Categories
AROUND CHIANG RAI FEATURED NEWS

สกสว.-TSEA ลุย! 3 แพลตฟอร์มวิจัยสู้ภัยพิบัติ วางแผนที่เสี่ยง-ระบบเตือนภัยน้ำ-แผ่นดินไหว

เชียงรายจับมือ สกสว.เดินหน้าโมเดล “เมืองปรับตัวรับภัยพิบัติ” บูรณาการวิจัย-นโยบาย-ท้องถิ่น รับมือน้ำท่วม-แผ่นดินไหว-สารพิษ

หลังน้ำท่วมใหญ่ปี 2567 รุนแรงสุดในรอบ 30 ปี เชียงรายเปิดเวทีบูรณาการหน่วยงานวิจัย-ภาครัฐ-ท้องถิ่น พัฒนา 3 แพลตฟอร์มรับมือภัยพิบัติ ครอบคลุมน้ำท่วม-แผ่นดินไหว-ความปลอดภัยอาหารน้ำ มุ่งสู่ “Disaster Resilient City” ด้วยฐานข้อมูลดิจิทัล-แผนที่เสี่ยงภัย-ระบบเตือนภัยทันสมัย

 

เชียงราย, 9 พฤศจิกายน 2568 – เชียงรายประกาศ “โมเดลเมืองปรับตัวรับภัยพิบัติ” จับมือ สกสว.–นักวิจัย–ท้องถิ่น เร่งทำฐานข้อมูล–ยกระดับโครงสร้างอาคาร–พัฒนาแพลตฟอร์มเตือนภัย ครอบคลุมน้ำท่วม–แผ่นดินไหว–ความปลอดภัยอาหารน้ำ บนเวทีการประชุมเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2568 ณ จังหวัดเชียงราย บรรยากาศเต็มไปด้วยความตั้งใจจริงของทุกภาคส่วน เมื่อผู้บริหารระดับสูง นักวิจัย วิศวกร และผู้แทนหน่วยงานท้องถิ่นกว่า 50 คน มาร่วมกันถอดบทเรียนและวางแผนรับมือภัยพิบัติที่เกิดซ้ำซากในพื้นที่ ภายหลังเหตุการณ์น้ำท่วมครั้งใหญ่เมื่อปี 2567 ที่สร้างความเสียหายรุนแรงที่สุดในรอบ 30 ปี

“วันนี้เราไม่ใช่เริ่มจากศูนย์ แต่เป็นจังหวะ ‘กระชับ’ งานให้ลงสู่หน้างานจริง ตั้งแต่น้ำท่วม แผ่นดินไหว ไปจนถึงปัญหาสารพิษในแม่น้ำ” ศาสตราจารย์ ดร.สมปอง คล้ายหนองสรวง ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) กล่าวเปิดเวทีด้วยน้ำเสียงมั่นใจ สะท้อนโจทย์ใหญ่ที่เชียงรายกำลังเผชิญ และชี้ชัดว่าคำตอบคือการ “เชื่อมองค์ความรู้กับการปฏิบัติ” ให้เป็นผลลัพธ์ที่จับต้องได้ของประชาชน

ศาสตราจารย์ ดร.สมปอง คล้ายหนองสรวง ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.)

เมื่อภัยพิบัติกลายเป็น “ปกติใหม่” ของเชียงราย

ช่วงเดือนกันยายน-ตุลาคม 2567 ที่ผ่านมา ประชาชนชาวเชียงรายต้องเผชิญกับน้ำท่วมครั้งใหญ่ที่รุนแรงที่สุดในรอบสามทศวรรษ นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย อธิบายว่าเหตุการณ์ครั้งนี้เป็นผลสืบเนื่องจากปรากฏการณ์ลานีญาที่ทำให้ฝนตกหนักต่อเนื่อง สร้างความเสียหายต่อชีวิต ทรัพย์สิน และโครงสร้างอาคารบ้านเรือนอย่างมหาศาล

แต่น้ำท่วมไม่ใช่ภัยเพียงอย่างเดียวที่เชียงรายต้องเผชิญ จังหวัดแห่งนี้ยังเป็น “พื้นที่เสี่ยง” ต่อแผ่นดินไหวตามแนวรอยเลื่อนภาคเหนือ โดยเฉพาะความทรงจำอันเจ็บปวดจากแผ่นดินไหวแม่ลาวเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2557 ที่มีขนาดความรุนแรงราว Mw 6.1-6.3 ซึ่งเป็นแรงสั่นสะเทือนรุนแรงที่สุดในรอบกว่าครึ่งศตวรรษของไทย

นอกจากนี้ ยังมีปัญหาสารพิษในแหล่งน้ำ โดยเฉพาะในลุ่มน้ำโขง แม่น้ำกก และแม่น้ำอิง ที่อาจส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยของอาหารจากน้ำและสุขภาพของประชาชน สถานการณ์เหล่านี้ทำให้เชียงรายต้องเผชิญกับภัยพิบัติที่ซับซ้อนและซ้ำซ้อน จนกลายเป็น “ปกติใหม่” ที่ต้องเตรียมพร้อมรับมืออย่างจริงจัง

“ปรากฏการณ์ลานีญาที่หวนกลับตั้งแต่ปลายปี 2567 ต่อเนื่องถึงปี 2568 ทำให้ฝนแปรปรวนและตกหนักในบางช่วงเกินฐานเฉลี่ย เพิ่มความเสี่ยงต่ออุทกภัยเฉียบพลัน ตามการประเมินแนวโน้มขององค์การอุตุนิยมวิทยาโลก” นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย กล่าวเสริม เน้นย้ำว่าการเตรียมพร้อมไม่ใช่ตัวเลือก แต่เป็นความจำเป็นเร่งด่วน

3 แพลตฟอร์ม – หนึ่งเป้าหมาย ทำให้วิจัยใช้ได้จริง

เวทีวันนี้เกิดจากความร่วมมือของหลายภาคส่วน นำโดยจังหวัดเชียงราย องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.) สกสว. สมาคมวิศวกรโครงสร้างแห่งประเทศไทย (TSEA) ศูนย์วิจัยแผ่นดินไหวแห่งชาติ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา เชียงราย และเครือข่ายวิศวกรในพื้นที่ ร่วมกันวางรากฐานสำคัญเพื่อยกระดับเชียงรายสู่ “Disaster Resilient City” หรือเมืองที่ปรับตัวได้ต่อภัยพิบัติ

ศ.ดร.สมปอง อธิบายกรอบการทำงานอย่างชัดเจนว่า ความร่วมมือนี้เดินบน 3 แพลตฟอร์มพร้อมกัน ได้แก่

แพลตฟอร์มที่ 1 แก้ปัญหาและป้องกันน้ำท่วม – ตั้งแต่การสำรวจฐานข้อมูลความเสียหายเชิงโครงสร้างระดับอาคาร การทำแผนที่ความเสี่ยงและแผนที่ความเสียหาย ไปจนถึงออกแบบมาตรการซ่อม เสริม และกันน้ำแบบยึดโยงแผนที่จริง

แพลตฟอร์มที่ 2 ยกระดับองค์ความรู้และความพร้อมด้านแผ่นดินไหว – นำบทเรียนจากแผ่นดินไหวแม่ลาว 2557 มาปรับมาตรฐานความปลอดภัยอาคารสาธารณะ โรงเรียน โรงพยาบาล ตลอดจนพัฒนาเครือข่ายวิศวกรท้องถิ่นและระบบตรวจวัด-แจ้งเตือน

แพลตฟอร์มที่ 3 นิเวศข้อมูลความปลอดภัยด้านสารพิษในแหล่งน้ำ – โดยเฉพาะแม่น้ำโขง กก อิง และแหล่งน้ำสาขา สกสว.ผลักดันต้นแบบแพลตฟอร์มข้อมูลปลาและความปลอดภัยจากการบริโภค ที่ผนวกข้อมูลจากกรมประมง หน่วยทดสอบสารพิษ และห่วงโซ่ซื้อขาย เพื่อให้ผู้บริโภค ผู้ค้า และท้องถิ่นใช้ได้จริง

“บทบาทของ สกสว. คือ ‘โซ่ข้อกลาง’ ระหว่างนโยบายระดับประเทศ หน่วยจัดสรรทุน นักวิจัย และหน้างานของจังหวัด เป้าหมายคือส่งองค์ความรู้และเทคโนโลยีไปอยู่ในมือคนทำงานท้องถิ่นให้เร็วที่สุด” ศ.ดร.สมปอง กล่าวย้ำ โดยเน้นว่างานวิจัยต้อง “ใช้งานได้จริง” ตั้งแต่ต้นทาง (ข้อมูล) กลางทาง (แบบและมาตรการ) จนปลายทาง (งบประมาณ-สื่อสารสาธารณะ-การมีส่วนร่วม)

นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย

นักวิศวกรอาสานับร้อย ลงพื้นที่สร้างฐานข้อมูลดิจิทัล

หัวใจสำคัญของโครงการนี้คือการสร้างฐานข้อมูลที่แม่นยำและครอบคลุม ศาสตราจารย์ ดร.อมร พิมานมาศ นายกสมาคมวิศวกรโครงสร้างแห่งประเทศไทย และนักวิจัยศูนย์วิจัยแผ่นดินไหวแห่งชาติ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เล่าว่าโครงการนี้ได้ระดมนักวิศวกรอาสามืออาชีพนับร้อยชีวิตลงพื้นที่สำรวจความเสียหายอย่างเป็นระบบ

“เราเอาเทคโนโลยีสำรวจสมัยใหม่มาช่วย เก็บฐานข้อมูลให้ครบและแม่นยำ เพื่อรองรับการฟื้นฟู ออกแบบการป้องกันในอนาคต และจัดลำดับพื้นที่ที่ต้องซ่อม เสริม และกันน้ำแบบเร่งด่วน” ศ.ดร.อมร อธิบาย

ผลที่ได้ไม่ใช่เพียงรายการ “ซ่อมอะไร ที่ไหน” แต่คือแผนที่ดิจิทัล 2 ชั้น ได้แก่ แผนที่ความเสียหาย (Damage Map) ที่ลงลึกถึงระดับอาคารสาธารณะและชุมชนวิกฤต และ แผนที่เสี่ยงภัย (Risk Map) ที่ประเมินความน่าจะเป็นและความรุนแรงของเหตุการณ์ในอนาคต

เมื่อนำแผนที่ทั้งสองมาซ้อนเข้ากับข้อมูลน้ำฝน การระบายน้ำ การใช้ที่ดิน ร่องน้ำธรรมชาติ และโครงสร้างชลศาสตร์ที่มีอยู่ จะสามารถ “วางคิวงาน” ที่ตอบโจทย์ทั้งผลกระทบและความคุ้มค่า เช่น จุดไหนต้องเสริมกันน้ำ จุดไหนต้องเพิ่มช่องทางระบายน้ำ หรือจุดไหนคุ้มที่จะย้ายวิถี ย้ายของ หรือย้ายจุดสาธารณะมากกว่าทุ่มงบโครงสร้างหนัก

“เชียงรายคือพื้นที่ที่เหมาะสมกับการพัฒนาต้นแบบงานวิจัยลักษณะนี้ ด้วยลักษณะภูมิประเทศที่เสี่ยงภัยพิบัติหลายรูปแบบ ข้อมูลที่เราได้จากการลงพื้นที่ไม่เพียงช่วยฟื้นฟูหลังเกิดเหตุ แต่ยังต่อยอดไปสู่งานวิจัยด้านระบบแจ้งเตือนภัย ฐานข้อมูลความเสียหายที่ลงลึกในแต่ละอาคาร ไปจนถึงแนวทางประกอบการพิจารณาเบิกจ่ายงบประมาณซ่อมแซม และแผนงานฟื้นฟูระยะยาว” ศ.ดร.อมร กล่าวเสริม

ศาสตราจารย์ ดร.อมร พิมานมาศ นายกสมาคมวิศวกรโครงสร้างแห่งประเทศไทย (TSEA) และนักวิจัยศูนย์วิจัยแผ่นดินไหวแห่งชาติ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

ท้องถิ่นพร้อม ศูนย์บริหารจัดการภัยแบบเบ็ดเสร็จ

อทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย เผยว่าการขับเคลื่อนงานในระดับพื้นที่มีความพร้อมสูง ภายใต้นโยบาย “7 เรือธง เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชนจังหวัดเชียงราย” โดยเฉพาะนโยบายที่ 4 คือ ศูนย์บริหารจัดการสาธารณภัยแบบเบ็ดเสร็จ (PDOSS)

ศูนย์นี้ออกแบบให้สามารถสังเกตการณ์ ประสาน สั่งการ ซ่อมแซม และสื่อสารได้ในที่เดียว โดยยึดหลัก “ข้อมูลจริง หน้างานจริง ตัดสินใจเร็ว” เพื่อปิดรอยรั่วระหว่างหน่วยงานและเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการ

“เครื่องยนต์ของท้องถิ่นคือศูนย์บริหารจัดการสาธารณภัยแบบเบ็ดเสร็จ ที่ช่วยให้เราดำเนินการแก้ไขได้อย่างรวดเร็ว มีประสิทธิภาพ และตรงจุด” นายกอทิตาธร กล่าว

แพลตฟอร์มข้อมูลปลาปลอดภัย นวัตกรรมปกป้องสุขภาพประชาชน

แพลตฟอร์มที่น่าสนใจอีกประการหนึ่งคือระบบข้อมูลความปลอดภัยด้านสารพิษในห่วงโซ่อาหารจากปลา โดยเฉพาะในลุ่มน้ำโขง กก และอิง ซึ่งจะผนวกข้อมูลหลายกระทรวง ได้แก่ กรมประมง หน่วยทดสอบสารพิษ และข้อมูลการซื้อขาย เพื่อประเมินความเสี่ยงต่อผู้บริโภคในระดับชนิด แหล่ง และช่วงเวลา พร้อมคำแนะนำที่เข้าใจง่าย

“ถ้าเป็นสารปนเปื้อนบางชนิดพฤติกรรมแตกต่างกัน อยู่ในน้ำอาจยังไม่เป็นพิษ แต่สะสมในเนื้อปลาแล้วเป็นอันตราย เราต้องแปลงองค์ความรู้แบบนี้ให้เป็นคำเตือนและคำแนะนำที่ใช้ได้จริงในมือถือประชาชน” ศ.ดร.สมปอง อธิบายถึงความสำคัญของระบบนี้

ตัวอย่างเช่น สารตะกั่ว (Lead) เมื่ออยู่ในปลาสามารถกรองออกได้ แต่ปรอท (Mercury) กลับอยู่ในน้ำไม่เป็นพิษ แต่พอสะสมในตัวปลากลับอันตรายมาก ความรู้เช่นนี้จะถูกนำเสนอผ่านแอปพลิเคชันที่ประชาชนสามารถเข้าถึงได้ง่าย

ต้นแบบแพลตฟอร์มดังกล่าวตั้งเป้าเปิดใช้สาธารณะภายใต้หลักข้อมูลถูกต้อง ความเป็นส่วนตัว และความมั่นคงไซเบอร์ โดยจะเชื่อมต่อกับช่องทางสื่อสารของจังหวัด อบจ. และสาธารณสุข เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มเปราะบางและผู้ค้าได้จริง

นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย

เงิน เวลา ความเชื่อใจ สามเสาหลักของความสำเร็จ

การขับเคลื่อนโครงการขนาดนี้ต้องการสามเสาหลักที่เดินคู่กัน

เสาที่ 1 เงิน – งบฉุกเฉินเพื่อบรรเทาทันที เช่น กรอบช่วยเหลือดำรงชีพ 9,000 บาทต่อครัวเรือน โอนผ่านพร้อมเพย์ธนาคารออมสิน ตามแนวทางของคณะรัฐมนตรีและกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) เพื่อให้เงินถึงมือได้รวดเร็ว โปร่งใส ตรวจสอบได้ และงบลงทุนสำหรับซ่อม เสริม กันน้ำ และเสริมกำลังอาคารที่มีหลักฐานข้อมูลรองรับ

เสาที่ 2 เวลา – กำหนดไทม์ไลน์ชัดเจนตั้งแต่สำรวจ ออกแบบ จัดซื้อ ก่อสร้าง ทดสอบ จนส่งมอบ พร้อมตัวชี้วัด เช่น จำนวนอาคารที่ผ่านการเสริมกำลัง ความสามารถระบายน้ำที่เพิ่มขึ้น และเวลาตอบสนองเหตุ

เสาที่ 3 ความเชื่อใจ – โปร่งใส ตรวจสอบได้ เปิดเผยแผนที่ รายการงาน งบประมาณ และสถานะคืบหน้าแบบที่ประชาชนติดตามได้ตลอดเวลา

จากการสำรวจในพื้นที่ พบว่ามีโครงการแก้ไขปัญหาที่รอการดำเนินการประมาณ 67 โครงการ ใช้งบประมาณกว่า 100 ล้านบาท โดยจะมีการจัดลำดับความสำคัญตามความเร่งด่วนและผลกระทบต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน

เชื่อมแผนท้องถิ่นกับแผนน้ำประเทศ

ทุกมาตรการในพื้นที่ต้องเชื่อมโยงเข้ากับแผนภาพใหญ่ของประเทศ ภายใต้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ผู้ขับเคลื่อนยุทธศาสตร์และแผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ 20 ปี และบทบาทศูนย์อำนวยการน้ำแห่งชาติในภาวะวิกฤต ภายใต้กรอบ “น้ำมั่นคง ไม่ท่วม ไม่แล้ง” ที่เชื่อมแผนงาน 20 กระทรวงและหลายพันโครงการเข้าด้วยกัน

การที่เชียงรายสร้างแผนที่เสี่ยง แผนที่ความเสียหาย และรายการโครงการฟื้นฟูตามลำดับเร่งด่วน คือ “ภาษากลาง” ที่ทำให้งานวิจัย ข้อเสนอเชิงวิศวกรรม และข้อเท็จจริงงบประมาณคุยกับ สทนช. และหน่วยส่วนกลางได้อย่างมีเอกสารและตัวชี้วัดรองรับ

จากบทเรียนแม่ลาวสู่มาตรฐานความปลอดภัยรุ่นใหม่

แผ่นดินไหวแม่ลาวเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2557 ที่มีขนาดความรุนแรงราว Mw 6.1-6.3 เป็นเหตุการณ์สำคัญที่เปลี่ยนแปลงแนวคิดการรับมือภัยพิบัติของประเทศไทย โดยเฉพาะในภาคเหนือ เหตุการณ์ครั้งนั้นสร้างความเสียหายกว้างขวาง เป็นแรงสั่นสะเทือนรุนแรงที่สุดในรอบกว่าครึ่งศตวรรษของไทย และกลายเป็นฐานข้อมูลสำคัญต่อการออกแบบมาตรการเสริมความมั่นคงอาคารในภูมิภาคเหนือจนถึงปัจจุบัน

บทเรียนจากเหตุการณ์ดังกล่าวนำไปสู่การพัฒนากฎ แบบ และวิธีการที่รัดกุมขึ้น ทั้งด้านการออกแบบโครงสร้าง การตรวจสอบอาคาร และการเตรียมพร้อมชุมชน ซึ่งเอกสารวิชาการหลากชิ้นได้สรุปผลการสั่นไหว ความเสียหาย และข้อเสนอเพื่อยกระดับมาตรฐานสำหรับอาคารไทยในพื้นที่เสี่ยง

ในเชียงรายวันนี้ งานของ TSEA และเครือข่ายวิศวกรจังหวัดกำลังรวบรวม สำรวจ และประเมินโครงสร้างสำคัญ เพื่อจัดลำดับการเสริมกำลัง (retrofitting) ตั้งแต่โรงเรียน โรงพยาบาล อาคารราชการ สะพานชุมชน ไปจนถึงโครงสร้างสื่อสารและสาธารณูปโภค โดยมุ่งเก็บฐานข้อมูลเชิงลึกระดับอาคาร เพื่อใช้ในการขอ จัดสรร และติดตามงบประมาณอย่างมีเป้าหมาย

วิธีทำงาน ซ่อมด่วน-เสริมระบบ-ยกระดับมาตรฐาน

จากรายการโครงการที่ทีมวิศวกร หน่วยงานจังหวัด และ อบจ. ร่วมกันสำรวจและคัดกรอง สามารถสรุปกรอบปฏิบัติการเป็น 3 ระดับ คือ

ระดับที่ 1 ซ่อมด่วน (Immediate Fix) – จุดตัดน้ำ จุดท่วมซ้ำ จุดเสี่ยงพังทลายที่ต้องซ่อม กัน และเสริมทันที เพื่อให้โรงเรียน สถานพยาบาล และเส้นทางอพยพใช้งานได้ปลอดภัยในฤดูเสี่ยง

ระดับที่ 2 เสริมระบบ (System Upgrade) – เพิ่มประสิทธิภาพระบายน้ำ (คลอง ท่อ บ่อบำบัด) ทำโครงสร้างหน่วงน้ำ ปรับโซนนิ่งการใช้งานพื้นที่ ช่วยลดความเสี่ยงซ้ำซ้อน

ระดับที่ 3 ยกระดับมาตรฐาน (Code & Capacity) – ปรับมาตรฐานการออกแบบ ตรวจสอบ และซ่อมบำรุงอาคารในเขตเสี่ยงแผ่นดินไหว และสร้างเครือข่ายวิศวกร องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และชุมชน บริหารจัดการแผนที่ อุปกรณ์ และการซ้อมแผนได้เองระยะยาว

“เป้าหมายสุดท้ายของเราคือให้ความสูญเสียจากน้ำ แผ่นดินไหว และสารพิษลดต่ำลงอย่างต่อเนื่อง และให้ชาวเชียงราย ‘มั่นใจ’ ว่าเมืองของเขามีระบบพร้อมรับมือ” ศ.ดร.สมปอง กล่าวสรุปวิสัยทัศน์ของโครงการ

ตัวเลขที่ชวนคิด

การดำเนินงานครั้งนี้มีตัวเลขสำคัญที่สะท้อนความจริงจังและขนาดของปัญหา

  • 9,000 บาทต่อครัวเรือน – กรอบช่วยเหลือดำรงชีพกรณีภัยพิบัติ โอนผ่านธนาคารออมสินและพร้อมเพย์ ตามแนวทางของรัฐบาลและ ปภ. เพื่อเพิ่มความเร็ว ความโปร่งใส และความตรวจสอบได้
  • Mw 6.1-6.3 – ขนาดแผ่นดินไหวแม่ลาวปี 2557 เหตุการณ์ตัวแบบที่ทำให้ไทยเร่งยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยอาคารในภาคเหนือ
  • 67 โครงการ – จำนวนโครงการแก้ไขปัญหาเร่งด่วนที่รวบรวมได้จากการสำรวจ ใช้งบประมาณกว่า 100 ล้านบาท
  • 30 ปี – ช่วงเวลาที่น้ำท่วมปี 2567 เป็นครั้งที่รุนแรงที่สุดในเชียงราย สะท้อนความรุนแรงของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
  • ปรากฏการณ์ลานีญา – ปรากฏการณ์ธรรมชาติที่เพิ่มโอกาสฝนมากกว่าปกติในบางภาค ชี้ความจำเป็นของระบบหน่วง ระบาย และสื่อสารเตือนภัยที่ทำงานทันการณ์

ผลลัพธ์ที่คาดหวัง จากงานวิจัยต้นแบบสู่เมืองที่เรียนรู้ได้

งานในครั้งนี้ไม่ได้จบที่เอกสารรายงาน แต่มุ่งให้เชียงรายกลายเป็นต้นแบบที่สามารถยกขึ้นขยายผลได้ ทั้งโมเดลการสำรวจความเสียหายเชิงโครงสร้าง แพลตฟอร์มข้อมูลความปลอดภัยอาหารจากน้ำ เครื่องมือสื่อสารสาธารณะ และคู่มือ “จากงานวิจัยสู่การใช้งบจริง”

ผลลัพธ์สำคัญที่ผู้จัดคาดหวัง ได้แก่

  1. ความตระหนักรู้และการเตรียมพร้อม ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โรงเรียน และชุมชน โดยเฉพาะการเสริมกำลังโครงสร้างอาคารให้มั่นคงแข็งแรง เพื่อลดความสูญเสียในชีวิตและทรัพย์สิน
  2. ความร่วมมือระหว่างวิชาการและนโยบาย ที่เดินทางได้ทั้งสองทาง คือปัญหาจริงสู่โจทย์วิจัย และงานวิจัยสู่คำสั่งและงบประมาณจริง
  3. กรอบแผนงานวิจัยและงบประมาณ ระยะ 1-3 ปี สำหรับรับมือภัยพิบัติแผ่นดินไหวและน้ำท่วมในพื้นที่จังหวัดเชียงรายในอนาคต ที่เชื่อมต่อยุทธศาสตร์ระดับชาติ “น้ำมั่นคง ไม่ท่วม ไม่แล้ง”

ภาพอนาคต เมืองที่ปลอดภัยเริ่มจาก “แผนที่เดียวกัน”

เชียงรายกำลังวางรากฐาน “ความยืดหยุ่น” ด้วยแผนที่เดียวกัน (ข้อมูลเดียวกัน) และภาษางบประมาณเดียวกัน (ตัวชี้วัด รายการงาน ไทม์ไลน์ และงบที่สื่อสารกันได้ระหว่างท้องถิ่น ส่วนกลาง นักวิจัย และประชาชน)

จุดเด่นของโมเดลนี้คือความเร็วในการเชื่อมหน่วยงานและความคมของการตัดสินใจ เพราะทุกฝ่าย “เห็นภาพเดียวกัน” และ “รู้ว่าอะไรคุ้มค่าที่สุดต่อชีวิต ทรัพย์สิน และเศรษฐกิจท้องถิ่น”

“วันนี้เราเอาองค์ความรู้จากงานวิจัย เทคโนโลยี และข้อมูลที่เชื่อถือได้มาสร้างเป็นระบบที่ใช้งานได้จริง ไม่ใช่แค่เอกสารบนโต๊ะ แต่เป็นเครื่องมือในมือคนทำงานหน้าดิน เป็นข้อมูลที่ประชาชนเข้าถึงได้ และเป็นหลักฐานที่ใช้ขอและติดตามงบประมาณได้” รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายกล่าวย้ำ

นางอทิตาธร นายก อบจ.เชียงราย เสริมว่า “เราพร้อมรับเอาองค์ความรู้และเทคโนโลยีเหล่านี้ไปใช้ พร้อมเผยแพร่ให้ประชาชนเข้าถึง แต่ขอให้เป็นข้อมูลที่ถูกต้อง มีมาตรฐาน และปลอดภัยจากการถูกแฮ็ก เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน”

การทำงานในครั้งนี้สะท้อนให้เห็นว่า “การรับมือภัยพิบัติ” ไม่ใช่เรื่องของหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง แต่ต้องอาศัยความร่วมมือแบบบูรณาการจากทุกภาคส่วน ตั้งแต่นักวิจัย ผู้กำหนดนโยบาย หน่วยงานท้องถิ่น วิศวกร ไปจนถึงประชาชนทุกคน

งบประมาณและการขับเคลื่อนอย่างต่อเนื่อง

เมื่อถามถึงงบประมาณและความยั่งยืนของโครงการ ศ.ดร.สมปอง อธิบายว่า สกสว. ในฐานะกองทุนวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมของประเทศ มีบทบาทสำคัญในการจัดสรรงบประมาณให้ตรงจุด ตรงปัญหา และส่งประโยชน์ถึงประชาชน

“เรากำลังทำแพ็กเกจในมุมของการทำงานเชิงบูรณาการ เพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนนโยบายแบบเต็มประสิทธิภาพ การจัดสรรงบประมาณจะทำให้เราสามารถรู้ได้ว่าเราจัดสรรได้ตรงจุด ตรงปัญหา และส่งประโยชน์ไปจนถึงประชาชน” ศ.ดร.สมปอง กล่าว

สำหรับงบประมาณรายปีที่ใช้ในการดำเนินงานด้านภัยพิบัติทั้งหมดของประเทศ ครอบคลุมทั้งเรื่องน้ำ ฝุ่น แผ่นดินไหว ดินถล่ม และสารพิษ อยู่ที่ไม่น้อยกว่าหนึ่งพันล้านบาทต่อปี โดยมีการปรับเปลี่ยนตามกระบวนการและความจำเป็นเร่งด่วน

“ประเด็นสำคัญคือการขับเคลื่อนนโยบายต้องตอบโจทย์ในมุมของความรวดเร็ว เพราะเรื่องของภัยพิบัติ เราไม่รู้ว่าจะเกิดเมื่อไหร่ ถ้าเกิดแล้วเราต้องเยียวยา ต้องแก้ปัญหาหน้างานทันที การกำหนดเวลาและการมีแผนที่ชัดเจนจึงสำคัญมาก” ศ.ดร.สมปอง กล่าวเน้นย้ำ

นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ยังเป็นปัจจัยที่ทำให้ภัยพิบัติรุนแรงขึ้นและบ่อยขึ้น จากข้อมูลขององค์การอุตุนิยมวิทยาโลก (WMO) ชี้ว่าปรากฏการณ์ลานีญามีแนวโน้มเกิดขึ้นบ่อยขึ้นและส่งผลให้ฝนมากกว่าปกติในหลายภูมิภาค รวมถึงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งหมายความว่าระดับน้ำที่เคยคิดว่าสูงที่สุดที่ 5 เมตรอาจกลายเป็น 10 เมตรในอนาคต

“เราต้องเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป ไม่สามารถใช้มาตรฐานเดิมได้อีกต่อไป” นายประเสริฐ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย กล่าวสะท้อนความท้าทายที่อยู่เบื้องหน้า

เชียงรายกำลังก้าวสู่การเป็น “Disaster Resilient City” อย่างแท้จริง ด้วยการบูรณาการระหว่างงานวิจัย นโยบาย และการปฏิบัติในพื้นที่ โดยใช้เทคโนโลยีและข้อมูลเป็นฐาน การทำงานในครั้งนี้ไม่ได้เป็นเพียงการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า แต่เป็นการวางรากฐานระบบที่ยั่งยืน สามารถปรับตัวและเรียนรู้ไปพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศและความท้าทายใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

การที่ทุกภาคส่วน “เห็นภาพเดียวกัน” “ใช้ข้อมูลเดียวกัน” และ “พูดภาษางบประมาณเดียวกัน” คือกุญแจสำคัญที่ทำให้โครงการนี้มีโอกาสประสบความสำเร็จ และสามารถขยายผลไปยังพื้นที่อื่นๆ ที่เผชิญปัญหาคล้ายกันทั่วประเทศ

สำหรับชาวเชียงราย โครงการนี้หมายถึงความหวังว่าในอนาคต เมื่อเกิดภัยพิบัติ ชีวิตและทรัพย์สินของพวกเขาจะได้รับการปกป้องดีขึ้น ระบบเตือนภัยจะทำงานได้ทันท่วงที และการฟื้นฟูจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ นั่นคือความหมายที่แท้จริงของ “เมืองที่ปรับตัวได้ต่อภัยพิบัติ”

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • เขียนโดย : กันณพงศ์ ก.บัวเกษร
  • เรียบเรียงโดย : มนรัตน์ ก.บัวเกษร
  • ภาพ : กีรติ ชุติชัย
  • ศาสตราจารย์ ดร.สมปอง คล้ายหนองสรวง ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) – กรอบ 3 แพลตฟอร์ม บทบาท “โซ่ข้อกลาง” แพ็กเกจนโยบายและแพลตฟอร์มข้อมูลสาธารณะ
  • ศาสตราจารย์ ดร.อมร พิมานมาศ นายกสมาคมวิศวกรโครงสร้างแห่งประเทศไทย (TSEA) และนักวิจัยศูนย์วิจัยแผ่นดินไหวแห่งชาติ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ – การระดมวิศวกรอาสา ฐานข้อมูลความเสียหายเชิงโครงสร้าง แผนที่เสี่ยงภัย
  • นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย – ภาพรวมสถานการณ์น้ำท่วม การฟื้นตัว การเชื่อมกลไกจังหวัด
  • นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย – นโยบาย “7 เรือธง” โดยเฉพาะ PDOSS ศูนย์บริหารจัดการสาธารณภัยแบบเบ็ดเสร็จ
  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.)
  • สมาคมวิศวกรโครงสร้างแห่งประเทศไทย (TSEA)
  • ศูนย์วิจัยแผ่นดินไหวแห่งชาติ (EARTH)
  • มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา เชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
FEATURED NEWS WORLD PULSE

อบจ.เชียงราย ลุยญี่ปุ่น! ลงนาม EPA Shizuoka Saiko Academy ดันนโยบาย “เรียนที่ไหนก็เลี้ยงชีพได้”

อบจ.เชียงรายลงนามความร่วมมือการศึกษากับญี่ปุ่น “Shizuoka Saiko Academy” หนุน “เรียนได้–สำเร็จได้–เลี้ยงชีพได้” ปูทาง 7 เรือธงสู่สากล

ญี่ปุ่น,5 พฤศจิกายน 2568 –  องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย) เดินหน้านโยบายการศึกษาที่ “เข้าถึงได้และเลี้ยงชีพได้จริง” ด้วยการลงนามข้อตกลงความร่วมมือทางการศึกษา (EPA) กับ Shizuoka Saiko Academy ณ เมืองชิซูโอกะ ประเทศญี่ปุ่น เพื่อยกระดับการเรียนการสอน การแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม และการพัฒนานวัตกรรมการศึกษา พร้อมเชื่อม “การศึกษา–อาชีพ–รายได้” ให้เป็นเส้นทางเดียวกันตาม นโยบาย 7 เรือธง ของผู้บริหารท้องถิ่น เชียงรายตั้งเป้าเปลี่ยน “โอกาสต่างประเทศ” ให้กลายเป็น “ทางรอดและทางรุ่ง” ของเยาวชนในจังหวัด ผ่านโมเดลร่วมพัฒนาหลักสูตร ฝึกทักษะ และเปิดเครือข่ายฝึกงาน/ศึกษาต่อ
ประเด็นเด่น (1) การเชื่อมเครือข่ายต่างประเทศเป็นเครื่องเร่งให้ “หลักสูตรคุณภาพ” และ “ทักษะใหม่ที่โลกงานต้องการ” เกิดเร็วและใช้งานจริง (2) นโยบาย “อยู่ที่ไหนก็เรียนได้ เรียนที่ไหนก็สำเร็จได้ สำเร็จได้ก็เลี้ยงชีพได้” ของ อบจ.เชียงราย ถูกผลักเป็นความร่วมมือข้ามพรมแดน (3) เมื่อผูกกับกลไกทุน–แลกเปลี่ยน–ฝึกงานสากล (เช่น แนวทางทุนและโครงการแลกเปลี่ยนของญี่ปุ่น) จะทำให้เส้นทางการเรียน–ทำงานของเด็กเชียงราย “สั้นลงและชัดขึ้น” พร้อมลดต้นทุนความเหลื่อมล้ำด้านโอกาสทางการศึกษาในภูมิภาค ซึ่งสอดคล้องกับทิศทางการยกระดับการศึกษาท้องถิ่นของ อบจ.เชียงรายในกรอบ 7 เรือธงที่ประกาศไว้สาธารณะแล้ว

 “ลานเชื่อมโอกาส” จากเวียงพิงค์ล้านนา สู่เมืองชา–ภูเขาแห่งชิซูโอกะ

ค่ำลมหนาวต้นฤดูในเชียงราย ปี 2568 คือช่วงเวลาที่ผู้บริหารการศึกษาท้องถิ่นกำลัง “เร่งเครื่อง” เป้าหมายสำคัญ—ทำอย่างไรให้เด็กเชียงราย เรียนได้จริง–สำเร็จได้จริง–และเลี้ยงชีพได้จริง ไม่ใช่เพียงถ้อยคำเชิงนโยบายบนเวทีสัมมนา แต่แปรรูปเป็น “ข้อตกลงความร่วมมือระหว่างประเทศ” ที่จับต้องได้

เช้าวันที่ 5 พฤศจิกายน 2568 ณ เมืองชิซูโอกะ ประเทศญี่ปุ่น นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย นำคณะผู้บริหารการศึกษา—นายกฤษฎา ใจหล้า ผู้อำนวยการโรงเรียนองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย และคณะผู้บริหาร—ร่วมลงนาม Educational Partnership Agreement (EPA) กับ Shizuoka Saiko Academy โดยมี Mr. Seiichi Kudo ผู้อำนวยการโรงเรียน เป็นผู้แทนฝ่ายญี่ปุ่น เพื่อย้ำความร่วมมือที่ปูทางมาก่อนหน้า และผลักไปสู่ “ความร่วมมือเชิงปฏิบัติ” ทั้งในห้องเรียนและนอกห้องเรียน

หัวใจของ EPA ครั้งนี้ คือ 3 มิติหลัก

  1. วิชาการ–หลักสูตร: ยกระดับการเรียนการสอน โดยผนวกแนวคิด “ทักษะแห่งอนาคต” (Future Skills) ทั้งภาษา เทคโนโลยี นวัตกรรมอาชีพ และความเข้าใจวัฒนธรรม
  2. วัฒนธรรม–ความเป็นพลเมืองโลก: เปิดพื้นที่แลกเปลี่ยนของนักเรียน–ครู ข้ามพรมแดน สร้าง Soft Power และทักษะข้ามวัฒนธรรม (Intercultural Competence)
  3. การทำงาน–การเลี้ยงชีพ: เชื่อม “ทักษะในห้องเรียน” กับ “โลกการทำงานจริง” ผ่านกิจกรรมฝึกงาน โครงงาน และเครือข่ายสถานประกอบการที่เชื่อมกับญี่ปุ่น

นโยบาย 7 เรือธง จากคำมั่นสู่แผนปฏิบัติในสนามจริง

ตลอดสองปีที่ผ่านมา อบจ.เชียงรายประกาศทิศทาง “7 เรือธง” โดยหนึ่งในหัวข้อสำคัญคือ การยกระดับคุณภาพและการเข้าถึงการศึกษา ประเด็น “อยู่ที่ไหนก็เรียนได้ เรียนที่ไหนก็สำเร็จได้ สำเร็จได้ก็เลี้ยงชีพได้” ถูกยกเป็นสโลแกนเชิงภารกิจให้โรงเรียนในสังกัด และเครือข่ายการศึกษาทั้งจังหวัดขับเคลื่อนร่วมกัน ตั้งแต่การปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล ห้องเรียนอาชีพ หลักสูตรเสริมสมรรถนะ ไปจนถึงช่องทางแนะแนวอาชีพ–ศึกษาต่อในระดับนานาชาติ โดย อบจ.เชียงรายได้สื่อสารนโยบายและทิศทางไว้ในช่องทางทางการของหน่วยงานอย่างต่อเนื่อง

EPA กับ Shizuoka Saiko Academy จึงทำหน้าที่เป็น “เครื่องเร่ง” ที่ทำให้เรือธงด้านการศึกษา ไปไกลและไปได้จริง—จากระดับจังหวัดสู่เวทีนานาชาติ—ด้วยความร่วมมือแบบสถาบัน–ต่อ–สถาบัน (school-to-school) ที่มีเป้าหมายร่วม ทักษะ–คุณธรรม–อาชีพ–รายได้ บนฐานคุณภาพมาตรฐานสากล

ทำไม “ญี่ปุ่น–ชิซูโอกะ” จึงตอบโจทย์เชียงราย

ชิซูโอกะ เป็นเมืองที่มีเอกลักษณ์ด้านชุมชนการเกษตร (ชาเขียว–พืชเศรษฐกิจ), อุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยี, และวัฒนธรรมชุมชนเข้มแข็ง—หลายมิติสะท้อนกับบริบทของเชียงราย ไม่ว่าจะเป็น เกษตร–อาหาร–ท่องเที่ยว–เศรษฐกิจสร้างสรรค์ การร่วมมือกับสถาบันการศึกษาที่ตั้งอยู่ในพื้นที่แบบนี้ จึงมีประโยชน์ในเชิง สถานการณ์เรียนรู้จริง” (Learning in Real Context) ที่ต่อยอดได้ทั้งใน

  • เกษตรคุณภาพ–แปรรูปอาหาร–ธุรกิจชุมชน (เชื่อมต่อทักษะอาชีพของเยาวชน)
  • การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม–สุขภาพ (เชื่อมทักษะภาษา การบริการมาตรฐานญี่ปุ่น)
  • เทคโนโลยีเพื่อชุมชน (IoT/Automation เบื้องต้น, การจัดการคุณภาพ, ความปลอดภัยอาหาร ฯลฯ)

นอกจากนี้ ญี่ปุ่นยังมี “โครงสร้างสนับสนุนการแลกเปลี่ยนระหว่างประเทศ” ทั้งรูปแบบทุนการศึกษา และโปรแกรมแลกเปลี่ยนบุคลากรท้องถิ่นที่เปิดรับชาวต่างชาติ เช่น กรอบทุนรัฐบาลญี่ปุ่น (MEXT) ซึ่งอาศัยเครือข่ายความร่วมมือระหว่างสถาบันเพื่อคัดเลือก/เสนอชื่อผู้รับทุนในระดับมหาวิทยาลัย รวมถึงโปรแกรมด้านการสอนและแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกับท้องถิ่น (JET Programme) ที่สนับสนุนให้เยาวชนทั่วโลกเข้าไปทำงานด้านภาษา–วัฒนธรรมกับองค์กรปกครองท้องถิ่นและโรงเรียนของญี่ปุ่น กลไกเหล่านี้เป็น “องค์ประกอบเชิงระบบ” ที่ อบจ.เชียงรายสามารถใช้ประกอบการออกแบบเส้นทางการเรียน–ฝึกงาน–เลี้ยงชีพในระยะยาวให้กับเด็กเชียงรายได้ เมื่อผูกกับความร่วมมือรายสถาบันอย่าง EPA ที่เพิ่งลงนาม

ข้อสังเกตเชิงนโยบาย การทำข้อตกลงระดับโรงเรียน (EPA) ช่วย “ส่งสัญญาณ” ความพร้อมของพื้นที่ต่อหน่วยงานทุน/เครือข่ายต่างประเทศ—ทำให้การเข้าถึงทุนและโอกาสสากล “มีความเป็นไปได้จริง” มากกว่าการยื่นสมัครในฐานะ “บุคคลรายคน” โดยไม่มีแบ็กเอนด์ของสถาบัน/ท้องถิ่นรองรับ

ภาพใหญ่ของ EPA จากห้องเรียนถึงรายได้ครัวเรือน

1) หลักสูตร–สมรรถนะอาชีพ (Career Readiness)
แผนความร่วมมือที่วางไว้สอดคล้องกับทิศทาง “สมรรถนะอาชีพ” ได้แก่ ภาษา (ญี่ปุ่น/อังกฤษเพื่อการทำงาน), เทคโนโลยีดิจิทัลเบื้องต้น (การสื่อสาร–สื่อดิจิทัล–ข้อมูล), การเป็นผู้ประกอบการรายย่อย (Micro-entrepreneurship) และทักษะข้ามวัฒนธรรม ซึ่งเมื่อเชื่อมกับเครือข่ายญี่ปุ่น จะเกิด ชุดกิจกรรมฝึกจริง เช่น โครงงานร่วม (Joint Project), เวิร์กช็อปครู–นักเรียน, ห้องเรียนออนไลน์ข้ามประเทศ, รวมถึง ฝึกงานระยะสั้น ในสภาพแวดล้อมการทำงานจริง—ทั้งฝั่งเชียงรายและชิซูโอกะ—เพื่อนำกลับมาปรับใช้กับเศรษฐกิจฐานรากในจังหวัด

2) ครูคือตัวเร่ง (Teacher Capacity)
ความร่วมมือเน้น แลกเปลี่ยนครู เพื่อถ่ายทอด “วิธีสอน–วิธีประเมิน–วินัยการเรียนรู้แบบญี่ปุ่น” เช่น การจัดชั้นเรียนเน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลางแต่มีวินัยสูง, การเรียนรู้เชิงลงมือทำ (Project/Problem-based), การประเมินจากหลักฐานชิ้นงาน และการดูแลสุขภาวะจิตสังคมในโรงเรียน ซึ่งจะยกระดับคุณภาพ “ทั้งระบบ” มากกว่าการส่งนักเรียนไปต่างประเทศทีละไม่กี่คน

3) วัฒนธรรม–วินัย–Soft Power
พิธี–เทศกาล–กิจกรรมจิตอาสา และ “จิตวิญญาณชุมชน” ของญี่ปุ่น (เช่น ความตรงต่อเวลา ระเบียบ ความรับผิดชอบต่อสาธารณะ) เมื่อหลอมรวมกับ “อัตลักษณ์ล้านนา” (กัลยาณมิตร–ชุมชน–ความสุภาพ) จะกลายเป็นทรัพยากร Soft Power ใหม่ของเด็กเชียงรายในตลาดแรงงานบริการ ท่องเที่ยว สุขภาพ และอุตสาหกรรมสร้างสรรค์

4) เส้นทางการเงินเพื่อการเรียนรู้ (Learning Finance)
เมื่อ EPA ทำงานร่วมกับทุน/โครงการสากล—ทั้งระดับรัฐบาลญี่ปุ่น (เช่น แนวทางทุน MEXT) หรือโปรแกรมภาครัฐญี่ปุ่นที่เปิดรับบุคลากรต่างชาติ (เช่น JET Programme)—อบจ.เชียงรายสามารถออกแบบ “แพ็กเกจเส้นทาง” ที่มีทั้ง ทุนต่อยอด–ทุนเดินทาง–ทุนฝึกงาน ประกบกับกิจกรรมในหลักสูตรของโรงเรียนในสังกัด ทำให้การไปต่างประเทศ “ไม่ใช่เรื่องไกลตัว” สำหรับนักเรียนฐานะปานกลาง–รายได้น้อยที่มีสมรรถนะเพียงพอ

เสียงสะท้อนและฉากทัศน์ผลลัพธ์ จากปีที่ 1 ถึงปีที่ 3

แม้ข้อตกลงเพิ่งลงนาม แต่หากบูรณาการอย่างเป็นระบบ สามารถคาดฉากทัศน์ผลลัพธ์ใน 3 ระยะ ดังนี้

ระยะที่ 1 (0–12 เดือน)

  • ตั้ง “คณะทำงาน EPA” ร่วมระหว่างโรงเรียน อบจ.เชียงราย–Shizuoka Saiko Academy เพื่อกำหนดกรอบหลักสูตรร่วม (ภาษา–ดิจิทัล–โปรเจ็กต์วัฒนธรรม)
  • เปิด คลาสออนไลน์ข้ามประเทศ รายวิชาเป้าหมาย (เช่น ภาษาเพื่อการทำงาน/บริการ, สื่อดิจิทัล) เดือนละ 1–2 วิชา
  • อบรมครูแกนกลาง Train-the-Trainers เพื่อขยายผลสู่นักเรียน 5–10 โรงเรียนในสังกัด
  • เปิดรับสมัคร ค่ายฤดูร้อน/หนาว (2–4 สัปดาห์) สำหรับกลุ่มเป้าหมายรุ่นแรก 30–50 คน

ระยะที่ 2 (12–24 เดือน)

  • เริ่ม โครงการฝึกงานสั้น (Short-term Internship) กับคู่ร่วมมือญี่ปุ่นหรือผู้ประกอบการเครือข่ายในเชียงรายที่เชื่อมซัพพลายเชนญี่ปุ่น (อาหาร–ท่องเที่ยว–บริการ)
  • สร้าง หลักสูตรพิเศษ “เรียน–ทำ–ได้พอร์ต” สำหรับเด็ก ม.ปลาย/ปวช. ที่เน้นผลงานโครงงานคู่ขนานกับทักษะภาษา
  • เจรจา ทุนย่อย/อุดหนุนค่าเดินทาง จากแหล่งต่าง ๆ ให้ผู้เรียนฐานะยากจน

ระยะที่ 3 (24–36 เดือน)

  • ขยายผลไปสู่ หลักสูตรสองภาษา/สองวัฒนธรรม (Lanna–Japan) สำหรับสายบริการ–ท่องเที่ยว–อาหาร–สื่อสร้างสรรค์
  • สร้าง “ทางด่วนศึกษาต่อ” (Progression Pathway) ไปยังสถาบันอาชีวะ/มหาวิทยาลัยพันธมิตรในญี่ปุ่น ผ่านระบบเทียบโอนผลงาน/สมรรถนะ
  • ตั้ง ศูนย์ข้อมูลทุนและงานสากล ระดับจังหวัด ทำงานร่วมกับสถานทูต/องค์กรญี่ปุ่นในไทย–ญี่ปุ่น เพื่อให้คำปรึกษาเป็นระบบ

เชื่อมเศรษฐกิจจังหวัด เมื่อ “ห้องเรียน” กลายเป็น “ระบบนิเวศอาชีพ”

เชียงรายเป็นเมืองที่มีรายได้จาก บริการ–ท่องเที่ยว–เกษตรแปรรูป สูงขึ้นต่อเนื่องในช่วงหลัง การมีแรงงานวัยรุ่นที่มี ภาษา–วินัย–มาตรฐานบริการแบบญี่ปุ่น จะช่วยยกระดับคุณภาพบริการปลายทาง (โรงแรม–ร้านอาหาร–ไกด์–อีเวนต์) และเพิ่ม “รายได้ต่อหัว” ให้กับครัวเรือนท้องถิ่นได้จริง ขณะเดียวกัน เครือข่ายญี่ปุ่น จะช่วยเปิดทางให้ผู้ประกอบการ SME เชียงรายเรียนรู้ มาตรฐานคุณภาพ–ความปลอดภัย–ประสิทธิภาพ ที่จำเป็นต่อการขยายตลาดนักท่องเที่ยวคุณภาพสูง EPA ไม่ได้ผลิต “บัณฑิตเพิ่ม” แต่ผลิต “คนทำงานคุณภาพ–มีวินัย–มีวัฒนธรรมการบริการ” ซึ่งคือทุนมนุษย์ที่เศรษฐกิจเชียงรายต้องการ

คำถามสังคม–ข้อท้าทาย–แนวกันความเสี่ยง

แม้ภาพรวมเป็นบวก แต่การทำ EPA ให้เกิดผล ต้องบริหารความเสี่ยง 4 ด้านพร้อมกัน

  1. ความยั่งยืนงบประมาณ: การแลกเปลี่ยนต่างประเทศมีต้นทุน อบจ.ต้องออกแบบกลไกทุน ร่วมหลายแหล่ง (ภาครัฐ–เอกชน–CSR–มูลนิธิ) และวางเกณฑ์คัดเลือกที่ยุติธรรม โปร่งใส
  2. ความเสมอภาคโอกาส: ต้องวางมาตรการ “เปิดทางเด็กทุกฐานะ” เช่น ทุนค่าเดินทาง–พาสปอร์ต–เบี้ยเลี้ยง–อุปกรณ์เรียน เพื่อไม่ให้โครงการกลายเป็น “อภิสิทธิ์ของคนกลางเมือง”
  3. คุณภาพ–มาตรฐานการเรียน: การแลกเปลี่ยนต้อง “มีเนื้อหา” มากกว่าท่องเที่ยว ต้องกำหนด ตัวชี้วัดผลลัพธ์การเรียนรู้ (Learning Outcomes) และ พอร์ตโฟลิโองานจริง เป็นหลักฐาน
  4. ความปลอดภัย–การคุ้มครอง: เมื่อเกี่ยวข้องกับผู้เยาว์ ต้องมีมาตรการ คุ้มครองเด็ก–สุขภาวะจิตใจ–การคุ้มครองข้อมูล และช่องทางร้องเรียนที่เข้าถึงง่ายทั้งสองประเทศ

เสียงจากห้องประชุม สารที่ส่งถึงครู–ผู้ปกครอง–นักเรียน

แม้แถลงข่าวอย่างเป็นทางการไม่ได้เผยแพร่คำกล่าวยาว ๆ ของผู้บริหารในพิธี แต่เนื้อหาการดำเนินการสรุปได้ชัดว่า เป้าหมายร่วม คือ “เชื่อมการเรียนกับการทำงานได้จริง” บนมาตรฐานสากล ผู้ปกครองจึง “เห็นภาพ” เส้นทางของลูกหลานว่า เรียนแล้วไปไหนต่อ ขณะที่ครูได้ เครื่องมือ–เพื่อนร่วมวิชาชีพ ต่างประเทศในการพัฒนาวิธีสอน และนักเรียนได้ พอร์ต–เครือข่าย–ทักษะชีวิต ที่มากกว่าคะแนน

ทำอย่างไรให้ “นโยบาย” ไม่หยุดแค่กระดาษ

  1. ตั้ง Roadmap 12 เดือน พร้อม Milestone รายไตรมาส (วิชาออนไลน์ร่วม / ค่าย / อบรมครู / คัดรุ่นนักเรียน)
  2. สื่อสารสาธารณะผ่าน “แดชบอร์ดการศึกษา อบจ.เชียงราย” ให้สังคมตรวจสอบความคืบหน้าได้
  3. สร้าง เครือข่ายผู้สนับสนุน (Supporters Club) จากภาคเอกชนท้องถิ่น–หอการค้า–สมาคมท่องเที่ยว เพื่อร่วมรับนักเรียนฝึกงานและสนับสนุนทุน
  4. วัดผล “รายได้ต่อหัวจากงานบริการ/ท่องเที่ยว” ของเยาวชนรุ่นที่เข้าร่วม และ “อัตราการศึกษาต่อ/มีงานทำ” ภายใน 6–12 เดือนหลังจบโครงการ เป็นตัวชี้วัดผลลัพธ์เชิงเศรษฐกิจ–สังคม

จาก “เชียงรายโมเดล” สู่ “ข้อตกลงระดับจังหวัด–ระดับเอเชีย”

การลงนาม EPA ระหว่าง อบจ.เชียงราย–Shizuoka Saiko Academy ไม่ได้เป็นเพียงข่าวดีของโรงเรียนหนึ่งหรือรุ่นนักเรียนหนึ่ง แต่เป็น ข้อตกลงเชิงโครงสร้าง” ที่ทำให้จังหวัดมีเครื่องมือใหม่ในการสร้างโอกาสการศึกษา–อาชีพให้เยาวชน อย่างเท่าเทียมและยั่งยืน หากขับเคลื่อนต่อเนื่อง จะเกิด “เชียงรายโมเดล” ที่ท้องถิ่นอื่นนำไปปรับใช้ได้—เริ่มจากการประกาศนโยบายให้ชัด (เช่น 7 เรือธง), หา “คู่ต่างประเทศที่ใช่”, ผูกกับเครื่องมือทุน–แลกเปลี่ยน–ฝึกงานของนานาชาติ และวัดผลด้วยตัวชี้วัดที่สะท้อน “รายได้–งาน–คุณภาพชีวิต” ของผู้เรียน

ท้ายที่สุด นี่คือคำตอบที่เป็นรูปธรรมของประโยคที่ว่า อยู่ที่ไหนก็เรียนได้ เรียนที่ไหนก็สำเร็จได้ และสำเร็จได้ก็เลี้ยงชีพได้”—เมื่อเชียงรายเลือกเดินไปกับโลก และทำให้โลกเดินมาหาเชียงราย

กล่องข้อมูล (Key Facts)

  • วัน–สถานที่ลงนาม: 5 พฤศจิกายน 2568 เมืองชิซูโอกะ ประเทศญี่ปุ่น (ข้อมูลผู้ใช้จัดเตรียม)
  • คู่ความร่วมมือ: อบจ.เชียงราย – Shizuoka Saiko Academy (ข้อมูลผู้ใช้จัดเตรียม)
  • กรอบความร่วมมือ: ยกระดับหลักสูตร/ครู–นักเรียน, แลกเปลี่ยนวัฒนธรรม, พัฒนานวัตกรรมการศึกษา, เชื่อมเส้นทางฝึกงาน–ศึกษาต่อ
  • กรอบนโยบายจังหวัด: 7 เรือธงด้านการศึกษา— “อยู่ที่ไหนก็เรียนได้ เรียนที่ไหนก็สำเร็จได้ สำเร็จได้ก็เลี้ยงชีพได้” (ประกาศสาธารณะของ อบจ.เชียงราย)
  • บริบทระบบแลกเปลี่ยน/ทุนญี่ปุ่น: แนวทางทุนรัฐบาลญี่ปุ่น (MEXT), กรอบการแลกเปลี่ยนบุคลากรท้องถิ่น JET Programme  

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย
  • Ministry of Education, Culture, Sports, Science and Technology (MEXT),
  • Ministry of Foreign Affairs of Japan (MOFA)
  • สถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

อบจ.เชียงราย เร่งเรือธง ผุด “ฝายแกนดินซีเมนต์” บ้านป่าอ้อ-สำรวจสะพานแม่จัน วางแผนรับมือภัยพิบัติ

อบจ.เชียงรายเดินหน้าปฏิบัติการ “7 เรือธง” ด้านน้ำและคมนาคม สร้าง “ฝายแกนดินซีเมนต์” บ้านป่าอ้อ–สำรวจสะพานแม่จัน วางระบบรับมือภัยพิบัติแบบบูรณาการ (PDOSS)

เชียงราย, 2 พฤศจิกายน 2568 — องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย) เร่งเครื่องนโยบาย “7 เรือธง” เน้นภารกิจด้านการบริหารจัดการน้ำและความปลอดภัยเชิงโครงสร้างพื้นฐาน โดย นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย มอบหมายให้ นายจิราวุฒิ แก้วเขื่อน รองนายก อบจ. ลงพื้นที่ บ้านป่าอ้อ หมู่ที่ 6 ตำบลนางแล อำเภอเมืองเชียงราย เปิดเวทีประชาคมชี้แจงโครงการ ฝายแกนดินซีเมนต์” เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพน้ำต้นทุนในชุมชน ควบคู่กับการขยายผล PDOSS (ศูนย์บริหารจัดการสาธารณภัยแบบเบ็ดเสร็จ) ตรวจสภาพ สะพานบ้านผาตั้ง หมู่ที่ 6 และ สะพานบ้านแม่เฟือง หมู่ที่ 5 ตำบลป่าตึง อำเภอแม่จัน โดยมีคณะผู้บริหารท้องถิ่น ผู้นำชุมชน และ สำนักงานชลประทานที่ 2 จังหวัดเชียงราย ร่วมพิจารณาแนวทางแก้ไขอย่างเร่งด่วน

“การสร้างฝายแกนดินซีเมนต์และระบบกักเก็บน้ำขนาดเล็กเป็นการลงทุนเพื่ออนาคตของชุมชน เพราะน้ำคือหัวใจของการดำรงชีวิตและเศรษฐกิจฐานราก อบจ.เชียงรายพร้อมทำงานร่วมกับชลประทานและชุมชนทุกแห่ง เพื่อให้ทุกพื้นที่มีน้ำใช้เพียงพอตลอดปี และสามารถรับมือภัยแล้งหรือน้ำหลากได้อย่างมีประสิทธิภาพ” — นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย

 “น้ำ–ทาง” สองเสาหลักของคุณภาพชีวิต ที่ต้องแก้แบบบูรณาการ

ตลอดหลายปีที่ผ่านมา พื้นที่เมือง–ชนบทของเชียงรายเผชิญ “ความแปรปรวนด้านอุทกภัยและภัยแล้ง” ที่วนซ้ำเป็นวงจร ทั้งจากฝนทิ้งช่วงยาวในบางฤดูกาล และฝนตกหนักเฉียบพลันในบางห้วงเวลา ผลกระทบสะเทือนตั้งแต่ระดับครัวเรือน (น้ำอุปโภคบริโภคไม่พอเพียง น้ำบาดาลตื้นคุณภาพลดลง) ไปจนถึงระดับเศรษฐกิจฐานราก (ต้นทุนเกษตรสูง ผลผลิตผันผวน) ขณะที่ด้านโครงสร้างพื้นฐานคมนาคม—โดยเฉพาะ “สะพานและทางผ่านลำห้วย” ในเขตพื้นที่เชื่อมต่อภูเขา–ที่ราบ—มักเป็นจุดเปราะบางต่อกระแสน้ำหลากและการกัดเซาะตลิ่ง

การเดินหน้าญัตติ “7 เรือธง” ของ อบจ.เชียงราย โดยดึง PDOSS เป็นกรอบกลาง จึงมิใช่โครงการแบบ “จุด–จบ–จุด” แต่คือการวาง สถาปัตยกรรมการบริหารจัดการภัยพิบัติและทรัพยากรน้ำ ที่เชื่อมโยงหน่วยงาน สะท้อนเสียงประชาชน และลงสู่การแก้ปัญหา “หน้าดินจริง–สะพานจริง–ลำห้วยจริง” เพื่อผลลัพธ์ที่จับต้องได้

เวทีประชาคมบ้านป่าอ้อ ฝายแกนดินซีเมนต์—เครื่องมือเล็กที่แก้โจทย์ใหญ่

สาระของโครงการ
ฝายแกนดินซีเมนต์ (cemented-soil core weir) เป็นโครงสร้างชลศาสตร์ขนาดเล็ก–กลาง ที่ใช้แกนดินผสมปูนซีเมนต์เพิ่มความแข็งแรงและความทนทานต่อการรั่วซึม ช่วย “หน่วง–กัก–ชะลอ” การไหลน้ำในลำห้วยย่อย ยกระดับน้ำใต้วังน้ำ–แก้มลิงธรรมชาติ เพิ่ม น้ำต้นทุน” สำหรับระบบประปาหมู่บ้าน–การเกษตรแปลงเล็ก และช่วย ลดพีกน้ำหลาก ยามฝนหนัก จุดเด่นคือ คุ้มค่า–ดูแลรักษาง่าย–เข้ากับภูมิประเทศ และสามารถวางเป็น เครือข่ายหลายจุด เพื่อกระจายประโยชน์ครอบคลุมพื้นที่รับน้ำ

การมีส่วนร่วม
การประชุมประชาคมครั้งนี้มี นายวัชระ ลิ้มวิเศษศิลป์ หัวหน้าฝ่ายก่อสร้างที่ 1 และเจ้าหน้าที่ สำนักงานชลประทานที่ 2 จังหวัดเชียงราย ร่วมแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านเทคนิค ตั้งแต่ตำแหน่งร่องน้ำ การคำนวณระดับสันฝาย การกำหนดปริมาณระบายน้ำ (spillway) ไปจนถึงมาตรการดูแลรักษาหลังงาน โดยผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย—ตั้งแต่ผู้นำชุมชน เกษตรกร ไปจนถึงกลุ่มสตรีและเยาวชน—ได้สะท้อนมุมมองต่อ ภาวะน้ำแล้งปลายฤดู–น้ำหลากช่วงมรสุม” ซึ่งเป็นวงจรที่ต้องปรับ โครงสร้าง” ให้เดินควบคู่ วินัยน้ำ” ของชุมชน

เป้าหมายที่ชัดเจน

  • เพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนเพื่อการอุปโภคบริโภคและเกษตร
  • ลดโอกาสเกิดน้ำหลากเฉียบพลันที่กัดเซาะคันดิน–ตลิ่ง
  • เสริมความยืดหยุ่น (resilience) ให้ระบบน้ำระดับหมู่บ้าน
  • วางต้นแบบเพื่อขยายผลเครือข่ายฝายขนาดเล็กในลำห้วยข้างเคียง

ภาพรวมนี้เสริม ยุทธศาสตร์เรือธงด้านน้ำของ อบจ. ที่ต้องการเห็น “จุดหน่วงหลายจุด–เชื่อมทั้งลำห้วย” แทนการฝากความหวังกับโครงสร้างขนาดใหญ่เพียงแห่งเดียว

 

PDOSS สู่พื้นที่จริง สำรวจสะพานแม่จัน—จากจุดเสี่ยงสู่แผนแก้ไขที่วัดผลได้

ในวันเดียวกัน คณะผู้บริหาร อบจ.เชียงราย นำโดย นายจิราวุฒิ แก้วเขื่อน ร่วมกับ นายประเสริฐ ชุ่มเมืองเย็น ประธานสภา อบจ.เชียงราย ลงพื้นที่ ตำบลป่าตึง อำเภอแม่จัน เพื่อตรวจสภาพสะพาน บ้านผาตั้ง (หมู่ที่ 6) และ บ้านแม่เฟือง (หมู่ที่ 5) จุดที่มีการใช้งานหนาแน่นเชื่อมหมู่บ้าน–แปลงเกษตร–สถานศึกษา และเคยรับแรงกดดันจากกระแสน้ำหลากในบางช่วงฤดู

กรอบการสำรวจ ประกอบด้วย

  • ตรวจสภาพโครงสร้างส่วนบน–ส่วนล่าง (พื้นสะพาน คาน เสา ตอม่อ)
  • ตรวจร่องรอยการกัดเซาะตลิ่ง–ฐานราก และการปะทะของท่อนซุง/วัสดุพัดพา
  • ประเมินทางน้ำไหลใต้สะพาน (hydraulic opening) เทียบกับปริมาณน้ำฝนหนัก
  • ฟังข้อมูลการใช้งานและอุบัติเหตุจากผู้นำชุมชน–ประชาชนในพื้นที่

หลักคิด PDOSS คือ “เห็น–รู้–ปฏิบัติ” ในสายเดียวกัน ตั้งแต่การสำรวจหน้างาน การคัดลำดับความเสี่ยง การวางมาตรการแก้ไข (เสริมโครงสร้าง/ป้องกันตลิ่ง/ปรับปรุงทางระบายน้ำใต้สะพาน/ติดตั้งสัญญาณเตือน) ไปจนถึงการกำหนด ตัวชี้วัด เช่น ระยะเวลาปิด–เปิดใช้งานช่วงน้ำหลาก จำนวนเหตุสะดุดการสัญจร และระดับความพึงพอใจของผู้ใช้ทาง

การเชื่อมโยง “น้ำ–คมนาคม–ความปลอดภัย” ทำไมต้องขับเคลื่อนพร้อมกัน

  1. น้ำหลาก–สะพาน หากไม่มีจุดหน่วง–กักต้นน้ำ กระแสน้ำหลากจะพุ่งเข้าจุดคอขวดใต้สะพาน เพิ่มแรงปะทะต่อโครงสร้างและกัดเซาะตลิ่ง การสร้าง “ฝายแกนดินซีเมนต์” ช่วย “ปรับกราฟน้ำหลาก” ให้ต่ำลงและยืดระยะเวลาไหล ลดความเสี่ยงสะพาน
  2. น้ำแล้ง–เศรษฐกิจครัวเรือน น้ำต้นทุนที่เสถียรช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านน้ำประปาชุมชน/สูบน้ำ ลดต้นทุนเกษตร และปลดล็อกการปลูกพืชหลังนา สร้างรายได้แฝงในฤดูแล้ง
  3. คมนาคม–การเข้าถึงบริการสาธารณะ สะพานที่ปลอดภัยลดเวลาการเดินทาง เพิ่มการเข้าถึงโรงเรียน–สถานพยาบาล ลดความเสี่ยงอุบัติเหตุ และลดต้นทุนขนส่งผลผลิตเกษตร—สะท้อนกลับเป็น “รายได้สุทธิ” ของครัวเรือน

กล่าวอย่างย่อ จุดหน่วงน้ำที่ดี + สะพานที่ปลอดภัย” = คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นแบบยั่งยืน และนี่คือเหตุผลที่ อบจ.เชียงราย เลือกเดินพร้อมกันทั้งสองขา ภายใต้เรือธง PDOSS

เสียงสะท้อนจากพื้นที่ ความต้องการที่ชัด–เงื่อนไขความสำเร็จที่จับต้องได้

ระหว่างเวทีประชาคม มีเสียงสะท้อน 3 มิติหลักที่สอดคล้องกัน ได้แก่

  • ความพอเพียงของน้ำตลอดปี ครัวเรือนต้องการความมั่นคงของน้ำอุปโภคบริโภคและน้ำเกษตร โดยเฉพาะปลายฤดูแล้งที่บ่อบาดาลตื้นแห้งเร็ว
  • ความปลอดภัยโครงสร้าง ผู้ใช้เส้นทางต้องการความมั่นใจช่วงฝนหนัก—ไม่ต้องลุ้นปิดสะพาน/ทางขาด
  • การมีส่วนร่วมอย่างต่อเนื่อง ชุมชนพร้อมร่วมดูแลฝาย/คู–ร่องน้ำ และเฝ้าระวังขยะ–เศษวัสดุที่กีดขวางทางน้ำ หากมีระบบ “อาสาสมัครน้ำ–สะพาน” ที่ชัดเจน

เงื่อนไขความสำเร็จจึงไม่ได้อยู่ที่ “งบ–แบบ–สเปก” เท่านั้น หากแต่รวมถึง การบำรุงรักษาเชิงป้องกัน (preventive maintenance) กลไกเฝ้าระวังชุมชน และ ฐานข้อมูลน้ำฝน–ระดับน้ำ ที่ชุมชนเข้าถึงได้ เพื่อให้การบริหารน้ำเป็นเรื่องของทุกคน

กรอบติดตาม–ประเมินผล (M&E) วัดผลให้ชัด เห็นผลให้เร็ว

เพื่อให้ประชาชนรับรู้ความก้าวหน้าของงาน อบจ.เชียงรายสามารถกำหนด ตัวชี้วัดเชิงปฏิบัติการ ร่วมกับชุมชนและชลประทาน อาทิ

  • ระยะเวลามีน้ำใช้อย่างต่อเนื่องในฤดูแล้ง (วัน/ปี)
  • ระดับน้ำหลากสูงสุด (peak) ใต้สะพานในปีที่มีพายุฝนเทียบกับก่อนสร้างฝาย
  • จำนวนครั้งการปิดสะพาน/จำกัดการสัญจรต่อปี
  • ค่าใช้จ่ายซ่อมฉุกเฉินโครงสร้างเทียบปีก่อนหน้า
  • ความพึงพอใจของประชาชนต่อความมั่นคงน้ำ–ความปลอดภัยทางสัญจร

การสื่อสารตัวชี้วัดเหล่านี้อย่างโปร่งใส จะ เปลี่ยนโครงการจาก “ความรู้สึกดี” เป็น “ผลลัพธ์จริง” และช่วยจัดลำดับความสำคัญการลงทุนในจุดเสี่ยงอื่น ๆ ต่อไป

มิติการขยายผล จากต้นแบบบ้านป่าอ้อ สู่เครือข่ายฝายขนาดเล็กทั้งลุ่มน้ำย่อย

หากต้นแบบบ้านป่าอ้อสัมฤทธิ์ผล อบจ.เชียงรายสามารถขยับสู่ เครือข่ายฝายแกนดินซีเมนต์หลายจุด” ตามแนวคิด หลายแกน–หลายจุด–มากผล” ในลำห้วยข้างเคียง โดยเดินคู่กับแผนบูรณะสะพาน–ป้องกันตลิ่งจุดเสี่ยงสำคัญในแม่จันและอำเภออื่น ๆ ทำให้ แผน PDOSS กลายเป็น โครงข่ายป้องกัน–หน่วง–ระบาย” ที่ทำงานสอดประสานในระดับพื้นที่จริง

ทำไม “โครงสร้างเล็ก–งบเหมาะ–ชุมชนมีส่วนร่วม” จึงตอบโจทย์ยุคความเสี่ยงสูง

  1. คุ้มค่าต่อหน่วยงบประมาณ โครงสร้างขนาดเล็กจำนวนมาก ช่วยเฉลี่ยความเสี่ยงและให้ผลลัพธ์เร็วกว่าโครงการใหญ่ที่ใช้เวลาศึกษา–ก่อสร้างนาน
  2. เสริมภูมิคุ้มกันการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ เมื่อฝนหนัก–แล้งยาวเกิดถี่ขึ้น เครือข่ายฝายช่วยหน่วง–เติมน้ำได้ยืดหยุ่น
  3. เสริมทุนสังคม การมีส่วนร่วมดูแล–เฝ้าระวังของชุมชน ทำให้โครงสร้างคงสภาพดี ลดค่าใช้จ่ายซ่อมฉุกเฉินระยะยาว
  4. ข้อมูล–การเรียนรู้ ทุกจุดฝาย/สะพานคือ “สถานีเรียนรู้” ที่เก็บบทเรียน—นำไปสู่การปรับแบบที่เหมาะกับภูมิประเทศจริงของเชียงราย

 “น้ำมั่นคง–ทางปลอดภัย–ชุมชนเข้มแข็ง” ภายใต้ 7 เรือธง

การลงพื้นที่ บ้านป่าอ้อ–แม่จัน ในวันเดียวกัน สะท้อนภาพ บูรณาการบนดินจริง” ของ อบจ.เชียงราย ที่จับ “โจทย์น้ำ” และ “โจทย์ทาง” พร้อมกันในกรอบ PDOSS การผลักดัน ฝายแกนดินซีเมนต์ ไม่เพียงเพิ่มน้ำต้นทุน แต่ยังปรับเสถียรภาพทางชลศาสตร์เพื่อคุ้มครองสะพานและเส้นทางสัญจร ขณะที่การสำรวจสะพานอย่างเป็นระบบ จะต่อยอดสู่แผนเสริมความปลอดภัยที่วัดผล–สื่อสารได้

สาระสำคัญคือ การเดินงานต่อเนื่อง จากประชาคม–ออกแบบ–ก่อสร้าง–ดูแลรักษา–ติดตามประเมินผล—โดยมีประชาชน “ร่วมถือหางเสือ” เคียงข้างหน่วยงานรัฐ เมื่อทุกภาคส่วนเดินไปในทิศเดียวกัน น้ำ–ทาง–ชีวิต” ของเชียงรายจะไม่ใช่เรื่องของโชคชะตาอีกต่อไป แต่เป็น ผลลัพธ์ของการออกแบบร่วมกัน

แก่นของ “7 เรือธง” จึงไม่ใช่คำขวัญ แต่คือ กลไกเปลี่ยนโครงสร้างความเสี่ยงให้กลายเป็นความมั่นคง ด้วยโครงการที่พอเหมาะ พอดี พึ่งพาตนเองได้ และต่อยอดได้จริง

ไทม์ไลน์เหตุการณ์ (สรุปประเด็นสำคัญ)

  • 2 พ.ย. 2568 (เช้า–บ่าย) เวทีประชาคม บ้านป่าอ้อ หมู่ 6 ต.นางแล อ.เมืองเชียงราย ชี้แจงโครงการ ฝายแกนดินซีเมนต์ รับฟังความเห็นประชาชนและข้อเสนอจาก สำนักงานชลประทานที่ 2
  • 2 พ.ย. 2568 (บ่าย–เย็น) คณะผู้บริหาร อบจ.เชียงราย ลงพื้นที่ ต.ป่าตึง อ.แม่จัน ตรวจสภาพ สะพานบ้านผาตั้ง (ม.6) และ สะพานบ้านแม่เฟือง (ม.5) ประเมินความเสี่ยง–กำหนดแนวแก้ไขเบื้องต้น
  • ระยะถัดไป จัดทำแบบ–ถอดรายการ–จัดลำดับความเร่งด่วน–กำหนด ตัวชี้วัด M&E ร่วมกับชุมชน และจัดตารางรายงานความคืบหน้าโปร่งใส

 

ข่าวชิ้นนี้เรียบเรียงเชิงกลางตามมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชน โดยอาศัยข้อมูลและถ้อยแถลงที่มาจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ การนำเสนอเชื่อมโยง นโยบาย 7 เรือธง–กรอบ PDOSS–โครงสร้างฝายแกนดินซีเมนต์–การสำรวจสะพาน เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจ “เหตุ–ผล–ผลลัพธ์คาดหมาย” อย่างต่อเนื่องและตรวจสอบได้

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย)
  • สำนักงานชลประทานที่ 2 จังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

เชียงรายเดินหน้าจัด ‘มหกรรมไม้ดอก 2025’ ปรับรูปแบบ ลดมหรสพ เน้นนิทรรศการน้อมรำลึก

จุดสมดุลเศรษฐกิจ-ความรู้สึก เชียงรายชวนนักท่องเที่ยวแต่ง ‘โทนสุภาพ’ ร่วมงานไม้ดอก

เชียงราย,28 ตุลาคม 2568 – ที่ห้องประชุมธรรมรับอรุณ องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย การประชุมราชการ (Morning Brief) ครั้งที่ 8/2568 มีวาระพิเศษที่ไม่ใช่แค่การติดตามผลการทำงานประจำเดือนเหมือนเช่นเคยอีกต่อไป หากแต่เป็นการประชุมเพื่อกำหนดทิศทางเชิงภาพรวมของจังหวัดในห้วงเวลาที่ทั่วประเทศกำลังอยู่ในความโศกเศร้าหลังจากสำนักพระราชวังประกาศข่าวการสวรรคตของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ซึ่งทั่วทั้งแผ่นดินต่างแสดงความอาลัยอย่างสุดหัวใจ

การประชุมครั้งนี้นำโดย นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร อาทิ นางทรงศรี คมขำ รองนายก อบจ.เชียงราย นายวิญญู ทองทัน เลขานุการนายก อบจ.เชียงราย และนางอัญญลักษณ์ กายาไชย เลขานุการนายก อบจ.เชียงราย โดยมีนายรามิล พัฒนมงคลเชฐ ปลัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย ร่วมประชุมกับหัวหน้าส่วนราชการในสังกัด เพื่อหารือภารกิจที่ต้องขับเคลื่อนต่อเนื่อง

หัวข้อสำคัญที่สุดของการประชุมครั้งนี้ คือทิศทางการจัดงาน “มหกรรมไม้ดอกอาเซียนเชียงราย 2025”

เดินหน้าตามกำหนดการเดิม แต่ไม่ใช่ในรูปแบบเดิมอีกต่อไป

หลังการประชุม นางอทิตาธรยืนยันอย่างชัดเจนว่า อบจ.เชียงรายจะยังคงจัดงานมหกรรมไม้ดอกอาเซียนเชียงราย 2025 ตามกำหนดการที่ประกาศไว้ก่อนหน้านี้ นั่นคือ

  • พื้นที่หลัก “สวนไม้งามริมน้ำกก” อำเภอเมืองเชียงราย ระหว่างวันที่ 18 ธันวาคม 2568 ถึง 7 มกราคม 2569
  • พื้นที่ขยายในอำเภอ ได้แก่ สวนสาธารณะหนองหลวง อำเภอเวียงชัย และวัดถ้ำเสาหินพญานาค อำเภอแม่สาย ระหว่างวันที่ 19 ธันวาคม 2568 ถึง 7 มกราคม 2569

หมายความว่า จังหวัดยังคงมุ่งหวังให้ช่วงปลายปีไปจนถึงต้นปีใหม่เป็นระยะเวลาที่เชียงรายจะดึงดูดการท่องเที่ยว ทั้งนักท่องเที่ยวภายในประเทศที่นิยมเดินทางขึ้นเหนือในฤดูหนาว และนักท่องเที่ยวต่างชาติที่สนใจวัฒนธรรมล้านนา ธรรมชาติ และอากาศเย็น

อย่างไรก็ตาม ประเด็นสำคัญไม่ได้อยู่ที่ “จะจัดหรือไม่จัด” แต่อยู่ที่ “จะจัดอย่างไร”

นางอทิตาธรระบุชัดว่า การจัดงานปีนี้ “จะต้องมีการปรับให้เหมาะสม” เพื่อสอดคล้องกับสถานการณ์ของประเทศที่กำลังอยู่ในช่วงเวลาแห่งความอาลัยจากการสวรรคตของสมเด็จพระพันปีหลวง โดยย้ำว่าการจัดงานต้องดำเนินไป “ภายใต้กรอบมติคณะรัฐมนตรีและแนวทางกลางของรัฐบาล” ที่ระบุให้ส่วนราชการและหน่วยงานท้องถิ่นระมัดระวังกิจกรรมที่อาจถูกมองว่าไม่เหมาะสมหรือเกินความกาลเทศะ

เธอกล่าวในที่ประชุมว่า การดำเนินงานในครั้งนี้ต้องสะท้อนทั้ง “ความจงรักภักดี” และ “ความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้” ของพสกนิกรชาวเชียงรายและประชาชนชาวไทย

เมื่อแปลออกมาในเชิงปฏิบัติ รูปแบบของงานมหกรรมไม้ดอกอาเซียนเชียงราย 2025 จะถูกปรับใน 3 มิติใหญ่ คือ

  1. ลดกิจกรรมรื่นเริง
    กิจกรรมที่มีลักษณะเป็นความบันเทิง เช่น การแสดงมหรสพคึกคัก การแสดงคอนเสิร์ตเชิงบันเทิง หรือกิจกรรมที่เน้นความสนุกสนานเป็นหลัก จะถูกลดระดับหรือปรับโทน ไม่ใช่เพียงเพราะความเหมาะสมทางสังคม แต่เพื่อส่งสัญญาณถึงความเคารพและความอาลัยในระดับจังหวัด ซึ่งเป็นการแสดงจิตวิญญาณร่วมกับประชาชนทั้งประเทศ
  2. เพิ่มเนื้อหาเชิงวัฒนธรรม ศิลปะ และจารีตท้องถิ่น
    อบจ.เชียงรายกำหนดให้งานในปีนี้เน้นการจัดแสดงไม้ดอกไม้ประดับที่สะท้อนความอ่อนช้อย งดงาม และอัตลักษณ์ของเชียงราย เช่น ไม้ดอกฤดูหนาว ไม้ประดับหายาก การจัดสวนนิทรรศการเชิงศิลป์ และการออกแบบภูมิทัศน์ที่ใช้ดอกไม้เป็น “ภาษาทางความรู้สึก” มากกว่าจะเป็นเพียงฉากสำหรับท่องเที่ยวเช็คอิน
    กล่าวอีกนัยหนึ่ง ดอกไม้ในปีนี้จะไม่ใช่เพียง “สีสันของงาน” แต่น่าจะถูกตีความให้เป็น “สัญลักษณ์ของการรำลึกถึง” และ “การถวายความเคารพ”
  3. จัดนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติและน้อมรำลึก
    จะมีการจัดนิทรรศการเพื่อน้อมรำลึกและเทิดพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง โดยมุ่งสะท้อนพระราชจริยวัตร พระราชกรณียกิจด้านศิลปวัฒนธรรมและหัตถกรรมพื้นถิ่น ตลอดจนพระราชดำริในการส่งเสริมอาชีพและคุณภาพชีวิตของราษฎรในภูมิภาคต่าง ๆ ของประเทศ

ประเด็นนี้มีนัยสำคัญในทางสัญลักษณ์อย่างยิ่ง เพราะสมเด็จพระพันปีหลวงทรงได้รับการยกย่องมาโดยตลอดในฐานะ “แม่ของแผ่นดิน” ผู้ทรงมีบทบาทโดดเด่นในการผลักดันงานหัตถศิลป์ ผ้าไทย งานจักสาน งานทอมือ และงานอนุรักษ์ภูมิปัญญาไทย — ซึ่งล้วนเป็นรากฐานของอัตลักษณ์ภาคเหนือรวมถึงเชียงราย การนำแนวทาง “นิทรรศการเฉลิมพระเกียรติ” มาเป็นแกนของงานมหกรรมไม้ดอกในครั้งนี้ จึงไม่ใช่การแสดงความอาลัยเชิงพิธีเท่านั้น แต่เป็นการวางบทบาทของเชียงรายในฐานะเมืองที่เข้าใจคุณค่าของมรดกทางวัฒนธรรม และพร้อมถ่ายทอดต่อสาธารณะ

เชียงรายต้องขับเคลื่อนเศรษฐกิจ แต่เชียงรายก็ต้องเป็นจังหวัดที่ “รู้กาลเทศะ”

อีกประเด็นหนึ่งที่ถูกพูดอย่างชัดเจนในการประชาสัมพันธ์ของ อบจ.เชียงราย คือการ “ขอความร่วมมือนักท่องเที่ยว” โดยเชิญชวนให้ผู้มาเยือนร่วมแต่งกายด้วยโทนสีไว้ทุกข์หรือสีสุภาพตลอดช่วงการจัดงาน

คำขอนี้สะท้อนความพยายามของจังหวัดในการสร้างบรรยากาศร่วมไว้อาลัยในพื้นที่สาธารณะ ไม่ใช่เพียงผ่านพิธีการหรือคำกล่าวเปิดงาน แต่ผ่านการมีส่วนร่วมของประชาชนและนักท่องเที่ยว ซึ่งถือเป็นการยกระดับงานท่องเที่ยวให้เป็นพื้นที่แสดงความเคารพร่วมกันในฐานะ “สาธารณะทางความรู้สึก”

การขอความร่วมมือด้านการแต่งกายแบบนี้ มักจะปรากฏในช่วงเวลาที่ประเทศเผชิญเหตุการณ์สำคัญระดับสถาบัน ซึ่งสะท้อนว่านโยบายของจังหวัดในครั้งนี้ไม่ได้มองงานไม้ดอกเป็นเพียงอีเวนต์เชิงเศรษฐกิจ แต่ยกระดับไปสู่พื้นที่เชิงสังคมและจิตใจร่วม

ในอีกด้านหนึ่ง การเดินหน้าจัดงานตามกำหนดการเดิมในช่วงวันที่ 18 ธันวาคม 2568 ถึง 7 มกราคม 2569 ก็มีความหมายเชิงเศรษฐกิจที่ไม่อาจปฏิเสธได้

เดือนธันวาคมถึงต้นมกราคมเป็นช่วงที่เชียงรายมีนักท่องเที่ยวหนาแน่นที่สุดของปี อากาศเย็นเป็นแม่เหล็กตามธรรมชาติ ขณะที่สีสันทางวัฒนธรรม เช่น ประเพณีล้านนา อาหารพื้นถิ่น และภูมิทัศน์ริมน้ำกก ล้วนเป็นจุดขายของจังหวัดมาอย่างยาวนาน งานมหกรรมไม้ดอกอาเซียนในอดีตมักถูกใช้เป็น “เวทีหลัก” ในการกระจายรายได้สู่ชุมชนท้องถิ่น ทั้งผู้ประกอบการที่พัก โฮมสเตย์ ร้านอาหาร ร้านงานหัตถกรรม ตลอดจนเครือข่ายเกษตรกรไม้ดอกไม้ประดับ

กล่าวอีกมุมหนึ่ง งานนี้ไม่ใช่เพียงงานที่จัดเพื่อความสวยงาม แต่เป็น “จุดกระจายเม็ดเงินปลายปี” ของจังหวัดเชียงราย

การตัดสินใจ “เดินหน้าจัด – แต่ลดความรื่นเริง และเพิ่มความสงบสำรวม” จึงเป็นจุดสมดุลที่สะท้อนแนวทางของฝ่ายบริหารท้องถิ่น จังหวัดยังต้องขยับเศรษฐกิจและดูแลความเป็นอยู่ของคนในพื้นที่ ขณะเดียวกันก็ไม่ละเลยบรรยากาศแห่งความโศกอาลัยระดับชาติ

ในที่ประชุม นางอทิตาธรยังย้ำประเด็นเรื่อง “การบริหารงบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพ โปร่งใส และเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน” พร้อมมอบหมายให้ทุกภาคส่วนบูรณาการการทำงานร่วมกันทั้งด้านการจัดสถานที่ การรักษาความปลอดภัย การดูแลสภาพแวดล้อมจราจร และการบริการนักท่องเที่ยวในพื้นที่จัดงานทั้งสามจุดคือ ริมน้ำกก หนองหลวง เวียงชัย และวัดถ้ำเสาหินพญานาค แม่สาย ซึ่งเป็นจุดท่องเที่ยวชายแดนสำคัญ

ถ้อยคำลักษณะนี้ชวนให้สังเกตว่า งานมหกรรมไม้ดอกฯ ไม่ใช่การจัดโดยหน่วยงานเดียว แต่เป็นงานที่ต้องใช้พลังของทั้งจังหวัด ทั้งหน่วยงานวัฒนธรรม เกษตรและสหกรณ์ การท่องเที่ยวและกีฬา หน่วยความมั่นคง ตำรวจ ท้องถิ่นอำเภอ รวมถึงชุมชนเจ้าของพื้นที่ร่วมกันดูแลภาพลักษณ์ของจังหวัดต่อสายตาคนทั้งประเทศ

มิติเชิงวัฒนธรรม ดอกไม้ในปีแห่งการอาลัย

หากมองเชิงสัญลักษณ์ การจัดงานดอกไม้ภายใต้บรรยากาศความอาลัย ไม่ใช่เรื่องใหม่ในสังคมไทย ดอกไม้ถูกใช้เสมอในวัฒนธรรมไทยเพื่อแสดงความเคารพ ความระลึก และพระเกียรติคุณ โดยเฉพาะดอกไม้สีขาว สีอ่อนโทนสุภาพ หรือไม้ดอกที่จัดเป็นลวดลายเชิงสถาปัตยกรรมไทยประยุกต์

เมื่อ อบจ.เชียงรายประกาศว่าจะ “เพิ่มเนื้อหาเชิงวัฒนธรรม ศิลปะ และนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติ” นั่นหมายความว่างานปีนี้อาจไม่ใช่เพียงการประกวดความสวยงามของไม้ดอก หากแต่อาจเป็นพื้นที่เล่าเรื่องความผูกพันระหว่างเชียงรายกับสถาบันฯ ผ่านการตีความด้วยสื่อที่อ่อนโยน เข้าใจง่าย และเข้าถึงได้สำหรับทุกเพศทุกวัย

ทิศทางเช่นนี้ยังสอดคล้องกับบทบาทของสมเด็จพระพันปีหลวงในประวัติศาสตร์สังคมไทย ทรงมีพระราชกรณียกิจด้านศิลปหัตถกรรมชนเผ่าและกลุ่มชาติพันธุ์ภาคเหนือ ทั้งงานผ้า การทอ การปัก การอนุรักษ์วิถีชีวิตและความเป็นอยู่ของชุมชนบนพื้นที่สูง ซึ่งล้วนเกี่ยวพันกับจังหวัดในพื้นที่ล้านนา รวมทั้งเชียงรายด้วย การจัดแสดงนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติภายในงานจึงอาจเป็นเวทีให้คนรุ่นใหม่ได้เห็นบทบาทเหล่านี้ชัดเจนขึ้น

กล่าวในเชิงเนื้อหา งานไม้ดอกฯ ปีนี้อาจกลายเป็นพื้นที่สาธารณะให้คนรุ่นพ่อแม่และรุ่นลูกมายืนอยู่ในภาพเดียวกัน—ภาพที่ไม่ได้มีแค่ดอกไม้สวย ๆ ให้ถ่ายรูปลงโซเชียล แต่เป็นภาพของการเรียนรู้ร่วมกันว่า ความผูกพันของ “ชาติ-สถาบัน-ท้องถิ่น” มีมิติที่ลึกกว่าในเชิงอารมณ์

การบริหารจังหวัดในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ

อีกประเด็นที่น่าสนใจคือการที่ผู้บริหาร อบจ.เชียงราย พูดถึง “ความโปร่งใส” และ “การใช้งบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพ” ในการประชุม Morning Brief ครั้งที่ 8/2568 จุดนี้สะท้อนมุมมองการทำงานเชิงรุกด้านธรรมาภิบาลท้องถิ่น เพราะโดยปกติ งานท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมปลายปีมักถูกจับตาในสองเรื่องเสมอ คือค่าใช้จ่ายในการจัดเตรียมพื้นที่ (ตกแต่งภูมิทัศน์ ระบบแสง-เสียง การบริหารเวทีกิจกรรม โครงสร้างชั่วคราว) และความคุ้มค่าต่อประชาชนในพื้นที่

การย้ำเรื่อง “งบประมาณต้องโปร่งใสและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน” จึงเป็นการส่งสัญญาณล่วงหน้าว่า อบจ.จะวางตัวเองในฐานะองค์กรที่พร้อมถูกตรวจสอบในสายตาสังคม โดยเฉพาะในโครงการสาธารณะที่มีมูลค่าการใช้จ่ายสูงและอยู่ในความสนใจของสื่อและประชาชนทั้งในจังหวัดและนอกจังหวัด

การวางน้ำเสียงเช่นนี้ยังสะท้อนการทำงานเชิงป้องกันความเสี่ยงทางสังคมเช่นกัน เพราะในยุคปัจจุบัน โครงการของหน่วยงานท้องถิ่นสามารถถูกตรวจสอบได้แบบเรียลไทม์ผ่านโซเชียลมีเดีย หากกระบวนการใช้งบประมาณไม่ชัดเจน ย่อมมีโอกาสที่จะเกิดการตั้งคำถามเชิงศรัทธาในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้ง่ายขึ้น

งานดอกไม้ที่ไม่ใช่แค่งานดอกไม้

“มหกรรมไม้ดอกอาเซียนเชียงราย 2025” จึงไม่ใช่แค่งานท่องเที่ยวประจำฤดูหนาวของจังหวัดเชียงรายอีกต่อไป หากแต่มันกำลังถูกออกแบบให้เป็นพื้นที่เชิงสาธารณะของความทรงจำร่วมและความอาลัย ขณะเดียวกันก็เป็นกลไกทางเศรษฐกิจในปลายปีที่ถูกคาดหวังว่าจะกระจายรายได้สู่คนในจังหวัด

ภายใต้สถานการณ์ที่ทั้งประเทศกำลังแสดงความอาลัยต่อการสวรรคตของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง การจัดงานในบรรยากาศที่สำรวมขึ้น ลดความเป็น “มหรสพ” เพิ่มความเป็น “นิทรรศการเฉลิมพระเกียรติและศิลปวัฒนธรรม” อาจเป็นแบบจำลองใหม่ของการจัดงานสาธารณะในระดับจังหวัด ว่าจะสามารถผสานเศรษฐกิจ-วัฒนธรรม-ความรู้สึกร่วมของสังคมได้อย่างไรในเวลาเดียวกัน

ในทางปฏิบัติ การเชิญชวนนักท่องเที่ยวให้แต่งกายโทนไว้ทุกข์ คือการส่งสารเชิงสังคมว่า ทุกคนที่มาเยือนเชียงรายในช่วงเวลาดังกล่าว ไม่ได้เป็นเพียง “นักท่องเที่ยว” แต่เป็น “ผู้ร่วมยืนในช่วงเวลาเดียวกันของประวัติศาสตร์ร่วมชาติ”

และในทางการบริหาร นี่คือบททดสอบสำคัญของ อบจ.เชียงราย ว่าจะสามารถเดินเชือกเส้นบาง ๆ ระหว่าง “การรักษาความรู้สึกของคนทั้งประเทศ” กับ “การรักษาความยืนยาวของเศรษฐกิจท้องถิ่น” ไปจนจบงานได้อย่างไร

เพราะเมื่อม่านดอกไม้ปิดลงในวันที่ 7 มกราคม 2569 สิ่งที่จังหวัดเชียงรายจะเหลืออยู่ไม่ใช่แค่ภาพถ่ายสวนดอกไม้ยามรุ่งสางริมแม่น้ำกก แต่คือคำตอบว่า เชียงรายสามารถเป็นต้นแบบการจัดงานท้องถิ่นในยามที่ทั้งประเทศกำลังอยู่ในห้วงอารมณ์ร่วมได้หรือไม่ และคำตอบนั้น ไม่ได้สำคัญเฉพาะกับเชียงรายเท่านั้น แต่อาจกลายเป็นต้นแบบให้จังหวัดอื่น ๆ ของไทยในอนาคตด้วย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย)
  • มหกรรมไม้ดอกอาเซียนเชียงราย 2025
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TRAVEL

Likhai Nature Walk ปี 3 ยกระดับ ‘ลิไข่’ สู่จุดหมายปลายทาง การท่องเที่ยวคุณภาพของเชียงราย

เปิดประสบการณ์ “อาบป่า” ที่ลิไข่! อบจ.เชียงราย หนุนท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ สร้างรายได้ชุมชน

เชียงราย, 26 ตุลาคม 2568 – ยามเช้าที่หมอกบางๆ คลุมทิวเขา แสงแรกของวันค่อยๆ ไล้ตามแนวสันนาขั้นบันไดสีเขียวมรกต บ้านลิไข่ ตำบลนางแล อำเภอเมืองเชียงราย เริ่มตื่นก่อนเมือง นักท่องเที่ยวบางส่วนกำลังยืดแขนรับอากาศเย็น ขณะชาวบ้านชงกาแฟคั่วสดในกระบอกไม้ไผ่ กลิ่นหอมของดินเปียก น้ำค้าง ใบหญ้า และควันอ่อนจากเตาถ่าน ประสานกันจนไม่แน่ชัดว่าเรากำลังอยู่ในพื้นที่ท่องเที่ยว หรืออยู่ในพิธีกรรมบำบัดใจ

นี่คือบรรยากาศของกิจกรรม “Likhai Nature Walk – เดินสำรวจเส้นทางธรรมชาติ บ้านลิไข่” ซึ่งจัดต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 และกำลังถูกยกระดับให้เป็นต้นแบบการท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติและสุขภาพของจังหวัดเชียงราย โดยได้รับการสนับสนุนจากองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย) ภายใต้นโยบาย “เที่ยวได้ทุกสไตล์ เที่ยวเชียงรายได้ทั้งปี มีดีทุกอำเภอ” ที่มุ่งหมายให้การท่องเที่ยวไม่กระจุกอยู่เพียงจุดดัง แต่กระจายสู่ทุกพื้นที่ที่มีอัตลักษณ์ของตัวเอง

ในปีนี้ นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย มอบหมายให้ นายวิญญู ทองทัน เลขานุการนายก อบจ.เชียงราย ลงพื้นที่ร่วมกิจกรรม ณ บ้านลิไข่ โดยมี นางยุรีพรรณ แสนใจยา ผู้อำนวยการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานเชียงราย เป็นประธานในพิธีเปิด พร้อมด้วยภาคีเครือข่ายท้องถิ่นและภาคเอกชน ได้แก่ นายวิทยา เหล่าธีรศิริ ประธานกลุ่มนักธุรกิจรุ่นใหม่หอการค้าจังหวัดเชียงราย (YEC หอการค้าจังหวัดเชียงราย) ซึ่งรายงานภาพรวมความร่วมมือ และนายพิษณุ เขื่อนเพชร รองนายกเทศมนตรีตำบลนางแล ซึ่งทำหน้าที่ต้อนรับในฐานะตัวแทนพื้นที่

หากมองเพียงผิวเผิน กิจกรรมนี้อาจเป็นเพียง “การเดินชมวิว” ของนักท่องเที่ยว แต่สำหรับคนเชียงราย โดยเฉพาะผู้ทำงานในพื้นที่มานาน กิจกรรม “Likhai Nature Walk” เป็นมากกว่านั้น มันคือพื้นที่ทดลองนโยบายสาธารณะในระดับพื้นที่จริง เป็นการจัดการสมดุลระหว่างการอนุรักษ์ธรรมชาติ การพัฒนาคุณภาพชีวิตของชุมชน และการออกแบบรูปแบบ “การท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ” แทนที่จะเป็นการท่องเที่ยวที่เน้นตัวเลขปริมาณผู้มาเยือน

นาขั้นบันไดลิไข่” จากภูมิทัศน์ชาวบ้าน สู่แหล่งฮีลใจระดับประเทศ

นาขั้นบันไดบ้านลิไข่ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา กลายเป็นชื่อที่เริ่มถูกพูดถึงในหมู่นักเดินทางที่ต้องการ “พักใจแท้ๆ” โดยไม่ต้องเดินทางไกลถึงชายแดนหรือยอดดอยสูง นาขั้นบันไดที่นี่ไม่ได้มีเพียงความสวยงามของผืนนาเรียงชั้นตามไหล่เขา แต่มีบริบทของคน ชุมชน และธรรมชาติที่ยังเชื่อมถึงกันอย่างใกล้ชิด

ภาพที่เห็นคือผืนนาข้าวโค้งเรียวรับไปตามสันคันนา มองได้ไกลสุดสายตาแบบไม่มีเสาไฟฟ้าแรงสูง ไม่มีป้ายโฆษณา ไม่มีร้านค้าสำเร็จรูปขนาดใหญ่ และไม่มีสิ่งปลูกสร้างที่ตัดกับภูมิประเทศดั้งเดิม ความงดงามจึงไม่ใช่เพียง “ทิวทัศน์” แต่คือความสัมพันธ์ระหว่างคนกับผืนดิน

กิจกรรม Likhai Nature Walk จึงไม่ใช่เพียงการพาคนนอกเข้ามาถ่ายภาพ แต่คือการนำผู้เข้าร่วม “เดินเข้าไปในระบบนิเวศของชุมชน” อย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยยึดหลักการที่ผู้จัดเรียกว่า “อาบป่า” หรือ Shinrin-Yoku ซึ่งเป็นแนวคิดการบำบัดด้วยธรรมชาติที่ได้รับความนิยมในหลายประเทศ

ในพื้นที่ลิไข่ การ “อาบป่า” ไม่ได้จำกัดอยู่ในเขตป่าอนุรักษ์ หากแต่เกิดขึ้นในนาขั้นบันได ป่าชุมชน ลำธารเล็กๆ ทางเดินเก่าใต้ร่มไผ่ และพื้นที่เกษตรผสมผสาน — กล่าวคือ เป็นการยอมรับว่าภูมิทัศน์ทางการเกษตรแบบดั้งเดิมเองก็มีมิติการเยียวยาที่แท้จริง ไม่ต่างไปจากป่าดิบ

ผู้ร่วมกิจกรรมได้สัมผัสด้วยประสาทสัมผัสทั้งสี่

  • เสียง: เสียงลมพัดผ่านยอดข้าว เสียงน้ำไหลเบาๆ จากร่องน้ำและลำธาร เสียงจั๊กจั่นในร่องป่าชื้น
  • กลิ่น: กลิ่นหญ้าเปียก กลิ่นข้าวอ่อน กลิ่นสมุนไพรพื้นถิ่นที่ชาวบ้านปลูกริมคันนา
  • ภาพ: ภาพพื้นที่สีเขียวไล่ระดับแบบไม่มีเส้นตึกตัดสายตา พร้อมหมอกลงสลับเงาเขา
  • สัมผัสและรส: การเดินเท้าเปล่าแตะบนดินเย็น แช่ปลายเท้าลงในลำธารธรรมชาติ จิบกาแฟร้อนที่คั่วโดยคนในพื้นที่ ยามอุณหภูมิยังต่ำกว่ายี่สิบนิดๆ

แนวคิดตรงนี้มีความสำคัญ เพราะเป็นการเปลี่ยนการมาเยือนจาก “การบริโภคสถานที่” ไปสู่ “การอยู่กับสถานที่” ซึ่งเป็นหัวใจของการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ นักท่องเที่ยวไม่ได้ถูกปฏิบัติในฐานะลูกค้าเพียงอย่างเดียว แต่ในฐานะแขกที่ได้รับเชิญให้เรียนรู้วิธีอยู่ร่วมกับภูมิทัศน์อย่างเคารพ

ไม่ใช่ท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติธรรมดา แต่คือเศรษฐกิจฐานรากแบบมีสติ

การผลักดัน Likhai Nature Walk ในปีนี้มีความหมายทางนโยบายในระดับจังหวัดอย่างชัดเจน นายวิญญู ทองทัน เลขานุการนายก อบจ.เชียงราย ระบุถึงทิศทางดังกล่าวว่า การผลักดันกิจกรรมลักษณะนี้เป็นส่วนหนึ่งของความตั้งใจของ อบจ.เชียงราย ที่ต้องการสร้างประโยชน์ทางเศรษฐกิจให้กับประชาชนในทุกอำเภออย่างทั่วถึง พร้อมทั้งสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของ อบจ.เชียงราย ที่ต้องการยกระดับเชียงรายให้เป็น “เมืองแห่งสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน”

หากมองในเชิงโครงสร้าง จะเห็นว่ามีความพยายามผลักเชียงรายให้ก้าวข้ามการเป็น “จังหวัดท่องเที่ยวเชิงฤดูกาล” (เมืองหนาวปลายปี ดอยดัง คาเฟ่ดัง) ไปสู่การเป็น “พื้นที่การท่องเที่ยวคุณภาพที่เที่ยวได้ทั้งปี” โดยใช้ความหลากหลายของภูมิประเทศ ชาติพันธุ์ วิถีชุมชน และทรัพยากรธรรมชาติเป็นเสาหลักของการออกแบบเส้นทางท่องเที่ยว

นโยบายดังกล่าวถูกสรุปในคำขวัญเชิงปฏิบัติการของ อบจ.เชียงราย คือ “เที่ยวได้ทุกสไตล์ เที่ยวเชียงรายได้ทั้งปี มีดีทุกอำเภอ” (นโยบายเรือธงข้อที่ 5 ในชุดนโยบาย 7 เรือธงของ อบจ.) ซึ่งในทางปฏิบัติหมายถึง

  1. ลดการกระจุกของรายได้ท่องเที่ยว
    รายได้จากการท่องเที่ยวไม่ควรตกอยู่เฉพาะในอำเภอที่เป็นแม่เหล็กทางการตลาด เช่น เมืองเชียงราย แม่สาย แม่จัน หรือจุดแลนด์มาร์กที่ถูกพูดถึงในโซเชียลมีเดียมาก่อนหน้านี้ แต่ควรไหลลงสู่พื้นที่ชนบท พื้นที่เกษตรดั้งเดิม และพื้นที่ชุมชนที่ยังพึ่งพาการผลิตภาคเกษตรเป็นหลัก
    บ้านลิไข่ ตำบลนางแล คือหนึ่งในพื้นที่เช่นนั้น
  2. เสริมความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานราก
    การท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติที่ออกแบบอย่างระมัดระวัง เช่น “อาบป่า” ไม่ได้ดึงดูดเฉพาะนักท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและกลุ่มวัยทำงานที่มองหาความสงบ แต่ยังสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจให้กับครัวเรือนในชุมชนผ่านการขายกาแฟพื้นถิ่น ผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรแปรรูปเล็กๆ ของครัวเรือน อาหารเช้าแบบพื้นบ้าน ของฝากทำมือ รวมถึงบริการนำทางท้องถิ่น (local guide) ที่พึ่งพาความรู้ของคนในพื้นที่จริง ไม่ใช่บริษัททัวร์จากภายนอก
  3. ยกระดับภาพลักษณ์การท่องเที่ยวเชียงรายสู่มาตรฐานเชิงสุขภาพและสิ่งแวดล้อม
    กิจกรรมแนวธรรมชาติบำบัด (nature therapy) แบบนี้ตอบโจทย์เทรนด์การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพที่เติบโตต่อเนื่อง ทั้งในระดับประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มองหาประสบการณ์เชิงลึกมากกว่าการเช็กอิน
    แนวโน้มดังกล่าวมีนัยทางเศรษฐกิจสำคัญ เพราะเป็นฐานนักท่องเที่ยวที่ใช้เวลาพักนานขึ้น มีการใช้จ่ายสูงขึ้น และให้ความสำคัญกับคุณภาพมากกว่าปริมาณ

หรือกล่าวอีกแบบ การท่องเที่ยวในแนวทางนี้ไม่ได้ขาย “วิว” อย่างเดียว แต่ขาย “คุณภาพชีวิต” ที่นักท่องเที่ยวจะได้รับ — และรายได้ที่ชาวบ้านจะได้กลับคืน

การทำงานร่วมกัน ภาครัฐ – เอกชน – ชุมชน

หนึ่งในจุดเด่นของ Likhai Nature Walk คือการเป็นตัวอย่างของ “การขับเคลื่อนร่วม” ระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ โดยไม่ได้ให้หน่วยงานภาครัฐทำงานแบบสั่งการฝ่ายเดียว แต่ทำในรูปแบบเครือข่าย

  • อบจ.เชียงราย ทำหน้าที่สนับสนุนเชิงยุทธศาสตร์และการขับเคลื่อนนโยบายในเชิงจังหวัด เชื่อมปรัชญาการท่องเที่ยวกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชนในระยะยาว
  • องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ (เทศบาลตำบลนางแล) ซึ่งในครั้งนี้มีตัวแทนคือ นายพิษณุ เขื่อนเพชร รองนายกเทศมนตรีตำบลนางแล ทำหน้าที่เป็น “พื้นที่รองรับ” จัดระเบียบพื้นที่ ดูแลความพร้อมเชิงโครงสร้างพื้นฐานเบื้องต้น และเป็นจุดประสานกับชุมชน
  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานเชียงราย ซึ่งมี นางยุรีพรรณ แสนใจยา เป็นผู้อำนวยการ ทำหน้าที่เชื่อมการสื่อสารสู่สาธารณะและนักท่องเที่ยวในเชิงภาพลักษณ์การท่องเที่ยวคุณภาพ
  • หอการค้าจังหวัดเชียงรายและเครือข่ายนักธุรกิจรุ่นใหม่ (YEC) โดยมีนายวิทยา เหล่าธีรศิริ เป็นหนึ่งในกลไกผลักดัน เพื่อมองโอกาสต่อยอดเชิงพาณิชย์อย่างสมดุลกับการรักษาพื้นที่ เช่น การสร้างแพ็กเกจท่องเที่ยวเชิงสุขภาพเชื่อมโยงระหว่างที่พัก ร้านอาหารพื้นถิ่น และประสบการณ์เชิงวัฒนธรรม

โครงสร้างนี้สะท้อนความพยายามของเชียงรายในการทำให้ “การท่องเที่ยวโดยชุมชน” ไม่ใช่การผลักให้ชุมชนไปรับผิดชอบเองโดยลำพัง แต่เป็นการวางชุมชนให้อยู่กลางวง แล้วให้หน่วยงานรัฐและเอกชนทำหน้าที่สนับสนุน ช่วยการตลาด สร้างระบบความพร้อม และคุ้มครองความสมดุลเชิงนิเวศ

กล่าวอีกมุม นี่คือแบบจำลองของ “การพัฒนาที่ไม่บังคับชุมชนให้เป็นรีสอร์ต” แต่ให้ชุมชนเป็นชุมชน และทำมาหากินจากสิ่งที่เป็นตัวเอง

จากกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์ สู่เครื่องมือเชิงยุทธศาสตร์จังหวัด

กิจกรรม Likhai Nature Walk ไม่ใช่งานครั้งแรก แต่จัดต่อเนื่องมาแล้ว 3 ปี และผู้จัดระบุว่า จำนวนผู้มาเยือนนาขั้นบันไดลิไข่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มนักท่องเที่ยววัยทำงาน กลุ่มคนเมืองที่ต้องการพัก-ฟื้น และครอบครัวรุ่นใหม่ที่เริ่มมองหากิจกรรมแนว “พาเด็กสัมผัสดินน้ำลมไฟ” มากกว่าพาไปศูนย์การค้า

ปรากฏการณ์ “คนกลับมาหาธรรมชาติ” ซึ่งเกิดขึ้นหลังช่วงวิกฤตสุขภาพโลกตลอดหลายปีที่ผ่านมา กำลังสร้างตลาดใหม่ที่จังหวัดเชียงรายมองเห็นอย่างจริงจัง — ตลาดของการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ สุขภาวะ และสมดุลชีวิต (wellbeing tourism)

สิ่งนี้กำลังสะท้อนชัดว่า จ.เชียงราย ไม่ต้องการยืนอยู่บนคำว่า “หน้าหนาวค่อยมา” อีกต่อไป แต่ต้องการยืนอยู่บนฐาน “เชียงราย = เมืองคุณภาพชีวิต” ที่เที่ยวได้ทั้งปี และแต่ละอำเภอมีสินค้าการท่องเที่ยวที่เป็นของตัวเอง

นโยบายเรือธงข้อที่ 5 ซึ่งย้ำว่า “เที่ยวเชียงรายได้ทั้งปี มีดีทุกอำเภอ” จึงไม่ใช่คำขวัญเพื่อการประชาสัมพันธ์ แต่คือกรอบยุทธศาสตร์ที่มีเป้าหมายเชิงโครงสร้าง ดังนี้

  1. ทำให้การท่องเที่ยวกลายเป็นฐานเศรษฐกิจที่พึ่งพาตนเองได้ในระดับอำเภอ
  2. ทำให้ชุมชนในพื้นที่เกษตร-พื้นที่ภูเขา ได้รับรายได้โดยไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนวิถีชีวิตจนสูญเสียตัวตน
  3. ลดแรงกดดันเชิงสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ท่องเที่ยวยอดนิยม (overtourism) ด้วยการกระจายความนิยมไปสู่พื้นที่ใหม่ๆ
  4. ปรับภาพลักษณ์ของจังหวัดเชียงรายสู่ “เมืองสุขภาวะ” (wellbeing destination) ซึ่งเชื่อมโยงได้ทั้งการท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ อาหารพื้นถิ่น การทำสมาธิ การบำบัดด้วยป่า การเรียนรู้วิถีชุมชน

กล่าวในเชิงนโยบายสาธารณะ นี่คือการสร้างทางเลือกในระดับจังหวัด เพื่อเตรียมรับอนาคตเศรษฐกิจท่องเที่ยวที่แข่งขันสูงขึ้น ขณะเดียวกันก็ตอบโจทย์ความเปลี่ยนแปลงด้านสังคมของประเทศ เช่น สัดส่วนประชากรวัยทำงานที่เผชิญความเครียดเรื้อรัง และกลุ่มผู้สูงวัยที่มีความต้องการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพมากขึ้น

เชียงรายจึงไม่ได้ขายแค่ภาพสวยของภูเขาอีกต่อไป แต่ขาย “การฟื้นตัวของตัวเราเอง” ในพื้นที่ที่ยังคงหายใจได้

เมืองท่องเที่ยว กับ เมืองน่าอยู่ ต้องเป็นเมืองเดียวกัน

ประเด็นที่ผู้บริหารท้องถิ่นในเชียงรายย้ำหลายครั้งในกิจกรรมนี้ คือการผลักดันการท่องเที่ยว ต้องไม่ผลักภาระให้คนในพื้นที่ต้องรับความเปลี่ยนแปลงจนชีวิตปกติถูกรบกวน

การท่องเที่ยวในรูปแบบ “เดินสำรวจเส้นทางธรรมชาติ – อาบป่า” จึงถูกออกแบบต่างจากทัวร์เชิงปริมาณในหลายประเด็นสำคัญ เช่น

  • กลุ่มนักท่องเที่ยวถูกจำกัดขนาด ไม่ใช่การระดมคนจำนวนมากในคราวเดียว
  • กิจกรรมเน้นการเดินเท้า ไม่ใช่การขับยานพาหนะเข้าสู่พื้นที่เพาะปลูก
  • เวลาการจัดกิจกรรมสอดประสานกับวิถีเกษตรในพื้นที่ (เช้า–สาย) เพื่อลดการรบกวนการทำงานจริงของชาวบ้าน
  • รายได้เชื่อมตรงกับคนในพื้นที่ เช่น ร้านกาแฟชุมชน ผู้จัดกิจกรรมชุมชน วิสาหกิจท้องถิ่น มากกว่าการปล่อยให้เงินไหลออกนอกพื้นที่

กล่าวอีกนัยหนึ่ง เมื่อนักท่องเที่ยวค่อยๆ สูดลมหายใจในป่าบ้านลิไข่ คนในพื้นที่เอง ก็ยังสามารถหายใจในบ้านเกิดของตนได้เช่นกัน

จากนาขั้นบันได สู่แบบจำลองการท่องเที่ยวเพื่อคุณภาพชีวิต

สิ่งที่เกิดขึ้นในบ้านลิไข่ ตำบลนางแล ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของการเดินป่า หรือการจิบกาแฟกลางหมอก หากแต่เป็นการวางหมุดหมายด้านการพัฒนาในระดับจังหวัด โดยมี “สุขภาวะของคน” เป็นแกนกลาง

นี่คือการประกาศว่า เชียงรายจะไม่วัดความสำเร็จด้วยตัวเลขนักท่องเที่ยวอย่างเดียวอีกต่อไป แต่จะวัดด้วยคำถามว่า

  • คนในพื้นที่อยู่ได้ดีขึ้นหรือไม่
  • พื้นที่ยังคงความสมดุลทางธรรมชาติหรือไม่
  • นักท่องเที่ยวกลับไปพร้อมหัวใจที่เบาลงไหม
  • และในระยะยาว พื้นที่แบบลิไข่ จะยังคงเป็น “บ้าน” ของคนลิไข่ได้จริงหรือไม่

การผลักดันกิจกรรม Likhai Nature Walk ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 และการเข้ามาหนุนอย่างชัดเจนของ อบจ.เชียงราย ททท.เชียงราย เทศบาลตำบลนางแล ภาคธุรกิจท้องถิ่น และชุมชน จึงสะท้อนว่าการท่องเที่ยวไม่ใช่อุตสาหกรรมที่ต้องแลกธรรมชาติกับเงินอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เสมอไป หากแต่สามารถเป็น “ระบบนิเวศของการอยู่ร่วมกัน” ที่ทุกฝ่ายมองเห็นคุณค่าของกันและกัน

และเมื่อคำขวัญ “เที่ยวได้ทุกสไตล์ เที่ยวเชียงรายได้ทั้งปี มีดีทุกอำเภอ” ถูกนำลงสู่พื้นที่จริงผ่านกิจกรรมที่จับต้องได้แบบนี้ เชียงรายก็กำลังส่งสัญญาณชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ ว่า เมืองท่องเที่ยวที่ดีในศตวรรษนี้ ต้องเป็นเมืองที่คนอยู่ได้ดีเช่นกัน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • YEC Chiang Rai – กลุ่มนักธุรกิจรุ่นใหม่ เชียงราย
  • อบจ.เชียงราย
  • สำนักงานการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานเชียงราย
  • ตำบลนางแล
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

ยกระดับ! จุลกฐินไทลื้อ “ผ้าทันใจ” มหากุศลรวมใจชุมชน สู่ยุทธศาสตร์ท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมเชียงราย

จุลกฐินโบราณคืนชีพ อบจ.เชียงราย-ชุมชนผนึกกำลัง เปลี่ยนประเพณีเป็นทุน สร้างรายได้ยั่งยืน

เชียงราย, 25 ตุลาคม 2568 — แสงไฟยามค่ำเริ่มทอดเงาบนลำน้ำโขง เงาคนงาน ผู้เฒ่า แม่เครือทอผ้า และเยาวชนในชุดไทลื้อสีครามเข้มกำลังขยับมือ ทำงานแข่งกับเวลา ในศาลาวัดบ้านหาดบ้าย ตำบลริมโขง อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย ไม่มีใครพูดถึงคำว่า “การจัดงาน” ทุกคนพูดถึงคำเดียวคือ “บุญ”

นี่คือบรรยากาศของ “งานทอสายบุญ จุลกฐิน ถิ่นไทลื้อโบราณ” ประเพณีบุญที่กำลังได้รับการฟื้นคืนให้มีชีวิตอย่างจริงจังจากการร่วมมือของชุมชนไทลื้อบ้านหาดบ้าย องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย) และองค์การบริหารส่วนตำบลริมโขง (อบต.ริมโขง) พร้อมการสนับสนุนของอำเภอเชียงของ ในช่วงวันที่ 25–26 ตุลาคม 2568

พิธีเปิดจัดขึ้น ณ วัดบ้านหาดบ้าย โดยมีนายอุดม ปกป้องบวรกุล นายอำเภอเชียงของ เป็นประธานในพิธีเปิดงาน ขณะที่ อบจ.เชียงรายซึ่งนำโดย นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย มอบหมายให้ นายญาณาฤทธิ์ หนสมสุข รองปลัด อบจ.เชียงราย พร้อมด้วยนายวสุพล จตุรคเชนทร์เดชา รองประธานสภา อบจ.เชียงราย รวมถึงหัวหน้าส่วนราชการ เข้าร่วมในนามตัวแทนของจังหวัด เพื่อยืนยันว่า เรื่องนี้ ไม่ใช่เพียงงานประเพณี หากแต่เป็นวาระเชิงยุทธศาสตร์ของจังหวัดเชียงราย

จุลกฐิน” มหากุศลแห่งการรวมใจ

แก่นกลางของงานนี้ คือ “จุลกฐิน” หรือที่ชาวไทลื้อบ้านหาดบ้ายเรียกว่า “ผ้าทันใจ” ซึ่งเป็นพิธีบุญโบราณที่สืบทอดกันมายาวนานในชุมชนไทลื้อทางล้านนา จุลกฐินถือเป็นงานบุญพิเศษที่ไม่ใช่การทอดกฐินแบบทั่วไป หากแต่เป็นการ “ทอผ้า เพื่อถวายผ้าไตรแด่พระภิกษุภายในเวลาจำกัด” คือ ต้องเก็บฝ้าย ฟั่นเส้น กรอ ปั่น ทอ เย็บ ตัด จนกลายเป็นผ้าไตรจีวร ถวายพระเสร็จสิ้นภายในหนึ่งวาระบุญต่อเนื่อง โดยปกติทำกันภายในช่วงเวลาประมาณ 24 ชั่วโมง

ในทางปฏิบัติ นั่นหมายถึง “ทั้งหมู่บ้านต้องตื่นพร้อมกัน”

นายอุดม ปกป้องบวรกุล นายอำเภอเชียงของ กล่าวในพิธีเปิดว่า งานจุลกฐินไม่ใช่เพียงพิธีทางศาสนาหรือการอนุรักษ์วัฒนธรรม แต่เป็น “มหากุศลที่หาชมได้ยากยิ่ง” และยิ่งไปกว่านั้น ความหมายแท้จริงของงาน ไม่ได้อยู่แค่ผืนผ้าที่จะถวายพระ แต่อยู่ที่ “พลังรวมใจของคนทั้งชุมชน”

“ประเพณีนี้ ไม่สามารถสำเร็จลงได้ด้วยคนเพียงกลุ่มเดียว ต้องอาศัยการรวมแรงของทั้งชุมชน ทำทุกขั้นตอนให้เสร็จภายในเวลาที่จำกัด” นายอุดมกล่าวระหว่างเปิดงาน พร้อมย้ำว่า ความพร้อมเพรียงของคนในพื้นที่บ้านหาดบ้ายและบ้านหาดทรายทอง ต.ริมโขง ไม่เพียงเป็นสิ่งน่าประทับใจในมิติของศรัทธา แต่กำลังขยายบทบาทไปสู่ “การบูรณาการและต่อยอดมรดกอันล้ำค่านี้ ให้กลายเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม”

การทอผ้าจุลกฐินตามคติความเชื่อดั้งเดิมของไทลื้อ ไม่ใช่แค่การทำผ้า แต่เป็นการ “ร่วมทำบุญใหญ่” ที่มีคุณค่าทางศาสนาใกล้เคียงกับการบวชของชายหนุ่ม ตามความเชื่อดั้งเดิมของชาวล้านนาและกลุ่มชาติพันธุ์ไทลื้อ เนื่องจากสตรีไม่มีโอกาสบวชในเชิงพุทธศาสนาอย่างผู้ชาย การทอผ้ากฐินภายในกำหนดเวลาศักดิ์สิทธิ์ จึงเป็นพื้นที่บุญสำคัญของผู้หญิงในชุมชน

ดังนั้น ในคืนก่อนวันถวายผ้า “ผู้หญิงไทลื้อจำนวนมากในชุมชนจะชำระร่างกาย ทำความสะอาดทุกส่วน รักษาศีล ตั้งจิตให้สงบ” ก่อนเริ่มภารกิจที่กินเวลาข้ามคืนตั้งแต่ช่วงเที่ยงคืนจนถึงค่ำของวันเดียวกัน — ไม่ใช่เพื่อความสวยงามของผืนผ้าเท่านั้น แต่เพื่อความบริสุทธิ์ของการทำบุญ

นี่คืออัตลักษณ์วัฒนธรรมที่ยืนยันเรื่องสำคัญอย่างหนึ่งว่า ผู้หญิงในชุมชน ไม่ได้อยู่ในบทบาท “สนับสนุน” หากแต่เป็น “หัวใจของพิธีกรรม”

ประเพณีเก่าที่ไม่ยอมเก่า ความทรงจำของชุมชนไทลื้อบ้านหาดบ้าย

บ้านหาดบ้าย เป็นชุมชนไทลื้อที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำโขง ในเขตตำบลริมโขง อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย พื้นที่แห่งนี้เป็นหนึ่งในด่านสำคัญของวัฒนธรรมไทลื้อที่โยกย้ายตั้งถิ่นฐานลงมาจากตอนบนของลุ่มน้ำโขงในอดีต พร้อมขนเอาวิถีชีวิต ภาษา การแต่งกาย การกิน และภูมิปัญญาการทอผ้าลงมาด้วย

ปราชญ์ท้องถิ่นของชุมชนเล่าว่า “จุลกฐิน” หรือที่เรียกกันติดปากในหมู่บ้านว่า “ทอผ้าทันใจ” มีมาตั้งแต่จำความได้ แม้ว่าในอดีตจะไม่ได้จัดทุกปีเสมอไป บางช่วงเว้นห่างทุก 3 ปี และในระยะก่อนหน้า พิธีมักจัดกันในลักษณะชุมชนเล็ก ๆ บนพื้นที่กลางหมู่บ้าน โดยมีครอบครัวและกลุ่มแม่หญิงในแต่ละกลุ่มมารวมตัวกัน ทำงานเงียบ ๆ แต่ตั้งใจมาก

รูปแบบในอดีตนั้นเรียบง่าย ไม่มีเวที ไม่มีไฟส่อง ไม่มีป้ายประชาสัมพันธ์ การทำบุญเป็นกิจกรรมภายในหมู่บ้าน คนเฒ่าคนแก่สอนคนรุ่นลูก คนรุ่นลูกสอนคนรุ่นหลาน ต่อเนื่องกันไป นี่จึงเป็นทั้ง “พิธีกรรมทางศาสนา” “กระบวนการถ่ายทอดองค์ความรู้” และ “กิจกรรมสร้างความสมัครสมาน” ในคราวเดียวกัน

แตกต่างจากหลายพื้นที่ในล้านนาที่ประเพณีจุลกฐินเริ่มเลือนหายไป บ้านหาดบ้ายกลับรักษาไว้ได้อย่างเหนียวแน่น และในรอบ 3 ปีหลัง ประเพณีนี้ได้รับการสนับสนุนในระดับนโยบายท้องถิ่นที่ชัดเจนขึ้น ผ่านการผลักดันของ อบต.ริมโขง และ อบจ.เชียงราย จนเปลี่ยนจากงานบุญท้องถิ่น ไปเป็น “เวทีวัฒนธรรมสาธารณะ” ในความหมายที่ยังเคารพรากเดิม

กล่าวได้ว่า บ้านหาดบ้ายไม่ได้เพียงรักษาประเพณีเก่าเอาไว้ แต่กำลัง “ใช้ประเพณีเป็นทุนทางสังคมและเศรษฐกิจ” อย่างเป็นรูปธรรม

วัฒนธรรมไม่ใช่ของโชว์ แต่คือเครื่องมือพัฒนาชุมชน

นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย ได้มอบหมายให้คณะผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ อบจ.ลงพื้นที่ร่วมเปิดงาน พร้อมสนับสนุนการจัดกิจกรรมในปีนี้อย่างต่อเนื่อง โดย อบจ.เชียงรายอธิบายกรอบการขับเคลื่อนงานไว้ภายใต้นโยบาย “เที่ยวได้ทุกสไตล์ เที่ยวเชียงรายได้ทั้งปี มีดีทุกอำเภอ” ซึ่งเป็นหนึ่งในกรอบยุทธศาสตร์ที่ตั้งใจจะกระจายการท่องเที่ยวจากจุดหลักที่คนทั่วไปคุ้นเคย (ตัวเมืองเชียงราย, ดอยแม่สลอง, วัดร่องขุ่น) ไปสู่ชุมชนชายแดนและชุมชนวัฒนธรรมชาติพันธุ์

เป้าหมายไม่ใช่เพียงการเพิ่มนักท่องเที่ยว แต่เป็นการทำให้ “การท่องเที่ยวโดยชุมชน” กลายเป็นเศรษฐกิจฐานรากที่ชาวบ้านมีส่วนร่วมจริง ไม่ใช่การนำวัฒนธรรมไปจัดแสดงแบบแยกออกจากเจ้าของวัฒนธรรม

ในรายละเอียด การสนับสนุนโครงการ “ทอสายบุญ จุลกฐิน ถิ่นไทลื้อโบราณ” มีวัตถุประสงค์หลัก 3 ประการที่ อบจ.เชียงรายและ อบต.ริมโขงระบุชัด ได้แก่

  1. ส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและวิถีชีวิตพื้นบ้าน
    ไม่ใช่การสร้างแหล่งท่องเที่ยวจำลอง แต่ชวนให้ผู้มาเยือนได้เห็น “วิถีจริง” ของชุมชน ไม่ว่าจะเป็นอาหารพื้นถิ่น การแต่งกายไทลื้อ การทอผ้า การล่องเรือชมโขง หรือการใช้ชีวิตริมชายแดนไทย-ลาว
  2. สร้างงาน สร้างอาชีพ กระจายรายได้สู่ประชาชนในท้องที่
    งานจุลกฐินนำโอกาสทางเศรษฐกิจมาสู่คนในหมู่บ้านอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งการจำหน่ายผ้าทอไทลื้อของชุมชนหาดบ้าย การจำหน่ายอาหารพื้นบ้าน ผลิตภัณฑ์พื้นถิ่น และงานหัตถกรรมของกลุ่มแม่บ้านและกลุ่มเยาวชน
    เป้าหมายชัดเจน ให้การท่องเที่ยวเป็น “รายได้จริง” ไม่ใช่ “ภาพจำ” ว่าจังหวัดสวย
  3. สร้างความภาคภูมิใจและความร่วมมือในชุมชน
    การทำบุญร่วมกัน การทำงานร่วมกันแบบข้ามช่วงวัย การได้เห็นว่าทักษะฝีมือ (เช่นการทอผ้า) ถูกยอมรับในฐานะทุนของหมู่บ้าน ล้วนเป็นกลไกสร้างขวัญกำลังใจให้คนในพื้นที่เชื่อมั่นว่า “คุณค่าของเรา มีคนเห็น และมีคนพร้อมสนับสนุน”

นายอุดม ปกป้องบวรกุล นายอำเภอเชียงของ กล่าวในพิธีเปิดว่า งานครั้งนี้เป็นภาพสะท้อน “พลังของพี่น้องท้องถิ่นรวมใจ” ที่สอดคล้องอย่างยิ่งกับแนวนโยบายของภาครัฐที่ผลักดันเศรษฐกิจฐานรากและการท่องเที่ยวโดยชุมชน โดยย้ำว่า “พลังแห่งศรัทธาและความสามัคคี ไม่ได้หยุดอยู่เพียงในขอบเขตของประเพณี แต่กำลังถูกต่อยอดเป็นรูปธรรมไปสู่การสร้างรายได้ให้ท้องถิ่นอย่างยั่งยืน”

เชียงของ ไม่ใช่แค่เมืองชายแดน แต่คือพื้นที่ยุทธศาสตร์ทางวัฒนธรรมและเศรษฐกิจ

อำเภอเชียงของตั้งอยู่ริมแม่น้ำโขง ติดชายแดน สปป.ลาว เป็นจุดที่แม่น้ำโขงไหลเข้าสู่ประเทศไทยตอนเหนือ พร้อมบทบาทด้านเศรษฐกิจเชื่อมการค้าไทย–ลาว–จีน และเส้นทางสัญจรของผู้เดินทางระหว่างอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง

เชียงของเคยถูกมองว่าเป็น “เมืองทางผ่าน” สำหรับนักเดินทางไป–กลับประเทศเพื่อนบ้าน แต่ในปัจจุบันกำลังถูกออกแบบใหม่ให้เป็นจุดหมายในตัวเอง ผ่านการยกระดับสินค้าการท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ เช่น

  • การท่องเที่ยวแม่น้ำโขงทั้งทางเรือและทางจุดชมวิว
  • การท่องเที่ยววิถีชาติพันธุ์
  • การเดินถนนคนเดินชุมชน
  • การท่องเที่ยวสืบสานงานบุญและประเพณีท้องถิ่น

พื้นที่ตำบลริมโขงมีชนเผ่าและกลุ่มชาติพันธุ์อาศัยอยู่ร่วมกันหลายกลุ่ม ทั้งชาวไทลื้อ ไทยลาว ม้ง อาข่า ขมุ และคนพื้นเมืองล้านนา แต่ละกลุ่มมีทั้งภาษา อาหาร การแต่งกาย และขนบธรรมเนียมที่ต่างกัน งานจุลกฐินจึงไม่ใช่แค่พิธีทางพุทธศาสนา แต่ยังทำหน้าที่เป็น “เวทีแสดงตัวตน” ของคนในพื้นที่ชายแดน โดยเปิดให้คนนอกได้เข้ามาเรียนรู้ด้วยความเคารพ

ในมิติพื้นที่ การจัดกิจกรรมเชิงวัฒนธรรมในชุมชนหาดบ้าย–หาดทรายทองยังสอดคล้องกับยุทธศาสตร์จังหวัดเชียงราย (พ.ศ. 2566–2570) และยุทธศาสตร์ของ อบจ.เชียงราย ที่มุ่ง “สร้างมูลค่าเพิ่มด้านการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์โดยดำรงฐานวัฒนธรรมล้านนา” รวมถึงแนวนโยบายด้านการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมในระดับชาติที่เน้นให้ชุมชนท้องถิ่นบริหารจัดการทุนทางวัฒนธรรมของตนเอง เพื่อสร้างเศรษฐกิจที่ยืนได้ด้วยกำลังของชุมชน

กล่าวในเชิงกฎหมายและนโยบายท้องถิ่น การดำเนินโครงการดังกล่าวยังเชื่อมโยงกับอำนาจหน้าที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ตามพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. 2540 และฉบับแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2552 ตลอดจนกรอบอำนาจตามพระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2542 ที่มอบหมายให้ท้องถิ่น “พัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมของพื้นที่” รวมถึง “คุ้มครอง ดูแล และบำรุงรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม” และ “บำรุงและส่งเสริมการประกอบอาชีพของราษฎร”

กล่าวอีกแบบ นี่ไม่ใช่งานเชิงสัญลักษณ์ แต่เป็นการใช้เครื่องมือทางกฎหมายและอำนาจของท้องถิ่นเพื่อพัฒนาชุมชนอย่างตรงเป้า

จุลกฐิน ไม่ใช่แค่การสืบสาน แต่คือการต่อยอดอนาคต

ในเวทีเปิดงาน นายอุดม ปกป้องบวรกุล กล่าวถึงความหมายของโครงการครั้งนี้ว่า “ขอเชิญทุกท่านอิ่มบุญไปกับมหากุศลจุลกฐิน และอิ่มใจไปกับไมตรีจิตและวิถีวัฒนธรรมอันงดงามของชาวเชียงของ” พร้อมกล่าวขอบคุณหัวหน้าส่วนราชการ นายกองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และพี่น้องประชาชนที่ร่วมมือกันสนับสนุนการจัดงาน โดยย้ำว่า “สิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้คือพลังของพี่น้องท้องถิ่นรวมใจ ที่ไม่เพียงอนุรักษ์วัฒนธรรม แต่กำลังสร้างเศรษฐกิจฐานรากให้มั่นคง”

สาระสำคัญนี้สะท้อนเป้าหมายที่ชัดเจนของงาน “ทอสายบุญ จุลกฐิน ถิ่นไทลื้อโบราณ” นั่นคือ

  • สร้างพื้นที่บุญของชุมชน ผ่านการทอผ้าจุลกฐินหรือ “ผ้าทันใจ” ซึ่งตามคติของชุมชนถือเป็นบุญใหญ่ และเป็นพื้นที่แสดงบทบาทนำของสตรีไทลื้อ
  • สร้างความสามัคคีในหมู่คนทุกเพศ ทุกวัย ในชุมชนหาดบ้ายและหาดทรายทอง ผ่านกระบวนการลงแรงร่วมกัน
  • ยืนยันอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ของกลุ่มไทลื้อ และทำให้คนภายนอกเข้าใจวัฒนธรรมด้วยสายตาที่ “เห็นคุณค่า” ไม่ใช่ “มองเป็นของแปลกตา”
  • ปูรากฐานชุมชนให้กลายเป็นจุดหมายการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมที่ยั่งยืนในอนาคต สร้างอาชีพ สร้างรายได้ เสริมศักดิ์ศรีความเป็นเจ้าของพื้นที่

ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นท่ามกลางบริบทใหม่ของเศรษฐกิจไทย ที่กำลังมุ่งพึ่งพาการท่องเที่ยวเชิงคุณค่า ไม่ใช่เพียงเชิงปริมาณ และกำลังส่งเสริมบทบาทของเศรษฐกิจสร้างสรรค์บนฐานทุนทางวัฒนธรรม เพื่อพยุงรายได้ของประชาชนในยุคที่สภาพเศรษฐกิจฐานรากเผชิญความผันผวน

บุญที่ไม่ใช่แค่ศรัทธา แต่คือการพัฒนาที่ยืนบนเท้าของคนในพื้นที่

สิ่งที่เกิดขึ้นที่บ้านหาดบ้าย ตำบลริมโขง อำเภอเชียงของ ในค่ำคืนวันที่ 25 ตุลาคม 2568 จึงไม่ใช่แค่การฟื้นฟูประเพณีโบราณ แต่คือแบบจำลองของการพัฒนาเชิงวัฒนธรรมที่มีเจ้าของคือชุมชนเอง

ในภาพกว้าง นี่คือการเชื่อมต่อ “ศรัทธา–อัตลักษณ์–เศรษฐกิจ–การท่องเที่ยว” เข้าด้วยกันอย่างเป็นระบบ โดยมีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทุกระดับเข้ามาเป็นตัวขับเคลื่อนอย่างมีกลไกรองรับในเชิงนโยบาย ตั้งแต่ อบต.ริมโขง ที่ดูแลพื้นที่อย่างใกล้ชิด จนถึง อบจ.เชียงราย ที่มองภาพรวมทั้งจังหวัดผ่านยุทธศาสตร์ “เที่ยวเชียงรายได้ทั้งปี มีดีทุกอำเภอ” และฝ่ายปกครองอำเภอเชียงของที่ยืนยันบทบาทความร่วมมือของหน่วยงานรัฐท้องถิ่นและประชาชน

ท่ามกลางโลกที่การพัฒนามักถูกวัดด้วยตัวเลขทางเศรษฐกิจอย่างผลิตภัณฑ์มวลรวมจังหวัด หรือจำนวนนักท่องเที่ยวต่อปี “งานทอสายบุญ จุลกฐิน ถิ่นไทลื้อโบราณ” เสนอเกณฑ์วัดอีกแบบหนึ่ง — นั่นคือ ความสามารถของชุมชนในการยืนยันคุณค่าของตนเอง และเปลี่ยนคุณค่านั้นให้เป็นพลังขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจที่ไม่ทิ้งรากเหง้า

หรือพูดให้ชัดในภาษาของคนท้องถิ่น บุญครั้งนี้ ไม่ใช่แค่บุญของวัด แต่เป็นบุญของทั้งหมู่บ้าน

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • อบจ.เชียงราย
  • ภาพ กีรติ ชุติชัย
  • เขียนโดย กันณพงศ์ ก.บัวเกษร
  • เรียบเรียงโดย มนรัตน์ ก.บัวเกษร
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

“นายกนก” อบจ.เชียงราย คืนคุณภาพชีวิตให้ชาวแม่สรวยใน 24 ชั่วโมง

อบจ.เชียงรายลุยงานด่วน! “นายกนก” ลงพื้นที่แม่สรวย ตรวจสะพานชำรุด 2 แห่ง–เร่งซ่อมเชิงรุก พร้อมติดตั้งปั๊มน้ำใหม่ คืนน้ำสะอาดให้ 200 ครัวเรือนภายใน 24 ชั่วโมง

เชียงราย, 17 กันยายน 2568 — เช้าวันอังคารที่ 16 กันยายนที่ผ่านมา ในยามที่ชุมชนกำลังเผชิญ “วิกฤตคู่” ทั้งคอสะพานชำรุดและน้ำอุปโภคบริโภคขาดแคลน นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เชียงราย หรือ “นายกนก” นำคณะผู้บริหารลงพื้นที่อำเภอแม่สรวยแบบเร่งด่วน สำรวจสะพานที่เสียหาย 2 แห่ง พร้อมสั่งการหน่วยงานวิศวกรรมเข้าประเมินโครงสร้างและจัดแผนซ่อมทันที ขณะเดียวกันได้ติดตามการแก้ไขปัญหาปั๊มน้ำบาดาลชำรุดที่ บ้านสันกลาง หมู่ 13 ตำบลป่าแดด จนสามารถ คืนน้ำสะอาดให้ชาวบ้านกว่า 200 ครัวเรือนได้ภายใน 24 ชั่วโมง สะท้อนท่าทีบริหารแบบ “ลงมือ–เห็นผล” และการบูรณาการเครื่องจักร–บุคลากรของ อบจ. สู่พื้นที่จริง

ภาพรวมสถานการณ์ โครงสร้างพื้นฐานเสียหาย–น้ำขาดแคลน กระทบวิถีชีวิตประจำวัน

อำเภอแม่สรวยเป็นพื้นที่เชื่อมต่อหมู่บ้าน–ตำบลหลายแห่ง สะพานท้องถิ่นทำหน้าที่เป็นเส้นเลือดฝอยของเศรษฐกิจฐานราก ทั้งการเดินทางของประชาชน การขนส่งสินค้าอุปโภคบริโภค และบริการภาครัฐ เมื่อ คอสะพานคอนกรีตเสริมเหล็ก 2 แห่งเกิดความเสียหายจน ต้องงดสัญจรชั่วคราว ผลกระทบเกิดขึ้นทันที ทั้งเส้นทางอ้อมที่ยาวขึ้น ต้นทุนขนส่งเพิ่ม และความเสี่ยงด้านความปลอดภัยของผู้ใช้ทาง หากไม่มีมาตรการป้องกันที่เหมาะสม

ในเวลาไล่เลี่ยกัน ชุมชน บ้านสันกลาง หมู่ 13 ตำบลป่าแดด เผชิญปัญหาปั๊มน้ำบาดาล (ชนิดซับเมอร์ส) ชำรุด ทำให้ ขาดน้ำอุปโภคบริโภคนานกว่า 5 วัน ส่งผลต่อสุขอนามัย การทำอาหาร และการใช้ชีวิตพื้นฐานของประชาชนกว่า 200 ครัวเรือน สถานการณ์ดังกล่าวจึงต้องอาศัยมาตรการฉุกเฉินที่ เร็ว–ตรงจุด–ตรวจสอบได้ เพื่อคุ้มครองคุณภาพชีวิตอย่างทันท่วงที

สำรวจ–สั่งการ–ลงมือ”  แผนปฏิบัติการเฉพาะหน้าเพื่อความปลอดภัยของประชาชน

จุดเสี่ยงที่หนึ่ง คอสะพานเชื่อม หมู่ 6 เทศบาลตำบลเจดีย์หลวง–เขต อบต.เจดีย์หลวง

  • สะพานเป็นเส้นทางหลักสัญจรระหว่างชุมชน–หน่วยบริการภาครัฐ
  • คอสะพานเกิดความเสียหายจนเสี่ยงต่อการทรุดตัว จึง ประกาศงดการสัญจรชั่วคราว และติดตั้งสัญลักษณ์เตือนภัย
  • สำนักช่าง อบจ.เชียงราย ได้รับมอบหมายให้ประเมินโครงสร้างอย่างละเอียด (ตรวจรอยร้าว ระดับตอม่อ สภาพคานคอดิน) และจัดทำ แบบ–แผนซ่อมเร่งด่วน ตามมาตรฐานงานทาง

จุดเสี่ยงที่สอง คอสะพาน หมู่ 7 บ้านดอนสลี เชื่อม ตำบลป่าแดด–ตำบลศรีถ้อย

  • เส้นทางเชื่อมตำบล 2 ฝั่ง ใช้รับ–ส่งนักเรียนและขนส่งผลผลิตชุมชน
  • ความเสียหายระดับคอสะพานและไหล่ทางจำเป็นต้อง ปิดการจราจรชั่วคราว ลดความเสี่ยงอุบัติเหตุ
  • สำนักช่าง อบจ. เดินหน้าสำรวจธรณี–ฐานราก คำนวณแรงน้ำและกัดเซาะเพื่อกำหนด วิธีซ่อมให้ทนฝน–ทนน้ำ ในฤดูกาลต่อไป

มาตรการเฉพาะหน้าในทั้งสองจุดประกอบด้วย

  1. การทำทางเบี่ยงชั่วคราว–ติดตั้งป้ายเตือนและไฟกระพริบ,
  2. ประสานตำรวจทางหลวง/เทศบาล/อบต.ดูแลจุดปิดกั้น,
  3. แจ้งเส้นทางสัญจรทางเลือกแก่ประชาชนผ่านเสียงตามสาย–สื่อท้องถิ่น–เพจจังหวัด,
  4. เร่งรัด กรอบงบซ่อมฉุกเฉิน ภายใต้ระเบียบว่าด้วยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยและงานทางท้องถิ่น เพื่อ ลดเวลาจัดซื้อจัดจ้าง โดยยังคงยึดความโปร่งใส

น้ำสะอาด “กลับมาคืนบ้าน”  ติดตั้งปั๊มใหม่–คืนแรงดันน้ำใน 24 ชั่วโมง

หลังรับแจ้งเหตุปั๊มน้ำบาดาลชำรุดที่ บ้านสันกลาง หมู่ 13 “นายกนก” มอบหมาย กองป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย อบจ.เชียงราย บูรณาการกับผู้นำชุมชนและช่างท้องถิ่น ทำงานต่อเนื่องตั้งแต่ตรวจอาการเครื่องจนถึง ติดตั้งปั๊มซับเมอร์สตัวใหม่ พร้อมเดินระบบไฟ–ทดสอบแรงดัน–ล้างตะกอนในท่อจ่าย

ผลลัพธ์คือ คืนน้ำประปาชุมชนได้ภายในคืนนี้ (นับจากวันลงพื้นที่) ช่วยยุติภาวะขาดน้ำที่ยืดเยื้อนานกว่า 5 วัน ลดความเสี่ยงโรคระบบทางเดินอาหารและปัญหาสุขอนามัย โดยทีมงานยังวางแผน บำรุงรักษาเชิงป้องกัน (PM) รายเดือน เช่น ตรวจกรองทราย–เช็กกระแสไฟ–บันทึกชั่วโมงการทำงาน เพื่อยืดอายุปั๊มและป้องกันเหตุซ้ำ

เมื่อสะพานและน้ำคือ “ต้นทุนชีวิต” ของชุมชน

สะพาน ไม่ใช่แค่โครงเหล็ก–คอนกรีต แต่เป็น “ต้นทุนโลจิสติกส์” ของครัวเรือนชนบท การปิดสะพานแม้ไม่กี่วัน ทำให้

  • ระยะทางอ้อมเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ ค่าขนส่งและค่าเดินทาง ของผู้ประกอบการรายย่อย–พ่อค้าแม่ค้าเพิ่มสูง
  • เวลาเข้าถึงบริการของรัฐ (โรงพยาบาล–โรงเรียน–ที่ว่าการ) ยืดเยื้อ กระทบผลผลิตและรายได้ประจำวัน
  • ความเสี่ยงด้านความปลอดภัย หากประชาชนฝืนใช้ทางชำรุด

น้ำสะอาด คือโครงสร้างพื้นฐานที่มองไม่เห็น แต่เมื่อตัดขาด ค่าใช้จ่ายครัวเรือน กลับพุ่ง (ต้องซื้อน้ำแพ็ก–เดินทางไปตักน้ำไกล), สุขภาพ เสี่ยงโรคระบบทางเดินอาหาร–ผิวหนัง, และ กิจกรรมเศรษฐกิจครัวเรือน ต้องหยุดชะงัก การแก้ปัญหาได้ภายใน 24 ชั่วโมง จึงเทียบเท่ากับการ ลดค่าใช้จ่าย–คืนเวลาทำกิน ให้ประชาชนอย่างมีนัยสำคัญ

ในมุมการเงินสาธารณะ การเลือกใช้ งบฉุกเฉิน–เครื่องจักรของ อบจ. และเครือข่ายท้องถิ่น เข้าซ่อมแซม/ติดตั้งรวดเร็ว ช่วยหลีกเลี่ยงต้นทุนแฝงจากความล่าช้า (ค่าเช่ารถบรรทุกน้ำ, ค่าเสียโอกาสของผู้ประกอบการ, ค่าเดินทางอ้อมของนักเรียนและผู้ป่วย) ซึ่งหากประเมินแบบอนุรักษ์นิยม การฟื้นบริการภายใน 1 วัน คุ้มค่า กว่าปล่อยให้ยืดเยื้อหลายวันอย่างแน่นอน

จาก “เหตุฉุกเฉิน” สู่ “มาตรฐานป้องกันซ้ำ”

เหตุการณ์ครั้งนี้ชี้ให้เห็นความสำคัญของ 3 ประเด็นเชิงระบบที่ อบจ.เชียงรายเริ่มขับเคลื่อนและควรยกระดับให้เป็น มาตรฐานถาวร

  1. ข้อมูลสินทรัพย์โครงสร้างพื้นฐานแบบดิจิทัล (Asset Registry)
    • จัดทำทะเบียนสะพาน–ถนน–ท่อส่งน้ำ พร้อมคะแนนสภาพ (Condition Index) และแผน PM รายปี
    • เมื่อเกิดเหตุ สามารถ เรียกดูประวัติการซ่อม–แบบโครงสร้าง–สเปกวัสดุ ได้ทันที ลดเวลาประเมินและจัดซื้อ
  2. งบสำรองฉุกเฉินที่คล่องตัว–โปร่งใส
    • ใช้กรอบระเบียบพ.ร.บ./กฎกระทรวงที่เปิดทางให้ซ่อมด่วนในภาวะสาธารณภัย แต่ต้อง เปิดเผยข้อมูลสาธารณะ เช่น วงเงิน–ผู้รับจ้าง–ระยะเวลาซ่อม–ผลการตรวจรับ เพื่อคงความเชื่อมั่น
  3. การมีส่วนร่วมของชุมชน–ท้องถิ่น
    • แต่งตั้ง “อาสาสะพาน–อาสาน้ำ” ระดับหมู่บ้าน แจ้งเตือนสภาพผิดปกติผ่านไลน์/ศูนย์ดำรงธรรม
    • จัดเวิร์กชอปการดูแลระบบสูบน้ำชุมชนขั้นพื้นฐาน เพื่อลดการชำรุดจากการใช้งานผิดวิธี

เสียงจากพื้นที่ การบริหารแบบ “อยู่หน้างาน”

แม้การลงพื้นที่ของ “นายกนก” จะเป็นภารกิจปกติของผู้บริหารท้องถิ่น แต่ จังหวะเวลา และ ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นภายใน 24 ชั่วโมง ทำให้เห็น 3 ความชัดเจน

  • เข้าถึงปัญหาได้เร็ว เมื่อลงพื้นที่เอง การตัดสินใจเรื่องปิด–เปิดเส้นทาง การตั้งทางเบี่ยง และการเร่งรัดสำรวจโครงสร้าง เกิดขึ้นทันที
  • ใช้ทรัพยากรในสังกัดเต็มประสิทธิภาพ สำนักช่าง–กองป้องกันฯ–ยานพาหนะหนักของ อบจ. ถูก “ลาก” ออกจากลานจอดไปอยู่หน้างาน โดยไม่ต้องรอคำสั่งซับซ้อน
  • วัดผลจากชีวิตคนจริง นิยาม “สำเร็จ” ไม่ใช่จำนวนหนังสือราชการ แต่คือ น้ำประปาไหล–สะพานกลับมาใช้งานได้อย่างปลอดภัย และชาวบ้านเดินทาง–ทำกินได้ตามปกติ

ไทม์ไลน์ซ่อมสะพาน–แผนดูแลระบบน้ำชุมชน

สะพานทั้งสองแห่ง

  • สัปดาห์ที่ 1–2 แล้วเสร็จการสำรวจโครงสร้างและคำนวณแบบซ่อม (คอสะพาน–คันทาง–ระบบระบายน้ำ)
  • สัปดาห์ที่ 3 เปิดเผยแบบ–กรอบวงเงิน–แผนงานให้ชุมชนรับรู้ พร้อมตั้งจุดร้องเรียน/เสนอแนะ
  • เดือนที่ 1–2 ดำเนินการซ่อมภายใต้กรอบมาตรฐานทางท้องถิ่น เน้นความปลอดภัย–รองรับน้ำหลาก
  • ระยะยาว บรรจุในแผน PM หลังซ่อม พร้อมติดตั้งป้ายจำกัดน้ำหนัก/ความเร็ว ลดความเสี่ยงการชำรุดซ้ำ

ระบบน้ำชุมชนบ้านสันกลาง

  • บันทึกข้อมูล ปั๊มใหม่–แรงดัน–ชั่วโมงการทำงาน ลงทะเบียนสินทรัพย์ของ อบจ./เทศบาล
  • จัดทำ คู่มือดูแลประจำเดือน และมอบหมาย “เวรอาสาน้ำ” หมุนเวียน
  • ประเมินความต้องการ สำรองปั๊ม/อะไหล่เร่งด่วน และงบฝึกอบรมช่างชุมชน เพื่อซ่อมเบื้องต้นได้เอง

เชื่อมโยงภาพใหญ่ของจังหวัด “เครื่องจักร–คน–ข้อมูล” ต้องเดินไปด้วยกัน

ภารกิจที่แม่สรวยครั้งนี้สอดคล้องกับแนวทางใหญ่ที่จังหวัดเชียงรายขับเคลื่อนตลอดปี 2568—2569 คือการ ยกระดับการรับมือสาธารณภัยและซ่อมแซมโครงสร้างพื้นฐาน ให้เร็วขึ้น–ดีขึ้น–ถูกลง โดยใช้ 3 คานงัด

  1. เครื่องจักรพร้อมรบ รถขุด–รถเครน–รถบรรทุกน้ำของ อบจ./ท้องถิ่น ต้องพร้อมใช้งานและเคลื่อนย้ายข้ามอำเภอได้
  2. คนพร้อมงาน วิศวกรชำนาญงานและทีมช่างประจำ พร้อมกำลังเสริมจากเครือข่ายช่างชุมชน
  3. ข้อมูลพร้อมตัดสินใจ ฐานข้อมูลจุดเสี่ยง–แบบโครงสร้าง–ทะเบียนระบบน้ำ และช่องทางสื่อสารแบบสองทางกับประชาชน

เมื่อทั้งสามส่วนขยับพร้อมกัน จะเกิด ความต่อเนื่องของบริการสาธารณะ แม้ในยามวิกฤต ลด “เวลานิ่ง” ที่มักสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจและความรู้สึกไม่มั่นคงของประชาชน

คืนคุณภาพชีวิตวันนี้ เพื่อภูมิคุ้มกันของวันพรุ่งนี้

ภายใต้ข้อจำกัดเรื่องงบประมาณและภูมิประเทศที่ท้าทาย “แม่สรวยโมเดล” ที่เกิดขึ้นในสัปดาห์นี้จากการ ปิดจุดเสี่ยงสะพาน–เร่งสำรวจซ่อม–ติดตั้งปั๊มใหม่คืนน้ำใน 24 ชั่วโมง  แสดงให้เห็นว่างานท้องถิ่นที่ เร็ว–โปร่งใส–จับต้องได้ คือความเชื่อมั่นที่ชาวบ้านต้องการมากที่สุด

สำหรับ อบจ.เชียงราย ความสำเร็จไม่ได้จบที่การเบิกจ่ายหรือภาพลงพื้นที่ หากแต่จะวัดผลจาก “ชีวิตคน” ที่กลับมาเดินหน้าต่อได้อย่างปลอดภัย และมีระบบป้องกันไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย การทำงานที่ยึดประชาชนเป็นศูนย์กลางเช่นนี้ คือคำตอบของการบริหารท้องถิ่นยุคใหม่ที่ต้อง บรรเทาทุกข์วันนี้ พร้อมกับ สร้างภูมิคุ้มกันวันพรุ่งนี้ ไปพร้อมกัน

สรุปข้อมูล

  • พื้นที่ปฏิบัติการ อำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย
  • จุดโครงสร้างพื้นฐานเสี่ยง คอสะพานชำรุด 2 แห่ง
    1. เชื่อม หมู่ 6 เทศบาลตำบลเจดีย์หลวง–เขต อบต.เจดีย์หลวง
    2. หมู่ 7 บ้านดอนสลี เชื่อม ตำบลป่าแดด–ตำบลศรีถ้อย
  • มาตรการทันที งดสัญจรชั่วคราว, จัด ทางเบี่ยง–ป้ายเตือน, สำนักช่าง อบจ. สำรวจ–จัดทำแบบซ่อมเร่งด่วน
  • วิกฤตน้ำชุมชน บ้านสันกลาง หมู่ 13 ต.ป่าแดด ปั๊มน้ำบาดาลชำรุด ชาวบ้านได้รับผลกระทบ กว่า 200 ครัวเรือน > 5 วัน
  • ผลการแก้ไข ติดตั้งปั๊มซับเมอร์สใหม่, ทดสอบระบบ และ คืนน้ำภายใน 24 ชั่วโมง
  • หน่วยงานภาคสนาม สำนักช่าง อบจ.เชียงราย, กองป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย อบจ.เชียงราย, ผู้นำท้องที่–ท้องถิ่น

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย

  • ที่ทำการปกครองอำเภอแม่สรวย

  • ผู้นำท้องที่ท้องถิ่นและชาวบ้านในพื้นที่

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

“กองร้อยน้ำส้ม” เชียงของ สตรีอาสาผนึกกำลังสู่ชุมชนเข้มแข็งและสันติสุข

อบจ.เชียงราย–มทบ.37 ผนึกกำลัง “กองร้อยน้ำส้ม อ.เชียงของ” ปลุกพลังผู้นำสตรีจากฐานราก สร้างชุมชนเข้มแข็ง–สันติสุข–ยั่งยืน

เชียงราย, 6 กันยายน 2568เวลา 09.00 น. ค่ายเม็งรายมหาราช บริเวณหน่วยฝึกนักศึกษาวิชาทหาร มณฑลทหารบกที่ 37 (มทบ.37) อำเภอเมืองเชียงราย เสียงต้อนรับและรอยยิ้มของสตรีกว่า 100 คนจากอำเภอเชียงของดังขึ้นพร้อมกัน เมื่อพิธีเปิด “โครงการพัฒนาศักยภาพบทบาทสตรีและครอบครัวจังหวัดเชียงราย: กิจกรรมส่งเสริมพลังสตรีจิตอาสา ก่อเกิดชุมชนที่เข้มแข็ง สร้างสันติสุขสู่สังคม” เริ่มต้นอย่างเป็นทางการ โดยมี นางทรงศรี คมขำ รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เชียงราย เป็นประธานเปิดงาน แทน นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย ซึ่งได้มอบหมายภารกิจและกำชับเป้าหมายของโครงการไว้อย่างชัดเจน

ตลอดสองวันของการอบรมระหว่าง 6–7 กันยายน 2568 ผู้เข้าร่วม—ซึ่งส่วนใหญ่เป็นแกนนำสตรี ชมรมสตรีแม่บ้าน และตัวแทนชุมชนจากตำบลต่าง ๆ ของอำเภอชายแดน—จะได้เรียนรู้ แลกเปลี่ยน และสร้างเครือข่ายทำงานเชิงอาสาสมัคร โดยมีทีมบุคลากรจากกองสวัสดิการสังคม อบจ.เชียงราย นำโดย นางสาวนิโลบล ชาติเงิน ผู้อำนวยการกองสวัสดิการสังคม ร่วมกับภาคีจาก มทบ.37 และหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ออกแบบกิจกรรมให้เหมาะกับบริบทพื้นที่และโจทย์จริงที่สตรีเผชิญอยู่ในชีวิตประจำวัน

กองร้อยน้ำส้ม” คำเปรียบเทียบที่เปลี่ยนเป็นพลังจริง

จากความสดชื่น–มีชีวิตชีวา สู่ระเบียบวินัย–ความเข้มแข็งของการทำงานเป็นทีม

ผู้จัดเรียกกลุ่มสตรีเชียงของชุดนี้ด้วยนามเรียกที่น่ารักและจำง่าย—กองร้อยน้ำส้ม” คำเปรียบเปรยที่มีสองมิติในตัวเอง หนึ่งคือ “พลังความสดชื่น” ของสตรีที่เติมความหวังให้ครอบครัวและชุมชนเสมอ สองคือ “ระเบียบวินัยและความเข้มแข็ง” แบบกองร้อยที่สอดประสานกันเพื่อพิชิตเป้าหมายร่วม เมื่อความหมายทั้งสองมาบรรจบ โครงการจึงไม่ได้เกิดมาเพื่อ “ให้ความรู้แล้วจบ” แต่ตั้งใจ “สร้างแกนกลางผู้นำสตรี” ที่มีทั้งหัวใจอาสาและวินัยของการทำงานสาธารณะ

ในช่วงบ่ายของวันเดียวกัน นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย พร้อมสมาชิกสภา อบจ. ได้เดินทางไปยังพื้นที่อำเภอเชียงของเพื่อ มอบเกียรติบัตร ให้ผู้เข้าร่วม และกล่าวให้กำลังใจด้วยสารสำคัญที่สะท้อนวิสัยทัศน์เชิงโครงสร้างของการพัฒนาสตรีในจังหวัดอย่างชัดถ้อยชัดคำ ว่า

การเสริมสร้างศักยภาพของสตรี มิใช่เพียงการยกระดับคุณภาพชีวิตของสตรีเท่านั้น หากยังเป็นกลไกสำคัญในการพัฒนาสังคมโดยรวม เพราะสตรีมีบทบาทเชื่อมโยงทั้งในฐานะผู้ดูแลครอบครัว ผู้ประกอบอาชีพ และผู้มีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนชุมชนและท้องถิ่น… เมื่อสตรีมีโอกาสเรียนรู้และพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง ความรู้ ทักษะ และประสบการณ์เหล่านั้นจะย้อนกลับไปสร้างครอบครัวเข้มแข็ง ชุมชนก้าวหน้า และสังคมที่ยั่งยืน”

สารดังกล่าวคือ “นัทกราฟ” (แก่นเรื่อง) ของโครงการนี้—การยืนยันว่าการลงทุนกับสตรีคือการลงทุนกับสังคมทั้งระบบ

ทำไมต้องเริ่มที่ชายแดน โจทย์จริง–พื้นที่จริง–ผู้เล่นจริง

อำเภอเชียงของเป็นพื้นที่ชุมชนชายแดนที่ต้องรับมือกับโจทย์หลากหลาย ทั้งเศรษฐกิจฐานรากที่ผูกกับเกษตร–บริการ การเปลี่ยนแปลงทางสังคมของครอบครัวขยายสู่ครอบครัวเดี่ยว การย้ายถิ่นเพื่อทำงาน รวมถึงต้นทุนการเข้าถึงบริการภาครัฐในบางโซนชนบทห่างไกล เมื่อมองผ่านเลนส์ “เพศภาวะ” ปัญหาเหล่านี้สะเทือนต่อ สตรีและเด็ก ก่อนเสมอ—ทั้งในฐานะแกนกลางครัวเรือน ผู้ดูแล ผู้หารายได้เสริม และผู้เป็นเสาหลักยามเกิดวิกฤต

การฝึกอบรมและรวมเครือข่ายที่เชียงของ จึงเป็นการแก้ปัญหาที่ “จุดกำเนิด” ไม่ใช่ “ปลายเหตุ” เป้าหมายของโครงการชี้ชัดว่าจะ สร้างเวทีให้สตรีได้พัฒนาความรู้–ทักษะ–เครือข่าย แล้วส่งต่อเป็นพลังจิตอาสาที่ขยายไปถึงงานชุมชน เช่น การดูแลผู้เปราะบาง กิจกรรมเยาวชน การจัดการสิ่งแวดล้อม และการสื่อสารสาธารณะในระดับหมู่บ้าน–ตำบล

บทบาท “สองขา” ท้องถิ่น–ทหาร โมเดลบูรณาการเพื่อคนตัวเล็ก

จุดแข็งของโครงการนี้คือการทำงานแบบ “สองขา” ระหว่าง อบจ.เชียงราย (ท้องถิ่น–สังคม) และ มทบ.37 (ความมั่นคง–ระเบียบวินัย–ทรัพยากรสถานที่) การได้ใช้พื้นที่ฝึกของหน่วยทหารที่มีระบบระเบียบ เครื่องมือพร้อม และบุคลากรด้านการฝึกวินัย นำมาปรับใช้กับ หลักสูตรพลังสตรีจิตอาสา ทำให้รูปแบบกิจกรรมมีทั้งความกระชับ จริงจัง และเป็นมิตรกับผู้เรียน

  • ขาแรก—อบจ.เชียงราย: กำหนดนโยบายและเป้าหมาย ออกแบบกิจกรรมที่จับต้องโจทย์ชุมชน ดูแลเนื้อหาด้านสังคมและสวัสดิการ เชื่อมเครือข่ายระดับตำบล–อำเภอ
  • ขาที่สอง—มทบ.37: หนุนทรัพยากรสถานที่และกำลังพล สร้างสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ที่ปลอดภัย มีวินัย และต่อเนื่อง เสริมภาพ “ทหารเพื่อประชาชน” ในมิติการพัฒนาสังคม

ผลลัพธ์คือ “สนามฝึกเชิงสังคม” ที่คนตัวเล็กเข้าถึงได้จริง ไม่ใช่แค่เวทีรับฟัง แต่เป็นพื้นที่ ลงมือทำและต่อยอด หลังอบรม

โครงเรื่องการอบรมจากการตื่นรู้สู่การจัดตั้งทีมภาคสนาม

ตลอดสองวันของกิจกรรม (ตามกำหนดการที่ผู้ใช้จัดเตรียม) โครงการย้ำ “สามเสาหลัก” ที่ต่อกันเป็นเรื่องเดียว

  1. ตระหนักรู้บทบาทสตรี – ทำความเข้าใจศักยภาพและอุปสรรคเชิงโครงสร้างของสตรีในครอบครัว–ชุมชน
  2. เสริมสมรรถนะผู้นำจิตอาสา – ฝึกการสื่อสารสาธารณะ การทำงานเป็นทีม การประสานภาคี การจัดกิจกรรมที่ปลอดภัยและเป็นมิตรกับเด็ก–ผู้สูงอายุ
  3. ตั้งทีมปฏิบัติการชุมชน – แตกกลุ่มตั้ง “ทีมงานย่อย” และ “ภารกิจนำร่อง” ที่จะกลับไปทดลองในหมู่บ้าน/เขตเมืองของตนเอง (เช่น ทีมดูแลผู้เปราะบาง ทีมสิ่งแวดล้อม ทีมเยาวชน)

เนื้อหาทั้งหมดถูกยึดโยงกับบริบทเชียงของโดยตรง และมี พิธีมอบเกียรติบัตร เพื่อยืนยันการเริ่มต้นบทบาทผู้นำสตรีอย่างเป็นทางการ

วาทะที่ชูประเด็น—และเดินหน้าไปข้างหน้า

คำกล่าวของนายก อบจ.เชียงราย ในช่วงบ่าย เป็นเหมือน “รหัสผ่าน” ที่เปิดประตูบทใหม่ของบทบาทสตรีในจังหวัด “สตรีไม่ใช่ผู้รับนโยบายเพียงอย่างเดียว แต่คือ ‘ผู้สร้าง’ นโยบายระดับฐานราก” เมื่อถ้อยคำนี้ถูกประกาศต่อหน้าแกนนำสตรีและภาคีภาครัฐ–ทหาร ความหมายจึงไปไกลกว่าคำให้กำลังใจ แต่คือ การอนุมัติทางสังคม ให้สตรีออกมายืนแถวหน้าของการเปลี่ยนแปลง

ในมุมปฏิบัติการ โครงการยังส่งสัญญาณชัดว่าการขับเคลื่อนต่อจากนี้ต้องอาศัย ผู้นำหลายชั้น—ตั้งแต่ผู้นำชุมชนระดับหมู่บ้าน ผู้นำศาสนา ผู้นำวัยรุ่น ไปจนถึงครูและ อสม. เพื่อเชื่อม “กองร้อยน้ำส้ม” ให้เป็น เครือข่ายสตรีจิตอาสาเชียงของ ที่ทำงานได้ต่อเนื่องทั้งปี

ตัวเลข–ข้อเท็จจริงชวนคิด

  • วัน–เวลา–สถานที่: เปิดโครงการ 6 กันยายน 2568 เวลา 09.00 น. ณ หน่วยฝึก นศท. มทบ.37 ค่ายเม็งรายมหาราช อำเภอเมืองเชียงราย
  • กรอบเวลาโครงการ: 6–7 กันยายน 2568 (สองวันเต็ม)
  • ผู้เข้าร่วม: กลุ่มสตรีในเขตอำเภอเชียงของ กว่า 100 คน
  • ผู้ร่วมพิธีเปิดและภาคีหลัก: รองนายก อบจ.เชียงราย / ผอ.กองสวัสดิการสังคม อบจ. / พันเอกสิงหนาท โลสุยา เสนาธิการ มทบ.37 / หัวหน้าส่วนราชการ มทบ.37
  • ภารกิจช่วงบ่าย: นายก อบจ.เชียงราย และสมาชิกสภา อบจ. เดินทางพบปะกลุ่มสตรีเชียงของ มอบเกียรติบัตร และกล่าวนโยบาย–วิสัยทัศน์

ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนว่าการพัฒนาสตรีได้ก้าวพ้นรูปแบบ “เวทีเชิญวิทยากร–เวทีกล่าวเปิด” ไปสู่ โครงสร้างร่วมรับผิดชอบ ระหว่างท้องถิ่น–ทหาร–ประชาชน ที่ลงมือทำจริง

ทำอย่างไรให้ “กองร้อยน้ำส้ม” เติบโตได้ตลอดปี

เพื่อให้พลังที่จุดติดแล้วเดินหน้าอย่างยั่งยืน ทีมข่าวสรุปข้อเสนอเชิงระบบจากบทเรียนกิจกรรมและข้อเท็จจริงหน้างาน ดังนี้

  1. ตั้งศูนย์ประสานงานสตรีจิตอาสา (ระดับอำเภอ) – ทำหน้าที่เป็น “แม่ข่าย” ออกแบบปฏิทินกิจกรรมรายไตรมาส รับปัญหาจริงจากหมู่บ้าน จับคู่ภารกิจกับหน่วยงาน
  2. คลังความรู้ท้องถิ่นออนไลน์ – รวมคู่มือกิจกรรมชุมชน ป้ายความปลอดภัยสำหรับงานสาธารณะ แบบฟอร์มประสานงานราชการ ให้สตรีเข้าถึงง่าย
  3. งบสนับสนุนจุดเล็ก–เร็ว–เห็นผล – มอบทุนย่อย (micro-grant) สำหรับทีมย่อย 3–5 คนที่พร้อมทำภารกิจนำร่อง เช่น พื้นที่ปลอดภัยเด็ก น้ำดื่มงานชุมชน การคัดแยกขยะคืนรายได้
  4. พี่เลี้ยงข้ามภาคส่วน – จับคู่ “พี่เลี้ยง” จาก อบจ./ มทบ.37/ สภาเด็กและเยาวชน/ สาธารณสุข ให้คำปรึกษารายทีมต่อเนื่อง 3–6 เดือน
  5. ตัวชี้วัดที่คนชุมชนกำหนด – ให้ชุมชนร่วมออกแบบตัวชี้วัด เช่น จำนวนกิจกรรมที่เกิดจริง จำนวนเครือข่ายที่ร่วมมือ หรือจำนวนครัวเรือนที่ได้ประโยชน์ โดยไม่เพิ่มภาระเอกสารเกินจำเป็น

ข้อเสนอนี้มุ่งให้ ภารกิจเล็ก” กลายเป็น “อิฐก้อนเล็ก” ที่ร่วมกันก่อกำแพงความเข้มแข็งของชุมชนได้ทั้งปี

เมื่อสตรีลุกขึ้นนำ—ชุมชนก็ไปต่อ

ตลอดหลายปีที่ผ่านมา การพัฒนาชนบทและพื้นที่ชายแดนมักสะดุดเพราะ “ระยะห่าง” ระหว่างนโยบายกับชีวิตจริง โครงการในครั้งนี้เลือกวิธี ลดระยะห่าง ด้วยการดึง ผู้หญิงที่เป็นหัวใจของครอบครัวและชุมชน เข้ามาเป็น “ผู้เล่นตัวจริง” บนเวทีสาธารณะ สนามฝึกที่ตั้งอยู่ในค่ายทหารกลายเป็นพื้นที่ ปลอดภัย–เป็นระบบ–มีวินัย ให้การเรียนรู้เกิดขึ้นอย่างมีคุณภาพ และเมื่อ อบจ.เชียงราย แสดงเจตจำนงชัดว่าจะ “เปิดทาง–เปิดเวที–เปิดโอกาส” อย่างต่อเนื่อง พลังสตรีก็มี “รางวิ่ง” ที่ไปได้ไกลกว่าครั้งใด

ในทางข่าว ความเคลื่อนไหววันนี้จึงไม่ใช่เพียงภาพของพิธีเปิดหรือภาพมอบเกียรติบัตร หากคือ การเปิดฉากบทใหม่ของการพัฒนาท้องถิ่นแบบมีส่วนร่วม ที่ให้สตรีเป็นแกนกลาง ขับเคลื่อนด้วยวินัยแบบกองร้อยและความสดชื่นแบบน้ำส้ม—รวมเป็น “กองร้อยน้ำส้ม” ที่พร้อมทำงานยาวทั้งปีให้เห็นผลในครัวเรือน–หมู่บ้าน–อำเภอ และในท้ายที่สุด สร้าง สันติสุข ที่จับต้องได้บนแผ่นดินเชียงราย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย)
  • มณฑลทหารบกที่ 37 (มทบ.37)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

อบจ.เชียงราย Kick Off พัฒนา “น้ำพุร้อนป่าตึง” ดันสู่แหล่งท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ

อบจ.เชียงราย Kick Off พัฒนา “น้ำพุร้อนป่าตึง” สู่แหล่งท่องเที่ยวเชิงสุขภาพมาตรฐาน ยกระดับการท่องเที่ยวเชียงรายสู่เมืองสุขภาพ

เชียงราย,3 กันยายน 2568 –  องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เชียงราย ได้จัดการประชุมหารือเชิงยุทธศาสตร์เพื่อผลักดันโครงการพัฒนา “น้ำพุร้อนป่าตึง” ตำบลป่าตึง อำเภอแม่จัน ให้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงสุขภาพมาตรฐานระดับจังหวัด การประชุมจัดขึ้น ณ ห้องประชุม อบจ.เชียงราย โดยมี นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย เป็นประธาน พร้อมเจ้าหน้าที่จากกองการท่องเที่ยวและกีฬา และสำนักช่าง อบจ.เชียงรายเข้าร่วม

การประชุมครั้งนี้เป็นจุดเริ่มต้นของการขับเคลื่อนนโยบาย “เที่ยวได้ทั้งปี มีดีทุกอำเภอ” โดยมุ่งสร้างจุดหมายปลายทางใหม่ที่มีคุณภาพด้านสุขภาพและการพักผ่อน เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติ

สอดคล้องกับนโยบาย 7 เรือธงของ อบจ.เชียงราย

การพัฒนาน้ำพุร้อนป่าตึงเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์หลักของ นโยบายเรือธงที่ 5 คือ “เที่ยวได้ทุกสไตล์ เที่ยวเชียงรายได้ทั้งปี” ซึ่งเน้นการยกระดับแหล่งท่องเที่ยวในทุกอำเภอให้มีเอกลักษณ์ สร้างความหลากหลาย และรองรับการท่องเที่ยวตลอดทั้งปี การดำเนินโครงการนี้จึงเป็นการบูรณาการระหว่างภาครัฐและชุมชนในพื้นที่ เพื่อให้ผลลัพธ์เกิดขึ้นจริงในเชิงเศรษฐกิจและสังคม

การวิเคราะห์แนวโน้มการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ

ข้อมูลจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ระบุว่า ตลาดการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพเติบโตขึ้นเฉลี่ย 7-8% ต่อปี และมีมูลค่ารวมกว่า 150,000 ล้านบาท ในปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นสัญญาณบวกที่สะท้อนความต้องการของนักท่องเที่ยวที่ใส่ใจสุขภาพและคุณภาพชีวิต

น้ำพุร้อนป่าตึงเป็นจุดเด่นทางธรรมชาติที่เหมาะสมกับกระแสนี้ เพราะนอกจากจะมีบ่อน้ำพุร้อนธรรมชาติที่ใช้เพื่อการบำบัดแล้ว ยังสามารถต่อยอดไปสู่การพัฒนารีสอร์ท สปา และโปรแกรมฟื้นฟูสุขภาพแบบองค์รวม

ผลกระทบทางเศรษฐกิจและชุมชน

อบจ.เชียงรายคาดว่าการพัฒนาครั้งนี้จะสร้างผลลัพธ์ที่สำคัญหลายด้าน ได้แก่

  • การสร้างงานและรายได้: คาดว่าจะเกิดการจ้างงานในพื้นที่กว่า 200 อัตรา ทั้งด้านก่อสร้าง การให้บริการ และธุรกิจชุมชน
  • กระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่น: รายได้จากนักท่องเที่ยวจะหมุนเวียนเข้าสู่ชุมชน เพิ่มมูลค่าเศรษฐกิจย่อยในตำบลป่าตึง
  • ยกระดับสิ่งแวดล้อม: การปรับภูมิทัศน์ให้ได้มาตรฐานและเป็นมิตรต่อธรรมชาติ จะช่วยรักษาสภาพแวดล้อมและเพิ่มความน่าอยู่ของพื้นที่

การบูรณาการระหว่างหน่วยงาน

ความร่วมมือระหว่างกองการท่องเที่ยวและกีฬา กับสำนักช่าง อบจ.เชียงราย เป็นหัวใจสำคัญของความสำเร็จในครั้งนี้ กองการท่องเที่ยวจะกำหนดแนวทางและวางแผนเชิงกลยุทธ์ ขณะที่สำนักช่างจะรับผิดชอบด้านโครงสร้างพื้นฐานและการออกแบบภูมิทัศน์

การทำงานแบบบูรณาการจะช่วยให้โครงการดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดผลสัมฤทธิ์ที่ชัดเจน

ความเห็นจากผู้บริหาร

นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย กล่าวว่า

“การพัฒนาน้ำพุร้อนป่าตึงครั้งนี้ไม่ใช่เพียงการปรับปรุงสถานที่ แต่เป็นการสร้างโอกาสใหม่ให้กับคนในพื้นที่ ทั้งด้านเศรษฐกิจ สุขภาพ และคุณภาพชีวิต เรามุ่งหวังให้น้ำพุร้อนป่าตึงกลายเป็นต้นแบบของแหล่งท่องเที่ยวเชิงสุขภาพที่ยั่งยืนของเชียงราย”

มุมมองต่ออนาคต

เมื่อโครงการแล้วเสร็จ น้ำพุร้อนป่าตึงจะกลายเป็นจุดหมายสำคัญที่รองรับทั้งนักท่องเที่ยวและผู้ที่แสวงหาการพักผ่อนเชิงสุขภาพแบบองค์รวม โดยคาดว่าจะสามารถรองรับนักท่องเที่ยวได้มากกว่า 50,000 คนต่อปี

นอกจากนี้ โครงการยังมีเป้าหมายในการสร้างกิจกรรมชุมชน เช่น ตลาดสุขภาพ การแสดงวัฒนธรรม และกิจกรรมส่งเสริมการออกกำลังกาย เพื่อสร้างคุณค่าให้กับนักท่องเที่ยวและคนในพื้นที่

การ Kick Off โครงการพัฒนาน้ำพุร้อนป่าตึงของ อบจ.เชียงราย เป็นการก้าวสำคัญที่สะท้อนถึงวิสัยทัศน์ในการยกระดับจังหวัดเชียงรายให้เป็นเมืองท่องเที่ยวเชิงสุขภาพที่ได้มาตรฐาน และเป็นการสร้างสมดุลระหว่างเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว และคุณภาพชีวิตของประชาชน

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย

  • กองการท่องเที่ยวและกีฬา องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย

  • สำนักช่าง องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

“นายก นก” ลุยเอง! อบจ.เชียงรายเสริมแกร่งป้องกันน้ำท่วม เร่งเตรียมพร้อมรับมือพายุ

อบจ.เชียงราย “นายก นก” ลงพื้นที่เทิง เร่งมอบบิ๊กแบ็ค-สร้างทางเบี่ยง สั่งเตรียมพร้อมเต็มสูบรับมือ “พายุวิภา”

เชียงราย, 19 กรกฎาคม 2568 – ลงพื้นที่เชิงรุก ตอบโจทย์ภัยพิบัติ: อบจ.เชียงราย-ผู้นำท้องถิ่นเดินหน้าป้องกันน้ำท่วมอำเภอเทิง จังหวัดเชียงราย โดยเฉพาะพื้นที่อำเภอเทิง กลายเป็นหนึ่งในแนวหน้าการเตรียมรับมือภัยพิบัติในฤดูฝนปีนี้ เมื่อองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย) ภายใต้การนำของนางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย หรือ “นายก นก” เดินหน้านำทีมลงพื้นที่อย่างต่อเนื่อง เพื่อเร่งจัดการสถานการณ์และป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดจากอิทธิพลของพายุโซนร้อน “วิภา” ที่กำลังเคลื่อนตัวเข้าสู่ประเทศไทยและมีแนวโน้มสร้างฝนตกหนักอย่างต่อเนื่องในภาคเหนือ

เร่งมอบบิ๊กแบ็ค – เสริมแนวป้องกันชุมชนเวียงเทิง

เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 19 กรกฎาคม 2568 นายก นก พร้อมด้วยสมาชิกสภา อบจ.เชียงราย เขตอำเภอเทิง ได้แก่ นายอาทิตย์ รู้ทำนอง (เขต 1), นายสุชัด เสนคำ (เขต 2), นายประจวบ แก้วข้าว (เขต 3) และเจ้าหน้าที่ อบจ.เชียงราย ได้ลงพื้นที่บ้านตั้งข้าว หมู่ 2 และหมู่ 14 ตำบลเวียง เทศบาลตำบลเวียงเทิง เพื่อมอบกระสอบบิ๊กแบ็คแก่ประชาชน โดยมีนายเอนก ปัญทะยม นายอำเภอเทิง และนายสิงห์ทอง หนุนนำศิริสวัสดิ์ นายกเทศมนตรีตำบลเวียงเทิง เป็นตัวแทนรับมอบ

นายก นก เปิดเผยกับประชาชนว่า “อบจ.เชียงราย ตระหนักถึงความเดือดร้อนที่อาจเกิดขึ้นจากสถานการณ์น้ำท่วม โดยเฉพาะในฤดูฝนนี้ เรามุ่งเน้นการป้องกันเชิงรุก จึงได้เร่งมอบกระสอบบิ๊กแบ็ค เพื่อเป็นเครื่องมือสำคัญในการเสริมแนวป้องกันน้ำท่วม หวังว่าทุกครัวเรือนจะสามารถเตรียมตัวรับมือกับวิกฤตได้อย่างทันท่วงที”

กระสอบบิ๊กแบ็คที่ได้รับการจัดสรรในครั้งนี้ จะถูกนำไปวางเป็นแนวป้องกันน้ำและเตรียมการรับมือสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่เสี่ยง ช่วยลดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นต่อบ้านเรือนและทรัพย์สินของประชาชน ถือเป็นหัวใจสำคัญของการบริหารความเสี่ยงเชิงรุกในระดับท้องถิ่น

ลุยสร้างทางเบี่ยง – รับมือปัญหาน้ำป่า “ลำน้ำหงาว”

ต่อมาเวลา 10.30 น. นายก นก และคณะเดินทางต่อไปยังบ้านปางค่า หมู่ 8 ตำบลหงาว อำเภอเทิง ซึ่งเป็นพื้นที่ที่เพิ่งเผชิญกับน้ำป่าไหลหลากเมื่อวันที่ 17 กรกฎาคมที่ผ่านมา เหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลให้ทางเบี่ยงขาดและชาวบ้านไม่สามารถสัญจรไปมาได้

อบจ.เชียงราย ได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่สำนักช่างเร่งนำเครื่องจักรกลเข้าดำเนินการสร้างทางเบี่ยงชั่วคราว เพื่ออำนวยความสะดวกด้านการเดินทาง พร้อมสนับสนุนการวางกระสอบบิ๊กแบ็คบรรจุทรายตลอดแนวตลิ่งลำน้ำหงาว ป้องกันการพังทลายและลดผลกระทบในระยะยาวต่อเส้นทางการสัญจรและทรัพย์สินของประชาชน โดยคาดว่าทางเบี่ยงใหม่จะแล้วเสร็จภายใน 2 วันนี้

นอกจากนี้ ยังได้ประชุมร่วมกับหน่วยงานท้องถิ่นในอำเภอเทิง เพื่อวางแผนรับมือกับสถานการณ์อุทกภัยที่อาจเกิดขึ้น พร้อมกำชับให้ทุกฝ่ายเตรียมอุปกรณ์และแผนฉุกเฉินเต็มรูปแบบ

 “อบจ.เชียงราย” เดินหน้าทำงานเชิงรุก สร้างความมั่นใจชาวบ้าน

เหตุการณ์นี้สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอย่างอบจ.เชียงราย ที่สามารถเคลื่อนตัวและตอบสนองต่อภัยพิบัติได้อย่างรวดเร็วและเป็นรูปธรรม หลายประเด็นสำคัญที่ชี้ให้เห็นถึงแนวคิดการบริหารจัดการภัยพิบัติยุคใหม่ในระดับท้องถิ่น ได้แก่

  • การตอบสนองฉับไว: ทันทีที่มีรายงานผลกระทบ อบจ.เชียงรายสามารถจัดสรรและมอบกระสอบบิ๊กแบ็ค รวมถึงนำเครื่องจักรกลลงพื้นที่ทันที เป็นการสร้างความมั่นใจและลดความกังวลให้ประชาชนในยามวิกฤต
  • การเตรียมพร้อมล่วงหน้า: การมอบกระสอบบิ๊กแบ็คให้กับชุมชนเสี่ยงน้ำท่วม ช่วยให้ชาวบ้านมีเครื่องมือรับมือภัยธรรมชาติ ตั้งแต่ก่อนวิกฤตจะมาถึง เป็นยุทธศาสตร์สำคัญในการลดความเสียหาย
  • การแก้ปัญหาที่ตรงจุด: การสร้างทางเบี่ยงชั่วคราวหลังน้ำป่าหลาก ช่วยให้การเดินทางของชาวบ้านไม่สะดุด และลดผลกระทบในชีวิตประจำวัน
  • การสื่อสารเชิงบวกและสร้างขวัญกำลังใจ: คำมั่นของ “นายก นก” ที่ประกาศต่อหน้าชาวบ้านว่า อบจ.จะไม่ทอดทิ้งประชาชน เป็นการเสริมสร้างความไว้วางใจและความสามัคคีในชุมชน
  • การบูรณาการทุกภาคส่วน: ความร่วมมือระหว่างอบจ., สมาชิกสภา, นายอำเภอ, เทศบาลตำบล สะท้อนการทำงานร่วมกันอย่างเป็นระบบ

ข้อควรจับตาต่อไป

  • การซ่อมแซมถาวรในระยะยาวจำเป็นต้องวางแผนใช้งบประมาณและจัดสรรทรัพยากรให้เพียงพอ
  • ต้องประเมินและเฝ้าระวังพื้นที่เสี่ยงภัยอื่น ๆ ทั่วจังหวัดอย่างต่อเนื่อง
  • การเสริมสร้างความรู้และฝึกอบรมชุมชนให้พร้อมรับมือและช่วยเหลือตนเองในภาวะฉุกเฉิน จะทำให้เชียงรายสามารถรับมือภัยธรรมชาติได้อย่างยั่งยืน

วิเคราะห์สถานการณ์

การดำเนินงานของอบจ.เชียงรายในวันนี้ เป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความตั้งใจจริงของผู้นำท้องถิ่นในการปกป้องและดูแลประชาชนในสถานการณ์ที่ไม่แน่นอน การมุ่งเน้นทำงานเชิงรุกและบูรณาการทุกฝ่ายถือเป็นต้นแบบสำคัญของการบริหารจัดการภัยพิบัติระดับจังหวัด ที่จะสร้างความมั่นคงและปลอดภัยให้กับประชาชนเชียงรายในระยะยาว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย
  • เทศบาลตำบลเวียงเทิง
  • อำเภอเทิง
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News