Categories
AROUND CHIANG RAI ENVIRONMENT

วิกฤตแม่น้ำกก-โขงปนเปื้อนพิษเหมืองแร่หายากเมียนมา ภัยคุกคามมูลค่า 1.3 พันล้านบาท

วิกฤตการณ์ข้ามพรมแดน แม่น้ำกก-โขงปนเปื้อนพิษเหมืองแร่หายากเมียนมา ภัยคุกคาม 1.3 พันล้านบาท และคำถามถึงความรับผิดชอบในห่วงโซ่อุปทานโลก

เชียงราย, 21 ตุลาคม 2568 –  ท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคเศรษฐกิจดิจิทัลและพลังงานสะอาด ที่ขับเคลื่อนด้วย ‘แร่หายาก’ (Rare Earth Minerals) ซึ่งเป็นวัตถุดิบยุทธศาสตร์สำคัญ ภาคเหนือของประเทศไทย โดยเฉพาะในพื้นที่จังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่ กำลังเผชิญหน้ากับวิกฤตสิ่งแวดล้อมข้ามพรมแดนครั้งร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ การเร่งรัดการทำเหมืองแร่หายากอย่างขาดการควบคุมดูแลในรัฐฉานและรัฐกะฉิ่นของประเทศเมียนมา ได้ส่งผลให้แม่น้ำสายหลักของชาติ อาทิ แม่น้ำกก แม่น้ำสาย และแม่น้ำรวก ปนเปื้อนด้วยสารพิษและโลหะหนักในระดับอันตราย สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจแก่ประเทศไทยแล้วกว่า 1.3 พันล้านบาท (40 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) และนำมาซึ่งความกังวลอย่างยิ่งยวดต่อความมั่นคงทางสุขภาพและความมั่นคงทางอาหารของชุมชนปลายน้ำในประเทศไทย ลาว กัมพูชา และเวียดนาม

รายงานข่าวเชิงลึกฉบับนี้ จะพาไปสำรวจถึงความรุนแรงของวิกฤตการณ์ที่กำลังคุกคามชีวิตและระบบนิเวศในอนุภูมิภาค พร้อมทั้งวิเคราะห์ถึงแรงกดดันจากภาคประชาชนต่อรัฐบาลไทยที่ยังคง “ไร้ความคืบหน้า” ในการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม

การขยายตัวของภัยพิบัติที่พุ่งสูง 513 แหล่งเหมืองที่คุกคามลุ่มน้ำโขง

ข้อมูลล่าสุดจากศูนย์วิจัย Stimson Center ซึ่งเป็นคลังสมองที่ไม่แสวงหาผลกำไร เผยให้เห็นภาพความรุนแรงของการขยายตัวของการทำเหมืองแร่หายากในเมียนมาอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน ข้อมูลภาพถ่ายดาวเทียมระบุว่า ตลอดช่วง 10 ปีที่ผ่านมา มีการค้นพบ แหล่งเหมืองแร่หายากมากถึง 513 แห่ง กระจายตัวอยู่ในลุ่มน้ำสาขาที่ไหลลงสู่แม่น้ำโขง แม่น้ำสาละวิน และแม่น้ำอิรวดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปี 2568 เพียงปีเดียว มีการประเมินว่ามีแหล่งเหมืองใหม่เปิดเพิ่มขึ้นถึง 40 แห่ง ตัวเลขดังกล่าวถือว่าสูงกว่าที่เคยมีการคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้อย่างมาก และสะท้อนถึงความเสี่ยงของการปนเปื้อนข้ามพรมแดนที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

การขยายตัวของเหมืองแร่เหล่านี้มีปัจจัยหลักมาจากความต้องการแร่หายากของโลกที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับมาตรการควบคุมที่เข้มงวดขึ้นของรัฐบาลจีนต่อเหมืองภายในประเทศ ทำให้เมียนมาซึ่งอยู่ภายใต้ภาวะความขัดแย้งและการกำกับดูแลที่หย่อนยานนับตั้งแต่การรัฐประหารในปี 2564 กลายเป็นแหล่งวัตถุดิบสำคัญในการเติมเต็มช่องว่างในห่วงโซ่อุปทานของจีน

ต้นทุนที่มองไม่เห็น ของเสียพิษ 2,000 ตันต่อแร่ 1 ตัน

กระบวนการสกัดแร่หายากในรัฐฉานและรัฐกะฉิ่นของเมียนมานั้น ส่วนใหญ่ใช้วิธีที่เรียกว่า การชะล้างเฉพาะที่ (in-situ leaching) ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับการทำแฟรกกิง (fracking) คือการฉีดสารละลายเคมีเข้มข้นลงไปใต้ดินผ่านบ่อชะล้าง เพื่อละลายแร่ธาตุที่ผสมอยู่ในดินให้กลายเป็นสารละลายแล้วจึงสูบขึ้นมาเก็บไว้

กระบวนการนี้ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่รุนแรงอย่างไม่อาจยอมรับได้

  • มีรายงานที่น่าตกใจว่า การสกัดแร่หายากทุก 1 ตัน จะก่อให้เกิดของเสียที่เป็นพิษโดยเฉลี่ย 2,000 ตัน ซึ่งรวมถึงน้ำเสียที่เป็นกรดประมาณ 200 ลูกบาศก์เมตร (ราว 53,000 แกลลอน) หรือ 75 ลูกบาศก์เมตร (เกือบ 20,000 แกลลอน) และกากของเสียที่ปนเปื้อนกัมมันตรังสีได้ถึง 1–1.4 ตัน
  • เมื่อการทำเหมืองในภูเขาลูกหนึ่งเสร็จสิ้นลงในระยะเวลาประมาณสามปี บ่อเก็บน้ำเสียที่เต็มไปด้วยสารเคมีอันตรายเหล่านี้ก็จะถูกทอดทิ้งไว้ ในช่วงฤดูมรสุม ปริมาณน้ำฝนที่เพิ่มขึ้นจะทำให้น้ำเสียล้นออกจากบ่อและไหลเข้าสู่ลำธารและแม่น้ำสายหลักในบริเวณด้านล่าง มลพิษเหล่านี้จึงถูกพัดพาข้ามพรมแดนลงสู่พื้นที่ปลายน้ำของประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง
  • สารพิษที่ถูกตรวจพบ ได้แก่ สารหนู (Arsenic), ไซยาไนด์ (Cyanide), ปรอท (Mercury), ตะกั่ว (Lead), แคดเมียม (Cadmium) และโลหะหนักอื่น ๆ

นายไบรอัน ไอยเลอร์ (Brian Eyler) ผู้อำนวยการโครงการเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของ Stimson Center ผู้ทำการวิจัยเรื่องนี้ ได้กล่าวเน้นย้ำถึงอันตรายของการปนเปื้อนในพื้นที่ภาคเหนือของไทยว่า “โคลนเหนียว ๆ ที่ท่วมพื้นที่บางส่วนของภาคเหนือของไทยหลังฝนตกหนัก คือสิ่งแรกที่ทีมของผมพบว่ามีการปนเปื้อนในแม่น้ำกก” และเสริมว่า แม่น้ำสายมีระดับมลพิษที่รุนแรงที่สุดเมื่อเทียบกับแม่น้ำกก

แผลพุพองและปลาตาย ผลกระทบต่อชีวิตและสุขภาพในเชียงราย

ผลกระทบทางนิเวศวิทยาจากเหมืองเมียนมาได้แปรเปลี่ยนเป็นวิกฤตสาธารณสุขและความเดือดร้อนทางเศรษฐกิจที่รุนแรงในชุมชนไทย

วิกฤตน้ำอุปโภคบริโภค ชุมชนในอำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ และอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ต้องพึ่งพาแม่น้ำกกและแม่น้ำสายเป็นแหล่งน้ำดิบหลักในการผลิตน้ำประปาเพื่อการบริโภคและใช้ในครัวเรือน การปนเปื้อนที่เกิดขึ้นสร้างความหวาดกลัวอย่างลึกซึ้งให้กับประชาชน อาจารย์ ดร. สืบสกุล กิจนุกร จากมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย ได้เปิดเผยข้อมูลที่น่าตกใจจากการตรวจสอบน้ำเมื่อช่วงต้นปี 2568 ว่า ผลการทดสอบพบว่ามีการปนเปื้อนของ สารหนูในระดับที่เกินกว่าค่ามาตรฐานสูงสุดตามกฎหมายในทุกจุดที่เก็บตัวอย่าง โดยบางจุดเกินกว่าค่ามาตรฐานถึง 19 เท่า แม้ว่าภายหลังโรงงานผลิตน้ำประปาในเชียงรายหลายแห่งจะต้องหันไปใช้น้ำจากแหล่งน้ำภายในประเทศที่สะอาดกว่าเพื่อหลีกเลี่ยงแม่น้ำกก แต่ชุมชนที่ไม่ได้อยู่ในเขตประปาหลักยังคงต้องใช้น้ำจากแหล่งน้ำที่ปนเปื้อนเพื่อดื่ม ล้าง และว่ายน้ำ ซึ่งนำไปสู่รายงานการเกิด ผื่นคันตามผิวหนัง รวมถึงมีรายงาน ปลาตาย และปลาในแม่น้ำกกมีบาดแผลตามผิวหนัง

ภัยเงียบต่อสุขภาพระยะยาว ดร. สืบสกุล ยังได้เน้นย้ำถึงประเด็นที่ทางการอาจมองข้าม นั่นคือ การสะสมของสารพิษในร่างกายมนุษย์ “ทางการไทยยึดตามค่าสูงสุดที่อนุญาตให้มีสารหนูและโลหะหนักอื่น ๆ ในน้ำได้ หากค่าต่ำกว่าก็ถือว่าปลอดภัย แต่สารหนู ปรอท และตะกั่ว สามารถสะสมในร่างกายและในระยะยาวอาจนำไปสู่โรคมะเร็งและโรคอันตรายอื่น ๆ ได้”

การทำลายฐานเศรษฐกิจท้องถิ่น มลพิษได้สร้างผลกระทบอย่างตรงไปตรงมาต่อเสาหลักทางเศรษฐกิจของภาคเหนือ

  • อุตสาหกรรมการประมง นายเดช นวลใส (Det Nuansai) ชาวประมงวัย 57 ปีในบ้านปากอิง ริมแม่น้ำโขง กล่าวด้วยความท้อแท้ว่า “ผมอาจจะพูดได้ว่า ‘ผมเคยขายปลาของเขา’ ปลาแม่น้ำโขงเคยเป็นปลาที่คนต้องการมากที่สุดและแพงที่สุด แต่ ไม่มีใครอยากซื้อปลาจากแม่น้ำสายนี้อีกแล้ว ทุกคนกลัวว่าปลาจะเต็มไปด้วยสารหนูและสารเคมี”
  • ความมั่นคงทางอาหารและการเกษตร สารเคมีได้ไหลเข้าสู่พื้นที่เกษตรกรรมกว่า 100,000 ไร่ในจังหวัดเชียงราย ที่ทำการเกษตรโดยใช้น้ำจากแม่น้ำกก แม่น้ำสาย และแม่น้ำรวก มีความกังวลว่าโลหะหนักจะปนเปื้อนในผลผลิตทางการเกษตร โดยเฉพาะ ข้าวนาปี ที่กำลังจะเก็บเกี่ยวในช่วงปลายเดือนตุลาคมถึงพฤศจิกายนนี้
  • ผลกระทบต่อการส่งออก ญี่ปุ่นได้ดำเนินการสั่งห้ามนำเข้า ถั่วแระญี่ปุ่น (Edamame) ที่มาจากพื้นที่นี้เนื่องจากพบการปนเปื้อนสารเคมี และ พริกแดง ก็กำลังเผชิญกับความเสี่ยงที่จะถูกห้ามนำเข้าเช่นกัน

ภาครัฐกับความนิ่งเฉย เสียงเรียกร้อง 10 ข้อที่ยังไร้การตอบสนอง

ท่ามกลางวิกฤตที่ทวีความรุนแรงขึ้น ภาคประชาชนโดยการนำของ เครือข่ายประชาชนปกป้องแม่น้ำกก สาย รวก โขง ได้ก้าวเข้ามาเติมเต็มช่องว่างที่รัฐบาลยังคงตอบสนองต่อปัญหาอย่างล่าช้าและขาดการสื่อสาร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ภายหลังจากที่รัฐบาลชุดใหม่ได้รับทราบปัญหาอย่างเป็นทางการแล้ว

เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2568 อาจารย์ ดร. สืบสกุล กิจนุกร ได้ยื่นหนังสือเปิดผนึกถึงนายกรัฐมนตรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล และรองนายกรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง โดยมีเนื้อหาสำคัญคือการวิพากษ์วิจารณ์ถึง “ความนิ่งเฉย” และ “ความไม่คืบหน้า” ในการแก้ไขปัญหานี้อย่างเป็นรูปธรรม

ไทม์ไลน์คำสัญญาที่ยังไม่เป็นจริง

เครือข่ายประชาชนฯ ได้ส่งข้อเสนอ 10 ข้อให้รัฐบาลใหม่ดำเนินการภายใน 4 เดือน ตั้งแต่วันที่ 3 ตุลาคม 2568

  1. วันที่ 9 ตุลาคม 2568 นายสุชาติ ชมกลิ่น รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้ลงพื้นที่รับฟังปัญหา พร้อมรับปากว่าจะจัดสรรงบประมาณ 1,000 ล้านบาท เพื่อจัดหาแหล่งน้ำดิบใหม่ทดแทนแม่น้ำกกในการผลิตน้ำประปา
  2. วันที่ 11 ตุลาคม 2568 ร.อ. ธรรมนัส พรมเผ่า รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ยืนยันว่าจะเจรจากับผู้ประกอบการเหมืองในรัฐฉาน และจะนำประเด็นนี้เข้าพิจารณาในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี

อย่างไรก็ตาม จนถึงปัจจุบัน (21 ตุลาคม 2568) อาจารย์สืบสกุลชี้ว่ายังไม่มีความคืบหน้าใด ๆ ที่เป็นรูปธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ยังไม่มีการดำเนินการตรวจสอบสารโลหะหนักในผลผลิตข้าวนาปีกว่า 100,000 ไร่ ในจังหวัดเชียงราย ซึ่งเป็นช่วงเวลาสำคัญก่อนการเก็บเกี่ยว

นอกจากนี้ การตรวจสอบสารปนเปื้อนของหน่วยงานรัฐยังจำกัดวงแคบเกินไป โดยครอบคลุมเฉพาะพื้นที่ในจังหวัดเชียงราย ทั้งที่ปัญหาแผ่ขยายไปยังจังหวัดเชียงใหม่ด้วย

ข้อเรียกร้องเชิงยุทธศาสตร์ หยุดนำเข้าแร่และเปิดโต๊ะเจรจาจีน

ในบรรดาข้อเสนอ 10 ข้อของภาคประชาชน มีประเด็นเชิงนโยบายและยุทธศาสตร์ที่สำคัญอย่างยิ่งต่อการแก้ไขปัญหามลพิษข้ามพรมแดน

  1. ยุติการนำเข้าแร่จากเมียนมา (ข้อ 5) เครือข่ายประชาชนเรียกร้องให้ ยุติการนำเข้าแร่ทุกชนิดจากเมียนมา จนกว่าผู้นำเข้าจะสามารถพิสูจน์ได้ว่าแร่ดังกล่าวไม่ได้มาจากเหมืองที่ก่อให้เกิดมลพิษในแม่น้ำ ข้อเรียกร้องนี้มีความหนักแน่นยิ่งขึ้น เมื่อรายงานจากสำนักงานศุลกากรภาค 3 เผยตัวเลขที่น่าฉงนว่า ในปี 2568 เอกชนไทยกว่า 40 ราย ได้นำเข้าสินแร่ผ่านด่านชายแดนภาคเหนือ 4 จังหวัด รวมมูลค่าสูงถึง 9,825.92 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปี 2567 กว่า 7,714.31 ล้านบาท ขณะที่รัฐบาลกลางเมียนมาอ้างว่าไม่เคยอนุญาตให้มีการส่งออกแร่ในรัฐฉานเลย คำถามคือ แร่มูลค่าเกือบหนึ่งหมื่นล้านบาทนี้มาจากเหมืองที่ก่อมลพิษข้ามพรมแดนหรือไม่ และผู้นำเข้ามีหน้าที่ต้องแสดงแหล่งกำเนิดที่ชัดเจน
  2. เจรจาระดับภูมิภาค (ข้อ 8) เรียกร้องให้รัฐบาลไทย เปิดเวทีเจรจาอย่างเป็นทางการกับประเทศเมียนมาและจีน เพื่อเรียกร้องให้ทั้งสองประเทศตระหนักและรับผิดชอบต่อมลพิษที่ส่งผลกระทบต่อประชาชนในประเทศไทย

“ยุทธศาสตร์ย้อนรอยห่วงโซ่อุปทาน” เพื่อกดดันมหาอำนาจโลก

นักวิชาการหลายฝ่ายต่างชี้ตรงกันว่า กุญแจสำคัญในการแก้ปัญหานี้อยู่ที่ ประเทศจีน เนื่องจากจีนครอบงำตลาดแร่หายากของโลกอย่างเบ็ดเสร็จ โดยเป็นผู้สกัดแร่แรร์เอิร์ธร้อยละ 60 และเป็นผู้แปรรูปหรือกลั่นแร่ขั้นสุดท้ายถึง ร้อยละ 87 ของปริมาณแรร์เอิร์ธทั่วโลก

มีการเสนอแนะให้รัฐบาลไทยใช้ ยุทธศาสตร์ย้อนรอยห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain Traceability) เพื่อใช้เวทีการเจรจาระดับภูมิภาค เช่น การประชุมผู้นำความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง (MLC Leaders’ Meeting) ซึ่งมีกำหนดจัดขึ้นที่กรุงเทพฯ ปลายปี 2568 นี้ ในการกดดันจีนให้ตรวจสอบความเสี่ยงของห่วงโซ่อุปทานแร่หายากในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง

แม้จีนจะปฏิเสธการเกี่ยวข้องโดยตรงในพื้นที่เหมืองที่ไร้การควบคุมของเมียนมา แต่ข้อเท็จจริงทางยุทธศาสตร์คือ แร่แรร์เอิร์ธจำนวนมหาศาลที่ถูกขุดจากเมียนมานั้น จำเป็นต้องถูกส่งกลับไปกลั่นขั้นสุดท้ายในประเทศจีน เนื่องจากประเทศส่วนใหญ่ยังไม่มีศักยภาพทางเทคนิคในการแปรรูปแร่ให้กลายเป็นออกไซด์ที่พร้อมใช้งานได้

ความพยายามของจีนในการกุมอำนาจในห่วงโซ่อุปทานนี้ถูกตอกย้ำด้วยการที่จีนประกาศห้ามการส่งออกเทคโนโลยีที่ใช้ในการแปรรูปแร่เหล่านี้ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2566 การใช้ยุทธศาสตร์ที่แข็งกร้าวของไทยในการเรียกร้องให้จีนรับผิดชอบในฐานะผู้ครอบงำตลาด (concentration risk) จึงเป็นแนวทางเดียวที่จะปกป้องสิทธิของประชาชนในการมีชีวิตในสิ่งแวดล้อมที่ดี

บทสรุปและความเร่งด่วน

วิกฤตมลพิษเหมืองแร่หายากในเมียนมามิใช่เพียงปัญหาท้องถิ่น แต่เป็นโจทย์ทางภูมิรัฐศาสตร์และเศรษฐกิจที่ซับซ้อน ซึ่งตอกย้ำถึง “ด้านมืด” ของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีที่โลกต้องพึ่งพา การทำเหมืองแบบไร้การควบคุมได้เปลี่ยนภูมิทัศน์ของรัฐกะฉิ่นให้กลายเป็นพื้นที่ที่ถูกทำลายโดยสิ้นเชิง และส่งผลกระทบต่อเนื่องถึงปากท้องและสุขภาพของประชาชนในไทย

นางสาวเพียรพร ดีเทศ (ป้าใฝ่) ผู้อำนวยการองค์กรแม่น้ำและสิทธิ (Rivers & Rights) ได้เตือนว่า สารโลหะหนักที่ปนเปื้อนในระบบนิเวศนั้นต้องใช้เวลาอย่างน้อย 100 ปี ในการย่อยสลายโดยธรรมชาติ หากรัฐบาลไทยยังคงประวิงเวลาในการดำเนินการตามข้อเรียกร้องของภาคประชาชน ไม่ว่าจะเป็นการจัดหาแหล่งน้ำดิบใหม่ การตรวจสอบผลผลิตเกษตรกรรมกว่าแสนไร่ และการเปิดเวทีเจรจาอย่างจริงจังกับเมียนมาและจีน ความเสียหายที่เกิดขึ้นจะกลายเป็นต้นทุนที่สังคมไทยต้องแบกรับไปอีกหลายชั่วอายุคน และเป็นการยอมจำนนต่อภัยพิบัติข้ามพรมแดนที่คุกคามชีวิตคนหลายล้านคนในลุ่มน้ำโขง

การป้องกันการปนเปื้อนเพิ่มเติมจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งเหนือกว่าการแก้ไขเยียวยา โดยมีหลักฐานชวนคิดถึงความรุนแรงของผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในต่างประเทศ เช่น โรงงานแปรรูปในเมืองเป่าโถวของจีน ที่สร้างมลพิษสะสมมาหลายสิบปี จนเกิดทะเลสาบตะกอนพิษขนาดใหญ่ และส่งผลให้ประชาชนเจ็บป่วยด้วยโรคมะเร็งและโรคทางเดินหายใจ บทเรียนเหล่านี้เป็นเครื่องเตือนใจถึงความจำเป็นที่ไทยต้องดำเนินการอย่างเด็ดขาดและเร่งด่วนที่สุด

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • Stimson Center
  • Mongabay
  • อาจารย์ ดร. สืบสกุล กิจนุกร
  •  เครือข่ายประชาชนปกป้องแม่น้ำกก สาย รวก โขง
  • สำนักงานศุลกากรภาค 3
  • United States Geological Survey (USGS)
  • องค์กร River & Rights (Pianporn Deetes)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI FOOD

ไทยอันดับ 1 อาหารโลก! จี้รัฐบาลต่อยอด GI-Thai SELECT พร้อมผนึกชายแดนสู้โจทย์ความปลอดภัย

อาหารไทยยืนหนึ่งโลกและแบบเรียนจากชายแดนเหนือสุด “แม่สายโมเดล” ขยายพลัง Soft Power สู่ความมั่นคงอาหารและเศรษฐกิจฐานรากภายใต้นโยบาย “Quick Big Win”

เชียงราย, 19 ตุลาคม 2568 — ข่าวดีที่สะท้อนพลังอ่อน (Soft Power) ของไทยดังก้องอีกครั้ง เมื่อ Condé Nast Traveler นิตยสารท่องเที่ยวชั้นนำจากสหรัฐฯ ประกาศผล Readers’ Choice Awards 2025 ยกให้ประเทศไทยครองแชมป์ ประเทศที่มีอาหารดีที่สุดในโลก 2025” ด้วยคะแนน 98.33/100 เหนืออิตาลีและญี่ปุ่น ขณะเดียวกัน กรุงเทพฯ ยังมีร้านอาหาร ติดอันดับท็อป 35 ของโลกถึง 7 แห่ง ย้ำชัดว่า “ครัวไทย” ไม่ได้แค่ครองใจนักชิม แต่กำลังก้าวสู่ กลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจแห่งชาติ ท่ามกลางโจทย์ใหญ่เรื่องมาตรฐานความปลอดภัยตลอดห่วงโซ่อาหาร

บทพิสูจน์เชิงสัญลักษณ์ของ Soft Power ครั้งนี้เกิดขึ้นในจังหวะเดียวกับการเร่งเครื่องเศรษฐกิจของรัฐบาล โดย กระทรวงพาณิชย์ ขับเคลื่อนแนวคิด “Quick Big Win” พุ่งเป้าสร้างผลลัพธ์เร็วที่ต่อยอดได้ยาว ผ่านการยกระดับคุณค่าของวัตถุดิบไทย (GI) การผลักดันตรารับรอง Thai SELECT และการขยายเครือข่ายการค้าระหว่างประเทศ ขณะที่ในพื้นที่ชายแดน อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย เกิดต้นแบบ “ระบบอาหารปลอดภัยทั้งห่วงโซ่” ที่ผสานงานท้องถิ่น–สาธารณสุข–ด่านชายแดน เป็น “ด่านหน้า” คัดกรองความเสี่ยงก่อนอาหารและวัตถุดิบจะเดินทางสู่โต๊ะอาหารคนทั้งประเทศ

ทั้งหมดนี้คือ “สองลมหายใจ” ของเรื่องเดียวกัน อาหารไทยที่อร่อยและปลอดภัย ซึ่งต้องเดินคู่กันเพื่อเปลี่ยนเสียงชื่นชมบนเวทีโลกให้กลายเป็น รายได้ยั่งยืน และ สุขภาวะของประชาชน อย่างแท้จริง

จากคำชมบนเวทีมาสู่แรงขับทางเศรษฐกิจ “ครัวไทย” ที่เป็นมากกว่ารสชาติ

ผลโหวตของผู้อ่าน Condé Nast Traveler ทำให้ไทยครองแชมป์ The Best Countries for Food in the World: 2025 ด้วยคะแนน 98.33 จุดเด่นไม่ใช่เพียง “รสชาติ” แต่คือ ความหลากหลายทางวัฒนธรรมอาหาร, ตลาดกลางคืนที่คึกคัก, และ การเข้าถึงประสบการณ์ท้องถิ่นที่จริงแท้ ตั้งแต่ก๋วยเตี๋ยวริมทาง แกง–ซุปรสจัด ไปจนถึงร้านอาหารร่วมสมัยที่ใช้วัตถุดิบพื้นถิ่นยกระดับ (local ingredients to fine plates) จน ร้านอาหารในกรุงเทพฯ 7 แห่งติดอันดับโลก ส่องสะท้อน “ระบบนิเวศอาหาร” ที่มีชีวิตชีวาทั้งฝั่งสตรีทฟู้ดและภัตตาคาร

แต่คำถามสำคัญในมุมเศรษฐกิจคือ จะต่อยอดจาก “คำชม” ให้เป็น “รายได้กระจายตัว” ได้อย่างไร? คำตอบหนึ่งอยู่ในนโยบายเชิงรุกของภาครัฐ โดยเฉพาะกระทรวงพาณิชย์ ที่เร่ง “เชื่อมรสชาติสู่มูลค่า” ผ่านตรารับรองและการสร้างเรื่องเล่าบนฐานวัตถุดิบไทย พร้อมกันนั้น ระบบ “ความปลอดภัยของอาหาร” ต้องเข้มแข็งตั้งแต่ต้นน้ำ เพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นโดยไม่ลดทอนความเชื่อมั่น

ภาพใหญ่ที่ชายแดน “แม่สายโมเดล” ด่านหน้าความมั่นคงอาหารของประเทศ

แม่สาย เมืองหน้าด่านเหนือสุดของไทย คือ ประตูการค้า สู่ประเทศเพื่อนบ้าน ที่มีการนำเข้า–ส่งออกสินค้าอาหารอย่างต่อเนื่อง ความปลอดภัยจึงไม่ใช่แค่ “มาตรฐานทางเทคนิค” แต่หมายถึง เกราะป้องกันสุขภาวะ ของผู้คนทั่วประเทศ การปล่อยให้เกิด “จุดรั่ว” เพียงจุดเดียว อาจสร้างความเสียหายลุกลามทางเศรษฐกิจ–สังคมได้

ภายใต้ โครงการบูรณาการและขับเคลื่อนระบบอาหารเพื่อสุขภาวะตลอดห่วงโซ่ในพื้นที่จังหวัดเชียงราย” เทศบาลตำบลแม่สายร่วมกับหน่วยงานสาธารณสุขและเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง ใช้แนวทาง แซน” (San) และ “แซนพลัส” (San Plus) วางมาตรการดูแลสุขาภิบาลอาหารแบบครบวงจร ตั้งแต่แหล่งผลิต (ต้นน้ำ) การขนส่ง–จำหน่าย (กลางน้ำ) จนถึงผู้บริโภค (ปลายน้ำ)

นายชัยยนต์ ศรีสมุทร นายกเทศมนตรีตำบลแม่สาย อธิบายหัวใจของงานว่า แม่สายต้อง “ทำถูกตั้งแต่ด่านแรก” เพราะเป็นพื้นที่ เปราะบางและพลุกพล่าน จึงดำเนินการ สุ่มตรวจอาหารต่อเนื่อง, อบรมผู้ประกอบการ–พ่อค้าแม่ค้า–เกษตรกร, และ สนับสนุนแหล่งผลิตมาตรฐาน เพื่อให้ระบบอาหารในชุมชนและสินค้าที่ผ่านชายแดน “ปลอดภัยจริง” ไม่ใช่เพียงบนกระดาษ

ผลลัพธ์ที่ปรากฏ ไม่ใช่แค่ “ผ่าน–ไม่ผ่าน” ตามเช็กลิสต์ แต่คือการ สร้างวินัยตลาด ให้เกิดขึ้นกับผู้ค้า–ผู้ผลิต–ผู้บริโภค โดยอาศัย การสื่อสารและการร่วมมือ มากกว่าการลงโทษล้วน ๆ โมเดลนี้จึงเริ่ม “ยกระดับความไว้เนื้อเชื่อใจ” ซึ่งเป็นทุนสังคมสำคัญสำหรับเมืองชายแดน และเป็น ส่วนต่อขยายความเชื่อมั่นของอาหารไทย ในสายตานักท่องเที่ยวและคู่ค้าต่างชาติ

Soft Power ที่แปลงเป็น “ทุนแข็ง” นโยบาย “Quick Big Win” ของกระทรวงพาณิชย์

ขณะชายแดนเสริมเกราะความปลอดภัย กระทรวงพาณิชย์ก็เร่งต่อยอดคุณค่าทางอาหารในเชิงพาณิชย์อย่างจริงจัง ในงาน Thailand Taste & Treasures ภายใต้แนวคิด “Discovering Authentic Flavors and Crafted Excellence” นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ระบุชัดว่า นโยบายของกระทรวงสอดคล้องวิถีรัฐบาลและคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจ  กระตุ้นสั้น ได้ยาว กระจายตัว”  โดยใช้ “อาหารไทย” เป็นเครื่องมือ สร้างรายได้ เร็ว–ชัด–ยั่งยืน

เครื่องมือเชิงนโยบายที่ชี้เป้าได้ทันที ได้แก่

  • วัตถุดิบ GI (Geographical Indications) ยกระดับคุณค่าทางพื้นที่ให้กลายเป็น “ทุนทางแบรนด์” และราคาที่ดีขึ้นสำหรับเกษตรกร
  • มาตรฐาน Thai SELECT รับรองคุณภาพรสชาติและความเป็นไทย กระตุ้นให้ร้านอาหารไทยทั้งใน–นอกประเทศก้าวสู่มาตรฐานเดียวกัน
  • การตลาดสร้างสรรค์ ดึงเชฟรุ่นใหม่มีอิทธิพลบนโซเชียล อย่าง เชฟอิน กำลังอิน มาสร้างเมนูร่วมสมัยจากวัตถุดิบ GI ตัวอย่างเช่น เห่าดงไก่” จากพริกไทยตรัง, ของหวาน ทีรามิสุเมืองระนอง” ใช้กาแฟระนองและมะพร้าวน้ำหอมบ้านแพ้ว ตอกย้ำ “ไอเดีย = มูลค่าเพิ่ม” ให้กับวัตถุดิบไทย

เหนือสิ่งอื่นใด กระทรวงพาณิชย์ขับเคลื่อน 7 แนวทาง Quick Big Win ครอบคลุมตั้งแต่ความร่วมมือด้านภาษีกับสหรัฐฯ, การดูแลค้าชายแดน, การเร่งเจรจา FTA และเปิดตลาดใหม่, การลดค่าครองชีพประชาชน (เช่น มหกรรมลดราคาเทศกาลกินเจช่วยประหยัดกว่า 750 ล้านบาท), การดูแลเสถียรภาพราคาสินค้าเกษตร, การเสริมแกร่ง SMEs, และการปรับกฎ–ประยุกต์เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ  ทั้งหมดยิงตรงเป้าที่ “ผลลัพธ์เร็ว” แต่ไม่ฉาบฉวย เพราะถูกออกแบบให้ต่อยอดโครงสร้างเศรษฐกิจระยะยาวได้

จากครัวไทยสู่ครัวโลก เมื่อ “รสชาติ” ต้องจับมือ “ความปลอดภัย”

ซีนแรก แสงนีออนบนถนนเยาวราช สตรีทฟู้ดคึกคัก นักท่องเที่ยวต่อคิวก๋วยเตี๋ยวเรือ–ผัดไทย รอยยิ้ม แสงแฟลช และคำชมกระหึ่มโซเชียล
ซีนต่อมา ด่านแม่สาย เจ้าหน้าที่ตรวจอุณหภูมิ–สภาพบรรจุ–เอกสารรับรองรถขนส่งเลี้ยวเข้าสถานตรวจ เจ้าหน้าที่สุ่มตัวอย่าง ทดสอบ–บันทึกผล รถผ่านด่านในเวลาที่ควบคุม
ซีนสุดท้าย เวทีสร้างสรรค์เชฟหนุ่มหยิบพริกไทยตรัง GI ใส่ลงในหม้อ ไอน้ำยกตัวขึ้นพร้อมกลิ่นหอมฉุน เมนู “เห่าดงไก่” จานร่วมสมัยเกิดขึ้นต่อหน้าแขก–สื่อมวลชน บทสนทนาไม่ได้มีแค่ “อร่อย” แต่ต่อยอดไปถึง “พื้นที่–ผู้ผลิต–มาตรฐาน–การรับรอง–ราคายุติธรรม” นี่คือภาพที่ รสชาติ, ความปลอดภัย, และต้นทางที่เป็นธรรม มาบรรจบในจานเดียว

เหตุแห่งความยั่งยืนของ Soft Power ไม่ใช่การติดอันดับแล้วจบ แต่คือ การรักษาคุณภาพอย่างสม่ำเสมอ, การคุ้มครองผู้บริโภค, และ การจ่ายผลตอบแทนที่เป็นธรรมให้กับต้นน้ำ เพื่อให้ “คำชม” ในวันนี้ แปรเป็น “รายได้หมุนเวียน” ที่ประชาชนสัมผัสได้

ตัวเลข–สถิติที่อ่านแล้วคิดต่อ

  • 98.33 คะแนน คือแต้มเฉลี่ยที่ไทยได้จากผู้อ่านทั่วโลกในหมวดประเทศที่มีอาหารดีที่สุดในโลก (2025)
  • ประเทศที่ตามมา—อิตาลี 96.92, ญี่ปุ่น 96.77, เวียดนาม 96.67, สเปน 95.91—สะท้อนการแข่งขันที่สูงมาก ไทยจึงต้องรักษามาตรฐานอย่างต่อเนื่อง
  • 7 ร้านอาหารในกรุงเทพฯ ติดทำเนียบท็อป 35 ของโลก ชี้ว่าระดับบนของอุตสาหกรรมอาหารไทยก้าวทันและก้าวข้ามเวทีโลกแล้ว
  • ฝั่ง นโยบายดูแลค่าครองชีพ ที่พ่วงมากับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจเชิงอาหาร มหกรรมกินเจราคาประหยัด ช่วยลดค่าครองชีพรวม กว่า 750 ล้านบาท สะท้อนความพยายามบาลานซ์ “รายได้ผู้ประกอบการ–ภาระประชาชน”

10 อันดับประเทศที่มีอาหารที่ดีที่สุดในโลก

  •  อันดับ 1 ประเทศไทย  98.33 คะแนน
  •  อันดับ 2  อิตาลี 96.92 คะแนน
  • อันดับ 3  ญี่ปุ่น  96.77 คะแนน
  • อันดับ 4 เวียดนาม  96.67 คะแนน
  • อันดับ 5 สเปน 95.91 คะแนน
  • อันดับ 6 นิวซีแลนด์ 95.79 คะแนน
  • อันดับ 7 ศรีลังกา  95.56 คะแนน
  • อันดับ 8  กรีซ  95.42 คะแนน
  • อันดับ 9  แอฟริกาใต้  94.76 คะแนน
  • อันดับ 10  เปรู  94.55 คะแนน / มัลดีฟส์ 94.55 คะแนน

จากเชียงรายสู่เวทีโลก ทำไม “ชายแดน” จึงเป็นหัวใจของระบบอาหารปลอดภัย

“แม่สายโมเดล” สอนเราว่า ระบบอาหารปลอดภัย ไม่ใช่งานของหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง หากแต่เป็น งานทีม ที่ต้องวางผังตั้งแต่ ต้นทาง–ด่านผ่าน–ตลาด–ผู้บริโภค การตรวจสอบแบบ สุ่มตัวอย่างสม่ำเสมอ, การให้ความรู้ภาคธุรกิจ, และ การปลูกวินัยตลาด คือสามฟันเฟืองที่ทำให้ระบบขับเคลื่อนอย่างต่อเนื่อง

ยิ่งในช่วงที่ Soft Power ของอาหารไทย “ขึ้นหม้อ” การค้าข้ามแดนจะยิ่งคึกคัก ด่านชายแดนคือด่านหน้าความน่าเชื่อถือ หากล้มเพียงจุดเดียว ความไว้วางใจทั้งระบบสั่นสะเทือนทันที ตรงกันข้าม หากชายแดนเข้มแข็ง เชื่อมมือกับผู้ผลิต GI และร้านอาหารที่ได้ Thai SELECT เราจะได้ “โซ่อุปทานที่เล่าเรื่องความปลอดภัยได้” ซึ่งเป็น ข้อได้เปรียบเชิงแข่งขัน ที่ประเทศคู่แข่งเลียนแบบยาก

เชื่อม Soft Power ให้เป็น “Hard Currency” อย่างไรให้ยั่งยืน

  1. แผนจังหวัด–ชายแดน–ประเทศต้อง sync กัน
    เมืองชายแดนอย่างแม่สายต้องมีทรัพยากรตรวจ–อบรม–สื่อสารครบมือ เชื่อมกับนโยบาย GI และ Thai SELECT ของกระทรวงพาณิชย์/หน่วยงานท่องเที่ยว เพื่อให้ เรื่องเล่าความปลอดภัย เดินคู่กับ เรื่องเล่าความอร่อย อย่างไร้รอยต่อ
  2. ยกระดับ “ข้อมูลและการตรวจสอบได้” (Traceability)
    สำหรับวัตถุดิบ GI และผู้ประกอบการที่ต้องการออกสู่ตลาดโลก การมีระบบติดตามย้อนกลับ (จากแหล่งผลิต–จานอาหาร) จะทำให้ มูลค่า–ราคา–ความเชื่อมั่น สูงขึ้นและคงอยู่ได้ยาว
  3. ผลักดันเชฟ–ครีเอเตอร์–แพลตฟอร์มออนไลน์ ให้เป็นกระบอกเสียงของพื้นที่
    เมนูร่วมสมัยจากวัตถุดิบ GI ที่ “เล่าเรื่องบ้านเกิด” จะทำให้ผู้บริโภคเห็นคุณค่าเกินกว่ารสชาติ และ ยอมจ่ายเพื่อสนับสนุนพื้นที่ มากขึ้น
  4. ดูแลคนตัวเล็กในห่วงโซ่
    หากเกษตรกรและผู้ประกอบการรายย่อยรู้สึกว่า “ระบบนี้ทำให้ชีวิตดีขึ้นจริง” โครงสร้าง Soft Power จะยืนระยะ เพราะ แรงจูงใจ อยู่กับคนที่ถือ “ต้นทางของคุณภาพ”
  5. วัดผลให้ถูกจุด
    นอกจากยอดติดอันดับ/ยอดเช็กอิน ควรติดตาม รายได้เกษตรกร–SMEs, จำนวนผู้ประกอบการที่ได้มาตรฐานเพิ่ม, เหตุร้องเรียนอาหารไม่ปลอดภัยลดลง, และ การเข้าถึงอาหารปลอดภัยของประชาชน เพื่อเห็นภาพยั่งยืนจริง

ชัยชนะของรสชาติจะสมบูรณ์ เมื่อความปลอดภัยและความเป็นธรรมเดินมาด้วยกัน

การที่ไทยครองแชมป์ ประเทศที่มีอาหารดีที่สุดในโลก 2025 ด้วยคะแนน 98.33 ไม่ใช่เพียงเหรียญรางวัลให้ชาติ แต่คือ ภารกิจ ว่าต้องรักษามาตรฐานนี้ด้วย “ระบบ” ที่คุ้มครองผู้บริโภค–เกื้อกูลผู้ผลิต–เสริมพลังผู้ประกอบการ และเล่าความเป็นไทยออกไปอย่างสง่างาม

แม่สายโมเดล” แสดงให้เห็นว่า เมืองชายแดนไม่ใช่พื้นที่ชายขอบของนโยบาย หากคือ หัวใจของห่วงโซ่อาหารปลอดภัย และเป็น “ด่านหน้า” ที่ทำให้คำว่า ครัวไทยสู่ครัวโลก มีความหมายมากกว่าคำขวัญ มันคือ ระบบที่ทำงานทุกวัน เพื่อให้ทุกจานที่เสิร์ฟ อร่อย ปลอดภัย และยุติธรรม จริง ๆ

ในอีกฟากหนึ่ง นโยบาย “Quick Big Win” ของกระทรวงพาณิชย์กำลังแปลง Soft Power ให้เป็น Hard Currency ผ่านตรารับรอง–วัตถุดิบ–การตลาดสร้างสรรค์ และมาตรการดูแลค่าครองชีพ หากสองฟากนี้เดินไปพร้อมกัน ชัยชนะบนเวทีโลก จะกลายเป็น รายได้ที่ไหลถึงมือประชาชน และ ความภูมิใจที่ยืนยาว ของประเทศไทย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • Condé Nast Traveler – Readers’ Choice Awards 2025
  • สำนักข่าว CNN (สรุปผล Readers’ Choice Awards 2025)
  • กระทรวงพาณิชย์ (Thailand Taste & Treasures / นโยบาย Quick Big Win)
  • ข้อมูล GI และมาตรฐาน Thai SELECT
  • เทศบาลตำบลแม่สาย / โครงการบูรณาการและขับเคลื่อนระบบอาหารเพื่อสุขภาวะตลอดห่วงโซ่ จ.เชียงราย
  • หน่วยงานสาธารณสุขท้องถิ่น จ.เชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
SOCIETY & POLITICS

ศูนย์ผลิตเมล็ดพันธุ์พืชพระราชทาน ส่งเสริมความมั่นคงอาหารในภาคเหนือ

ศูนย์ผลิตเมล็ดพันธุ์พืชพระราชทาน “เพื่อนช่วยเพื่อน” พื้นที่ภาคเหนือตอนล่าง: เสริมสร้างความมั่นคงทางอาหาร

เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2567 ศูนย์ผลิตเมล็ดพันธุ์พืชพระราชทาน “เพื่อนช่วยเพื่อน” พื้นที่ภาคเหนือตอนล่าง ที่จัดตั้งขึ้นตามพระราชดำริของ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้เปิดเผยความคืบหน้าการดำเนินงานเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงทางอาหารในพื้นที่ภาคเหนือ

ที่มาและวัตถุประสงค์ของศูนย์ฯ

ศูนย์ผลิตเมล็ดพันธุ์พืชแห่งนี้เริ่มก่อตั้งเมื่อปี 2560 ณ กองพันซ่อมบำรุงที่ 23 ค่ายสมเด็จพระเอกาทศรถ จังหวัดพิษณุโลก โดยมีเป้าหมายเพื่อผลิตและแจกจ่ายเมล็ดพันธุ์พืชพระราชทานให้แก่ประชาชนที่ประสบภัยพิบัติ และทหารกองประจำการที่ปลดประจำการ เพื่อสร้างแหล่งอาหารที่ยั่งยืน

ปัจจุบัน ศูนย์ฯ มีพื้นที่ดำเนินงานรวม 201.25 ไร่ ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ส่วนหลัก ได้แก่ แปลงผลิตเมล็ดพันธุ์พืช, อาคารบรรจุเมล็ดพันธุ์พืช, และ โรงเรียนทหารพันธุ์ดี

ผลการดำเนินงานในปีงบประมาณ 2567

1. แปลงผลิตเมล็ดพันธุ์พืช

ในปีงบประมาณที่ผ่านมา แปลงผลิตฯ สามารถเก็บเกี่ยวเมล็ดพันธุ์ได้ถึง 149.9 กิโลกรัม จากพืช 15 ชนิด นอกจากนี้ยังได้ปลูกพริกชี้ฟ้าแดง, พริกชี้ฟ้าเขียว และผักชีลาว สำหรับทำผักแปรรูป (ผักดอง) เพื่อใช้ในงานกาชาดประจำปี 2567

2. อาคารบรรจุเมล็ดพันธุ์พืชพระราชทาน

อาคารนี้จัดเก็บเมล็ดพันธุ์พืช 22 ชนิด น้ำหนักรวมกว่า 591.12 กิโลกรัม ซึ่งสามารถบรรจุซองเพื่อพระราชทานได้ถึง 302,756 ซอง เมล็ดพันธุ์เหล่านี้ได้ถูกพระราชทานไปแล้วใน 3 โอกาสสำคัญ รวมกว่า 50.03 กิโลกรัม

3. โรงเรียนทหารพันธุ์ดี

โรงเรียนทหารพันธุ์ดีเป็นแหล่งเรียนรู้การปลูกผักแบบอินทรีย์ โดยแบ่งออกเป็น 4 ฐาน ได้แก่ ฐานการเตรียมดิน, ฐานการเพาะชำกล้า, ฐานการบำรุงดูแลรักษาพืช และฐานการคัดแยกเมล็ดพันธุ์ มีผู้เข้าเยี่ยมชมและศึกษาดูงานกว่า 2,867 คน

ความสำคัญของศูนย์ฯ ในชุมชน

ศูนย์ผลิตเมล็ดพันธุ์พืชแห่งนี้มีบทบาทสำคัญในการสร้างความมั่นคงทางอาหาร โดยมุ่งเน้นการสนับสนุนประชาชนในพื้นที่ภาคเหนือและขยายผลสู่ชุมชนอื่นๆ ทั่วประเทศ โดยมี มูลนิธิชัยพัฒนา และ ศูนย์พัฒนาพันธุ์พืชจักรพันธ์เพ็ญศิริเชียงราย ให้คำปรึกษาและสนับสนุน

งานสำคัญในอนาคต

ในปีนี้ ศูนย์ฯ ได้เตรียมผลผลิตเพื่อใช้ในงานกาชาดประจำปี 2567 ณ สวนลุมพินี และสนับสนุนงาน “ชัยพัฒนาแฟร์ สัญจร” เพื่อขยายผลโครงการและสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับการเกษตรแบบยั่งยืน

พระมหากรุณาธิคุณ

เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2567 สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จทอดพระเนตรการดำเนินงานของศูนย์ฯ นับเป็นครั้งที่ 4 ที่พระองค์เสด็จมาเยี่ยมชมงานของศูนย์ฯ ซึ่งแสดงถึงพระมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่

บทสรุป

ศูนย์ผลิตเมล็ดพันธุ์พืชพระราชทาน “เพื่อนช่วยเพื่อน” ไม่เพียงแต่เป็นแหล่งผลิตเมล็ดพันธุ์คุณภาพสูง แต่ยังเป็นศูนย์กลางแห่งความร่วมมือในการเสริมสร้างความมั่นคงด้านอาหารในพื้นที่ภาคเหนือและทั่วประเทศ ศูนย์ฯ แห่งนี้สะท้อนถึงพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงมุ่งมั่นในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนให้มั่นคงและยั่งยืน.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

กองทัพบกหนุนเพาะเลี้ยง ‘ผำ’ พืชโปรตีนสูง ตอบโจทย์เศรษฐกิจพอเพียง

ทหารพันธุ์ดีค่ายสุรศักดิ์มนตรี ผลิต “ผำ” โปรตีนสูง ตอบโจทย์เศรษฐกิจพอเพียง

เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2567 พลตรีวิชาญ ศรีภัทรางกูร ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 32 ได้เปิดเผยถึงโครงการทหารพันธุ์ดีค่ายสุรศักดิ์มนตรี จังหวัดลำปาง ซึ่งดำเนินการผลิต “ผำ” หรือที่รู้จักในชื่อไข่น้ำ พืชโปรตีนสูง เพื่อเป็นแหล่งอาหารคุณภาพและสนับสนุนเศรษฐกิจพอเพียงในระดับชุมชน โครงการนี้ได้รับการสนับสนุนจากศูนย์พัฒนาพันธุ์พืชจักรพันธ์เพ็ญศิริ และกองทัพภาคที่ 3 โดยมีสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ทรงเป็นองค์ประธานในการริเริ่มโครงการตั้งแต่ปี 2559

เป้าหมายโครงการเพื่อชุมชนเข้มแข็ง

โครงการทหารพันธุ์ดี มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ข้าราชการทหารและทหารกองประจำการที่สนใจด้านการเกษตร ได้เรียนรู้กระบวนการผลิตอาหารที่ปลอดภัย รวมถึงการปลูกผัก การปศุสัตว์ และการประมง นอกจากจะเป็นแหล่งอาหารสำรองในกรณีเกิดภัยพิบัติแล้ว ยังส่งเสริมการผลิตเมล็ดพันธุ์สะสมไว้พระราชทานแก่ราษฎรทั่วไป และช่วยลดปัญหาหนี้สินของกำลังพลในระยะยาว

ในปีนี้ ค่ายสุรศักดิ์มนตรี ได้เพิ่มความหลากหลายด้วยการเพาะเลี้ยง “ผำ” พืชน้ำโปรตีนสูงที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง โดยเฉพาะวิตามินบี 12 ซึ่งพบได้ยากในพืชชนิดอื่น “ผำ” มีการเจริญเติบโตเร็วและเพาะเลี้ยงง่ายในระบบปิดด้วยปุ๋ยน้ำไฮโดรโปนิกส์ โครงการนี้ยังส่งเสริมให้เกิดการรวมกลุ่มวิสาหกิจชุมชนเพื่อเพิ่มความมั่นคงทางเศรษฐกิจ

“ผำ” พืชโปรตีนสูง เพื่อความยั่งยืน

“ผำ” หรือไข่น้ำ มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Wolffia ถูกนำมาใช้เป็นแหล่งโปรตีนทดแทนในอาหารเนื่องจากมีคุณค่าทางโภชนาการสูงและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม การเพาะเลี้ยง “ผำ” ในระบบปิดช่วยให้ได้ผลผลิตที่สะอาดและปลอดภัย นอกจากนี้ ยังสามารถนำไปต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์อาหารเพื่อสุขภาพ เช่น สมูทตี้ผำ ผำอบแห้ง หรือผำในซอสปรุงรส ซึ่งเป็นที่ต้องการของตลาด

กองทัพพร้อมช่วยเหลือประชาชน

พลตรีวิชาญ ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า กองทัพภาคที่ 3 มีความพร้อมในการสนับสนุนประชาชนในทุกด้าน โดยเฉพาะการสร้างแหล่งอาหารและเสริมสร้างความมั่นคงในพื้นที่ 17 จังหวัดภาคเหนือ ประกอบด้วยการสนับสนุนยุทโธปกรณ์ กำลังพล และความร่วมมือจากหน่วยงานต่างๆ

สำหรับผู้ที่สนใจเรียนรู้เกี่ยวกับการเพาะเลี้ยง “ผำ” สามารถติดต่อโครงการทหารพันธุ์ดี ค่ายสุรศักดิ์มนตรี ได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 095-4511343

โครงการนี้ไม่เพียงตอบโจทย์การพึ่งพาตนเอง แต่ยังเสริมสร้างความยั่งยืนและความมั่นคงในชุมชนอย่างแท้จริง นับเป็นตัวอย่างที่ดีของการใช้ทรัพยากรธรรมชาติให้เกิดประโยชน์สูงสุดในรูปแบบเศรษฐกิจพอเพียง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE