Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

ผลตรวจแม่ “น้ำกก” พบสารหนูต่ำ ชาวบ้านยังผวา เพราะจำนวนปลาลด

วิกฤตมลพิษแม่น้ำกก สารหนูและความท้าทายต่อชุมชนและระบบนิเวศในเชียงราย

เชียงราย, 24 เมษายน 2568 – การปนเปื้อนสารหนูในแม่น้ำกก จังหวัดเชียงราย ได้กลายเป็นประเด็นที่สร้างความกังวลอย่างกว้างขวางในหมู่ประชาชน เกษตรกร และนักท่องเที่ยว หลังจากการตรวจพบสารโลหะหนักในน้ำและปลา รวมถึงภาพปลาที่มีลักษณะผิดปกติที่ถูกเผยแพร่ในโซเชียลมีเดีย ส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิต เกษตรกรรม และการท่องเที่ยวในพื้นที่อย่างหนัก หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งกรมประมง กระทรวงสาธารณสุข และองค์กรชุมชนได้เร่งดำเนินการตรวจสอบและให้ข้อมูลเพื่อคลายความกังวล พร้อมผลักดันแนวทางการแก้ไขทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ขณะที่ชุมชนท้องถิ่นเรียกร้องความชัดเจนและการจัดการปัญหามลพิษข้ามพรมแดนที่อาจมีสาเหตุจากกิจกรรมเหมืองแร่ในประเทศเพื่อนบ้าน

จุดเริ่มต้น ความกังวลจากแม่น้ำกก

แม่น้ำกกเป็นเส้นเลือดใหญ่ที่หล่อเลี้ยงวิถีชีวิตของชาวเชียงราย ทั้งในด้านการเกษตร การประมง และการท่องเที่ยว อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ช่วงปลายปี 2567 หลังเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ในเดือนกันยายน ชาวบ้านเริ่มสังเกตเห็นความผิดปกติของแม่น้ำกก โดยน้ำมีลักษณะขุ่นแดงและมีตะกอนดินปนเปื้อนอย่างต่อเนื่อง ความกังวลทวีคูณเมื่อมีการเผยแพร่ภาพปลาที่มีตุ่มเนื้อสีแดงอมม่วงในโซเชียลมีเดีย ซึ่งถูกอ้างว่าเป็นปลาจากแม่น้ำกก และอาจเกี่ยวข้องกับการปนเปื้อนสารหนูจากกิจกรรมเหมืองแร่ในฝั่งประเทศเมียนมา

นายวิรัตน์ พรมสอน จากเครือข่ายสภาองค์กรชุมชนจังหวัดเชียงราย กล่าวว่า “แม่น้ำกกเป็นสายเลือดของเกษตรกรในเชียงราย เศรษฐกิจของประชาชนและจังหวัดพึ่งพาแม่น้ำนี้อย่างมาก ข่าวร้ายเกี่ยวกับการปนเปื้อนสารโลหะหนักทำให้เรารู้สึกช็อก และจนถึงตอนนี้ เรายังไม่เห็นสัญญาณที่ชัดเจนจากภาครัฐว่าจะแก้ไขปัญหานี้อย่างไร” ความกังวลนี้สะท้อนถึงความไม่แน่นอนของชุมชนที่ต้องพึ่งพาแม่น้ำกกในชีวิตประจำวัน

เหตุการณ์นี้เริ่มเป็นที่สนใจมากขึ้นเมื่อกรมควบคุมมลพิษ (คพ.) รายงานการตรวจพบสารหนูในแม่น้ำกก โดยสงสัยว่าอาจมีสาเหตุจากมลพิษข้ามพรมแดน การค้นพบนี้จุดชนวนให้เกิดการถกเถียงในหมู่ประชาชนเกี่ยวกับความปลอดภัยของน้ำ ปลา และพืชผลทางการเกษตรที่เกี่ยวข้องกับแม่น้ำกก

การตรวจสอบจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

เพื่อตอบสนองต่อความกังวลของประชาชน สำนักงานประมงจังหวัดเชียงราย นำโดยนายณัฐรัฐ พรเดชอนันต์ ประมงจังหวัดเชียงราย ได้ลงพื้นที่สำรวจแหล่งน้ำและตลาดปลาในพื้นที่อำเภอเชียงแสนและอำเภอเมือง พบว่าปริมาณปลาในแม่น้ำกกลดลงอย่างมาก และประชาชนเริ่มหลีกเลี่ยงการซื้อปลาน้ำจืดจากตลาด ถึงแม้ว่าปลาส่วนใหญ่จะมาจากฟาร์มเพาะเลี้ยงและไม่ใช่ปลาจากแม่น้ำกกโดยตรง

นายณัฐรัฐเปิดเผยว่า กรณีภาพปลาที่มีตุ่มเนื้อสีแดงอมม่วงนั้น เป็นเคสเก่าที่พบในแม่น้ำโขง ฝั่ง สปป.ลาว เมื่อปี 2567 และมีเพียงตัวอย่างเดียวที่พบลักษณะดังกล่าว ลักษณะตุ่มนี้สอดคล้องกับโรคลิมโฟซิสติส (Lymphocystis Disease) ซึ่งเกิดจากเชื้อไวรัสในกลุ่ม Iridoviridae สกุล Lymphocystivirus โดยมีปัจจัยกระตุ้นจากสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม เช่น การเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิหรือความเครียดของปลา อย่างไรก็ตาม การตรวจสอบล่าสุดเมื่อวันที่ 23 เมษายน 2568 บริเวณปากแม่น้ำกก อำเภอเชียงแสน ไม่พบปลาที่มีลักษณะผิดปกติ และยังไม่สามารถเก็บตัวอย่างเพิ่มเติมได้

เพื่อยืนยันความปลอดภัยของปลาในแม่น้ำกก สำนักงานประมงจังหวัดเชียงรายได้เก็บตัวอย่างปลาจากจุดใต้ฝายเชียงราย ส่งตรวจวิเคราะห์หาสารโลหะหนักที่ Central Lab บริษัท ห้องปฏิบัติการกลาง (ประเทศไทย) เมื่อวันที่ 11 เมษายน 2568 ผลการตรวจที่ได้รับเมื่อวันที่ 24 เมษายน 2568 ระบุว่า:

  • สารหนู (As): พบในปริมาณ 0.13 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม (ค่ามาตรฐานไม่เกิน 2 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม)
  • ปรอท (Hg): พบในปริมาณ 0.090 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม (ค่ามาตรฐานไม่เกิน 0.5 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม)
  • แคดเมียม (Cd) และตะกั่ว (Pb): ไม่พบในตัวอย่าง

ผลการตรวจยืนยันว่า ระดับสารโลหะหนักในปลาจากแม่น้ำกกอยู่ในเกณฑ์ปลอดภัยตามมาตรฐานกระทรวงสาธารณสุข พ.ศ. 2563 (ฉบับที่ 414) และปลอดภัยสำหรับการบริโภค นายณัฐรัฐยังย้ำว่า ปลาที่จำหน่ายในท้องตลาดส่วนใหญ่เป็นปลาเลี้ยง เช่น ปลานิลและปลาทับทิม ซึ่งไม่ได้รับผลกระทบจากมลพิษในแม่น้ำกก

นอกจากนี้ กรมประมง โดยนายบัญชา สุขแก้ว อธิบดีกรมประมง ได้ชี้แจงเพิ่มเติมว่า ภาพปลาที่ถูกเผยแพร่ในโซเชียลมีเดียนั้นเป็นภาพเก่าและไม่ใช่ปลาจากแม่น้ำกก อย่างไรก็ตาม เพื่อความไม่ประมาท กรมประมงได้เก็บตัวอย่างปลาในแม่น้ำกก รวมถึงปลานิลแดง ปลากดหลวง และปลาชนิดอื่นๆ ส่งตรวจวิเคราะห์เพิ่มเติม คาดว่าจะทราบผลภายในวันที่ 28 เมษายน 2568

ผลกระทบต่อชุมชนและการท่องเที่ยว

การปนเปื้อนสารหนูในแม่น้ำกกส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อชุมชนท้องถิ่น โดยเฉพาะในพื้นที่ที่พึ่งพาแม่น้ำในการทำเกษตรกรรมและการประมง นายทวีศักดิ์ มณีวรรณ์ จากเครือข่ายสิทธิและชุมชน มูลนิธิสายรุ้งแม่น้ำโขง กล่าวว่า ชาวบ้านในชุมชนริมแม่น้ำกกจำนวนมากยังขาดข้อมูลเกี่ยวกับมลพิษในแม่น้ำ และยังคงใช้น้ำจากแม่น้ำกกในการเกษตรและชีวิตประจำวัน “เราไม่รู้ว่าน้ำประปาปลอดภัยหรือไม่ น้ำใต้ดินที่สูบจากริมแม่น้ำกกยังใช้ได้หรือเปล่า ผักที่ปลูกริมน้ำยังกินได้หรือไม่ ชาวบ้านต้องการคำตอบที่ชัดเจนจากหน่วยงานรัฐ”

ในด้านการท่องเที่ยว ปางช้างกะเหรี่ยงรวมมิตร ตำบลแม่ยาว อำเภอเมืองเชียงราย ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญริมแม่น้ำกก ได้รับผลกระทบอย่างหนัก นายดา ควานช้าง ตัวแทนปางช้าง เปิดเผยว่า จำนวนนักท่องเที่ยวลดลงกว่า 80% หลังจากเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ในเดือนกันยายน 2567 และข่าวการปนเปื้อนสารหนูในแม่น้ำกก “เมื่อก่อนนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติมาเยอะมาก แต่ตอนนี้ไม่มีใครกล้านำช้างลงน้ำกก ควานช้างหลายคนต้องพาช้างไปเลี้ยงในป่า และบางคนเลิกเลี้ยงช้างแล้ว”

นายบุญศรี พนาสว่างวงค์ จากเครือข่ายสิทธิชุมชนเชียงราย กล่าวว่า การห้ามชาวบ้านลงน้ำกกทำให้วิถีชีวิตที่ผูกพันกับแม่น้ำถูกตัดขาด “ชาวบ้านต้องใช้น้ำกกในการกิน ใช้ และหาอาหาร ลำพังชาวบ้านช่วยตัวเองไม่ได้ ต้องการให้หน่วยงานมาตรวจสอบน้ำ ดิน และสุขภาพของชาวบ้านให้ชัดเจน” เขายังระบุว่า มีเด็กในชุมชนบางคนเริ่มมีอาการตุ่มขึ้นตามตัวหลังสัมผัสน้ำกก ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับสารปนเปื้อน แต่ยังไม่มีหน่วยงานใดมาตรวจสอบอย่างจริงจัง

การตอบสนองจากภาครัฐและชุมชน

ที่ทำเนียบรัฐบาล นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้แถลงภายหลังการประชุมศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย วาตภัย และดินโคลนถล่ม (ศปช.) ครั้งที่ 3/2568 ว่า รัฐบาลได้อนุมัติงบประมาณรวม 385.454 ล้านบาทเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัย และหน่วยบัญชาการทหารพัฒนาได้รับงบประมาณเพิ่มอีก 100 ล้านบาทสำหรับการดูดโคลนทรายในแม่น้ำกก โดยมีเป้าหมายให้การฟื้นฟูเสร็จสิ้นก่อนฤดูฝนเพื่อลดผลกระทบต่อประชาชน

นายภูมิธรรมยอมรับว่า มีความกังวลเกี่ยวกับวัตถุอันตรายที่อาจปนเปื้อนมากับดินโคลน จึงมอบหมายให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ตรวจสอบคุณภาพดินและน้ำในแม่น้ำสายหลัก เช่น แม่น้ำกก แม่น้ำปิง และแม่น้ำโขง เพื่อยืนยันความปลอดภัยสำหรับการอุปโภคและบริโภค

ในส่วนของชุมชน ดร.จักรกริช ฉิมนอก อาจารย์จากมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย เปิดเผยว่า เครือข่ายองค์กรชุมชนและนักวิชาการจะร่วมกันจัดกิจกรรม “ธาราไร้พรมแดน: เสียงจากแม่น้ำกกและชุมชน” ในวันที่ 10 พฤษภาคม 2568 ณ ลานกิจกรรมสะพานริมกก-เวียงเหนือรวมใจ ตำบลริมกก อำเภอเมืองเชียงราย กิจกรรมนี้ประกอบด้วยการแสดงศิลปะสด (Performance Art) และเวทีเสวนาชุมชน เพื่อสื่อสารปัญหาความไม่เป็นธรรมเชิงสิ่งแวดล้อมที่ชุมชนริมแม่น้ำกกต้องเผชิญจากมลพิษข้ามพรมแดน

ดร.จักรกริชกล่าวว่า “เราต้องการตั้งคำถามว่า ใครได้รับผลกระทบ และใครมีสิทธิในการตัดสินใจ ชาวบ้านริมแม่น้ำกกต้องแบกรับภาระจากกิจกรรมเหมืองแร่ที่อยู่ห่างไกล งานศิลปะและการเสวนาจะเป็นเวทีให้ชุมชนได้เล่าเรื่องราวของแม่น้ำกก และเรียกร้องสิทธิของธรรมชาติในการจัดการทรัพยากรน้ำข้ามพรมแดน”

การวิเคราะห์ ความท้าทายและโอกาส

การปนเปื้อนสารหนูในแม่น้ำกกสะท้อนถึงความท้าทายที่ซับซ้อนในมิติสิ่งแวดล้อม สังคม และการเมืองระหว่างประเทศ ปัญหานี้ไม่เพียงส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยของอาหารและน้ำในชุมชนเท่านั้น แต่ยังกระทบต่อเศรษฐกิจท้องถิ่น โดยเฉพาะการท่องเที่ยวและการเกษตร ซึ่งเป็นรากฐานของจังหวัดเชียงราย

มิติสิ่งแวดล้อม การปนเปื้อนสารหนูในแม่น้ำกกอาจมีสาเหตุจากทั้งปัจจัยทางธรรมชาติและกิจกรรมมนุษย์ เช่น การทำเหมืองแร่ในฝั่งเมียนมา ซึ่งปล่อยสารหนูลงสู่แหล่งน้ำ การที่สารหนูสะสมในดินและน้ำอาจส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อาหาร โดยเฉพาะปลาและพืชผลทางการเกษตร เช่น ข้าวและข้าวโพด ซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจของเชียงราย นอกจากนี้ ความขุ่นของน้ำและตะกอนดินที่เกิดขึ้นตลอดทั้งปียังรบกวนระบบนิเวศ โดยแพลงก์ตอนซึ่งเป็นอาหารของปลาไม่สามารถสังเคราะห์แสงได้ ส่งผลให้ปริมาณปลาในแม่น้ำลดลงอย่างมาก

มิติสังคม ชุมชนริมแม่น้ำกกเผชิญกับความไม่แน่นอนในวิถีชีวิต การขาดข้อมูลที่ชัดเจนจากหน่วยงานรัฐทำให้ชาวบ้านจำนวนมากยังคงใช้น้ำกกในการเกษตรและชีวิตประจำวัน โดยไม่ตระหนักถึงความเสี่ยงจากสารปนเปื้อน การที่เด็กในชุมชนมีอาการตุ่มขึ้นตามตัวหลังสัมผัสน้ำกกบ่งชี้ถึงความจำเป็นในการตรวจสอบสุขภาพของประชาชนอย่างเร่งด่วน

มิติการเมืองระหว่างประเทศ การจัดการมลพิษข้ามพรมแดนเป็นประเด็นที่ละเอียดอ่อน เนื่องจากเกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยและเมียนมา การแก้ไขปัญหานี้ต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างรัฐบาลทั้งสองฝ่าย รวมถึงการกำหนดนโยบายที่ชัดเจนในการควบคุมกิจกรรมเหมืองแร่และการปล่อยมลพิษลงสู่แหล่งน้ำ

อย่างไรก็ตาม วิกฤตนี้เป็นโอกาสให้หน่วยงานรัฐ องค์กรชุมชน และสถาบันการศึกษาในเชียงรายร่วมมือกันพัฒนาแนวทางการแก้ไขที่ยั่งยืน เช่น การจัดตั้งระบบเฝ้าระวังคุณภาพน้ำและดินอย่างต่อเนื่อง การให้ความรู้แก่ชุมชนเกี่ยวกับความเสี่ยงจากสารปนเปื้อน และการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อลดการสะสมของสารหนูในพืชผลและสัตว์น้ำ

ทัศนคติเป็นกลางต่อความเห็นทั้งสองฝั่ง

ความกังวลของชุมชนและประชาชน
ชุมชนริมแม่น้ำกกและประชาชนทั่วไปมีความกังวลอย่างมากต่อความปลอดภัยของน้ำ ปลา และพืชผลที่อาจปนเปื้อนสารหนู การที่ข้อมูลจากหน่วยงานรัฐยังไม่ครอบคลุมและไม่ถึงชุมชนทำให้ชาวบ้านรู้สึกหวาดกลัวและขาดความมั่นใจในการใช้ทรัพยากรจากแม่น้ำกก ความกังวลนี้สมเหตุสมผล เนื่องจากสารหนูสามารถก่อให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพทั้งในระยะสั้น (เช่น อาการคลื่นไส้และผื่นผิวหนัง) และระยะยาว (เช่น มะเร็งผิวหนังและความเสียหายต่ออวัยวะภายใน)

การยืนยันความปลอดภัยจากหน่วยงานรัฐ
หน่วยงานรัฐ โดยเฉพาะกรมประมงและกระทรวงสาธารณสุข ยืนยันว่า ระดับสารหนูในปลาจากแม่น้ำกกอยู่ในเกณฑ์ปลอดภัย และปลาที่จำหน่ายในท้องตลาดส่วนใหญ่มาจากฟาร์มเพาะเลี้ยงที่ไม่ได้รับผลกระทบจากมลพิษในแม่น้ำ การตรวจสอบคุณภาพน้ำและดินอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการจัดสรรงบประมาณเพื่อฟื้นฟูแม่น้ำกก แสดงถึงความพยายามของภาครัฐในการแก้ไขปัญหาและสร้างความมั่นใจให้ประชาชน

ทัศนคติเป็นกลาง ความกังวลของชุมชนเป็นสิ่งที่เข้าใจได้และควรได้รับการตอบสนองด้วยข้อมูลที่ชัดเจนและการสื่อสารที่ทั่วถึงจากหน่วยงานรัฐ ขณะเดียวกัน การตรวจสอบและยืนยันความปลอดภัยของหน่วยงานรัฐเป็นขั้นตอนที่จำเป็นในการลดความตื่นตระหนกและปกป้องสุขภาพประชาชน การแก้ไขปัญหาควรเน้นที่การเพิ่มช่องทางการสื่อสารกับชุมชน การตรวจสอบสุขภาพประชาชนอย่างเป็นระบบ และการจัดการมลพิษข้ามพรมแดนอย่างจริงจัง เพื่อให้ทั้งสองฝ่ายมั่นใจในความปลอดภัยและความยั่งยืนของทรัพยากรธรรมชาติ

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  1. การปนเปื้อนสารหนูในแหล่งน้ำ: องค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่า ระดับสารหนูในน้ำดื่มที่ปลอดภัยต้องไม่เกิน 0.01 มิลลิกรัมต่อลิตร การได้รับสารหนูในปริมาณสูงอย่างต่อเนื่องอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อมะเร็งผิวหนังและอวัยวะภายใน (ที่มา: WHO, Guidelines for Drinking-water Quality, 2022)
  2. ผลกระทบต่อการเกษตร: รายงานจากสมาคมเพื่อความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์แห่งอเมริกา (AAAS) ระบุว่า พื้นที่เพาะปลูกร้อยละ 14–17 ทั่วโลก (ประมาณ 242 ล้านเฮกตาร์) ได้รับผลกระทบจากการปนเปื้อนโลหะหนัก โดยสารหนูและแคดเมียมเป็นสารที่พบมากที่สุดในเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ที่มา: Science Journal, 2025)
  3. ประชากรที่ได้รับผลกระทบ: การวิจัยจาก AAAS ประมาณการว่า มีประชากร 900 ล้านถึง 1.4 พันล้านคนทั่วโลกอาศัยอยู่ในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูงจากการปนเปื้อนโลหะหนัก (ที่มา: Science Journal, 2025)
  4. ผลกระทบต่อสัตว์น้ำ: กรมประมงรายงานว่า ปริมาณปลาในแหล่งน้ำธรรมชาติของประเทศไทยลดลงร้อยละ 20–30 ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของระบบนิเวศและมลพิษในแหล่งน้ำ (ที่มา: รายงานประจำปี 2567, กรมประมง)
  5. ผลกระทบต่อการท่องเที่ยว: การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ระบุว่า การท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ในจังหวัดเชียงรายมีรายได้ลดลงร้อยละ 15 ในปี 2567 เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับมลพิษในแหล่งน้ำ (ที่มา: รายงานการท่องเที่ยว, ททท., 2567)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • องค์การอนามัยโลก (WHO)

  • สมาคมเพื่อความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์แห่งอเมริกา (AAAS)

  • กรมประมง

  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)

  • https://www.science.org
  • https://www.theguardian.com
  • https://theconversation.com
  • https://phys.org
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

เชียงรายโล่ง! ปลาน้ำกกปลอดภัย สารหนูในตัวปลาต้องใช้นาน 10 ปี

ประมงฯ เชียงรายยืนยัน “ปลาน้ำกกยังปลอดภัยบริโภคได้” แม้พบสารหนูในระดับต่ำ – เตรียมเฝ้าระวังระยะยาว

ประเทศไทย, 10 เมษายน 2568 – ภายหลังมีรายงานข่าวเกี่ยวกับการพบสัตว์น้ำตายและข่าวสารการปนเปื้อนของโลหะหนักในแม่น้ำกก จังหวัดเชียงราย ล่าสุด สำนักงานประมงจังหวัดเชียงราย ยืนยันว่า จากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่าสภาพน้ำยังอยู่ในเกณฑ์ที่ปลอดภัยต่อการดำรงชีวิตของสัตว์น้ำ และปลายังคงสามารถบริโภคได้โดยไม่มีอันตรายในระยะสั้น พร้อมย้ำถึงแผนเฝ้าระวังคุณภาพน้ำในระยะยาวเพื่อความปลอดภัยของประชาชน

ตรวจสอบคุณภาพน้ำแม่น้ำกก จากภาพข่าวสู่การลงพื้นที่

เมื่อวันที่ 9 เมษายน 2568 นายณัฐรัฐ พรเดชอนันต์ ประมงจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่จาก ศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืดพะเยา ได้ลงพื้นที่บริเวณแม่น้ำกก ด้านหน้าสำนักงานประมงจังหวัดเชียงราย เพื่อเก็บตัวอย่างน้ำและตรวจสอบสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ หลังมีข่าวเผยแพร่ภาพเต่าตายและความกังวลของประชาชนในพื้นที่เกี่ยวกับความปลอดภัยในการบริโภคปลาจากแม่น้ำสายนี้

จากการตรวจสอบเบื้องต้น พบว่า

  • ลูกปลาวัยอ่อนว่ายน้ำได้ตามปกติ
  • ไม่มีปลาที่แสดงอาการอ่อนแอ สีซีด หรือผิดปกติ
  • ค่าออกซิเจนละลายในน้ำ (DO) อยู่ในเกณฑ์เหมาะสม
  • แม้ระดับความขุ่นของน้ำจะเพิ่มขึ้นในช่วงน้ำหลาก แต่ยังไม่ส่งผลร้ายแรงต่อสัตว์น้ำ

ชี้แจงภาพ “เต่านาตาย” ไม่ใช่ผลจากสารพิษ

ประเด็นภาพข่าวเต่าตายที่ถูกเผยแพร่ในโลกออนไลน์นั้น นายณัฐรัฐชี้แจงว่า เต่าที่พบเป็น “เต่านา” ซึ่งไม่ควรนำมาปล่อยลงแม่น้ำ เนื่องจากไม่ใช่ถิ่นอาศัยตามธรรมชาติของสัตว์ชนิดนี้ เต่าจึงมีโอกาสจมน้ำตายได้หากไม่มีพื้นที่ขึ้นหายใจที่เพียงพอ โดยสันนิษฐานว่าอาจเกิดจากความตั้งใจของประชาชนที่ปล่อยสัตว์น้ำเพื่อทำบุญ แต่ไม่ได้ประเมินความเหมาะสมของแหล่งน้ำ

ผลการตรวจวิเคราะห์น้ำ พบ “สารหนู” ในระดับต่ำ

จากการเก็บตัวอย่างน้ำในบริเวณสวนสาธารณะใกล้กับองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย พบว่า

  • ตรวจพบสารหนู (Arsenic) ที่ระดับ 0.013 มิลลิกรัมต่อลิตร
  • แม้จะเกินค่ามาตรฐานของน้ำดื่ม (0.01 มก./ลิตร) เล็กน้อย แต่ยังต่ำกว่าระดับอันตรายสำหรับสัตว์น้ำ
  • ยังไม่พบผลกระทบในลักษณะที่รุนแรงต่อสิ่งมีชีวิตในน้ำ
  • อย่างไรก็ตาม หากมีการสะสมในตัวปลานานหลายปี อาจส่งผลต่อสุขภาพผู้บริโภค

ยังไม่พบสารพิษในตัวปลาโดยตรง แต่เตรียมตรวจเชิงลึก

ในประเด็นสารพิษสะสมในตัวปลา นายณัฐรัฐ เปิดเผยว่า ขณะนี้ยังไม่ได้มีการเก็บตัวอย่างปลาจากแม่น้ำกกไปตรวจวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการเพื่อหาสารหนูโดยตรง แต่มีแผนจะดำเนินการในระยะถัดไปเพื่อยืนยันความปลอดภัยอย่างเป็นรูปธรรม และจะเร่งประสานกับหน่วยงานวิชาการที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ หรือศูนย์วิจัยประมงในภูมิภาค

ทั้งนี้ แนะนำให้ประชาชนในพื้นที่ สามารถบริโภคปลาจากแม่น้ำกกได้ตามปกติ แต่ควรหลีกเลี่ยงการบริโภคซ้ำต่อเนื่องเป็นเวลานาน และควรปรุงสุกก่อนบริโภคเสมอ เพื่อความปลอดภัย

ข้อมูลสัตว์น้ำในพื้นที่ แม่น้ำกกไม่ใช่แหล่งเลี้ยงปลาในกระชัง

ประมงจังหวัดเชียงรายระบุว่า ปัจจุบันแม่น้ำกกไม่ได้เป็นแหล่งเลี้ยงปลาในกระชัง โดยปลาที่จับได้ส่วนใหญ่เป็นปลาธรรมชาติ และมีปริมาณไม่มาก คิดเป็นไม่ถึง 10% ของปลาทั้งหมดที่บริโภคในจังหวัดเชียงราย ส่วนปลาที่บริโภคทั่วไปมาจากแหล่งเพาะเลี้ยงในบ่อดิน อ่างเก็บน้ำ และแหล่งน้ำสาธารณะของชุมชน

เตรียมแผนเฝ้าระวังระยะยาว ติดตามต่อเนื่องตลอดฤดูน้ำหลาก

เนื่องจากแม่น้ำกกเป็นแม่น้ำสายหลักของจังหวัดเชียงราย และมีการเปลี่ยนแปลงคุณภาพน้ำตามฤดูกาล โดยเฉพาะช่วงหน้าฝนที่อาจเกิดน้ำหลากและน้ำขุ่นมาก ประมงจังหวัดเชียงรายได้เตรียมแผนเฝ้าระวังคุณภาพน้ำในระยะยาว ร่วมกับหน่วยงานด้านสิ่งแวดล้อม และกรมควบคุมมลพิษ เพื่อป้องกันความเสี่ยงในอนาคต

นอกจากนี้ ยังอยู่ระหว่างการหารือกับจังหวัดใกล้เคียง เช่น จังหวัดพะเยา และหน่วยงานชายแดน เพื่อสำรวจต้นน้ำจากฝั่งประเทศเมียนมา ซึ่งเป็นจุดกำเนิดของแม่น้ำกก และอาจมีส่วนต่อการปนเปื้อนของสารโลหะหนัก

บทวิเคราะห์ แม่น้ำกกในมิติเชิงสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม

แม่น้ำกกมีความสำคัญต่อระบบนิเวศและการดำรงชีวิตของชุมชนในจังหวัดเชียงรายอย่างมาก ทั้งในด้านการประมง การใช้น้ำอุปโภคบริโภค และการท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ การพบสารหนูในระดับต่ำเป็นสัญญาณที่ควรใส่ใจ โดยเฉพาะในยุคที่การเปลี่ยนแปลงทางสิ่งแวดล้อมเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว

แม้ปลาจะยังบริโภคได้ในขณะนี้ แต่การบริหารจัดการความเสี่ยง และการสื่อสารสาธารณะที่ชัดเจน โปร่งใส เป็นสิ่งที่จำเป็น เพื่อไม่ให้ประชาชนตื่นตระหนกเกินเหตุ และในขณะเดียวกันต้องสร้างความมั่นใจว่ารัฐติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง

สถิติที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาข่าว

  • ค่าเฉลี่ยสารหนูในน้ำที่ปลอดภัยต่อการบริโภค: ไม่เกิน 0.01 มก./ลิตร (กรมอนามัย, 2567)
  • ระดับที่พบในแม่น้ำกก: 0.013 มก./ลิตร (ศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืดพะเยา, เม.ย. 2568)
  • สัตว์น้ำในแม่น้ำกก: ยังไม่พบอาการผิดปกติจากผลกระทบสารพิษ (สำนักงานประมงจังหวัดเชียงราย, 9 เม.ย. 2568)
  • ปลาที่จับจากแม่น้ำกก: คิดเป็นไม่ถึง 10% ของปลาที่บริโภคในจังหวัดเชียงราย (สถิติประมงภาคเหนือ, 2566)
  • แม่น้ำกกเป็นแหล่งน้ำหลักของจังหวัดเชียงราย ที่ใช้ในระบบประปาในบางพื้นที่ และการประมงพื้นบ้าน
  • เชียงรายมีแหล่งเพาะเลี้ยงปลาในบ่อดินและอ่างเก็บน้ำ มากกว่า 3,000 แห่ง ทั่วจังหวัด (กรมประมง, 2567)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานประมงจังหวัดเชียงราย
  • ศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืดพะเยา
  • กรมประมง
  • กรมควบคุมมลพิษ
  • กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข
  • สำนักข่าวกรมประชาสัมพันธ์ จังหวัดเชียงราย
  • รายงานสถานการณ์สิ่งแวดล้อมภาคเหนือ ปี 2566 – 2567
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE