Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

“Fashion on the Road” เงินสะพัดกว่า 10 ล้าน! ! เชียงรายใช้แฟชั่นโชว์ยืนยันศักยภาพชายแดน

ปิดฉาก “Fashion on the Road” แม่สายเงินสะพัด 10 ล้าน ผ้าไทยบนถนนชายแดน ยกเครื่อง Soft Power เชียงราย หนุนวิสัยทัศน์ NEC

เชียงราย, 3 พฤศจิกายน 2568 — ผืนผ้าไทยสะบัดพลิ้วท่ามกลางสายลมจากแนวสันเขาแม่สาย ก่อนจะตกกระทบเลนส์กล้องนักท่องเที่ยวและผู้สื่อข่าวนับร้อย ณ บริเวณหน้าด่านพรมแดนไทย–เมียนมา ในค่ำคืนที่เสียงปรบมือก้องยาวกว่าปกติ “Fashion on the Road 3rd Chiang Rai Designer’s Competition” ประกาศปิดฉากอย่างงดงามเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2568 โดยมี นายนรศักดิ์ สุขสมบูรณ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานปิดงาน และประกาศผลผู้ชนะครบทั้ง 3 ประเภท ท่ามกลางบรรยากาศคึกคักของผู้ชมทั้งชาวไทยและต่างชาติ

งานปีนี้ไม่ได้ปิดเพียงไฟบนรันเวย์ แต่ปิดด้วย “ตัวเลข” ที่จับต้องได้ — เงินสะพัดกว่า 10 ล้านบาท ตลอดห้วงการจัดงาน ซึ่งกลายเป็นสัญลักษณ์ของ “เศรษฐกิจสร้างสรรค์” ที่ต่อเส้นเลือดจากพื้นที่ชายแดนไปสู่ผู้ประกอบการท้องถิ่น ดีไซเนอร์รุ่นใหม่ ช่างฝีมือผ้า และผู้ค้าใน “Premium Market” ร้อยบูธที่ขยับตัวตลอดวัน

Soft Power ที่ลงดิน จากลายผ้าล้านนาสู่แรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจชายแดน

แก่นสำคัญของ “Fashion on the Road” คือการเลือก “ถนนชายแดน” เป็นรันเวย์ เปิดพื้นที่ให้ผ้าไทยและผ้าชาติพันธุ์พูดภาษาสากลได้ด้วยตัวเอง การจัดงานที่หน้าด่านพรมแดนไทย–เมียนมา อำเภอแม่สาย ทำให้การแลกเปลี่ยนผู้คน สินค้า และวัฒนธรรม เกิดขึ้นแบบไร้รอยต่อ เมื่อผู้มาเยือนได้สัมผัสเนื้อแท้ของผืนผ้า ตั้งแต่แหล่งกำเนิด หัตถกรรม ไปจนถึงแฟชั่นร่วมสมัย ไม่ใช่ผ่านตู้กระจกในหอศิลป์ แต่ “บนถนนจริง” ที่การค้าจริงเกิดขึ้น

งานครั้งนี้ได้รับการขานรับจากนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติ จนเกิดอานิสงส์ทางเศรษฐกิจท้องถิ่นอย่างชัดเจน ทั้งรายได้จากที่พัก ร้านอาหาร การเดินทาง ภาษีท้องถิ่น ไปจนถึงยอดจำหน่ายจากบูธ Chiang Rai Premium Market ที่คัด สินค้า GI, Chiang Rai Brand และสินค้า Wellness รวมกว่า 100 บูธ มาตั้งเรียงยาวเคียงข้างเวที สะท้อนแนวคิด “แฟชั่น–การค้า–การท่องเที่ยว” ที่ออกแบบให้ขับเคลื่อนไปพร้อมกัน

เวทีประกวด 3 หมวด คุณภาพงานออกแบบที่ยืนยันความเป็นนานาชาติ

หัวใจของค่ำคืนคือการประกาศผลรางวัล 3 ประเภท ซึ่งทำหน้าที่เป็น “ดัชนีคุณภาพ” ของเวทีออกแบบในระดับภูมิภาค รายละเอียดดังนี้

  • ประเภทชุดลำลอง รางวัลชนะเลิศ Thaw Thazin Myanmar รับเงินรางวัล 100,000 บาท
    หมายเหตุ: อันดับ 2 Saw Kyaw Thuya Min (Myanmar) เงินรางวัล 20,000 บาท และอันดับ 3 นพรัตน์ ตาละสา เงินรางวัล 10,000 บาท
  • ประเภทชุดทำงาน: รางวัลชนะเลิศ Team Sean มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง เงินรางวัล 100,000 บาท
    อันดับ 2 เรณู ศิลป์ท้าว เงินรางวัล 20,000 บาท และอันดับ 3 ทักษิณ มะลูลีม มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา เงินรางวัล 10,000 บาท
  • ประเภทชุดราตรี: รางวัลชนะเลิศ นนท์ฒวัศณ์ วงค์พิใจ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร เงินรางวัล 100,000 บาท
    อันดับ 2 รัตนาภรณ์ ธนเสรีธรรม วิทยาลัยการอาชีพป่าซาง จ.ลำพูน เงินรางวัล 20,000 บาท และอันดับ 3 จรณี แซ่ว่าง และ นันทนา แช่ชง วิทยาลัยอาชีวศึกษาลำปาง เงินรางวัล 10,000 บาท
  • รางวัลพิเศษ The New Generation Creative Ward: นทฤทธ์ จินตกานนท์ จาก Wellington College International School Bangkok เงินรางวัล 10,000 บาท

ผลการตัดสินที่ “ชุดลำลอง” ตกเป็นของดีไซเนอร์จากเมียนมา ขณะที่ประเภทอื่น ๆ กระจายตัวอยู่ในสถาบันการศึกษาหลากหลายของไทย สะท้อน “DNA ข้ามพรมแดน” และ “เครือข่ายการเรียนรู้” ที่งานได้วางรากไว้ตั้งแต่รุ่นแรก ๆ สิ่งนี้ทำให้เวทีแม่สายไม่ได้เป็นเพียง “งานโชว์” แต่เป็น “สนามบ่มเพาะ” ที่เปิดโอกาสให้ดีไซเนอร์รุ่นใหม่และมืออาชีพได้ทดสอบงานจริงกับผู้ชมจริงและผู้ซื้อจริง

เชื่อมวิสัยทัศน์ NEC ถนนผืนผ้ากับระเบียงเศรษฐกิจเหนือ

งานปีนี้ชัดเจนขึ้นในบทบาทของตนต่อ NEC (Northern Economic Corridor) — ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคเหนือที่ตั้งใจยกระดับฐานเศรษฐกิจชายแดน จาก “ประตูการค้า” ไปเป็น “ชุมทางเศรษฐกิจสร้างสรรค์” กลไกสำคัญคือ Soft Power ด้านผ้าไทย–แฟชั่น–งานออกแบบ ที่สำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงรายผลักดันต่อเนื่องผ่านแนวคิด “10+Wow Chiang Rai” ผสาน ประเพณีล้านนา–ภูมิปัญญาท้องถิ่น–ผ้าชาติพันธุ์ กับรสนิยมร่วมสมัย เป็นภาษาการตลาดที่คนทั้งโลกเข้าใจและเต็มใจควักกระเป๋า

ยิ่งไปกว่านั้น แนวคิดการ “น้อมนำ” พระราชดำริ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ในการส่งเสริมการใช้ผ้าไทยในชีวิตประจำวัน ทำให้หัตถศิลป์ผ้าไม่ถูกยึดติดอยู่ในตู้โชว์ แต่กลายเป็นส่วนหนึ่งของ “วิถีชีวิตที่ซื้อซ้ำได้” เมื่อพลังความภาคภูมิใจถูกเชื่อมเข้ากับช่องทางการตลาดและการออกแบบที่ร่วมสมัย

10 ล้านบาทที่ไหลเวียน ทำไมตัวเลขนี้สำคัญกว่า “ยอดขาย”

แม้ตัวเลข เงินสะพัดกว่า 10 ล้านบาท จะสะดุดตาในเชิงประชาสัมพันธ์ แต่ความหมายที่ลึกกว่าคือ “คุณภาพการไหลเวียน” ของเงินภายในอีโคซิสเต็มแฟชั่น–ท่องเที่ยวชายแดน เงินก้อนนี้แตกตัวไปยังผู้มีส่วนได้ส่วนเสียตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ — กลุ่มทอผ้า ช่างฝีมือ ผู้ค้าปลีก ร้านอาหาร โรงแรม รถโดยสาร คนทำงานอีเวนต์ ไปจนถึงช่างภาพ–ครีเอเตอร์ท้องถิ่น

หากพิจารณา “มูลค่าในอนาคต” (future value) งานลักษณะนี้ยังสร้าง “ทุนทางสังคมและวัฒนธรรม” ที่แปลงเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจได้จริงในรอบปีถัดไป ทั้งการสั่งตัดชุด การสั่งซื้อสินค้าหัตถกรรมซ้ำ การกลับมาเที่ยวแม่สาย และการดึงดูดแบรนด์–สปอนเซอร์ที่สนใจวิถีแฟชั่น–ชุมชนอย่างจริงจัง

เสียงจากเวทีนโยบาย ผ้าหนึ่งผืน เปลี่ยนชีวิตได้ทั้งชุมชน

ในนามเจ้าภาพจังหวัด ฝ่ายจัดงานย้ำบทบาท “ถนนแฟชั่น” ที่ต้องคงความเป็นเวทีสาธารณะ เปิดกว้างให้ช่างฝีมือ–ดีไซเนอร์–นักเรียนสายออกแบบได้ทดลองงานและได้คำติชมจากตลาดจริง แนวทางนี้อยู่บนฐานคิด “สร้างอุปสงค์ด้วยความหมาย” เมื่อผู้สวมใส่รู้เรื่องราวของผืนผ้า—แหล่งที่มา เทคนิคการทอ สีธรรมชาติ ลวดลายชาติพันธุ์—ความยินดีที่จะจ่ายย่อมสูงขึ้น และนานขึ้น

การผลักดันเช่นนี้ไม่ใช่งาน “หรู–ไกลตัว” แต่คือเศรษฐกิจชุมชนที่เรียบง่ายและยั่งยืน ผ้าขายได้—ครอบครัวช่างฝีมือมีรายได้—เยาวชนเห็นอนาคตในท้องถิ่น—นักท่องเที่ยวกลับมา—ธุรกิจรายย่อยเติบโต—ภาษีท้องถิ่นเพิ่มขึ้น—รัฐมีทรัพยากรพัฒนาพื้นฐานต่อเนื่อง วงจรนี้คือคำจำกัดความของ “Soft Power ที่ลงดิน” อย่างแท้จริง

Premium Market ห้องเครื่องลับของการค้าแฟชั่น

คู่ขนานกับรันเวย์คือ “Chiang Rai Premium Market” ที่ถูกออกแบบให้ทำหน้าที่เป็น “โชว์รูม–ตลาด–ห้องเจรจา” ในคราวเดียวกัน การคัด สินค้า GI, Chiang Rai Brand และ Wellness มากกว่า 100 บูธ ทำให้ผู้ซื้อต่างจังหวัดและต่างชาติมีโอกาสเห็นสินค้าแท้และแหล่งผลิตในคราวเดียว ลดต้นทุนการค้นหา และเร่ง “วงจรการตัดสินใจซื้อ” ให้สั้นลงอย่างมีนัยสำคัญ

ผลที่เกิดขึ้นไม่ใช่เพียงยอดขายหน้างาน แต่คือ “สายสัมพันธ์ทางธุรกิจ” ที่ต่อยอดไปสู่การสั่งผลิต การทำคอลเลกชันร่วม การพัฒนาบรรจุภัณฑ์ และการวางขายในช่องทางใหม่ ๆ ซึ่งเป็นผลตอบแทนระยะกลางที่มักสูงกว่ายอดขายทันทีในวันงาน

ความหมายเชิงการศึกษา ห้องเรียนมีชีวิตของดีไซน์รุ่นใหม่

รายชื่อผู้ชนะที่กระจายอยู่ในหลายสถาบันการศึกษา เช่น มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง, มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร, สถาบันอาชีวศึกษาในลำพูน–ลำปาง ตลอดจน Wellington College International School Bangkok ชี้ให้เห็นว่า “ห้องเรียนแฟชั่น” ของภาคเหนือ–กรุงเทพฯ–และต่างประเทศ เริ่มมาบรรจบกันที่ชายแดนแม่สาย

เวทีนี้ทำหน้าที่เสมือน “สตูดิโอภาคสนาม” ที่ให้ดีไซเนอร์ได้เห็นการตอบสนองของผู้ชมจริงต่อวัสดุจริง สีจริง แพตเทิร์นจริง—บทเรียนที่ไม่มีในห้องเรียน และเป็นชนวนให้เกิดการพัฒนาเชิงเทคนิคและการตลาดที่มีฐานความจริงรองรับ

ขยายเครือข่ายจากถนนชายแดนสู่แพลตฟอร์มการค้าเชิงสร้างสรรค์

เมื่อเส้นทาง “แฟชั่น–การค้า–การท่องเที่ยว” เริ่มเข้าที่ คำถามสำคัญคือ “จะทำอย่างไรให้มูลค่าต่อหน่วยสูงขึ้นและยั่งยืนขึ้น” แนวทางที่งานนี้วางไว้และควรต่อยอด ได้แก่

  1. คอลเลกชันร่วม (Co-creation) ระหว่างดีไซเนอร์รุ่นใหม่–กลุ่มทอผ้าชาติพันธุ์–ผู้ประกอบการท่องเที่ยว เพื่อสร้างสินค้าที่มีเรื่องเล่าร่วมและขายได้หลายฤดูกาล
  2. มาตรฐานคุณภาพและการรับรอง (Certification) สำหรับสินค้า GI และแบรนด์เชียงราย เพื่อสร้างความเชื่อมั่นตลาดสากล
  3. ดาต้าท่องเที่ยว–การค้า ของงานในปีถัดไป เช่น จำนวนผู้เข้าชมซ้ำ อัตราการแปลงเป็นยอดสั่งผลิต เพื่อวัดผลเชิงนโยบายอย่างเป็นระบบ
  4. เชื่อม NEC กับโลจิสติกส์ชายแดน เพื่อให้การสั่งซื้อข้ามแดนสะดวกขึ้น ลดเวลา–ต้นทุน และเพิ่มความน่าเชื่อถือให้ผู้ซื้อรายใหม่

เมื่อผ้าไทยเดินทางถึงชายแดน โลกก็เดินเข้าหาเชียงราย

การปิดฉาก “Fashion on the Road” ปีนี้ไม่ได้ทิ้งรอยเท้าไว้แค่บนรันเวย์ แต่ทิ้ง “เส้นทาง” ให้เศรษฐกิจสร้างสรรค์ของเชียงรายเดินหน้าต่อ ตัวเลขเงินสะพัด 10 ล้านบาท คือสัญญาณของโครงสร้างที่เริ่มทำงาน — รัฐ–ท้องถิ่น–เอกชน–การศึกษา–ชุมชน ขับเคลื่อนในทิศเดียวกัน และยืนยันว่า Soft Power ที่จับต้องได้ เริ่มแปรสภาพเป็นรายได้ที่แบ่งปันกันได้

บนถนนชายแดนที่ผู้คนหลายภาษาเดินสวนกัน ผืนผ้าหนึ่งผืนทำหน้าที่เชื่อมวัฒนธรรม สร้างงาน สร้างรายได้ และสร้างความภาคภูมิใจร่วม เมื่อรันเวย์ดับไฟลง เม็ดเงินยังไหลเวียนต่อ และเรื่องราวของเชียงรายยังเดินหน้า—จากแม่สายสู่ตลาดโลก—บนถนนสายเดิมที่ชื่อว่า “ความร่วมมือ”

สรุปสาระสำคัญ (Key Takeaways)

  • พิธีปิดจัดขึ้น 2 พฤศจิกายน 2568 ณ หน้าด่านพรมแดนไทย–เมียนมา อ.แม่สาย โดย รองผู้ว่าฯ นรศักดิ์ สุขสมบูรณ์ เป็นประธาน
  • งานสร้าง เงินสะพัดรวมกว่า 10 ล้านบาท จากแฟชั่นโชว์และ Premium Market กว่า 100 บูธ
  • ผลรางวัล 3 หมวด สะท้อนความเป็นนานาชาติ: Thaw Thazin (Myanmar) ชนะชุดลำลอง, Team Sean (มฟล.) ชนะชุดทำงาน, นนท์ฒวัศณ์ วงค์พิใจ (มทร.พระนคร) ชนะชุดราตรี และ นทฤทธ์ จินตกานนท์ คว้า The New Generation Creative Ward
  • งานตอบรับ NEC และแนวคิด “10+Wow Chiang Rai” เชื่อมผ้าไทย–หัตถศิลป์–การท่องเที่ยวชายแดน สู่เวทีสากล

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สวท.เชียงราย กรมประชาสัมพันธ์
  • สำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงราย
  • เทศบาลตำบลแม่สาย
  • ฝ่ายจัดงาน Fashion on the Road 3rd
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News