Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

เลขาฯ ป.ป.ส. ชี้ หัวใจสำเร็จคือข่าวกรองข้ามแดน สกัดวงจรนักค้ายาที่ใช้เมียนมาเป็น “ที่หลบภัย”

เชียงรายรับตัวผู้ต้องหายาเสพติดจากเมียนมา 2 รายกลางสะพานมิตรภาพแม่สาย–ท่าขี้เหล็ก สะท้อน “วาระแห่งชาติ” ปราบปรามยาเสพติดผ่านความร่วมมือข้ามแดน

เชียงราย, 11 ธันวาคม 2568 – บริเวณด่านพรมแดนสะพานมิตรภาพไทย–เมียนมา แห่งที่ 2 อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ในช่วงบ่ายของวันที่ 11 ธันวาคม 2568 เป็นฉากสำคัญของปฏิบัติการด้านความมั่นคงครั้งล่าสุด เมื่อสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) รับมอบตัวผู้ต้องหาสัญชาติไทยที่หลบหนีหมายจับจากคดียาเสพติดและอาชญากรรมข้ามชาติรวม 4 ราย จากทางการเมียนมา โดยในจำนวนนี้เป็นผู้ต้องหาคดียาเสพติดรายสำคัญ 2 ราย ซึ่งถูกระบุว่าเป็น “ฟันเฟืองสำคัญ” ในเครือข่ายค้ายาเสพติดข้ามแดนที่เชื่อมโยงตั้งแต่ฝั่งผู้ผลิตในประเทศเพื่อนบ้านมาจนถึงตลาดผู้เสพในหลายจังหวัดของไทย

ภายใต้นโยบายของรัฐบาลที่กำหนดให้ “การปราบปรามยาเสพติด” เป็นวาระแห่งชาติ การส่งตัวผู้ต้องหาข้ามแดนครั้งนี้ไม่ใช่เพียงการปิดคดีเฉพาะราย แต่สะท้อนการขยายผลของยุทธศาสตร์ด้านข่าวกรอง ยึดทรัพย์ และทำลายเครือข่าย ที่ต้องพึ่งพาความร่วมมือระหว่างประเทศอย่างใกล้ชิด และใช้จังหวัดชายแดนอย่างเชียงรายเป็นแนวหน้าของการรับมือปัญหายาเสพติดเชิงโครงสร้างในภูมิภาคลุ่มน้ำโขงและสามเหลี่ยมทองคำ

จากวาระแห่งชาติ สู่แนวหน้าแม่สาย–ท่าขี้เหล็ก

การเคลื่อนไหวที่ชายแดนแม่สายในครั้งนี้เกิดขึ้นภายใต้นโยบายของนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ซึ่งประกาศให้การปราบปรามยาเสพติดเป็น “วาระแห่งชาติ” และมอบหมายให้กระทรวงยุติธรรม นำโดย พล.ต.ท.รุทธพล เนาวรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ขับเคลื่อนให้เกิดผลรูปธรรม ตั้งแต่ระดับชุมชนไปจนถึงความร่วมมือระหว่างประเทศ เพื่อลดความเดือดร้อนของประชาชนจากปัญหายาเสพติดในทุกมิติ ทั้งด้านความปลอดภัย สุขภาพ และเศรษฐกิจครัวเรือน

ประเทศไทยยังคงเผชิญภาระจากคดียาเสพติดในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง ข้อมูลจากรายงานด้านเรือนจำและระบบยุติธรรมชี้ว่า ผู้ต้องขังในเรือนจำไทยกว่าครึ่ง – และในบางช่วงปีมากกว่าสองในสาม – เกี่ยวข้องกับคดียาเสพติด สะท้อนให้เห็นว่า “ยาเสพติด” ไม่ได้เป็นเพียงปัญหาอาชญากรรมทั่วไป แต่เป็นปัจจัยสำคัญที่ซ้อนทับอยู่กับปัญหาความยากจน หนี้สิน และโอกาสทางเศรษฐกิจที่ไม่เท่าเทียมของประชาชนจำนวนมาก

ในระดับภูมิภาค พื้นที่สามเหลี่ยมทองคำและแนวชายแดนไทย–เมียนมา–สปป.ลาว ยังคงถูกระบุว่าเป็นหนึ่งในแหล่งผลิตและเส้นทางลำเลียงเมทแอมเฟตามีนและสารเสพติดสังเคราะห์ที่ใหญ่ที่สุดของโลก ทำให้จังหวัดชายแดนภาคเหนือของไทย รวมทั้งเชียงราย ต้องรับภาระการสกัดกั้นยาเสพติดที่ทะลักเข้าสู่ประเทศอย่างต่อเนื่อง การสกัดเส้นทางขนส่งและการตามล่า “ผู้สั่งการ” ที่ซ่อนตัวอยู่ในประเทศเพื่อนบ้านจึงเป็นหัวใจสำคัญของยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคงในภูมิภาคนี้

เบื้องหลังปฏิบัติการ เมื่อข่าวกรองข้ามแดนทำงาน

วันพฤหัสบดีที่ 11 ธันวาคม 2568 พ.ต.ต.สุริยา สิงหกมล เลขาธิการ ป.ป.ส. เดินทางลงพื้นที่จังหวัดเชียงราย พร้อมคณะผู้บริหารด้านความมั่นคงและฝ่ายปกครอง ทั้งจากส่วนกลางและส่วนภูมิภาค อาทิ ปลัดจังหวัดเชียงราย นายอำเภอแม่สาย ผู้บริหารสำนักปราบปรามยาเสพติด ผู้บังคับบัญชาหน่วยทหารชายแดน กองกำลังผาเมือง ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง และตัวแทนสำนักงานประสานงานชายแดนไทย–เมียนมา (TBC) เพื่อร่วมรับมอบตัวผู้ต้องหา ณ สะพานมิตรภาพไทย–เมียนมา แห่งที่ 2 (แม่สาย–ท่าขี้เหล็ก)

การส่งตัวผู้ต้องหาในครั้งนี้เกิดจากการประสานงานอย่างใกล้ชิดระหว่างหน่วยงานไทย กับสำนักงานคณะกรรมการเพื่อการควบคุมยาเสพติด (Central Committee for Drug Abuse Control: CCDAC) และตำรวจตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดท่าขี้เหล็กของเมียนมา รวมถึงการบูรณาการข้อมูลของสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ หน่วยเฉพาะกิจสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติดชายแดนภาคเหนือ (นบ.ยส.35.) กองกำลังผาเมือง กรมศุลกากร และฝ่ายปกครองจังหวัดเชียงราย

เลขาธิการ ป.ป.ส. ระบุถึง “หัวใจของความสำเร็จ” ไว้อย่างชัดเจนว่า เกิดจากการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวกรองระหว่างกันอย่างต่อเนื่อง ทั้งจากแหล่งข่าวที่ไม่สามารถเปิดเผยตัวตนได้ และจากการสืบสวนติดตามความเคลื่อนไหวของเครือข่ายในฝั่งเมียนมา ซึ่งแม้ผู้ต้องหาหลบหนีหมายจับไปอยู่ลึกเข้าไปในดินแดนประเทศเพื่อนบ้าน แต่ก็ยังมีการติดต่อประสานงานกับเครือข่ายในฝั่งไทยอยู่ตลอดเวลา

สาระสำคัญของคำชี้แจง คือ การย้ำว่า “ผลสัมฤทธิ์ของปฏิบัติการครั้งนี้ อยู่ที่การแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างเจ้าหน้าที่ทั้งสองประเทศ และความสัมพันธ์เชิงปฏิบัติการที่ดีระหว่างไทย–เมียนมา” ซึ่งไม่ใช่เรื่องใหม่ หากแต่เป็นการต่อยอดจากกรอบความร่วมมือทวิภาคีที่ไทยและเมียนมาร่วมกันผลักดันมาอย่างต่อเนื่อง โดยมี CCDAC เป็นแกนกลางฝ่ายเมียนมา และ ป.ป.ส. ควบคู่กับสำนักงานตำรวจแห่งชาติเป็นแกนกลางฝ่ายไทย

ผู้ต้องหายาเสพติด 2 ราย ฟันเฟืองสำคัญในเครือข่ายข้ามแดน

ผู้ต้องหาสัญชาติไทยที่ถูกส่งมอบในครั้งนี้มีทั้งหมด 4 คน โดยในจำนวนนี้เป็นผู้ต้องหาตามหมายจับคดียาเสพติด 2 ราย และผู้ต้องหาคดีฉ้อโกง 1 ราย รวมทั้งผู้หลบหนีเข้าเมืองอีก 1 ราย

ผู้ต้องหาคดียาเสพติดรายแรก คือ นายพลชนะ (สงวนนามสกุล) อายุ 33 ปี ชาวจังหวัดอุตรดิตถ์ เป็นบุคคลตามหมายจับศาลจังหวัดอุตรดิตถ์ ในข้อหา “จำหน่ายและมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีนไฮโดรคอลไรด์) โดยไม่ได้รับอนุญาต” ข้อมูลจาก ป.ป.ส. ระบุว่า นายพลชนะมีบทบาทเป็นบุคคลสำคัญในเครือข่ายของนายภัทรพงษ์ (สงวนนามสกุล) นักค้ายาเสพติดรายสำคัญที่มีศักยภาพในการจัดหายาบ้าปริมาณระดับ 500,000 – 1,200,000 เม็ด เพื่อจำหน่ายในพื้นที่จังหวัดอุตรดิตถ์และพิษณุโลก

ผู้ต้องหายาเสพติดอีกราย คือ นายวิรัตน์ (สงวนนามสกุล) อายุ 37 ปี ชาวจังหวัดเชียงใหม่ ถูกออกหมายจับในข้อหา “จำหน่ายยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) โดยมีไว้เพื่อจำหน่าย อันเป็นการกระทำเพื่อการค้าและเป็นการก่อให้เกิดการแพร่กระจายในกลุ่มประชาชนโดยไม่ได้รับอนุญาต” ลักษณะความผิดที่ถูกกล่าวหาสะท้อนให้เห็นถึงบทบาทในระดับการค้าสend มากกว่าผู้เสพหรือผู้ค้ารายย่อยทั่วไป

แม้จะไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดเชิงลึกของเครือข่ายทั้งหมด แต่ข้อเท็จจริงที่ว่าทั้งสองรายต้องหลบหนีออกนอกประเทศไปพำนักในฝั่งเมียนมานั้น บ่งชี้ถึงระดับความเสี่ยงและบทบาทในเครือข่ายที่อยู่เหนือชั้นผู้ลำเลียงระดับพื้นที่ และแสดงให้เห็นถึงความพยายามของเจ้าหน้าที่ในการ “ไล่ตามคนสั่งการ” แทนที่จะหยุดเพียงการจับกุมผู้ลำเลียงและผู้ค้ารายย่อยเหมือนในอดีต

เลขาธิการ ป.ป.ส. ชี้ให้เห็นอีกมิติหนึ่งว่า ผู้ต้องหากลุ่มที่หลบหนีไปอยู่ฝั่งเมียนมามักมีความใกล้ชิดกับเจ้าของหรือผู้ผลิตยาเสพติดในสามเหลี่ยมทองคำ มีบทบาทในการสร้างเครดิตความน่าเชื่อถือและเชื่อมโยงคำสั่งซื้อระหว่างเครือข่ายในฝั่งไทยกับกลุ่มผู้ผลิต เมื่อบุคคลกลุ่มนี้ยังคงมีเสรีภาพในการเคลื่อนไหว ย่อมทำให้การส่งคำสั่งซื้อ การนัดหมายเส้นทางส่งมอบ และการขยายเครือข่ายใหม่ในฝั่งไทยเป็นไปได้อย่างต่อเนื่อง การนำตัวกลับมาดำเนินคดีจึงไม่ใช่เพียงการจัดการกับ “ผู้หลบหนีหมายจับ” แต่เป็นการตัดวงจรสำคัญของห่วงโซ่อุปทานในตลาดมืดด้วย

ชายแดนเชียงราย แนวหน้าในสมรภูมิยาเสพติดภูมิภาค

อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย เป็นหนึ่งในด่านหน้าสำคัญของไทยทั้งในมิติการค้า การท่องเที่ยว และความมั่นคง ด่านสะพานมิตรภาพไทย–เมียนมา ทั้งแห่งที่ 1 และแห่งที่ 2 ถูกใช้เป็นช่องทางการขนส่งสินค้าถูกกฎหมายจำนวนมาก แต่ก็เป็นพื้นที่ที่เจ้าหน้าที่ต้องคอยเฝ้าระวังเส้นทางลำเลียงยาเสพติดอย่างใกล้ชิดเช่นกัน หลายปีที่ผ่านมา มีรายงานการยึดเมทแอมเฟตามีน ไอซ์ และเฮโรอีนจำนวนมากในพื้นที่ชายแดนแม่สาย และบางครั้งถึงขั้นเกิดการปะทะระหว่างเจ้าหน้าที่กับขบวนการลำเลียงยาเสพติดในแนวชายแดน

ภายใต้บริบทดังกล่าว จังหวัดเชียงรายจึงกลายเป็นทั้ง “ประตูเศรษฐกิจ” และ “สมรภูมิด้านความมั่นคง” ไปพร้อมกัน การที่ ป.ป.ส. เลือกใช้แม่สายเป็นจุดรับมอบตัวผู้ต้องหาข้ามแดนในครั้งนี้ จึงมีความหมายในเชิงสัญลักษณ์ว่า ชายแดนไม่ได้เป็นเพียงแนวรับ แต่เป็นเวทีของความร่วมมือระหว่างประเทศในการตัดวงจรอาชญากรรมข้ามชาติ

ต่างชาติ–ต่างหน่วยงาน แต่เป้าหมายเดียวกัน ความปลอดภัยของสังคมไทย

ปฏิบัติการรับมอบตัวผู้ต้องหาที่แม่สายครั้งนี้ เป็นผลลัพธ์ของการบูรณาการทั้ง “แนวนอน” และ “แนวตั้ง”

ในระดับนโยบาย รัฐบาลไทยกำหนดยุทธศาสตร์จัดการยาเสพติดในกรอบแผนปฏิบัติการป้องกันและควบคุมโรคและภัยสุขภาพจากยาเสพติด ปี 2566–2570 และแผนแม่บทด้านยาเสพติดที่มุ่งเน้นการลดอุปทาน ควบคู่กับการลดอุปสงค์และผลกระทบต่อสุขภาพประชาชน

ในระดับปฏิบัติการ ป.ป.ส. ทำงานร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง กองกำลังทหารชายแดน ศุลกากร และฝ่ายปกครอง เมื่อเครือข่ายยาเสพติดขยายตัวออกไปนอกพรมแดน การดำเนินการจึงต้องพึ่งพาความร่วมมือกับหน่วยงานคู่ขนานในประเทศเพื่อนบ้าน เช่น CCDAC ของเมียนมา ผ่านกรอบความตกลงทวิภาคีที่มีการประชุมร่วมและส่งตัวผู้ต้องหามาแล้วหลายครั้งในช่วงที่ผ่านมา

เลขาธิการ ป.ป.ส. ย้ำว่า การร่วมมือกับทางการเมียนมาและ สปป.ลาว มีความสำคัญอย่างยิ่งในยุคที่ขบวนการค้ายาเสพติดใช้ประโยชน์จากพรมแดนที่ยากต่อการควบคุมและการใช้เทคโนโลยีสื่อสารสมัยใหม่ในการสั่งการข้ามประเทศ การมีช่องทางแลกเปลี่ยนข่าวกรอง การสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างเจ้าหน้าที่ และกระบวนการส่งตัวผู้ต้องหาตามหมายจับกลับมาดำเนินคดีในไทย เป็นตัวอย่างของ “ความร่วมมือที่จับต้องได้” มากกว่าการลงนามในเอกสารหรือแถลงการณ์เชิงสัญลักษณ์

จากการจับกุมสู่การตัดวงจร บทเรียนเชิงนโยบาย

แม้การนำตัวผู้ต้องหายาเสพติด 2 รายกลับมาดำเนินคดีในไทย จะไม่สามารถหยุดยั้งการผลิตและลำเลียงยาเสพติดทั้งหมดได้ในทันที แต่ในเชิงยุทธศาสตร์ การปิดช่องว่างไม่ให้ผู้ต้องหาสำคัญใช้ประเทศเพื่อนบ้านเป็น “ที่หลบภัย” ถือเป็นการส่งสัญญาณสำคัญไปยังเครือข่ายค้ายาเสพติดว่า “ไม่มีพื้นที่ปลอดภัย” สำหรับผู้ที่หลบหนีหมายจับ

อีกด้านหนึ่ง ปฏิบัติการนี้ยังชี้ให้เห็นความจำเป็นของการดำเนินการเชิงระบบควบคู่กันไป ได้แก่

  1. การสืบสวนขยายผลทางการเงินและการยึดทรัพย์สิน
    การตัดวงจรยาเสพติดอย่างยั่งยืนจำเป็นต้องยึดทรัพย์สินและตัดเส้นทางการเงินของเครือข่าย ไม่ให้สามารถนำผลกำไรจากธุรกิจผิดกฎหมายกลับมาฟอกเงินหรือสร้างอิทธิพลในชุมชนได้
  2. การดูแลผู้ใช้และผู้เสพในฐานะ “ผู้ป่วย” มากกว่า “อาชญากร”
    สัดส่วนผู้ต้องขังในเรือนจำที่เกี่ยวข้องกับคดียาเสพติดจำนวนมากสะท้อนให้เห็นว่าหากไม่มีการจัดการด้านบำบัดรักษา ฟื้นฟู และลดอันตราย (harm reduction) อย่างเป็นระบบ ก็อาจเกิดภาวะ “จับเท่าไรก็ไม่หมด” และสร้างภาระให้กับระบบยุติธรรมอย่างไม่สิ้นสุด
  3. การสร้างภูมิคุ้มกันในชุมชนชายแดน
    ชุมชนในจังหวัดชายแดนอย่างเชียงรายไม่เพียงเป็นเส้นทางผ่านของยาเสพติด แต่ยังเป็นพื้นที่ที่เยาวชนและแรงงานอาจถูกดึงเข้าไปอยู่ในห่วงโซ่การค้ายาเสพติดได้ง่าย หากขาดโอกาสทางเศรษฐกิจและการศึกษา การสร้างทางเลือกทางเศรษฐกิจ การเสริมบทบาทภาคประชาสังคม และการสื่อสารความเสี่ยงในชุมชนจึงมีความสำคัญไม่แพ้การสกัดกั้นที่ด่านพรมแดน

เสียงสะท้อนจากแม่สาย ความคาดหวังต่ออนาคต

สำหรับประชาชนในพื้นที่ชายแดน การเห็นเจ้าหน้าที่ไทยรับมอบตัวผู้ต้องหายาเสพติดกลับมาดำเนินคดีในประเทศ อาจไม่ได้สร้างความเปลี่ยนแปลงในชีวิตประจำวันทันที แต่เป็น “สัญญาณเชิงสัญลักษณ์” ว่าปัญหาที่พวกเขาต้องเผชิญมานาน – ตั้งแต่ภัยยาเสพติดในชุมชน ไปจนถึงความรุนแรงและการปะทะในแนวชายแดน – กำลังถูกจัดการในระดับที่สูงกว่าการจับผู้กระทำผิดรายเล็กๆ

ปฏิบัติการครั้งนี้จึงอาจถูกมองได้ว่าเป็น “จิ๊กซอว์หนึ่งชิ้น” ในภาพใหญ่ของการปราบปรามยาเสพติดซึ่งเป็นวาระแห่งชาติ ที่ต้องประกอบเข้ากับจิ๊กซอว์อื่นๆ อีกมาก ตั้งแต่การพัฒนาระบบข่าวกรอง การยึดทรัพย์เครือข่าย การบำบัดฟื้นฟูผู้เสพ การสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจในชุมชนชายแดน ไปจนถึงการสร้างความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง

ท้ายที่สุด สิ่งที่ประชาชนคาดหวังจาก “วาระแห่งชาติด้านยาเสพติด” อาจไม่ได้มีเพียงตัวเลขการจับกุมหรือสถิติการยึดยาเสพติด แต่คือการเห็นชุมชนของตนปลอดภัยขึ้น เยาวชนมีทางเลือกในชีวิตมากกว่าการเข้าไปเป็น “แรงงาน” ในขบวนการผิดกฎหมาย และครอบครัวสามารถใช้ชีวิตได้โดยไม่ต้องหวาดระแวงว่าพรมแดนที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นเพียงเส้นแบ่งแผนที่ จะกลายเป็นช่องทางของภัยคุกคามที่มองไม่เห็น

ปฏิบัติการรับมอบตัวผู้ต้องหาจากทางการเมียนมา ณ ชายแดนแม่สายในครั้งนี้แม้จะเป็นเพียงหนึ่งเหตุการณ์ในกระแสข่าวอาชญากรรม แต่เมื่อมองผ่าน “เลนส์ของนโยบาย” และ “บริบทของภูมิภาค” ก็สะท้อนให้เห็นชัดเจนว่า การแก้ไขปัญหายาเสพติดในศตวรรษที่ 21 ไม่อาจทำได้โดยลำพังภายในพรมแดนของประเทศใดประเทศหนึ่ง หากแต่ต้องอาศัยความร่วมมือ ความไว้วางใจ และการดำเนินการเชิงระบบระหว่างรัฐ เพื่อนำไปสู่สังคมที่ปลอดภัยขึ้นสำหรับประชาชนทั้งสองฝั่งแม่น้ำสายเดียวกัน

สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.)
  • สำนักงานสหประชาชาติว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรม (UNODC)
  • ส่วนข่าวกรองยาเสพติด สำนักปราบปรามยาเสพติด
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
MOST POPULAR
FOLLOW ME
Categories
FEATURED NEWS

ป.ป.ส. จัดประกวดคลิปวิดีโอสั้น ชิงรางวัลรวมมูลค่ากว่า 24 ล้านบาท

 

ป.ป.ส. เชิญชวนเยาวชนทั่วประเทศร่วมกิจกรรมสื่อสาร สร้างสรรค์ รู้เท่าทัน ยาบ้า (Be Smart Say No to Drugs) ส่งผลงานประกวดคลิป วิดีโอสั้น ภายใต้คอนเซปต์ “How to say no to Yaba ?” ชิงรางวัลรวมมูลค่ากว่า 24,000,000 ล้านบาท

 

สำนักงาน ป.ป.ส. จัดกิจกรรมสื่อสาร สร้างสรรค์ รู้เท่าทันยาบ้า (Be Smart Say No to Drugs) ประกวดคลิปวิดีโอสั้น (ความยาวไม่เกิน 1 นาที) ผ่านแพลตฟอร์มติ๊กต็อก (TikTok) ภายใต้คอนเซปต์ “How to say no to Yaba ?” ชิงเงินรางวัลรวมทุกระดับกว่า 24 ล้านบาท

 

โดยขอเชิญชวนน้องๆ เยาวชนที่มีอายุระหว่าง 13 – 19 ปี ที่กำลังศึกษาในระดับชั้นมัธยมศึกษา อาชีวศึกษา หรือเทียบเท่า ในสถานศึกษาทั่วประเทศเข้าร่วมโครงการ โดยการประกวดแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มคือ (1) ระดับมัธยมศึกษาตอนต้นหรือเทียบเท่า (ทีมละ 2-5 คน)  และ (2) ระดับมัธยมศึกษาตอนปลายและอาชีวศึกษา หรือเทียบเท่า (ทีมละ 2-5 คน) โดยในแต่ละทีมจะต้องอยู่สถานศึกษาเดียวกัน สำหรับการคัดเลือกผลงานจะเริ่มคัดเลือกตั้งแต่ระดับอำเภอจำนวน 878 อำเภอ แล้วคัดเลือกทีมชนะเลิศแต่ละอำเภอ มาแข่งขันเป็นตัวแทนของจังหวัดและกรุงเทพมหานคร เพื่อเข้ามาตัดสินในระดับประเทศต่อไป

 

ทั้งนี้ ทีมตัวแทนระดับจังหวัดจะได้เรียนรู้เทคนิคการสร้างสรรค์คอนเทนต์บนโซเชียลมีเดียจากอินฟลูเอนเซอร์ชื่อดัง เช่น พ่อมดติ๊กต๊อก, โค้ดดี้ เสือร้องไห้, หนุ่ย แบไต๋ และอื่น ๆ โดยสามารถนำความรู้นี้มาพัฒนาต่อยอดเพื่อชิงชนะเลิศในการแข่งขันระดับประเทศ

 

กิจกรรมสื่อสาร สร้างสรรค์ รู้เท่าทัน ยาบ้า (Be Smart Say No to Drugs) เริ่มเปิดรับผลงานตั้งแต่วันนี้ – 20 ก.ค. 2567 โดยผู้ที่สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมหรือส่งผลงานที่เว็บไซต์ www.besmartsaynotodrugs.com หรือ Facebook : Be Smart Say No to Drugs / Tiktok : besmartsaynotodrugs  

 

กิจกรรมนี้ มุ่งหวังที่จะสร้างความรู้ ความเข้าใจ ให้กับเยาวชน ให้ห่างไกลจากยาบ้า และรับรู้ถึงโทษพิษภัยผลกระทบจากการใช้ยาเสพติด การใช้สื่อโซเชียลมีเดียในการสร้างการรับรู้จึงถือเป็นเครื่องมือหลักในการที่จะช่วยสื่อสาร และเป็นอีกหนึ่งกระบอกเสียงในการเข้าถึงเยาวชน ได้ง่ายและรวดเร็วที่สุด นอกจากนี้ ยังต้องการที่จะให้เยาวชน รู้จักใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ และสร้างสรรค์สื่อที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม ทั้งนี้ ผลงานที่ได้รับรางวัล สำนักงาน ป.ป.ส. จะนำมาใช้ในการสื่อสารผ่านช่องทางออนไลน์ต่างๆ เพื่อสร้างกระแสให้เยาวชนห่างไกลจากยาบ้า พร้อมทั้ง ดำเนินการตามแผนงานให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล 

 

เพื่อมุ่งหวังให้เยาวชนมีทักษะการใช้ชีวิตให้ห่างไกลเสพติด พร้อมทั้งรู้เท่าทันโทษพิษภัยยาบ้า สามารถใช้ชีวิตและเติบโตเป็นคนที่มีคุณภาพเป็นกำลังพัฒนาประเทศต่อไปในอนาคต

 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
SOCIETY & POLITICS

ป.ป.ส. จัดงานมหกรรมกองทุนแม่ฯ แก้ปัญหายาเสพติด ประจำปี ๒๕๖๖ “รวมศรัทธา สืบสานพัฒนา ประชาร่มเย็น” 

 
เมื่อวันศุกร์ที่ 18 สิงหาคม 02566 เวลา 17.00 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เสด็จทรงเป็นองค์ประธานในงานมหกรรมกองทุนแม่ของแผ่นดิน ประจำปี 2566 ภายใต้แนวคิด “รวมศรัทธา สืบสานพัฒนา ประชาร่มเย็น” โดยมี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม นางพงษ์สวาท นีละโยธิน ปลัดกระทรวงยุติธรรม นายวิชัย ไชยมงคล เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (เลขาธิการ ป.ป.ส.) ผู้ว่าราชการจังหวัด 73 จังหวัด และผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร หัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง และผู้แทนหมู่บ้าน/ชุมชนกองทุนแม่ของแผ่นดิน ร่วมรับเสด็จ จำนวน 2,400 คน ณ อิมแพ็ค เมืองทองธานี จังหวัดนนทบุรี 
 
นายวิชัย ไชยมงคล เลขาธิการ ป.ป.ส. กล่าวว่า การจัดงานมหกรรมกองทุนแม่ของแผ่นดิน ประจำปี 2566 นี้ นับเป็นปีแรกที่สำนักงาน ป.ป.ส. ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เสด็จทรงเป็นองค์ประธานในพิธีพระราชทานเงินพระราชทานขวัญถุงกองทุนแม่ของแผ่นดินแก่หมู่บ้าน/ชุมชนกองทุนแม่ของแผ่นดินใหม่ ประจำปี 2566 เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจแก่หมู่บ้าน/ชุมชนต้นกล้ากองทุนแม่ของแผ่นดินในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด ปัจจุบันมีหมู่บ้าน/ชุมชนที่เข้าร่วมกองทุนแม่ของแผ่นดินทั่วประเทศ ตั้งแต่ปี 2547 – 2565 จำนวน 26,507 แห่ง คิดเป็น 30.99 % เปอร์เซ็นต์ จากหมู่บ้านทั้งหมดในประเทศไทย จำนวน 85,522 หมู่บ้าน และมีการขยายจำนวนหมู่บ้าน/ชุมชนกองทุนแม่ของแผ่นดินเพิ่มขึ้นทุกปี 
 
โดยในปี 2566 มีหมู่บ้านต้นกล้ากองทุนแม่ของแผ่นดิน เข้ารับพระราชทานเงินพระราชทานขวัญถุงกองทุนแม่ของแผ่นดินเพิ่มขึ้น จำนวน 1,053 แห่ง รวมเป็น 27,560 แห่ง คิดเป็น 32.00% โดยมีผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และผู้ว่าราชการจังหวัด 73 จังหวัด เป็นผู้แทนรับมอบ นอกจากนี้ ภายในงานยังมีกิจกรรมสำคัญเกี่ยวกับการจัดนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติเกี่ยวกับงานยาเสพติด นิทรรศการแสดงผลการดำเนินงานกองทุนแม่ของแผ่นดินจากพื้นที่ต่าง ๆ การแสดงของศิลปินนักร้องที่ได้รับความนิยมจากรายการโทรทัศน์แชมป์เพลงเอก และรายการ Golden Song การแสดงฟ้อนรำของชมรมบาสโลบเครือข่ายกองทุนแม่ของแผ่นดิน จังหวัดสมุทรปราการ และการแสดงดนตรีบรรเลงวงดุริยางค์ของโรงเรียนประชานิเวศน์ตลอดทั้งวัน นายวิชัย ไชยมงคล เลขาธิการ ป.ป.ส. กล่าวเพิ่มเติมว่า 
 
 
ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ที่ทรงห่วงใยปัญหายาเสพติด และได้พระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์จนก่อเกิดเป็นกองทุนแม่ของแผ่นดิน ตั้งแต่ปี 2546 เป็นต้นมา ปัจจุบันมีสมาชิกกองทุนแม่ของแผ่นดิน จำนวน 3,163,574 ครัวเรือน มีสมาชิก 4,680,501 คน มีเงินกองทุนแม่ของแผ่นดินทั้งสิ้น 541,441,458 บาท และเป็นเงินที่ได้รับพระราชทานขวัญถุงกองทุนแม่ของแผ่นดินหมู่บ้านละ 8,000 บาท รวมจำนวนทั้งสิ้น 212,056,600 บาท เมื่อหมู่บ้านชุมชนได้รับทุนตั้งต้นแล้วจะนำทุนที่ได้ไปต่อยอดในการดำเนินงานป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในหมู่บ้าน/ชุมชนของตนเอง โดยเน้นแนวทางสันติวิธี ด้วยการพัฒนาคุณภาพชีวิต ช่วยเหลือ ประคับประคอง ให้โอกาสผู้เสพได้กลับตัวเพื่อหลุดพ้นจากปัญหายาเสพติด และร่วมกันดูแลเสริมสร้างให้หมู่บ้าน/ชุมชนปลอดภัยจากปัญหายาเสพติดอย่างยั่งยืน ในโอกาสนี้จึงขอเชิญชวนให้ประชาชนทั่วประเทศร่วมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระพันปีหลวงของปวงชนชาวไทย ด้วยการไม่ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดและเฝ้าระวังปัญหายาเสพติดในหมู่บ้าน/ชุมชนเพื่อลูกหลานของเรา และหากพบเบาะแสยาเสพติดสามารถแจ้งได้ที่ สายด่วน ป.ป.ส. โทร.1386 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ป.ป.ส.

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News