Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

เดิมพันอนาคต รัฐเร่งลดค่าบริการสนามบิน ดันไฟลต์ตรงสู่เชียงราย ชู “เมืองปลอดภัยอันดับ 2 โลก”

เดิมพันอนาคต “เชียงรายพร้อมรับไฮซีซัน” รัฐเร่งลดค่าบริการสนามบิน ดันไฟลต์ตรงสู่เมืองรอง–เปิดเกมจีน พร้อมชู “เมืองปลอดภัยระดับโลก + Soft Power” เป็นแม่เหล็กดึงนักท่องเที่ยว

เชียงราย, 18 ตุลาคม 2568 — ลมหนาวลูกแรกเริ่มปะทะปลายเทือกเขาเขตเหนือสุดแดนสยาม ขณะเดียวกัน “นาฬิกาเศรษฐกิจ” ของรัฐบาลก็เดินเร่ง ก่อนเส้นตายยุบสภาช่วงมกราคม 2569 จะมาถึง ภารกิจเร่งด่วนจึงถูกโยนเข้าสู่สนามท่องเที่ยวอย่างเต็มกำลัง—อุตสาหกรรมที่ยังทำเงินสดหมุนให้ชุมชนเร็วที่สุดในยามเศรษฐกิจต้องการแรงกระตุ้น

เชียงราย ถูกจับตาเป็นพิเศษ เพราะกำลังเข้าสู่ช่วง ไฮซีซัน (พฤศจิกายน–กุมภาพันธ์) และมี “ปัจจัยหนุน” หลายด้านเกิดพร้อมกัน ตั้งแต่นโยบาย ลดค่าบริการสนามบิน เพื่อจูงใจสายการบินเปิดเส้นทางใหม่, แคมเปญเชิงรุก Airline Focus ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ที่ทำให้ ไตรมาส 4/2568 มีไฟลต์ใหม่กว่า 80 เส้นทาง เข้าสู่ไทย, ไปจนถึงการชู “ความปลอดภัยระดับโลก” และ “Soft Power เมืองศิลปะ–สโลว์ไลฟ์” เป็นข้อได้เปรียบเชิงภาพลักษณ์ที่ยากต่อการเลียนแบบ

รายงานชิ้นนี้จึงชวนผู้อ่าน “ไล่ปม–คลี่คลาย” แบบเจาะลึกเชียงรายพร้อมแค่ไหนกับการเป็น สนามรับดีมานด์ใหม่” จากท้องฟ้า? และเมื่อรัฐบาลมีเวลาจำกัด “เกมเร็ว” ใดบ้างที่ต้องเดินให้ทัน เพื่อแปลงนโยบายบนโต๊ะเจรจาให้กลายเป็น รายได้เข้าชุมชน อย่างเป็นรูปธรรม

คณะรัฐ–ททท. บินปักกิ่ง เปิดเกมเร่งฟื้นจีน และ จ่อชง “ลดค่าบริการสนามบิน”

17 ตุลาคม 2568, กรุงปักกิ่งร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรี (กำกับดูแลกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา) พร้อม นายอรรถกร ศิริลัทธยากร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และผู้บริหารระดับสูง เดินสายพบพันธมิตรหัวขบวนตลาดจีนอย่าง UTour, Caissa, Qunar, Tongcheng, CCT, CTG, 6renyou, ZX-Tour รวมถึง Hainan Airlines และ Air China เป้าหมายชัดเจน “รับฟัง–รีดข้อเสนอ–ทำจริง” เพื่อดึง นักท่องเที่ยวจีน กลับสู่ไทยในช่วงโค้งสุดท้ายของปี

สารหลักของรองนายกฯ ในครั้งนี้มีสองแกน
(1) ความปลอดภัยต้องมาก่อน — รัฐบาลย้ำบูรณาการทำงานร่วม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ, กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว, สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เพื่อดูแลชีวิตและทรัพย์สินนักท่องเที่ยว “ให้รู้สึกปลอดภัยทุกก้าว”
(2) ลดต้นทุนสายการบินอย่างตรงจุด — มอบหมาย กรมท่าอากาศยาน พิจารณามาตรการ ลดค่าบริการสำหรับไฟลต์ใหม่ ทั้ง ค่าขึ้น–ลงอากาศยาน (Landing Charge) และ ค่าจอดอากาศยาน (Parking Charge) ที่สนามบินในกำกับ ท่าอากาศยานไทย (AOT) ทั้ง 6 แห่ง ได้แก่ สุวรรณภูมิ, ดอนเมือง, เชียงใหม่, แม่ฟ้าหลวง–เชียงราย, ภูเก็ต, หาดใหญ่ เพื่อ “กดต้นทุน–เปิดเส้นทาง–เพิ่มเที่ยวบิน” โดยตรง

“มาตรการนี้เป็นแรงจูงใจสำคัญให้สายการบินต่างประเทศเพิ่มเที่ยวบินมายังประเทศไทย ช่วยกระจายตัวนักท่องเที่ยวและกระตุ้นเศรษฐกิจภูมิภาคให้เติบโตต่อเนื่อง” — สารจาก ร.อ.ธรรมนัส ในวงหารือกับพันธมิตรจีน

ฝั่ง ททท. โดย น.ส.ฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการฯ เสริมแรงด้วยข้อมูลจากแคมเปญ Airline Focus และ Thailand Summer Blast ที่ร่วมผลักดันทั้ง ไฟลต์ประจำ (Scheduled) และ ไฟลต์เช่าเหมาลำ (Charter) ส่งผลให้ ช่วงไตรมาส 4/2568 มีการ เปิดเส้นทางบินใหม่กว่า 80 เส้นทาง จากทั้งเอเชีย ยุโรป อเมริกา และตะวันออกกลาง—สัญญาณตรงที่สะท้อน ดีมานด์เดินทางเข้าประเทศไทยกำลังเร่งตัว ในฤดูกาลท่องเที่ยวปลายปี

แปลเชิงยุทธศาสตร์ ถ้าไทย “กดค่าใช้จ่ายสนามบิน” ให้ไฟลต์ใหม่ Breakeven เร็วขึ้น ขณะที่ ททท. ช่วยการตลาด–จับมือเอเยนต์–แพลตฟอร์มจอง อัดดีมานด์ฝั่งผู้โดยสาร โอกาสเปิดเส้นทางตรงสู่เมืองรองอย่าง เชียงราย ก็ “จับต้องได้” มากขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา

จุดแข็งที่คู่แข่งเลียนแบบยาก “เชียงรายเมืองปลอดภัยระดับโลก” + “Soft Power เมืองศิลปะ–สโลว์ไลฟ์”

ถ้าถามว่า “ขายอะไร” ให้สายการบินและผู้โดยสารเชื่อมั่น? เชียงรายมี “การ์ดทรงพลัง” อย่างน้อยสองใบ

1) ความปลอดภัยเชิงสถิติโลก

การจัดอันดับของ Holidu (อ้างอิงฐานข้อมูล Nomads.com) ยกให้ เชียงราย เป็น เมืองที่ปลอดภัยที่สุดอันดับ 2 ของโลกสำหรับผู้หญิง Digital Nomad (ปี 2025) โดยพิจารณาหลายมิติ ตั้งแต่ “ความปลอดภัยกลางวัน–กลางคืน” “ความเป็นมิตรต่อผู้หญิงและชาวต่างชาติ” ไปจนถึง “กรอบกฎหมายคุ้มครอง” ขณะที่ฐานข้อมูล Numbeo (อัปเดต 2 มีนาคม 2025) สะท้อนตัวเลข “ความปลอดภัยกลางวัน ~97.92% / กลางคืน ~95.83%” และ “ความกังวลต่อการถูกทำร้ายอยู่ระดับต่ำมาก”

แปลเศรษฐศาสตร์การท่องเที่ยวเมืองที่ รู้สึกปลอดภัย” คือเมืองที่ผู้โดยสาร ตัดสินใจง่าย” และพักนานขึ้น—โดยเฉพาะกลุ่ม ครอบครัว, ผู้หญิงเดินทางเดี่ยว, Digital Nomad ซึ่งเป็น ตลาดคุณภาพ ที่กระจายรายจ่ายสู่คาเฟ่–โคเวิร์กกิง–งานศิลป์ดีกว่ามวลชนระยะสั้น

2) Soft Power เมืองศิลปะ–สโลว์ไลฟ์

เชียงรายไม่ใช่แค่ประตูชายแดน แต่เป็น เมืองศิลปะมีชีวิต” ที่บ่มเพาะกิจกรรมต่อเนื่อง—ตั้งแต่งานดอกไม้–ดนตรีในสวน, วัฒนธรรมล้านนาร่วมสมัย, ไปถึงการผลักดันแนวคิด Garden City และการจัด Walking Street / Walking Map โซนดาวน์ทาวน์ (เชื่อม วัดมิ่งเมือง–หอนาฬิกา–ศูนย์บริการข้อมูลท่องเที่ยว) เพื่อยืดเวลาพำนักยามค่ำคืนอย่างปลอดภัยและเป็นระเบียบ

Soft Power ที่จับต้องได้ + ความปลอดภัยที่พิสูจน์ด้วยตัวเลข—สองขานี้ทำให้เชียงรายมี “ตำแหน่งทางการตลาด” ชัดเจนในสายตาเอเยนต์และสายการบินเมืองรองคุณภาพ–ปลอดภัย–คุ้มต้นทุน

จุดเชื่อมจีน” ที่เห็นจริงคาราวานมิตรภาพไทย–จีน 2025 และการทูตเศรษฐกิจเชิงรุก

ปี 2569 คือวาระ 50 ปีความสัมพันธ์ทางการทูตไทย–จีน โครงการเชื่อมโยงอย่าง คาราวานมิตรภาพไทย–จีน กรุงเทพฯ–ปักกิ่ง 2025” จึงถูกออกแบบทั้งเพื่อสื่อสารภาพบวกและทดสอบเส้นทางทางบกใหม่ ๆ ขบวนกว่า 15 คัน ใช้รถพลังงานสะอาด BYD Sealion 6 DM-i วิ่งกว่า 5,000 กม. ใน 16 วัน โดยมี อำเภอเชียงของ เป็นจุดพักสำคัญก่อนข้ามแดน

แม้นี่ไม่ใช่ไฟลต์บิน แต่คือ สัญลักษณ์ของ “Strategic Connectivity” ที่รัฐบาลไทย–จีนต้องการย้ำ “ความเชื่อม–ความง่าย–ความปลอดภัย” ของการเดินทาง ซึ่งต่อยอดสู่ ตลาดจีนคุณภาพ ได้ทั้งทางบกและอากาศ หากเชียงรายมีไฟลต์ตรง/เชื่อมต่อที่สะดวก ก็ยิ่งปิดจุดอ่อน “การเดินทางหลายต่อ” ของนักท่องเที่ยวจีนเมืองรอง

ฝั่งปฏิบัติการในพื้นที่ ททท.เชียงรายคนใหม่ “วางหมุด–ทำแผน–ยกระดับประสบการณ์”

9 ตุลาคม 2568คุณยุรีพรรณ แสนใจยา เข้ารับตำแหน่ง ผู้อำนวยการ ททท.สำนักงานเชียงราย พร้อมวิสัยทัศน์ “เที่ยวได้ทุกสไตล์ เที่ยวเชียงรายได้ทั้งปี มีดีทุกอำเภอ” ที่สอดคล้องยุทธศาสตร์เศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์ของจังหวัด แผนงานสำคัญประกอบด้วย

  • สร้าง “ศูนย์กลางประสบการณ์” เขตดาวน์ทาวน์ : ปักหมุด วัดมิ่งเมือง–หอนาฬิกา–ศูนย์ข้อมูลท่องเที่ยว เป็นแกนกิจกรรมกลางคืนที่ปลอดภัย เดินได้จริง มีสื่อสารทิศทางชัด ผ่าน Walking Map
  • ยกระดับพื้นที่กรีน–อาร์ต : ผลักดัน Garden City และพื้นที่สีเขียวชุมชน เช่น เกาะทอง–หนองน้ำ–สวนสาธารณะ ให้กลายเป็น แลนด์มาร์กเดินเล่น–ปั่นจักรยาน รองรับกลุ่ม ครอบครัว–Senior–Digital Nomad
  • ปฏิทินเทศกาลต่อเนื่อง : งานดอกไม้–ดนตรีในสวน–ตักบาตรดอกไม้–เทศกาลชาติพันธุ์—ช่วย ยืดระยะพำนัก, กระจายเที่ยวไป ทุกอำเภอ
  • เชื่อมภาคเอกชน–ชุมชน : ใช้ แพ็กเกจเส้นทางศิลป์–ชุมชน–กาแฟ–ไร่ชา สร้างรายได้ตรงสู่ฐานราก

ความท้าทาย ของผู้อำนวยการคนใหม่จึงไม่ใช่ “สร้างข่าว” แต่คือ “จัดประสบการณ์หน้างาน” ให้ สมมาตรกับความคาดหวัง จากดีมานด์ใหม่ที่กำลังหลั่งไหล—ทั้งในมาตรฐานบริการ, ป้ายสื่อสารหลายภาษา, ความสะอาด–ปลอดภัย, และ การจราจร/จุดจอด ในช่วงพีก

ลดค่าบริการสนามบิน” จะช่วยเชียงรายอย่างไร? มองผ่านแว่นสายการบิน

สำหรับสายการบิน การเปิดเส้นทางใหม่คือการชั่งน้ำหนัก ต้นทุน–ดีมานด์–ความเสี่ยง ปัจจัยที่ทำให้ตัดสินใจเร็วขึ้นมี 4 ข้อหลัก

  1. ต้นทุนสนามบิน (AOT charges) — การลด Landing / Parking สำหรับไฟลต์ใหม่ ช่วยให้ ค่าเฉลี่ยต่อชั่วโมงบิน ลดลงในช่วงสำคัญของเส้นโค้งการเรียนรู้ (ramp-up)
  2. ความต้องการเดินทาง (Demand Visibility) — ททท.รับบท Demand Maker ผ่านโคโปรโมชันกับสายการบิน/ OTA และการสื่อสารตลาดเป้าหมาย (จีนระยะใกล้, ยุโรปหนีหนาว ฯลฯ)
  3. ภาพลักษณ์–ความปลอดภัยปลายทาง — เชียงรายมีแต้มต่อชัดเจนด้วย เรตติ้งความปลอดภัย และภาพจำเมืองศิลปะ–สโลว์ไลฟ์—ลดความเสี่ยงฝั่ง perception
  4. โครงสร้างรองรับภาคพื้น — ความพร้อมของ ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง–เชียงราย ในมิติ ground handling, immigration, taxi/รถรับส่ง, เวลาเปิดใช้งาน (operational hours) ช่วงพีก จะเป็นตัว “ล็อกคุณภาพ” ให้ไฟลต์ใหม่เลี่ยงความล่าช้าต้นน้ำ

บทเรียนจากเมืองรองอื่น ชี้ว่า เมื่อไฟลต์ทดลอง เริ่มเต็ม–รักษาตรงเวลา–รีวิวผู้โดยสารดี สายการบินมักเพิ่มความถี่/ขยายฤดูกาลอย่างรวดเร็ว ดังนั้นมาตรการลดค่าบริการสนามบินจึงควร ผูกกับ KPI เติมผู้โดยสาร (Load Factor) และ ความถี่ต่อเนื่อง (Sustained Frequency) เพื่อให้เม็ดเงินรัฐสร้าง “ผลถาวร” ไม่ใช่ “ผลชั่วคราว”

ไฮซีซันนี้ต้อง “ทำสั้น–ได้ผลไกล”  เช็กลิสต์ 6 ข้อที่เชียงรายควรล็อกให้ทัน

  1. แพ็กเกจ “บิน–เที่ยว–นอน” ที่ปิดจุดปวด : ร่วมเอกชนทำดีล สนามบิน–โรงแรม–การเดินทางในเมือง สำหรับนักท่องเที่ยวจีน/อาเซียน ภาษา–สื่อสาร–ชำระเงิน ต้องลื่น
  2. ศูนย์ข้อมูลหลายภาษา + เจ้าหน้าที่อาสา : โซนดาวน์ทาวน์–หอนาฬิกา–ท่าอากาศยาน—ตั้ง Information Kiosk ภาษา จีน–อังกฤษ–ไทย ช่วย “จบปัญหาหลงทาง–เข้าไม่ถึงข้อมูล”
  3. เส้นทาง “ปลอดภัย–เดินได้” กลางคืน : ปูทางเท้า, ไฟส่องสว่าง, กล้อง, จุดนั่งพัก, ป้ายทาง, ห้องน้ำมาตรฐาน—คือ “ประสบการณ์จำ” มากกว่าภาพถ่ายแลนด์มาร์ก
  4. เทศกาลแบบ “รันคิวสวย–ลดรอคอย” : ใช้ระบบจองเวลา/ QR ต่อคิวในเทศกาลยอดฮิต—ลดความแออัด–เพิ่มความประทับใจ
  5. โปรไฟล์สื่อออนไลน์เทศกาล–แผนที่จริง : เว็บไซต์/โซเชียลหลักของจังหวัดต้องมี ภาษาอังกฤษ–จีน พร้อม Walking Map ที่โหลดง่าย–อัปเดตสด
  6. เชื่อม “กาแฟ–ชา–อาร์ต–ชุมชน” : สร้างเส้นทาง 1–3 วัน (ตัวอย่าง) เมือง–แม่ลาว–แม่จัน–แม่สาย ให้เลือกได้ตามเวลาพำนัก

มองอนาคต หากไฟลต์ตรงเกิดจริง—เศรษฐกิจท้องถิ่นจะเห็นอะไร

  • ค่าใช้จ่ายเฉลี่ย/ทริปสูงขึ้น : กลุ่มเป้าหมายที่เชื่อใน “เมืองปลอดภัย–ศิลปะ–สโลว์ไลฟ์” มีแนวโน้มใช้จ่าย ที่พักบูทีค–คาเฟ่–กิจกรรมชุมชน–ศิลปหัตถกรรม มากกว่าซื้อของฝากแบบเร่งด่วน
  • ห่วงโซ่อุปทานดิจิทัลโต : โคเวิร์กกิง–อินเทอร์เน็ต–ซิม/อีซิม–บริการเช่ารถไฟฟ้า–จักรยาน—จะตามมารองรับ Digital Nomad และนักเดินทางทำงานได้
  • แรงงานบริการคุณภาพ : ความต้องการมัคคุเทศก์–ล่ามภาษาจีน–บาริสต้า–ช่างภาพท่องเที่ยว—เพิ่มขึ้น “เชิงทักษะ” มากกว่าแรงงานปริมาณ
  • การกระจายสู่รอบนอก : เมื่อดาวน์ทาวน์จัดการดี เม็ดเงินจะไหลต่อสู่ อำเภอแม่จัน–แม่ฟ้าหลวง–เชียงของ–เทิง ผ่านเส้นทางชา–กาแฟ–ชุมชนชาติพันธุ์

Risk & Reality Check: สิ่งที่ต้องเฝ้าดูอย่างเป็นกลาง

  1. ตารางเวลาอนุมัติมาตรการลดค่าบริการสนามบิน — จำเป็นต้องชัดเจน–คาดการณ์ได้ เพื่อให้สายการบินวาง slot ล่วงหน้า
  2. ความต่อเนื่องหลังยุบสภา — นโยบายควรผูกกับ กรอบปฏิบัติราชการ มากกว่าบุคคล เพื่อให้ไฟลต์ใหม่ไม่สะดุด
  3. สมดุลความหนาแน่นท่องเที่ยว–คุณภาพชีวิตท้องถิ่น — เมืองปลอดภัยต้องไม่แลกด้วยความแออัดจราจร–ขยะ–เสียงดังเกินควร
  4. การสื่อสารเหตุการณ์ไม่คาดฝัน — ระบบแจ้งเตือนหลายภาษา–ศูนย์ประสานงานนักท่องเที่ยว–เบอร์ติดต่อฉุกเฉิน ต้องพร้อมเสมอ

เดิมพันไฮซีซันบน “สามแรงส่ง–สองการ์ดเด็ด”

เมื่อนำทุกเส้นเรื่องมาร้อยรวมกัน “สมการไฮซีซันเชียงราย” จึงชัดเจนขึ้น

  • สามแรงส่ง (จากส่วนกลาง) :
    (1) นายกฯ–รองนายกฯ–รมว.ท่องเที่ยว เดินเกม Big Impact, Act Fast กับพันธมิตรจีน
    (2) นโยบาย ลดค่าบริการสนามบินสำหรับไฟลต์ใหม่ (อยู่ระหว่างการพิจารณา)
    (3) แคมเปญ Airline Focus ของ ททท. ซึ่งส่งผลให้ ไตรมาส 4/2568 มีเส้นทางบินใหม่กว่า 80 เส้นทาง เข้าสู่ไทย
  • สองการ์ดเด็ด (ของเชียงรายเอง) :
    (1) เมืองปลอดภัยระดับโลก” สำหรับผู้หญิง Digital Nomad (จัดอันดับโดย Holidu/อิง Nomads.com; สนับสนุนด้วยสถิติ Numbeo)
    (2) Soft Power เมืองศิลปะ–สโลว์ไลฟ์ + ปฏิทินเทศกาล–พื้นที่สีเขียว–Walking Map ที่กำลังยกระดับ

เมื่อแรงส่งบนฟ้าบรรจบกับการ์ดเด็ดหน้างาน โอกาสที่เชียงรายจะ แปลงไฟลต์ใหม่ให้เป็นรายได้กระจายสู่ชุมชน ในไฮซีซันนี้ย่อมเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ—ตราบใดที่ การจัดการภาคพื้น ทำได้ “ดี–ละเอียด–ต่อเนื่อง” ตามเช็กลิสต์ที่เสนอ

คำถามสุดท้ายจึงไม่ใช่ “จะมีนักท่องเที่ยวไหม” แต่คือ เราพร้อมพานักท่องเที่ยวให้ประทับใจและกลับมาอีกหรือยัง” ซึ่งคำตอบอยู่ในมือของทุกภาคส่วน—ตั้งแต่หน่วยงานกลาง, ท่าอากาศยาน, ททท., เทศบาล, ผู้ประกอบการ, ไปจนถึงชุมชนเจ้าบ้าน

ไฮซีซันปีนี้ จึงไม่ใช่แค่หน้าหนาวแรก แต่เป็น เดิมพันอนาคต ที่เชียงรายมีโอกาส “ยิงให้เข้าเป้า” ในเวลาจำกัด—ทำสั้น แต่ให้ได้ผลไกล

เสียง–สถิติ–แผนงาน

  • รัฐบาลพบพันธมิตรจีนที่ปักกิ่ง (17 ต.ค. 2568)  ย้ำ ความปลอดภัยนักท่องเที่ยว และ ลดค่าบริการสนามบินสำหรับไฟลต์ใหม่ (Landing / Parking) ที่สนามบิน AOT รวมถึง แม่ฟ้าหลวง–เชียงราย
  • ททท.ชี้สัญญาณบวก  ไตรมาส 4/2568 สายการบินระหว่างประเทศ เพิ่มเส้นทางใหม่ > 80 เส้นทาง สู่ไทย จากเอเชีย–ยุโรป–อเมริกา–ตะวันออกกลาง
  • เชียงราย = เมืองปลอดภัยระดับโลกอันดับ 2 สำหรับผู้หญิง Digital Nomad (Holidu / Nomads.com) สนับสนุนด้วยสถิติ Numbeo (ความปลอดภัยกลางวัน ~97.92% กลางคืน ~95.83%)
  • คาราวานมิตรภาพไทย–จีน 2025  วิ่ง 5,000 กม. ใช้เชียงของเป็นจุดผ่าน—สัญลักษณ์ “การเชื่อมไทย–จีน” รับวาระ 50 ปีทางการทูต
  • ททท.เชียงราย (ผอ.คนใหม่)  ปักหมุดดาวน์ทาวน์–Walking Map–Garden City–เทศกาลต่อเนื่อง—มุ่ง “เที่ยวได้ทุกสไตล์ เที่ยวได้ทั้งปี มีดีทุกอำเภอ”

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)
  • ท่าอากาศยานไทย (AOT) / กรมท่าอากาศยาน
  • Holidu (อ้างอิงฐานข้อมูล Nomads.com)
  • Numbeo
  • ททท. สำนักงานเชียงราย
  • ภาคีปฏิบัติการพื้นที่/สื่อท้องถิ่นเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

นักท่องเที่ยวจีนหาย KKP ชี้ความปลอดภัยลดลง

วิกฤตนักท่องเที่ยวจีนในประเทศไทย โอกาสและความท้าทายในการฟื้นฟูการท่องเที่ยว

ประเทศไทย, 26 พฤษภาคม 2568 – อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศไทย ซึ่งเปรียบเสมือนเส้นเลือดใหญ่ที่หล่อเลี้ยงเศรษฐกิจของชาติ กำลังเผชิญกับความท้าทายครั้งสำคัญ เมื่อจำนวนนักท่องเที่ยวจีน ซึ่งเคยเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวหลักที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ลดลงอย่างน่าตกใจในช่วงต้นปี 2568 สถานการณ์นี้ไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อรายได้ของธุรกิจท่องเที่ยวในเมืองท่องเที่ยวสำคัญอย่างเชียงราย ภูเก็ต และกรุงเทพฯ แต่ยังทำให้เกิดคำถามสำคัญว่า “นักท่องเที่ยวจีนหายไปไหน?” และประเทศไทยจะปรับตัวอย่างไรเพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันในฐานะจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวระดับโลก

ความหวังที่พังทลายหลังตรุษจีน

ในช่วงก่อนการระบาดของโควิด-19 นักท่องเที่ยวจีนถือเป็นกำลังสำคัญของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทย โดยในปี 2562 มีนักท่องเที่ยวจีนเดินทางมาไทยถึง 11 ล้านคน คิดเป็นสัดส่วนเกือบ 28% ของนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมด และสร้างรายได้กว่า 5.3 แสนล้านบาทต่อปี ด้วยตัวเลขที่สูงเช่นนี้ ประเทศไทยจึงคาดหวังว่านักท่องเที่ยวจีนจะเป็นแรงขับเคลื่อนหลักในการฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังการระบาด โดยเฉพาะเมื่อจีนเริ่มผ่อนคลายนโยบาย Zero-COVID และเปิดประเทศในช่วงปลายปี 2565

ในช่วงปลายปี 2567 ตัวเลขนักท่องเที่ยวจีนเริ่มแสดงสัญญาณการฟื้นตัว โดยมีจำนวนเฉลี่ย 560,000 คนต่อเดือน ซึ่งคิดเป็น 60-70% ของระดับก่อนโควิด-19 ความหวังพุ่งสูงขึ้นเมื่อช่วงเทศกาลตรุษจีนในเดือนมกราคม 2568 มีนักท่องเที่ยวจีนเดินทางมาไทยถึง 660,000 คน ซึ่งเป็นตัวเลขสูงสุดนับตั้งแต่จีนเปิดประเทศ อย่างไรก็ตาม ความหวังนี้กลับพังทลายลงอย่างรวดเร็ว เมื่อตัวเลขนักท่องเที่ยวจีนในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงเมษายน 2568 ลดลงเกือบครึ่ง เหลือเพียง 300,000 คนต่อเดือน หรือเพียง 30% ของระดับก่อนโควิด-19

สถานการณ์นี้สร้างความกังวลอย่างมากในหมู่ผู้ประกอบการท่องเที่ยว โดยเฉพาะในเมืองอย่างเชียงราย ซึ่งเป็นจุดหมายยอดนิยมของนักท่องเที่ยวจีนที่ชื่นชอบการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและธรรมชาติ คำถามที่ตามมาคือ สาเหตุใดที่ทำให้นักท่องเที่ยวจีนลดลงอย่างรุนแรง และประเทศไทยจะรับมือกับวิกฤตนี้ได้อย่างไร KKP Research โดยกลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร ได้วิเคราะห์สถานการณ์นี้และชี้ให้เห็นถึงปัจจัยเชิงโครงสร้างและชั่วคราวที่ส่งผลต่อการลดลงของนักท่องเที่ยวจีน พร้อมทั้งเสนอแนะแนวทางการปรับตัวเพื่อฟื้นฟูอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว

สาเหตุของการหดตัวของนักท่องเที่ยวจีน

KKP Research ได้ระบุถึงสามปัจจัยหลักที่ทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวจีนลดลงอย่างมีนัยสำคัญในช่วงต้นปี 2568 ซึ่งประกอบด้วยปัจจัยเชิงโครงสร้างและชั่วคราว ดังนี้:

  1. การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการท่องเที่ยวของชาวจีน
    ปัจจัยเชิงโครงสร้างที่สำคัญคือการที่นักท่องเที่ยวจีนหันมาให้ความสำคัญกับการท่องเที่ยวภายในประเทศมากขึ้น ตามนโยบายของรัฐบาลจีนที่ส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจภายใน ข้อมูลจาก China Tourism Academy ระบุว่า ในปี 2567 นักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางภายในประเทศฟื้นตัวถึง 93.6% ของระดับปี 2562 ในขณะที่นักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางไปต่างประเทศฟื้นตัวเพียง 86.5% เท่านั้น การชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน ซึ่งเติบโตเพียง 4.8% ในปี 2567 ตามข้อมูลของ National Bureau of Statistics of China ยังส่งผลให้กำลังซื้อของนักท่องเที่ยวจีนลดลง ทำให้หลายคนเลือกท่องเที่ยวในประเทศที่มีค่าใช้จ่ายต่ำกว่า

นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมจากนักท่องเที่ยวแบบกรุ๊ปทัวร์ไปสู่นักท่องเที่ยวอิสระ (Free Individual Traveler: FIT) เป็นอีกปัจจัยสำคัญ ในอดีต นักท่องเที่ยวจีนที่มาไทยมีสัดส่วนกรุ๊ปทัวร์สูงถึง 40% ซึ่งสูงกว่าประเทศอื่นในภูมิภาคที่อยู่ระหว่าง 10-20% อย่างไรก็ตาม จากการสำรวจของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาในปี 2567 พบว่านักท่องเที่ยวจีนที่เป็นกรุ๊ปทัวร์ลดลงเหลือเพียง 20% ในขณะที่นักท่องเที่ยวอิสระเพิ่มขึ้นเป็น 80% การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้การกระตุ้นการท่องเที่ยวด้วยกลยุทธ์เน้นราคาต่ำ เช่น ทัวร์ราคาถูก อาจไม่ได้ผลอีกต่อไป เนื่องจากนักท่องเที่ยวอิสระให้ความสำคัญกับปัจจัยอื่น เช่น คุณภาพการบริการ ความปลอดภัย และประสบการณ์ที่หลากหลายมากขึ้น

  1. ภาพลักษณ์ด้านความปลอดภัยที่เสื่อมถอย
    ปัญหาความปลอดภัยกลายเป็นปัจจัยเชิงโครงสร้างที่ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อการตัดสินใจของนักท่องเที่ยวจีน จากการสำรวจของ Dragon Trail International ในเดือนเมษายน 2568 พบว่า 52% ของนักท่องเที่ยวจีนที่ตอบแบบสอบถามมองว่าประเทศไทยไม่ปลอดภัย เพิ่มขึ้นจาก 38% ในเดือนกันยายน 2567 ซึ่งสูงกว่าประเทศคู่แข่งอย่างญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และเวียดนาม ที่การรับรู้ด้านความปลอดภัยไม่ได้เปลี่ยนแปลงมากนัก

เหตุการณ์สำคัญที่กระทบต่อภาพลักษณ์ของไทย ได้แก่ การลักพาตัวดาราชาวจีนในช่วงต้นปี 2568 การปราบปรามธุรกิจสีเทาที่สร้างความกังวลในหมู่นักท่องเที่ยว และเหตุการณ์แผ่นดินไหวขนาดเล็กในบางพื้นที่ของประเทศไทย ซึ่งถูกขยายความในสื่อจีน โดยเฉพาะในกลุ่มนักท่องเที่ยวอิสระที่ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยมากกว่ากรุ๊ปทัวร์ การรับรู้ด้านความปลอดภัยที่ลดลงนี้สะท้อนจากข้อมูลการจองเที่ยวบินขาเข้าไทยที่ลดลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เดือนมีนาคม 2568 ในขณะที่เที่ยวบินขาออกจากจีนไปยังญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และมาเลเซียกลับฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว

  1. การแข่งขันจากจุดหมายปลายทางอื่น
    ปัจจัยทั้งเชิงโครงสร้างและชั่วคราวคือการที่นักท่องเที่ยวจีนหันไปเลือกจุดหมายปลายทางอื่นในภูมิภาคเอเชีย เช่น ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ เวียดนาม และมาเลเซีย ซึ่งมีข้อได้เปรียบในด้านความหลากหลายของสถานที่ท่องเที่ยว คุณภาพการบริการ และภาพลักษณ์ด้านความปลอดภัย ข้อมูลจาก International Air Transport Association (IATA) แสดงให้เห็นว่า เที่ยวบินจากจีนไปยังญี่ปุ่นและเกาหลีใต้เพิ่มขึ้น 15% ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2568 ในขณะที่เที่ยวบินไปไทยลดลง 10% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปีก่อนหน้า การเปลี่ยนแปลงนี้แสดงให้เห็นว่า ความน่าสนใจของประเทศไทยในฐานะจุดหมายปลายทางลดลง เมื่อเทียบกับคู่แข่งในภูมิภาค

กลยุทธ์รับมือและโอกาสใหม่

เพื่อรับมือกับวิกฤตนี้ KKP Research เสนอว่าประเทศไทยจำเป็นต้องปรับกลยุทธ์ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว โดยมุ่งเน้นการแก้ไขปัญหาความปลอดภัยและการสร้างความหลากหลายให้กับกลุ่มนักท่องเที่ยวเป้าหมาย ดังนี้:

  1. การฟื้นฟูภาพลักษณ์ด้านความปลอดภัย
    การแก้ไขปัญหาความปลอดภัยเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องดำเนินการในระยะยาว Dragon Trail International ระบุว่า ปัจจัยที่ทำให้นักท่องเที่ยวจีนรู้สึกปลอดภัยมากที่สุดคือการออกคำแนะนำด้านการเดินทางในเชิงบวกจากรัฐบาลจีน และการเพิ่มมาตรการความปลอดภัยโดยรัฐบาลท้องถิ่น ซึ่ง 50% ของผู้ตอบแบบสอบถามเห็นว่ามีความสำคัญ รองลงมาคือการรับข้อมูลเชิงบวกจากสื่อสังคมออนไลน์และเพื่อนนักท่องเที่ยว (25%) และการเลือกสถานที่ท่องเที่ยวที่มีความเสี่ยงต่ำหรือการซื้อประกันการเดินทาง (20%) ในทางกลับกัน การเดินทางกับกรุ๊ปทัวร์หรือการมีไกด์ท้องถิ่นไม่ได้ช่วยเพิ่มความรู้สึกปลอดภัยให้กับนักท่องเที่ยวจีนมากนัก

รัฐบาลไทยจึงควรประสานงานกับรัฐบาลจีนเพื่อปรับปรุงการรับรู้ด้านความปลอดภัย รวมถึงลงทุนในแคมเปญประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อสังคมออนไลน์ที่ได้รับความนิยมในจีน เช่น WeChat และ Douyin เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับนักท่องเที่ยว นอกจากนี้ การเพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัยในแหล่งท่องเที่ยว เช่น การติดตั้งกล้องวงจรปิดและการเพิ่มกำลังตำรวจท่องเที่ยว จะช่วยฟื้นฟูความเชื่อมั่นได้

  1. การกระจายกลุ่มนักท่องเที่ยวเป้าหมาย
    ในระยะสั้น การพึ่งพานักท่องเที่ยวจีนเพียงกลุ่มเดียวอาจเป็นความเสี่ยง KKP Research แนะนำให้มุ่งเน้นกลุ่มนักท่องเที่ยวยุโรปและเอเชียใต้ โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจากอินเดีย ซึ่งมีศักยภาพในการเติบโตสูง เนื่องจากเศรษฐกิจอินเดียเติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยมีอัตราการเติบโตของ GDP อยู่ที่ 7.8% ในปี 2567 ตามข้อมูลของ International Monetary Fund (IMF) ในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2568 นักท่องเที่ยวยุโรปและเอเชียใต้ฟื้นตัวถึง 120% ของระดับปี 2562 และคิดเป็นสัดส่วนเกือบ 1 ใน 3 ของนักท่องเที่ยวทั้งหมด

นักท่องเที่ยวยุโรปมีฤดูกาลท่องเที่ยวในช่วงปลายปีถึงต้นปี ซึ่งช่วยเติมเต็มช่วงเวลาที่นักท่องเที่ยวจีนลดลง ในขณะที่นักท่องเที่ยวอินเดียเดินทางมากในช่วงกลางปี (พฤษภาคม-มิถุนายน) ซึ่งเป็นช่วงนอกฤดูกาลท่องเที่ยวของไทย อย่างไรก็ตาม พฤติกรรมของทั้งสองกลุ่มนี้แตกต่างจากนักท่องเที่ยวจีนอย่างชัดเจน นักท่องเที่ยวยุโรปให้ความสำคัญกับแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ อาหารริมทาง และการช้อปปิ้งของที่ระลึก ส่วนนักท่องเที่ยวอินเดียชื่นชอบกิจกรรมยามค่ำคืน การนวดและสปา และการช้อปปิ้งเสื้อผ้าและเครื่องหนัง

การปรับนโยบายการท่องเที่ยวจึงควรเน้นการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายใหม่ เช่น การพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ในภาคเหนือและอีสานสำหรับนักท่องเที่ยวยุโรป และการส่งเสริมสถานบันเทิงและสปาคุณภาพสูงในกรุงเทพฯ และพัทยาสำหรับนักท่องเที่ยวอินเดีย

  1. การยกระดับคุณภาพการท่องเที่ยว
    การเปลี่ยนแปลงสู่การท่องเที่ยวคุณภาพสูงเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวอิสระที่มีกำลังซื้อสูง การพัฒนาการบริการ การเพิ่มความหลากหลายของสถานที่ท่องเที่ยว และการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและเชิงนิเวศจะช่วยเพิ่มความน่าสนใจให้กับประเทศไทย นอกจากนี้ การใช้เทคโนโลยีดิจิทัล เช่น แพลตฟอร์มจองที่พักและกิจกรรมออนไลน์ที่สะดวกและเข้าถึงได้ง่าย จะช่วยตอบสนองความต้องการของนักท่องเที่ยวอิสระทั้งจากจีนและกลุ่มอื่นๆ

โอกาสท่ามกลางวิกฤต

การลดลงของนักท่องเที่ยวจีนในช่วงต้นปี 2568 เป็นสัญญาณเตือนที่สำคัญสำหรับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทย แม้ว่าปัญหานี้จะมีทั้งปัจจัยเชิงโครงสร้างและชั่วคราว แต่ก็เป็นโอกาสให้ประเทศไทยทบทวนและปรับปรุงกลยุทธ์การท่องเที่ยวให้สอดคล้องกับบริบทโลกที่เปลี่ยนแปลงไป การพึ่งพานักท่องเที่ยวจีนเพียงกลุ่มเดียวในอดีตได้แสดงให้เห็นถึงความเปราะบางของอุตสาหกรรม เมื่อเผชิญกับความผันผวนของเศรษฐกิจโลกและการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของนักท่องเที่ยว

ในระยะสั้น การแก้ไขปัญหาความปลอดภัยและการประชาสัมพันธ์เชิงบวกจะช่วยฟื้นฟูความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวจีนได้บ้าง โดยเฉพาะในกลุ่มนักท่องเที่ยวอิสระที่ยังมีศักยภาพในการกลับมา อย่างไรก็ตาม ในระยะยาว การกระจายกลุ่มนักท่องเที่ยวเป้าหมายไปสู่นักท่องเที่ยวยุโรปและอินเดียจะช่วยลดความเสี่ยงและสร้างความสมดุลให้กับอุตสาหกรรม การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านการท่องเที่ยวและการยกระดับคุณภาพการบริการจะทำให้ประเทศไทยสามารถแข่งขันกับจุดหมายปลายทางอื่นในภูมิภาคได้อย่างยั่งยืน

นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวสู่การท่องเที่ยวแบบอิสระยังเป็นโอกาสให้ประเทศไทยพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพที่เน้นประสบการณ์เฉพาะตัว เช่น การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมในเชียงราย การท่องเที่ยวเชิงนิเวศในภาคใต้ หรือการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพในกรุงเทพฯ การพัฒนาเหล่านี้ไม่เพียงแต่จะดึงดูดนักท่องเที่ยวที่มีกำลังซื้อสูง แต่ยังช่วยกระจายรายได้สู่ชุมชนท้องถิ่นและส่งเสริมการท่องเที่ยวที่ยั่งยืน

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  • จำนวนนักท่องเที่ยวจีนในประเทศไทย:
    • ปี 2562: 11 ล้านคน (28% ของนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมด)
    • ปี 2567: เฉลี่ย 560,000 คนต่อเดือน (60-70% ของระดับก่อนโควิด-19)
    • มกราคม 2568: 660,000 คน
    • กุมภาพันธ์-เมษายน 2568: เฉลี่ย 300,000 คนต่อเดือน (30% ของระดับก่อนโควิด-19)
      ที่มา: กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา (www.mots.go.th)
  • การฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวจีน:
    • นักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางในประเทศ: ฟื้นตัว 93.6% ของระดับปี 2562
    • นักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางไปต่างประเทศ: ฟื้นตัว 86.5% ของระดับปี 2562
      ที่มา: China Tourism Academy (www.ctaweb.org)
  • สัดส่วนนักท่องเที่ยวจีน:
    • ปี 2562: กรุ๊ปทัวร์ 40%, นักท่องเที่ยวอิสระ 60%
    • ปี 2567: กรุ๊ปทัวร์ 20%, นักท่องเที่ยวอิสระ 80%
    • การฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวอิสระ: 77.4% (5.3 ล้านคน)
    • การฟื้นตัวของกรุ๊ปทัวร์: 33.4% (1.4 ล้านคน)
      ที่มา: กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา (www.mots.go.th)
  • การรับรู้ด้านความปลอดภัย:
    • เดือนกันยายน 2567: 38% ของนักท่องเที่ยวจีนมองว่าไทยไม่ปลอดภัย
    • เดือนเมษายน 2568: 52% ของนักท่องเที่ยวจีนมองว่าไทยไม่ปลอดภัย
      ที่มา: Dragon Trail International (www.dragontrail.com)
  • การเติบโตของนักท่องเที่ยวยุโรปและเอเชียใต้:
    • ช่วง 4 เดือนแรกของปี 2568: ฟื้นตัว 120% ของระดับปี 2562
    • สัดส่วน: คิดเป็น 1 ใน 3 ของนักท่องเที่ยวทั้งหมด
      ที่มา: กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา (www.mots.go.th)
  • การเติบโตของเศรษฐกิจอินเดีย:
    • ปี 2567: GDP เติบโต 7.8%
      ที่มา: International Monetary Fund (www.imf.org)
  • ข้อมูลเที่ยวบิน:
    • เที่ยวบินจากจีนไปญี่ปุ่นและเกาหลีใต้: เพิ่มขึ้น 15% ในไตรมาสแรกของปี 2568
    • เที่ยวบินจากจีนไปไทย: ลดลง 10% ในไตรมาสแรกของปี 2568
      ที่มา: International Air Transport Association (www.iata.org)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • KKP Research โดยกลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร (www.kkpfg.com)
  • กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา (www.mots.go.th)
  • China Tourism Academy (www.ctaweb.org)
  • Dragon Trail International (www.dragontrail.com)
  • International Monetary Fund (www.imf.org)
  • International Air Transport Association (www.iata.org)
  • National Bureau of Statistics of China (www.stats.gov.cn)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

ผลตรวจยืนยันน้ำประปาเชียงราย 4 จุด “ผ่านเกณฑ์มาตรฐาน”

เชียงรายยืนยันคุณภาพน้ำประปา หลังแม่น้ำกกพบโลหะหนักเกินมาตรฐาน

ต้นเหตุปัญหาคุณภาพน้ำแม่น้ำกก

เชียงราย, 18 เมษายน 2568 – จากรายงานสถานการณ์คุณภาพน้ำผิวดินของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พบว่าแม่น้ำกกมีสีขุ่นผิดปกติ ผลการตรวจสอบล่าสุดแสดงให้เห็นว่าปริมาณโลหะหนักและสารอินทรีย์ในน้ำบริเวณหลายจุดสูงเกินค่ามาตรฐาน โดยเฉพาะบริเวณบ้านโป่งนาคำ ตำบลดอยฮาง อำเภอเมืองเชียงราย มีค่าสารหนูอยู่ที่ 0.013 มิลลิกรัมต่อลิตร ซึ่งเกินมาตรฐานที่กำหนดไว้ ส่งผลให้ประชาชนในพื้นที่เกิดความกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยในการบริโภค

กปภ.เชียงราย ย้ำมาตรฐานน้ำประปาปลอดภัย

นายทวีศักดิ์ สุขก้อน ผู้จัดการการประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) สาขาเชียงราย พร้อมด้วยผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ได้ออกมาแถลงยืนยันคุณภาพและความปลอดภัยของน้ำประปาที่ผลิตจากแม่น้ำกก โดยระบุว่าทาง กปภ.สาขาเชียงราย มีมาตรการควบคุมคุณภาพน้ำอย่างเข้มงวดและต่อเนื่อง ตั้งแต่ขั้นตอนการสูบน้ำดิบจากแม่น้ำ การพักน้ำในบ่อพัก และผ่านกระบวนการกรองและฆ่าเชื้อตามมาตรฐานของ กปภ. ก่อนที่จะส่งถึงมือผู้บริโภค

เพื่อสร้างความมั่นใจเพิ่มเติม นายทวีศักดิ์ยังได้สาธิตการล้างหน้าด้วยน้ำที่ผ่านกระบวนการผลิตแล้วต่อหน้าสื่อมวลชน เพื่อแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นในคุณภาพน้ำประปา

ผลตรวจสอบจากหน่วยงานภายนอกยืนยันผ่านเกณฑ์

จากความกังวลของประชาชนต่อคุณภาพน้ำ ทาง กปภ.สาขาเชียงราย ได้ดำเนินการสุ่มเก็บตัวอย่างน้ำจำนวน 4 จุด ได้แก่ บริเวณถังน้ำใส และบ้านลูกค้าอีก 3 จุด ในวันที่ 8 เมษายน 2568 เพื่อส่งตรวจสอบโดย บริษัท ห้องปฏิบัติการกลาง (ประเทศไทย) จำกัด ล่าสุดผลการตรวจสอบยืนยันแล้วว่าตัวอย่างน้ำทั้ง 4 จุดผ่านเกณฑ์มาตรฐานของการประปาส่วนภูมิภาคทุกประการ

การวิเคราะห์สถานการณ์และแนวทางการแก้ไข

แม้ว่าผลการตรวจสอบคุณภาพน้ำประปาจะผ่านเกณฑ์มาตรฐานแล้ว แต่นักสิ่งแวดล้อมมองว่า ปัญหาคุณภาพน้ำดิบจากแม่น้ำกกยังคงเป็นเรื่องที่ต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะการปล่อยน้ำเสียจากชุมชนลงสู่แหล่งน้ำโดยไม่ผ่านการบำบัด ซึ่งส่งผลให้ปริมาณสารอินทรีย์และโลหะหนักสะสมจนเกินมาตรฐาน

ด้านนายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ได้มอบหมายให้สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 (เชียงใหม่) เพิ่มความถี่ในการเก็บตัวอย่างน้ำเพื่อตรวจสอบคุณภาพ พร้อมกำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสำรวจการใช้น้ำตลอดลำน้ำกกอย่างละเอียด เพื่อหามาตรการในการแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน และแจ้งให้ประชาชนรับทราบข้อมูลอย่างทั่วถึง เพื่อลดความกังวลและสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง

ข้อแนะนำสำหรับประชาชนในพื้นที่

นายชรินทร์ ได้ขอความร่วมมือประชาชนให้งดลงเล่นน้ำ หรือใช้น้ำจากลำน้ำกกโดยตรงในช่วงนี้ โดยแนะนำให้ใช้น้ำที่ผ่านกระบวนการกรองและฆ่าเชื้อแล้วจากการประปาส่วนภูมิภาคเท่านั้น เพื่อความปลอดภัยและป้องกันผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนในพื้นที่

สถิติที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์น้ำแม่น้ำกก

จากข้อมูลรายงานคุณภาพน้ำผิวดินจากกรมควบคุมมลพิษ (ข้อมูลปี 2568) พบว่าคุณภาพน้ำแม่น้ำกกอยู่ในระดับ “พอใช้ถึงเสื่อมโทรม” โดยพบปริมาณแบคทีเรียโคลิฟอร์ม (Coliform Bacteria) เกินค่ามาตรฐานในหลายจุด มีค่าตั้งแต่ 5,000-10,000 MPN/100 mL สูงกว่ามาตรฐานที่กำหนดไว้ไม่เกิน 4,000 MPN/100 mL และสารหนูมีค่าเกินมาตรฐานเล็กน้อยที่ระดับเฉลี่ยประมาณ 0.011-0.013 มิลลิกรัมต่อลิตร (ข้อมูลจากรายงานกรมควบคุมมลพิษ, 2568)

หน่วยงานภาครัฐและหน่วยงานวิจัยต่างเห็นพ้องกันว่าควรมีการติดตามตรวจสอบคุณภาพน้ำอย่างต่อเนทื่อง รวมถึงเร่งรัดดำเนินการแก้ไขปัญหาน้ำเสียอย่างจริงจัง โดยเฉพาะจากกิจกรรมชุมชนและภาคอุตสาหกรรม เพื่อลดมลพิษและฟื้นฟูสภาพแหล่งน้ำอย่างยั่งยืน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • กรมควบคุมมลพิษ, รายงานคุณภาพน้ำผิวดิน ปี 2568
  • การประปาส่วนภูมิภาค สาขาเชียงราย
  • บริษัท ห้องปฏิบัติการกลาง (ประเทศไทย) จำกัด
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

สงกรานต์อุ่นใจ เชียงรายคุมเข้มรถโดยสาร พนักงานพร้อม

เชียงรายตรวจเข้มรถโดยสารเทศกาลสงกรานต์ ย้ำมาตรการเข้มความปลอดภัยผู้โดยสาร

รองผู้ว่าฯ นำคณะตรวจเยี่ยมสถานีขนส่ง สร้างความมั่นใจประชาชนช่วงเดินทางกลับบ้าน

เชียงราย, 16 เมษายน 2568 – จังหวัดเชียงรายเดินหน้าเพิ่มความเชื่อมั่นและความปลอดภัยในการเดินทางให้กับประชาชนในช่วงเทศกาลสงกรานต์ โดยเมื่อเวลา 18.00 น. นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ได้นำคณะหัวหน้าส่วนราชการจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ออกตรวจเยี่ยมสถานีขนส่งผู้โดยสารจังหวัดเชียงรายแห่งที่ 2 เพื่อติดตามมาตรการควบคุมความปลอดภัยของรถโดยสารสาธารณะและพนักงานขับรถ พร้อมให้คำแนะนำแก่ประชาชนที่เดินทางกลับภูมิลำเนา

ลงพื้นที่ตรวจเข้มทุกขั้นตอน สร้างความมั่นใจแก่ผู้โดยสาร

การลงพื้นที่ในครั้งนี้ มีหน่วยงานสำคัญร่วมปฏิบัติงานอย่างพร้อมเพรียง ได้แก่

  • สำนักงานขนส่งจังหวัดเชียงราย โดย นางสุภมาศ ลีลารักษ์กุล ขนส่งจังหวัด
  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย โดย นายรามิล พัฒนมงคลเชฐ ปลัด อบจ.
  • สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงราย โดย นายเสริฐ ไชยานันตา
  • สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย โดย นายครรชิต ชมภูแดง
  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย โดย นางสาวนันทวรรณ กันคำ

ทุกหน่วยงานร่วมกันตรวจสอบและดูแลมาตรการด้านความปลอดภัยอย่างใกล้ชิดในทุกจุด ไม่ว่าจะเป็นการตรวจสภาพรถ พนักงานขับรถ หรือความพร้อมของสิ่งอำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชน

GPS – วัดแอลกอฮอล์ – ตรวจสารเสพติด ดำเนินการครบวงจร

ในการตรวจเยี่ยมครั้งนี้ คณะเจ้าหน้าที่ได้ดำเนินการตรวจสอบความเร็วของรถโดยสารผ่านระบบ GPS ซึ่งเชื่อมโยงข้อมูลแบบเรียลไทม์กับศูนย์ควบคุมของกรมการขนส่งทางบก เพื่อป้องกันการใช้ความเร็วเกินกำหนด พร้อมตรวจสอบใบอนุญาตขับขี่ สมุดประจำรถ และตรวจวัดแอลกอฮอล์ของพนักงานขับรถทุกคน

นอกจากนี้ ยังมีการตรวจสารเสพติดจากปัสสาวะโดยเจ้าหน้าที่จากสำนักงาน ป.ป.ส. ภาค 5 เพื่อป้องกันไม่ให้มีผู้ขับขี่ที่อยู่ภายใต้อิทธิพลของยาเสพติดออกเดินทาง

ตรวจความพร้อมรถโดยสารสาธารณะ ครอบคลุมทุกระบบเพื่อความปลอดภัย

รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พร้อมคณะ ได้ตรวจสอบระบบความปลอดภัยของรถโดยสารโดยละเอียด ทั้งในด้าน

  • ระบบไฟส่องสว่าง
  • สภาพยางรถ
  • ถังดับเพลิง
  • ค้อนทุบกระจก
  • ประตูทางออกฉุกเฉิน
  • เข็มขัดนิรภัย
  • กล้องวงจรปิดภายในรถ

นอกจากนี้ ยังได้ให้คำแนะนำกับผู้โดยสารโดยตรง เพื่อเน้นย้ำให้สวมเข็มขัดนิรภัยขณะโดยสาร และสังเกตความผิดปกติของพนักงานขับรถ หากพบสามารถแจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ทันที

แจกของที่ระลึก – ให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ด่านหน้า

เพื่อสร้างบรรยากาศแห่งมิตรภาพและความปลอดภัย นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ ยังได้มอบของที่ระลึกให้กับประชาชนที่ใช้บริการรถโดยสาร พร้อมกล่าวให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ประจำสถานีขนส่ง ผู้ปฏิบัติหน้าที่ในช่วงเทศกาล ที่ต้องทำงานต่อเนื่องอย่างเหน็ดเหนื่อย โดยขอบคุณในความเสียสละ และย้ำให้เจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายเน้นความปลอดภัยของประชาชนเป็นสำคัญ

แนวทางยกระดับมาตรการความปลอดภัยหลังเทศกาล

จากการประเมินสถานการณ์เดินทางของประชาชนในช่วงเทศกาลสงกรานต์ จังหวัดเชียงรายมีจำนวนผู้โดยสารเข้า-ออกสถานีขนส่งเพิ่มขึ้นเฉลี่ยวันละกว่า 4,000 คน ซึ่งสะท้อนถึงความจำเป็นในการวางแผนรองรับในระยะยาว โดยที่ประชุมระดับจังหวัดเตรียมยกระดับการบริหารจัดการจราจรและความปลอดภัยอย่างต่อเนื่องในช่วงเทศกาลปีใหม่ และวันหยุดสำคัญอื่น ๆ

มาตรการที่กำลังผลักดัน ได้แก่

  • การติดตั้งกล้อง CCTV เพิ่มเติมในสถานีและบนรถโดยสาร
  • การอบรมพนักงานขับรถเป็นประจำทุกไตรมาส
  • การประเมินคุณภาพรถทุกคันก่อนเทศกาลใหญ่
  • การขยายความร่วมมือกับหน่วยงานสาธารณสุขในพื้นที่

การตรวจเข้มคือกลไกเชิงรุก ลดอุบัติเหตุได้จริง

ข้อมูลจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกรมการขนส่งทางบก ระบุว่า การตรวจเข้มและการใช้ระบบติดตามรถผ่าน GPS สามารถช่วยลดอุบัติเหตุจากความประมาทของพนักงานขับรถลงได้ถึง 25% โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลที่มีปริมาณการเดินทางสูง การดำเนินมาตรการของจังหวัดเชียงรายจึงถือเป็นต้นแบบของการทำงานเชิงป้องกันที่มุ่งเน้นประชาชนเป็นศูนย์กลาง

ข้อมูลสถิติที่เกี่ยวข้อง และแหล่งอ้างอิง

  • กรมการขนส่งทางบก ระบุว่า ช่วงเทศกาลสงกรานต์ปี 2567 มีผู้โดยสารใช้บริการรถโดยสารสาธารณะทั่วประเทศมากกว่า 7.2 ล้านคน
  • สำนักงานตำรวจแห่งชาติ รายงานว่า อุบัติเหตุที่เกี่ยวข้องกับรถโดยสารลดลง 19.4% เมื่อมีการบังคับใช้มาตรการตรวจ GPS และวัดแอลกอฮอล์
  • กรมควบคุมโรค เปิดเผยว่า ผู้โดยสารรถสาธารณะที่ไม่สวมเข็มขัดนิรภัยมีความเสี่ยงเสียชีวิตมากกว่าปกติถึง 2.3 เท่า

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • กรมการขนส่งทางบก (www.dlt.go.th)
  • สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (www.royalthaipolice.go.th)
  • กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข (www.ddc.moph.go.th)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

ผู้ว่าฯ เชียงราย สั่ง สงกรานต์นี้ ดื่มแล้วขับ เจอจับแน่

เชียงรายเปิดศูนย์ฯ เข้มมาตรการลดอุบัติเหตุสงกรานต์ 2568

เชียงรายเดินหน้าแผนงานความปลอดภัย ชูมาตรการเข้มสกัดพฤติกรรมเสี่ยง

เชียงราย, 10 เมษายน 2568 – ณ ห้องประชุมธรรมลังกา ศาลากลางจังหวัดเชียงราย นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานเปิด “ศูนย์อำนวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2568” อย่างเป็นทางการ ท่ามกลางความร่วมมือของภาครัฐ ภาคเอกชน และองค์กรท้องถิ่น ที่พร้อมใจเดินหน้ารับมือสถานการณ์เสี่ยงในช่วงวันหยุดยาว

ผนึกกำลังทุกภาคส่วน สร้างเกราะความปลอดภัยให้ประชาชน

ในโอกาสนี้ มีการส่งมอบอุปกรณ์จราจร น้ำดื่ม และเครื่องบริโภคจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัยจังหวัดเชียงราย ชมรมวินาศภัยเชียงราย และบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ซึ่งถือเป็นการร่วมแรงร่วมใจครั้งสำคัญเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ทุกพื้นที่

ประชุมวิดีโอคอนเฟอเรนซ์เชื่อมโยงทั่วประเทศ

ก่อนเข้าสู่พิธีเปิดศูนย์ฯ ผู้ว่าราชการจังหวัดพร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการ ได้เข้าร่วมประชุมเปิดศูนย์ฯ ระดับประเทศผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ โดยมี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธาน ณ ห้องประชุม 1 ปภ. กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย ซึ่งแสดงถึงความพร้อมในการประสานงานแบบเรียลไทม์กับทุกจังหวัด

3 ปัจจัยเสี่ยงหลักของอุบัติเหตุ ต้องเร่งแก้ไข

นายชรินทร์ ทองสุข เปิดเผยว่า อุบัติเหตุทางถนนช่วงสงกรานต์ มักเกิดจาก 3 ปัจจัยหลัก ได้แก่

  1. สภาพถนนและสิ่งแวดล้อมที่ไม่ปลอดภัย
  2. สภาพรถยนต์ที่ไม่พร้อมใช้งาน
  3. พฤติกรรมเสี่ยงของผู้ขับขี่ อาทิ ดื่มแอลกอฮอล์ ง่วงนอน หรือขาดทักษะในการขับขี่

มาตรการที่จังหวัดเน้นหนักในปีนี้ คือ การตั้งด่านตรวจ โดยเฉพาะ “ด่านชุมชน” เพื่อป้องกันการออกสู่ถนนของผู้มีพฤติกรรมเสี่ยง ทั้งยังสั่งการให้เจ้าหน้าที่จัดตั้งด่านในพื้นที่ปลอดภัย หลีกเลี่ยงการตั้งใกล้ถนน และควบคุมการจำหน่ายสุราให้เข้มงวดตามกฎหมาย

รณรงค์หยุดพักรถทุก 2 ชั่วโมง ลดง่วงหลับใน

จุดพักรถขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ได้รับคำสั่งให้รณรงค์ให้ผู้ขับขี่หยุดพักทุก 2 ชั่วโมง หรือทุกระยะทาง 150 กิโลเมตร เพื่อป้องกันอาการง่วงหลับใน ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่มักนำไปสู่อุบัติเหตุรุนแรง

ถ่ายทอดสดประชุมศูนย์ทุกวัน เสริมประสิทธิภาพติดตาม

ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ จังหวัดเชียงรายจะมีการประชุมศูนย์อำนวยความปลอดภัยทางถนนทุกวันตลอด 7 วันของช่วงควบคุมเข้ม พร้อมถ่ายทอดสดการประชุมของศูนย์ฯ จังหวัดทุกวัน เพื่อให้ทุกหน่วยงานรับทราบข้อมูลและแนวทางอย่างทันท่วงที และพร้อมรับมือกับสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้น

เป้าหมายสูงสุดคือศูนย์อุบัติเหตุและการสูญเสีย

จังหวัดเชียงรายตั้งเป้าลดจำนวนผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตให้ได้มากที่สุด โดยยึดแนวทาง “ความร่วมมือ ความพร้อม และความต่อเนื่อง” ทั้งในด้านการประชาสัมพันธ์ การจัดกำลังเจ้าหน้าที่ และการใช้เทคโนโลยีช่วยสอดส่องการจราจรและพฤติกรรมของผู้ขับขี่

สถิติและข้อมูลที่เกี่ยวข้อง

จากข้อมูลของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ปี 2567 จังหวัดเชียงรายมีจำนวนอุบัติเหตุทางถนนในช่วงสงกรานต์รวม 68 ครั้ง มีผู้เสียชีวิต 9 ราย และผู้บาดเจ็บ 72 ราย โดยสาเหตุหลักมาจากเมาแล้วขับถึง 58% ขับเร็วเกินกำหนด 27% และหลับใน 15%

ในระดับประเทศ สถิติของศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน ระบุว่า ในช่วงสงกรานต์ปี 2567 ทั่วประเทศมีอุบัติเหตุเกิดขึ้น 2,203 ครั้ง มีผู้เสียชีวิต 264 ราย และผู้บาดเจ็บรวม 2,208 ราย โดยจังหวัดที่มีอุบัติเหตุสูงสุดคือ เชียงใหม่ นครราชสีมา และอุดรธานี ตามลำดับ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.)
  • ศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน (ศปถ.)
  • รายงานสถิติอุบัติเหตุสงกรานต์ 2567, www.roadaccidentdata.go.th
  •  
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
NEWS UPDATE

ครม.แบล็กลิสต์บริษัทก่อสร้าง เจ็บตาย ปรับ ลด ถอนทะเบียน

ครม.ไฟเขียวแก้กฎกระทรวง “แบล็กลิสต์-ปรับ-ถอน” ผู้รับเหมาประมาททำคนตาย

เชียงราย, 8 เมษายน 2568 – คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการแก้ไขกฎกระทรวงสำคัญเพื่อควบคุมผู้ประกอบการงานก่อสร้างที่กระทำผิดอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะกรณีประมาทเลินเล่อจนมีผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต โดยเป็นมาตรการยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยในการก่อสร้าง และสร้างกลไกตรวจสอบการขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการให้เข้มข้นยิ่งขึ้น

ยกระดับคุณภาพผู้ประกอบการก่อสร้างไทย

ตามรายงานข่าวจากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ การประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 8 เมษายน 2568 ได้มีมติอนุมัติร่างกฎกระทรวงที่เสนอโดยกระทรวงการคลัง ซึ่งเป็นการปรับปรุงกฎกระทรวงว่าด้วยเกณฑ์การขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการงานก่อสร้างจากฉบับเดิม พ.ศ. 2560 ให้ทันต่อสถานการณ์และปัญหาที่เกิดขึ้นจริง

สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวงฉบับนี้ คือการเพิ่มความเข้มงวดในการคัดกรอง ตรวจสอบ และควบคุมผู้ประกอบการที่ขึ้นทะเบียนกับภาครัฐ โดยเฉพาะกลุ่มที่มีพฤติกรรมเสี่ยงต่อความปลอดภัยของชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน

เหตุผลของการแก้ไขกฎกระทรวง

สาเหตุหลักของการเสนอแก้ไขครั้งนี้ มาจากกรณีอุบัติเหตุในพื้นที่โครงการก่อสร้างที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น ทั้งจากความประมาทในการทำงาน การใช้วัสดุไม่ได้มาตรฐาน และการขาดความรับผิดชอบต่อสังคมในกรณีเกิดเหตุไม่คาดฝัน

หน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องหลายแห่ง รวมถึงกรมบัญชีกลาง ได้รายงานว่ามีผู้ประกอบการบางรายที่มีพฤติกรรมเสี่ยงซ้ำซาก ไม่ปรับปรุงมาตรฐานการทำงาน และยังคงได้รับงานกับหน่วยงานรัฐอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากข้อกฎหมายเดิมไม่มีบทลงโทษที่เข้มงวดเพียงพอ

ประเด็นหลักในร่างกฎกระทรวงฉบับใหม่

การปรับปรุงกฎกระทรวงครั้งนี้แบ่งออกเป็น 4 ประเด็นสำคัญ ได้แก่

  1. การตรวจสอบคุณสมบัติผู้ประกอบการที่ขึ้นทะเบียน

ผู้ประกอบการที่ขึ้นทะเบียนแล้วจะต้องได้รับการตรวจติดตามคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามอย่างต่อเนื่อง จากเดิมทุก 2 ปี เปลี่ยนเป็นทุก 3 ปี โดยมีกรมบัญชีกลางเป็นผู้รับผิดชอบหลัก

  1. การเพิกถอนและระงับสิทธิการขึ้นทะเบียน

กรณีที่ผู้ประกอบการถูกปรับลดระดับชั้นถึง 3 ครั้งภายใน 2 ปี เนื่องจากกระทำผิดซ้ำซาก หรือมีพฤติกรรมประมาทร้ายแรง เช่น ทำให้เกิดการเสียชีวิตจากการก่อสร้าง จะถูกเพิกถอนใบทะเบียนทันที และสามารถยื่นขอขึ้นทะเบียนใหม่ได้หลังจากครบกำหนด 2 ปี

ในกรณีที่มีการปลอมแปลงเอกสาร หรือกระทำการทุจริตในการยื่นขอขึ้นทะเบียนหรือเลื่อนชั้น จะถูกระงับสิทธิการขึ้นทะเบียนใหม่เป็นเวลา 10 ปี

  1. การปรับปรุงอัตราค่าธรรมเนียม

ค่าธรรมเนียมสำหรับการขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการถูกปรับขึ้นเพื่อสะท้อนต้นทุนการตรวจสอบที่แท้จริง เช่น ค่าธรรมเนียมการขึ้นทะเบียนเริ่มต้นจาก 3,000 บาท และเพิ่มขั้นบันไดตามระดับชั้นไปจนถึง 9,000 บาท สำหรับชั้นพิเศษ นอกจากนี้ ยังมีค่าธรรมเนียมใหม่สำหรับการตรวจสอบเครื่องจักรและอุปกรณ์ในอัตรา 5,000 บาทต่อครั้ง

  1. การปรับลดระดับชั้นจากการกระทำผิด

กรณีที่เกิดอุบัติเหตุจนมีผู้เสียชีวิตจากความประมาทของผู้ประกอบการ จะถูกปรับลดระดับชั้นลง 1 ชั้นเป็นเวลา 12 เดือน หากมีผู้บาดเจ็บสาหัส ระยะเวลาจะลดลงเหลือ 6 เดือน

นอกจากนี้ หากมีการทำงานล่าช้าจากที่กำหนด จะถูกปรับลดระดับชั้นลงเช่นกัน โดยมีระยะเวลาในการพักสถานะ 3 เดือน

เสียงสะท้อนจากภาคธุรกิจและผู้เชี่ยวชาญ

หลายฝ่ายในแวดวงอุตสาหกรรมก่อสร้างมองว่ามาตรการนี้เป็นสิ่งที่จำเป็น แม้จะเพิ่มต้นทุนในการดำเนินธุรกิจ แต่ก็จะช่วยให้เกิดการแข่งขันด้วยมาตรฐานที่ดีขึ้น

นายกฤษฎา ทรงศักดิ์ ประธานสมาคมวิศวกรรมโครงสร้างไทย ให้ความเห็นว่า “การมีบทลงโทษที่ชัดเจนจะทำให้ผู้ประกอบการตื่นตัวมากขึ้น และเป็นประโยชน์ต่อทั้งภาครัฐและประชาชนในระยะยาว”

ด้านผู้ประกอบการขนาดกลางรายหนึ่งในจังหวัดเชียงรายกล่าวว่า “แม้ต้องเสียค่าธรรมเนียมมากขึ้น แต่หากแลกกับความเชื่อมั่นจากลูกค้าและการรับงานจากภาครัฐอย่างต่อเนื่อง ก็ถือว่าคุ้มค่า”

วิเคราะห์ผลกระทบและแนวโน้มในอนาคต

การออกกฎกระทรวงฉบับนี้สะท้อนความพยายามของภาครัฐในการจัดระเบียบวงการก่อสร้างไทยให้มีมาตรฐานที่ปลอดภัย และมีธรรมาภิบาลมากยิ่งขึ้น

อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อกังวลในเรื่องของการตรวจสอบที่อาจเพิ่มภาระงานให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หากไม่มีการเสริมกำลังบุคลากร อาจทำให้การบังคับใช้ล่าช้า และไม่ครอบคลุมตามเป้าหมาย

ในอนาคต ควรมีระบบรายงานผลการตรวจสอบต่อสาธารณะ เพื่อสร้างความโปร่งใส และเปิดโอกาสให้ภาคประชาชนเข้ามามีบทบาทในการตรวจสอบผู้ประกอบการที่มีพฤติกรรมเสี่ยง

สถิติที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาข่าว

  • ข้อมูลจากกรมบัญชีกลาง ปี 2567 ระบุว่า มีผู้ประกอบการที่ถูกเพิกถอนทะเบียนทั้งหมด 148 ราย เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าร้อยละ 26
  • ศูนย์ข้อมูลก่อสร้างแห่งชาติ (NCCIC) รายงานว่า ในปี 2566 มีอุบัติเหตุจากไซต์งานก่อสร้างรวม 412 ครั้ง มีผู้เสียชีวิต 61 ราย และบาดเจ็บสาหัส 118 ราย
  • สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) พบว่ามีคำร้องเรียนเกี่ยวกับคุณภาพงานก่อสร้างในภาครัฐมากถึง 2,317 เรื่อง ในรอบปี 2566

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • กรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง
  • ศูนย์ข้อมูลก่อสร้างแห่งชาติ (National Construction Center Information – NCCIC)
  • สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.)
  • หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ, รายงานประจำวันที่ 8 เมษายน 2568
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

“มฟล.” ยันอาคารปลอดภัยแม้พบ ผู้รับเหมาที่อยู่เกี่ยว ‘อาคาร สตง.’

มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงยืนยันอาคารปลอดภัยหลังแผ่นดินไหว ขณะที่ข้อสงสัยเรื่องผู้รับเหมาก่อสร้างหอพักบุคลากรทางการแพทย์ยังคงถูกตั้งคำถาม

เชียงราย, 1 เมษายน 2568 – มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง (มฟล.) ออกแถลงการณ์ยืนยันความปลอดภัยของอาคารและสิ่งปลูกสร้างทั้งหมดภายในมหาวิทยาลัย หลังจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวขนาด 8.2 ริกเตอร์ที่มีศูนย์กลางอยู่ในประเทศเมียนมาเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 ซึ่งส่งผลให้เกิดแรงสั่นสะเทือนถึงจังหวัดเชียงราย โดยผู้บริหารมหาวิทยาลัยได้เร่งดำเนินการตรวจสอบความเสียหายอย่างละเอียดทันทีหลังเกิดเหตุ และผลการตรวจสอบระบุว่าไม่พบความเสียหายใด ๆ ต่อโครงสร้างอาคาร โดยยืนยันว่าทุกอาคารได้รับการออกแบบและก่อสร้างตามมาตรฐานที่สามารถรองรับแผ่นดินไหวได้

การตรวจสอบความเสียหายและการยืนยันความปลอดภัย

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.มัชฌิมา นราดิศร อธิการบดีมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง นำทีมผู้บริหาร วิศวกรโยธา และช่างจากส่วนอาคารสถานที่ ร่วมด้วยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าตรวจสอบสภาพอาคารและสิ่งปลูกสร้างทั่วทั้งมหาวิทยาลัย รวมถึงศูนย์การแพทย์มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง และอาคารหอพักบุคลากรทางการแพทย์ที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง การตรวจสอบดำเนินการระหว่างวันที่ 29-30 มีนาคม 2568 โดยครอบคลุมทั้งโครงสร้างหลัก ระบบสาธารณูปโภค และสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ

ผลการตรวจสอบเบื้องต้นระบุว่า ไม่พบร่องรอยความเสียหายใด ๆ ที่เกิดจากเหตุแผ่นดินไหวในทุกอาคารของมหาวิทยาลัย ทางมหาวิทยาลัยเน้นย้ำว่า อาคารทุกหลังได้รับการออกแบบและก่อสร้างให้สอดคล้องกับมาตรฐานวิศวกรรมที่คำนึงถึงความเสี่ยงจากแผ่นดินไหว โดยมีการดำเนินการตามขั้นตอนการจัดซื้อจัดจ้าง การก่อสร้าง การควบคุมงาน และการตรวจรับงานอย่างถูกต้องตามสัญญา รวมถึงมีการทดสอบวัสดุทุกชนิดที่ใช้ในการก่อสร้าง ซึ่งผลการทดสอบยืนยันว่าเป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนด

นอกจากนี้ โรงพยาบาลศูนย์การแพทย์มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง (MFU MCH) ได้ออกแถลงการณ์ผ่านเพจอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2568 โดยระบุว่า ทีมวิศวกรโยธาผู้เชี่ยวชาญจากส่วนอาคารสถานที่ของมหาวิทยาลัย ร่วมกับทีมวิศวกรของโรงพยาบาล ได้เข้าตรวจสอบโครงสร้างอาคารและระบบความปลอดภัยอย่างละเอียด ซึ่งรวมถึงโครงสร้างทั้งภายในและภายนอก ระบบไฟฟ้า ระบบสัญญาณเตือนภัย ระบบป้องกันอัคคีภัย และเส้นทางอพยพ ผลการตรวจสอบยืนยันว่า โครงสร้างอาคารมีความมั่นคงแข็งแรง ไม่พบความเสียหายที่ส่งผลต่อความปลอดภัย และระบบสำคัญทั้งหมดยังคงทำงานได้ตามปกติ โรงพยาบาลจึงเปิดให้บริการตามปกติ และพร้อมให้การดูแลผู้ป่วยด้วยประสิทธิภาพและความปลอดภัยสูงสุด

เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับทุกภาคส่วน ทางมหาวิทยาลัยได้ประสานงานกับผู้เชี่ยวชาญจากหน่วยงานกลาง เช่น กรมโยธาธิการและผังเมือง หรือสภาวิศวกร เพื่อเข้ามาตรวจสอบเพิ่มเติมในขั้นตอนต่อไป โดยคาดว่าการตรวจสอบนี้จะช่วยยืนยันความปลอดภัยของอาคารอย่างเป็นทางการ และลดข้อกังวลที่อาจเกิดขึ้นในหมู่นักศึกษา บุคลากร และประชาชนในพื้นที่

โครงการหอพักบุคลากรทางการแพทย์และข้อสงสัยที่เกิดขึ้น

หนึ่งในประเด็นที่ได้รับความสนใจอย่างมากคือ โครงการก่อสร้าง “หอพักบุคลากรทางการแพทย์ พร้อมระบบสาธารณูปการ” ซึ่งอยู่ระหว่างการดำเนินการภายในบริเวณมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง โครงการนี้มีราคากลาง 468 ล้านบาท และผู้รับเหมาก่อสร้างคือ กิจการร่วมค้า TPC ซึ่งประกอบด้วย บริษัท ไทยพารากอน คอนสตรัคชั่น จำกัด และบริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) จำกัด การจัดหาผู้รับเหมาเป็นไปตามพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 ผ่านวิธีการประมูลแบบอิเล็กทรอนิกส์ (E-bidding) ซึ่งเป็นกระบวนการที่โปร่งใสและเปิดเผย

ปัจจุบัน โครงการหอพักบุคลากรทางการแพทย์มีความคืบหน้าโดยรวมแล้วเสร็จ 46% โดยงานโครงสร้างหลักทั้งหมดได้เสร็จสิ้นลงแล้ว และขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินงานในส่วนของงานสถาปัตยกรรมและงานตกแต่งภายนอก อย่างไรก็ตาม โครงการนี้เผชิญกับความล่าช้าจากแผนเดิมที่กำหนดไว้ เนื่องจากผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งส่งผลให้การจัดหาวัสดุและการทำงานในบางช่วงหยุดชะงัก

ทางมหาวิทยาลัยระบุว่า การก่อสร้างอาคารหอพักบุคลากรทางการแพทย์ได้ดำเนินการตามแบบและมาตรฐานที่กำหนด โดยเฉพาะการเลือกใช้วัสดุที่มีคุณภาพ เช่น เหล็กที่ต้องได้รับมาตรฐานจากสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) และผ่านการทดสอบจากหน่วยงานที่ขึ้นทะเบียนให้ทดสอบวัสดุอย่างถูกต้อง วัสดุทุกชนิดที่เกี่ยวข้องกับความแข็งแรงของโครงสร้างได้รับการตรวจสอบจากหน่วยงานบริการทดสอบวัสดุที่ได้มาตรฐาน ซึ่งผลการทดสอบยืนยันว่าเป็นไปตามข้อกำหนดในแบบและมาตรฐานการก่อสร้าง

สำหรับการควบคุมงานก่อสร้าง ทางมหาวิทยาลัยได้มอบหมายให้บริษัทควบคุมงานที่มีความเชี่ยวชาญเข้ามาดูแล รวมถึงตั้งคณะกรรมการควบคุมการทำงานเพื่อติดตามความคืบหน้า โดยมีการประชุมร่วมกับผู้รับจ้างทุกสัปดาห์ และมีการเข้าไปสังเกตการณ์ในขั้นตอนสำคัญของการก่อสร้าง เพื่อให้มั่นใจว่างานทุกส่วนเป็นไปตามหลักการออกแบบและกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการก่อสร้างอาคารสูงในพื้นที่เสี่ยงแผ่นดินไหว โดยมีการคำนวณโครงสร้างให้สอดคล้องกับประเภทและขนาดของอาคาร

ข้อสงสัยจากสาธารณชนและการเชื่อมโยงกับกรณีอาคาร สตง.

หลังจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่ส่งผลให้อาคารสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ถล่มลงมาในกรุงเทพมหานคร ข้อสงสัยเกี่ยวกับความปลอดภัยของโครงสร้างอาคารต่าง ๆ ได้ถูกหยิบยกขึ้นมาอภิปรายในวงกว้าง โดยเฉพาะเมื่อพบว่า บริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้รับเหมาก่อสร้างอาคาร สตง. มีส่วนเกี่ยวข้องในฐานะสมาชิกของกิจการร่วมค้า TPC ที่รับผิดชอบการก่อสร้างหอพักบุคลากรทางการแพทย์ของมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง

เพจ “China Story” ได้โพสต์ข้อความเมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2568 ระบุว่า “บริษัทที่เกี่ยวข้องกับตึก สตง. ถล่ม ยังมีชื่อปรากฏในโครงการหอพักบุคลากรทางการแพทย์ของมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง…” ซึ่งจุดกระแสให้เกิดการตั้งคำถามในหมู่ประชาชนและสื่อมวลชนถึงความน่าเชื่อถือของผู้รับเหมาในโครงการนี้ ขณะที่เพจ “บิ๊กเกรียน” ได้ตั้งข้อสังเกตเพิ่มเติมว่า บริษัทจีนที่มีส่วนในกรณีอาคาร สตง. ยังได้รับงานก่อสร้างหอพักและโรงพยาบาลศูนย์การแพทย์ของมหาวิทยาลัยชื่อดังในจังหวัดเชียงราย ซึ่งยิ่งทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับคุณภาพการก่อสร้าง

สื่อออนไลน์ภาคเหนือ “Lanner” รายงานว่า ในเดือนสิงหาคม 2565 กิจการร่วมค้า TPC ได้ลงประกาศรับสมัครวิศวกรโครงการเพื่อประจำงานที่ “โรงพยาบาลศูนย์การแพทย์มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง” โดยระบุที่อยู่สำนักงานของผู้รับเหมาที่เลขที่ 493 ซอยพุทธบูชา 44 แยก 11 ถนนพุทธบูชา แขวงบางมด เขตทุ่งครุ กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นที่ตั้งเดียวกับบริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) จำกัด นอกจากนี้ เอกสารการซื้ออิฐมอญจำนวน 3.9 ล้านก้อนจากจังหวัดลำปาง ซึ่งใช้ในโครงการนี้ ยังระบุชื่อผู้ซื้อว่า “กิจการร่วมค้า ทีพีซี (สำหรับโครงการอาคารหอพักบุคลากรทางการแพทย์ ศูนย์การแพทย์มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย)” และระบุที่อยู่สำนักงานเดียวกันนี้ โดยเชื่อมโยงกับบริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) จำกัด อย่างชัดเจน

การค้นพบนี้ทำให้เกิดคำถามว่า กิจการร่วมค้า TPC และบริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) จำกัด มีความสัมพันธ์กันอย่างไร และการที่บริษัทนี้มีส่วนในกรณีอาคาร สตง. ถล่ม จะส่งผลต่อความเชื่อมั่นในโครงการของมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงหรือไม่ อย่างไรก็ตาม ทางมหาวิทยาลัยได้ชี้แจงว่า บริษัทควบคุมงานก่อสร้างของโครงการหอพักบุคลากรทางการแพทย์ไม่ใช่รายเดียวกับที่ควบคุมงานก่อสร้างอาคาร สตง. และวัสดุที่ใช้ในการก่อสร้างไม่มีรายการใดที่เกี่ยวข้องกับเหล็กยี่ห้อที่ปรากฏในข่าวเกี่ยวกับกรณี สตง.

การตอบสนองของมหาวิทยาลัยต่อข้อกังวล

เพื่อคลายความกังวลของสาธารณชน ทางมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงได้ออกแถลงการณ์เพิ่มเติมว่า การดำเนินงานก่อสร้างหอพักบุคลากรทางการแพทย์ได้ผ่านการควบคุมและตรวจสอบอย่างเข้มงวด โดยย้ำว่า งานโครงสร้างที่เสร็จสิ้นไปแล้วได้รับการตรวจสอบจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และไม่พบปัญหาใด ๆ ที่อาจส่งผลต่อความปลอดภัย แม้จะเกิดเหตุแผ่นดินไหวครั้งล่าสุด นอกจากนี้ การที่โครงการล่าช้ามาจากสถานการณ์โควิด-19 เป็นปัจจัยที่อยู่นอกเหนือการควบคุม และไม่เกี่ยวข้องกับคุณภาพของงานก่อสร้าง

มหาวิทยาลัยยังระบุว่า พร้อมให้ความร่วมมือกับหน่วยงานภายนอกในการตรวจสอบเพิ่มเติม หากมีข้อสงสัยจากสาธารณชนหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เกิดความโปร่งใสและสร้างความมั่นใจให้กับทุกฝ่าย โดยเฉพาะนักศึกษา บุคลากร และประชาชนในจังหวัดเชียงรายที่อาจได้รับผลกระทบทางจิตใจจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวและข่าวที่เกี่ยวข้อง

ทัศนคติเป็นกลางต่อความเห็นทั้งสองฝ่าย

กรณีนี้ได้นำไปสู่การถกเถียงในสองมุมมองหลัก ฝ่ายหนึ่งมองว่า การที่บริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับกรณีอาคาร สตง. ถล่ม ปรากฏชื่อในโครงการของมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง เป็นสัญญาณที่น่ากังวลเกี่ยวกับคุณภาพและความน่าเชื่อถือของผู้รับเหมา โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาถึงความเสียหายรุนแรงจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่ผ่านมา ซึ่งอาจบ่งบอกถึงความบกพร่องในกระบวนการก่อสร้างหรือการเลือกใช้วัสดุที่ไม่ได้มาตรฐาน ส่งผลให้เกิดการเรียกร้องให้มีการตรวจสอบอย่างละเอียดถึงความสัมพันธ์ของบริษัทนี้กับโครงการต่าง ๆ ในประเทศไทย

ในทางกลับกัน อีกฝ่ายหนึ่งให้เหตุผลว่า การที่มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงยืนยันว่าอาคารทุกหลัง รวมถึงหอพักบุคลากรทางการแพทย์ที่อยู่ระหว่างก่อสร้าง ไม่ได้รับความเสียหายจากแผ่นดินไหว แสดงถึงความแข็งแรงและคุณภาพของงานก่อสร้างที่ได้มาตรฐาน อีกทั้งการจัดหาผู้รับเหมาผ่านระบบ E-bidding เป็นกระบวนการที่โปร่งใสตามกฎหมาย และการล่าช้าของโครงการเกิดจากสถานการณ์โควิด-19 ไม่ใช่ปัญหาด้านคุณภาพ การเชื่อมโยงกับกรณีอาคาร สตง. อาจเป็นเพียงการตีความที่มากเกินไป โดยขาดหลักฐานที่ชัดเจนว่าเหตุการณ์ทั้งสองมีความเกี่ยวข้องกันในแง่ของความบกพร่อง

จากมุมมองที่เป็นกลาง การตั้งข้อสงสัยของสาธารณชนต่อบริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) จำกัด มีเหตุผลในแง่ที่เกิดจากความกังวลต่อความปลอดภัย ซึ่งเป็นเรื่องที่เข้าใจได้เมื่อพิจารณาถึงเหตุการณ์อาคาร สตง. ถล่ม อย่างไรก็ตาม การยืนยันของมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงที่ระบุถึงการปฏิบัติตามมาตรฐานและผลการตรวจสอบที่ไม่พบความเสียหาย ก็มีน้ำหนักเพียงพอที่จะลดความกังวลในเบื้องต้น การหาข้อสรุปที่ชัดเจนจำเป็นต้องรอผลการตรวจสอบเพิ่มเติมจากผู้เชี่ยวชาญอิสระ เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ครบถ้วนและเป็นธรรมต่อทุกฝ่าย โดยไม่ควรรีบตัดสินหรือกล่าวโทษผู้รับเหมาหรือมหาวิทยาลัยเพียงฝ่ายเดียวในขณะนี้

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  1. เหตุการณ์แผ่นดินไหวในประเทศไทย: กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) รายงานว่า ตั้งแต่ปี 2550-2567 ประเทศไทยเผชิญแผ่นดินไหวที่มีผลกระทบในประเทศ 12 ครั้ง โดยเหตุการณ์ที่รุนแรงที่สุดก่อนหน้านี้เกิดเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2557 ขนาด 6.3 ริกเตอร์ ในจังหวัดเชียงราย สร้างความเสียหายแก่บ้านเรือน 1,200 หลัง (ที่มา: รายงานภัยพิบัติ ปภ., 2567)
  2. โครงการก่อสร้างภาครัฐที่ล่าช้า: สำนักงบประมาณระบุว่า ในช่วงปี 2558-2567 โครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ของภาครัฐที่มีมูลค่าเกิน 400 ล้านบาท มีจำนวน 120 โครงการ โดยร้อยละ 25 เผชิญปัญหาความล่าช้าจากปัจจัยต่าง ๆ เช่น โควิด-19 และการขาดแคลนวัสดุ (ที่มา: รายงานงบประมาณแผ่นดิน, 2567)
  3. การใช้ E-bidding ในประเทศไทย: การกีฬาแห่งประเทศไทยรายงานว่า ในปี 2566 การจัดซื้อจัดจ้างผ่านระบบ E-bidding คิดเป็นร้อยละ 85 ของโครงการภาครัฐทั้งหมด ช่วยลดการทุจริตและเพิ่มความโปร่งใสในการประมูล (ที่มา: การกีฬาแห่งประเทศไทย, สถิติการจัดซื้อจัดจ้าง 2566)

สรุป

มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงได้ยืนยันถึงความปลอดภัยของอาคารทุกหลัง รวมถึงหอพักบุคลากรทางการแพทย์ที่อยู่ระหว่างก่อสร้าง หลังเหตุแผ่นดินไหวเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 โดยย้ำถึงการปฏิบัติตามมาตรฐานและการตรวจสอบที่รัดกุม อย่างไรก็ตาม ข้อสงสัยเกี่ยวกับการมีส่วนร่วมของบริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเชื่อมโยงกับกรณีอาคาร สตง. ถล่ม ยังคงเป็นประเด็นที่ต้องติดตาม เพื่อให้เกิดความชัดเจนและความมั่นใจแก่ทุกฝ่ายในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

เชียงรายมั่นใจ ตรวจโรงแรม ปลอดภัยบ้านร้าวไม่ใช่แผ่นดินไหว

ผู้ว่าฯ เชียงราย มอบหมายหน่วยงานตรวจสอบโครงสร้างโรงแรม หลังแผ่นดินไหว สร้างความมั่นใจให้ประชาชนและนักท่องเที่ยว

เชียงราย, 29 มีนาคม 2568 – จากสถานการณ์แผ่นดินไหวเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 ที่ผ่านมา ซึ่งมีศูนย์กลางอยู่ในประเทศเมียนมา และส่งผลกระทบต่อหลายพื้นที่ในภาคเหนือของประเทศไทย ล่าสุด นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการตรวจสอบความปลอดภัยของโครงสร้างอาคารโรงแรม และสถานที่สำคัญในจังหวัดเชียงราย เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่ประชาชนและนักท่องเที่ยว

การตรวจสอบความปลอดภัยของโรงแรมสำคัญ

นายสุพจน์ แสนมี ปลัดจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยนายครรชิต ชมภูแดง หัวหน้าสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย และผู้แทนจากโยธาธิการและผังเมืองจังหวัดเชียงราย ได้นำคณะลงพื้นที่ตรวจสอบโรงแรมเฮอริเทจ เชียงราย โฮเทล แอนด์ คอนเวนชั่น และโรงแรมเดอะ ริเวอร์รี บาย กะตะธานี ซึ่งเป็นโรงแรมขนาดใหญ่ที่มีนักท่องเที่ยวเข้าพักจำนวนมาก

จากการตรวจสอบเบื้องต้นไม่พบความเสียหายในโครงสร้างหลักของอาคาร รวมถึงระบบความปลอดภัยภายในอาคารยังคงใช้งานได้ตามปกติ อย่างไรก็ตาม หน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังคงเฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด พร้อมย้ำให้โรงแรมทุกแห่งตรวจสอบระบบป้องกันภัยภายในอาคารอย่างสม่ำเสมอ

การลงพื้นที่สำรวจบ้านเรือนประชาชน

ในส่วนของประชาชน นายบุญส่ง ตินารี นายอำเภอเมืองเชียงราย ได้สั่งการให้ฝ่ายความมั่นคง ฝ่ายปกครอง และเจ้าหน้าที่กองช่างเทศบาลตำบลสันทราย ลงพื้นที่ตรวจสอบบ้านเรือนที่ได้รับรายงานความเสียหายจากแผ่นดินไหวในพื้นที่หมู่ที่ 8 ตำบลสันทราย อำเภอเมืองเชียงราย

โดยหลังการตรวจสอบพบว่า รอยแตกร้าวที่ได้รับแจ้งผ่านสื่อสังคมออนไลน์เป็นรอยเดิมที่ไม่ได้เกิดจากแผ่นดินไหวล่าสุด นอกจากนี้ยังพบร่องรอยการเข้าทำลายของปลวกและการซ่อมแซมก่อนหน้านี้ด้วยพียูโฟม ซึ่งมีการเปลี่ยนสีตามระยะเวลา ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ได้ประสานเจ้าของบ้านเพื่อตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้งในวันที่ 30 มีนาคม 2568 เพื่อสร้างความมั่นใจแก่ประชาชน

การสั่งการและติดตามสถานการณ์

นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ได้เน้นย้ำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และให้รายงานผลการตรวจสอบอาคารที่มีความเสี่ยงภายในวันนี้ รวมถึงเตรียมความพร้อมในการให้ความช่วยเหลือประชาชนในกรณีที่พบความเสียหายเพิ่มเติม

นอกจากนี้ ยังมีการประสานงานกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อสำรวจอาคารโรงพยาบาล โรงเรียน วัด และสถานที่ราชการที่อาจได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหว โดยเฉพาะอาคารเก่าที่มีโครงสร้างเสี่ยงต่อการเสียหาย

สถิติและผลกระทบจากแผ่นดินไหว

จากรายงานของกรมอุตุนิยมวิทยา เหตุแผ่นดินไหวเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 มีขนาด 8.2 ตามมาตราแมกนิจูด และมีจุดศูนย์กลางลึกลงไปประมาณ 10 กิโลเมตรในประเทศเมียนมา ส่งผลให้เกิดแรงสั่นสะเทือนรับรู้ได้ถึงหลายจังหวัดในภาคเหนือของประเทศไทย รวมถึงจังหวัดเชียงราย

เบื้องต้นมีการรายงานความเสียหายเล็กน้อยในพื้นที่ 11 อำเภอของจังหวัดเชียงราย ทั้งในส่วนของอาคารบ้านเรือน โรงพยาบาล วัด และสถานที่ก่อสร้าง อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีรายงานผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิตจากเหตุการณ์ครั้งนี้

ความเห็นจากทั้งสองฝ่าย

ฝ่ายสนับสนุนมาตรการการตรวจสอบ:

  • ประชาชนและผู้ประกอบการโรงแรมหลายรายชื่นชมการทำงานของหน่วยงานภาครัฐที่เร่งลงพื้นที่ตรวจสอบความปลอดภัยอย่างรวดเร็ว ทำให้สามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเยือนจังหวัดเชียงราย

ฝ่ายที่มีข้อกังวล:

  • อย่างไรก็ตาม ยังมีประชาชนบางส่วนแสดงความกังวลเกี่ยวกับความพร้อมของอาคารเก่าในพื้นที่เสี่ยง โดยเรียกร้องให้มีการตรวจสอบอย่างละเอียดและจัดทำแผนป้องกันภัยพิบัติที่ชัดเจนมากขึ้น

สรุป

จังหวัดเชียงรายยังคงติดตามสถานการณ์และผลกระทบจากแผ่นดินไหวอย่างใกล้ชิด โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังคงดำเนินการสำรวจและตรวจสอบความปลอดภัยของอาคารอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวได้รับความมั่นใจในความปลอดภัย ทั้งนี้ หากประชาชนพบเห็นความเสียหายเพิ่มเติม สามารถแจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการตรวจสอบและให้ความช่วยเหลือได้ทันที

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • กรมอุตุนิยมวิทยา
  • สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย
  • ศูนย์ข้อมูลภัยพิบัติแห่งชาติ
  • สำนักงานโยธาธิการและผังเมืองจังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

เชียงรายระทึก ซิปไลน์ขาด คนงานตกกระแทกพื้นดับ

ซิปไลน์มรณะ! เชียงรายสลิงขาด คนงานดับ 1 เจ็บ 3

เชียงราย, 17 กุมภาพันธ์ 2568 – เกิดอุบัติเหตุมีผู้ตกจากเครื่องเล่น โหนสลิง (ซิปไลน์) ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 1 ราย และบาดเจ็บ 3 ราย ในพื้นที่บ้านแสนเจริญ หมู่ที่ 10 ตำบลวาวี อำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย

อุบัติเหตุซิปไลน์ที่แม่สรวย เสียชีวิต 1 ราย บาดเจ็บ 3 ราย

เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2568 อำเภอแม่สรวย ได้รับแจ้งเหตุจาก ผู้ใหญ่บ้านแสนเจริญ ว่ามีผู้ตกจากเครื่องเล่นซิปไลน์ในพื้นที่ บ้านแสนเจริญ หมู่ที่ 10 ตำบลวาวี เวลาประมาณ 14.15 น. ส่งผลให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 4 ราย และต่อมามีผู้เสียชีวิต 1 ราย

นายอำเภอแม่สรวย ได้มอบหมายให้ ปลัดอำเภอฝ่ายความมั่นคง พร้อมด้วย รองผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรแม่สรวย และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องลงพื้นที่ตรวจสอบ พบว่า เสายึดสายสลิงโค่นล้มลง ทำให้เกิดอุบัติเหตุขณะมีการติดตั้งและทดสอบระบบซิปไลน์

รายละเอียดผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต

รายชื่อผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต

  1. นายวัชระ (ขอสงวนนามสกุล) – บาดเจ็บสาหัสและเสียชีวิตที่โรงพยาบาลแม่สรวย
  2. นายวราวุธ (ขอสงวนนามสกุล) – ฟันหน้าหัก มีแผลฉีกขาดที่แขนซ้ายและใต้คาง
  3. นายกฤษฎากร (ขอสงวนนามสกุล) – เจ็บหน้าอกด้านซ้าย
  4. นายพิทวัส (ขอสงวนนามสกุล) – มีแผลถลอกบริเวณหน้าท้อง

จากการสอบสวนเบื้องต้น นายตี๋ ผู้ดูแลเครื่องเล่นให้การว่า ขณะเกิดเหตุ ผู้บาดเจ็บทั้ง 4 ราย กำลังทำหน้าที่ ติดตั้งและทดสอบสายสลิงซิปไลน์ โดย นายวัชระ ได้ทดสอบย้ายสายสลิง แต่ สายสลิงขาด ส่งผลให้เขาตกลงพื้นและได้รับบาดเจ็บสาหัส ขณะที่ผู้บาดเจ็บอีก 3 รายอยู่บนเสายึดสลิงซึ่งโค่นล้มลง ทำให้ได้รับบาดเจ็บตามลำดับ

คำสั่งห้ามใช้เครื่องเล่น – เร่งสอบสวนหาสาเหตุ

หลังเกิดเหตุ นายกองค์การบริหารส่วนตำบลวาวี ในฐานะ ผู้อำนวยการท้องถิ่น ตาม พระราชบัญญัติป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ได้ออกคำสั่ง ห้ามใช้เครื่องเล่นซิปไลน์ดังกล่าว จนกว่าการสอบสวนจะแล้วเสร็จ

ขณะเดียวกัน ร้อยเวรสถานีตำรวจภูธรแม่สรวย ได้รับมอบหมายให้เรียกผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดมาสอบสวนเพิ่มเติมเพื่อหาสาเหตุที่แน่ชัด และพิจารณาดำเนินคดีตามกฎหมา

พบปัญหาก่อสร้างไม่ได้รับอนุญาต

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2568 ก่อนเกิดเหตุ นายปฤษฎางค์ สามัคคีนิชย์ นายอำเภอแม่สรวย ได้สั่งการให้ นายวิทวัส ปาละจูม ปลัดอำเภอฝ่ายความมั่นคง ร่วมตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการก่อสร้างอาคารเพื่อดำเนินกิจกรรมกลางแจ้ง Zipline ในพื้นที่บ้านแสนเจริญ หมู่ที่ 10 โดยมี หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมตรวจสอบ ได้แก่:

  • สายตรวจปราบปรามกรมป่าไม้ (ชุดพยัคฆ์ไพร)
  • เจ้าหน้าที่ศูนย์ป้องกันและปราบปรามที่ 3 (ภาคเหนือ)
  • เจ้าหน้าที่ตำรวจภูธรแม่สรวย
  • เจ้าหน้าที่องค์การบริหารส่วนตำบลวาวี
  • ผู้ใหญ่บ้านบ้านแสนเจริญ

จากการตรวจสอบพบว่า โครงการซิปไลน์ดังกล่าวไม่ได้รับอนุญาตถูกต้องตามกฎหมาย และเจ้าหน้าที่กำลังติดตามตัวเจ้าของกิจการอีก 2 รายเพื่อสอบปากคำเพิ่มเติม พร้อมรายงานไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาดำเนินการทางกฎหมายต่อไป

แนวทางป้องกันอุบัติเหตุซิปไลน์

หลังเกิดเหตุ เจ้าหน้าที่เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการตรวจสอบ มาตรฐานความปลอดภัยของกิจกรรมกลางแจ้ง ที่ต้องเกี่ยวข้องกับอุปกรณ์เคเบิลและโครงสร้างในพื้นที่สูง โดยมีแนวทางป้องกัน ดังนี้:

  1. ตรวจสอบอุปกรณ์และโครงสร้างอย่างเข้มงวด โดยต้องได้รับมาตรฐานความปลอดภัยจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
  2. ควบคุมคุณภาพการติดตั้งและซ่อมบำรุง ให้เป็นไปตามมาตรฐานด้านวิศวกรรม
  3. กำหนดมาตรการความปลอดภัย เช่น การกำหนดน้ำหนักผู้เล่น จำกัดจำนวนผู้เล่นต่อรอบ และใช้ระบบสายรัดที่มั่นคง
  4. กำหนดการอบรมเจ้าหน้าที่ดูแลซิปไลน์ เพื่อให้สามารถรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉินได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  5. ตรวจสอบใบอนุญาตประกอบกิจการเป็นประจำ เพื่อให้แน่ใจว่าผู้ประกอบการดำเนินกิจการอย่างถูกต้องตามกฎหมาย

สรุป

อุบัติเหตุซิปไลน์ที่บ้านแสนเจริญ จังหวัดเชียงราย ส่งผลให้มี ผู้เสียชีวิต 1 ราย และบาดเจ็บ 3 ราย เบื้องต้นพบว่าเกิดจาก สายสลิงขาดและเสายึดสลิงโค่นล้ม ขณะมีการติดตั้งและทดสอบ เจ้าหน้าที่ได้ออกคำสั่งห้ามใช้เครื่องเล่นดังกล่าว และอยู่ระหว่างสอบสวนหาสาเหตุ รวมถึงตรวจสอบความถูกต้องของการก่อสร้างกิจการซิปไลน์ในพื้นที่ ขณะที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเน้นย้ำให้มีการตรวจสอบ มาตรฐานความปลอดภัยของเครื่องเล่นซิปไลน์ทั่วประเทศ เพื่อป้องกันเหตุการณ์ลักษณะเดียวกันในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ท้องถิ่นนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

การเลือกตั้งอบจ.เชียงรายปี 2568 เริ่มต้นอย่างคึกคัก

บรรยากาศการเลือกตั้ง ส.อบจ. และนายก อบจ.เชียงราย ปี 2568

เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2568 การเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (ส.อบจ.) และนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย ที่หน่วยเลือกตั้งโรงยิมเนเซียม 1 สนามกีฬากลางจังหวัดเชียงราย เริ่มขึ้นตั้งแต่เช้าตรู่ โดยบรรยากาศการเลือกตั้งในช่วงก่อนเปิดหีบมีประชาชนทยอยมาเข้าแถวรอเลือกตั้งกันอย่างต่อเนื่อง ซึ่งหน่วยเลือกตั้งที่ 24 ตั้งอยู่ในตำบลรอบเวียง อำเภอเมืองเชียงราย ก็เป็นหนึ่งในหน่วยที่มีการเข้าร่วมคึกคักจากประชาชนในท้องถิ่น

การเลือกตั้งในครั้งนี้มีกระแสการตื่นตัวจากประชาชนที่ออกมาใช้สิทธิ์อย่างมาก โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุและวัยทำงานที่มากันตั้งแต่ช่วงเช้าเพื่อเข้าคูหาเลือกตั้งและเลือกผู้แทนของตนเอง สำหรับบรรยากาศโดยรวมการเลือกตั้งนั้นเป็นไปอย่างเรียบร้อย

การสังเกตการณ์ของผู้ว่าฯ เชียงราย

ในช่วงเช้า นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยนายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย และหัวหน้าส่วนราชการ รวมทั้งเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ได้ลงพื้นที่เยี่ยมชมการเปิดหน่วยเลือกตั้งที่โรงยิมเนเซียม 1 สนามกีฬากลางจังหวัดเชียงราย เพื่อสังเกตการณ์การเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดและนายกอบจ.เชียงราย โดยผู้ว่าฯ เชียงรายได้กล่าวเชิญชวนประชาชนชาวเชียงรายออกมาใช้สิทธิเลือกตั้งอย่างคึกคักเพื่อส่งเสริมการปกครองในระบอบประชาธิปไตย

ผู้มีสิทธิเลือกตั้งและหน่วยเลือกตั้ง

จังหวัดเชียงรายมีผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั้งหมดกว่า 9 แสนคน โดยมีหน่วยเลือกตั้งทั่วจังหวัดทั้งหมด 1,993 หน่วย และทางคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จังหวัดเชียงรายได้ตั้งเป้าไว้ว่าจะมีผู้มาลงคะแนนเสียงไม่ต่ำกว่า 75% ของจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ทั้งนี้ผลการเลือกตั้งอย่างไม่เป็นทางการคาดว่าจะทราบในเวลาประมาณ 22:00 น. ของวันเดียวกัน

การเปิดหีบและการควบคุมการเลือกตั้ง

จากการรายงานของ กกต. เชียงราย แจ้งว่า หน่วยเลือกตั้งทั้ง 1,993 หน่วยได้เปิดหีบเลือกตั้งตรงตามเวลา 08.00 น. และการลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมหน่วยเลือกตั้ง และศูนย์ประสานงานการเลือกตั้ง ส.อบจ. และนายก อบจ.เชียงราย ณ อาคารคชสาร อบจ.เชียงราย เป็นไปอย่างเรียบร้อยทุกประการ โดยการเปิดหีบเลือกตั้งในช่วงเช้าสามารถดำเนินการได้โดยไม่มีปัญหาหรืออุปสรรค

เหตุการณ์ฉีกบัตรเลือกตั้ง

ท่ามกลางบรรยากาศการเลือกตั้งที่เป็นไปอย่างเรียบร้อย ก็ได้เกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดขึ้น โดยในหน่วยเลือกตั้งที่ 7 ป่าซาง บ้านแม่คี หมู่ที่ 7 ตำบลป่าซาง อำเภอแม่จัน ได้มีเหตุการณ์ฉีกบัตรเลือกตั้งเกิดขึ้น ซึ่งเบื้องต้นพบว่าเป็นชายอายุ 27 ปี เดินทางจะไปลงคะแนนเหมือนคนอื่นๆ ภายในศาลาเอนกประสงค์หมู่บ้านแม่คี ยื่นบัตรประจำตัวประชาชนและลงชื่อจะลงคะแนนเสียงแล้ว แต่กลับถือบัตรเลือกตั้งนายก อบจ.เชียงราย ซึ่งมีสีเหลืองและทำการฉีกจนเสียหายภายในคูหาเลือกตั้ง ทำให้เจ้าหน้าที่ประจำหน่วยเลือกตั้งได้เข้าไปควบคุมตัวและประสานเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.แม่จัน ให้เข้าไปดำเนินการ

เบื้องต้นพบมีบัตรเลือกตั้งได้รับความเสียหายจริงและเมื่อสอบถามชายคนดังกล่าวก็ให้การเบื้องต้นว่า ตัวเองไม่อยากจะเลือกบุคคลใดเป็นนายก อบจ. เชียงราย จึงไม่รู้จะกากบาทลงในช่องหมายเลขของผู้สมัครคนใด ดังนั้นจึงตัดสินใจฉีกทิ้ง
ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้แจ้งว่าการกระทำดังกล่าวถือว่าไม่ถูกต้องจึงได้ควบคุมตัวพร้อมของกลางบัตรที่เสียหายนำส่ง สภ.แม่จัน เพื่อดำเนินการตามกฎหมาย.

การส่งเสริมการใช้สิทธิเลือกตั้ง

ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายยังกล่าวถึงความสำคัญของการเลือกตั้งครั้งนี้ โดยเน้นย้ำว่า “การเลือกตั้งเป็นโอกาสของประชาชนในการเลือกผู้นำท้องถิ่น ซึ่งเป็นการปกครองในระบอบประชาธิปไตย โดยประชาชนมีสิทธิ์ในการตัดสินใจเลือกผู้นำที่พวกเขาต้องการ” เขากล่าวต่อไปว่า การใช้สิทธิเลือกตั้งไม่เพียงแต่เป็นการแสดงออกถึงความรับผิดชอบในฐานะพลเมือง แต่ยังเป็นการส่งเสริมการพัฒนาในระดับท้องถิ่นอีกด้วย

บทสรุป

การเลือกตั้ง ส.อบจ. และนายก อบจ.เชียงรายในปี 2568 เป็นการเลือกตั้งที่สำคัญ โดยมีประชาชนทยอยออกมาใช้สิทธิเลือกตั้งตั้งแต่เช้า บรรยากาศโดยรวมเป็นไปอย่างเรียบร้อยและราบรื่น แม้จะมีเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นในบางหน่วยเลือกตั้ง แต่ทางเจ้าหน้าที่ได้ดำเนินการตรวจสอบและแก้ไขปัญหาอย่างรวดเร็ว การเลือกตั้งในครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงการมีส่วนร่วมของประชาชนในการเลือกผู้นำท้องถิ่นที่จะเป็นตัวแทนในการพัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืน.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE