พะเยาเปิดตัว “หอม มพ. 1” ข้าวเหนียวลูกผสม 3 สายพันธุ์ ผลผลิตเฉลี่ย 830 กก./ไร่ หวังยกระดับรายได้และความมั่นคงอาหารภาคเหนือ
พะเยา, 12 ธันวาคม 2568 – ท่ามกลางความผันผวนของราคาข้าวและภาวะเสี่ยงจากโรคพืชที่เกษตรกรไทยเผชิญมาหลายปี การพัฒนาพันธุ์ข้าวเหนียวใหม่ “หอม มพ. 1” โดยมหาวิทยาลัยพะเยา ร่วมกับเครือข่ายนักวิจัยและหน่วยงานด้านการเกษตร กำลังถูกจับตามองว่าอาจเป็น “คำตอบใหม่” ให้กับชาวนาในภาคเหนือตอนบน ทั้งในมิติของผลผลิตที่แน่นอนขึ้น ต้นทุนที่บริหารจัดการได้ดีขึ้น และโอกาสสร้างเศรษฐกิจหมุนเวียนในชุมชน
ข้าวเหนียวพันธุ์ใหม่นี้ไม่เพียงตอบโจทย์เรื่อง “กินอร่อย–ปลูกได้จริง” เท่านั้น แต่ยังสะท้อนแนวทางการทำงานวิจัยเชิงระบบ ที่พยายามเชื่อมโยงภูมิปัญญาท้องถิ่นเข้ากับเทคโนโลยีสมัยใหม่ ในขณะเดียวกันก็สร้าง “ความหวัง” ให้กับเกษตรกรรายย่อยในพื้นที่ที่ต้องการพันธุ์ข้าวที่แข็งแรงกว่าเดิม และไม่เสี่ยงต่อความเสียหายจากโรคระบาดในแปลงนาเหมือนที่ผ่านมา
วิกฤตเงียบในท้องนา เมื่อ “กข6” ไม่ตอบโจทย์เหมือนเดิม
ในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา “กข6” เป็นชื่อที่คุ้นเคยในหมู่เกษตรกรภาคเหนือและอีสาน ข้าวเหนียวพันธุ์นี้ผูกพันกับวิถีชีวิตและอาหารพื้นบ้านของผู้คนจำนวนมาก แต่ในความคุ้นชินนั้น กลับซ่อนปัญหาที่สะสมเรื่อยมาจนกระทบต่อ “ความมั่นคงรายได้” ของชาวนาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ปัญหาหลักของพันธุ์กข6 ที่เกษตรกรสะท้อนตรงกัน คือ ข้าวพันธุ์นี้ “ไวต่อช่วงแสง” ทำให้ปลูกได้จำกัดเพียงบางฤดูกาล การวางแผนเพาะปลูกจึงขาดความยืดหยุ่น และเมื่อเจอการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ หรือฝนฟ้าไม่เป็นใจ ความเสี่ยงในการเสียหายทั้งแปลงก็เพิ่มสูงขึ้น นอกจากนี้ กข6 ยังเป็นพันธุ์ที่ “มักเป็นโรคไหม้” ซึ่งสามารถสร้างความเสียหายให้ต้นข้าวเป็นวงกว้าง หากเกิดในช่วงสำคัญของการออกรวง ผลผลิตที่ได้อาจลดฮวบกว่าครึ่งในปีใดปีหนึ่ง
ภายใต้แรงกดดันจากทั้งต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น ตลาดข้าวโลกที่แข่งขันรุนแรง และสภาพภูมิอากาศที่แปรปรวนบ่อยครั้ง การพึ่งพาพันธุ์ข้าวแบบเดิมเพียงไม่กี่พันธุ์ จึงเริ่มกลายเป็นความเสี่ยงเชิงโครงสร้าง ที่ไม่ใช่เพียงเรื่องของ “ผลผลิตต่อไร่” แต่เกี่ยวข้องกับอนาคตของเศรษฐกิจฐานรากและความมั่นคงด้านอาหารในระดับภูมิภาค
จากห้องทดลองสู่ท้องทุ่ง การเดินทางของ “หอม มพ. 1”
เพื่อลดความเสี่ยงดังกล่าว ทีมวิจัยจากคณะเกษตรศาสตร์และทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยพะเยา นำโดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ไวพจน์ กันจู ได้เริ่มต้นโครงการปรับปรุงพันธุ์ข้าวเหนียวที่ “ตอบโจทย์จริง” ทั้งด้านวิชาการและชีวิตจริงของชาวนา โดยตั้งเป้าหมายชัดเจนตั้งแต่ต้นว่า ข้าวพันธุ์ใหม่ต้อง
- ไม่ไวต่อช่วงแสง ปลูกได้ยืดหยุ่นขึ้น
- ทนทานต่อโรคสำคัญอย่างโรคไหม้และโรคขอบใบแห้ง
- ให้ผลผลิตต่อไร่ในระดับที่คุ้มค่า
- มีกลิ่นหอมและคุณภาพเมล็ดที่เหมาะกับอาหารพื้นบ้านและการแปรรูป
ทีมวิจัยใช้ทั้ง “การปรับปรุงพันธุ์แบบดั้งเดิม” และ “เทคโนโลยีดีเอ็นเอสมัยใหม่” มาช่วยคัดเลือกต้นที่มีศักยภาพดีที่สุดอย่างเป็นระบบ ข้าวเหนียว “หอม มพ. 1” จึงเป็นผลลัพธ์จากการผสมข้ามระหว่าง 3 สายพันธุ์ ได้แก่
- สันป่าตอง 1 – พันธุ์พื้นบ้านที่ชาวเหนือคุ้นเคยในเรื่องกลิ่นหอม
- กข6 – พันธุ์หลักเก่าแก่ที่ต้องการนำข้อดีบางประการมาปรับใช้
- สายพันธุ์วิจัย RGD07585-5-B-MAS-12-1-MAS-14 – สายพันธุ์วิจัยที่นำมาเสริมเรื่องความทนทานต่อโรค
การคัดเลือกทีละรุ่นผ่านการทดสอบซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทำให้ได้ต้นแบบที่มีคุณสมบัติตามเป้าหมาย ทั้งด้านพันธุกรรมและลักษณะทางการเกษตร ก่อนจะได้รับการประเมินในแปลงทดลองและแปลงเกษตรกรอย่างต่อเนื่อง
ตัวเลขที่เล่าเรื่องได้ ผลผลิต 830 กิโลกรัมต่อไร่ และความแข็งแรงของต้นข้าว
หนึ่งในตัวชี้วัดสำคัญที่ทำให้ “หอม มพ. 1” ถูกจับตามอง คือ ผลผลิตเฉลี่ยที่ประมาณ 830 กิโลกรัมต่อไร่ ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับ “ดีมาก” เมื่อเทียบกับข้าวเหนียวพันธุ์ดั้งเดิมในหลายพื้นที่ที่มักเผชิญปัญหาโรคและสภาพอากาศจนผลผลิตแกว่งไปมา
ข้าวพันธุ์นี้มีลำต้นแข็งแรง ความสูงเฉลี่ยประมาณ 126 เซนติเมตร รวงยาว เมล็ดใหญ่ ช่วยให้การเก็บเกี่ยวเป็นไปอย่างสะดวก และลดความเสี่ยงจากการหักล้มในช่วงปลายฤดู นอกจากนี้ ยังมีคุณสมบัติสำคัญคือ “ไม่ไวต่อช่วงแสง” ทำให้เกษตรกรวางแผนการปลูกได้ยืดหยุ่นกว่าเดิม โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคเหนือตอนบนที่มีความหลากหลายของระบบนาชลประทานและนาปี
ระยะเวลาตั้งแต่ปลูกจนถึงเก็บเกี่ยวอยู่ที่ประมาณ 140–150 วัน เหมาะอย่างยิ่งกับ “นาปี” ในพื้นที่ที่มีน้ำเพียงพอ ขณะเดียวกัน ข้อจำกัดด้านการใช้น้ำที่ยังจำเป็นในระบบ “นาปรัง” ก็อยู่ระหว่างการศึกษาต่อยอดของทีมวิจัย เพื่อให้สามารถปรับตัวพันธุ์ให้สอดคล้องกับสภาพน้ำในบางพื้นที่ได้มากขึ้นในอนาคต
ต้านโรคไหม้–ขอบใบแห้ง ลดต้นทุน ลดความเสี่ยง
โรคไหม้และโรคขอบใบแห้งเป็น “ฝันร้าย” ของเกษตรกรผู้ปลูกข้าวเหนียวในหลายจังหวัดภาคเหนือ เมื่อเกิดการระบาดขึ้นในช่วงวิกฤตของวงจรการเจริญเติบโต ผลผลิตทั้งแปลงอาจเสียหายอย่างรวดเร็ว และต้องแลกมาด้วยค่าใช้จ่ายด้านสารป้องกันกำจัดโรคพืชที่สูงขึ้น
การที่ “หอม มพ. 1” ถูกออกแบบให้มีความต้านทานโรคไหม้ และทนโรคขอบใบแห้งได้ดี จึงมีนัยสำคัญมากกว่าตัวเลขเชิงวิชาการ เพราะหมายถึง
- ความเสี่ยงจากการสูญเสียผลผลิตลดลง
- ภาระต้นทุนด้านสารเคมีลดลง
- ภาระงานดูแลรักษาแปลงนาลดลงในภาพรวม
เมื่อข้าวในนาแข็งแรงกว่าเดิม เกษตรกรย่อมมี “พื้นที่หายใจ” ในการวางแผนการผลิตมากขึ้น ไม่ต้องเดิมพันทั้งฤดูกาลกับโรคระบาดเพียงอย่างเดียว และเมื่อผลผลิตมีเสถียรภาพมากขึ้น การวางแผนขาย การต่อรองราคา ตลอดจนการวางแผนแปรรูปเพื่อเพิ่มมูลค่า ก็มีความเป็นไปได้สูงขึ้นตามไปด้วย
กลิ่นหอม–เมล็ดสวย จากหม้อข้าวในครัวสู่ผลิตภัณฑ์ชุมชน
นอกจากความแข็งแรงในแปลงนา จุดเด่นอีกด้านของ “หอม มพ. 1” คือ “กลิ่นหอมและเนื้อสัมผัส” หลังการนึ่งที่ได้รับการเปรียบเทียบว่า “หอมชัด” กว่าสันป่าตอง 1 ซึ่งเป็นพันธุ์ที่คนเหนือคุ้นเคยมานาน
เมื่อนึ่งเป็นข้าวเหนียวแล้วให้เนื้อสัมผัสที่นุ่ม เหมาะกับเมนูพื้นบ้านต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นข้าวหลาม เมนูหมกข้าว หรืออาหารร้านทั่วไป ขณะเดียวกัน เมล็ดข้าวที่มีขนาดใหญ่และเรียงตัวสวย ยังเหมาะอย่างยิ่งต่อการพัฒนาเป็น “สินค้าเพิ่มมูลค่า” เช่น ขนมพื้นบ้านบรรจุแพ็กเกจ, ชุดของฝากสำหรับนักท่องเที่ยว หรือผลิตภัณฑ์แปรรูปอื่น ๆ ภายใต้แบรนด์ชุมชน
เมื่อมองผ่านเลนส์เศรษฐกิจฐานราก คุณสมบัติเหล่านี้ช่วยเปิดทางให้ไม่เพียง “ขายข้าวเปลือก” แต่ยังต่อยอดไปสู่การขายข้าวสารบรรจุถุง ข้าวเหนียวแปรรูป หรือผลิตภัณฑ์มูลค่าสูงที่เชื่อมโยงกับการท่องเที่ยวชุมชนในอนาคตได้อย่างชัดเจน
มากกว่าพันธุ์พืชใหม่ เศรษฐกิจหมุนเวียนในหมู่บ้าน
เมื่อข้าวพันธุ์หนึ่งสามารถให้ผลผลิตสม่ำเสมอ ลดต้นทุน ลดความเสี่ยงจากโรค และมีคุณภาพเมล็ดที่ดี ก็ย่อมส่งผลต่อ “ระบบเศรษฐกิจในหมู่บ้าน” อย่างเป็นรูปธรรม ตั้งแต่โรงสีที่มีเมล็ดข้าวคุณภาพดีสำหรับแปรรูป ร้านอาหารท้องถิ่นที่มีวัตถุดิบมาตรฐาน ไปจนถึงกลุ่มแม่บ้านที่สามารถคิดค้นผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ จากข้าวพันธุ์เดียวกัน
การที่ “หอม มพ. 1” ได้รับการรับรองจากกรมวิชาการเกษตรอย่างเป็นทางการ และอยู่ระหว่างการผลิตเมล็ดพันธุ์เพื่อกระจายสู่เกษตรกร จึงไม่ใช่เพียงก้าวย่างของงานวิจัยในมหาวิทยาลัย แต่เป็นการ “วางเมล็ดพันธุ์ทางเศรษฐกิจ” ให้กับหลายชุมชนในภาคเหนือตอนบน
สำหรับเกษตรกรรายย่อย ผลผลิตเฉลี่ยราว 830 กิโลกรัมต่อไร่ หากบริหารจัดการด้านต้นทุนและตลาดได้ดี ย่อมมีโอกาสสร้างรายได้ที่มั่นคงกว่าเดิม และเมื่อรายได้ของครัวเรือนเพิ่มขึ้น เงินก็หมุนเวียนกลับเข้าสู่ร้านค้า โรงสี กลุ่มแปรรูป และธุรกิจบริการในหมู่บ้านมากขึ้น เป็นวงจรเศรษฐกิจที่มี “ข้าว” เป็นศูนย์กลางอย่างแท้จริง
พลังของเครือข่ายวิจัย จาก ม.พะเยา สู่ศูนย์วิจัยข้าวในภูมิภาค
เบื้องหลัง “หอม มพ. 1” ไม่ได้เป็นเพียงผลงานของมหาวิทยาลัยพะเยาเท่านั้น แต่เกิดจากความร่วมมือของหลายหน่วยงาน นักวิจัย และศูนย์วิจัยในพื้นที่
โครงการนี้มี ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ไวพจน์ กันจู เป็นหัวหน้า ร่วมกับ อาจารย์วราวุฒิ โล๊ะสุข จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา น่าน, นางสาวศิริพร กออินทร์ศักดิ์ และ ดร.ธีรยุทธ ตู้จินดา จากสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) รวมทั้งทีมผู้ช่วยวิจัยในพื้นที่ ขณะเดียวกัน ศูนย์วิจัยข้าวเชียงราย และศูนย์วิจัยข้าวแพร่ ภายใต้กรมการข้าว ก็มีบทบาทสำคัญในการทดสอบพันธุ์ในสภาพแวดล้อมจริงของภาคเหนือตอนบน
ด้านงบประมาณและกรอบการวิจัย ได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (สวก. – องค์การมหาชน) ทำให้สามารถเดินหน้าทดลอง คัดเลือก และประเมินผลในระยะยาวจนได้พันธุ์ที่เหมาะสมกับพื้นที่จริง ไม่ใช่เพียงในแปลงทดลองในรั้วมหาวิทยาลัยเท่านั้น
เครือข่ายดังกล่าวสะท้อนให้เห็นรูปแบบความร่วมมือ “ห่วงโซ่คุณค่า” ตั้งแต่ห้องทดลอง ไปจนถึงแปลงนาและโรงสีในชุมชน ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการวิจัยด้านเกษตรสมัยใหม่ ที่ต้องเชื่อมองค์ความรู้กับข้อเท็จจริงในภาคสนามให้ได้มากที่สุด
เชื่อมวิชาการกับวิถีชุมชน “เกี่ยวข้าว ตีข้าว วิถีชาวล้านนา”
อีกหนึ่งภาพสะท้อนที่น่าสนใจ คือกิจกรรม “วิถีวัฒนธรรมแห่งท้องทุ่ง เกี่ยวข้าว ตีข้าว วิถีชาวล้านนา” ที่มหาวิทยาลัยพะเยาจัดขึ้น ณ ศูนย์การเรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียง โดยมี รองศาสตราจารย์ ดร.สุภกร พงศบางโพธิ์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยพะเยา เป็นประธานนำคณาจารย์ บุคลากร และนิสิต ร่วมลงแขกเกี่ยวข้าวเหนียว “หอม มพ. 1” ในแปลงสาธิต
กิจกรรมดังกล่าวไม่ได้เป็นเพียงการ “ทดลองเก็บเกี่ยว” พันธุ์ข้าวใหม่ แต่ยังเป็นเวทีให้คนรุ่นใหม่ได้สัมผัสกระบวนการทำนาแบบดั้งเดิม ตั้งแต่การเกี่ยวข้าว การตีข้าว ไปจนถึงการคัดแยกเมล็ด เป็นประสบการณ์ตรงที่เชื่อมโยงองค์ความรู้ทางวิชาการ เข้ากับภูมิปัญญาชาวบ้านอย่างเป็นรูปธรรม
สำหรับชุมชนในพื้นที่ การได้เห็นมหาวิทยาลัยไม่ยืนอยู่ห่างจากแปลงนา แต่ลงมาร่วมมือกับเกษตรกรในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การพัฒนาพันธุ์ การทดลองปลูก ไปจนถึงการจัดกิจกรรมเรียนรู้ร่วมกัน ย่อมสร้าง “ความเชื่อมั่น” ว่า งานวิจัยที่เกิดขึ้นไม่ได้จบลงแค่ในรายงานหรือวารสารวิชาการ แต่มีเป้าหมายเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คนในพื้นที่จริง
อนาคตของ “หอม มพ. 1” จากพันธุ์ข้าวสู่ความมั่นคงทางอาหาร
แม้ “หอม มพ. 1” จะเพิ่งผ่านการรับรองจากกรมวิชาการเกษตรและอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการผลิตเมล็ดพันธุ์เชิงระบบ แต่ในมุมมองเชิงนโยบายด้านเกษตรและความมั่นคงอาหาร พันธุ์ข้าวเหนียวชนิดนี้สะท้อนภาพที่ใหญ่กว่านั้นอย่างชัดเจน
ประการแรก ข้าวพันธุ์ที่ทนโรค ต้านโรคไหม้ และทนโรคขอบใบแห้งได้ดี ช่วยลดการพึ่งพาสารเคมีและลดต้นทุนของเกษตรกร ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางเกษตรยั่งยืนและเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมในระยะยาว
ประการที่สอง การที่พันธุ์นี้ไม่ไวต่อช่วงแสง ทำให้มีความยืดหยุ่นในการปลูกมากขึ้น สามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงบ่อย และช่วยให้เกษตรกรมีทางเลือกในการวางแผนรอบการปลูกตามปริมาณน้ำและสภาพพื้นที่
ประการที่สาม กลิ่นหอมและคุณภาพเมล็ดที่เหมาะกับการแปรรูป ช่วยเปิดประตูสู่ “ห่วงโซ่มูลค่าเพิ่ม” ในระดับชุมชน ตั้งแต่การขายข้าวสารบรรจุถุงภายใต้แบรนด์ท้องถิ่น ไปจนถึงผลิตภัณฑ์แปรรูปสำหรับนักท่องเที่ยว ซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มการพัฒนาเศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์ในหลายจังหวัดภาคเหนือ
ท้ายที่สุด การที่งานวิจัยนี้เกิดจากความร่วมมือของมหาวิทยาลัย หน่วยงานวิจัย ภาควิชาการ และศูนย์วิจัยข้าวในภูมิภาค แสดงให้เห็นว่า “ความมั่นคงทางอาหาร” ไม่ได้เป็นโจทย์ของหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง แต่เป็นโจทย์ร่วมของทั้งระบบ ที่ต้องอาศัยการทำงานแบบบูรณาการอย่างต่อเนื่อง
ภาพปลายทุ่ง เมื่อเมล็ดพันธุ์ใหม่กำลังจะถึงมือชาวนา
เมื่อแปลงสาธิตเริ่มให้ผลผลิตจริง กิจกรรมเกี่ยวข้าวและตีข้าวถูกจัดขึ้น ท่ามกลางนิสิต นักวิจัย และเกษตรกรที่ยืนมองเมล็ดข้าวเหนียว “หอม มพ. 1” ที่ร่วงหล่นจากฟ่อนข้าวลงสู่ลานนวด หลายคนอาจยังไม่รู้ว่าตัวเลข 830 กิโลกรัมต่อไร่ หรือชื่อสายพันธุ์ RGD07585-5-B-MAS-12-1-MAS-14 หมายถึงอะไรในเชิงวิชาการ
แต่สำหรับชาวนา สิ่งที่สำคัญกว่านั้นคือคำตอบง่าย ๆ ว่า “ปลูกแล้วได้ผลไหม เสี่ยงน้อยลงหรือเปล่า และขายได้หรือไม่”
คำตอบเบื้องต้นจากการทดลองและการรับรองพันธุ์ คือ “หอม มพ. 1” มีศักยภาพที่จะช่วยให้คำถามเหล่านี้มีคำตอบที่ชัดเจนขึ้น ทั้งในแง่ของผลผลิตที่แน่นอน คุณภาพข้าวที่ดี และโอกาสในการต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์หลากหลายรูปแบบ เมื่อเมล็ดพันธุ์ถูกผลิตในปริมาณที่เพียงพอและกระจายไปถึงมือชาวนาในภาคเหนือตอนบน วิถีของชุมชนหลายแห่งอาจค่อย ๆ เปลี่ยนไปอย่างเงียบ ๆ แต่มั่นคง
ในวันที่ราคาข้าวโลกยังผันผวน และสภาพอากาศยังคาดเดายาก เมล็ดพันธุ์ที่แข็งแรงหนึ่งเมล็ดจึงไม่ใช่แค่เรื่องของพันธุกรรมในต้นข้าว แต่คือ “โอกาสใหม่” ของครอบครัวหนึ่งครอบครัว และของชุมชนหนึ่งชุมชน ที่จะยืนหยัดอยู่บนผืนดินของตนเองต่อไปอย่างมีศักดิ์ศรี
เครดิตภาพและข้อมูลจาก :
- คณะเกษตรศาสตร์และทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยพะเยา
- ศูนย์การเรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียง มหาวิทยาลัยพะเยา
- โครงการวิจัยพัฒนาพันธุ์ข้าวเหนียว “หอม มพ. 1” ภายใต้การสนับสนุนของสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (สวก.) (องค์การมหาชน)
- สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)
- ศูนย์วิจัยข้าวเชียงราย และศูนย์วิจัยข้าวแพร่ กรมการข้าว
- กรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์




























