
ไทย-เมียนมา เร่งจับมือแก้ปัญหาสารปนเปื้อนแม่น้ำสาย แม่น้ำรวก และแม่น้ำกก
ประชุมทวิภาคีครั้งสำคัญ ณ ชายแดนแม่สาย
เชียงราย, 9 พฤษภาคม 2568 – ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย มอบหมายให้ นายประสงค์ หล้าอ่อน รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย นำทีมเจ้าหน้าที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หารือร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัดท่าขี้เหล็กแห่งสหภาพเมียนมา เพื่อหารือประเด็นเร่งด่วนเกี่ยวกับการขุดลอกแม่น้ำสายและแม่น้ำรวก รวมถึงการแก้ไขปัญหาสารปนเปื้อนในแม่น้ำสาย แม่น้ำรวก และแม่น้ำกก ที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพประชาชนทั้งสองประเทศ
ความคืบหน้าการขุดลอกแม่น้ำสายและแม่น้ำรวก
ฝ่ายไทยได้แจ้งว่าการขุดลอกแม่น้ำรวกได้ดำเนินการเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว ส่วนการขุดลอกแม่น้ำสายยังคงค้างในส่วนของเมียนมา ซึ่งรับผิดชอบโดยตรง โดยฝ่ายเมียนมาได้แจ้งว่า ขณะนี้มีการจัดสรรงบประมาณและเตรียมการแล้ว และจะเร่งดำเนินการตามกรอบเวลาที่กำหนด
สารปนเปื้อนในแม่น้ำวิกฤตที่ต้องเร่งคลี่คลาย
ฝ่ายไทยได้หยิบยกประเด็นสารพิษปนเปื้อนในลำน้ำหลัก 3 สาย ซึ่งพบสารอันตรายอย่างสารหนูและโลหะหนักจากการทำเหมืองฝั่งเมียนมา โดยเฉพาะในเขตเมืองสากซึ่งเป็นแหล่งกิจกรรมเหมืองแร่ ฝ่ายเมียนมาได้แสดงความร่วมมือ โดยแจ้งว่าจะจัดประชุมร่วมกับจังหวัดเมืองสากเพื่อหามาตรการควบคุมมลพิษจากแหล่งต้นตอ
ข้อเรียกร้องจากฝ่ายเมียนมาเกี่ยวกับมาตรการ “3 ตัด”
อีกหนึ่งประเด็นที่ฝ่ายเมียนมาให้ความสำคัญคือผลกระทบจากมาตรการ “3 ตัด” ของฝ่ายไทย ที่มีเป้าหมายจัดการอาชญากรรมไซเบอร์ โดยเฉพาะกลุ่มคอลเซ็นเตอร์ ฝ่ายเมียนมาแสดงความไม่สบายใจต่อผลกระทบในพื้นที่ท่าขี้เหล็ก พร้อมแจ้งว่าได้ดำเนินการกวาดล้างและไม่มีฐานปฏิบัติการของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในพื้นที่แล้ว จึงขอให้ไทยพิจารณาทบทวนมาตรการนี้อย่างเหมาะสม
การพัฒนาจุดผ่านแดนเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
ฝ่ายไทยได้เสนอการเปลี่ยนแปลงเวลาปิดจุดผ่านแดนถาวรบริเวณสะพานข้ามแม่น้ำสายแห่งที่ 1 จาก 18.30 น. เป็น 21.00 น. เพื่อส่งเสริมการค้าชายแดนและการท่องเที่ยว อีกทั้งยังขอความร่วมมือให้เมียนมาพิจารณาเปิดจุดผ่อนปรนการค้าบ้านปางห้า และบ้านท่าดินดำ ตำบลเกาะช้าง อำเภอแม่สาย ซึ่งฝ่ายเมียนมารับปากว่าจะนำเสนอต่อหน่วยเหนือเพื่อดำเนินการ
แนวโน้มความร่วมมือระยะยาวระหว่างสองประเทศ
การประชุมในครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามของทั้งสองฝ่ายในการสร้างกลไกความร่วมมือด้านทรัพยากรธรรมชาติ ความมั่นคง และเศรษฐกิจ ซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อเสถียรภาพของพื้นที่ชายแดน โดยเฉพาะประเด็นสิ่งแวดล้อมที่ไม่อาจละเลยได้อีกต่อไป
ปัญหาสารพิษในแม่น้ำคือสัญญาณเตือนภัย
จากรายงานของกรมควบคุมมลพิษ พบว่าระดับสารหนูในแม่น้ำกกบางจุดเกินค่ามาตรฐานความปลอดภัยของ WHO ถึง 3 เท่า ส่งผลกระทบต่อประชากรที่อาศัยริมฝั่งแม่น้ำ โดยเฉพาะกลุ่มเกษตรกรและชาวประมงพื้นถิ่น ที่ยังคงใช้น้ำจากแม่น้ำในการดำรงชีวิตประจำวัน
หากไม่เร่งหามาตรการควบคุมต้นตอของมลพิษ อาทิ การใช้สารเคมีจากการทำเหมืองโดยไม่มีระบบบำบัดที่มีประสิทธิภาพ ปัญหาอาจลุกลามสู่ภาวะวิกฤตสุขภาพของประชาชนในวงกว้าง และส่งผลต่อความเชื่อมั่นในสินค้าจากพื้นที่ลุ่มน้ำเหล่านี้
ข้อเสนอแนะจากนักวิชาการและองค์กรสิ่งแวดล้อม
นักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อมจากมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย แนะนำให้ทั้งสองประเทศตั้งคณะกรรมการร่วมถาวรเพื่อกำกับ ติดตาม และรายงานผลกระทบจากเหมืองในระยะยาว โดยควรเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะผ่านช่องทางออนไลน์แบบเรียลไทม์ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและป้องกันข่าวลือ
องค์การแม่น้ำเพื่อชีวิตเสนอให้ไทยและเมียนมาร่วมมือพัฒนาระบบเตือนภัยมลพิษในแม่น้ำ เพื่อให้ประชาชนสามารถรับรู้ความเสี่ยงได้รวดเร็วและปรับตัวทันต่อสถานการณ์
สถิติที่เกี่ยวข้อง (ข้อมูล ณ พฤษภาคม 2568)
- ค่าระดับสารหนูเฉลี่ยในแม่น้ำกก: 0.052 mg/l (มาตรฐาน WHO ไม่เกิน 0.01 mg/l)
- ประชาชนที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากน้ำปนเปื้อนในอำเภอแม่สาย: 12,460 คน (ที่มา: สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย)
- มูลค่าการค้าชายแดนสะพานข้ามแม่น้ำสายแห่งที่ 1 (2567): 8,300 ล้านบาท (ที่มา: กรมศุลกากร)
เครดิตภาพและข้อมูลจาก :
-
กรมควบคุมมลพิษ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
-
องค์การอนามัยโลก (WHO)
-
สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย
-
กรมศุลกากร
-
มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย
-
สมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิต
-
ที่ว่าการอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย