Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ครูบา-จิตอาสาสานพลัง! มทบ.37 จัดกิจกรรม “วันดินโลก” วางโครงสร้างนิเวศดักตะกอนดิน สร้างความมั่นคงด้านน้ำ

วันดินโลก” ที่บ้านร่องเบ้อ มทบ.37 นำจิตอาสาสร้างฝาย Gabion ฟื้นป่าต้นน้ำ–รับมือไฟป่าเชียงราย

เชียงราย – วันที่ 10 ธันวาคม 2568 ศูนย์อำนวยการจิตอาสาพระราชทาน มณฑลทหารบกที่ 37 (ศอ.จอส.พระราชทาน มทบ.37) จัดกิจกรรมจิตอาสาพัฒนา “น้อมรำลึก เนื่องในวันพ่อแห่งชาติและวันดินโลก” ณ บ้านร่องเบ้อ ตำบลห้วยสัก อำเภอเมืองเชียงราย โดยมีเป้าหมายสำคัญในการอนุรักษ์ป่าต้นน้ำ ฟื้นฟูระบบนิเวศ และสร้างแหล่งน้ำต้นทุนให้ชุมชน ผ่านการสร้างฝายชะลอน้ำแบบกล่องลวดตาข่าย Gabion ควบคู่กับการปลูกต้นไม้และปล่อยพันธุ์ปลาในแหล่งน้ำชุมชน

กิจกรรมครั้งนี้มี นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย/รองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร จังหวัดเชียงราย (ฝ่ายพลเรือน) เป็นประธานในพิธี โดยมีผู้เข้าร่วมกว่า 400 คน ประกอบด้วยกำลังพลจิตอาสาพระราชทาน มทบ.37 หน่วยงานรัฐ ภาคธุรกิจ เยาวชน และชุมชนในพื้นที่บ้านร่องเบ้อ สะท้อนรูปธรรมของการบูรณาการทุกภาคส่วนในการดูแลทรัพยากรธรรมชาติร่วมกัน

วันดินโลก–จากพระราชดำริสู่การลงมือในป่าต้นน้ำเชียงราย

การจัดกิจกรรม “วันดินโลก” ในประเทศไทยมีความหมายลึกซึ้งเป็นพิเศษ เนื่องจากองค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) กำหนดให้วันที่ 5 ธันวาคมของทุกปีเป็น “World Soil Day” เพื่อรณรงค์ให้ทั่วโลกตระหนักถึงความสำคัญของดิน ต่อความมั่นคงทางอาหารและระบบนิเวศ โดยอ้างอิงพระราชดำริด้านการจัดการดินและน้ำของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช ซึ่งทรงริเริ่มโครงการพระราชดำริต่าง ๆ ด้านอนุรักษ์ดินและน้ำอย่างต่อเนื่องยาวนาน

กิจกรรมที่บ้านร่องเบ้อในวันที่ 10 ธันวาคม 2568 จึงเป็นทั้งการน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ และการต่อยอดหลักคิด “พัฒนาควบคู่อนุรักษ์” สู่การปฏิบัติในพื้นที่จริง โดยเลือกป่าต้นน้ำและลำห้วยของชุมชนเป็นสมรภูมิหลักในการทำงานเชิงจิตอาสา

พลังจิตอาสา 400 ชีวิต เครือข่ายที่เกินกว่า “งานวันเดียว”

หัวใจสำคัญของกิจกรรม คือ การรวมพลังภาคีเครือข่ายจากหลากหลายสาขา ทั้งด้านความมั่นคง หน่วยงานด้านสังคม เศรษฐกิจ และเยาวชนในพื้นที่

ผู้เข้าร่วมประกอบด้วย

  • กำลังพลจิตอาสาพระราชทานจากมณฑลทหารบกที่ 37
  • สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดเชียงราย (พม.จว.ช.ร.)
  • จิตอาสากองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัดเชียงราย (กอ.รมน.จังหวัด ช.ร.)
  • สำนักงานประมงจังหวัดเชียงราย
  • คณะศูนย์ส่งเสริมความรับผิดชอบต่อสังคมของภาคธุรกิจจังหวัดเชียงราย (CSR เชียงราย)
  • ตัวแทนวิทยาลัยอาชีวศึกษา เยาวชนสภาลมหายใจจังหวัดเชียงราย และกลุ่มเยาวชนไทยหัวใจอาสา
  • ผู้นำท้องถิ่นและประชาชนจิตอาสาบ้านร่องเบ้อ

การมีส่วนร่วมที่หลากหลายเช่นนี้สะท้อนให้เห็นว่า การอนุรักษ์ป่าต้นน้ำและการจัดการปัญหาสิ่งแวดล้อม ไม่ใช่หน้าที่ของหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง หากแต่ต้องอาศัย “ทุนทางสังคม” ของชุมชนในวงกว้าง ทั้งในมิติความรู้ กำลังคน ทุน และเครือข่าย

นอกจากนี้ กิจกรรมยังได้รับเมตตาจาก “ครูบาศรีจอมหมอกฟ้างำเมือง” พระเกจิจากจังหวัดลำปาง เดินทางมาร่วมให้กำลังใจจิตอาสาและชาวบ้านที่ลงมือฟื้นฟูป่าต้นน้ำร่วมกันในพื้นที่บ้านร่องเบ้อ ช่วยเสริมมิติทางวัฒนธรรมและจิตวิญญาณให้กับการขับเคลื่อนงานอนุรักษ์ ซึ่งมักจะต้องใช้ความต่อเนื่องและความศรัทธาในระยะยาว

ฝาย Gabion วิศวกรรมเรียบง่ายที่เปลี่ยนภูเขาแห้งให้กลายเป็น “ป่าเปียก”

ภารกิจหลักของกิจกรรมครั้งนี้ คือ การสร้าง “ฝายชะลอน้ำแบบกล่องลวดตาข่าย Gabion” บริเวณลำห้วยในพื้นที่ป่าต้นน้ำของบ้านร่องเบ้อ

ฝาย Gabion เป็นโครงสร้างชะลอน้ำที่สร้างจากกล่องลวดตาข่ายบรรจุก้อนหิน มีข้อดีคือแข็งแรง ปรับตัวตามสภาพพื้นที่ได้ดี และปล่อยให้กระแสน้ำไหลผ่านได้ แต่ถูกชะลอความเร็วลง ทำให้ตะกอนดินหยาบตกค้างอยู่ด้านเหนือฝาย พร้อมทั้งกักเก็บความชุ่มชื้นให้พื้นที่โดยรอบ เมื่อเวลาผ่านไป ตะกอนที่สะสมจะกลายเป็นแหล่งดินอุดมสมบูรณ์ที่เอื้อต่อการเติบโตของพืชพรรณรอบลำห้วย

สำหรับบ้านร่องเบ้อ ฝาย Gabion ที่สร้างขึ้นถูกออกแบบให้ทำหน้าที่หลายประการพร้อมกัน ได้แก่

  1. ดักตะกอนป้องกันการพังทลายของดินในพื้นที่ลาดชัน
  2. เพิ่มความชุ่มชื้นให้กับพื้นที่ป่าต้นน้ำ สร้าง “ระบบนิเวศป่าเปียก” ที่ช่วยลดโอกาสเกิดไฟป่า
  3. เป็นแหล่งกักเก็บน้ำต้นทุนสำหรับระบบประปาภูเขาของชุมชน
  4. ทำหน้าที่เป็นแหล่งน้ำสำรองสำหรับทีมดับไฟป่าชุมชนในช่วงฤดูแล้ง

เมื่อผนวกรวมกับกิจกรรมปล่อยปลาลงสู่แหล่งน้ำและปลูกต้นไม้ลดภาวะโลกร้อน กิจกรรมในวันเดียวจึงไม่ได้สร้างเพียง “ฝายหนึ่งตัว” หากแต่เป็นการวางโครงสร้างพื้นฐานทางนิเวศและสังคมเพื่อการจัดการทรัพยากรน้ำอย่างมีส่วนร่วมในระยะยาว

เชียงราย–เมืองหน้าด่านปัญหาไฟป่าและหมอกควันภาคเหนือ

ทุกปีในช่วงฤดูแล้ง จังหวัดเชียงรายและจังหวัดในภาคเหนือเผชิญปัญหาไฟป่าและหมอกควัน PM2.5 อย่างต่อเนื่อง ทั้งจากจุดความร้อนในประเทศและหมอกควันข้ามแดน โดยข้อมูลจากหน่วยงานด้านสิ่งแวดล้อมชี้ว่า จุดความร้อนจำนวนมากที่เกิดจากไฟป่ามีแนวโน้มสัมพันธ์กับระดับฝุ่น PM2.5 ในพื้นที่ โดยเฉพาะแนวชายแดนที่รับอิทธิพลจากกระแสลมพัดพาควันไฟจากประเทศเพื่อนบ้านเข้ามา

รายงานสถานการณ์ไฟป่าและฝุ่นละอองในจังหวัดเชียงรายในช่วงฤดูหมอกควันระบุว่า หลายวันค่าฝุ่น PM2.5 พุ่งสูงเกินค่ามาตรฐาน ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มเด็ก ผู้สูงอายุ และผู้ป่วยโรคทางเดินหายใจเรื้อรัง

ในบริบทนี้ การสร้าง “ป่าเปียก” ด้วยฝายชะลอน้ำในพื้นที่ต้นน้ำ ไม่เพียงช่วยฟื้นฟูความชุ่มชื้นของผืนป่าและลดการแพร่กระจายของไฟป่า แต่ยังช่วยลดโอกาสที่ไฟจะลุกลามกลายเป็นจุดความร้อนขนาดใหญ่ ซึ่งมีส่วนสำคัญต่อการเกิดหมอกควัน PM2.5 ในระดับภูมิภาค

กิจกรรมที่บ้านร่องเบ้อจึงสะท้อนให้เห็นแนวคิด “คิดระดับภูมิภาค–ลงมือระดับหมู่บ้าน” กล่าวคือ แม้ฝายหนึ่งตัวในลำห้วยเล็ก ๆ จะดูเป็นเรื่องเล็กในสายตาคนนอกพื้นที่ แต่เมื่อเชื่อมโยงกับระบบฝายชะลอน้ำจำนวนมากในลุ่มน้ำเดียวกัน ก็สามารถสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อระบบนิเวศและคุณภาพอากาศของทั้งจังหวัดได้

หนองหลวง–ร่องเบ้อ แหล่งน้ำชุมชนที่มากกว่า “สระน้ำสำหรับทำการเกษตร”

พื้นที่บ้านร่องเบ้อ–หนองหลวง ที่จัดกิจกรรมครั้งนี้ มีความสำคัญต่อวิถีชีวิตของประชาชนในหลายมิติ เป็นทั้งแหล่งน้ำเพื่อการเกษตร แหล่งประมงพื้นบ้าน และพื้นที่สีเขียวที่ช่วยรองรับกิจกรรมนันทนาการของชุมชน

ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2568 นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย ได้เข้าร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือในการกำจัดผักตบชวาและวัชพืชบริเวณหนองหลวงร่วมกับหลายองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ได้แก่ อำเภอเมืองเชียงราย อำเภอเวียงชัย เทศบาลตำบลห้วยสัก เทศบาลตำบลสิริเวียงชัย เทศบาลตำบลเมืองชุม และเทศบาลตำบลดอยศิลา เพื่อฟื้นฟูคุณภาพแหล่งน้ำให้กลับมาใสสะอาดและใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มศักยภาพ

ปัจจุบัน หนองหลวงได้รับการปรับปรุงสภาพแวดล้อมจนกลับมามีคุณภาพน้ำที่ดีขึ้นอย่างชัดเจน พร้อมรองรับการเป็นหนึ่งในโซนจัดกิจกรรม “มหกรรมไม้ดอกอาเซียนเชียงราย 2025” ในเขตอำเภอเวียงชัย กำหนดจัดระหว่างวันที่ 19 ธันวาคม 2568 ถึง 7 มกราคม 2569 ซึ่งจะดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศให้เข้ามาสัมผัสความงดงามของแหล่งน้ำและภูมิทัศน์ในพื้นที่

การสร้างฝาย Gabion ในลำห้วยต้นน้ำที่เกี่ยวเนื่องกับหนองหลวง จึงเป็นเหมือนการเสริม “หลังบ้านด้านนิเวศ” ให้มั่นคง เพื่อรองรับ “หน้าบ้านด้านการท่องเที่ยว” ที่กำลังได้รับการผลักดันอย่างจริงจังจากจังหวัดและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น

จิตอาสาพระราชทาน กับสมการ “ความมั่นคง–สิ่งแวดล้อม–ชุมชนเข้มแข็ง”

การขับเคลื่อนกิจกรรมจิตอาสาโดยมณฑลทหารบกที่ 37 ในครั้งนี้ ไม่ได้เป็นเพียงการระดมกำลังพลไปช่วยงานชุมชนระยะสั้น หากแต่สะท้อนบทบาทของกองทัพในมิติ “ความมั่นคงมนุษย์” ที่มุ่งเน้นการเสริมสร้างความปลอดภัยด้านสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติให้กับประชาชนในระยะยาว

ภายใต้กรอบแนวคิดจิตอาสาพระราชทาน กิจกรรมอนุรักษ์ป่าและการสร้างฝายชะลอน้ำจึงทำหน้าที่เป็น “สะพาน” เชื่อมความร่วมมือระหว่างหน่วยงานความมั่นคงกับเครือข่ายภาคประชาชน เยาวชน และภาคธุรกิจในพื้นที่ โดยมีเป้าหมายร่วมกันในการป้องกันไฟป่า ลดหมอกควัน และสร้างความมั่นคงด้านน้ำให้กับชุมชน

การบูรณาการดังกล่าวสอดคล้องกับแนวทางของหน่วยงานด้านทรัพยากรธรรมชาติของไทย ที่ให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของชุมชนในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การวางแผน ออกแบบ ไปจนถึงการดูแลรักษาโครงสร้าง เช่น ฝายชะลอน้ำและแนวกันไฟ เพื่อให้ชุมชนรู้สึกเป็นเจ้าของและพร้อมดูแลต่อเนื่องในระยะยาว

จาก “วันเดียว” สู่ “แผนระยะยาว” ความท้าทายและข้อเสนอเชิงนโยบาย

แม้กิจกรรมในวันดินโลกที่บ้านร่องเบ้อจะประสบความสำเร็จในแง่การระดมพลังจิตอาสาและผลลัพธ์เชิงรูปธรรมในพื้นที่ แต่ความท้าทายสำคัญคือ การต่อยอดให้โครงการลักษณะนี้กลายเป็นส่วนหนึ่งของ “แผนจัดการลุ่มน้ำและป่าต้นน้ำเชียงราย” ที่มีความชัดเจนและต่อเนื่อง

ประเด็นที่ควรพิจารณาในเชิงยุทธศาสตร์ ได้แก่

  1. การสำรวจศักยภาพลำห้วยและป่าต้นน้ำรอบบ้านร่องเบ้อ–หนองหลวง
    เพื่อต่อยอดการสร้างฝายชะลอน้ำและแนวป่าเปียกให้ครอบคลุมพื้นที่เสี่ยงต่อไฟป่า โดยอาศัยฐานข้อมูลจุดความร้อน (Hotspot) และข้อมูลไฟป่าที่หน่วยงานด้านภูมิสารสนเทศและสิ่งแวดล้อมรวบรวมไว้
  2. การเชื่อมโยงข้อมูลกิจกรรมจิตอาสากับฐานข้อมูลการจัดการไฟป่าและ PM2.5
    หากสามารถบันทึกตำแหน่งฝายชะลอน้ำ แนวกันไฟ และพื้นที่ปลูกป่าที่เกิดจากโครงการจิตอาสาเข้าสู่ระบบข้อมูลกลาง ก็จะช่วยให้จังหวัดเชียงรายสามารถประเมินผลเชิงนโยบายได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ว่าการลงทุนด้านจิตอาสาและโครงสร้างนิเวศมีส่วนช่วยลดความรุนแรงของไฟป่าและหมอกควันได้มากน้อยเพียงใด
  3. การเสริมบทบาทเยาวชนในฐานะ “ผู้พิทักษ์ต้นน้ำรุ่นใหม่”
    การมีส่วนร่วมของเยาวชนจากสภาลมหายใจและกลุ่มเยาวชนไทยหัวใจอาสาในกิจกรรมครั้งนี้ เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการสร้างผู้นำรุ่นใหม่ด้านสิ่งแวดล้อม หากได้รับการออกแบบโครงการต่อเนื่อง เช่น หลักสูตรเยาวชนเฝ้าระวังไฟป่า หรือโครงการสำรวจความหลากหลายทางชีวภาพในพื้นที่ฝายและลำห้วย ก็จะช่วยให้การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติกลายเป็นวาระของคนรุ่นใหม่อย่างแท้จริง
  4. การเชื่อมโยงกับการท่องเที่ยวเชิงนิเวศและงานมหกรรมไม้ดอกอาเซียนเชียงราย 2025
    หนองหลวงในฐานะหนึ่งในโซนจัดกิจกรรมของงานมหกรรมไม้ดอกอาเซียนเชียงราย 2025 มีศักยภาพสูงในการพัฒนาเส้นทางท่องเที่ยวเชิงนิเวศที่เล่าถึงความสำคัญของป่าต้นน้ำ ฝายชะลอน้ำ และตำนานท้องถิ่น หากสามารถออกแบบเส้นทางเรียนรู้ที่เชื่อมระหว่างจุดชมดอกไม้กับพื้นที่ป่าต้นน้ำบ้านร่องเบ้อ ก็จะช่วยให้ผู้มาเยือนเข้าใจว่า “ความสวยงามของดอกไม้ในงานมหกรรม” เชื่อมโยงกับ “ความชุ่มชื้นของป่าต้นน้ำ” อย่างไร

วันดินโลกที่บ้านร่องเบ้อ – เรื่องเล่าของดิน น้ำ ป่า และผู้คน

กิจกรรมจิตอาสาพัฒนาที่บ้านร่องเบ้อในโอกาสน้อมรำลึกวันพ่อแห่งชาติและวันดินโลก ไม่ได้เป็นเพียงภาพของผู้คนที่ช่วยกันแบกหิน ใส่กล่องลวดตาข่าย ปลูกต้นไม้ และปล่อยปลาเท่านั้น หากแต่เป็น “ฉากย่อย” ของเรื่องเล่าขนาดใหญ่เกี่ยวกับการจัดการทรัพยากรธรรมชาติของจังหวัดเชียงรายในศตวรรษที่ต้องเผชิญทั้งวิกฤตภูมิอากาศ ไฟป่า หมอกควัน และความต้องการใช้น้ำที่เพิ่มสูงขึ้น

ฝาย Gabion หนึ่งตัวอาจไม่สามารถหยุดไฟป่าทั้งจังหวัด หรือทำให้ค่า PM2.5 ลดลงในทันที แต่เมื่อมองในมิติของระบบนิเวศและความร่วมมือของผู้คน การมีฝายจำนวนมากขึ้นในพื้นที่ต้นน้ำ การมีเยาวชนและชุมชนที่เข้าใจบทบาทของตนเอง การมีหน่วยงานรัฐ–ทหาร–เอกชน–ภาคศาสนาร่วมขับเคลื่อน ล้วนเป็นองค์ประกอบที่จำเป็นในการสร้าง “เมืองปลอดภัยด้านสิ่งแวดล้อม” อย่างยั่งยืน

ในมุมหนึ่ง วันดินโลกที่บ้านร่องเบ้อจึงเป็นการย้ำเตือนว่าดิน น้ำ ป่า และผู้คน ไม่ใช่เรื่องที่แยกขาดจากกัน การอนุรักษ์ป่าต้นน้ำไม่ใช่เพียงการปกป้องต้นไม้ แต่เป็นการปกป้องชีวิตของผู้คนทั้งในวันนี้และอนาคต

สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • องค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO)
  • กรมชลประทาน
  • กรมควบคุมมลพิษ
  • สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ GISTDA
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
MOST POPULAR
FOLLOW ME
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

มทบ.37 ยกระดับมาตรฐาน นศท.เชียงราย ฝึกกู้ชีพ-เฝ้าระวังฮีทสโตรก เพื่อสังคม

มทบ.37 ยกระดับมาตรฐานความปลอดภัย “นักศึกษาวิชาทหารเชียงราย” ฝึกเข้มปฐมพยาบาล–กู้ชีพ–เฝ้าระวังฮีทสโตรก สอดรับบทบาท “ทหารยุคใหม่เพื่อสังคม”

เชียงราย, 19 สิงหาคม 2568 — ยามเช้าอวลเมฆฝนบนสนามฝึกของ มณฑลทหารบกที่ 37 (มทบ.37) เสียงนกหวีดกับจังหวะนับก้าวถูกแทนที่ด้วยจังหวะกดหน้าอก “หนึ่ง–สอง–สาม…” จากห้องฝึกเฉพาะกิจที่จัดวางหุ่นจำลองพร้อมเครื่องกระตุกหัวใจไฟฟ้าอัตโนมัติ (AED) ในวันฝึกเชิงปฏิบัติการด้านการปฐมพยาบาลและเวชกรรมป้องกันของ นักศึกษาวิชาทหาร (นศท.) ชั้นปีที่ 1 กว่า 190 นาย กิจกรรมครั้งนี้จัดโดย โรงพยาบาลค่ายเม็งรายมหาราช ณ หน่วยฝึก นศท. มทบ.37 จังหวัดเชียงราย ภายใต้โจทย์ใหญ่ของยุคสภาพอากาศแปรปรวนที่เสี่ยงต่อ ฮีทสโตรก” (Heat Stroke) และเหตุฉุกเฉินทางการแพทย์กลางแจ้ง

หัวใจของการฝึกคือ “สร้างนักรบที่ปลอดภัยและเป็นที่พึ่งของสังคม” ไม่ใช่เพียงความแข็งแรงเชิงยุทธวิธี แต่รวมถึง ทักษะช่วยชีวิตและการดูแลสุขภาพเชิงรุก ซึ่งพิสูจน์แล้วว่า “ต่างเสี้ยวนาที — ต่างผลลัพธ์” สำหรับชีวิตของเพื่อนร่วมทีมและประชาชน

ทำไม “ฮีทสโตรก” จึงเป็นหัวข้อเร่งด่วนของการฝึกภาคสนาม

ประเทศไทยอยู่ในเขตร้อนชื้น การฝึกภาคสนามกลางแจ้งต่อเนื่อง การสวมอุปกรณ์ การเคลื่อนที่พร้อมน้ำหนักบรรทุก รวมทั้งความชื้นสัมพัทธ์สูง ล้วนเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาความเครียดจากความร้อน ความเสี่ยงไม่ได้วัดจากอุณหภูมิอย่างเดียว แต่ต้องมองผ่านดัชนีความร้อน/ค่าความเครียดความร้อนและสภาวะร่างกายรายบุคคล

การฝึกของ มทบ.37 จึงเริ่มต้นด้วย โมดูลความรู้ความเสี่ยงจากความร้อน ครบวงจร ตั้งแต่

  • การแยกแยะ กลุ่มอาการจากความร้อน” (เป็นลมแดด/ตะคริวจากความร้อน/ภาวะเพลียแดด/ฮีทสโตรก)
  • สัญญาณเตือน ที่ต้องจับตา: อ่อนแรง เวียนศีรษะ ปวดศีรษะ ตัวร้อนจัด เหงื่อหยุดไหล สับสน พูดไม่รู้เรื่อง ชัก
  • ปัจจัยเสี่ยงเฉพาะบุคคล: ขาดน้ำ พักผ่อนไม่พอ ภาวะน้ำตาลต่ำ น้ำหนักเกิน โรคประจำตัว ยาบางชนิด/คาเฟอีน/แอลกอฮอล์
  • หลักป้องกัน 4 ข้อ: (1) ดื่มน้ำสม่ำเสมอ—ก่อน–ระหว่าง–หลังฝึก (2) ปรับตัวค่อยเป็นค่อยไป (acclimatization) (3) สลับงาน–พักตามดัชนีความร้อน (4) ใช้ระบบ buddy check คอยสังเกตกัน
  • แนวทางปฐมพยาบาลฮีทสโตรก: โทรขอความช่วยเหลือ–ย้ายผู้ป่วยเข้าร่ม–คลายอุปกรณ์–เริ่ม ลดอุณหภูมิทันที” (active cooling) เช่น ประคบเย็น จุดเลือดผ่านมาก/พัดลม/พ่นละอองน้ำ/ถ้าอุปกรณ์พร้อมให้แช่น้ำเย็นทั้งตัว (cold-water immersion) จนกว่าจะถึงมือแพทย์

การบูรณาการความรู้ลักษณะนี้ช่วยให้ นศท. รู้เร็ว–ตัดสินใจเร็ว–ลงมือเร็ว ลดโอกาสไหลลื่นจากภาวะเพลียแดดไปสู่ฮีทสโตรกซึ่งเสี่ยงต่อชีวิต โดยเน้นว่า เวลา = อวัยวะ” การลดอุณหภูมิภายในนาทีแรก ๆ คือเส้นแบ่งสำคัญระหว่างการฟื้นตัวและภาวะแทรกซ้อนระยะยาว

การกู้ชีพ “CPR + AED” ให้เป็น—ให้ไว—ให้ถูกต้อง

ในห้องฝึกกู้ชีพ นศท. รอบต่อรอบถูกจัดเข้าสถานี Basic Life Support (BLS) เรียนรู้ตาม “ห่วงโซ่การรอดชีวิต” (Chain of Survival) ตั้งแต่การประเมินความปลอดภัย การเรียกขอความช่วยเหลือ การกดหน้าอกคุณภาพ ไปจนถึงการใช้ AED ที่ตั้งวางตามจุดยุทธศาสตร์ของพื้นที่ฝึก

สิ่งที่เน้นย้ำ

  • คุณภาพการกดหน้าอก: ลึก 5–6 ซม. จังหวะ ~100–120 ครั้ง/นาที ปล่อยหน้าอกคืนตัวเต็มที่ ลดเวลาหยุดกด (no-flow time)
  • การเป่าปาก/ช่วยหายใจ: ปรับตามบริบทการฝึกและความพร้อมอุปกรณ์ (mask/BVM) โดยไม่ให้รบกวนคุณภาพการกดหน้าอก
  • การใช้ AED: เปิดเครื่อง–ติดแผ่นนำไฟฟ้าตามตำแหน่ง–ทำตามเสียงเครื่อง—ช็อกโดยเร็วเมื่อเครื่องแนะนำ และ เริ่มกดต่อทันที หลังช็อก

หลักฐานจากแนวทางสากลชี้ว่า การเริ่ม CPR ภายในไม่กี่นาทีแรก เพิ่มโอกาสรอดชีวิตได้ หลายเท่าตัว และถ้าได้ ช็อกไฟฟ้าภายใน 3–5 นาทีแรก อัตรารอดชีวิตอาจสูงถึง ราว 50–70% ขึ้นกับบริบทและความพร้อมของระบบกู้ชีพ

เพื่อให้ ทำได้จริงในสนามจริง” ทีมครูฝึกจากโรงพยาบาลค่ายเม็งรายมหาราชกำกับ feedback แบบทันที ผ่านหุ่นที่วัดความลึก–จังหวะ–การคืนตัว ช่วยปรับท่วงท่าให้ได้มาตรฐาน ลด “นิสัยเสีย” ตั้งแต่วันแรก และจำลองเหตุการณ์สั้น ๆ เช่น ล้มหมดสติกลางแดด หรือ ช็อกไฟดูดจากอุปกรณ์สนาม เพื่อฝึกการตัดสินใจ–การสั่งงาน–การแบ่งบทบาทของทีม

มากกว่า “วิชาพยาบาลสนาม” สกิลชีวิตสำหรับทหารและพลเมือง

โปรแกรมที่ มทบ.37 ใช้ไม่หยุดอยู่แค่ CPR/AED และฮีทสโตรก แต่ขยายไปถึง การจัดชุดปฐมพยาบาลฉบับสนาม (IFAK) การห้ามเลือดด้วย ผ้าพันห้ามเลือดแรงรัด (tourniquet) การทำแผลเปิด–ปิด การดามกระดูก การเคลื่อนย้ายผู้บาดเจ็บอย่างปลอดภัย ตลอดจน สุขาภิบาล–น้ำ–อาหาร ระหว่างค่ายฝึก เพื่อ ลดเหตุที่ป้องกันได้ เช่น ภาวะขาดน้ำรุนแรง ติดเชื้อทางเดินอาหาร ผื่น–ราขาหนีบ พร้อมวินัยเรื่อง การนอนหลับ–โภชนาการ–การยืดเหยียด–การฟื้นตัว ซึ่งพิสูจน์ว่ามีผลต่อประสิทธิภาพการฝึกและการบาดเจ็บซ้ำซ้อน

ภาพรวมสะท้อน สามมิติ ของ “ทหารยุคใหม่เพื่อสังคม”

  1. ทหารปลอดภัย — ปกป้องกำลังพลด้วยมาตรฐานสาธารณสุขและเวชศาสตร์การกีฬา
  2. ทหารช่วยชีวิตได้ — เป็น first responder ในชุมชนได้จริงเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน
  3. ทหารสื่อสารความเสี่ยงเป็น — ถ่ายทอดความรู้ให้ครอบครัว โรงเรียน ชุมชน ลดการสูญเสียเชิงป้องกัน

เมื่อสนามฝึกคือห้องเรียนด้านสาธารณสุขเชิงรุก

การลงทุนเวลาและทรัพยากรของ มทบ.37 เพื่อสร้าง สมรรถนะด้านกู้ชีพ–ปฐมพยาบาล–เวชกรรมป้องกัน ให้ นศท. ปี 1 ตั้งแต่วัยเริ่มต้น มีนัยสำคัญอย่างน้อย 4 ประการ ยกระดับความปลอดภัยการฝึก การมี ระบบเฝ้าระวังความร้อน (work–rest cycle, hydration plan) พร้อม ครูฝึกที่รู้เส้นแดง ลดเหตุร้ายแรงได้จริง ขณะเดียวกันการมี AED และคนใช้เป็นในพื้นที่ฝึกเพิ่ม buffer ความปลอดภัย ทันที

การสร้างทุนมนุษย์ด้านกู้ชีพระดับชุมชนนักศึกษาวิชาทหารปีละหลายร้อยคนที่ผ่าน BLS/AED จะกระจายกลับสู่โรงเรียน มหาวิทยาลัย และชุมชน กลายเป็น เครือข่ายผู้ช่วยชีวิต ในเหตุการณ์จริง—ตั้งแต่อุบัติเหตุจราจรจนถึงภาวะหัวใจหยุดเต้นในบ้านและสถานที่สาธารณะ เพื่อต่อท่อ “ความเชื่อมั่น” ระหว่างทหาร–ประชาชนเมื่อประชาชนเห็นทหารเข้ามาหนุน ความปลอดภัยเชิงป้องกัน ภาพจำเชิงบวกและความไว้วางใจจะเติบโต โดยเฉพาะในจังหวัดท่องเที่ยว–ชายแดนอย่างเชียงรายที่กิจกรรมกลางแจ้งมีมากตลอดปีสอดคล้องมาตรฐานและแนวโน้มสากล หลักสูตรที่เน้น Chain of Survival การใช้ AED อย่างแพร่หลาย และ active cooling ในฮีทสโตรก เป็นแนวโน้มเดียวกับคำแนะนำขององค์กรวิชาชีพทั้งในและต่างประเทศ สะท้อนว่า “สนามฝึกไทย” เชื่อมโยงกับ มาตรฐานโลก มากขึ้น

เครื่องมือ–กระบวนการที่ทำให้ “แผนบนกระดาษ” กลายเป็น “สมรรถนะจริง”

เพื่อไม่ให้การฝึกจบแค่วันกิจกรรม มทบ.37 และโรงพยาบาลค่ายเม็งรายมหาราชวาง วงจรคุณภาพ (Quality Loop) ดังนี้

  • มาตรฐานอุปกรณ์: ตรวจเช็ก AED รายเดือน แบตเตอรี่–แผ่นนำไฟฟ้า ชุด IFAK ครบและพร้อมใช้
  • พัฒนาครูฝึก: ครูฝึกภาคสนามต้องผ่านอบรม BLS Provider/Instructor ตามเกณฑ์ของสภาวิชาชีพในไทย
  • ซ้อมแผนฉุกเฉิน: ทำ drill สั้น ๆ รายเดือน (collapse in heat, cardiac arrest scenario) ใช้เวลา 10–15 นาที แต่คงไหวพริบ
  • บันทึกและสะท้อนผล: เก็บข้อมูล near-miss/เหตุการณ์จริง มาสรุปบทเรียนทุกไตรมาส
  • สื่อสารกับชุมชน: ร่วม รพ.สต./โรงเรียน จัดคลินิกความรู้ mini-workshop นอกค่าย (เมื่อมีโอกาสและความพร้อม)

ผลลัพธ์ที่คาดหวังไม่ใช่เพียง สถิติลดเหตุฉุกเฉิน ในสนามฝึก แต่รวมถึง ตัวชี้วัดสังคม เช่น จำนวนผู้ผ่านการรับรอง BLS, จำนวนจุดติดตั้ง AED ในพื้นที่สาธารณะรอบค่าย, และกรณีช่วยชีวิตที่รายงานโดยชุมชน

คำถามชวนคิดสำหรับนโยบายระดับจังหวัด

  1. เชียงรายพร้อมแค่ไหนกับ “โครงข่าย AED สาธารณะ” ในสถานที่คนหนาแน่น (สนามกีฬา สถานศึกษา ตลาด จุดท่องเที่ยว)? แผนที่ AED เข้าถึงง่ายหรือยัง?
  2. หลักสูตรกู้ชีพพื้นฐาน ควรขยายไปยัง ครู–ผู้นำชุมชน–อาสาสมัคร อย่างไรให้เกิดความต่อเนื่อง?
  3. ในฤดูร้อนปีหน้า จังหวัดจะมี ระบบเตือนภัยความร้อน (Heat Alert) ที่ผูกกับ แผนงาน–พัก–ดื่มน้ำ ของกิจกรรมกลางแจ้งทุกภาคส่วนหรือไม่?

คำตอบของคำถามเหล่านี้ จะชี้ว่าความพยายามของ มทบ.37 จะต่อยอดเป็น สมรรถนะด้านความปลอดภัยของทั้งจังหวัด” ได้มากเพียงใด

จาก “นักศึกษาวิชาทหาร” สู่ “พลเมืองผู้ช่วยชีวิต”

วันฝึกหนึ่งวันอาจดูสั้นเมื่อเทียบกับวินัยทหารทั้งปี แต่ ความจำของกล้ามเนื้อ (muscle memory) และ ทัศนคติ “ลงมือก่อน–ช่วยก่อน” ที่นศท. ได้รับ จะอยู่ยาวนานกว่านั้น ท่ามกลางสภาพอากาศสุดขั้วและความเสี่ยงฉุกเฉินในชีวิตประจำวัน คนที่กล้าเข้าหาเหตุ–รู้วิธีประเมิน–เริ่มกดหน้าอก–หยิบ AED—คือ “ความต่าง” ระหว่าง ข่าวร้าย กับ ข่าวดี ที่ชุมชนอยากได้ยิน

การตัดสินใจของผู้บังคับบัญชา มทบ.37 ที่ให้ความสำคัญกับภารกิจนี้ สะท้อนวิสัยทัศน์ ทหารยุคใหม่เพื่อสังคม” อย่างแท้จริง และเป็นแบบอย่างที่ขยายผลได้ในค่ายทหารและสถานศึกษาอื่น ๆ ทั่วประเทศ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • โรงพยาบาลค่ายเม็งรายมหาราช / มณฑลทหารบกที่ 37 (เชียงราย): ข้อมูลโครงการฝึกปฐมพยาบาล–กู้ชีพ และการอบรม นศท. ประจำปี (ข่าวประชาสัมพันธ์หน่วย)
  • กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข: แนวทางป้องกันและเฝ้าระวังภาวะเจ็บป่วยจากความร้อน (Heat-Related Illness) และเอกสารความรู้เรื่อง “ฮีทสโตรก” สำหรับประชาชนและหน่วยงาน
  • สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.): แนวทางการปฏิบัติการช่วยชีวิตขั้นพื้นฐาน (BLS) และการใช้เครื่องกระตุกไฟฟ้าหัวใจอัตโนมัติ (AED) สำหรับบุคลากรด่านหน้าและประชาชน
  • สมาคมกู้ชีพไทย / Thai Resuscitation Council (TRC): เอกสารอบรม BLS Provider/Instructor และคำแนะนำเชิงปฏิบัติด้านกู้ชีพตามมาตรฐานสากล
  • American Heart Association (AHA): Guidelines for CPR and ECC (ฉบับปรับปรุงล่าสุด) — หลักฐานเชิงระบบเกี่ยวกับประสิทธิผลของ CPR คุณภาพสูงและการช็อกไฟฟ้าเร็วต่ออัตรารอดชีวิต
  • องค์การอนามัยโลก (WHO): แนวทาง Heat–Health Action Plans และคำแนะนำการจัดการภาวะเจ็บป่วยจากความร้อนในชุมชน
  • กรมอุตุนิยมวิทยา: บริบทสภาพอากาศร้อนชื้นของไทยและคำเตือนภัยร้อนระดับพื้นที่ (ประกอบการวางแผน work–rest และ hydration plan)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เปิดแผนแม่บ้าน ทบ. มทบ.37 เพิ่มช่องทางขาย เสริมรายได้ครอบครัว

สมาคมแม่บ้าน ทบ. สาขา มทบ.37 ขับเคลื่อนพลังสตรี จัดประชุมใหญ่ครั้งที่ 1/2568 พร้อมส่งเสริมศักยภาพเศรษฐกิจครอบครัวกำลังพล

เชียงราย, 12 มิถุนายน 2568 –  ห้องประชุมพญามังราย กองบัญชาการมณฑลทหารบกที่ 37 (มทบ.37) จังหวัดเชียงราย เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 12 มิถุนายน 2568 พันโทหญิง เยาวเรศ ชูก้าน ปฏิบัติหน้าที่ประธานสมาคมแม่บ้าน ทบ. สาขา มทบ.37 ได้เป็นประธานจัดการประชุมใหญ่สมาคมแม่บ้าน ทบ. สาขา มทบ.37 ครั้งที่ 1/2568 โดยมีสมาชิกสมาคมแม่บ้าน ทบ. จากหลากหลายหน่วยเข้าร่วมประชุมอย่างพร้อมเพรียง เป้าหมายสำคัญของการประชุมครั้งนี้ไม่เพียงเพื่อแนะนำตัวสมาชิกใหม่และกระชับความสัมพันธ์ในกลุ่มเท่านั้น หากแต่ยังเป็นเวทีสื่อสารแนวนโยบายและทิศทางการดำเนินงานที่สอดคล้องกับพันธกิจของสมาคมแม่บ้านกองทัพบกส่วนกลาง สะท้อนบทบาทของสตรีในฐานะกำลังเสริมสำคัญของกองทัพและครอบครัว

ขับเคลื่อนงานแม่บ้านตามนโยบาย เสริมสร้างความสามัคคีในกลุ่ม

พันโทหญิง เยาวเรศ ชูก้าน ได้กล่าวเน้นย้ำในที่ประชุมว่า สมาคมแม่บ้าน ทบ. สาขา มทบ.37 จะดำเนินภารกิจโดยยึดหลักความร่วมมือและความสามัคคีระหว่างสมาชิก เน้นการปฏิบัติงานที่สอดคล้องกับนโยบายจากสมาคมแม่บ้าน ทบ. ส่วนกลาง เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับกำลังพลและครอบครัว รวมถึงขยายผลไปสู่ชุมชนโดยรอบ ตลอดจนให้ความสำคัญกับบทบาทของแม่บ้านในฐานะ “กำลังใจ” และ “ที่ปรึกษา” ในชีวิตครอบครัวทหาร

เสริมสร้างศักยภาพอาชีพ สร้างรายได้มั่นคง ลดรายจ่ายครัวเรือน

หลังการประชุม สมาชิกสมาคมแม่บ้านฯ ได้ร่วมกันเยี่ยมชมมุมกาแฟและโซนจัดแสดงผลิตภัณฑ์ของสมาคมแม่บ้าน ทบ. สาขา มทบ.37 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการพัฒนาผลิตภัณฑ์และอาชีพเสริม “ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้” ให้กับครอบครัวกำลังพล โดยมีการนำสินค้าหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นงานหัตถกรรม อาหารแปรรูป และสินค้าแฟชั่น ซึ่งเกิดจากฝีมือและความคิดสร้างสรรค์ของสมาชิกแม่บ้านมาจัดแสดง

พันโทหญิง เยาวเรศ ได้ให้ข้อเสนอแนะเชิงกลยุทธ์กับสมาชิกในการนำสินค้าเข้าสู่ตลาดยุคใหม่ ด้วยการใช้ช่องทางออนไลน์และสื่อโซเชียลมีเดีย เช่น เฟซบุ๊ก อินสตาแกรม ไลน์ออฟฟิเชียล หรือแม้แต่แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ เพื่อให้สินค้าสามารถเข้าถึงผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายได้กว้างขึ้น พร้อมสนับสนุนให้มีการปรับแต่งผลิตภัณฑ์ให้ทันสมัย ตอบโจทย์ตลาด เพื่อเพิ่มมูลค่าและยอดขายให้กับครอบครัวกำลังพล

สร้างเครือข่ายแม่บ้าน เข้มแข็งและยั่งยืน

การประชุมในครั้งนี้นอกจากจะเน้นด้านเศรษฐกิจครัวเรือนแล้ว ยังเป็นเวทีเสริมสร้างเครือข่ายระหว่างสมาชิกแม่บ้านจากหน่วยต่าง ๆ เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ สนับสนุนซึ่งกันและกัน และขับเคลื่อนกิจกรรมที่ตอบโจทย์ทั้งในด้านสังคมและเศรษฐกิจ ช่วยเติมเต็มคุณภาพชีวิตของครอบครัวทหาร พร้อมเปิดกว้างในการรับฟังข้อเสนอแนะเพื่อนำไปพัฒนาการดำเนินงานต่อไป

พลังสตรีกับยุทธศาสตร์เศรษฐกิจฐานราก

การดำเนินงานของสมาคมแม่บ้าน ทบ. สาขา มทบ.37 สะท้อนความสำคัญของสตรีในการยกระดับเศรษฐกิจฐานรากผ่านกิจกรรมเสริมรายได้ และสร้างความแข็งแกร่งของครอบครัวกำลังพล การสนับสนุนให้สมาชิกก้าวสู่ตลาดออนไลน์จึงเป็นแนวทางที่สอดคล้องกับยุคเศรษฐกิจดิจิทัล และสร้างโอกาสใหม่ให้กับสินค้าและบริการในชุมชนทหาร ซึ่งจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจโดยรวมของจังหวัดเชียงรายในระยะยาว

พ.ท.หญิง เยาวเรศ ชูก้าน ปฏิบัติหน้าที่ ประธานสมาคมแม่บ้าน ทบ. สาขา มทบ.37

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สมาคมแม่บ้าน ทบ. สาขา มทบ.37
  • กองประชาสัมพันธ์ กองทัพบก
  • บก.มณฑลทหารบกที่ 37
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

มทบ.37 เลี้ยงส่งพลทหาร ปลดประจำการ อบอุ่น

มทบ.37 จัดเลี้ยงอาหารพิเศษบำรุงขวัญพลทหารกองประจำการก่อนปลดประจำการ สร้างความสัมพันธ์และกำลังใจเพื่อชาติ

เชียงราย, 29 เมษายน 2568 – มณฑลทหารบกที่ 37 (มทบ.37) ค่ายเม็งรายมหาราช จังหวัดเชียงราย จัดกิจกรรมเลี้ยงอาหารมื้อพิเศษและมอบกำลังใจแก่พลทหารกองประจำการที่ครบกำหนดปลดประจำการ รวมถึงกำลังพลที่ยังคงปฏิบัติหน้าที่อย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบแทนความทุ่มเท เสียสละ และความเข้มแข็งในการปกป้องอธิปไตยของชาติ ตลอดจนสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างผู้บังคับบัญชาและผู้ใต้บังคับบัญชา กิจกรรมนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของกองทัพบกในการดูแลขวัญกำลังใจของทหาร ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญในการรักษาความมั่นคงของชาติ

ความสำคัญของพลทหารกองประจำการ

พลทหารกองประจำการถือเป็นกำลังสำคัญของกองทัพบกไทย ด้วยภารกิจที่หลากหลาย ตั้งแต่การรักษาความมั่นคงตามแนวชายแดน การช่วยเหลือประชาชนในยามภัยพิบัติ ไปจนถึงการสนับสนุนภารกิจด้านความมั่นคงภายใน ในจังหวัดเชียงราย ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์เนื่องจากตั้งอยู่ใกล้แนวชายแดนไทย-เมียนมาและไทย-ลาว พลทหารกองประจำการมีบทบาทสำคัญในการปฏิบัติหน้าที่เพื่อปกป้องอธิปไตยและความสงบสุขของประชาชน

ตลอดระยะเวลาการรับราชการ พลทหารเหล่านี้ต้องเผชิญกับความท้าทายทั้งด้านร่างกายและจิตใจ การฝึกฝนอย่างเข้มข้น ภารกิจที่ต้องปฏิบัติในสภาพแวดล้อมที่ยากลำบาก และการอยู่ห่างจากครอบครัวเป็นสิ่งที่ทดสอบความอดทนและความมุ่งมั่นของพวกเขา การจัดกิจกรรมเพื่อบำรุงขวัญและให้กำลังใจก่อนปลดประจำการจึงเป็นวิธีหนึ่งที่กองทัพบกแสดงความขอบคุณและยกย่องความเสียสละของกำลังพลเหล่านี้

กิจกรรมเลี้ยงอาหารพิเศษและมอบกำลังใจ

เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2568 เวลา 17.30 น. พลตรีจักรวีร์ เสนีย์วรยุทธ์ ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 37 (ผบ.มทบ.37) พร้อมด้วยคณะผู้บังคับบัญชาระดับสูง ได้แก่ รองผู้บัญชาการ มทบ.37, หัวหน้าฝ่ายอำนวยการ, หัวหน้าฝ่ายกิจการพิเศษ, และผู้บังคับบัญชาหน่วยขึ้นตรง ได้ร่วมกันจัดกิจกรรมเลี้ยงอาหารมื้อพิเศษ ณ โรงประกอบเลี้ยง มทบ.37 ค่ายเม็งรายมหาราช จังหวัดเชียงราย

กิจกรรมนี้มีวัตถุประสงค์หลัก 3 ประการ ดังนี้:

  1. ตอบแทนความทุ่มเทเสียสละ เพื่อยกย่องพลทหารกองประจำการที่ครบกำหนดปลดประจำการในวันที่ 30 เมษายน 2568 ซึ่งได้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเข้มแข็งและเสียสละตลอดระยะเวลาการรับราชการ
  2. บำรุงขวัญและกำลังใจ เพื่อสร้างขวัญกำลังใจให้แก่พลทหารที่ยังคงปฏิบัติหน้าที่ รวมถึงนายทหารและนายสิบที่รับผิดชอบในการปกครองและดูแลกำลังพล
  3. เสริมสร้างความสัมพันธ์ เพื่อกระชับความสัมพันธ์ระหว่างผู้บังคับบัญชาและผู้ใต้บังคับบัญชาให้มีความใกล้ชิดและเป็นเสมือนครอบครัวเดียวกัน

ผู้เข้าร่วมกิจกรรมมีจำนวนทั้งสิ้น 253 นาย ประกอบด้วย

  • พลทหารกองประจำการที่ครบกำหนดปลดประจำการ
  • พลทหารกองประจำการที่ยังไม่ปลดประจำการ
  • นายทหารและนายสิบที่รับผิดชอบในการปกครองและดูแลกำลังพล

บรรยากาศในงานเต็มไปด้วยความอบอุ่นและเป็นกันเอง คณะผู้บังคับบัญชาทุกระดับได้ร่วมรับประทานอาหารกับพลทหารกองประจำการ พร้อมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและมอบคำแนะนำอย่างใกล้ชิด เมนูอาหารที่จัดเลี้ยงได้รับการคัดสรรอย่างพิถีพิถัน เพื่อให้เหมาะสมกับโอกาสพิเศษและเป็นที่ชื่นชอบของกำลังพล ซึ่งช่วยสร้างความผ่อนคลายและรอยยิ้มให้แก่ผู้เข้าร่วม

พลตรีจักรวีร์กล่าวในงานว่า “พลทหารกองประจำการทุกนายคือกำลังสำคัญของชาติ ความทุ่มเทและเสียสละของทุกคนในการปกป้องความมั่นคงและช่วยเหลือประชาชนเป็นสิ่งที่น่าภาคภูมิใจ กิจกรรมในวันนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งที่เราแสดงความขอบคุณ และหวังว่าทุกคนจะนำประสบการณ์ที่ได้รับไปใช้ในชีวิตต่อไป”

ความหมายและผลกระทบของกิจกรรม

กิจกรรมเลี้ยงอาหารพิเศษครั้งนี้ไม่เพียงเป็นการบำรุงขวัญกำลังใจเท่านั้น แต่ยังเป็นการสร้างความรู้สึกภาคภูมิใจในหมู่พลทหารกองประจำการที่กำลังจะปลดประจำการ รวมถึงกระตุ้นให้กำลังพลที่ยังคงปฏิบัติหน้าที่มีความมุ่งมั่นในการทำงานต่อไป การที่ผู้บังคับบัญชาระดับสูงลงมาร่วมรับประทานอาหารและพูดคุยอย่างเป็นกันเองช่วยลดช่องว่างระหว่างลำดับชั้นในกองทัพ และสร้างความรู้สึกว่าทุกคนเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวทหาร

สำหรับพลทหารที่ครบกำหนดปลดประจำการ กิจกรรมนี้เป็นการปิดฉากการรับราชการด้วยความทรงจำที่ดีและความรู้สึกถึงคุณค่าในสิ่งที่พวกเขาได้ทำเพื่อชาติ ส่วนพลทหารที่ยังคงปฏิบัติหน้าที่ การได้รับกำลังใจจากผู้บังคับบัญชาจะช่วยเสริมสร้างความมุ่งมั่นในการปฏิบัติภารกิจต่อไป โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีความท้าทายด้านความมั่นคงอย่างจังหวัดเชียงราย

นอกจากนี้ กิจกรรมดังกล่าวยังส่งผลดีต่อภาพลักษณ์ของกองทัพบกในสายตาประชาชน การแสดงให้เห็นถึงความเอาใจใส่ต่อสวัสดิการและขวัญกำลังใจของทหารกองประจำการช่วยสร้างความเชื่อมั่นในหมู่ครอบครัวและชุมชนว่า กองทัพบกให้ความสำคัญกับบุคลากรทุกระดับ และมุ่งมั่นในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของกำลังพล

ความสำคัญของขวัญกำลังใจในกองทัพ

การบำรุงขวัญและกำลังใจเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของกองทัพ โดยเฉพาะในหมู่พลทหารกองประจำการ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเยาวชนที่เพิ่งจบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาและเข้าสู่การรับราชการทหารด้วยความสมัครใจหรือจากการเกณฑ์ทหาร การที่พลทหารต้องเผชิญกับความกดดันจากภารกิจและการใช้ชีวิตในระเบียบวินัยทหารอาจส่งผลต่อสภาพจิตใจได้ การจัดกิจกรรมที่แสดงถึงความเอาใจใส่จากผู้บังคับบัญชาจึงมีบทบาทสำคัญในการลดความตึงเครียดและสร้างแรงจูงใจ

มิติด้านจิตใจ การได้รับการยกย่องและกำลังใจจากผู้บังคับบัญชาช่วยให้พลทหารรู้สึกถึงคุณค่าในงานที่ทำ ซึ่งเป็นการเสริมสร้างความมั่นใจและความภาคภูมิใจในตนเอง การที่ผู้บังคับบัญชาร่วมรับประทานอาหารและพูดคุยอย่างใกล้ชิดยังช่วยสร้างความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของหน่วย ทำให้พลทหารรู้สึกว่าได้รับการยอมรับและสนับสนุน

มิติด้านความสัมพันธ์ กิจกรรมนี้ช่วยกระชับความสัมพันธ์ระหว่างผู้บังคับบัญชาและผู้ใต้บังคับบัญชา ซึ่งเป็นพื้นฐานของการทำงานเป็นทีมในกองทัพ ความสัมพันธ์ที่ดีจะนำไปสู่การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพและการปฏิบัติภารกิจที่ราบรื่นยิ่งขึ้น

มิติด้านภาพลักษณ์ ในยุคที่สังคมให้ความสนใจกับการปฏิบัติต่อทหารกองประจำการมากขึ้น การจัดกิจกรรมที่แสดงถึงความเอาใจใส่ต่อสวัสดิการและขวัญกำลังใจช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับกองทัพบก และอาจส่งผลให้เยาวชนมีความสนใจในการสมัครเป็นทหารกองประจำการมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม การบำรุงขวัญกำลังใจไม่ควรจำกัดอยู่เพียงกิจกรรมครั้งคราวเท่านั้น แต่ควรมีการพัฒนาระบบสวัสดิการที่ยั่งยืน เช่น การปรับปรุงสภาพที่พัก การให้โอกาสทางการศึกษา และการสนับสนุนด้านอาชีพหลังปลดประจำการ เพื่อให้พลทหารรู้สึกว่าการรับราชการทหารเป็นโอกาสในการพัฒนาตนเองและมีอนาคตที่มั่นคง

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  1. จำนวนพลทหารกองประจำการในประเทศไทย ในปี 2567 กองทัพบกไทยมีพลทหารกองประจำการประมาณ 60,000–70,000 นายต่อปี โดยมีการเกณฑ์ทหารและรับสมัครทหารกองประจำการในรอบเดือนเมษายนและพฤศจิกายน (ที่มา: รายงานประจำปี 2567, กองทัพบกไทย)
  2. ระยะเวลาการรับราชการ พลทหารกองประจำการมีระยะเวลาการรับราชการ 2 ปีสำหรับผู้ที่ถูกเกณฑ์ และ 1 ปีสำหรับผู้สมัครใจ (ที่มา: กฎหมายการเกณฑ์ทหาร, กระทรวงกลาโหม)
  3. ผลกระทบของขวัญกำลังใจต่อประสิทธิภาพ การวิจัยจากสถาบันวิจัยกลาโหมสหรัฐฯ ระบุว่า การบำรุงขวัญกำลังใจสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของทหารได้ถึง 20–30% โดยเฉพาะในหน่วยที่ต้องปฏิบัติงานในสภาพแวดล้อมที่ท้าทาย (ที่มา: Defense Research Institute, 2023)
  4. การสนับสนุนหลังปลดประจำการ จากการสำรวจของกระทรวงกลาโหมในปี 2566 พบว่า 65% ของพลทหารกองประจำการต้องการการสนับสนุนด้านการฝึกอาชีพหรือการศึกษาต่อหลังปลดประจำการ (ที่มา: รายงานการสำรวจความต้องการของทหารกองประจำการ, 2566

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • กองทัพบกไทย

  • กระทรวงกลาโหม

  • Defense Research Institute

  • มณฑลทหารบกที่ 37 ค่ายเม็งรายมหาราช
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ร่วมน้อมรำลึกพระมหากรุณาธิคุณ ในวันพระบิดาแห่งฝนหลวง

มทบ.37 ร่วมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ ในวันพระบิดาแห่งฝนหลวง

เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2567 มณฑลทหารบกที่ 37 นำโดย พล.ต. บุญญฤทธิ์ เกษตรเวทิน ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 37 ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและประชาชนชาวเชียงราย ร่วมพิธีวางพานพุ่มดอกไม้สดถวายราชสักการะ เนื่องในวันพระบิดาแห่งฝนหลวง ประจำปี 2567 ณ ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติ GMS อำเภอเมืองเชียงราย เพื่อเป็นการแสดงออกถึงความจงรักภักดีและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ที่ทรงมีพระราชดำริในการคิดค้นโครงการฝนหลวงขึ้น เพื่อบรรเทาปัญหาภัยแล้งและช่วยเหลือพสกนิกร

พระราชดำริอันยิ่งใหญ่ในการแก้ไขปัญหาภัยแล้ง

วันที่ 14 พฤศจิกายนของทุกปี ถือเป็นวันสำคัญของประเทศไทย เนื่องในโอกาสครบรอบ 69 ปี แห่งการกำเนิดโครงการฝนหลวง พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงมีพระราชดำริที่จะคิดค้นวิจัยหาวิธีการทำฝนหลวง เพื่อแก้ไขปัญหาความทุกข์ยากของเกษตรกรและประชาชนที่ประสบภัยแล้ง ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณดังกล่าว คณะรัฐมนตรีจึงได้มีมติให้วันที่ 14 พฤศจิกายนของทุกปี เป็น “วันพระบิดาแห่งฝนหลวง”

โครงการฝนหลวง พระราชทาน

โครงการฝนหลวงเป็นโครงการอันเกิดจากพระราชดำริ ที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อบรรเทาปัญหาภัยแล้งที่เกิดจากความแปรปรวนของสภาพอากาศ โดยใช้หลักการทางวิทยาศาสตร์ในการดัดแปรสภาพอากาศให้เกิดฝนตกตามต้องการ โครงการนี้ได้สร้างประโยชน์ให้แก่ประเทศชาติและประชาชนเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการเกษตร ซึ่งเป็นอาชีพหลักของคนไทย

ความสำคัญของโครงการฝนหลวง

โครงการฝนหลวงมีความสำคัญต่อประเทศไทยเป็นอย่างยิ่ง เพราะช่วยแก้ไขปัญหาภัยแล้งที่ส่งผลกระทบต่อการผลิตทางการเกษตรและคุณภาพชีวิตของประชาชน นอกจากนี้ โครงการฝนหลวงยังเป็นตัวอย่างของการนำความรู้ทางวิทยาศาสตร์มาประยุกต์ใช้เพื่อแก้ไขปัญหาสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน

การดำเนินงานของโครงการฝนหลวง

การดำเนินงานของโครงการฝนหลวงนั้นต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชน โดยมีการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยในการตรวจสอบสภาพอากาศและการปฏิบัติการทำฝนหลวง ซึ่งต้องอาศัยความรู้ความสามารถของบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญ

บทบาทของมณฑลทหารบกที่ 37

มณฑลทหารบกที่ 37 ได้ให้การสนับสนุนโครงการฝนหลวงมาโดยตลอด โดยเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับโครงการฝนหลวง เช่น การร่วมปฏิบัติการทำฝนหลวง การให้ความรู้เกี่ยวกับโครงการฝนหลวงแก่ประชาชน และการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ

การสืบสานพระราชปณิธาน

การจัดงานวันพระบิดาแห่งฝนหลวงในครั้งนี้ เป็นการแสดงออกถึงความจงรักภักดีและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และเป็นการส่งเสริมให้คนรุ่นหลังได้ตระหนักถึงความสำคัญของโครงการฝนหลวง และร่วมกันสืบสานพระราชปณิธานของพระองค์ต่อไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : มณฑลทหารบกที่ 37

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI

มทบ.37 เชียงรายเปิดโครงการ“ราษฎร์ รัฐ ร่วมใจ ช่วยภัยแล้ง”

 

เมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2567 ที่สนามฝึกหน้ากองร้อยมณฑลทหารบกที่ 37 ค่ายเม็งรายมหาราช อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย พันเอก รัตนสิทธิ์ แจ่มรัตนกุล รองเสนาธิการ มณฑลทหารบกที่ 37 เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการ “ราษฎร์ รัฐ ร่วมใจ ช่วยภัยแล้ง” ประจำปี 2567 เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้งในพื้นที่ห่างไกลและทุรกันดารในพื้นที่จังหวัดเชียงราย โดยมีเครือข่ายหน่วยงานด้านบรรเทาสาธารณภัยในจังหวัดเชียงรายบูรณาการการทำงานร่วมกัน ประกอบด้วย ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย ศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เขต 15 เชียงราย เทศบาลนครเชียงราย องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย การประปาส่วนภูมิภาคจังหวัดเชียงราย

 

พันเอก รัตนสิทธิ์ แจ่มรัตนกุล รองเสนาธิการ มณฑลทหารบกที่ 37 กล่าวว่า “ศูนย์บรรเทาสาธารณภัย มณฑลทหารบกที่ 37 ร่วมกับภาคส่วนราชการในพื้นที่ ตระหนักถึงความสำคัญของปัญหาภัยแล้งที่จะเกิดขึ้น จึงได้บูรณาการทรัพยากรและศักยภาพของแต่ละหน่วยงาน เพื่อเตรียมความพร้อมในการช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนประชาชน กองทัพบกได้มีนโยบายให้ความสำคัญกับการช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้ง ตลอดจนมุ่งหวังในการแก้ไขปัญหา เพื่อบรรเทาความเดือดร้อน และลดผลกระทบอันเกิดจากสถานการณ์ภัยแล้งให้กับพี่น้องประชาชน”
 
 
ทั้งนี้ ภายหลังการกล่าวปิดโครงการ “ราษฎร์ รัฐ ร่วมใจ ช่วยภัยแล้ง” ประจำปี 2567 เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้งในพื้นที่ห่างไกลและทุรกันดารในพื้นที่จังหวัดเชียงราย ได้มีการปล่อยแถวพาหนะรถยนต์บรรเทาสาธารณภัย อุปกรณ์ เครื่องมือบรรเทาสาธารณภัย กำลังพล เจ้าหน้าที่จากหน่วยงานภาคีเครือข่ายศูนย์บรรเทาสาธารณภัย มณฑลทหารบกที่ 37 เป็นการแสดงออกถึงซึ่งความพร้อมในการช่วยเหลือประชาชนที่ประสบภัยแล้ง และประสบสาธารณภัยต่างๆในพื้นที่จังหวัดเชียงรายต่อไป
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

มทบ.37 บูรณาการพร้อมสนับสนุน ด้านบรรเทาสาธารณภัย พื้นที่ จ.เชียงราย

 

เมื่อวันที่21 ก.พ. 67ที่บริเวณสนามฝึกหน้ากองร้อยมณฑลทหารบกที่ 37 ค่ายเม็งรายมหาราช อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย พลโท อานนท์ เพชรคำ หัวหน้าคณะทำงานด้านกิจการพลเรือน กองทัพบก เป็นประธานพิธีการตรวจความพร้อมด้านบรรเทาสาธารณภัย ประจำปี 2567 และบูรณาการร่วมกับภาคส่วนราชการ ภาคเอกชน มูลนิธิสาธารณกุศล ให้มีความพร้อมในการปฏิบัติงานด้านบรรเทาสาธารณภัยในการช่วยเหลือประชนจากเหตุการณ์สาธารณภัย โดยมี รองผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 37 นายทหารชั้นผู้ใหญ่ กำลังพล ตลอดจนหัวหน้าส่วนราชการ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมการตรวจความพร้อมโดยมีการสาธิตการใช้อุปกรณ์การช่วยเหลือเมื่อมีเหตุหรือภัยพอบัติต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นได้ทุกเวลาโดยเฉพาะเครื่องมือ อาวุธยุทโธปกรณ์ เครื่องยนต์เครื่องจักรพร้อมรถยนต์อุปกรณ์ และเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติ สามารถใช้งานและปฏิบัติการได้ตลอด 24 ชั่วโมง

 

ในการนี้ มณฑลทหารบกที่ 37 ได้จัดตั้งศูนย์บรรเทาสาธารณภัยมณฑลทหารบกที่ ๓๗ มีภารกิจในการประสานงานและให้การสนับสนุนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และให้การช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบภัยพิบัติในพื้นที่จังหวัดเชียงราย เมื่อได้รับการร้องขอหรือเมื่อเกิดภัยพิบัติฉุกเฉิน ซึ่งส่งผลกระทบต่อชีวิต และทรัพย์สินของประชาชน จากสภาพภูมิประเทศในจังหวัดเชียงรายมีลักษณะเป็นพื้นที่ราบลุ่มสลับเทือกเขาสูง ตั้งอยู่ในเขตร้อนชื้นที่ได้รับอิทธิพลจากลมมรสุม และพายุหมุนเขตร้อน จึงประสบปัญหาจากภัยพิบัติทางธรรมชาติ 
 
 
เช่น วาตภัย อุทกภัย ดินโคลนถล่ม ภัยแล้ง ภัยจากไฟป่า และหมอกควัน อยู่เป็นประจำและยังต้องเฝ้าระวังเหตุแผ่นดินไหว ที่มีแนวโน้มทวีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้นซึ่งภัยเหล่านี้อาจส่งผลกระทบต่อประชาชนจังหวัดเชียงรายในด้านต่างๆ เป็นวงกว้าง ดังนั้นศูนย์บรรเทาสาธารณภัย มณฑลทหารบกที่ ๓๗ จึงได้มีการบูรณาการในการปฏิบัติงานร่วมกันกับหน่วยพัฒนาการเคลื่อนที่ 35 สำนักงานพัฒนาภาค 3 กองบัญชาการกองทัพไทย ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย ศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เขต 15 เชียงราย องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย เทศบาลนครเชียงราย การประปาส่วนภูมิภาค การประปาส่วนภูมิภาค สาขาเชียงราย มูลนิธิสาธารณกุศลและภาคีเครือข่าย งานบรรเทาสาธารณภัยอื่นๆ ในจังหวัดเชียงราย โดยระยะเวลาที่ผ่านมาทุกหน่วยงานในพื้นที่จังหวัดเชียงราย มีความสัมพันธ์อย่างดีและได้บูรณาการร่วมกันสนับสนุนกำลังพล ยุทโธปกรณ์ เข้าให้การช่วยเหลือทุกครั้ง เมื่อเกิดภัยพิบัติในพื้นที่จังหวัดเชียงราย
 
 
พลโท อานนท์ เพชรคำ หัวหน้าคณะทำงานด้านกิจการพลเรือน กองทัพบก กล่าวว่า ทุกฝ่ายทุกภาคส่วนต้องเตรียมความพร้อมในทุกๆ ด้าน ทั้งฝ่ายพลเรือนและฝ่ายทหาร ต้องประสานความร่วมมือกันเพื่อช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนอย่างเต็มกำลังความสามารถ ทั้งด้าน กำลังพล ยานพาหนะ และเครื่องมือที่มีอยู่ การตรวจความพร้อมด้านการบรรเทาสาธารณภัยของศูนย์บรรเทาสาธารณภัยมณฑลทหารบกที่ 37 ในวันนี้ จึงเป็นการประกันว่า กำลังพล ยานพาหนะ ยุทโธปกรณ์ และเครื่องมือต่างๆ ที่ศูนย์บรรเทาสาธารณภัยมณฑลทหารบกที่ 37 มีอยู่นั้น มีความพร้อมเสมอที่จะให้ความช่วยเหลือพี่น้องประชาชน และพร้อมให้การสนับสนุนส่วนราชการในพื้นที่อย่างมีประสิทธิภาพ
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

มทบ.37 จัดโครงการ “หนึ่งมื้อกินเจ หมื่นชีวิตรอดตาย”

 

เมื่อวันที่ 20 ต.ค. 66 เวลา 11.30 พล.ต. บุญญฤทธิ์ เกษตรเวทิน ผอ.ศอ.จอส.พระราชทาน มทบ.37 พร้อมด้วย กำลังพลจิตอาสา มทบ.37 ร่วมกับ พระไพศาลประชาทร วิ. (พระอาจารย์พบโชค) เจ้าอาวาสวัดห้วยปลากั้ง แจกจ่ายอาหารเจ ให้กับประชาชนทั่วไป เพื่อเป็นการช่วยลดค่าใช้จ่ายให้กับประชาชน พร้อมทั้งประชาสัมพันธ์กิจกรรมโครงการ “หนึ่งมื้อกินเจ หมื่นชีวิตรอดตาย” ในเทศกาลกินเจ 2566 ซึ่งการปฏิบัติ มทบ.37 ได้สนับสนุนพื้นที่ บริเวณค่ายเม็งรายมหาราช พร้อมกำลังพลจิตอาสา พร้อมอุปกรณ์ สำหรับประกอบอาหาร, สนับสนุนเจ้าหน้าที่ สห. อำนวยความสะดวกด้านการจราจร ในพื้นที่ดำเนินโครงการฯ, การจัดเตรียมถุงอาหารเจสำเร็จสำหรับห่อกลับบ้าน, การจัดพื้นที่อำนวยความสะดวกเพื่อแจกอาหารเจฟรี ตลอดจนเป็นสถานที่รับประทานอาหารสำหรับประชาชนโดยทั่วไปที่มาร่วมงานเทศกาลฯ ตั้งแต่วันที่ 15 – 23 ต.ค. 66 เวลา 09.00 – 17.00 น. ณ บริเวณพื้นที่สถานี สห. มทบ.37 ค่ายเม็งรายมหาราช อ.เมืองเชียงราย จ.เชียงราย

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

มทบ.37 ร่วมมอบทุนการศึกษา โรงเรียนบ้านห้วยหยวกป่าโซ อ.แม่ฟ้าหลวง

 
เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2566 เวลา 09.00 น. ร.ต. ไพบูลย์ สายหงษ์หน.ชุดประสานงานและคุ้มครองป้องกันชุมชน สถานีพัฒนาการเกษตรที่สูง บ.ห้วยหยวกป่าโซ ร่วมพิธีมอบทุนการศึกษา ให้กับนักเรียน รร.บ้านห้วยหยวกป่าโซ ต.แม่สลองใน อ.แม่ฟ้าหลวง จว.ช.ร. ซึ่งเป็นเงินทุนปัจจัยพื้นฐานสำหรับนักเรียนยากจน กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ของกระทรวงศึกษาธิการ โดยมี น.ส.ชรินรัตน์ บุญเกิด ปฏิบัติหน้าที่ ผอ.รร.ห้วยหยวกป่าโซ เป็นประธานในพิธีฯ
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

พิธีรับ – ส่งหน้าที่ มอบการบังคับบัญชา ผบ.มทบ.37

 
เมื่อวันที่ 3 ต.ค. 66 ที่ผ่านมา เวลา 14.09 น. พล.ต.ประพัฒน์ พบสุวรรณ ผบ.พล.ม.1 พร้อมด้วย คุณสุมาลี พบสุวรรณ และ พล.ต.บุญญฤทธิ์ เกษตรเวทิน ผบ.มทบ.37 ร่วมพิธีสักการะพระมหาจักรพรรดิธรรมราชา, พระพุทธมารวิชัยไตรรัตนาธิคุณ และพระบรมราชานุสาวรีย์พญามังรายมหาราช ณ หน้าพุทธสถานดอยเจดีย์ ค่ายเม็งรายมหาราช หลังจากนั้นได้เดินทางไปร่วมพิธีสักการะพ่อขุนเม็งรายมหาราช เพื่อความเป็นสิริมงคล ณ พระตำหนักพ่อขุนเม็งรายมหาราชและการสักการะพระบรมราชานุสาวรีย์พระญามังรายมหาราช ณ ลานหน้า บก.มทบ.37 โดยมีกำลังพลและครอบครัว ของ มทบ.37 ร่วมกระทำพิธี ผลการปฏิบัติเป็นไปด้วยความเรียบร้อย
 
 
 
ต่อมาเวลา 15.29 น. พล.ต.ประพัฒน์ พบสุวรรณ และ พล.ต.บุญญฤทธิ์ เกษตรเวทิน กระทำพิธีลงนามเอกสาร รับ-ส่ง หน้าที่ ผบ.มทบ.37 ณ ห้องประชุมพญาเม็งราย บก.มทบ.37 และกระทำพิธีมอบการบังคับบัญชา ผบ.มทบ.37 ณ ลานหน้า บก.มทบ.37
 
โดยมีกำลังพลสังกัด มทบ.37, นขต.มทบ.37 และ ผศ.ช.ร. เข้าร่วมพิธีฯ ผลการปฏิบัติเป็นไปด้วยความเรียบร้อย
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News