย่างของเมืองที่เติบโตจากวัฒนธรรมและอัตลักษณ์ของตนเองอย่างมั่นคง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • เทศบาลนครเชียงราย
  • คณะการท่องเที่ยวและการโรงแรม มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย
  • สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI FEATURED NEWS

“ศุภชัย” บูรณาการเชียงราย พัฒนาท้องถิ่น วิทย์-วิจัย-นวัตกรรม

อว. ลงพื้นที่เชียงราย ติดตามขับเคลื่อน อววน. เร่งพัฒนาท้องถิ่นสู่เศรษฐกิจฐานความรู้

เชียงราย – 8 เมษายน 2568 นายศุภชัย ใจสมุทร ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) นำคณะผู้บริหารระดับสูงลงพื้นที่จังหวัดเชียงราย เพื่อติดตามการขับเคลื่อนภารกิจด้านการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อววน.) โดยมีหน่วยงานการศึกษาระดับอุดมศึกษาในพื้นที่ ได้แก่ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา เชียงราย เข้าร่วมรายงานผลและจัดนิทรรศการนำเสนอผลงานเชิงรูปธรรม

ผลักดันเชียงรายสู่โมเดลเศรษฐกิจสร้างสรรค์ภาคเหนือ

กิจกรรมภาคเช้าจัดขึ้น ณ หอประชุมใหญ่ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย มีการนำเสนอผลการดำเนินงานของแต่ละมหาวิทยาลัยที่เชื่อมโยงกับยุทธศาสตร์จังหวัด และเป้าหมายการพัฒนาประเทศ ได้แก่ การยกระดับเศรษฐกิจสร้างสรรค์ การสนับสนุน Soft Power ท้องถิ่น และการพัฒนากำลังคนให้สอดรับกับภาคการผลิตจริง

มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงรายได้นำเสนอโครงการที่สะท้อนการบูรณาการ อววน. กับการพัฒนาเมืองอย่างยั่งยืน เช่น โครงการ “เชียงรายแบรนด์”, โครงการหนึ่งหมู่บ้าน หนึ่งเชฟอาหารไทย และ “สันสลีโมเดล” ที่ใช้การเรียนการสอนแบบไร้รอยต่อระหว่างห้องเรียน ชุมชน และธุรกิจ

มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง และ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา เชียงราย ได้นำเสนอผลงานเด่นด้านวิจัยเชิงพาณิชย์และเทคโนโลยีประยุกต์ เช่น การพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารสุขภาพ, การใช้ IoT และ AI คาดการณ์ภัยพิบัติในพื้นที่เสี่ยง รวมถึงการพัฒนากำลังคนด้านวิศวกรรม และอิเล็กทรอนิกส์ทางการแพทย์

พิธีมอบรางวัลชุมชนสร้างสรรค์ และ Smart Student

นายศุภชัยได้มอบรางวัล “ชุมชนสร้างสรรค์” ให้แก่หมู่บ้านและภาคีเครือข่ายที่มีการนำผลการวิจัยและองค์ความรู้จากมหาวิทยาลัยไปต่อยอดในเชิงพัฒนาอย่างเป็นรูปธรรม เช่น การแปรรูปผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น และการนำภูมิปัญญามาพัฒนาเส้นทางการท่องเที่ยว พร้อมกันนี้ ยังได้มอบรางวัล “Smart Student 2568” ให้แก่นักศึกษาที่มีความโดดเด่นด้านวิชาการและนวัตกรรม

ภาคบ่ายเยี่ยมชม ‘มหาวิทยาลัยวัยที่สาม’ ต้นแบบการเรียนรู้ตลอดชีวิต

คณะฯ ได้เดินทางไปเยี่ยมชมมหาวิทยาลัยวัยที่สาม นครเชียงราย ซึ่งเป็นพื้นที่ต้นแบบการพัฒนาการเรียนรู้ตลอดชีวิตบนฐานชุมชน โดยมีทั้งหลักสูตรสำหรับผู้สูงอายุ, การส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชน, โครงการเกษตรปลอดภัย Farm to Table และศูนย์จำหน่ายสินค้าชุมชน ภายใต้การสนับสนุนจากมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย และเทศบาลนครเชียงราย

ผู้ช่วยรัฐมนตรี อว. ยืนยันหนุนเชียงรายพัฒนาเป็น Hub ด้านการศึกษา-นวัตกรรมของภาคเหนือ

นายศุภชัยให้สัมภาษณ์ว่า การลงพื้นที่ครั้งนี้ได้เห็นถึง “ความร่วมมือที่เป็นรูปธรรม” ระหว่างมหาวิทยาลัยและชุมชน ซึ่งถือเป็นจุดแข็งของเชียงราย พร้อมยืนยันว่า อว. จะสนับสนุนงบประมาณและโครงสร้างให้แก่โครงการที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และแผนพัฒนาเศรษฐกิจฐานความรู้

เมื่อสอบถามถึงบทบาทของ อว. ในการรับมือภัยพิบัติในพื้นที่เสี่ยง เช่น แผ่นดินไหว ไฟป่า และหมอกควัน ท่านระบุว่า กระทรวงจะเร่งผลักดันการใช้ Big Data และ IoT ที่พัฒนาโดยมหาวิทยาลัยในพื้นที่ เพื่อเป็นระบบแจ้งเตือนและบริหารจัดการภัยอย่างแม่นยำ

บทบาทของ RMUTL เชียงราย เด่นทั้งในเชิงวิชาการและเทคโนโลยี

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ชไมพร รัตนเจริญชัย ผู้อำนวยการสำนักงานบริหาร มทร.ล้านนา เชียงราย นำเสนอผลการดำเนินงานทั้ง 3 ด้าน ได้แก่:

  • ด้านการศึกษา – หลักสูตร WIL และ Co-op ทำให้นักศึกษาได้เรียนรู้ร่วมกับสถานประกอบการจริง
  • ด้านวิจัยและนวัตกรรม – ผลงานวิจัยเชิงประยุกต์ เช่น ระบบ Smart Water Management และอาหารแปรรูปจากผลผลิตท้องถิ่น
  • ด้านภัยพิบัติ – มีศูนย์บริหารจัดการภัยพิบัติ ใช้เทคโนโลยีตรวจจับ และระบบวิเคราะห์ล่วงหน้า โดยร่วมมือกับ ปภ. และท้องถิ่น

ความคิดเห็นสองมุมมองต่อทิศทาง อววน. เชียงราย

ฝ่ายสนับสนุน มองว่า การมีสถาบันอุดมศึกษาในพื้นที่ที่สามารถเชื่อมโยงองค์ความรู้ วิจัย และการศึกษาเข้ากับการพัฒนาท้องถิ่นได้จริง ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิต ลดความเหลื่อมล้ำ และสร้างเศรษฐกิจท้องถิ่นที่ยั่งยืน

ในขณะที่ฝ่ายกังวล เห็นว่ายังมีข้อจำกัดด้านการเข้าถึงโครงการบางส่วน โดยเฉพาะกลุ่มประชาชนที่อยู่นอกเขตเมือง หรือมีข้อจำกัดทางเศรษฐกิจ รวมถึงอุปสรรคในการนำผลงานวิจัยไปใช้เชิงพาณิชย์ที่ยังต้องได้รับการสนับสนุนด้านกฎหมายและตลาด

สถิติและข้อมูลที่เกี่ยวข้อง

  • ประเทศไทยมีสถาบันอุดมศึกษา 156 แห่งทั่วประเทศ (ที่มา: สำนักงานปลัดกระทรวง อว., 2567)
  • จังหวัดเชียงรายมีมหาวิทยาลัย 4 แห่งหลัก และวิทยาลัย/สถาบันการศึกษาอีกกว่า 20 แห่ง (ที่มา: อว. ส่วนหน้าจังหวัดเชียงราย)
  • โครงการภายใต้ อววน. ในพื้นที่เชียงราย ได้รับงบประมาณสนับสนุนรวมกว่า 120 ล้านบาท ในช่วงปี 2566–2568 (ที่มา: สกสว.)
  • ประเทศไทยมีนักศึกษาระดับอุดมศึกษาทั้งหมดประมาณ 1.7 ล้านคน โดยกว่า 55% อยู่ในสายวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ที่มา: สำนักงานสถิติแห่งชาติ, 2566)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เชียงรายอัญเชิญพระอนุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าพี่นางฯ ประดิษฐานในสวนสมเด็จย่า

เชียงรายจัดพิธีอัญเชิญพระอนุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ ประดิษฐาน ณ สวนสมเด็จย่ามหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย

เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2567 ที่ผ่านมา ได้มีการจัดพิธีอัญเชิญพระอนุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ขึ้นประดิษฐาน ณ สวนสมเด็จศรีนครินทร์เชียงราย หรือที่รู้จักกันในชื่อ สวนสมเด็จย่า ภายในมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย โดยมี ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ และ นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ อดีตปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร คณาจารย์ นักศึกษา และประชาชนในจังหวัดเชียงรายที่เข้าร่วมพิธีกว่า 100 คน

พิธีอัญเชิญพระอนุสาวรีย์เพื่อสักการะและรำลึกถึงพระกรุณาธิคุณ

พิธีการเริ่มต้นด้วยการอัญเชิญพระอนุสาวรีย์ขึ้นประดิษฐานบนแท่นฐานที่จัดเตรียมไว้ ณ บริเวณสวนสมเด็จย่า มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย โดยมี พระพุทธิวงค์วิวัฒน์ ที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค 6 เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ พร้อมด้วยคณะสงฆ์ร่วมประกอบพิธีสวดมนต์และเจริญพระพุทธมนต์เพื่อความเป็นสิริมงคล

นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ได้เปิดเผยว่า การอัญเชิญพระอนุสาวรีย์ในครั้งนี้เป็นผลมาจากการได้รับพระบรมราชานุญาตจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ประชาชนชาวเชียงรายได้มีสถานที่สักการบูชาและรำลึกถึงพระกรุณาธิคุณของสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ ที่ได้ทรงสนับสนุนและช่วยเหลือชาวเชียงรายในด้านต่างๆ ตลอดพระชนม์ชีพ

ดร.วันดีและครอบครัวร่วมบริจาคทุนสร้างพระอนุสาวรีย์

ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ และครอบครัวได้ร่วมบริจาคทุนทรัพย์ในการสร้างพระอนุสาวรีย์ครั้งนี้เป็นจำนวน สามล้านบาท หลังจากได้รับการประสานจากมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย ซึ่งมีความประสงค์ที่จะสร้างพระอนุสาวรีย์เพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ แต่ขาดงบประมาณในการดำเนินการ โดยการสร้างครั้งนี้ได้รับการเททองหล่อโดย สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2567 ณ วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม

สวนสมเด็จย่าศูนย์การเรียนรู้และสถานที่พักผ่อน

สวนสมเด็จศรีนครินทร์เชียงราย หรือ สวนสมเด็จย่า เป็นสวนเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีที่จัดตั้งขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติเนื่องในโอกาสพระชนมายุครบ 80 พรรษา โดยตั้งอยู่ภายในมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย พื้นที่กว้างใหญ่กว่า 625 ไร่ สวนแห่งนี้เป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับการศึกษาและเรียนรู้ด้านพันธุกรรมพืช รวมทั้งเป็นแหล่งออกกำลังกายและพักผ่อนหย่อนใจของประชาชน

ส่งเสริมสิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิตชาวเชียงราย

ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ ได้ชื่นชมมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงรายที่ดูแลรักษาพื้นที่สวนแห่งนี้ให้มีความร่มรื่นและสวยงามอยู่เสมอ โดยมีหนองบัวใหญ่และหนองน้ำเล็กที่สะอาด สร้างบรรยากาศที่เหมาะสมสำหรับการออกกำลังกายและการพักผ่อนในยามเช้าและเย็น ทั้งนี้สวนสมเด็จย่ายังเป็นสถานที่ที่ประชาชนมาใช้บริการถึงเดือนละกว่า 3,000 คน ส่งเสริมสุขภาพพลานามัยทั้งกายและใจ

อนาคตของสวนสมเด็จย่า: ศูนย์การเรียนรู้และพัฒนาสิ่งแวดล้อม

สวนสมเด็จย่าเชียงราย ไม่เพียงแต่เป็นสถานที่สักการะและพักผ่อน แต่ยังมุ่งเน้นการเป็น ศูนย์การเรียนรู้ด้านสิ่งแวดล้อม ที่สามารถช่วยลดภาวะโลกร้อน และสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดีแก่ชุมชน ทั้งนี้ทางมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงรายยังมีแผนที่จะจัดกิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้เพิ่มเติม รวมถึงการพัฒนาสวนให้เป็นสถานที่ที่เหมาะแก่การศึกษาทั้งในด้านวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรม

รองศาสตราจารย์ ดร. สอนชัย มุ่งไทยสง อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย ได้กล่าวถึงความสำคัญของสวนสมเด็จย่าเชียงรายว่าเป็นสถานที่ที่เสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจด้านสิ่งแวดล้อม และส่งเสริมให้เกิดความตระหนักถึงการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ โดยการมีพระอนุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ ที่ประดิษฐานไว้ในสวนแห่งนี้ จะเป็นเครื่องหมายแห่งความศรัทธาและแรงบันดาลใจในการดำเนินชีวิตที่ดีงามของชาวเชียงรายและนักศึกษาทุกคน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

ม.ราชภัฏเชียงราย จัดผ้าป่าสามัคคี สร้างหอพระแก้วจักรพรรดิ

 

เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2567 คณะรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย ได้จัดพิธีผ้าป่าสามัคคีขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์ในการจัดสร้างหอพระแก้วจักรพรรดิ “พระพุทธศรีรัฐกิจโสฬสวัสสานุสรณ์” เพื่อเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำคณะ เนื่องในโอกาสก้าวเข้าสู่ปีที่ 30 ของคณะรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ การจัดงานนี้ได้รับการตอบรับอย่างอบอุ่นจากผู้มีจิตศรัทธาหลายภาคส่วนที่เข้าร่วมบริจาคและสนับสนุนการสร้างหอพระ

พิธีทอดผ้าป่าสามัคคี: สานต่อความศรัทธาและการพัฒนาศาสนสถาน

งานพิธีทอดผ้าป่าสามัคคีในครั้งนี้ได้รับเกียรติจาก รองศาสตราจารย์ประกายศรี ศรีรุ่งเรือง คณบดีเกียรติคุณ คณะรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร คณาจารย์จากมหาวิทยาลัย ศิษย์เก่า ศิษย์ปัจจุบัน และตัวแทนจากหน่วยงานที่ร่วมสนับสนุน โดยงานจัดขึ้นที่ คณะรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย

นอกจากนี้ ยังได้รับเมตตาจาก พระพุทธิวงศ์วิวัฒน์ ปรึกษาเจ้าคณะภาค 6 และเจ้าอาวาสวัดพระสิงห์ ตำบลเวียง อำเภอเมืองเชียงราย เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ในพิธี พระภิกษุสงฆ์ที่ร่วมพิธีได้เจริญพระพุทธมนต์และรับถวายเครื่องจตุปัจจัยไทยทานจากผู้เข้าร่วมงาน เพื่อเสริมสร้างสิริมงคลแก่ผู้มาร่วมบุญในครั้งนี้ การทอดผ้าป่าสามัคคีเป็นโอกาสสำคัญที่ประชาชนได้ร่วมมือกันในมหากุศลครั้งนี้ โดยมีเป้าหมายในการจัดสร้างหอพระแก้วจักรพรรดิ ซึ่งจะเป็นศูนย์รวมใจของชุมชนในอนาคต

การบริจาคและสนับสนุนจากทุกภาคส่วน

ภายในงานได้รับการสนับสนุนจากผู้มีจิตศรัทธาหลากหลายกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นคณะผู้บริหาร บุคลากร ศิษย์เก่า ศิษย์ปัจจุบัน รวมถึงผู้มีจิตศรัทธาที่เข้าร่วมบริจาคในครั้งนี้ การทอดผ้าป่าในครั้งนี้ได้รับยอดบริจาคเบื้องต้นทั้งสิ้นกว่า 400,000 บาท ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการจัดหาวัสดุก่อสร้างหอพระแก้วจักรพรรดิที่จะใช้เป็นศูนย์กลางในการพัฒนาคุณธรรมและศาสนาในคณะรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์

หอพระแก้วจักรพรรดิ “พระพุทธศรีรัฐกิจโสฬสวัสสานุสรณ์” เป็นโครงการที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อคณะฯ และมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย ซึ่งนอกจากจะเป็นการสร้างสถานที่ทางศาสนาสำหรับการทำบุญและกิจกรรมทางศาสนาแล้ว ยังเป็นเครื่องยืนยันถึงความมุ่งมั่นของมหาวิทยาลัยในการพัฒนาทั้งด้านการศึกษาและคุณธรรม

เชิญชวนผู้มีจิตศรัทธาร่วมสมทบทุนสร้างหอพระแก้วจักรพรรดิ

คณะรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย ยังคงเปิดรับบริจาคจากผู้มีจิตศรัทธาทุกท่านที่ต้องการร่วมสร้างบุญกุศล โดยสามารถร่วมสมทบทุนสร้างหอพระแก้วจักรพรรดิ “พระพุทธศรีรัฐกิจโสฬสวัสสานุสรณ์” ผ่านการโอนเงินบริจาคไปยังบัญชีธนาคาร กรุงศรีอยุธยา สาขามหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย ชื่อบัญชี พระพุทธศรีรัฐกิจโสฬสวัสสานุสรณ์ โดยมีเจ้าหน้าที่ดูแลบัญชีได้แก่ น.ส.นวลนภา จุลสุทธิ, นายภูริพัฒน์ แก้วศรี, และ นายจรูญ แดนนาเลิศ หมายเลขบัญชี 422-1-41524-9 ซึ่งการบริจาคเพื่อการจัดสร้างหอพระในครั้งนี้ถือเป็นการทำมหากุศลที่จะสร้างบุญและความเป็นสิริมงคลให้กับผู้ร่วมบริจาค

หากท่านสนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม สามารถติดต่อสอบถามได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 053-776-131 คณะฯ ขอเชิญชวนทุกท่านร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่จะเป็นจุดรวมจิตใจของชุมชนและนักศึกษาในอนาคต

การจัดสร้างหอพระแก้วจักรพรรดิ: ศูนย์รวมใจและศาสนสถานแห่งมหาวิทยาลัย

โครงการจัดสร้างหอพระแก้วจักรพรรดิ “พระพุทธศรีรัฐกิจโสฬสวัสสานุสรณ์” นั้นมีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากเป็นการเฉลิมฉลองครบรอบ 30 ปีของคณะรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ การมีสถานที่สำหรับประกอบพิธีกรรมทางศาสนาภายในคณะฯ จะช่วยส่งเสริมคุณธรรมและความศรัทธาในพระพุทธศาสนาให้กับนักศึกษา บุคลากร และชุมชนในมหาวิทยาลัย

นอกจากนี้ หอพระยังจะเป็นศูนย์กลางของการจัดกิจกรรมทางศาสนาต่างๆ เช่น การทำบุญประจำปี การเจริญพระพุทธมนต์ และพิธีกรรมทางศาสนาอื่นๆ ที่จะช่วยเสริมสร้างความสามัคคีและความเข้มแข็งให้กับชุมชนมหาวิทยาลัย ตลอดจนเป็นสถานที่สำหรับการปฏิบัติธรรมและกิจกรรมที่เสริมสร้างความสงบสุขในจิตใจ

บทสรุป: ความศรัทธาที่ขับเคลื่อนสู่ความสำเร็จ

การจัดผ้าป่าสามัคคีเพื่อจัดสร้างหอพระแก้วจักรพรรดิ “พระพุทธศรีรัฐกิจโสฬสวัสสานุสรณ์” ในครั้งนี้เป็นการแสดงถึงพลังแห่งความศรัทธาและความร่วมมือจากผู้มีจิตศรัทธาหลายฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นบุคลากรในมหาวิทยาลัย ศิษย์เก่า ศิษย์ปัจจุบัน และชุมชนโดยรอบ คณะรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย ขอขอบคุณทุกท่านที่ได้ร่วมบริจาคและสนับสนุนโครงการนี้ และขอเชิญชวนทุกท่านที่ยังไม่ได้มีโอกาสร่วมบริจาคเข้ามาร่วมสมทบทุนเพื่อสร้างมหากุศลครั้งยิ่งใหญ่

ความสำเร็จของโครงการนี้จะไม่เพียงแต่เป็นการสร้างศาสนสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ในมหาวิทยาลัย แต่ยังเป็นการส่งเสริมและสืบสานคุณธรรมในชุมชนทางการศึกษาอย่างยั่งยืน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : คณะรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ ม.ราชภัฏเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News