Categories
TOP STORIES

3 สมาคมสื่อแถลงด่วน! ห่วงความปลอดภัยนักข่าวชายแดนไทย-กัมพูชา เร่งกองบรรณาธิการประเมินภาพรวมก่อนส่งทีม

สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย สมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย และสมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ ออกแถลงการณ์ร่วมแสดงความห่วงใยสูงสุดต่อความปลอดภัยของบุคลากรสื่อมวลชนที่รายงานข่าวความขัดแย้งบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา

ประเทศไทย,14 ธันวาคม 2568 – ข้อห่วงใยจากองค์กรวิชาชีพสู่มาตรการความปลอดภัยขั้นสูงสุด พร้อมเสนอแนะแนวทางเข้มงวดให้กองบรรณาธิการประเมินสถานการณ์ภาพรวมก่อนมอบหมายงาน และเน้นย้ำใช้ข้อมูลที่เชื่อถือได้จากหน่วยงานราชการทดแทนการลงพื้นที่ด้วยตนเองในกรณีที่จำเป็น เพื่อให้การรายงานข่าวเป็นไปอย่างรับผิดชอบ ควบคู่ไปกับความมั่นคงของประเทศ  องค์กรวิชาชีพสื่อมวลชนที่สำคัญ 3 แห่งของประเทศไทย ได้แก่ สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย , สมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย , และ สมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ (SONP) ได้ร่วมกันออกแถลงการณ์ด่วนภายใต้หัวข้อ ข้อห่วงใยสื่อมวลชน ในการลงพื้นที่รายงานข่าวที่มีความเสี่ยง” ซึ่งสะท้อนถึงความตระหนักต่อสถานการณ์ที่มีความอ่อนไหวและเสี่ยงอันตรายบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา

แถลงการณ์ดังกล่าวเป็นการแสดงความห่วงใยอย่างยิ่งต่อสวัสดิภาพของผู้สื่อข่าว ช่างภาพ และบุคลากรสื่อมวลชนทุกคน ที่กำลังปฏิบัติหน้าที่รายงานข่าวสถานการณ์ดังกล่าว องค์กรวิชาชีพเหล่านี้ได้กล่าวชื่นชมการทำหน้าที่อย่างเข้มแข็งและมุ่งมั่นในการนำเสนอข้อมูลข่าวสารที่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณชน ภายใต้สถานการณ์ที่เต็มไปด้วยความอ่อนไหว

อย่างไรก็ตาม เพื่อคำนึงถึงความปลอดภัยสูงสุดของบุคลากรสื่อมวลชน องค์กรวิชาชีพสื่อมวลชนจึงได้เสนอแนะแนวทางการทำงานต่อสื่อมวลชนภาคสนามและกองบรรณาธิการ โดยแบ่งออกเป็น 2 ประเด็นหลักและ 1 แนวทางทดแทนที่สำคัญ:

  1. การประเมินสถานการณ์ภาพรวมก่อนการมอบหมายงาน (Editor’s Responsibility)

องค์กรวิชาชีพสื่อมวลชนได้ขอให้ กองบรรณาธิการและผู้บังคับบัญชา ดำเนินการตรวจสอบและประเมินสถานการณ์ภาพรวมอย่างรอบด้านตลอดเวลา โดยต้องอาศัยข้อมูลจากหลายแหล่งข่าว/ข้อมูลที่เชื่อถือได้ เพื่อนำมาช่วยวิเคราะห์ความจำเป็นในการส่งทีมข่าวเข้าพื้นที่ที่มีความเสี่ยง

  • เหตุผลเชิงนโยบาย: แถลงการณ์ระบุอย่างชัดเจนว่า ผู้สื่อข่าวภาคสนามอาจเห็นสถานการณ์ในมุมมองเฉพาะจุดเท่านั้น ขณะที่การตัดสินใจเชิงนโยบาย (Policy Decision) ที่จะส่งบุคลากรเข้าไปในพื้นที่ ควรพิจารณาจากภาพรวมของสถานการณ์ทั้งหมด ซึ่งเป็นหลักการสำคัญในการบริหารจัดการข่าวในสถานการณ์ความมั่นคง
  1. การให้ความสำคัญกับพื้นที่ปลอดภัยเป็นลำดับแรก (Field Safety First)

หลักการพื้นฐานที่องค์กรสื่อย้ำเตือนคือ การคำนึงถึงสวัสดิภาพของสื่อมวลชนภาคสนามเป็นลำดับแรก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่มอบหมายให้เข้าไปในพื้นที่เสี่ยง หรือพื้นที่ที่อาจกระทบต่อความปลอดภัยของชีวิตและยังคงมีการปะทะ หรือมีการใช้อาวุธหนัก

เนื้อหาแนวทางปฏิบัติทางเลือกและการคำนึงถึงความมั่นคง

สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย สมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย และ สมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ แสดงความห่วงใยต่อความปลอดภัยของผู้สื่อข่าว ช่างภาพ และบุคลากรสื่อมวลชนทุกท่านที่ปฏิบัติหน้าที่รายงานข่าวสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย–กัมพูชา พร้อมขอชื่นชมการทำหน้าที่อย่างเข้มแข็ง มุ่งมั่นนำเสนอข้อมูลข่าวสารที่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณชนภายใต้สถานการณ์ที่มีความอ่อนไหวและ

อย่างไรก็ตาม เพื่อคำนึงถึงความปลอดภัยสูงสุดของบุคลากรสื่อมวลชน องค์กรวิชาชีพสื่อมวลชนขอเสนอแนะแนวทางการทำงานต่อสื่อมวลชนภาคสนามและกองบรรณาธิการ ดังต่อไปนี้

  1. การประเมินสถานการณ์ภาพรวมก่อนการมอบหมายงาน : ขอให้กองบรรณาธิการและผู้บังคับบัญชา ตรวจสอบและประเมินสถานการณ์ภาพรวมอย่างรอบด้านตลอดเวลา โดยอาศัยข้อมูลจากหลายแหล่งข่าว/ข้อมูลที่เชื่อถือได้ เพื่อช่วยวิเคราะห์ความจำเป็นในการส่งทีมข่าวเข้าพื้นที่ที่มีความเสี่ยง

ทั้งนี้ เนื่องจากผู้สื่อข่าวภาคสนามอาจเห็นสถานการณ์ในมุมเฉพาะจุด ขณะที่การตัดสินใจเชิงนโยบายควรพิจารณาจากภาพรวมของสถานการณ์ทั้งหมด

  1. การให้ความสำคัญกับพื้นที่ปลอดภัยเป็นลำดับแรก : คำนึงถึงสวัสดิภาพของสื่อมวลชนภาคสนาม กรณีมอบหมายให้เข้าไปในพื้นที่เสี่ยงหรือพื้นที่ที่อาจกระทบต่อความปลอดภัยของชีวิตที่ยังคงมีการปะทะ ใช้อาวุธหนักในสถานการณ์

 

ในกรณีที่จำเป็นต้องรายงานเหตุการณ์จากพื้นที่เสี่ยง ขอแนะนำให้ใช้ข้อมูล ภาพ หรือคลิปวิดีโอจากหน่วยงานราชการหรือเจ้าหน้าที่เชื่อถือได้ เป็นทางเลือกทดแทนการเข้าพื้นที่ด้วยตนเอง เพื่อลดความเสี่ยงและการสูญเสียต่อบุคลากรสื่อมวลชน

ขณะเดียวกัน ในสถานการณ์ด้านความมั่นคงครั้งนี้ อยากให้ผู้ปฏิบัติงานภาคสนามทุกคน รวมทั้งบรรณาธิการให้ความสำคัญกับการตรวจสอบข่าวและภาพที่เกี่ยวข้องกับสถานที่ทางการทหารรวมถึงสถานที่ปลอดภัยสำหรับประชาชน ก่อนเผยแพร่ภาพ เพื่อคำนึงถึงเหตุผลทางด้านความมั่นคง

ทั้งนี้ความปลอดภัยของผู้ปฏิบัติงานด้านสื่อมวลชนคือหัวใจสำคัญควบคู่ไปกับเสรีภาพในการรายงานข่าว ที่ต้องเป็นไปอย่างรับผิดชอบ รอบคอบ และสอดคล้องกับจริยธรรมวิชาชีพสื่อมวลชน

การจัดการความเสี่ยงในสถานการณ์ความขัดแย้ง

แถลงการณ์ร่วมของทั้ง 3 องค์กรวิชาชีพสื่อมวลชนนี้ สะท้อนให้เห็นถึงการยกระดับมาตรฐานการจัดการความเสี่ยง (Risk Management) ในงานข่าวสถานการณ์ความขัดแย้งของประเทศไทย

  1. การยกระดับบทบาทกองบรรณาธิการ:

แถลงการณ์ได้โอนถ่ายอำนาจและความรับผิดชอบในการตัดสินใจขั้นสุดท้ายจากผู้สื่อข่าวภาคสนาม ไปยัง กองบรรณาธิการ” ซึ่งเป็นผู้มีอำนาจในการตัดสินใจเชิงนโยบาย (Policy Decision) ที่สามารถเข้าถึงและวิเคราะห์ ภาพรวมของสถานการณ์ทั้งหมด” จากหลายแหล่งที่เชื่อถือได้ การเปลี่ยนแปลงนี้เป็นไปตามหลักการสากลในการรายงานข่าวสงครามหรือความขัดแย้ง ซึ่งถือว่าความปลอดภัยของบุคลากรคือต้นทุนที่ไม่อาจประเมินค่าได้

  1. สื่อสารมวลชนกับความมั่นคงแห่งชาติ:

การเน้นย้ำให้ตรวจสอบภาพถ่ายสถานที่ทางการทหารและที่ปลอดภัยสำหรับประชาชนอย่างละเอียดก่อนเผยแพร่ สะท้อนถึงการทำหน้าที่ของสื่อมวลชนในฐานะ ผู้รักษาความรับผิดชอบ” ต่อความมั่นคงแห่งชาติในช่วงเวลาวิกฤต ในขณะที่ต้องธำรงไว้ซึ่งเสรีภาพในการรายงานข่าว ซึ่งเป็นบทบาทที่ต้องสร้างสมดุลอย่างชาญฉลาดตามหลักจริยธรรมวิชาชีพ

  1. การใช้ข้อมูลทดแทนที่เชื่อถือได้:

การแนะนำให้ใช้ข้อมูลจากหน่วยงานราชการหรือเจ้าหน้าที่ที่เชื่อถือได้ในกรณีจำเป็น เป็นการยอมรับกลไกความร่วมมือระหว่างสื่อและหน่วยงานความมั่นคง เพื่อให้ประชาชนยังได้รับข่าวสารอย่างต่อเนื่อง แต่ลดความเสี่ยงของบุคลากรสื่อ การใช้แหล่งข้อมูลเหล่านี้ต้องถูกกำกับดูแลอย่างเข้มงวดโดยบรรณาธิการ เพื่อให้มั่นใจว่าข้อมูลที่นำมาใช้นั้นเป็น ข้อมูลที่เป็นกลาง และมิได้เป็นเครื่องมือในการโฆษณาชวนเชื่อ

แถลงการณ์ร่วมฉบับนี้ถือเป็นแนวทางปฏิบัติ (Guideline) ที่ชัดเจนและเป็นมาตรฐานเดียวกันสำหรับองค์กรสื่อในประเทศไทย เพื่อให้สามารถรายงานข่าวในพื้นที่เสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพและรับผิดชอบ การให้ความสำคัญกับ ความปลอดภัยควบคู่ไปกับเสรีภาพในการรายงานข่าวที่ต้องมีความรับผิดชอบ” เป็นการยกระดับวิชาชีพสื่อมวลชนไทยให้ก้าวสู่มาตรฐานสากลในการจัดการสถานการณ์ความขัดแย้ง พร้อมทั้งช่วยลดความเสี่ยงในการสูญเสียบุคลากรอันเนื่องมาจากความขัดแย้งในสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ที่ยังคงมีความอ่อนไหว

สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย (Thai Journalists Association – TJA)
  • สมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย (The Thai Broadcast Journalists Association – TBJA)
  • สมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ (Online News Providers Association – SONP)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
MOST POPULAR
FOLLOW ME
Categories
WORLD PULSE

ช่องบกคลี่คลาย! ทหารกัมพูชากลบหลุม-ถอยกำลัง หวังเจรจา JBC

ทหารเขมรถอยทัพจากช่องบก ไทยเดินหน้ากลไก JBC ลดตึงเครียดชายแดน

สถานการณ์ชายแดนช่องบกคลี่คลาย ไทย-กัมพูชาเห็นพ้องถอยกำลัง

อุบลราชธานี,8 มิถุนายน 2568 – ที่บริเวณ “ช่องบก” พื้นที่รอยต่อชายแดนไทย-ลาว-กัมพูชา ในอำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี สถานการณ์ที่ตึงเครียดจากข้อพิพาทเรื่องเขตแดนเริ่มคลี่คลาย หลังการเจรจาระดับสูงระหว่างกองทัพไทยและกองทัพกัมพูชา ส่งผลให้ฝ่ายกัมพูชายินยอมถอนกำลังกลับไปยังแนวเดิมตามที่เคยตกลงกันไว้ในปี 2567

ย้ำแนวทางสันติวิธี กลบคูเลตคืนสู่สภาพธรรมชาติ

จากการหารือระหว่าง พลตรี สมภพ ภาระเวช ผู้บัญชาการกองกำลังสุรนารี และ พลโท สรัย ดึก รองผู้บัญชาการทหารบกกัมพูชา ซึ่งดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการกองพลสนับสนุนที่ 3 ได้ข้อสรุปว่าฝ่ายกัมพูชาจะถอยกำลังจากบริเวณต้นพญาสัตบรรณกลับไปยังแนวศาลาตรีมุข และดำเนินการกลบ “คูเลต” ที่มีลักษณะเป็นร่องแนวการวางกำลังคืนให้สภาพพื้นที่เดิม

ใช้กลไก TBC สร้างความเข้าใจ ลดความเข้าใจผิด

ทั้งสองฝ่ายตกลงใช้กลไกคณะกรรมการชายแดนส่วนท้องถิ่น (TBC) เป็นช่องทางหลักในการพูดคุย เพื่อป้องกันเหตุการณ์เข้าใจผิดที่อาจนำไปสู่การเผชิญหน้าในอนาคต โดยจะมีการพบปะกันของกำลังทหารสัปดาห์ละ 1 ครั้ง สร้างบรรยากาศแห่งความร่วมมือ ลดการยั่วยุ และเปิดพื้นที่ให้กับแนวทางสันติ

28 พ.ค. 68 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังเกิดเหตุปะทะระหว่างทหารไทยกับทหารกัมพูชา บริเวณช่องบก จังหวัดอุบลราชธานี หลังพบขุดคูเลต จากจุดต้นสัตบรรณถึงสามแยกลาว ระยะทาง 650 เมตร
8 มิ.ย.68 ทหารฝ่ายกัมพูชา ปิดกลบคูเลต ปรับพื้นที่ อยู่ในสภาพเดิม ทำให้ปัจจุบันกองกำลังทั้งสองฝ่าย ได้ถอยกำลัง กลับไปยังจุดเดิมแล้ว

รัฐบาลย้ำไทยรักสงบ แต่ไม่ยอมให้รุกล้ำอธิปไตย

นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ระบุว่าทั้งสองฝ่ายมีความพยายามลดความตึงเครียดและหาวิธีแก้ไขปัญหาด้วยสันติวิธี พร้อมชื่นชมการปฏิบัติงานของทหารไทยที่อดทน อดกลั้น และยึดหลักสันติภาพ โดยกองทัพบกไทยได้ออกลาดตระเวนร่วมกับกัมพูชา ตรวจสอบการถอยทัพและการกลบคูเลตตามที่ตกลงไว้

นายกรัฐมนตรีหญิงโพสต์ย้ำความคืบหน้า สันติภาพคือเป้าหมาย

นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี โพสต์ผ่านสื่อโซเชียลว่ารัฐบาลไทยได้หารือร่วมกับรัฐบาลกัมพูชาและมีความคืบหน้าในการลดบรรยากาศการเผชิญหน้า โดยทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องกันที่จะใช้กลไก JBC หรือคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม เพื่อเดินหน้าแก้ไขปัญหาในระดับนโยบาย ซึ่งจะมีการหารือในวันที่ 14 มิถุนายน 2568

ย้ำมาตรการกดดันต่อในพื้นที่อื่นที่ยังตึงเครียด

แม้สถานการณ์ช่องบกจะคลี่คลายลง แต่ยังมีรายงานว่าฝ่ายกัมพูชายังคงวางกำลังในจุดอื่นตามแนวชายแดน ซึ่งฝ่ายไทยจะเดินหน้ากดดันต่อผ่านการเจรจาเชิงยุทธศาสตร์และการทูต ทั้งนี้ กองทัพยังคงเฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์ใกล้ชิด พร้อมทั้งเตรียมรับมือหากเกิดเหตุที่กระทบต่อความมั่นคงในพื้นที่ชายแดน

แนวโน้มการเจรจา JBC ความหวังใหม่ของสันติภาพ

การประชุม JBC วันที่ 14 มิถุนายน 2568 ถือเป็นโอกาสสำคัญที่ทั้งสองประเทศจะสามารถยุติความขัดแย้งในจุดที่ยังตกลงกันไม่ได้ และวางแนวทางจัดการเขตแดนร่วมกันอย่างยั่งยืน ซึ่งรัฐบาลไทยตั้งเป้าว่าการประชุมครั้งนี้จะเป็นจุดเปลี่ยนของความสัมพันธ์ที่ดีขึ้น

ความร่วมมือคือคำตอบของอนาคต

การถอยทัพของฝ่ายกัมพูชาในครั้งนี้ไม่เพียงลดความตึงเครียดในพื้นที่พิพาท แต่ยังเป็นสัญญาณบวกถึงการเปิดใจพูดคุยของทั้งสองประเทศ เพื่อวางแนวทางแก้ปัญหาเขตแดนอย่างยั่งยืน บนพื้นฐานของความเคารพอธิปไตยและสันติภาพระหว่างกัน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กองทัพบกไทย (Army PR Department)
  • กระทรวงกลาโหม
  • สำนักงานคณะกรรมการชายแดนไทย-กัมพูชา (JBC)
  • โพสต์ทางการของนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร
  • รายงานข่าวจากกองกำลังสุรนารี วันที่ 8 มิถุนายน 2568
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

ไทยจำใจคุมชายแดน กัมพูชาเสริมกำลัง หลังเหตุปะทะช่องบก

กระทรวงการต่างประเทศแถลงจุดยืนไทยต่อสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา หลังเหตุปะทะช่องบก ยืนยันใช้สันติวิธีแก้ปัญหา ยกระดับมาตรการรักษาความมั่นคง พร้อมเปิดกลไกเจรจาทวิภาคี

ประเทศไทย, 7 มิถุนายน 2568 – สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาเริ่มมีความตึงเครียดเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ หลังเกิดเหตุปะทะระหว่างทหารทั้งสองฝ่ายบริเวณช่องบก อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2568 จนส่งผลให้รัฐบาลไทยจำเป็นต้องแถลงจุดยืนต่อสาธารณชน โดยย้ำเจตนารมณ์ในการรักษาอธิปไตย ควบคู่กับการแสวงหาทางออกอย่างสันติ และยืนยันความพร้อมในการเปิดเวทีเจรจาแบบทวิภาคี

เมื่อเวลา 16.30 น. ที่ห้องแถลงข่าว กระทรวงการต่างประเทศ นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ พ.อ.หญิง ผศ.ดร.พญ.ดังใจ สุวรรณกิตติ โฆษกกระทรวงกลาโหม และ พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก ได้ร่วมกันแถลงข่าวถึงพัฒนาการของสถานการณ์ความไม่สงบตามแนวชายแดนภาคตะวันออก

เหตุปะทะชายแดนและจุดยืนไทยในการป้องกันประเทศ

นายนิกรเดช เปิดเผยว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อปลายเดือนพฤษภาคม เป็นผลจากการที่ฝ่ายทหารไทยจำเป็นต้องป้องกันตนเองอย่างเหมาะสมและชอบธรรม เพื่อปกป้องอธิปไตยของประเทศ โดยเป็นไปตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ และแนวทางปฏิบัติสากล ซึ่งภายหลังเหตุการณ์ ฝ่ายไทยได้ดำเนินการอย่างอดทนอดกลั้น และพยายามหาทางคลี่คลายปัญหาด้วยการสื่อสารและเจรจาทั้งในระดับรัฐบาลและระดับทหารอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ ฝ่ายไทยได้เรียกร้องให้กัมพูชาดำเนินมาตรการลดระดับความตึงเครียดในพื้นที่ และจำกัดสถานการณ์ให้อยู่เฉพาะบริเวณจุดปะทะเท่านั้น โดยมีกระบวนการหารือผ่านนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ รัฐมนตรีกลาโหม และผู้บัญชาการกองทัพของทั้งสองฝ่าย

“แม้ฝ่ายไทยจะใช้ความอดทนและเน้นการเจรจาเป็นหลัก แต่การดำเนินการของฝ่ายกัมพูชา กลับไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์สันติภาพ” นายนิกรเดช กล่าว

กัมพูชาปฏิเสธแนวทางลดความตึงเครียด ขัดข้อตกลง MOU 2543

ในช่วงวันที่ 5 มิถุนายนที่ผ่านมา มีการประชุมหารือระดับรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของทั้งสองประเทศ ที่จังหวัดสระแก้ว ซึ่งฝ่ายไทยได้เสนอให้มีการปรับลดกำลังทหารกลับสู่ระดับก่อนเกิดเหตุการณ์ เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงในการเผชิญหน้าทางทหาร และลดผลกระทบต่อประชาชนบริเวณชายแดน

อย่างไรก็ตาม ฝ่ายกัมพูชากลับปฏิเสธข้อเสนอดังกล่าวโดยทันที และยังคงเสริมกำลังทหารในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง อีกทั้งปฏิเสธการดำเนินงานตามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ปี 2543 ที่วางแนวทางไว้สำหรับการเจรจาอย่างสันติ ซึ่งโฆษกกระทรวงการต่างประเทศมองว่า การกระทำดังกล่าวสะท้อนถึงการขาดเจตจำนงร่วมในการยุติความขัดแย้ง

ไทยตอบสนองด้วยมาตรการควบคุมชายแดนแบบขั้นตอน

ภายใต้สถานการณ์ที่มีแนวโน้มจะขยายตัว สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ได้ประชุมเมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2568 และมีมติเห็นชอบให้ยกระดับมาตรการรักษาความมั่นคง โดยมอบหมายให้กองทัพภาคที่ 1 และกองทัพภาคที่ 2 รวมถึงกองกำลังจันทบุรีและตราด กำหนดแนวทางควบคุมการเปิด-ปิดจุดผ่านแดนทุกประเภทตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ตามความเหมาะสมและสภาพการณ์

พล.ต.วินธัย สุวารี ระบุว่า มาตรการดังกล่าวจะดำเนินการเป็น 4 ขั้นตอน เริ่มจากการจำกัดการผ่านแดนเฉพาะบุคคลที่มีเหตุจำเป็น เช่น การรักษาพยาบาล หรือการศึกษา จากนั้นจะมีการควบคุมช่วงเวลาเปิด-ปิดจุดผ่านแดน และอาจดำเนินมาตรการ “Selective Closure” หรือการปิดบางจุดผ่านแดนชั่วคราวในพื้นที่เสี่ยง สุดท้ายหากสถานการณ์รุนแรงถึงระดับวิกฤต อาจมีการปิดแนวชายแดนทั้งหมดในระยะสั้น

“แม้จะมีคำสั่งให้ควบคุมชายแดน แต่กองทัพยังคงประสานงานกับทุกหน่วยเพื่อไม่ให้กระทบกับชีวิตประจำวันของประชาชนโดยไม่จำเป็น” พล.ต.วินธัย กล่าว

กระทรวงกลาโหมยืนยันยังยึดสันติวิธี รัฐบาลไทยพร้อมเปิดเวทีเจรจา

พ.อ.หญิง ผศ.ดร.พญ.ดังใจ สุวรรณกิตติ กล่าวเสริมว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมได้กำชับหน่วยในพื้นที่ให้เฝ้าระวังอย่างเข้มข้น และยืนยันว่าฝ่ายไทยยังไม่ปิดโอกาสการเจรจา โดยยังคงยึดมั่นแนวทางสันติวิธี และความร่วมมือกับกัมพูชาผ่านกลไกทวิภาคี อาทิ การประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยเขตแดน (JBC) ที่จะจัดขึ้น ณ กรุงพนมเปญ ในวันที่ 14 มิถุนายนนี้

ทั้งนี้ ฝ่ายไทยเน้นย้ำว่าการดำเนินการของตนมีวัตถุประสงค์เพื่อรักษาความปลอดภัยของประชาชนทั้งสองประเทศ รวมถึงความสงบเรียบร้อยในพื้นที่ชายแดน โดยจะพยายามอย่างที่สุดเพื่อไม่ให้มาตรการควบคุมกระทบต่อการค้า วิถีชีวิต หรือความสัมพันธ์ของประชาชนตามแนวชายแดน

สรุปสถานการณ์

สถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างไทยกับกัมพูชาตามแนวชายแดนตะวันออก แม้จะมีร่องรอยความรุนแรงจากเหตุปะทะ แต่รัฐบาลไทยยังคงเดินหน้าด้วยแนวทางที่รอบคอบบนพื้นฐานของสันติวิธี มุ่งเน้นการรักษาอธิปไตย ควบคู่ไปกับความพยายามลดผลกระทบต่อชีวิตของประชาชนและความสัมพันธ์ระดับประชาชนกับประชาชน อนาคตของเสถียรภาพในพื้นที่ชายแดนจะขึ้นอยู่กับการตอบสนองของฝ่ายกัมพูชา และประสิทธิภาพของกลไกเจรจาทางการทูตที่ทั้งสองประเทศได้วางไว้

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กระทรวงการต่างประเทศแห่งราชอาณาจักรไทย, แถลงข่าวอย่างเป็นทางการ 7 มิถุนายน 2568
  • สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.)
  • กองทัพบกไทย
  • สำนักข่าวความมั่นคงชายแดนภาคตะวันออก
  • บันทึกความเข้าใจ MOU ปี 2543 ไทย-กัมพูชา
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
WORLD PULSE

สมาคมนักข่าวไทย-กัมพูชา วอนสื่อหยุดข่าวลือชายแดน

เหตุการณ์ปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา ช่องบก อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี – สื่อสองชาติร่วมเรียกร้องหยุดข่าวลวง หวังความสงบและสันติวิธี

ประเทศไทย, 28 พฤษภาคม 2568 –ได้เกิดเหตุการณ์ตึงเครียดบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ที่ช่องบก อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี ภายหลังจากที่ทหารไทยซึ่งลาดตระเวนพื้นที่บริเวณดังกล่าว พบว่ามีกำลังทหารกัมพูชาเข้ามาขุดคูเลตหรือสนามเพลาะ พร้อมสร้างจุดที่ตั้งบริเวณแนวชายแดนดังกล่าว จนต้องมีการเข้าไปเจรจาให้ถอนกำลังและยุติกิจกรรมดังกล่าว เนื่องจากถือเป็นการละเมิดบันทึกข้อตกลงร่วมไทย-กัมพูชา หรือ MOU 2543 เป็นครั้งที่สองในรอบปีนี้

เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้สถานการณ์บริเวณชายแดนตึงเครียดขึ้นในทันที แม้จะยังไม่มีรายงานการบาดเจ็บหรือสูญเสียชีวิตแน่ชัด แต่ถือเป็นอีกหนึ่งจุดเสี่ยงสำคัญที่อาจนำไปสู่การปะทะหรือความขัดแย้งขยายวงกว้าง หากไม่มีการจัดการด้วยความรอบคอบและร่วมมือกันทั้งสองฝ่าย

จุดเริ่มต้นของเหตุปะทะความเคลื่อนไหวในพื้นที่สีเทา

เหตุการณ์เริ่มต้นจากการที่ทหารไทยปฏิบัติหน้าที่ลาดตระเวนตามแนวชายแดนตามปกติ เพื่อป้องกันการรุกล้ำและรักษาความสงบในพื้นที่ ต่อมาได้ตรวจพบว่ามีกำลังทหารจากฝั่งกัมพูชา เข้ามาขุดคูสนามเพลาะ ซึ่งเป็นกิจกรรมต้องห้ามภายใต้ MOU2543 ซึ่งเป็นบันทึกข้อตกลงว่าด้วยมาตรการรักษาความสงบชายแดนไทย-กัมพูชา ที่สองประเทศได้ร่วมลงนามและยึดถือปฏิบัติมายาวนาน

เมื่อทหารไทยได้เข้าไปเจรจาขอให้ถอนกำลังออกจากพื้นที่ ฝ่ายกัมพูชายังไม่ยินยอมโดยทันที ทำให้บรรยากาศในพื้นที่ชายแดนตึงเครียดมากขึ้น อย่างไรก็ดี จากการปฏิบัติการของทั้งสองฝ่าย ยังไม่มีรายงานการใช้กำลังรุนแรงหรือเกิดความเสียหายใดๆ แต่สถานการณ์ยังคงเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด

ปมปัญหา MOU2543 เส้นแบ่งที่ยังคลุมเครือ

MOU2543 เป็นบันทึกข้อตกลงสำคัญซึ่งรัฐบาลไทยและกัมพูชาได้ลงนามร่วมกันเมื่อปี 2543 ว่าด้วยการห้ามดำเนินการใดๆ ที่อาจเปลี่ยนแปลงสภาพที่เป็นอยู่ตามแนวชายแดนที่ยังไม่มีข้อสรุปอย่างเป็นทางการ (Pending Boundary) โดยเฉพาะในพื้นที่พิพาทหรือยังไม่ได้ตกลงเขตแดนที่ชัดเจน

อย่างไรก็ตาม การตีความขอบเขตพื้นที่และเจตนาของ MOU2543 ในแต่ละฝ่ายยังคงแตกต่างกันอยู่บ้าง ทำให้เกิดจุดอ่อนไหวและการกระทบกระทั่งเป็นระยะๆ ตลอด 20 กว่าปีที่ผ่านมา ซึ่งส่วนใหญ่มักจะยุติได้ด้วยกลไกการเจรจาและการควบคุมสถานการณ์ในพื้นที่ร่วมกันระหว่างเจ้าหน้าที่ทั้งสองประเทศ

บทบาทของสื่อมวลชนจุดเปลี่ยนแห่งความเข้าใจ หรือซ้ำเติมปัญหา

ภายหลังเหตุการณ์ปะทะดังกล่าว ทั้งสโมสรนักข่าวกัมพูชา (CCJ) และสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย (TJA) ได้ออกแถลงการณ์ร่วมอย่างเร่งด่วน สืบเนื่องจากการสังเกตการณ์ว่ามีสื่อบางแห่ง โดยเฉพาะในโซเชียลมีเดีย ได้นำเสนอข้อมูลที่ขาดแหล่งอ้างอิงชัดเจน หรือข้อมูลผิดพลาดเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนระหว่างไทย-กัมพูชา ซึ่งสร้างความสับสนและความเข้าใจผิดอย่างกว้างขวางในทั้งสองประเทศ

ทั้ง CCJ และ TJA แสดงความกังวลอย่างมากต่อการเผยแพร่ข่าวสารที่ไม่มีที่มาที่ไป หรือมีเจตนาให้เกิดความเข้าใจผิด เพราะนอกจากจะเพิ่มความตึงเครียดในพื้นที่แล้ว ยังบั่นทอนความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนสองชาติที่สะสมความไว้เนื้อเชื่อใจมาอย่างยาวนาน

ข้อเรียกร้องจากสององค์กรสื่อความรับผิดชอบต่อสังคมต้องมาก่อนยอดแชร์

CCJ และ TJA ได้จัดประชุมออนไลน์ฉุกเฉินในวันที่ 28 พฤษภาคม 2568 เพื่อกำหนดแนวทางรับมือสถานการณ์ข่าวสารเกี่ยวกับพื้นที่ชายแดน และได้ร่วมกันออกแถลงการณ์ 2 ประเด็นสำคัญ ได้แก่

  1. เรียกร้องให้สื่อมวลชนในทั้งสองประเทศใช้ความระมัดระวังสูงสุด หลีกเลี่ยงการนำเสนอข้อมูลที่ไม่มีแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้ หรือข้อมูลที่เป็นเท็จ โดยเฉพาะกรณีที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์บริเวณชายแดน เพื่อป้องกันไม่ให้กลายเป็นเครื่องมือทางการเมืองหรือสร้างความแตกแยก
  2. ขอความร่วมมือจากผู้ใช้โซเชียลมีเดียในทั้งสองประเทศให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อนแชร์ข่าวสารใดๆ ที่เกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา เพราะการกระทำดังกล่าวอาจนำไปสู่ความเข้าใจผิดในวงกว้าง และยากต่อการควบคุมผลกระทบ

การแก้ไขปัญหาการทูตยังเป็นทางออกที่ดีที่สุด

ทั้งสององค์กรย้ำความหวังว่าปัญหาที่เกิดขึ้นจะได้รับการคลี่คลายผ่านกลไกทางการทูต และการหารืออย่างสร้างสรรค์ระหว่างรัฐบาลของทั้งสองประเทศ เพื่อป้องกันไม่ให้สถานการณ์ลุกลามจนกระทบต่อความสัมพันธ์อันยาวนานทั้งในระดับประชาชนและรัฐชาติ โดยตลอดหลายปีที่ผ่านมา ไทยและกัมพูชาสามารถผ่านพ้นจุดวิกฤตลักษณะนี้ได้ด้วยสันติวิธี และการเปิดพื้นที่ให้เจรจาอย่างตรงไปตรงมา

ความเปราะบางของพรมแดนกับโอกาสในการป้องกันวิกฤต

สถานการณ์ปะทะที่ช่องบกในครั้งนี้สะท้อนถึง “ความเปราะบาง” ของเขตแดนระหว่างไทยกับกัมพูชา ซึ่งเป็นเส้นแบ่งที่ทั้งสองประเทศยังต้องตกลงรายละเอียดกันอีกมาก ขณะที่โซเชียลมีเดียและการสื่อสารยุคใหม่ กลายเป็นทั้งโอกาสในการแจ้งเตือนและ “ดาบสองคม” ที่อาจเร่งให้เกิดความตึงเครียดหากขาดการกลั่นกรองข้อเท็จจริง

ในขณะที่กระแสข่าวสารบนโซเชียลมีเดียเคลื่อนไหวรวดเร็ว สื่อกระแสหลักและองค์กรวิชาชีพสื่อจึงต้องมีบทบาทคัดกรอง ปกป้องประโยชน์สาธารณะ และไม่ตกเป็นเครื่องมือของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ในช่วงที่ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศกำลังเปราะบาง การเปิดพื้นที่พูดคุย แลกเปลี่ยน และใช้กลไกการทูตจึงยังเป็นวิธีที่ทั้งสองประเทศควรยึดถืออย่างมั่นคง

สถิติและแหล่งอ้างอิง

  • สถิติการปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา: จากข้อมูลกระทรวงกลาโหมไทย รายงานว่าในช่วงปี 2566-2568 มีเหตุการณ์ความตึงเครียดชายแดนรวม 6 ครั้ง โดย 2 ครั้งล่าสุดเกิดขึ้นที่ช่องบก จ.อุบลราชธานี (ที่มา: กระทรวงกลาโหม)
  • มูลค่าการค้าชายแดนไทย-กัมพูชา ปี 2567 อยู่ที่ 10,000 ล้านเหรียญสหรัฐ (ที่มา: กระทรวงพาณิชย์)
  • จำนวนการแชร์ข้อมูลข่าวปลอมเกี่ยวกับชายแดนไทย-กัมพูชา ในช่วงเดือนพฤษภาคม 2568 พบว่ามีกว่า 3,500 ครั้งบนโซเชียลมีเดีย (ที่มา: กองตรวจสอบข่าวปลอม สำนักงานปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ)
  • ข้อมูลความร่วมมือด้านสื่อ: สโมสรนักข่าวกัมพูชา (CCJ) และสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย (TJA)
  • รายละเอียดบันทึกข้อตกลง MOU2543: กรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • กระทรวงกลาโหม
  • กระทรวงพาณิชย์
  • กองตรวจสอบข่าวปลอม สำนักงานปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
  • สโมสรนักข่าวกัมพูชา (CCJ)
  • สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย (TJA)
  • กรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE