Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

“Fashion on the Road” เงินสะพัดกว่า 10 ล้าน! ! เชียงรายใช้แฟชั่นโชว์ยืนยันศักยภาพชายแดน

ปิดฉาก “Fashion on the Road” แม่สายเงินสะพัด 10 ล้าน ผ้าไทยบนถนนชายแดน ยกเครื่อง Soft Power เชียงราย หนุนวิสัยทัศน์ NEC

เชียงราย, 3 พฤศจิกายน 2568 — ผืนผ้าไทยสะบัดพลิ้วท่ามกลางสายลมจากแนวสันเขาแม่สาย ก่อนจะตกกระทบเลนส์กล้องนักท่องเที่ยวและผู้สื่อข่าวนับร้อย ณ บริเวณหน้าด่านพรมแดนไทย–เมียนมา ในค่ำคืนที่เสียงปรบมือก้องยาวกว่าปกติ “Fashion on the Road 3rd Chiang Rai Designer’s Competition” ประกาศปิดฉากอย่างงดงามเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2568 โดยมี นายนรศักดิ์ สุขสมบูรณ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานปิดงาน และประกาศผลผู้ชนะครบทั้ง 3 ประเภท ท่ามกลางบรรยากาศคึกคักของผู้ชมทั้งชาวไทยและต่างชาติ

งานปีนี้ไม่ได้ปิดเพียงไฟบนรันเวย์ แต่ปิดด้วย “ตัวเลข” ที่จับต้องได้ — เงินสะพัดกว่า 10 ล้านบาท ตลอดห้วงการจัดงาน ซึ่งกลายเป็นสัญลักษณ์ของ “เศรษฐกิจสร้างสรรค์” ที่ต่อเส้นเลือดจากพื้นที่ชายแดนไปสู่ผู้ประกอบการท้องถิ่น ดีไซเนอร์รุ่นใหม่ ช่างฝีมือผ้า และผู้ค้าใน “Premium Market” ร้อยบูธที่ขยับตัวตลอดวัน

Soft Power ที่ลงดิน จากลายผ้าล้านนาสู่แรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจชายแดน

แก่นสำคัญของ “Fashion on the Road” คือการเลือก “ถนนชายแดน” เป็นรันเวย์ เปิดพื้นที่ให้ผ้าไทยและผ้าชาติพันธุ์พูดภาษาสากลได้ด้วยตัวเอง การจัดงานที่หน้าด่านพรมแดนไทย–เมียนมา อำเภอแม่สาย ทำให้การแลกเปลี่ยนผู้คน สินค้า และวัฒนธรรม เกิดขึ้นแบบไร้รอยต่อ เมื่อผู้มาเยือนได้สัมผัสเนื้อแท้ของผืนผ้า ตั้งแต่แหล่งกำเนิด หัตถกรรม ไปจนถึงแฟชั่นร่วมสมัย ไม่ใช่ผ่านตู้กระจกในหอศิลป์ แต่ “บนถนนจริง” ที่การค้าจริงเกิดขึ้น

งานครั้งนี้ได้รับการขานรับจากนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติ จนเกิดอานิสงส์ทางเศรษฐกิจท้องถิ่นอย่างชัดเจน ทั้งรายได้จากที่พัก ร้านอาหาร การเดินทาง ภาษีท้องถิ่น ไปจนถึงยอดจำหน่ายจากบูธ Chiang Rai Premium Market ที่คัด สินค้า GI, Chiang Rai Brand และสินค้า Wellness รวมกว่า 100 บูธ มาตั้งเรียงยาวเคียงข้างเวที สะท้อนแนวคิด “แฟชั่น–การค้า–การท่องเที่ยว” ที่ออกแบบให้ขับเคลื่อนไปพร้อมกัน

เวทีประกวด 3 หมวด คุณภาพงานออกแบบที่ยืนยันความเป็นนานาชาติ

หัวใจของค่ำคืนคือการประกาศผลรางวัล 3 ประเภท ซึ่งทำหน้าที่เป็น “ดัชนีคุณภาพ” ของเวทีออกแบบในระดับภูมิภาค รายละเอียดดังนี้

  • ประเภทชุดลำลอง รางวัลชนะเลิศ Thaw Thazin Myanmar รับเงินรางวัล 100,000 บาท
    หมายเหตุ: อันดับ 2 Saw Kyaw Thuya Min (Myanmar) เงินรางวัล 20,000 บาท และอันดับ 3 นพรัตน์ ตาละสา เงินรางวัล 10,000 บาท
  • ประเภทชุดทำงาน: รางวัลชนะเลิศ Team Sean มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง เงินรางวัล 100,000 บาท
    อันดับ 2 เรณู ศิลป์ท้าว เงินรางวัล 20,000 บาท และอันดับ 3 ทักษิณ มะลูลีม มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา เงินรางวัล 10,000 บาท
  • ประเภทชุดราตรี: รางวัลชนะเลิศ นนท์ฒวัศณ์ วงค์พิใจ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร เงินรางวัล 100,000 บาท
    อันดับ 2 รัตนาภรณ์ ธนเสรีธรรม วิทยาลัยการอาชีพป่าซาง จ.ลำพูน เงินรางวัล 20,000 บาท และอันดับ 3 จรณี แซ่ว่าง และ นันทนา แช่ชง วิทยาลัยอาชีวศึกษาลำปาง เงินรางวัล 10,000 บาท
  • รางวัลพิเศษ The New Generation Creative Ward: นทฤทธ์ จินตกานนท์ จาก Wellington College International School Bangkok เงินรางวัล 10,000 บาท

ผลการตัดสินที่ “ชุดลำลอง” ตกเป็นของดีไซเนอร์จากเมียนมา ขณะที่ประเภทอื่น ๆ กระจายตัวอยู่ในสถาบันการศึกษาหลากหลายของไทย สะท้อน “DNA ข้ามพรมแดน” และ “เครือข่ายการเรียนรู้” ที่งานได้วางรากไว้ตั้งแต่รุ่นแรก ๆ สิ่งนี้ทำให้เวทีแม่สายไม่ได้เป็นเพียง “งานโชว์” แต่เป็น “สนามบ่มเพาะ” ที่เปิดโอกาสให้ดีไซเนอร์รุ่นใหม่และมืออาชีพได้ทดสอบงานจริงกับผู้ชมจริงและผู้ซื้อจริง

เชื่อมวิสัยทัศน์ NEC ถนนผืนผ้ากับระเบียงเศรษฐกิจเหนือ

งานปีนี้ชัดเจนขึ้นในบทบาทของตนต่อ NEC (Northern Economic Corridor) — ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคเหนือที่ตั้งใจยกระดับฐานเศรษฐกิจชายแดน จาก “ประตูการค้า” ไปเป็น “ชุมทางเศรษฐกิจสร้างสรรค์” กลไกสำคัญคือ Soft Power ด้านผ้าไทย–แฟชั่น–งานออกแบบ ที่สำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงรายผลักดันต่อเนื่องผ่านแนวคิด “10+Wow Chiang Rai” ผสาน ประเพณีล้านนา–ภูมิปัญญาท้องถิ่น–ผ้าชาติพันธุ์ กับรสนิยมร่วมสมัย เป็นภาษาการตลาดที่คนทั้งโลกเข้าใจและเต็มใจควักกระเป๋า

ยิ่งไปกว่านั้น แนวคิดการ “น้อมนำ” พระราชดำริ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ในการส่งเสริมการใช้ผ้าไทยในชีวิตประจำวัน ทำให้หัตถศิลป์ผ้าไม่ถูกยึดติดอยู่ในตู้โชว์ แต่กลายเป็นส่วนหนึ่งของ “วิถีชีวิตที่ซื้อซ้ำได้” เมื่อพลังความภาคภูมิใจถูกเชื่อมเข้ากับช่องทางการตลาดและการออกแบบที่ร่วมสมัย

10 ล้านบาทที่ไหลเวียน ทำไมตัวเลขนี้สำคัญกว่า “ยอดขาย”

แม้ตัวเลข เงินสะพัดกว่า 10 ล้านบาท จะสะดุดตาในเชิงประชาสัมพันธ์ แต่ความหมายที่ลึกกว่าคือ “คุณภาพการไหลเวียน” ของเงินภายในอีโคซิสเต็มแฟชั่น–ท่องเที่ยวชายแดน เงินก้อนนี้แตกตัวไปยังผู้มีส่วนได้ส่วนเสียตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ — กลุ่มทอผ้า ช่างฝีมือ ผู้ค้าปลีก ร้านอาหาร โรงแรม รถโดยสาร คนทำงานอีเวนต์ ไปจนถึงช่างภาพ–ครีเอเตอร์ท้องถิ่น

หากพิจารณา “มูลค่าในอนาคต” (future value) งานลักษณะนี้ยังสร้าง “ทุนทางสังคมและวัฒนธรรม” ที่แปลงเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจได้จริงในรอบปีถัดไป ทั้งการสั่งตัดชุด การสั่งซื้อสินค้าหัตถกรรมซ้ำ การกลับมาเที่ยวแม่สาย และการดึงดูดแบรนด์–สปอนเซอร์ที่สนใจวิถีแฟชั่น–ชุมชนอย่างจริงจัง

เสียงจากเวทีนโยบาย ผ้าหนึ่งผืน เปลี่ยนชีวิตได้ทั้งชุมชน

ในนามเจ้าภาพจังหวัด ฝ่ายจัดงานย้ำบทบาท “ถนนแฟชั่น” ที่ต้องคงความเป็นเวทีสาธารณะ เปิดกว้างให้ช่างฝีมือ–ดีไซเนอร์–นักเรียนสายออกแบบได้ทดลองงานและได้คำติชมจากตลาดจริง แนวทางนี้อยู่บนฐานคิด “สร้างอุปสงค์ด้วยความหมาย” เมื่อผู้สวมใส่รู้เรื่องราวของผืนผ้า—แหล่งที่มา เทคนิคการทอ สีธรรมชาติ ลวดลายชาติพันธุ์—ความยินดีที่จะจ่ายย่อมสูงขึ้น และนานขึ้น

การผลักดันเช่นนี้ไม่ใช่งาน “หรู–ไกลตัว” แต่คือเศรษฐกิจชุมชนที่เรียบง่ายและยั่งยืน ผ้าขายได้—ครอบครัวช่างฝีมือมีรายได้—เยาวชนเห็นอนาคตในท้องถิ่น—นักท่องเที่ยวกลับมา—ธุรกิจรายย่อยเติบโต—ภาษีท้องถิ่นเพิ่มขึ้น—รัฐมีทรัพยากรพัฒนาพื้นฐานต่อเนื่อง วงจรนี้คือคำจำกัดความของ “Soft Power ที่ลงดิน” อย่างแท้จริง

Premium Market ห้องเครื่องลับของการค้าแฟชั่น

คู่ขนานกับรันเวย์คือ “Chiang Rai Premium Market” ที่ถูกออกแบบให้ทำหน้าที่เป็น “โชว์รูม–ตลาด–ห้องเจรจา” ในคราวเดียวกัน การคัด สินค้า GI, Chiang Rai Brand และ Wellness มากกว่า 100 บูธ ทำให้ผู้ซื้อต่างจังหวัดและต่างชาติมีโอกาสเห็นสินค้าแท้และแหล่งผลิตในคราวเดียว ลดต้นทุนการค้นหา และเร่ง “วงจรการตัดสินใจซื้อ” ให้สั้นลงอย่างมีนัยสำคัญ

ผลที่เกิดขึ้นไม่ใช่เพียงยอดขายหน้างาน แต่คือ “สายสัมพันธ์ทางธุรกิจ” ที่ต่อยอดไปสู่การสั่งผลิต การทำคอลเลกชันร่วม การพัฒนาบรรจุภัณฑ์ และการวางขายในช่องทางใหม่ ๆ ซึ่งเป็นผลตอบแทนระยะกลางที่มักสูงกว่ายอดขายทันทีในวันงาน

ความหมายเชิงการศึกษา ห้องเรียนมีชีวิตของดีไซน์รุ่นใหม่

รายชื่อผู้ชนะที่กระจายอยู่ในหลายสถาบันการศึกษา เช่น มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง, มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร, สถาบันอาชีวศึกษาในลำพูน–ลำปาง ตลอดจน Wellington College International School Bangkok ชี้ให้เห็นว่า “ห้องเรียนแฟชั่น” ของภาคเหนือ–กรุงเทพฯ–และต่างประเทศ เริ่มมาบรรจบกันที่ชายแดนแม่สาย

เวทีนี้ทำหน้าที่เสมือน “สตูดิโอภาคสนาม” ที่ให้ดีไซเนอร์ได้เห็นการตอบสนองของผู้ชมจริงต่อวัสดุจริง สีจริง แพตเทิร์นจริง—บทเรียนที่ไม่มีในห้องเรียน และเป็นชนวนให้เกิดการพัฒนาเชิงเทคนิคและการตลาดที่มีฐานความจริงรองรับ

ขยายเครือข่ายจากถนนชายแดนสู่แพลตฟอร์มการค้าเชิงสร้างสรรค์

เมื่อเส้นทาง “แฟชั่น–การค้า–การท่องเที่ยว” เริ่มเข้าที่ คำถามสำคัญคือ “จะทำอย่างไรให้มูลค่าต่อหน่วยสูงขึ้นและยั่งยืนขึ้น” แนวทางที่งานนี้วางไว้และควรต่อยอด ได้แก่

  1. คอลเลกชันร่วม (Co-creation) ระหว่างดีไซเนอร์รุ่นใหม่–กลุ่มทอผ้าชาติพันธุ์–ผู้ประกอบการท่องเที่ยว เพื่อสร้างสินค้าที่มีเรื่องเล่าร่วมและขายได้หลายฤดูกาล
  2. มาตรฐานคุณภาพและการรับรอง (Certification) สำหรับสินค้า GI และแบรนด์เชียงราย เพื่อสร้างความเชื่อมั่นตลาดสากล
  3. ดาต้าท่องเที่ยว–การค้า ของงานในปีถัดไป เช่น จำนวนผู้เข้าชมซ้ำ อัตราการแปลงเป็นยอดสั่งผลิต เพื่อวัดผลเชิงนโยบายอย่างเป็นระบบ
  4. เชื่อม NEC กับโลจิสติกส์ชายแดน เพื่อให้การสั่งซื้อข้ามแดนสะดวกขึ้น ลดเวลา–ต้นทุน และเพิ่มความน่าเชื่อถือให้ผู้ซื้อรายใหม่

เมื่อผ้าไทยเดินทางถึงชายแดน โลกก็เดินเข้าหาเชียงราย

การปิดฉาก “Fashion on the Road” ปีนี้ไม่ได้ทิ้งรอยเท้าไว้แค่บนรันเวย์ แต่ทิ้ง “เส้นทาง” ให้เศรษฐกิจสร้างสรรค์ของเชียงรายเดินหน้าต่อ ตัวเลขเงินสะพัด 10 ล้านบาท คือสัญญาณของโครงสร้างที่เริ่มทำงาน — รัฐ–ท้องถิ่น–เอกชน–การศึกษา–ชุมชน ขับเคลื่อนในทิศเดียวกัน และยืนยันว่า Soft Power ที่จับต้องได้ เริ่มแปรสภาพเป็นรายได้ที่แบ่งปันกันได้

บนถนนชายแดนที่ผู้คนหลายภาษาเดินสวนกัน ผืนผ้าหนึ่งผืนทำหน้าที่เชื่อมวัฒนธรรม สร้างงาน สร้างรายได้ และสร้างความภาคภูมิใจร่วม เมื่อรันเวย์ดับไฟลง เม็ดเงินยังไหลเวียนต่อ และเรื่องราวของเชียงรายยังเดินหน้า—จากแม่สายสู่ตลาดโลก—บนถนนสายเดิมที่ชื่อว่า “ความร่วมมือ”

สรุปสาระสำคัญ (Key Takeaways)

  • พิธีปิดจัดขึ้น 2 พฤศจิกายน 2568 ณ หน้าด่านพรมแดนไทย–เมียนมา อ.แม่สาย โดย รองผู้ว่าฯ นรศักดิ์ สุขสมบูรณ์ เป็นประธาน
  • งานสร้าง เงินสะพัดรวมกว่า 10 ล้านบาท จากแฟชั่นโชว์และ Premium Market กว่า 100 บูธ
  • ผลรางวัล 3 หมวด สะท้อนความเป็นนานาชาติ: Thaw Thazin (Myanmar) ชนะชุดลำลอง, Team Sean (มฟล.) ชนะชุดทำงาน, นนท์ฒวัศณ์ วงค์พิใจ (มทร.พระนคร) ชนะชุดราตรี และ นทฤทธ์ จินตกานนท์ คว้า The New Generation Creative Ward
  • งานตอบรับ NEC และแนวคิด “10+Wow Chiang Rai” เชื่อมผ้าไทย–หัตถศิลป์–การท่องเที่ยวชายแดน สู่เวทีสากล

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สวท.เชียงราย กรมประชาสัมพันธ์
  • สำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงราย
  • เทศบาลตำบลแม่สาย
  • ฝ่ายจัดงาน Fashion on the Road 3rd
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

Soft Power เชียงราย แฟชั่นโชว์ผ้าไทย-ชาติพันธุ์ ดันผู้ประกอบการท้องถิ่นสู่ตลาดโลก

เชียงรายจุดประกายซอฟต์พาวเวอร์ชายแดน “Fashion on the Road” ครั้งที่ 3 โชว์ผ้าไทย–ชาติพันธุ์กว่า 200 ชุด เชื่อมดีไซน์–การค้า–ท่องเที่ยว ดันผู้ประกอบการท้องถิ่นสู่ตลาดโลก รับยุทธศาสตร์ NEC

เชียงราย, 1 พฤศจิกายน 2568 — ยามบ่ายปลายตุลาคม แสงแดดส่องทาบแนวสะพานพรมแดนไทย–เมียนมา อำเภอแม่สาย กลายเป็นรันเวย์กลางแจ้งที่ส่งเสียงของ “ซอฟต์พาวเวอร์ไทย” ดังออกไปไกลกว่าขอบเขตจังหวัด เมื่อ จังหวัดเชียงราย จัดงาน “Fashion on the Road 3rd Chiang Rai Designer’s Competition” ครั้งที่ 3 อย่างคึกคัก โดยมี นายนรศักดิ์ สุขสมบูรณ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานเปิดงาน พร้อมแรงสนับสนุนจากหน่วยงานภาครัฐท้องถิ่นและเครือข่ายเอกชน ทั้ง เทศบาลตำบลแม่สาย และ สำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงราย ที่มาร่วมผลักดันผลงานผ้าไทย–ผ้าท้องถิ่นให้เดินหน้า “จากชุมชนสู่สากล” อย่างเป็นรูปธรรม

หัวใจของงานในปีนี้คือ การประกวดและแฟชั่นโชว์กว่า 200 ชุด ที่นำผืนผ้าล้านนา–ชาติพันธุ์มาถักทอเข้ากับการออกแบบร่วมสมัย โอบล้อมด้วยเสียงเชียร์จากนักท่องเที่ยวชาวไทยและต่างชาติที่แวะเวียนมาชมแนวคิดสร้างสรรค์ริมเส้นทางการค้าชายแดน ซึ่งนอกจากจะเป็นพื้นที่สื่อสารอัตลักษณ์แล้ว ยังทำหน้าที่เป็น “ตลาดทดลอง” ให้ดีไซเนอร์และผู้ประกอบการท้องถิ่นได้ทดสอบรสนิยมผู้บริโภคจริงในพื้นที่ที่มีพลวัตทางเศรษฐกิจสูงที่สุดแห่งหนึ่งของภาคเหนือ

เมื่อ “รันเวย์” ผสาน “การค้า” บนพรมแดน

เวลา 16.00 น. วันที่ 31 ตุลาคม 2568 บริเวณหน้าด่านพรมแดนแม่สายเปลี่ยนโฉมเป็นเวทีสีสัน ผู้คนจากสองฟากชายแดนเบียดเสียดเข้ามาจับจองพื้นที่ชมแฟชั่นโชว์ที่ท้าทายความคิดเดิมเกี่ยวกับ “ผ้าไทย” และ “ผ้าท้องถิ่น” ชุดแล้วชุดเล่าถ่ายทอดความแยบยลของ เส้นฝ้าย–ไหม–กี่กระตุก ไปจนถึงผ้าลายชาติพันธุ์ที่ขับรายละเอียดด้วยการปัก การย้อม และการกรองริ้วผ้าสไตล์โมเดิร์น ดีไซเนอร์รุ่นใหม่สลับคิวกับนักออกแบบมืออาชีพทั้งไทยและต่างประเทศ ขณะที่เสียงบรรยายแนวคิดการออกแบบชี้ให้เห็นรากของภูมิปัญญาและเส้นทางต่อยอดเชิงพาณิชย์

ผู้จัดงานเน้นย้ำ “บริบทชายแดน” ให้เป็นมากกว่าฉากหลัง ด้วยการจัดพื้นที่ “Chiang Rai Premium Market : มหกรรมสินค้าคุณภาพเชียงรายสู่ตลาดโลก” แบบคู่ขนาน รวมร้านค้าและผู้ผลิตจากกลุ่ม GI (สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์), Chiang Rai Brand และกลุ่ม Wellness กว่า 100 บูธ เพื่อให้ผู้มาเยือนได้สัมผัสและเลือกซื้อสินค้าจริง ขยับบทบาทแฟชั่นโชว์จากการสื่อสารแบรนด์สู่การสร้างรายได้ตรงหน้า—เงื่อนงำหนึ่งของ “เศรษฐกิจสร้างสรรค์” ที่จับต้องได้ทันที

ซอฟต์พาวเวอร์ที่มีฐานราก—จาก “ผืนผ้า” สู่ “โอกาส”

จังหวัดเชียงราย วางงานนี้ไว้ในเส้นทางยุทธศาสตร์ระดับภูมิภาค คือ ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคเหนือ (NEC: Northern Economic Corridor) ที่เน้นย้ำการพัฒนาโครงสร้างเศรษฐกิจฐานนวัตกรรม–สร้างสรรค์ ให้สอดรับศักยภาพท่องเที่ยว–การค้าชายแดน ความเคลื่อนไหวครั้งนี้จึงไม่ใช่เพียงกิจกรรมอีเวนต์ แต่เป็น เวทีประลองโมเดลธุรกิจสร้างสรรค์” ที่เชื่อม ดีไซน์–การผลิต–การจำหน่าย–การท่องเที่ยว เข้าไว้อย่างครบวงจร

ด้านนโยบายเชิงสัญลักษณ์ งานยัง น้อมนำแนวพระราชดำริของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ที่ทรงส่งเสริมการใช้ผ้าไทยในชีวิตประจำวัน เพื่อยกระดับอาชีพช่างฝีมือและอนุรักษ์ภูมิปัญญาอย่างยั่งยืน แนวคิดนี้ถูกตีความผ่านผลงานที่ “ใส่ได้จริง ขายได้จริง” ตั้งแต่เสื้อผ้าแนวเอนกประสงค์สำหรับเดินทาง จนถึงชุดร่วมสมัยที่ออกแบบสำหรับโอกาสพิเศษ—ลดช่องว่างระหว่าง “งานศิลป์บนรันเวย์” กับ “สินค้าเชิงพาณิชย์บนราวแขวน”

เชื่อมโยงเศรษฐกิจท้องถิ่น 10+Wow Chiang Rai และบทบาท “พาณิชย์จังหวัด”

สำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงราย รับบท “พี่เลี้ยง” ในการเชื่อมโลกดีไซน์กับโลกธุรกิจ ผ่านแนวคิด “10+Wow Chiang Rai” ที่ยกจุดแข็งสิบประการของจังหวัด—ประเพณีล้านนา ภูมิปัญญาท้องถิ่น ผ้าชาติพันธุ์ กาแฟ–ชา งานหัตถศิลป์–คหกรรม—มาออกแบบเป็น ประสบการณ์ มากกว่าการขาย “สินค้าเดี่ยว” ในงานปีนี้ “Wow” ถูกพัฒนาต่อเป็น “แพ็กเกจเชื่อมประสบการณ์” เช่น ชุดแฟชั่นจากลายผ้าชาติพันธุ์จับคู่กับแอ็กเซสซอรีงานเงิน–หวายสาน พร้อมคูปองส่วนลดคาเฟ่กาแฟเขตเมืองเก่าและเส้นทางท่องเที่ยวชุมชน—โมเดลที่ทำให้เงิน “ไหลลึก” จากโชว์สู่ร้านค้า–ครัวเรือนในพื้นที่

บูธ GI และ Chiang Rai Brand ทำหน้าที่เป็น “ตราประทับคุณภาพ” ให้สินค้าในสายตานักท่องเที่ยวและผู้ซื้อจากต่างถิ่น ขณะเดียวกันยังเป็น เครื่องมือในการสร้างความเชื่อมั่น ให้ร้านค้าปลีกออนไลน์และตัวแทนจำหน่ายนอกจังหวัดเพื่อขยายตลาดหลังจบงาน นี่คือบทเรียนสำคัญของการพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์—มาตรฐานและการรับรอง คือภาษากลางที่ทำให้เรื่องเล่าท้องถิ่นแปลความเป็นมูลค่าในตลาดสมัยใหม่

แม่สาย พรมแดนที่เป็น “ตลาดทดสอบ” และเวที Soft Power ภาคเหนือ

การเลือกจัดงานที่ หน้าด่านพรมแดนแม่สาย ไม่ได้เป็นเพียงการสร้างบรรยากาศ แต่เป็นกลยุทธ์เพื่อให้ ผลงานดีไซน์ ได้ “สอบผ่าน” กับฐานลูกค้าที่หลากหลายทั้งภาษา–วัฒนธรรม–ความต้องการ ตั้งแต่นักเดินทางวันเดียว นักท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ไปจนถึงผู้ประกอบการจากเพื่อนบ้านและจีนตอนใต้ การขายจริง–ฟังจริง–ปรับจริง ที่หน้าด่านช่วยให้ดีไซเนอร์ จับสัญญาณตลาดแบบเรียลไทม์ ว่าดีเทล–แพตเทิร์น–โทนสีใด “ติดตลาด” และราคาใด “รับได้” ก่อนเข้าสู่การผลิตจำนวนมาก

ในทางเศรษฐกิจมหภาค ช่วงไฮซีซันท่องเที่ยวปลายปี—ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลประมาณการเศรษฐกิจของประเทศที่คาดว่าการบริโภคเอกชนขยายตัวและมาตรการภาครัฐช่วยหนุนกำลังซื้อ—ทำให้พื้นที่จัดงานมีโอกาสรับเม็ดเงินหมุนเวียนสูงขึ้นกว่าปกติ โดย แฟชั่น ทำหน้าที่เป็น “แม่เหล็ก” ดึงผู้คน ขณะที่ Premium Market เปลี่ยน “ความสนใจ” ให้กลายเป็น “การซื้อจริง” ได้ในจุดเดียว

บทสะท้อนจากเวที อัตลักษณ์–ร่วมสมัย–ความยั่งยืน

แฟชั่นโชว์ปีนี้วางกรอบ สามคำหลัก ชัดเจน—อัตลักษณ์, ร่วมสมัย, ความยั่งยืน ผลงานหลายชุดเลือก เส้นใยธรรมชาติ และเทคนิคย้อมสีจากพืชท้องถิ่น ลดการใช้สารเคมี ขณะที่บางคอลเล็กชันทดลอง รีดีไซน์” (upcycle) เศษผ้า–ผ้าคงคลังให้เป็นงานชิ้นใหม่ ชี้ให้เห็นแนวโน้มตลาดแฟชั่นที่ผู้บริโภคคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ด้าน อัตลักษณ์ นักออกแบบหยิบลายผ้า–เอกลักษณ์ชาติพันธุ์มาเล่าใหม่อย่างเคารพบริบทชุมชนผ่านการร่วมงานกับกลุ่มทอผ้าในพื้นที่ ช่วยให้รายได้กลับคืนสู่คนทำผ้าต้นน้ำ

มิติ ร่วมสมัย สะท้อนผ่านการวางแพตเทิร์นที่ “ใส่ได้จริงและทุกเพศ” (gender-inclusive) ตอบไลฟ์สไตล์นักท่องเที่ยว–คนทำงาน–นักเรียน–นักศึกษา และผู้สูงวัยที่ต้องการความคล่องตัว—แนวทางที่เปิดประตูสู่ตลาดกว้างขึ้นกว่าการเน้นความงามบนเวทีเพียงอย่างเดียว

การบริหารจัดการงาน บูรณาการท้องถิ่น–เอกชน–ดีไซเนอร์

ความสำเร็จของงานเกิดจากการบูรณาการ สามฟันเฟือง คือ

  1. ภาครัฐท้องถิ่น (จังหวัดเชียงราย–เทศบาลแม่สาย–พาณิชย์จังหวัด) ทำหน้าที่ “อำนวยความสะดวก–กำกับมาตรฐาน–ประชาสัมพันธ์ภาพรวม”
  2. เอกชน–ผู้ประกอบการ ตั้งแต่โรงทอและกลุ่มหัตถกรรมจนถึงผู้จำหน่ายปลายทาง ร่วมออกบูธ สาธิต และทดลองตลาด
  3. นักออกแบบ–สถาบันการศึกษา เติมองค์ความรู้ด้านดีไซน์–การตลาด–ดิจิทัลคอมเมิร์ซ สร้างเครือข่ายคนรุ่นใหม่ในห่วงโซ่อุตสาหกรรมแฟชั่นท้องถิ่น

การจัดพื้นที่แบบ “โชว์–ขาย–เล่าเรื่อง” ในจุดเดียว ช่วยให้ผู้มาเยือนเข้าใจ ที่มา–วัตถุดิบ–แรงบันดาลใจ ของแต่ละชุด ลดช่องว่างระหว่างผู้ผลิตกับผู้ใช้ และเปิดทางให้เกิด ออเดอร์แบบ B2B จากผู้ซื้อที่ต้องการคอลเล็กชันเฉพาะสำหรับรีสอร์ต–สปา–ร้านบูติก หรือกิจกรรมองค์กร

จาก “อีเวนต์” สู่ “ระบบนิเวศเศรษฐกิจสร้างสรรค์”

งานปีนี้ตั้งอยู่บนเป้าหมาย สามชั้น
ชั้นที่หนึ่ง สร้างรายได้ทันทีแก่ผู้ประกอบการผ่านการจำหน่ายหน้างานและออเดอร์ล่วงหน้า
ชั้นที่สอง วางเครือข่ายความร่วมมือระหว่างดีไซเนอร์–ช่างทอ–โรงงานตัดเย็บ–ผู้ค้า เพื่อการผลิตเชิงพาณิชย์หลังงาน
ชั้นที่สาม สร้างการรับรู้ระดับนานาชาติ โดยอาศัยพื้นที่ชายแดนเป็น “หน้าต่าง” สื่อสารซอฟต์พาวเวอร์ไทยสู่ผู้เยือนหลากหลายสัญชาติ และปูทางการเข้าร่วมเวทีแฟชั่น–ไลฟ์สไตล์ระดับภูมิภาคในอนาคต

ในเชิงนโยบายท้องถิ่น ผลลัพธ์ที่ “ห่วงโซ่คุณค่า” ได้รับคือ ช่างทอ–กลุ่มแม่บ้าน–เยาวชน มีแรงจูงใจสืบสานและพัฒนาอาชีพงานผ้า ด้านผู้ประกอบการได้ ต้นแบบสินค้า ที่ผ่านการทดสอบตลาดจริง ขณะที่นักท่องเที่ยวได้รับ ประสบการณ์ที่เล่าเรื่องเมืองเชียงราย มากกว่าสินค้าชิ้นเดียว—องค์ประกอบทั้งหมดขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากอย่างยั่งยืน

มองอย่างเป็นกลาง โอกาส–ความท้าทาย และการบ้านหลังเวที

แม้งานสะท้อนทิศทางบวก แต่ก็มี โจทย์เชิงโครงสร้าง ที่ต้องจัดการอย่างต่อเนื่อง

  • มาตรฐานคุณภาพและไซส์: หากต้องการขยายสู่ต่างจังหวัด–ต่างประเทศ จำเป็นต้องมีมาตรฐานไซซิงและคุณภาพผ้า–ตัดเย็บที่สม่ำเสมอเพื่อรองรับออเดอร์จำนวนมาก
  • ทรัพย์สินทางปัญญา: ลายผ้า–ลวดลายชาติพันธุ์ต้องได้รับการคุ้มครองสิทธิและจัดทำระบบอนุญาตใช้ลายอย่างเหมาะสม เพื่อไม่ให้ชุมชนเสียเปรียบ
  • การเงิน–โลจิสติกส์: ผู้ประกอบการรายย่อยควรเข้าถึงเครื่องมือทางการเงิน (เช่น สินเชื่อหมุนเวียนระยะสั้น) และบริการขนส่งที่มีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะการส่งข้ามแดนที่ต้องอาศัยความเข้าใจข้อกำหนดประเทศเพื่อนบ้าน
  • การตลาดดิจิทัล: การต่อยอดยอดขายหลังงานต้องอาศัยช่องทางอีคอมเมิร์ซ–คอนเทนต์มัลติมีเดียและความร่วมมือกับอินฟลูเอนเซอร์เชิงวัฒนธรรมที่สื่อสารเรื่องราว “ทำไมต้องเชียงราย” ได้ชัดเจน

การบ้านที่ชัดเจนหลังเวที คือ การเก็บข้อมูลออเดอร์–ประเภทสินค้า–ช่วงราคาที่ขายได้ ตลอดจนฟีดแบ็กจากนักท่องเที่ยว เพื่อเป็นฐานในการออกแบบคอลเล็กชันฤดูกาลหน้า และเพื่อประสานกับโครงการ NEC ในการจัดทำ “Design to Market” ที่ครบวงจรยิ่งขึ้น

น้ำหนักความสำคัญในข่าว จังหวัดเชียงราย 50% | ภาคเหนือ 30% | ประเทศไทย 20%

บทวิเคราะห์นี้ให้สัดส่วนความสำคัญกับ เชียงราย เป็นหลัก ผ่านการเจาะกลไกการจัดงานที่หน้าด่านแม่สาย ผลต่อผู้ประกอบการท้องถิ่น และการบ้านหลังงาน ตามด้วยบริบท ภาคเหนือ ที่ตอกย้ำศักยภาพซอฟต์พาวเวอร์และเศรษฐกิจสร้างสรรค์ และปิดท้ายด้วยภาพ นโยบายส่วนกลาง ที่เป็นกรอบสนับสนุนให้เม็ดเงินหมุนเวียนลงสู่ฐานรากช่วงไฮซีซัน

เวทีชายแดนที่ “เชื่อมโลก” ด้วยผืนผ้า

“Fashion on the Road” ครั้งที่ 3 ไม่ได้เป็นเพียงแฟชั่นโชว์ริมพรมแดน หากแต่เป็น ห้องทดลองนโยบายสาธารณะ ที่เอาคำว่า “ซอฟต์พาวเวอร์” ออกจากหน้ากระดาษแล้วแปลงเป็น รายได้–อาชีพ–ความภาคภูมิใจ ของผู้คนในชุมชน งานแสดงให้เห็นว่าผ้าไทย–ผ้าชาติพันธุ์สามารถยืนข้างแฟชั่นร่วมสมัยอย่างสง่างาม และเมื่อจับคู่กับตลาดชายแดนที่มีชีพจรทางการค้าสูง ก็กลายเป็น สะพานเศรษฐกิจ ที่พาผู้ประกอบการเชียงรายเดินจาก “ของดีบ้านเรา” ไปสู่ “สินค้าคุณภาพที่โลกต้องการ”

ความต่อเนื่องคือคำสำคัญ—หากจังหวัดและหน่วยงานคู่ขับเคลื่อนรักษาความสม่ำเสมอของงาน สร้างฐานข้อมูลตลาด และสนับสนุนมาตรฐาน–ทรัพย์สินทางปัญญาอย่างจริงจัง เวทีริมพรมแดนแห่งนี้จะเติบโตจาก “งานอีเวนต์” เป็น แพลตฟอร์มถาวรของอุตสาหกรรมแฟชั่นสร้างสรรค์เชียงราย ที่ยืนได้ด้วยตัวเองบนเวทีภูมิภาค

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงราย
  • เทศบาลตำบลแม่สาย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

อิฐโบราณ 120 ปี ที่ศาลากลางเชียงราย พยานเงียบที่บอกเล่าประวัติศาสตร์

ค้นพบอิฐโบราณตราประทับ 120 ปี เผยประวัติศาสตร์ซ่อนเร้นศาลากลางหลังแรกเชียงราย

เชียงราย, 13 กันยายน 2568 – การบูรณะศาลากลางจังหวัดเชียงรายหลังแรกได้นำไปสู่การค้นพบทางประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญ เมื่ออิฐโบราณหลายร้อยก้อนที่มีตราประทับระบุปีศักราชถูกขุดพบ เปิดเผยความลับที่ซ่อนเร้นอยู่ใต้โครงสร้างของอาคารแห่งนี้มานานกว่า 120 ปี

วันที่ 11 กันยายน 2568 เวลา 13.00 น. นายนรศักดิ์ สุขสมบูรณ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยนางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย และนางอุบลรัตน์ พ่วงภิญโญ ผู้ทรงคุณวุฒิ อบจ.เชียงราย ได้ลงพื้นที่ติดตามความคืบหน้าโครงการบูรณะอาคารศาลากลางจังหวัดเชียงรายหลังแรก ซึ่งได้ก่อสร้างขึ้นและเปิดใช้งานอย่างเป็นทางการในปี พ.ศ. 2443

การลงพื้นที่ครั้งนี้ได้นำไปสู่การค้นพบที่น่าตื่นเต้น เมื่อทีมงานได้พบอิฐโบราณจำนวนมากซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างเดิม โดยอิฐเหล่านี้มีตราประทับที่ชัดเจนสองแบบ ได้แก่ “ศก. 130” และ “ร.ศ. 122” ปรากฏอยู่บนผิวหน้าของอิฐ ซึ่งถือเป็นหลักฐานสำคัญที่ช่วยยืนยันช่วงเวลาการก่อสร้างของศาลากลางแห่งนี้ได้อย่างมีนัยสำคัญทางประวัติศาสตร์

ความขัดแย้งทางลำดับเวลาที่น่าสนใจ

การค้นพบอิฐที่มีตราประทับเหล่านี้ได้ก่อให้เกิดคำถามทางประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจ เนื่องจากเมื่อแปลงปีศักราชที่ปรากฏบนอิฐเป็นพุทธศักราช พบว่าอิฐที่มีตราประทับ “ร.ศ. 122” นั้นตรงกับปี พ.ศ. 2446 และอิฐที่มีตราประทับ “ศก. 130” ตรงกับปี พ.ศ. 2454

ความขัดแย้งนี้แสดงให้เห็นว่าการก่อสร้างศาลากลางหลังแรกอาจไม่ได้เป็นกระบวนการที่เสร็จสิ้นในครั้งเดียว แต่เป็นกระบวนการที่มีหลายช่วงเวลาและมีการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง เอกสารราชการระบุว่าอาคารเปิดใช้งานในปี พ.ศ. 2443 อาจหมายถึงการก่อสร้างอาคารหลักที่แล้วเสร็จและการเปิดใช้งานอย่างเป็นทางการ ขณะที่อิฐที่มีตราประทับปีหลังอาจบ่งชี้ถึงการต่อเติมหรือซ่อมแซมครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นในภายหลัง

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อิฐที่มีตราประทับ “ศก. 130” ที่พบในปริมาณมาก แสดงให้เห็นถึงโครงการก่อสร้างครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2454 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่น่าสังเกต เนื่องจากตรงกับยุคที่สยามกำลังเผชิญหน้ากับความไม่สงบทางการเมือง การที่รัฐบาลสยามยังคงลงทุนในโครงการสาธารณูปโภคขนาดใหญ่ในหัวเมืองสำคัญในช่วงเวลาแห่งความไม่แน่นอนทางการเมืองเช่นนี้ อาจเป็นการแสดงออกถึงความพยายามในการสร้างเสถียรภาพและอำนาจของส่วนกลางในภูมิภาคที่อยู่ห่างไกลจากราชธานี

ความสำคัญของอิฐในฐานะ “พยานเงียบ”

อิฐที่ปรากฏตราประทับ “ร.ศ. 122” ได้กลายเป็นข้อมูลเชิงลึกอันทรงคุณค่าแก่แวดวงโบราณคดีและประวัติศาสตร์ ขณะที่อิฐส่วนใหญ่ที่มีตราประทับ “ศก. 130” สะท้อนถึงมาตรฐานและระบบการจัดการอุตสาหกรรมการผลิตวัสดุก่อสร้างในยุคนั้น หลักฐานเหล่านี้จึงมิใช่เพียงก้อนอิฐธรรมดา แต่เปรียบเสมือน “พยานเงียบ” ที่บอกเล่าเรื่องราวด้านเทคโนโลยี เศรษฐกิจ และสังคมของเมืองเชียงรายในอดีตได้อย่างชัดเจน

การมีตราประทับบนอิฐแสดงให้เห็นถึงระบบการจัดการการผลิตวัสดุก่อสร้างที่มีมาตรฐานและการควบคุมคุณภาพ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและการจัดการในยุคนั้น นอกจากนี้ ยังเป็นหลักฐานที่แสดงถึงการลงทุนของรัฐในโครงการสาธารณูปโภคเพื่อรองรับการปฏิรูปการปกครองแบบรวมศูนย์ในสมัยรัชกาลที่ 5

ศาลากลางในฐานะสัญลักษณ์การปฏิรูป

อาคารศาลากลางจังหวัดเชียงรายหลังแรกถือเป็นผลโดยตรงจากนโยบายการปฏิรูปการปกครองแบบรวมศูนย์ของรัฐบาลสยามในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) ระบบการปกครองแบบมณฑลเทศาภิบาลถูกนำมาใช้เพื่อรวมอำนาจเข้าสู่ส่วนกลาง โดยเฉพาะในมณฑลพายัพ (ภาคเหนือ) ซึ่งห่างไกลจากราชธานี

ก่อนการปฏิรูป เมืองเชียงรายเคยอยู่ภายใต้การปกครองร่วมกันระหว่างข้าหลวงที่ได้รับการแต่งตั้งจากกรุงเทพฯ และเจ้าหลวงซึ่งเป็นเชื้อสายข้าราชการจากเมืองเชียงใหม่ โครงสร้างการปกครองที่ซ้ำซ้อนเช่นนี้มักนำมาซึ่งความขัดแย้งและไม่มีประสิทธิภาพ

เพื่อแก้ไขปัญหานี้ ในปี พ.ศ. 2437 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระบรมราชโองการให้พระยาศรีสหเทพ (เสง วิริยศิริ) จัดการการปกครองมณฑลพายัพชั้นใน จากนั้นในปี พ.ศ. 2440 ขุนรักษ์นราได้จัดตั้งระบบบริหารราชการใหม่ โดยมีการแบ่งส่วนงานออกเป็นกองมหาดไทย กองคลัง และกองตุลาการ

การจัดตั้งหน่วยงานใหม่เหล่านี้จำเป็นต้องมีอาคารทำการที่เป็นศูนย์กลางที่มั่นคง เพื่อรองรับการบริหารราชการแบบสมัยใหม่ อาคารศาลากลางจังหวัดเชียงรายจึงถูกสร้างขึ้นเพื่อจุดประสงค์ดังกล่าว

สถาปัตยกรรมที่ผสมผสานสไตล์ตะวันตก

ศาลากลางจังหวัดเชียงรายหลังเก่าได้รับการออกแบบและก่อสร้างโดยนายแพทย์วิลเลี่ยม เอ. บริกส์ (Dr. William A. Briggs) ซึ่งเป็นแพทย์ชาวอเมริกันผู้ทำงานในนามของคณะมิชชันนารีอเมริกันเพรสไบทีเรียน อาคารแห่งนี้เป็นตัวอย่างที่โดดเด่นของสถาปัตยกรรมแบบโคโลเนียล (Colonial) ที่สร้างขึ้นด้วยอิฐและปูน

อาคารมีลักษณะเป็นอาคารสามชั้น หลังคาทรงปั้นหยาที่มุงด้วยกระเบื้องซีเมนต์ ด้านหน้าอาคารโดดเด่นด้วยช่องโค้ง (Arch) ที่ก่อด้วยอิฐ และมีโถงทางเดินที่เชื่อมถึงกันตลอดแนว

สิ่งที่น่าสนใจเป็นพิเศษคือเทคนิคการก่อสร้างที่ทันสมัยและแข็งแรงในยุคนั้น โดยอาคารใช้โครงสร้างแบบกำแพงรับน้ำหนัก (Wall Bearing) ซึ่งมีผนังหนาถึง 50 เซนติเมตร และไม่ได้ใช้เสาหรือคานคอนกรีตเสริมเหล็กเหมือนการก่อสร้างสมัยใหม่ นอกจากนี้ ฐานรากของอาคารยังใช้ไม้ซุงทำเป็นแพเพื่อรองรับน้ำหนักอาคาร ส่วนโครงสร้างคาน ตง และพื้นภายในอาคารทั้งหมดทำจากไม้สักทอง

องค์ประกอบเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความทนทานและความประณีตของการออกแบบ เพื่อให้อาคารทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางการปกครองได้อย่างยาวนาน

การส่งมอบหลักฐานให้กรมศิลปากร

ปัจจุบัน อิฐที่ค้นพบทั้งหมดได้ถูกส่งมอบให้กรมศิลปากรเข้าดำเนินการตรวจพิสูจน์และศึกษาวิเคราะห์เชิงลึก เพื่อจัดทำเป็นรายงานข้อสรุปทางวิชาการ ซึ่งจะช่วยให้เข้าใจประวัติศาสตร์ของอาคารได้อย่างครอบคลุมและถูกต้องยิ่งขึ้น

การวิเคราะห์ของกรมศิลปากรจะครอบคลุมถึงการศึกษาองค์ประกอบทางเคมีและกายภาพของอิฐ การวิเคราะห์เทคนิคการผลิต และการเปรียบเทียบกับหลักฐานทางประวัติศาสตร์อื่นๆ เพื่อยืนยันความถูกต้องของข้อมูลที่ได้จากตราประทับ

การศึกษาครั้งนี้ยังอาจนำไปสู่การค้นพบข้อมูลใหม่เกี่ยวกับเทคโนโลยีการผลิตอิฐในยุคนั้น ตลอดจนระบบการจัดการโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ในช่วงต้นรัตนโกสินทร์ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการศึกษาประวัติศาสตร์เศรษฐกิจและสังคมของภาคเหนือ

จากศูนย์กลางการปกครองสู่แหล่งเรียนรู้

อาคารศาลากลางจังหวัดเชียงรายทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางการปกครองของจังหวัดมานานกว่าครึ่งศตวรรษ จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2512 นายชูสง่า ไชยพันธุ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดในขณะนั้น ได้ย้ายศูนย์ราชการไปยังอาคารหลังใหม่ เนื่องจากอาคารเดิมเริ่มคับแคบและไม่เพียงพอต่อการใช้งาน

อาคารเก่าแห่งนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานของกรมศิลปากรในปี พ.ศ. 2520 ซึ่งเป็นการยอมรับคุณค่าทางประวัติศาสตร์และสถาปัตยกรรมของอาคารอย่างเป็นทางการ หลังจากนั้นในปี พ.ศ. 2538 อาคารแห่งนี้ถูกปรับเปลี่ยนให้เป็นหอวัฒนธรรมนิทัศน์เฉลิมพระเกียรติกาญจนาภิเษก

ในปัจจุบัน อาคารแห่งนี้กำลังอยู่ในระหว่างการบูรณะและมีแผนจะพัฒนาให้เป็น “พิพิธภัณฑ์ภาพเจียงฮาย” เพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้ทางประวัติศาสตร์และแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของจังหวัด การค้นพบอิฐที่มีตราประทับศักราชได้เพิ่มคุณค่าให้กับโครงการบูรณะนี้ ทำให้การอนุรักษ์ไม่ได้หยุดอยู่แค่การซ่อมแซมโครงสร้าง แต่เป็นการเปิดประตูสู่การศึกษาประวัติศาสตร์ของอาคารในเชิงลึกยิ่งขึ้น

ความหมายที่ลึกซึ้งของการค้นพบ

การค้นพบครั้งนี้ไม่เพียงสร้างความภาคภูมิใจแก่ชาวเชียงราย แต่ยังช่วยยกระดับคุณค่าโครงการบูรณะศาลากลางหลังแรกให้มีความหมายเกินกว่าการซ่อมแซมอาคาร หากแต่เป็นการฟื้นคืนมรดกทางประวัติศาสตร์ให้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง และพร้อมก้าวสู่การเป็นแหล่งเรียนรู้และท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ที่ทรงคุณค่าในอนาคตของจังหวัดเชียงราย

การค้นพบอิฐเหล่านี้ยังเป็นการตอกย้ำถึงความสำคัญของการอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรม ที่ไม่ได้หมายถึงเพียงการรักษาโครงสร้างทางกายภาพเท่านั้น แต่รวมถึงการขุดค้นและเรียนรู้เรื่องราวที่ซ่อนอยู่ในสิ่งก่อสร้างเหล่านั้น

อิฐแต่ละก้อนที่พบในครั้งนี้เป็นเหมือนหน้าหนังสือที่บันทึกเรื่องราวของคนในอดีต ตั้งแต่ช่างที่ปั้นอิฐ คนงานที่ก่อสร้าง ไปจนถึงข้าราชการที่ทำงานในอาคารแห่งนี้ เรื่องราวเหล่านี้จะถูกนำมาจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ เพื่อให้ผู้มาเยือนได้สัมผัสถึงความเป็นมาของเมืองเชียงรายและเข้าใจถึงการเปลี่ยนแปลงทางประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้น

การวิเคราะห์วัสดุก่อสร้างในครั้งนี้ยังเป็นเครื่องยืนยันถึงความสำคัญของหลักฐานทางโบราณคดีที่สามารถเติมเต็มหรือแก้ไขประวัติศาสตร์ที่บันทึกไว้ ในขณะที่เอกสารราชการอาจมุ่งเน้นที่การบันทึกการเปิดใช้งานอย่างเป็นทางการ อิฐเหล่านี้ได้บันทึกประวัติการพัฒนาและปรับปรุงอาคารอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นความจริงเชิงปฏิบัติที่บันทึกไว้ในโครงสร้างของอาคารเอง

แนวทางการพัฒนาต่อไป

จากผลการค้นพบครั้งนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรเร่งจัดทำและเผยแพร่รายงานฉบับสมบูรณ์เกี่ยวกับผลการตรวจสอบและวิเคราะห์อิฐที่ค้นพบ เพื่อให้ข้อมูลทางวิชาการที่ชัดเจนและเป็นที่ยอมรับในวงกว้าง

ควรมีการสืบค้นเพิ่มเติมในเอกสารจดหมายเหตุและบันทึกทางการอื่นๆ เพื่อค้นหาหลักฐานการก่อสร้างหรือโครงการสาธารณูปโภคครั้งใหญ่ในจังหวัดเชียงรายในช่วงปี พ.ศ. 2446 และ พ.ศ. 2454

ในการจัดแสดงพิพิธภัณฑ์ ควรนำเสนอเรื่องราวของอาคารในฐานะ “เอกสารประวัติศาสตร์มีชีวิต” ที่มีการเปลี่ยนแปลงและปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง โดยอาจจัดแสดงอิฐที่มีตราประทับพร้อมข้อมูลการวิเคราะห์เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนรู้ทางประวัติศาสตร์

การค้นพบครั้งนี้ยังเปิดโอกาสให้มีการศึกษาวิจัยเพิ่มเติมเกี่ยวกับประวัติศาสตร์เมืองเชียงรายและภาคเหนือโดยรวม ซึ่งอาจนำไปสู่การค้นพบข้อมูลใหม่ที่จะช่วยให้เข้าใจพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ของภูมิภาคได้ดียิ่งขึ้น

ท้ายที่สุด การค้นพบอิฐโบราณพร้อมตราประทับครั้งนี้เป็นการเตือนใจให้เราได้เห็นว่าแม้สถานที่ที่เรารู้จักกันดี ก็ยังสามารถเก็บซ่อนความลับและเรื่องราวใหม่ๆ ที่รอการค้นพบและตีความได้เสมอ การบูรณะจึงไม่ได้เป็นเพียงการฟื้นฟูโครงสร้าง แต่เป็นการรื้อฟื้นองค์ความรู้ที่สำคัญและลึกซึ้งกว่าเดิม ซึ่งจะเป็นมรดกทางปัญญาที่ทรงคุณค่าสำหรับคนรุ่นต่อไป

ตัวเลขที่เล่าเรื่อง ทำไมค้นพบครั้งนี้ “คุ้มค่า” ต่อการลงทุนอนุรักษ์

  • อายุอาคาร เกิน 125 ปี (นับจาก พ.ศ. 2443)

  • ศักราชบนอิฐ อยู่ในช่วง พ.ศ. 2446 และ พ.ศ. 2454 —ห่างกัน 8 ปี สะท้อนรอบการซ่อมครั้งใหญ่

  • ความหนาผนัง ราว 50 ซม. —ชี้เทคนิคผนังรับน้ำหนัก (wall-bearing) ที่ต้องคำนวณอย่างประณีต

  • สถานะทางกฎหมาย: ขึ้นทะเบียนโบราณสถาน พ.ศ. 2520—คุ้มครองโดยกฎหมายมรดกศิลปวัฒนธรรม

ตัวเลขเหล่านี้ไม่ใช่เพียง “ข้อมูลประกอบ” แต่เป็น หลักฐานเชิงคุณค่า (value evidence) ที่อธิบายว่าทำไมเมืองจึงสมควรลงทุนอนุรักษ์—เพราะทุกเซนติเมตรของอาคารบรรจุความรู้และประสบการณ์ของบ้านเมืองไว้แน่นหนา

เมื่อ “กำแพง” พูด—เมืองก็ฟัง

การค้นพบ อิฐโบราณตรา “ร.ศ. 122” และ “ศก. 130” ในโครงการบูรณะศาลากลางหลังแรกเชียงราย ได้ยกระดับงานอนุรักษ์จาก “ซ่อม–เสริม–สวย” ไปสู่ “สืบ–สอบ–สื่อ”—สืบค้นหลักฐาน สอบทานกับเอกสาร และสื่อสารให้สาธารณะร่วมเป็นเจ้าของความรู้ใหม่ของเมือง ระหว่างที่ทีมวิชาการของ กรมศิลปากร เร่งตรวจพิสูจน์ในห้องแล็บ เมืองเองก็เริ่มวางแผนว่าจะให้ อิฐแต่ละก้อน เป็นครูของเด็กนักเรียนและนักท่องเที่ยวอย่างไร

สุดท้าย ความหมายของการบูรณะจึงไม่ใช่แค่ “คืนรูปทรง” แต่อยู่ที่การ “คืนเรื่องราว” ให้คนเชียงราย—ให้รู้ว่าเหตุใดเมืองจึงยืนอยู่ตรงนี้ และกำแพงอิฐที่เคยนิ่งเงียบ—แท้จริงกำลังเล่าประวัติศาสตร์ให้เราฟังอย่างไม่รู้จบ

ลำดับเวลาจากเอกสารและหลักฐานอิฐ

  • พ.ศ. 2443 (ร.ศ. 119): ศาลากลางจังหวัดเชียงราย (หลังเก่า) ก่อสร้างและเปิดใช้งาน
  • พ.ศ. 2446 (ร.ศ. 122): ปรากฏตราศักราชบนอิฐ—ตีความว่ามีการซ่อม/ต่อเติมช่วงต้นการใช้งาน
  • พ.ศ. 2454 (ศก./ร.ศ. 130): ปรากฏตราศักราชบนอิฐจำนวนมาก—ตีความว่าเป็น “งานใหญ่” ระยะสำคัญ
  • พ.ศ. 2512: ย้ายศูนย์ราชการไปอาคารใหม่
  • พ.ศ. 2520: ขึ้นทะเบียนโบราณสถานโดยกรมศิลปากร
  • พ.ศ. 2538: ปรับเป็นหอวัฒนธรรมนิทัศน์เฉลิมพระเกียรติกาญจนาภิเษก
  • พ.ศ. 2568: เริ่มบูรณะเชิงอนุรักษ์ ค้นพบอิฐตราศักราช ส่งตรวจพิสูจน์โดยกรมศิลปากร

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.)

  • กรมศิลปากร

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

  • บทความทางวิชาการและเอกสารประวัติศาสตร์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ศูนย์จัดการน้ำส่วนหน้าลุย! เชียงรายผนึก สทนช. รับมือวิกฤตน้ำหลากแม่โขงเหนือ

เชียงราย–สทนช. เสริมแนวรับบริหารน้ำลุ่มน้ำโขงเหนือ ร่วมประชุมส่วนหน้าเตรียมพร้อมฤดูฝน เชื่อมโยงข้อมูล-ขับเคลื่อนนโยบาย ลดความเสี่ยงอุทกภัย

ศูนย์บริหารจัดการน้ำ “ส่วนหน้า” กับภารกิจฝ่าวิกฤตฤดูฝนลุ่มน้ำโขงเหนือ

เชียงราย, 15 กรกฎาคม 2568 – ท่ามกลางสภาพอากาศที่ผันผวนและภัยน้ำหลากที่มาเยือนทุกปี จังหวัดเชียงรายขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ใหม่ด้วยการผนึกกำลังกับสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ในการประชุมคณะทำงานอำนวยการบริหารจัดการน้ำ (ส่วนหน้า) เพื่อติดตามสถานการณ์และวางมาตรการเชิงรุกในพื้นที่เสี่ยงอุทกภัยลุ่มน้ำโขงเหนือ โดยมีศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้าชั่วคราวตั้งอยู่ที่ศาลากลางจังหวัดเชียงรายและเชื่อมต่อข้อมูลแบบเรียลไทม์กับส่วนกลาง ผ่านวิดีโอคอนเฟอเรนซ์แบบบูรณาการ

ประชุมเข้ม เตรียมพร้อมทุกมิติ บูรณาการข้อมูล-นโยบาย ป้องกันอุทกภัย

ภายใต้การนำของนายนรศักดิ์ สุขสมบูรณ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ซึ่งเป็นหัวหน้าทีมคณะทำงานส่วนหน้า พร้อมผู้แทนหน่วยงานท้องถิ่น ประชาสัมพันธ์จังหวัด และผู้เชี่ยวชาญ สทนช. โดยมีนายไพฑูรย์ เก่งการช่าง รองเลขาธิการ สทนช. เป็นประธานการประชุมผ่านระบบออนไลน์ ร่วมถ่ายทอดนโยบายและติดตามปัญหาแบบเรียลไทม์

ในการประชุม ได้มีการทบทวนมติครั้งก่อน และรายงานสถานการณ์สำคัญจากทุกหน่วยงาน เช่น กรมอุตุนิยมวิทยา และสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (สสน.) ที่อัปเดตข้อมูลฝนตกและคาดการณ์ล่วงหน้า ขณะที่ สทนช. รายงานสถานการณ์น้ำและคุณภาพน้ำในแม่น้ำสายหลัก พร้อมกับหน่วยงานท้องถิ่นที่นำเสนอความคืบหน้าโครงการขุดลอกแม่น้ำและมาตรการรับฤดูฝน 2568

6 มาตรการเข้มข้น รับมือฤดูฝน 2568

  1. เฝ้าระวัง-เตรียมพร้อมพื้นที่เสี่ยง
    ทุกหน่วยงานต้องติดตามสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ลุ่มน้ำโขงเหนืออย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะช่วงวันที่ 15-16 และ 20-24 กรกฎาคม 2568 พร้อมปรับแผนการจัดการน้ำในอ่างเก็บน้ำใหญ่ให้ทันกับสถานการณ์
  2. ใช้ข้อมูลวิทยาศาสตร์ขับเคลื่อน
    ใช้ข้อมูลปริมาณฝนแบบเรียลไทม์จากดาวเทียมและเรดาร์กรมอุตุนิยมวิทยา พร้อมทั้งระบบ EWS ของกรมทรัพยากรน้ำเพื่อประเมินและคาดการณ์น้ำหลาก
  3. สำรวจ-ติดตั้งสถานีโทรมาตรเพิ่ม
    สสน. ได้รับมอบหมายเร่งสำรวจและติดตั้งสถานีโทรมาตรในจุดเสี่ยงอุทกภัย และใช้ Mobile Mapping System (MMS) สำรวจภูมิประเทศลุ่มน้ำโขงเหนือ เพื่อเก็บข้อมูลที่แม่นยำต่อการตัดสินใจ
  4. ตรวจสอบคุณภาพน้ำ-ผลผลิตการเกษตร
    กรมส่งเสริมการเกษตรต้องติดตามคุณภาพน้ำที่เกษตรกรใช้ในการเพาะปลูก พร้อมประชาสัมพันธ์สร้างความมั่นใจเรื่องสารปนเปื้อนในข้าวและพืชผล
  5. เร่งสร้างพนังป้องกันน้ำสำคัญ
    ฝ่ายเลขานุการประสานการขอรับงบประมาณก่อสร้างพนังป้องกันน้ำที่สะพานมิตรภาพแห่งที่ 1 อ.แม่สาย เพื่อป้องกันน้ำหลากเข้าสู่พื้นที่เศรษฐกิจ
  6. ตรวจสอบน้ำหลากจากฝั่งเมียนมา
    GISTDA ติดตามข้อมูลความชื้นและสภาพน้ำต้นน้ำกกและต้นน้ำสายจากฝั่งเมียนมา เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มอุทกภัยข้ามพรมแดน

ขับเคลื่อนกลไกประจำสัปดาห์ เชื่อมโยงศูนย์-พื้นที่ ติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง

ที่ประชุมมีมติกำหนดประชุมประสานงานทุกวันอังคาร เวลา 13.00 น. จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย เพื่อให้ข้อมูลและแผนปฏิบัติสอดรับกันในทุกระดับ ทั้งส่วนกลางและพื้นที่ ช่วยให้มาตรการรับมืออุทกภัยมีความคล่องตัวและเป็นหนึ่งเดียวกัน

เชียงรายลุ่มน้ำโขงเหนือ – เมื่อการจัดการน้ำคือ “ภารกิจชีวิต”

การประชุมคณะทำงานส่วนหน้านี้ สะท้อนความเปลี่ยนแปลงเชิงยุทธศาสตร์จากการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ไปสู่การเตรียมพร้อมเชิงรุก ด้วยกลไกติดตาม วิเคราะห์ และสื่อสารข้อมูลแบบเรียลไทม์ การนำเทคโนโลยีดาวเทียม เรดาร์ และ MMS มาเสริมการบริหารจัดการ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการตัดสินใจ

ประเด็นสำคัญที่น่าจับตา

  • การเปลี่ยนผ่านสู่การบริหารจัดการน้ำเชิงรุก:
    ระบบประชุมและศูนย์ส่วนหน้า เป็นเครื่องมือสำคัญในยุคที่ความผันผวนของอากาศและความเสี่ยงน้ำหลากสูงขึ้นทุกปี
  • การผนวกข้อมูลวิทยาศาสตร์-เทคโนโลยี:
    การใช้ข้อมูลดาวเทียมและระบบเรดาร์ ช่วยให้การคาดการณ์น้ำท่วมและจัดสรรน้ำมีความแม่นยำมากขึ้น
  • การเชื่อมโยงคุณภาพน้ำกับผลผลิตการเกษตร:
    การติดตามสารปนเปื้อนในข้าวและพืชผล เป็นการขยายความรับผิดชอบสู่คุณภาพชีวิตของประชาชนโดยตรง
  • การทำงานร่วมกันทุกภาคส่วน:
    จาก สทนช. ถึง กรมอุตุนิยมวิทยา กรมส่งเสริมการเกษตร สสน. กรมการทหารช่าง และ GISTDA การบูรณาการข้ามหน่วยงานและข้อมูลข้ามพรมแดนคือหัวใจสำคัญของความสำเร็จ
  • ความท้าทาย:
    การประสานข้อมูลและมาตรการในทุกระดับ, การสื่อสารข้อมูลที่โปร่งใสกับประชาชน และการจัดการงบประมาณในโครงการระยะยาว เป็นโจทย์ที่เชียงรายและทุกหน่วยงานต้องเร่งขับเคลื่อนต่อเนื่อง

สรุป
เชียงรายในฐานะจุดยุทธศาสตร์ของลุ่มน้ำโขงเหนือ แสดงศักยภาพในการขับเคลื่อนการบริหารจัดการน้ำอย่างเป็นระบบ หากทุกฝ่ายผนึกกำลังและนำเทคโนโลยีมาใช้อย่างเต็มศักยภาพ เชื่อว่าการรับมือฤดูฝนและภัยน้ำท่วมในปีนี้จะมีประสิทธิภาพสูงสุด ลดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สิน สร้างความมั่นใจแก่ประชาชนอย่างยั่งยืน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.)
  • ศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้าจังหวัดเชียงราย
  • กรมอุตุนิยมวิทยา
  • สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (สสน.)
  • กรมส่งเสริมการเกษตร
  • GISTDA
  • กรมการทหารช่าง
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News