Categories
ECONOMY

ไทยทุ่ม 3 พันล้าน ขยายสนามบินรองรับนักท่องเที่ย

AOT นำระบบ Biometric เพิ่มความสะดวกให้ผู้โดยสาร พร้อมแผนขยายสนามบินรองรับการท่องเที่ยว

เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2567 บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT ได้เริ่มใช้ระบบพิสูจน์อัตลักษณ์บุคคล (Automated Biometric Identification System) ที่ใช้เทคโนโลยี Facial Recognition เพื่อระบุตัวตนผู้โดยสาร โดยระบบนี้ช่วยให้ผู้โดยสารไม่ต้องใช้พาสปอร์ตและบัตรขึ้นเครื่องจากจุดตรวจสัมภาระจนถึงประตูขึ้นเครื่อง ซึ่งจะช่วยลดระยะเวลารอคิวและเพิ่มความสะดวกในท่าอากาศยานทั้ง 6 แห่งของ AOT ได้แก่ สนามบินสุวรรณภูมิ, ดอนเมือง, เชียงใหม่, แม่ฟ้าหลวง เชียงราย, ภูเก็ต และหาดใหญ่

แผนการใช้งานระบบ Biometric รองรับผู้โดยสารในประเทศและระหว่างประเทศ

ในระยะแรก ระบบ Biometric จะพร้อมให้บริการผู้โดยสารภายในประเทศตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2567 โดยผู้โดยสารจะสามารถลงทะเบียนยินยอมใช้ข้อมูลทางชีวภาพในการระบุตัวตนเพื่อเข้าสู่ระบบการระบุข้อมูลได้ตั้งแต่เคาน์เตอร์เช็คอิน ซึ่ง AOT คาดว่าการใช้ระบบ Biometric จะช่วยให้ผู้โดยสารประหยัดเวลารอคิวและมีเวลาเพียงพอสำหรับการเลือกซื้อสินค้าปลอดภาษี รับประทานอาหาร หรือพักผ่อนในสนามบิน

ในวันที่ 1 ธันวาคม 2567 ระบบนี้จะเริ่มให้บริการแก่ผู้โดยสารระหว่างประเทศ ซึ่งจะสามารถใช้งานระบบ Facial Recognition ในท่าอากาศยานทั้ง 6 แห่งได้ครบทุกส่วน

รายงานจาก Nikkei โดย Kosuke Inoue เปิดเผยว่า ไทยกำลังวางแผนขยายสนามบิน 6 แห่งด้วยงบประมาณเกือบ 3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 97,000 ล้านบาท เพื่อตอบสนองการเติบโตของนักท่องเที่ยวในอนาคต ภายในปี 2575 ไทยคาดหวังให้สนามบินทั้ง 6 แห่งสามารถรองรับผู้โดยสารได้ถึง 246.5 ล้านคนต่อปี จากปัจจุบันที่รองรับได้เพียง 116 ล้านคน

การขยายรันเวย์และการใช้ระบบจดจำใบหน้า (Facial Recognition) ในสนามบิน

ในส่วนของสนามบินสุวรรณภูมิ สนามบินนานาชาติที่ใหญ่ที่สุดในไทย ได้เริ่มเปิดใช้รันเวย์ที่สามเมื่อเร็ว ๆ นี้ โดยมีเป้าหมายเพิ่มจำนวนเที่ยวบินขึ้น-ลงจากเดิม 68 เที่ยวบินต่อชั่วโมงเป็น 94 เที่ยวบิน ซึ่งจะช่วยให้ระบบขนส่งทางอากาศสามารถรองรับจำนวนเที่ยวบินและผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ทาง AOT หรือ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นผู้ดูแลโครงการขยายสนามบิน ยังวางแผนติดตั้งระบบจดจำใบหน้าในสนามบินทั้ง 6 แห่ง โดยผู้โดยสารสามารถลงทะเบียนข้อมูลชีวภาพที่เคาน์เตอร์เช็คอิน ทำให้สามารถผ่านด่านต่าง ๆ ได้โดยไม่ต้องใช้พาสปอร์ตหรือบัตรขึ้นเครื่องตั้งแต่จุดตรวจสัมภาระไปจนถึงประตูขึ้นเครื่อง

รายได้ที่ฟื้นตัวของ AOT หนุนการขยายโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับนักท่องเที่ยว

AOT ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ไทย มีรายได้รวมที่เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดหลังจากการฟื้นตัวของการเดินทางทางอากาศในปีงบประมาณ 2566 โดยรายได้เพิ่มขึ้น 170% มาอยู่ที่ 48.4 พันล้านบาท ซึ่งสะท้อนถึงความฟื้นตัวของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวหลังการระบาดของ COVID-19 การขยายสนามบินครั้งนี้เป็นหนึ่งในแผนการพัฒนาที่สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลที่มุ่งเน้นการส่งเสริมการท่องเที่ยว ซึ่งคิดเป็นเกือบ 20% ของ GDP ของไทย การท่องเที่ยวถือเป็นอุตสาหกรรมสำคัญในการฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังจากการระบาดของ COVID-19 และเพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยว ไทยได้เตรียมยกเว้นวีซ่าให้กับประเทศและภูมิภาคเพิ่มเติม เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติ

ความท้าทายและความเสี่ยงของการขยายสนามบินและสถานการณ์การเมืองในประเทศ

แม้ว่าแผนการขยายสนามบินจะสอดคล้องกับเป้าหมายทางการท่องเที่ยวของรัฐบาล แต่อย่างไรก็ตาม มีความกังวลเกี่ยวกับการลงทุนที่อาจเกินความจำเป็น เนื่องจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในช่วงมกราคมถึงกันยายนปีนี้ยังคงอยู่ที่ประมาณ 80% ของจำนวนก่อนเกิดการระบาดในปี 2562 นอกจากนี้ ความไม่แน่นอนทางการเมืองของไทยยังเป็นอีกปัจจัยที่อาจส่งผลต่อโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในระยะยาว

ประเทศไทยมีประวัติการยกเลิกหรือเลื่อนโครงการโครงสร้างพื้นฐานเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของรัฐบาล ในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำสั่งปลดนายเศรษฐา ทวีสิน ออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และนายกรัฐมนตรีคนใหม่ “อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร ก็เผชิญกับคดีทางกฎหมายที่อาจส่งผลกระทบต่อการบริหารประเทศในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : asia.nikkei.com

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
FOLLOW ME
MOST POPULAR
Categories
AROUND CHIANG RAI TRAVEL

เตรียม Kick Off เปิดเมืองเชียงราย 26 ต.ค. 67 กระตุ้นการท่องเที่ยว

รองผู้ว่าราชการเชียงรายวางแผนฟื้นฟูการท่องเที่ยวส่งเสริมเศรษฐกิจจังหวัด

การประชุมวางแผนฟื้นฟูการท่องเที่ยว

เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2567 ณ ห้องประชุมพวงแสด ชั้น 3 ศาลากลางจังหวัดเชียงราย นายนรศักดิ์ สุขสมบูรณ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานการประชุมเพื่อหารือแผนการฟื้นฟูการท่องเที่ยว รวมถึงการประชาสัมพันธ์และการตลาด เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและส่งเสริมการท่องเที่ยวในจังหวัดเชียงราย การประชุมมีผู้แทนจากหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนเข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง

แนวทางการกระตุ้นและส่งเสริมการท่องเที่ยว

ในการประชุมครั้งนี้ ได้มีการนำเสนอแนวทางการกระตุ้นและส่งเสริมการท่องเที่ยวในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว โดยเน้นการจัดกิจกรรมต่างๆ มากมาย รวมถึงปฏิทินกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวตลอดทั้งปีที่จัดโดยหน่วยงานทั้งภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อให้เห็นภาพรวมของการพัฒนาการท่องเที่ยวในจังหวัดเชียงรายอย่างชัดเจน

การฟื้นฟูการท่องเที่ยวและช่วยเหลือผู้ประกอบการ

ในช่วงแรกของแผนการฟื้นฟู จะมุ่งเน้นที่การเร่งฟื้นฟูการท่องเที่ยวในพื้นที่ และช่วยเหลือผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย การดำเนินการนี้จะควบคู่กับการสร้างการรับรู้และสร้างภาพลักษณ์เมืองท่องเที่ยวให้กลับคืนมาอีกครั้ง เพื่อให้ผู้มาเยือนเกิดความเชื่อมั่นและกระตุ้นการเดินทางมายังจังหวัดเชียงรายในช่วงปลายปีนี้

กิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวประจำปี

ตัวอย่างกิจกรรมที่วางแผนไว้ เช่น ททท.สำนักงานเชียงรายกำหนดจัดกิจกรรมเปิดการท่องเที่ยวภาคเหนือ “เหนือ..พร้อมเที่ยว” ในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2567 ณ จังหวัดเชียงราย โดยจะมีพิธีสืบชะตาหลวงล้านนาเพื่อเสริมสิริมงคลแก่เมืองเชียงราย มีผู้ประกอบการท่องเที่ยวและนักท่องเที่ยวจากทั่วประเทศเข้าร่วมพิธีจำนวน 300 คน นอกจากนี้ยังร่วมกับสายการบิน Thai Air Asia นำคณะสื่อมวลชน บล็อกเกอร์ และ KOL จากกรุงเทพฯ มาเดินทางจัดทำคอนเทนต์การท่องเที่ยวจังหวัดเชียงราย

กิจกรรม Kick Off เปิดเมืองเชียงราย

เทศบาลนครเชียงรายจัดกิจกรรม Kick Off เปิดเมืองในวันที่ 26 ตุลาคม 2567 ณ สวนตุงและโคมเมืองเชียงราย โดยมีกิจกรรมถนนคนเดินและกิจกรรมด้านการท่องเที่ยวต่อเนื่องไปจนถึงงานลอยกระทงริมคลอง การจัดกิจกรรมนี้มีเป้าหมายเพื่อเพิ่มสีสันและดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาเยือนเชียงรายมากยิ่งขึ้น

การประกวดติ๊กต๊อกเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว

หอการค้าจังหวัดเชียงราย (YEC) จะจัดประกวดติ๊กต๊อกเพื่อสื่อสารให้จังหวัดเชียงรายมีภาพจำที่น่าท่องเที่ยว โดยมีรางวัลเป็นตั๋วเครื่องบิน ที่พัก ร้านอาหาร และร้านกาแฟในจังหวัดเชียงราย สำหรับการท่องเที่ยว 3 วัน 2 คืน ซึ่งเป็นการสร้างแรงจูงใจให้คนรุ่นใหม่เข้ามามีส่วนร่วมในการโปรโมทจังหวัด

ความร่วมมือเพื่อการท่องเที่ยวที่ยั่งยืน

นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ได้กล่าวถึงความสำคัญของการร่วมมือกันระหว่างทุกภาคส่วนในการฟื้นฟูและส่งเสริมการท่องเที่ยว การผสมผสานระหว่างการท่องเที่ยว กีฬา ผลิตภัณฑ์ชุมชน และวิถีวัฒนธรรมท้องถิ่น จะช่วยให้จังหวัดเชียงรายสามารถเตรียมต้อนรับนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การเตรียมพร้อมสำหรับกิจกรรมตลอดทั้งปี

ในฤดูกาลท่องเที่ยวปีนี้ จังหวัดเชียงรายจะมีกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวตลอดทั้งปี โดยมีการจัดงานประชุม สัมมนา และกิจกรรมต่างๆ จากภาครัฐ ภาคเอกชน และท้องถิ่น เช่น เทศบาลและองค์การบริหารส่วนตำบล เพื่อให้การส่งเสริมการท่องเที่ยวเป็นไปอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน

การสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับเชียงราย

การฟื้นฟูการท่องเที่ยวในเชียงรายไม่เพียงแต่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ยังช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับเมืองเชียงรายในสายตานักท่องเที่ยว การมีสภาพแวดล้อมที่สะอาดและมีการจัดกิจกรรมที่น่าสนใจ จะทำให้เชียงรายเป็นจุดหมายปลายทางที่น่าตื่นตาตื่นใจและมีความน่าสนใจสำหรับนักท่องเที่ยวในทุกฤดูกาล

บทสรุป

การประชุมวางแผนฟื้นฟูการท่องเที่ยวของรองผู้ว่าราชการเชียงราย เป็นการแสดงถึงความมุ่งมั่นในการฟื้นฟูและพัฒนาการท่องเที่ยวในจังหวัดเชียงรายอย่างยั่งยืน ด้วยการร่วมมือกันของหน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน การจัดกิจกรรมที่หลากหลายและมีเป้าหมายชัดเจน จะช่วยให้เชียงรายกลับมาเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่น่าดึงดูดและส่งเสริมเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างมั่นคงในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

‘เชียงราย’ ติดเมืองรองยอดฮิต นักท่องเที่ยวสูงก่อนโควิดบวก 130%

 

เมื่อวันที่ 30 ก.ค. 67 ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS ประเมินนักท่องเที่ยวต่างชาติมีแนวโน้มพื้นตัวต่อเนื่อง มีโอกาสแตะ 40 ล้านคน เท่ากับช่วงก่อนเกิดโควิด-19 หนุนให้รายได้ภาคท่องเที่ยวไทยแตะ 3 ล้านล้านบาท ในปี 2568 เปิด 6 เทรนด์การท่องเที่ยวยุคใหม่ ดึงดูดนักท่องเที่ยวศักยภาพ มีการใช้จ่ายสูง ช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มภาคการท่องเที่ยวไทยไม่ต่ำกว่า 1.35 แสนล้านบาท แนะผู้ประกอบการปรับรูปแบบบริการ สร้างโอกาสการเติบโตจากเทรนด์ท่องเที่ยวยุคใหม่

นายพชรพจน์ นันทรามาศ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ภาคการท่องเที่ยวที่เป็นเครื่องยนต์สำคัญของเศรษฐกิจไทย มีสัญญาณฟื้นตัวชัดเจน โดยคาดว่าในปี 2567 จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติมีโอกาสขึ้นไปแตะระดับ 36.5 ล้านคน และในปี 2568 มีโอกาสเข้าสู่ระดับเดียวกับช่วงก่อนโควิดที่ 40 ล้านคน แม้นักท่องเที่ยวจีนจะพื้นตัวได้ต่ำกว่าช่วงก่อนโควิดที่ระดับ 65%-90% โดยได้รับแรงสนับสนุนจากการเติบโตของ นักท่องเที่ยวกลุ่มหลักอย่างมาเลเซีย อินเดีย รัสเซีย และเกาหลีใต้ รวมถึงนักท่องเที่ยวกลุ่มยุโรป และตะวันออกกลาง ส่งผลให้รายได้รวมจากการท่องเที่ยวในปี 2567-2568 มีมูลค่าราว 2.65-3 ล้านล้านบาท

จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในช่วง 5 เดือนแรกฟื้นตัว 88% เทียบกับก่อนโควิด อยู่ในระดับใกล้เคียงค่าเฉลี่ยภูมิภาค แต่ยังต่ำกว่าญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และเวียดนาม ส่วน Top5 นักท่องเที่ยวต่างชาติครึ่งปีแรก ได้แก่ จีน 3.44 ล้านคน ฟื้นตัว 61% เทียบกับปี 62, มาเลเซีย 2.44 ล้านคน ฟื้นตัว 126%, อินเดีย 1.04 ล้านคน ฟื้นตัว 106%, เกาหลี 930,000 คน ฟื้นตัว 103% และรัสเซีย 920,000 คน ฟื้นตัว 112%…..นายพชรพจน์กล่าว

ภาพรวมการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติในช่วงครึ่งปีแรก 2567 เฉลี่ยอยู่ที่ 45,568 บาท/คน/ทริป ยังต่ำกว่าช่วงก่อนโควิด-19 (ปี 2562) อยู่เล็กน้อยราว 4.9% แต่สูงกว่าปี 2566 ที่มีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยอยู่ที่ 43,743 บาท/คน/ทริป ซึ่งต่ำกว่าช่วงก่อนโควิด-19 ถึง 8.7%

Top 10 จังหวัดที่ต่างชาตินิยมเดินทางไปท่องเที่ยวมากที่สุด คือ กรุงเทพ ชลบุรี ภูเก็ต สุราษฎร์ธานี สงขลา เชียงใหม่ กระบี่ พังงา อยุธยา และหนองคาย

โดยนักท่องเที่ยวใช้จ่ายไปกับค่าที่พักเพิ่มขึ้น 15% และค่ารักษาพยาบาลเพิ่มขึ้น 5.3% สวนทางกับค่าช้อปปิ้งที่ลดลง สะท้อนให้เห็นรูปแบบการท่องเที่ยวที่เปลี่ยนไป

สำหรับจำนวนนักท่องเที่ยวชาวไทยไทยสูงกว่าช่วงก่อนโควิด แต่การใช้จ่ายยังไม่ฟื้นตัว เฉลี่ยอยู่ที่ 3,503-4,708 บาท/คน/ทริป สะท้อนกำลังซื้อในประเทศยังอ่อนแอ อย่างไรก็ตามการกระจายรายได้สู่จังหวัดเมืองรองเริ่มมีสัญญาณที่ดีขึ้น โดยในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2567 มีสัดส่วนราว 13.4% ของรายได้จากภาคการท่องเที่ยวโดยรวม ปรับเพิ่มขึ้นจากช่วงก่อนโควิด ที่มีสัดส่วนเพียง 9.2%

โดยเมืองรองยอดฮิต 5 อันดับแรก คือ สุพรรณบุรี สมุทรสงคราม เชียงราย จันทบุรี และอุดรธานี้ มีจำนวนนักท่องเที่ยวฟื้นตัวได้สูงกว่าช่วงก่อนโควิด ที่ระดับ 130%-343% สะท้อนให้เห็นว่านักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติมีความสนใจที่จะเดินทางท่องเที่ยวในจังหวัดเมืองรองมากขึ้น

นายธนา ตุลยกิจวัตร นักวิเคราะห์ ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS กล่าวว่า พฤติกรรมของนักท่องเที่ยวเปลี่ยนแปลงไปจากช่วงก่อนโควิด ที่เน้นท่องเที่ยวแบบ Mass Tourism ไปสู่การท่องเที่ยวแบบเฉพาะเจาะจงมากขึ้น ผนวกรวมกับนโยบายด้าน Soft Power ที่ภาครัฐพยายามผลักดันอย่างต่อเนื่อง ทั้งด้านอาหารไทย และการท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ เกิดเป็นเทรนด์การท่องเที่ยวยุคใหม่ที่มีโอกาสสร้างมูลค่าเพิ่มให้ภาคการท่องเที่ยวไทยได้กว่า 1.35 แสนล้านบาท ประกอบด้วย

1.การท่องเที่ยวเชิงอาหาร (Gastronomy Tourism) โดยเฉพาะ Street Food ที่ได้รับความนิยมจาก นักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มขึ้นถึง 18.1% เมื่อเทียบกับช่วงก่อนโควิด

2.การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม (Cultural Tourism) เช่น เทศกาลสงกรานต์ที่ผ่านมา มีนักท่องเที่ยวเข้าร่วมงานกว่า 7.8 แสนคน สร้างรายได้มากถึง 2,880 ล้านบาท

3.การท่องเที่ยวตามรอยภาพยนตร์ ซีรีส์ หรือมิวสิกวิดีโอ (Film Tourism) ล่าสุดหลังจากที่มีการปล่อย MV เพลง “ROCKSTAR” ของ Lisa มีนักท่องเที่ยวตามไปถ่ายรูปเช็กอินที่ถนนเยาวราชจำนวนมาก รวมถึงละครเรื่องบุพเพสันนิวาส ที่ทำให้มีนักท่องเที่ยวสนใจเยี่ยมชมสถานที่ถ่ายทำต่าง ๆ เช่น วัดไชยวัฒนาราม เพิ่มขึ้น 3-4 เท่าตัว

4.การท่องเที่ยวแบบยั่งยืน (Sustainable Tourism) ซึ่งจากผลสำรวจโดย Booking.com พบว่า 3 ใน 4 ของนักท่องเที่ยวยุคใหม่ต้องการเดินทางท่องเที่ยวแบบอย่างยั่งยืนในอีก 12 เดือนข้างหน้า

5.กลุ่ม Digial Nomad Tourism เป็นกลุ่มที่มีศักยภาพที่เติบโตขึ้นตามกระแส “Workcation” รูปแบบการทำงานในโลกยุคใหม่ที่มีบทบาทมากขึ้นเรื่อย ๆ และมีการค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อคนที่สูงกว่านักท่องเที่ยวทั่วไปเกือบเท่าตัว ซึ่งกรุงเทพติดอันดับจุดหมายปลายทางยอดนิยมของนักท่องเที่ยวกลุ่ม Digial Nomad Tourism อันดับที่ 3 ของโลก และอันดับ 1 ของเอเชีย

6.การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Wellness Tourism) ที่มีโอกาสเติบโตไปพร้อมกับจำนวนผู้สูงอายุ และพฤติกรรมของคนทั่วโลกที่หันมาดูแลสุขภาพมากขึ้น

อย่างไรก็ตามยังมีโจทย์ท้าทายคือนักท่องเที่ยวจีนที่ยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ในระยะ 1-2 ปีข้างหน้า จากภาวะเศรษฐกิจ รวมถึงต้องจับตาประเด็นเรื่องความปลอดภัยในการเดินทางท่องเที่ยวในไทย เนื่องจากเป็นเรื่องที่ชาวจีนยังมีความกังวลค่อนข้างมาก โดยความเชื่อมั่นต่ำกว่าเพื่อนบ้านอย่างฮ่องกง สิงคโปร์ และญี่ปุ่น

ผลสำรวจความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยในการท่องเที่ยวต่างประเทศชองชาวจีน พบว่า 24% บอกว่าเที่ยวไทยปลอดภัย 39% บอกว่าไม่แน่ใจ และ 38% บอกว่าไม่ปลอดภัย นอกจากนี้ยังมีปัจจัยท้าทายจากต้นทุนภาคธุรกิจที่เพิ่มสูงขึ้น และปัญหาความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังมีความไม่แน่นอนสูง…..นายธนากล่าว

ด้านนางสาววีระยา ทองเสือ นักวิเคราะห์ ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS เสริมว่า ผู้ประกอบการไทยควรปรับตัวเพื่อคว้าโอกาสจากเทรนด์การท่องเที่ยวยุคใหม่ ดังนี้

1.ปรับรูปแบบผลิตภัณฑ์และบริการให้ตอบโจทย์ความ ต้องการของนักท่องเที่ยวที่มีความเฉพาะเจาะจงมากขึ้น เช่น ธุรกิจโรงแรมปรับปรุงที่พักให้สอดรับมาตรฐาน Green Hotel หรือเข้าร่วมโครงการ Sustainable Tourism Acceleration Rating (STAR) เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวสายรักษ์ธรรมชาติ

2.นำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในการดำเนินธุรกิจ เช่น ธุรกิจร้านอาหาร อาจนำหุ่นยนต์อัตโนมัติเข้ามาช่วยเสิร์ฟอาหาร เพื่อลดผลกระทบจากปัญหาขาดแคลนแรงงาน นอกจากนี้เสนอให้ภาครัฐพิจารณาแนวนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยว โดยมุ่งเน้นไปที่

 

  • เจาะตลาดนักท่องเที่ยวกลุ่มศักยภาพสูง โดยอาจเพิ่มทางเลือกในส่วนของประกันสุขภาพให้กับกลุ่ม Digital Nomad ที่มาขอ Destination Thailand Visa Revealed (DTV)
  • ผลักดันให้เกิดกระแสการเดินทางเที่ยวตลอดทั้งปี โดยเฉพาะในเมืองรอง โดยเชื่อมโยงกับกลุ่ม Welness Tourism ที่ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มผู้สูงวัยที่สามารถท่องเที่ยวในวันธรรมดาได้
  • เร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อให้เกิดการเชื่อมโยงเส้นทางท่องเที่ยวทั้งในประเทศ และระหว่างประเทศ รวมถึงสร้างระบบด้านความปลอดภัย ซึ่งเป็นเรื่องเร่งด่วนที่จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นและดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาเที่ยวไทยมากขึ้น

ภาคธุรกิจที่จะได้ประโยชน์จากการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัว ได้แก่

1.ธุรกิจโรงแรม เป็นธุรกิจแรก ๆ ที่ได้รับประโยชน์โดยตรงจากการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยว โดยเฉพาะโรงแรมที่ตั้งอยู่ในจังหวัดท่องเที่ยวหลัก เช่น กรุงเทพฯ ชลบุรี ภูเก็ต โดยโรงแรมระดับ 4-5 ดาวมีแนวโน้มฟื้นตัวได้ดีกว่าโรงแรมทั่วไป และมีอัตราการเข้าพักแรมเฉลี่ยกลับสู่ระดับเดียวกับช่วง Pre-Covid แล้ว

2.ธุรกิจสายการบิน โดย AOT ประเมินว่าในปี 2572 จะมีจำนวนผู้โดยสารสูงถึง 170 ล้านคน และในอีก 10 ปีข้างหน้า หรือปี 2577 จำนวนผู้โดยสารอาจแตะระดับ 210 ล้านคน ส่งผลให้ธุรกิจสายการบินยังมี้แนวโน้มที่จะขยายตัวได้อีกมาก

3.ธุรกิจร้านอาหาร อาหารกลุ่ม Street Food, Local Food, Fine Dining Thai Cuisine รวมถึงร้านอาหารประเภท Cafe ยังคงได้รับความนิยมุจากนักท่องเที่ยวต่างชาติอย่างต่อเนื่อง สอดคล้องตามคาดการณ์ของสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) ที่ประเมินว่าตลาดบริการอาหารของไทยในปี 2566-2571 จะเติบโตเฉลี่ยปีละ 6.72%

4.ธุรกิจค้าปลีก ได้รับอานิสงส์จากการใช้จ่ายในการซื้อสินค้าของนักท่องเที่ยวต่างชาติมีสัดส่วนกว่า 18.4% ของค่าใช้จ่ายทั้งหมดโดยสินค้ายอดนิยม 3 อันดับแรกที่นักท่องเที่ยวซื้อเป็นของฝากของที่ระลึก ได้แก่ เสื้อผ้า ผลิตภัณฑ์อาหารไทย และของที่ระลึกตามลำดับ มีการใช้จ่ายเฉลี่ยสูงถึง 2,621-5,331 บาท/คน/ทริป

5.ธุรกิจ Healthcare เป็นหนึ่งในธุรกิจที่จะได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวต่างชาติ และแนวโน้มการเติบโตของ Wellness Tourism สะท้อนจากสัดส่วนรายได้จากผู้ป่วยชาวต่างชาติ และรายได้ในธุรกิจ Wellness ของผู้ประกอบการรายใหญ่ที่มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น

ทั้งนี้ Krungthai COMPASS คาดการณ์ GDP ปีนี้จะเติบโตที่ 2.3% โดยยังไม่รวมผลของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างดิจิทัลวอลเล็ต โดยมีปัจจัยหลักการการบริโภคในประเทศ การลงทุน และการท่องเที่ยว ส่วนภาคการส่งออกยังท้าทาย จากภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ มาตรการกีดกันทางการค้าและกำแพงภาษี โดบคาดว่าส่งออกปีนี้จะเติบโตที่ 0.5-1%

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : Krungthai COMPASS

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา คาดเดือนนี้ ต่างชาติเข้าไทยเพิ่มขึ้นตามรอย MV ลิซ่า

 
เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2567 นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยถึงสถานการณ์ด้านการท่องเที่ยว ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. – 30 มิ.ย. 67 ว่า ไทยมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาแตะระดับ 17,501,283 คน สร้างรายได้ประมาณ 825,541 ล้านบาท โดยจำนวนนักท่องเที่ยวสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ จีน (3,439,482 คน) มาเลเซีย (2,435,960 คน) อินเดีย (1,040,069 คน) เกาหลีใต้ (934,983 คน) และรัสเซีย (920,989 คน)

ในสัปดาห์ที่ผ่านมา นักท่องเที่ยวกลับมาฟื้นตัวในเกือบทุกกลุ่ม โดยนักท่องเที่ยวกลุ่มตลาดระยะใกล้ (Short haul) มีจำนวน 499,554 คน หรือเพิ่มขึ้น 2.01% จากสัปดาห์ก่อนหน้า ตามการเพิ่มขึ้นของนักท่องเที่ยวภูมิภาคเอเชียตะวันออก อาทิ ไต้หวัน เกาหลี และจีน จากหลายปัจจัย เช่น การจัดงาน Pride month 2024 ตลอดจนมาตรการวีซ่าฟรี ที่ยังคงมีผลช่วยให้นักท่องเที่ยวสามารถตัดสินใจเดินทางได้ในเวลาอันสั้น

อีกทั้งนักท่องเที่ยวกลุ่มตลาดระยะไกล (Long haul) มีจำนวน 170,276 คน หรือเพิ่มขึ้น 6.11% จากสัปดาห์ก่อนหน้า จากนักท่องเที่ยวหลายกลุ่ม อาทิ นักท่องเที่ยวภูมิภาคยุโรป ที่ขยายตัวเนื่องจากเริ่มเข้าสู่ฤดูกาลท่องเที่ยว Summer holiday ส่งผลให้ในภาพรวมสัปดาห์นี้ (24-30 มิ.ย.) ไทยมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งสิ้น 659,830 คน เพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อนหน้า 19,083 คน หรือ 2.98% คิดเป็นจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทยเฉลี่ยวันละ 94,262 คน

โดย 5 อันดับแรกของนักท่องเที่ยวต่างชาติ ได้แก่ จีน (133,304 คน) มาเลเซีย (92,060 คน) อินเดีย (41,621 คน) เกาหลีใต้ (30,824 คน) และไต้หวัน (27,188 คน) โดยนักท่องเที่ยวไต้หวัน เพิ่มขึ้น 15.41% เกาหลีใต้ เพิ่มขึ้น 5.36% จีน เพิ่มขึ้น 5.26% และมาเลเซีย เพิ่มขึ้น 1.73% ในขณะที่นักท่องเที่ยวอินเดีย ปรับตัวลดลงจากสัปดาห์ก่อนหน้า 9.48%

สำหรับในสัปดาห์ถัดไป (1-8 ก.ค.) คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาเพิ่มขึ้น จากปัจจัยส่งเสริมการเดินทาง ได้แก่ Celebrity – induced tourism หรือการท่องเที่ยวตามรอย MV เพลง Rockstar ของลิซ่า และการเข้าสู่ฤดูกาลท่องเที่ยว Summer holiday ของตลาดภูมิภาคยุโรป การมีมาตรการ Ease of traveling ของรัฐบาล ช่วยเพิ่มการอำนวยความสะดวกในการเดินทางสู่ไทย อาทิ การลงนามยกเว้นวีซ่าระหว่างไทย-จีน ที่มีผลช่วยสร้างความเชื่อมั่นแก่นักท่องเที่ยว เพิ่มการอำนวยความสะดวกในการเดินทาง และกระตุ้นให้สายการบิน เพิ่มจำนวนเที่ยวบิน รวมทั้งการยกเว้นการตรวจลงตราหนังสือเดินทาง (วีซ่าฟรี) ให้แก่นักท่องเที่ยวอินเดีย ไต้หวัน และคาซัคสถาน และการยกเว้นบัตร ตม.6 ในด่านทางบก 8 ด่าน แก่นักท่องเที่ยวมาเลเซีย และลาว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

นักท่องเที่ยวจีนโผเข้ากอดเจ้าหน้าที่ เคยช่วยเหลือตกหน้าผา 5 ปีที่แล้ว

 
เมื่อวันที่ 20 เมษายน 2567 นายพิชัย วัชรวงษ์ไพบูลย์ ผู้อำนวยการสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 9 เปิดเผยว่า ได้รับรายงานจาก นายประมวล รัตนวัน หัวหน้าอุทยานแห่งชาติผาแต้ม ว่า วันนี้เวลาประมาณ 13.00 น. นางหวัง หนาน นักท่องเที่ยวชาวจีน ที่เจ้าหน้าที่ได้ช่วยเหลือจากอุบัติเหตุผลัดตกหน้าผาภายในอุทยานแห่งชาติผาแต้มเมื่อ 5 ปี ที่แล้วได้เดินทางกลับมายังอุทยานแห่งชาติผาแต้ม เพื่อแสดงความขอบคุณเจ้าหน้าที่ที่ให้การช่วยเหลือจากเหตุการณ์พลัดตกหน้าผาอเล็กซานเดอร์มหาราช ใกล้จุดชมวิวผาแต้ม เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2562
 
 
โดยในวันดังกล่าวเจ้าหน้าที่ชุดกู้ภัยประจำอุทยานแห่งชาติผาแต้ม คือ นายไพโรจน์ ผิวอ่อน ลูกจ้างประจำ นายสกุลทัย จันทร์สุข พนักงานราชการ นายสรวิศ มิ่งแมน พนักงานราชการ และนายสถาพร ภิมา พนักงานราชการ ได้ให้การช่วยเหลือและขนย้ายผู้บาดเจ็บส่งไปรักษาตัวต่อที่โรงพยาบาลโขงเจียมจนอาการปลอดภัย ต่อมาจากการสืบสวนสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจพบว่าสามีเป็นผู้ผลักเธอให้ตกจากหน้าผา ซึ่งขณะนี้ถูกดำเนินคดีตามกฎหมายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
 
 
โดยในวันนี้ นางหวัง หนาน ได้กลับมาที่อุทยานแห่งชาติผาแต้มอีกครั้ง และเข้าพบกับเจ้าหน้าที่อุทยานผาแต้มก่อนโผเข้ากอดด้วยความดีใจพร้อมกล่าวชื่นชม และประทับใจการทำงานของเจ้าหน้าที่ และได้มอบของเพื่อเป็นการขอบคุณเจ้าหน้าที่ที่ได้ช่วยชีวิตเธอไว้ได้อย่างปลอดภัย
 
 
การกลับมาของนักท่องเที่ยวครั้งนี้สร้างความปลาบปลื้มและดีใจให้กับเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติผาแต้มเป็นอย่างยิ่ง นอกจากนี้การช่วยเหลือนักท่องเที่ยวยังเป็นมาตรการสำคัญของกรมอุทยานแห่งชาติฯ ซึ่งมีการเตรียมความพร้อมทั้งอุปกรณ์กู้ชีพกู้ภัยและการฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ให้มีความพร้อมเพื่อให้นักท่องเที่ยวที่เข้ามาท่องเที่ยวในอุทยานมั่นใจในความปลอดภัยอยู่เสมอ
 
 
ซึ่งเจ้าหน้าที่เข้าไปช่วยเหลือผู้หญิงคนดังกล่าว ซึ่งตกลงมาจากหน้าผาที่มีความสูงประมาณ 34 เมตร พบอาการบาดเจ็บจากร่างปะทะกับกิ่งไม้ ก่อนจะตกลงมากระแทกกับพื้นทางเดินชมภาพเขียนสี ทำให้รอบตัวของหญิงสาวมีใบไม้และกิ่งไม้ร่วงลงมาจำนวนมาก และมีบาดแผลต้นขาซ้ายหัก กระดูกเข่าแตกทั้งสองข้าง แขนซ้ายหัก ไหปลาร้าซ้ายหัก กระดูกเชิงกรานหัก ตาขวาช้ำ และมีบาดแผลตามใบหน้า อีกทั้งพบว่าหญิงสาวชาวจีนคนนี้ตั้งครรภ์ได้ 3 เดือน ส่วนเด็กในครรภ์หัวใจยังเต้นเป็นปกติ และผู้หญิงไม่มีอาการตกเลือด
 
 

หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ได้รีบนำคนเจ็บส่งโรงพยาบาล และพยายามสอบถามสาเหตุที่ตกลงไป คนเจ็บได้ปฏิเสธจะให้ข้อมูล พร้อมอ้างว่าจะพูดต่อเมื่อเห็นสามีของตนก่อน เจ้าหน้าที่จึงได้นำนาย YU, XIAODONG ไปพบกับนาง WANG, NAN ขณะนอนปฐมพยาบาลเบื้องต้นที่โรงพยาบาลประจำอำเภอโขงเจียม โดยภรรยาได้พูดกับสามีว่า “เธอทำกับฉันแบบนี้ทำไม” และก็ไม่ยอมให้รายละเอียดใดๆ โดยอ้างว่าเจ็บแผลจากการตกหน้าผา

 

ต่อมาหลังแพทย์โรงพยาบาลประจำอำเภอได้ส่งตัวคนเจ็บมารักษาต่อที่โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ โรงพยาบาลประจำจังหวัด แพทย์ได้นำตัวเข้าทำการผ่าตัดรักษาบาดแผลที่ได้รับบาดเจ็บ และนอนพักในห้องไอซียู เบื้องต้นนาง WANG, NAN และลูกในท้องมีอาการปลอดภัยดี

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : อุทยานแห่งชาติผาแต้ม Phataem National Park

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

ททท. เผยพร้อมปรับแผนหนุนท่องเที่ยวภาคเหนือสู้วิกฤติฝุ่น PM2.5

 
เมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2567 นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 2/2567 จังหวัดพะเยา ว่า ครม.อนุมัติตั้งสำนักงาน ททท. จ.พะเยา ภายในไตรมาส 4 ปีนี้ เพื่อยกระดับจังหวัดพะเยาจากเมืองรองสู่เมืองหลัก
 
 

พื้นที่ภาคเหนือของไทยถือว่าเป็นพื้นที่ท่องเที่ยวที่สำคัญในแต่ละปีมีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างประเทศเดินทางไปเป็นจำนวนมาก โดยในปี 2566 มีจำนวนนักท่องเที่ยวเดินทางไปกลุ่มจังหวัดในภูมิภาคภาคเหนือกว่า 39.48 ล้านคน โดยแบ่งเป็นนักท่องเที่ยวชาวไทยจำนวน 34.87 ล้านคนและนักท่องเที่ยวต่างชาติ 4.61 ล้านคน ซึ่งคาดการณ์ว่าในปี 2567 การท่องเที่ยวในภาคเหนือจะขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยมีจำนวนผู้เยี่ยมเยือนรวมทั้งสิ้นไม่น้อยกว่า 45 ล้านคน อย่างไรก็ตามในช่วงปลายเดือน ก.พ. – เม.ย.ในทุกๆปีภาคเหนือประสบปัญหาเรื่องฝุ่นพิษ PM2.5 จนทำให้กระทบการท่องเที่ยวในพื้นที่ซึ่งเป็นปัญหาที่ต้องมีการแก้ไข

 

นางนงเยาว์ เนตรประสิทธิ์ นายกสมาคมสมาพันธ์ท่องเที่ยวภาคเหนือจังหวัดเชียงราย กล่าวถึงสถานการณ์ท่องเที่ยวภาคเหนือโดยเฉพาะจังหวัดเชียงราย ในช่วงเดือนมี.ค.ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ได้รับผลกระทบจาก PM2.5 ยอดนักท่องเที่ยวปรับตัวลงอย่างมากและจะลดลงต่อเนื่องไปถึงเม.ย.จากสถานการณ์ฝุ่น PM 2.5 ที่มีความรุนแรง ซึ่งปกติในช่วงนี้ต้องมียอดจองห้องพัก 70-80%ของจำนวนห้องพักในจังหวัดที่มี 18,000 ห้องจากโรงแรมประมาณ 600 แห่ง แต่กลับพบว่าลดลงประมาณ 37.5% เหลือยอดการจองห้องพักเพียง 50% จึงอยากให้รัฐบาลเข้ามาแก้ปัญหานี้อย่างจริงจังเพื่อไม่ให้กระทบกับภาคการท่องเที่ยวในพื้นที่

 

 

น.ส.สมฤดี จิตรจง รองผู้ว่าการตลาดในประเทศ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.) เปิดเผยว่า ททท.ได้เปลี่ยนกลยุทธ์ในการส่งเสริมตลาดในประเทศใหม่ เพื่อช่วยกลุ่มจังหวัดในภาคเหนือประสบปัญหาสถานการณ์ฝุ่น PM 2.5 จนนักท่องเที่ยวชะลอการเดินทาง

 

โดย ททท.มีแผนนำงบประมาณประจำปี 2567 ที่เริ่มใช้ได้ในเดือนพ.ค.มาทำการตลาดในรูปแบบของโปรโมชั่นร่วมกับสายการบินในประเทศ จะช่วยให้ราคาค่าโดยสารถูกลง และเพื่อให้เกิดไฮซีซั่นในฤดูฝน ช่วงเดือนพ.ค.-มิ.ย. รวมทั้งส่งเสริมให้เกิดการเที่ยววันธรรมดาเพิ่มขึ้น โดยร่วมกับอโกด้าจัดราคาที่พักมีส่วนลดพิเศษ เริ่มในเดือนพ.ค.นี้เช่นกันและทำให้ปี 2567 เป็นปีที่เดินทางท่องเที่ยวได้ตลอดทั้งปี นอกจากนั้นที่ประชุม ครม.สัญจร จ.พะเยา เมื่อวันที่ 19 มี.ค.ที่ผ่านมา ที่ประชุมฯให้ความสำคัญกับการพัฒนาการท่องเที่ยวในจ.พะเยาและในพื้นที่เป็นอย่างมากด้วยความมุ่งหวังให้เกิดประโยชน์ทางเศรษฐกิจจากการพัฒนาการท่องเที่ยว  

 

 

นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี  เปิดเผยว่า ที่ประชุมเห็นชอบให้ตั้งสำนักงานการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) จังหวัดพะเยา ภายในไตรมาส 4 ปี 2567 ตลอดจนให้มีการศึกษาเพื่อประกาศให้จังหวัดพะเยาเป็นพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน เพื่อกระตุ้นให้เกิดการเดินทางท่องเที่ยวให้เข้าสู่จังหวัดพะเยามากขึ้น และสร้างรายได้ทางการท่องเที่ยวขับเคลื่อนเศรษฐกิจในพื้นที่ ตลอดจนพัฒนาศักยภาพภาคีเครือข่ายให้มีการบริหารจัดการการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน

นอกจากนั้นในการอนุมัติโครงการพัฒนาจังหวัดและกลุ่มจังหวัดจำนวน 9 โครงการรวมวงเงิน 155 ล้านบาทและโครงการภาคเอกชนอีกจำนวน 4 โครงการ วงเงินรวม 145 ล้านบาท รวม 300 ล้านบาท ตามที่ กรอ.กลุ่มจังหวัดเสนอ โดยเป็นโครงการที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวหลายโครงการ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
SOCIETY & POLITICS

สธ. สร้างความปลอดภัยแก่นักท่องเที่ยว ย้ำความพร้อมดูแลเครือข่ายโรงพยาบาลทุกระดับ

 

วันที่ 20 ธันวาคม 2566 นายแพทย์สุรโชค ต่างวิวัฒน์ รักษาราชการแทนรองปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวภายหลังการแถลงข่าวร่วมกับ 12 หน่วยงาน เพื่อสร้างความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยแก่นักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าประเทศไทย ช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ 2567 ว่า คาดการณ์ว่าในปี 2567 จะมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าประเทศไทยประมาณ 35 ล้านคน ซึ่งรัฐบาลได้ให้ความสำคัญกับการท่องเที่ยวเพื่อช่วยขับเคลื่อนภาคเศรษฐกิจของประเทศ จึงมีข้อสั่งการเรื่องการสร้างความปลอดภัยและช่วยเหลือเยียวยาเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินขึ้น 

 

โดยมีคณะทำงาน 4 กลุ่ม ได้แก่ 1.กลุ่มอำนวยความสะดวก 2.กลุ่มการป้องกันและรักษาความปลอดภัย 3.กลุ่มช่วยเหลือเยียวยา และ 4.กลุ่มสื่อสารประชาสัมพันธ์ โดยมีกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เป็นแกนหลักในการบูรณาการความร่วมมือกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง อาทิ กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว, การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย,บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน), สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง, กรมการขนส่งทางบก, กรมเจ้าท่า,ศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล, กรมการปกครอง, สำนักงานตำรวจแห่งชาติ รวมทั้งกระทรวงสาธารณสุข

 

 

          นายแพทย์สุรโชคกล่าวต่อว่า ในส่วนของกระทรวงสาธารณสุข ได้เตรียมความพร้อมในการดูแลนักท่องเที่ยวเมื่อเจ็บป่วยหรือเกิดอุบัติเหตุระหว่างการท่องเที่ยว โดยมีนโยบาย “นักท่องเที่ยวปลอดภัย” ซึ่งเป็น 1 ใน 13 Quick Win ที่เร่งรัดดำเนินการให้เห็นผลเป็นรูปธรรมใน 100 วัน ในประเด็นต่างๆ อาทิ การสร้างพื้นที่ท่องเที่ยวปลอดโรคพิษสุนัขบ้า การฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ให้กับผู้ให้บริการด้านการท่องเที่ยวในพื้นที่ การพัฒนาอาสาฉุกเฉินทางทะเล/อาสาฉุกเฉินชุมชน การเฝ้าระวังคัดกรองโรคในผู้เดินทางระหว่างประเทศ เป็นต้น สำหรับด้านการดูแลรักษาพยาบาล กระทรวงสาธารณสุขมีหน่วยบริการตั้งแต่ระดับปฐมภูมิในตำบล มีโรงพยาบาลชุมชนในทุกอำเภอ และมีโรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไปที่มีศักยภาพสูงกระจายในทุกเขตสุขภาพรวมกว่า 40 แห่ง ประสานการทำงานเป็นเครือข่ายทั้งภาครัฐ เอกชน ในการรับส่งต่อผู้ป่วย รวมถึงมีทีม Sky Doctor รองรับการขนส่งนักท่องเที่ยวที่เจ็บป่วยในพื้นที่ห่างไกล พื้นที่เกาะด้วย

 

 

          “กระทรวงสาธารณสุข ยังให้ความสำคัญกับเรื่องอาหารปลอดภัย โดยเฉพาะในแหล่งท่องเที่ยว โดยดูแลมาตรฐานอาหารปลอดภัยทั้งร้านอาหารและบาทวิถี รวมถึงควบคุม กำกับ สถานประกอบการเพื่อสุขภาพ เช่น นวดไทย สปา Wellness center ตลอดจนผลิตภัณฑ์สุขภาพต่างๆ ให้มีมาตรฐานและความปลอดภัย ซึ่งจะช่วยสร้างความมั่นใจและสร้างเศรษฐกิจให้ประเทศได้อีกทางหนึ่ง” นายแพทย์สุรโชคกล่าว

 

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงสาธารณสุข

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News