Categories
HEALTH

ศัลยกรรมไทยโต! Gen Z-LGBTQIA+ ลูกค้ากลุ่มใหม่

ตลาดศัลยกรรมความงามไทยโตต่อเนื่อง คนไทยนิยมศัลยกรรมใบหน้า LGBTQIA+ และ Gen Z เป็นกลุ่มลูกค้าใหม่

ธุรกิจศัลยกรรมและเสริมความงามเติบโตต่อเนื่องแม้การแข่งขันสูง

ประเทศไทย, 3 มีนาคม 2568 – การทำศัลยกรรมและเสริมความงามได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในประเทศไทย โดยเฉพาะการทำตา จมูก หน้าอก และฉีดโบท็อกซ์ ข้อมูลจาก ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดการณ์ว่า ในปี 2568 มูลค่าตลาดศัลยกรรมและเสริมความงามของไทยจะอยู่ที่ 76,500 ล้านบาท เติบโต 2.8% จากปีก่อน แม้ว่าอัตราการเติบโตจะใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจและการแข่งขันที่รุนแรง

คลินิกยังครองตลาด แต่โรงพยาบาลมีแนวโน้มเติบโต

โครงสร้างตลาดศัลยกรรมและเสริมความงามของไทยแบ่งออกเป็น คลินิกและโรงพยาบาล ซึ่งปัจจุบัน คลินิกความงามยังคงมีสัดส่วนมากถึง 85% แม้ว่าจะลดลงจาก 90% ในปี 2564 เนื่องจากการแข่งขันด้านราคาที่สูงขึ้น ในขณะที่ โรงพยาบาลมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็น 15% อันเป็นผลมาจาก จำนวนนักท่องเที่ยวทางการแพทย์ (Medical Tourism) ที่เข้ามาใช้บริการมากขึ้น และความน่าเชื่อถือของมาตรฐานการรักษาและศัลยแพทย์ไทย

พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไป การศัลยกรรมได้รับความนิยมมากขึ้น

ปัจจุบัน คนรุ่นใหม่มีทัศนคติที่เปิดกว้างต่อการทำศัลยกรรมมากขึ้น ส่งผลให้การทำศัลยกรรมแบบผ่าตัดเพิ่มขึ้นจาก 75% ในปี 2562 เป็น 79% ในปี 2566 ซึ่งเป็นผลจากเทคโนโลยีที่ทันสมัยขึ้น มีความปลอดภัยสูงขึ้น และใช้เวลาฟื้นตัวที่น้อยลง

ศัลยกรรมยอดนิยมที่คนไทยเลือกทำมากที่สุด

  • แบบผ่าตัด: ตา, จมูก, หน้าอก
  • แบบไม่ผ่าตัด: ฉีดโบท็อกซ์, ไฮยาลูรอน, ยกกระชับใบหน้าและลำคอ

เทรนด์ศัลยกรรมที่กำลังมาแรง

จากการสำรวจพบว่า กลุ่มลูกค้าศักยภาพใหม่ ที่มีแนวโน้มเข้ามาใช้บริการมากขึ้น ได้แก่:

  • กลุ่มเพศทางเลือก (LGBTQIA+)
  • กลุ่ม Gen Z
  • กลุ่มผู้ชาย

โดยการทำศัลยกรรมบน ใบหน้า เป็นที่นิยมมากที่สุด คิดเป็น 47% ของการใช้บริการทั้งหมด

ตลาดผู้สูงอายุ หนุนการทำศัลยกรรมชะลอวัย

ภายในปี 2571 ประเทศไทยจะมีผู้สูงอายุประมาณ 14 ล้านคน โดย 22% ของกลุ่มนี้มีรายได้สูงและอาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ซึ่งคาดว่าจะเป็นกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูงสำหรับ ศัลยกรรมดึงหน้า, ทำหน้าอก, ดูดไขมัน และลดริ้วรอย

Medical Tourism หนุนธุรกิจศัลยกรรมไทย

ธุรกิจศัลยกรรมในไทยได้รับความนิยมจากชาวต่างชาติ โดยมี อัตราการเติบโตเฉลี่ย 5% ต่อปี สำหรับกลุ่มลูกค้า Medical Tourism ซึ่งกลุ่มลูกค้าหลัก ได้แก่:

  • จีน
  • มาเลเซีย
  • ญี่ปุ่น
  • กลุ่มอาเซียน (CLMV+I) ที่กำลังเติบโต

การทำศัลยกรรมเป็นหนึ่งใน บริการทางการแพทย์ที่ชาวต่างชาตินิยมเข้ามาใช้บริการมากเป็นอันดับ 2 ของไทย เนื่องจากไทยมี มาตรฐานการรักษาสูง แต่มีค่าใช้จ่ายต่ำกว่าเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ เช่น เกาหลีใต้

ความท้าทายและความเสี่ยงของธุรกิจศัลยกรรมในไทย

  1. บุคลากรทางการแพทย์มีจำกัด

ปัจจุบัน ไทยมีศัลยแพทย์ตกแต่งเพียง 500 คน เมื่อเทียบกับ เกาหลีใต้ที่มีศัลยแพทย์มากถึง 2,739 คน ทำให้เกิดการแข่งขันเพื่อดึงบุคลากรทางการแพทย์ ส่งผลต่อต้นทุนธุรกิจที่สูงขึ้น โดยเฉพาะ ศัลยแพทย์ตกแต่งใบหน้าในไทยที่มีเพียง 100 คน

  1. การแข่งขันรุนแรง ทั้งในประเทศและต่างประเทศ
  • ในประเทศไทยมี คลินิกศัลยกรรมกว่า 2,500 ราย และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะคลินิกขนาดเล็ก
  • ต่างชาติเริ่มเข้ามาแข่งขัน เช่น คลินิกจากเกาหลีใต้ที่เข้ามาเปิดสาขาในไทย หรือการที่ชาวไทยนิยมเดินทางไปทำศัลยกรรมในต่างประเทศโดยเฉพาะเกาหลีใต้
  1. ธุรกิจต้องลงทุนด้านเทคโนโลยีเพื่อตอบสนองเทรนด์ความงามที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว

การพัฒนาเครื่องมือและเทคโนโลยีใหม่ ๆ มีต้นทุนสูง หากลูกค้ามีจำนวนลดลงอาจกระทบต่อรายได้ของธุรกิจ โดยเฉพาะ กลุ่มลูกค้าที่เน้นความคุ้มค่าและเปรียบเทียบราคา

ข้อคิดเห็นจากทั้งสองฝ่าย

  • ฝ่ายที่สนับสนุน: เห็นว่าธุรกิจศัลยกรรมความงามของไทย มีศักยภาพในการแข่งขันระดับโลก และช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในกลุ่ม Medical Tourism ซึ่งเป็นแหล่งรายได้สำคัญของประเทศ
  • ฝ่ายที่กังวล: มองว่าการขาดแคลนบุคลากรทางการแพทย์และการแข่งขันที่สูงอาจส่งผลกระทบต่อคุณภาพการให้บริการ รวมถึงความเสี่ยงจากการลงทุนในเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว

สถิติที่เกี่ยวข้องกับข่าว

จากข้อมูลของ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย และกระทรวงสาธารณสุข พบว่า:

  • ปี 2568 มูลค่าตลาดศัลยกรรมและเสริมความงามไทยจะอยู่ที่ 76,500 ล้านบาท โต 2.8%
  • คลินิกความงามครองตลาด 85% ส่วนโรงพยาบาลมีแนวโน้มเติบโตขึ้นเป็น 15%
  • Medical Tourism คาดว่าจะเติบโตเฉลี่ยปีละ 5%
  • ศัลยแพทย์ตกแต่งในไทยมีเพียง 500 คน เทียบกับเกาหลีใต้ที่มี 2,739 คน
  • ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางอันดับ 2 ของชาวต่างชาติที่ต้องการศัลยกรรมความงาม

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ศูนย์วิจัยกสิกรไทย / กระทรวงสาธารณสุข / สมาคมศัลยแพทย์ตกแต่งแห่งประเทศไทย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

เชียงราย ติด 1 ใน 5 ‘เมืองรอง’ ค้นหาใน อโกด้า ช่วงต้นฤดูฝนมากสุด

 

เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2567 จากข้อมูลของ อโกด้า (Agoda) แพลตฟอร์มท่องเที่ยวออนไลน์ พบว่า จังหวัดเมืองรองที่นักเที่ยวชาวไทยค้นหามากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ จันทบุรี นครศรีธรรมราช นครนายก ราชบุรี และเชียงราย ตามลำดับ โดยจังหวัดเมืองรองเหล่านี้มีที่เที่ยวที่หลากหลาย เที่ยวได้ไม่จำเจ ตั้งแต่การออกเที่ยวเพื่อดื่มดำไปกับธรรมชาติ จนถึงการไปชิมอาหารรสชาติพื้นเมือง

 

สถิติการค้นหาเมืองรองมีอัตราเพิ่มสูงขึ้นถึง 23% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่าน โดยจากทั้ง 5 เมืองรองที่ถูกค้นหามากที่สุด พบว่า นครนายก (อันดับ 3) เป็นจังหวัดที่มียอดการค้นหาเพิ่มขึ้นถึง 2 เท่า ซึ่งการค้นหาเมืองรองที่เพิ่มขึ้นนี้ ชี้ให้เห็นถึงเทรนด์การท่องเที่ยวที่นักเดินทางต้องการค้นหาประสบการณ์ที่ยังไม่เคยสัมผัสมาก่อนจากเมืองรองมากขึ้น

 

Pierre Honne ผู้อำนวยการประจำประเทศไทย อโกด้า กล่าวว่า ความนิยมเที่ยวเมืองรองที่เพิ่มขึ้น แสดงให้เห็นว่านักท่องเที่ยวชาวไทยต้องการสัมผัสประสบการณ์การท่องเที่ยวที่หลากหลาย และต่างไปจากเดิม ความร่วมมือระหว่างอโกด้าและการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวในเมืองรองได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี เห็นได้จากการค้นหาเมืองรองโดยรวมที่เพิ่มขึ้น อโกด้ายินดีและพร้อมสนับสนุนการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวในเมืองรอง เพื่อเปิดโอกาสให้จังหวัดเมืองรองที่มีความโดดเด่นในแง่มุมต่างๆ เช่น วัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ และธรรมชาติ เป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น
 
 

เช่นเดียวกับนักท่องเที่ยวชาวไทย สถิติจากอโกด้ายังชี้ให้เห็นถึงปริมาณการค้นหาที่พักในจังหวัดเมืองรองของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เพิ่มขึ้น  โดยเมืองรองที่นักเที่ยวต่างชาติค้นหามากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ เชียงราย อุดรธานี นครศรีธรรมราช จันทบุรี และตรัง ตามลำดับ โดยจังหวัดเหล่านี้มีความโดดเด่นทั้งด้านวัฒนธรรม   และภูมิทัศน์ที่สวยงามหลากหลาย จึงเป็นที่ดึงดูดให้นักท่องเที่ยวต่างชาติมาเยี่ยมเยียนเพื่อสัมผัสความเป็นไทย

 

ด้วยตัวเลือกที่พักที่มีความหลายหลายจากอโกด้า ไม่ว่าจะเป็นรีสอร์ทที่เงียบสงบ ไปจนถึงเกสต์เฮาส์ที่มีเสน่ห์ ช่วยให้การค้นหาที่พักสำหรับทุกการเดินทาง เช่น การเที่ยวเมืองรองในช่วงต้นฤดูฝนเป็นเรื่องที่ง่ายกว่าที่เคย นอกจากนี้แพลตฟอร์มอโกด้ายังมีบริการต่าง ๆ ที่ช่วยเสริมประสบการณ์การท่องเที่ยวที่ครอบคลุมในทุกความต้องการของนักท่องเที่ยวไม่ว่าจะเป็นการเที่ยวในหรือต่างประเทศ ทั่วโลก

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : อโกด้า

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

ข้อมูลจากสภาพัฒน์ฯ บอกคนไทย อายุ 15-49 ปี กำลัง “โสด” ถึง 40.5%

 
เมื่อวันที่ 27 พ.ค.2567 สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยถึงเรื่องภาวะสังคมไทยไตรมาสหนึ่ง ปี 2567 โดยข้อมูลการสำรวจภาวะเศรษฐกิจและสังคมของครัวเรือน (SES) พ.ศ.2566 พบว่าคนไทยครองตัวเป็นโสดมากขึ้น คิดเป็นร้อยละ 23.9 หรือ 1 ใน 5 ของคนไทย และหากพิจารณาเฉพาะช่วงวัยเจริญพันธุ์ตั้งแต่อายุ 15-49 ปีจะมีสัดส่วนมากถึงร้อยละ 40.5 สูงกว่าภาพรวมประเทศเกือบเท่าตัว และเพิ่มขึ้นจาก พ.ศ.2560 (ร้อยละ 35.7) 
 
โดย ร้อยละ 50.9 อยู่ในช่วงอายุ 15 – 25 ปี สัดส่วนการแต่งงานในช่วงวัยเจริญพันธุ์ ปี 2560 -2566 ปรับตัวลดลงต่อเนื่อง โดยปี 2566 อยู่ที่ร้อยละ ร้อยละ 52.6 ลดลงจากปี 2565 ที่อยู่ที่ร้อยละ 53.2 และลดลงจากปี 2560 อยู่ที่ร้อยละ 57.9 ขณะเดียวกันการหย่าร้างในอัตราที่สูงขึ้น โดยในปี 2566 มีประมาณ 400,000 คู่ ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปี 2560 ร้อยละ 22
 
 

โดยปัจจัยที่ส่งผลต่อการเป็นคนโสดแบ่งได้เป็น 4 ด้าน คือ

1) ค่านิยมทางสังคมของการเป็นโสดยุคใหม่ อาทิ “SINK (Single Income,No Kids)” หรือคนโสดที่มีรายได้และไม่มีลูก” เน้นใช้จ่ายเพื่อตนเอง จากข้อมูล SES ในปี 2566 พบว่า สัดส่วนคนโสด SINK สูงขึ้นตามระดับรายได้ “PANK (Professional Aunt, No Kids)” หรือกลุ่มผู้หญิงโสดอายุ 30 ปีขึ้นไป ที่มีรายได้ อาชีพการงานดีและไม่มีลูก” ที่ให้ความสำคัญกับการดูแลหลาน เด็กในครอบครัวรอบตัว

 

โดยคนโสด PANK มีจำนวน 2.8 ล้านคน ส่วนใหญ่มีรายได้ดีและจบการศึกษาสูง และ “Waithood” กลุ่มคนโสดที่เลือกจะรอคอยความรักเนื่องจากความไม่พร้อม ไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจ ส่วนหนึ่งสะท้อนได้จากคนโสดร้อยละ 40 ที่มีรายได้ต่ำสุด โดยมีสัดส่วนอยู่ที่ร้อยละ 37.7 ส่วนใหญ่เป็นเพศชายมากถึงร้อยละ 62.6 มีระดับการศึกษาที่ไม่สูงนัก ทำให้ความสามารถในการหารายได้จำกัด

2) ปัญหาความต้องการ ความคาดหวังที่ไม่สอดคล้องกัน เป็นผลจากความคาดหวังทางสังคมและทัศนคติต่อการมองหาคู่ของคนที่เปลี่ยนแปลงไป โดยบริษัท มีทแอนด์ลันช์ สาขาประเทศไทย (2021) พบว่าผู้หญิงกว่าร้อยละ 76.0 จะไม่เดทกับผู้ชายที่มีรายได้น้อยกว่า และร้อยละ 83.0 ไม่คบกับผู้ชายที่มีส่วนสูงน้อยกว่า ขณะเดียวกัน ผู้ชายร้อยละ 59.0 จะไม่คบกับผู้หญิงตัวสูงกว่า และอีกว่าร้อยละ 60.0 ไม่เดทกับผู้หญิงที่เคยหย่าร้าง

3) โอกาสในการพบปะผู้คน โดยใน พ.ศ.2566 คนโสดมีชั่วโมงการทำงานสูงกว่าค่าเฉลี่ยของทั้งประเทศ โดยข้อมูลจาก LFS สำนักงานสถิติแห่งชาติ เฉลี่ยอยู่ที่ 43.2 ชั่วโมง/สัปดาห์ สูงกว่าภาพรวมประเทศ (42.3 เฉลี่ยอยู่ที่ 43.2 ชั่วโมง/สัปดาห์)

อีกทั้งกรุงเทพฯ ยังจัดอยู่ในอันดับที่ 5 ของเมืองที่แรงงานทำงานหนักที่สุดในโลก ทำให้คนโสดไม่มีโอกาสในการมองหาคู่

4) นโยบายส่งเสริมการมีคู่ของภาครัฐยังไม่ต่อเนื่องและครอบคลุมความต้องการของคนโสด โดยนโยบายส่งเสริมการมีคู่ของไทยในช่วงที่ผ่านมายังมีไม่มากนัก โดยเน้นไปที่กลุ่มคนโสดที่มีความพร้อม ขณะที่ ในต่างประเทศมีแนวทางการส่งเสริมการมีคู่ที่ครอบคลุมไปถึงการบรรเทาภาระค่าใช้จ่าย และการสร้างโอกาสในการมีคู่

 

 

ทั้งนี้ มีแนวทางสนับสนุนให้คนมีคู่ ดังนี้

1) การสนับสนุนเครื่องมือการ Matching คนโสด โดยภาครัฐอาจร่วมมือกับผู้ให้บริการพัฒนาแพลตฟอร์ม เพื่อส่งเสริมให้คนโสดสามารถเข้าถึงได้มากขึ้น

2) การส่งเสริมการมี Work-life Balance ทั้งในภาครัฐและเอกชน ทำให้คนโสดมีคุณภาพชีวิตที่ขึ้น และเพิ่มโอกาสให้คนโสดมีเวลาทำกิจกรรมที่ชอบและพบเจอคนที่น่าสนใจมากขึ้น

3) การยกระดับทักษะที่จำเป็นในการทำงาน เพิ่มโอกาสความก้าวหน้าในอาชีพการงานและรายได้ซึ่งคนโสดยังมีโอกาสพบรักจากสถานศึกษาได้อีกด้วย

4) การส่งเสริมกิจกรรมและการมีส่วนร่วมทางสังคมอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้คนโสดมีโอกาสพบปะและสร้างความสัมพันธ์ใหม่ ๆได้

 

 

สำหรับปัญหาสุขภาพจิตยังคงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในสังคมไทย โดยข้อมูลจากกรมสุขภาพจิต พบว่า มีผู้ป่วยจิตเวชเข้ารับบริการเพิ่มขึ้น จาก 1.3 ล้านคน ในปี 2558 เป็น 2.9 ล้านคน ในปี 2566 ซึ่งหากพิจารณาในรายละเอียด จะพบประเด็นที่มีความน่ากังวล ดังนี้

1.แม้ว่าประเทศไทยจะมีผู้ป่วยเข้ารับการรักษา 2.9 ล้านคน แต่ผู้มีปัญหาอาจมากถึง 10 ล้านคน ทำให้สัดส่วนผู้มีปัญหาสูงกว่าค่าเฉลี่ยระดับโลก และสะท้อนให้เห็นว่ายังมีผู้ที่ไม่ได้เข้ารับรักษาเป็นจำนวนมาก

2.ผู้มีความเสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพจิตมีสัดส่วนสูงเช่นกัน โดยระหว่างวันที่ 1 ต.ค.2566 – 22 เม.ย.2567 พบผู้มีความเครียดสูงถึงร้อยละ 15.48 เสี่ยงซึมเศร้า ร้อยละ 17.20 และเสี่ยงฆ่าตัวตายร้อยละ 10.63 ซึ่งแย่ลงกว่าในช่วงปีที่ผ่านมา

3) ปัญหาสุขภาพจิตไม่เพียงกระทบต่อตนเอง แต่ยังส่งผลต่อเศรษฐกิจมากกว่าที่คาดคิด องค์การอนามัยโลก (WHO) พบว่า ภาวะซึมเศร้าและความวิตกกังวลของประชากรทั่วโลก ทำให้วันทำงานหายไปประมาณ 12 พันล้านวัน สร้างความสูญเสียทางเศรษฐกิจมูลค่ากว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ

4) เกือบ 1 ใน 5 ของผู้มีปัญหาสุขภาพจิตไม่สามารถดูแลตนเองได้ ทำให้ครัวเรือนต้องจัดหาผู้ดูแลและเป็นการสูญเสียทรัพยากรบุคคลเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ ยังมีผู้ป่วยจิตเวชที่มีความเสี่ยงสูงต่อการก่อความรุนแรง (SMI-V) ไม่ถึง 1 ใน 4 ที่ได้รับการติดตามดูแลและเฝ้าระวังตามแนวทางที่กำหนด

5) สภาพทางเศรษฐกิจและสังคมที่มีความกดดันส่งผลให้คนไทยเป็นโรคซึมเศร้าและโรควิตกกังวลมากขึ้น ในงบประมาณ พ.ศ. 2566 พบสัดส่วนผู้ป่วยกลุ่มโรควิตกกังวลและโรคซึมเศร้า สูงเป็น 2 อันดับแรก สูงกว่าผู้ป่วยติดยาบ้าและยาเสพติดอื่น ๆ รวมกัน

6) การฆ่าตัวตายสูงใกล้เคียงกับช่วงวิกฤตต้มยำกุ้ง ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 พบว่ามีผู้เสียชีวิตจากการฆ่าตัวตายอยู่ที่ 7.94 ต่อประชากรแสนคน ใกล้เคียงช่วงวิกฤตต้มยำกุ้ง (8.59 ต่อประชากรแสนคน)

7) ปัญหาสิ่งแวดล้อม เป็นปัจจัยภายนอกที่ส่งผลต่อสุขภาพจิตภายใน จากการศึกษาในประเทศอังกฤษพบว่า มลพิษทางอากาศส่งผลให้เกิดภาวะซึมเศร้าในเยาวชนเพิ่มขึ้นร้อยละ 20.0 ซึ่งไทยต้องเฝ้าระวังเนื่องจากกำลังประสบปัญหาฝุ่น PM 2.5 สูงเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก

นอกจากนี้ หากพิจารณาตามช่วงวัย พบว่าวัยเด็กและเยาวชนมีปัญหาสุขภาพจิตที่น่ากังวลหลายเรื่องโดยเฉพาะความเครียด ซึ่งมีสาเหตุหลักจากการเรียนและความคาดหวังด้านการทำงานในอนาคต และสถานะทางการเงินของครอบครัว นอกจากนี้การกลั่นแกล้ง (Bully) ในโรงเรียน เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดภาวะซึมเศร้า

วัยทำงานความรับผิดชอบสูง และหลายปัญหารุมเร้า บริษัท Kisi พบว่า ในปี 2565 กรุงเทพฯ อยู่ในอันดับ 5 จาก 100 เมืองทั่วโลกที่มีผู้คนทำงานหนักเกินไป สอดคล้องกับมหาวิทยาลัยมหิดล ที่พบว่า คนกรุงเทพฯ 7 ใน 10 หมดไฟในการทำงาน อีกทั้ง ข้อมูลจากสายด่วน 1323 ของกรมสุขภาพจิต พบว่า ปี 2566 วัยแรงงานขอรับบริการเรื่องความเครียด วิตกกังวล ไม่มีความสุขในการทำงานถึง 5,989 สาย จากทั้งหมด 8,009 สาย

สำหรับ ผู้สูงวัยต้องอยู่กับความเหงาและโดดเดี่ยว สูญเสียคุณค่าในตนเอง ในปี 2566 พบว่า ผู้สูงอายุร้อยละ 84.93 มีความสุขในระดับที่ดีแต่จะลดน้อยลงตามวัย ส่วนหนึ่งเกิดจากการขาดกิจกรรมและบทบาททางสังคม อีกทั้ง ยังพบผู้สูงอายุที่ต้องอยู่คนเดียวเพิ่มขึ้น และมีผู้สูงอายุอีก 8 แสนคน มีภาวะความจำเสื่อม ซึ่งส่วนใหญ่มีปัญหาสุขภาพจิตด้านอื่นร่วมด้วย

สถานการณ์ข้างต้นสะท้อนให้เห็นว่า ปัญหาสุขภาพจิตต้องได้รับการแก้ไขอย่างจริงจัง ทั้งการป้องกันต้องสร้างความเข้มแข็งให้สถาบันทางสังคม โดยเฉพาะสถาบันครอบครัว เน้นเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดี

การรักษา เร่งเพิ่มบุคลากรด้านสุขภาพจิตให้เพียงพอรวมทั้งขยายบริการการรักษาผู้ป่วยจิตเวชในสถาบันบำบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติด อีกทั้งต้องนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ให้มากขึ้น เพื่อเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงการบริการ

รวมถึงการติดตามและฟื้นฟูเยียวยา ต้องจัดทำฐานข้อมูลกลางด้านสุขภาพจิตที่ครอบคลุม เร่งติดตามผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงก่อความรุนแรงให้ได้รับการรักษาต่อเนื่อง รวมทั้งพัฒนาระบบสวัสดิการชุมชนและสังคม ในการส่งเสริมการฟื้นฟูสภาพจิตใจและขับเคลื่อนงานด้านสุขภาพจิต

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :  สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News