Categories
ECONOMY

สมาคมธนาคารไทย ชี้เงินบาทแข็งสวนทาง ต่างชาติขายสุทธิ หวั่นเงินนอกระบบไหลเข้า

หัวขบวนส่งสัญญาณ สมาคมธนาคารไทยชี้ “ต้อง Connect the dots” ก่อนสาย

กรุงเทพฯ, 22 กันยายน 2568 — นายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย เปิดเผยภายหลังเข้าหารือ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจ ว่าภาคธนาคารได้สะท้อน “ความผิดปกติ” ของเงินทุนไหลเข้า ขณะที่ค่าเงินบาทแข็งค่าต่อเนื่องท่ามกลางสภาวะ ต่างชาติขายสุทธิทั้งหุ้นและพันธบัตร ซึ่ง “สวนทางกลไกตลาด” จึงจำเป็นต้องเร่งทำ Connect the dots—เชื่อมโยงข้อมูลจาก ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.), สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.), และ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อให้เห็นเส้นทางเงินอย่างครบถ้วน

สาระของข้อเสนอ คือ รวมศูนย์ภาพใหญ่ ที่วันนี้แยกส่วนอยู่ใน “ไซโลข้อมูล” หลายใบ: ธปท.เห็นกระแสเงินข้ามพรมแดน, ปปง.เห็นธุรกรรมผิดปกติในระบบสถาบันการเงินและนอกระบบ, ก.ล.ต.เห็นโครงสร้างผู้ถือหุ้นและธุรกรรมในตลาดทุน—เมื่อดึง “ทุกจุด” มาต่อกัน จึงจะเห็น “เครือข่าย” และ “แพตเทิร์น” ที่แยกกันแล้วมองไม่ออก

“สิ่งที่ต้องเร่งทำคือ Connect the dots… เงินไหลเข้าปริมาณมาก แต่ไม่ผ่านช่องทางตลาดปกติ เราต้องรู้ว่าเงินมาจากไหน จะได้แก้ปัญหาให้ตรงจุด” — ผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย

เงินบาทแข็งสวนกระแส สัญญาณชวนสงสัยว่ามี “เงินนอกตลาด” ไหลเข้า

เชียงราย/กทม., 23 กันยายน 2568 — ในวันที่เงินบาทเปิดแถว 31.78–31.82 บาท/ดอลลาร์ ตลาดหุ้นไทยปรับลงกว่า 10 จุด ขณะที่ต่างชาติ ขายสุทธิหุ้น ~3,190 ล้านบาท และ ขายสุทธิพันธบัตร ~302 ล้านบาท หากวัดตามตำรามาตรฐาน ค่าเงินควร “อ่อน” จากฟันด์โฟลว์ไหลออก แต่ในความจริงกลับ “แข็ง” ขึ้น นี่คือ สัญญาณบิดเบี้ยว ที่ยากอธิบายด้วยพฤติกรรมการลงทุนปกติ

แน่นอน ปัจจัยภายนอกอย่าง ดอลลาร์อ่อน จากความคาดหวังนโยบายดอกเบี้ยของเฟด ย่อมหนุนให้สกุลเงินตลาดเกิดใหม่แข็งขึ้น แต่เมื่อ ภาพในประเทศยังอ่อนแรง—หนี้ครัวเรือนสูง, สินเชื่อรายย่อยและยอดโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยหดตัว—จึงยิ่งตั้งคำถามว่า แรงซื้อเงินบาท มาจากไหน หากไม่ใช่จากตลาดทุน/พันธบัตรตามปกติ คำตอบที่เป็นไปได้ คือ เงินเข้าช่องอื่น (เช่น ทางการค้า–บริการ–เงินโอนผ่านนิติบุคคล–ธุรกรรมดิจิทัล–โครงสร้างถือหุ้นซับซ้อน) ซึ่งบางส่วนอาจอยู่ในโซน เงินร้อน–เงินเทา” ที่หลบสายตากลไกตลาด

นายกฯ–ทีมเศรษฐกิจ “ยกทีมคุย” ภาคธนาคาร ตั้งโจทย์ใหญ่–เดินเกมไว

การพบปะครั้งนี้ถูกมองว่า “ไม่ธรรมดา” เพราะเป็นครั้งแรกในรอบ 58 ปี ที่ นายกรัฐมนตรี พร้อม ครม.เศรษฐกิจ มานั่งโต๊ะเดียวกับ สมาคมธนาคารไทย เพื่อแลกเปลี่ยนตรงถึง “ทิศทาง” และ “โจทย์เร่งด่วน”

นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกฯ และ รมว.คลัง ย้ำว่า ภายใต้แนวนโยบาย “สั่งวันนี้ ทำเมื่อวาน” ได้สั่งตั้ง ทีมเชื่อมจุด ที่กระทรวงการคลัง ประสาน ธปท.–ปปง.–ก.ล.ต. เดินหน้าหาคำตอบว่า เงินมาจากไหน” พร้อมขีดเส้นเวลาลงมือ ทันทีหลังแถลงนโยบาย เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ Quick Big Win ควบคู่กับโจทย์แกนกลางของรัฐบาลคือ ภาคประชาชน–การจ้างงาน–หนี้ครัวเรือน–สภาพคล่อง SMEs

“เรา Connect the dots ไว้แล้ว เป้าหมายคือให้เห็นว่าเงินมาจากไหน จะได้แก้ให้ตรงจุด… ปลดไซโล ให้หน่วยงานทำงานร่วมกันจริง” — เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกฯ และ รมว.คลัง

ปม “เศรษฐกิจนอกระบบ 48%” และ “ข้อมูลกระจัดกระจาย” ที่ทำให้แก้ช้า

หัวใจของความยากไม่ได้อยู่แค่ “ตัวเลข” แต่อยู่ที่ “สภาพแวดล้อมข้อมูล” ของเศรษฐกิจไทย—เมื่อ เศรษฐกิจนอกระบบคิดเป็นถึง ~48% ของกิจกรรมทั้งระบบ ความเสี่ยงจึงสูงที่เงินจำนวนมากจะไหลในช่องทางที่ กฎหมายเข้าถึงยาก–ข้อมูลไม่ครบ–ผู้รับผลประโยชน์ซ่อนอยู่ ผลที่ตามมา คือ คุณภาพหนี้เปราะบาง และ สภาพคล่องไม่ซึมถึงจุดที่ต้องการ (ครัวเรือน–SMEs)

Net Errors & Omissions (NEO)” ในงบดุลการชำระเงินที่แกว่งแรงยิ่งสะท้อน ช่องว่างข้อมูล—ตัวเลขที่ “ตั้งหลักไม่ติด” เพราะส่วนหนึ่งอาจอยู่ในธุรกรรมที่ยังไม่ถูกบันทึก–ระบุที่มาไม่ชัด หรือไม่ผ่านช่องทางตลาดปกติ ช่องว่างนี้เองทำให้ฝ่ายกำกับ (ที่มองด้วยเลนส์สถิติ) กับฝ่ายนโยบาย (ที่กังวลความมั่นคง) อาจตีความ ความเสี่ยง” ต่างกัน และหากไม่ “เชื่อมจุด” ให้เห็นภาพเดียวกัน การสื่อสารสาธารณะย่อม สั่นคลอนความเชื่อมั่น ได้ง่าย

แผนปฏิบัติ เชื่อมข้อมูล–แบ่งบท–ลงมือ “ลุย” ตามแนวราบ

เพื่อแปลงแนวคิด Connect the dots ให้เป็นผลลัพธ์จับต้องได้ จำเป็นต้องมี “แพลตฟอร์มและกระบวนการ” ที่หน่วยงานนำไปใช้ร่วมกันได้จริง

1) กระทรวงการคลัง – ห้องยุทธการเชื่อมจุด
ทำหน้าที่ แม่งาน–ประสาน ตั้ง คณะทำงานถาวร ที่ประชุมสม่ำเสมอ มีแดชบอร์ดภาพรวม: ค่าเงิน, ฟันด์โฟลว์, NEO, ธุรกรรมต้องสงสัย, โครงสร้างถือหุ้น และสัญญาณเตือนเชิงระบบ

2) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) – เรดาร์มหภาค
ติดตาม กระแสเงินตราต่างประเทศ–อัตราแลกเปลี่ยน–สำรองเงินตรา–ธุรกรรม FX แยกประเภทช่องทาง (ตลาดทุน–การค้า–บริการ–โอนเงินนิติบุคคล–โครงสร้างพิเศษ) เพื่อชี้เป้า “ผิดปกติ” ส่งต่อ ปปง. ตรวจเชิงธุรกรรม

3) สำนักงาน ปปง. – เครื่องมือสืบสวนธุรกรรม
ขยาย Red Flag Rules ให้ครอบคลุมรูปแบบใหม่ เช่น โอนข้ามนิติบุคคลหลายชั้น, ใช้นอมินี, บัญชีพักเงิน, เงินโอนมูลค่าสูงผ่านกิจการทุนต่ำ, และธุรกรรมดิจิทัลข้ามแดน ผสานข้อมูลสถาบันการเงิน–ผู้ให้บริการนอกระบบธนาคาร (ที่อยู่ภายใต้ พ.ร.บ.ฟอกเงิน)

4) สำนักงาน ก.ล.ต. – เปิดหน้ากาก Beneficial Owner
ไล่โซ่การถือหุ้นซับซ้อน จนถึง ผู้รับผลประโยชน์ที่แท้จริง (BO) ของกิจการใน–นอกตลาดทุน กรอง “โครงสร้างผิดสังเกต” และ เชื่อมข้อมูลข้ามหน่วย เพื่อสะกัดใช้บริษัทบังหน้าในการเคลื่อนย้ายเงิน

5) สมาคมธนาคารไทย – ยกระดับมาตรฐาน CDD/EDD
ออก มาตรฐานร่วม ด้านการรู้จักลูกค้า (KYC), การตรวจสอบสถานะทางธุรกิจ (CDD), และ Enhanced Due Diligence (EDD) สำหรับบัญชี/ธุรกรรมเสี่ยงสูง พร้อม ซ้อมสถานการณ์ (tabletop exercise) รายไตรมาสให้สอดรับเรดแฟลกของภาครัฐ

เงินทุนสีเทาคืออะไร–กระทบอะไร

ในหลายปีที่ผ่านมา สังคมไทยคุ้นกับคำว่า “เงินทุนสีเทา”—ทุนที่ กึ่งถูก–กึ่งผิด” หรือ ผิดกฎหมายเต็มรูปแบบ ซึ่งเข้ามาอาศัยช่องว่างกฎหมาย เช่น ใช้ นอมินี ถือหุ้นกิจการสงวน, ตั้ง โครงสร้างบริษัทหลายชั้น บังที่มาของเงิน, ดำเนินกิจการออนไลน์ผิดกฎหมาย, หรือสร้าง “อาณาจักรเศรษฐกิจคู่ขนาน” ที่หมุนเวียนเงินและรายได้อยู่ในเครือข่ายเดียวกัน

เงินกลุ่มนี้ บิดเบือนการแข่งขัน (ตัดราคา–กินรวบ), บั่นทอนเสถียรภาพการเงิน (ธุรกรรมผิดปกติ–เสี่ยงฟอกเงิน), และ ทำลายฐานภาษี (รายได้ไม่เข้าสู่ระบบ) ที่สำคัญ หากปล่อยให้ไหลเข้าระบบการเงินจำนวนมากโดยไม่ถูกตรวจสอบ อาจนำไปสู่ ความเสี่ยงระบบ (systemic risk) จากภาวะ สภาพคล่องลวงตา ค่าเงิน–สินทรัพย์ ผันผวนผิดธรรมชาติ และทำให้ผู้กำหนดนโยบาย ตัดสินใจผิดทาง ได้

เร่งด่วน–วัดผลได้–ทำให้เห็น

สารที่นายกฯ ส่งผ่านทีมเศรษฐกิจชัดเจน: ลำดับความสำคัญ อยู่ที่ “ผลกระทบจริงต่อประชาชน”—งาน–รายได้–หนี้ ขณะที่ ภาพค่าเงิน ต้องคุมให้ สงบ–สะท้อนพื้นฐาน ไม่ใช่ถูกรบกวนจากเงินปริศนา ฝั่งสมาคมธนาคารไทยตอบรับ—พร้อมปรับมาตรฐานตรวจสอบธุรกรรมและความร่วมมือข่าวกรองการเงิน โดย ยังไม่ร้องขอมาตรการพิเศษ เพิ่มเติม ขอเพียง กรอบร่วม–ช่องทางเชื่อมต่อ–เป้าหมายวัดผล ที่ชัด และ “เดินให้ทันเวลา” เพราะนายกรัฐมนตรีมีกรอบเวลาทำงาน 4 เดือนแรก ที่ต้องส่ง “Quick Big Win” สร้างความเชื่อมั่น

เชื่อมโยงสู่โครงสร้าง ทำไมการแก้หนี้–สภาพคล่อง ต้องเดินคู่ “เชื่อมจุด”

แม้ประเด็น “เงินไหลเข้า–ค่าเงิน” ดึงดูดสายตา แต่ ปัจจัยในประเทศ คือเบื้องหลังสำคัญของเสถียรภาพในระยะยาว—หนี้ครัวเรือนสูง, สินเชื่อรายย่อยหด, อสังหาฯชะลอ จึงต้องมี มาตรการสภาพคล่องแบบตรงจุด (เช่น ค้ำประกันสินเชื่อ SMEs, ปรับเกณฑ์เครดิตประวัติใหม่ที่ไม่ “ปิดประตู” คนเปราะบาง) เพื่อให้เงิน ไหลไป “จุดที่ปวด” จริง และ ยึดโยงกับผลิตภาพ ไม่ใช่ไหลไป “เก็งกำไรค่าเงิน–สินทรัพย์”

นี่คือเหตุผลที่โต๊ะนโยบายต้องทำสองอย่าง พร้อมกัน:

  1. เชื่อมจุด เพื่อ กันเงินสีเทา ออกจากระบบ—ลดความผันผวนผิดธรรมชาติ; และ
  2. ปลดคอขวดเครดิต ให้ครัวเรือน–SMEs—อัดฉีดสภาพคล่องอย่าง “รับผิดชอบ” ไปสู่กิจกรรมที่สร้างรายได้จริง

Roadmap 90 วัน จากประกาศสู่ผลลัพธ์

เพื่อให้เห็น ผลจริง ภายในกรอบ “4 เดือนแรก” ของรัฐบาล ชุดมาตรการควรมี หมุดหมายชัด ใน 90 วันแรก ดังนี้

30 วันแรก

  • เปิด แดชบอร์ดเชื่อมจุด (ข้อมูลองค์รวม) ให้ทีมปฏิบัติทุกหน่วยเข้าถึง
  • ออก แนวปฏิบัติเรดแฟลก กลางให้สถาบันการเงิน–ผู้ให้บริการนอกระบบธนาคาร
  • นัด ซ้อมแผน TTX ระดับชาติ ครั้งที่ 1 (กรณีเงินไหลเข้าผิดปกติ–ค่าเงินผันผวน)

60 วัน

  • ทดลอง เคสไล่โซ่ธุรกรรม 3–5 กรณี นำร่อง (การค้า–บริการ–โอนนิติบุคคล–ดิจิทัล)
  • รายงาน ผลคืบหน้า NEO และ “สัญญาณผิดปกติ” ต่อสาธารณะเชิงนโยบาย (ไม่เปิดชื่อบุคคล/กิจการ)
  • เสนอ มาตรการค้ำประกันสภาพคล่อง เป้าหมายเฉพาะ—SMEs กลุ่มที่แข็งแรงแต่ถูกบีบเครดิต

90 วัน

  • แถลง Quick Big Win: เคสยึด–อายัด–ดำเนินคดีสำเร็จ, ปรับปรุงเกณฑ์ EDD ภาคธนาคาร, แนวโน้มค่าเงินกลับสะท้อนพื้นฐานมากขึ้น
  • เปิด ช่องทางร้องเรียน–รับเบาะแส สาธารณะ ที่เชื่อมตรงเข้าทีมเชื่อมจุด

ความเสี่ยงที่ต้องบริหาร

  • การสื่อสารไม่สอดคล้อง ระหว่างหน่วยงาน อาจทำให้ตลาดตีความผิด—จำเป็นต้องมี ศูนย์สื่อสารกลาง
  • ต้นทุนการปฏิบัติตาม ของภาคธุรกิจ โดยเฉพาะ SMEs—รัฐควรจัดทำ คู่มือ–เครื่องมือดิจิทัล ช่วยตรวจเช็กเบื้องต้น
  • โยกย้ายช่องทาง ของทุนสีเทาไปจุดอ่อนใหม่—ต้องอัปเดต เรดแฟลก ต่อเนื่องและร่วมมือข้ามประเทศ

ค่าเงินที่ “สะท้อนพื้นฐานจริง” คือฐานของความเชื่อมั่น

ประเทศไทยกำลังยืนอยู่บนรอยต่อสำคัญ ระหว่าง “สัญญาณตลาดการเงิน” ที่ผิดธรรมชาติ กับ “เศรษฐกิจจริง” ที่ต้องการสภาพคล่องอย่างมีคุณภาพ การตัดสินใจเชิงนโยบายในห้วงเวลานี้ จึงไม่ใช่การ “ขัน–คลาย” ค่าเงินแบบเชิงกลเท่านั้น แต่คือการ สร้างระบบเชื่อมข้อมูล ที่ทำให้เรามองเห็น เส้นทางเงินทั้งใน–นอกตลาด แล้วจัดการกับ เงินที่ไม่พึงประสงค์ ให้ออกจากสมการ ก่อนจะบิดเบือนราคา–บั่นทอนความเชื่อมั่น

เสียงจากทั้งโต๊ะนโยบายและภาคธนาคาร “ตรงกัน”: ต้อง Connect the dots เดินเกม เร็ว–แม่น–โปร่งใส และวัดผลได้จริง หากทำได้ ค่าเงินบาท จะกลับไปสะท้อน ปัจจัยพื้นฐาน มากกว่าความผิดปกติระยะสั้น ขณะเดียวกัน สภาพคล่อง ก็จะไหลไป ครัวเรือน–SMEs ที่ต้องการอย่างยั่งยืน

สุดท้าย การเจอ “เงินมาจากไหน” ไม่ใช่จุดจบ แต่เป็น จุดเริ่มต้นของระเบียบใหม่ ที่ทำให้ตลาดไทย แข่งขันได้ด้วยความโปร่งใส และทำให้เศรษฐกิจจริง เติบโตบนฐานคุณภาพ—นี่คือ Quick Big Win ที่สัมผัสได้ ทั้งในสมุดบัญชีของผู้คน และบนกราฟค่าเงินของชาติ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สมาคมธนาคารไทย
  • กระทรวงการคลัง
  • ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)
  • สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.)
  • สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)
  • ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET)
  • สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA)
  • สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.)
  • หน่วยงานกำกับดูแลสินเชื่อ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

เตือนภัย มือถือติดแอปเงินกู้เถื่อน ‘จิราพร’ สั่งเร่งแก้ไข

รัฐมนตรีสำนักนายกฯ ถกด่วน! แนวทางป้องกันแอปเงินกู้เถื่อน ย้ำหน่วยงานต้องช่วยเหลือผู้บริโภคเต็มที่

กรุงเทพฯ, 26 กุมภาพันธ์ 2568 (Reuters) – นางสาวจิราพร สินธุไพร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมติดตามแนวทางการกำกับดูแลกรณี โทรศัพท์เคลื่อนที่ที่มีการติดตั้งแอปพลิเคชันกู้เงินเถื่อน โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุมเพื่อหาแนวทางป้องกันและแก้ไขปัญหาดังกล่าว

หน่วยงานภาครัฐเร่งแก้ไขปัญหาหลังพบผู้บริโภคได้รับผลกระทบ

การประชุมจัดขึ้นเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2568 เวลา 09.30 น. ณ ห้องประชุม 302 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม ได้แก่

  • สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.)
  • สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง
  • กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
  • ธนาคารแห่งประเทศไทย
  • สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
  • สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.)
  • สำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ
  • กองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (ปคบ.)

แอปพลิเคชันเงินกู้ผิดกฎหมายกระทบผู้บริโภคหลายราย

นางสาวจิราพร สินธุไพร เปิดเผยหลังการประชุมว่า มีประชาชนจำนวนมากได้รับความเดือดร้อนจากแอปพลิเคชันเงินกู้เถื่อน เช่น สินเชื่อความสุข” และ “Fineasy” ซึ่งมีการคิดดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด อีกทั้งยังพบว่ามีการ ติดตั้งแอปพลิเคชันเหล่านี้โดยไม่ได้รับอนุญาตบนโทรศัพท์มือถือของผู้ใช้บริการ

การประชุมวันนี้มุ่งเน้นการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นและป้องกันไม่ให้เกิดซ้ำอีก โดย สคบ. ได้รับมอบหมายให้เร่งดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ และธนาคารแห่งประเทศไทยจะรับผิดชอบดูแลด้านการปล่อยสินเชื่อผิดกฎหมาย” รัฐมนตรีกล่าว

มาตรการช่วยเหลือผู้บริโภคและแนวทางป้องกันในอนาคต

รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีระบุว่า สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ กำลังดำเนินการแก้ไขกฎหมายเพื่ออุดช่องโหว่ที่ปัจจุบันยังไม่มีหน่วยงานใดกำกับดูแลโดยตรง พร้อมกำหนดมาตรการเพิ่มเติมดังนี้

  1. การตรวจสอบและบล็อกแอปพลิเคชันเงินกู้เถื่อน – กระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมมือกับ กสทช. และผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือเพื่อตรวจสอบและลบแอปพลิเคชันที่ผิดกฎหมาย
  2. การดำเนินคดีต่อผู้ประกอบการที่ละเมิดกฎหมาย – ปคบ. และ สคบ. จะดำเนินคดีต่อผู้ให้บริการแอปพลิเคชันเงินกู้เถื่อนและผู้เกี่ยวข้อง
  3. การให้ความรู้แก่ประชาชน – หน่วยงานภาครัฐจะเพิ่มมาตรการประชาสัมพันธ์เพื่อให้ประชาชนรู้เท่าทันภัยจากแอปพลิเคชันเงินกู้เถื่อน

ช่องทางร้องเรียนสำหรับผู้ที่ได้รับความเสียหาย

ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากแอปพลิเคชันเงินกู้เถื่อนสามารถร้องเรียนผ่านช่องทางต่อไปนี้:

  1. ระบบออนไลน์
    • เว็บไซต์ https://complaint.ocpb.go.th
    • แอปพลิเคชัน OCPB Connect
    • Chat Bot พี่ปกป้อง”
  2. สายด่วน สคบ. โทร 1166
  3. เดินทางไปแจ้งเรื่องร้องเรียนด้วยตนเองที่
    • ศูนย์รับเรื่องร้องทุกข์ผู้บริโภค (ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษาฯ อาคารบี ชั้น 1 กรุงเทพฯ)
    • ศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดทุกจังหวัด
    • เทศบาลและองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.)

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  • จำนวนผู้ร้องเรียนกรณีแอปเงินกู้เถื่อนในปี 2567: 7,846 ราย (ที่มา: สคบ.)
  • แอปเงินกู้เถื่อนที่ถูกตรวจสอบและปิดไปในปี 2567: 58 แอปพลิเคชัน (ที่มา: กสทช.)
  • อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยของแอปเงินกู้เถื่อนที่พบ: 120 – 300% ต่อปี (ที่มา: ธนาคารแห่งประเทศไทย)
  • ยอดความเสียหายจากแอปเงินกู้เถื่อนในปี 2567: ประมาณ 650 ล้านบาท (ที่มา: สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง)
  • จำนวนผู้บริโภคที่ได้รับผลกระทบทางข้อมูลส่วนบุคคลจากแอปเงินกู้เถื่อน: มากกว่า 20,000 ราย (ที่มา: สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล)

หน่วยงานเร่งดำเนินการปกป้องผู้บริโภค

การประชุมครั้งนี้เป็น อีกก้าวสำคัญในการเร่งหามาตรการป้องกันและช่วยเหลือผู้บริโภคที่ได้รับผลกระทบจากแอปเงินกู้เถื่อน โดยรัฐบาลเน้นย้ำว่า จะดำเนินการอย่างจริงจังเพื่อปกป้องสิทธิของประชาชน และลดความเสี่ยงจากการถูกหลอกลวงทางการเงินในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
ECONOMY

บ้าน-รถยนต์โคม่า เอกชนชงรัฐ ลดหย่อนภาษีกระตุ้นกำลังซื้อ

วิกฤตกำลังซื้อบ้าน-รถยนต์ปี 2568: ความท้าทายและแนวทางกระตุ้นตลาด

กรุงเทพฯ, 15 กุมภาพันธ์ 2568 – สำนักข่าว ประชาชาติธุรกิจ รายงานว่าตลาดรถยนต์และอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยกำลังเผชิญกับวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่ จากปัญหากำลังซื้อที่ลดลงอย่างรุนแรง สาเหตุหลักมาจากสถาบันการเงินที่เข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ รวมถึงภาระหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง ส่งผลให้ตลาดหดตัวอย่างหนัก ทั้งในภาคอสังหาริมทรัพย์และอุตสาหกรรมยานยนต์ ซึ่งภาคธุรกิจและภาครัฐต่างเร่งมือหาแนวทางกระตุ้นเศรษฐกิจให้ฟื้นตัว

ภาวะตลาดอสังหาริมทรัพย์และยานยนต์ในปี 2567 – 2568

  1. ตลาดรถยนต์ซบเซาหนักสุดในรอบ 15 ปี
  • ยอดขายรถยนต์ในปี 2567 ลดลงเหลือเพียง 570,000 คัน หดตัวเกือบ 30% เมื่อเทียบกับปีก่อน
  • ตลาดรถกระบะได้รับผลกระทบหนัก เนื่องจากประชาชนขาดสภาพคล่องและไม่สามารถขอสินเชื่อได้
  • ลีสซิ่งและสินเชื่อรถยนต์ได้รับผลกระทบจากอัตราปฏิเสธสินเชื่อที่สูงขึ้น
  1. ภาวะตลาดบ้านและคอนโดฯ ลดลงกว่า 40%
  • ความเข้มงวดของสถาบันการเงินทำให้ประชาชนขอสินเชื่อบ้านได้ยากขึ้น
  • โครงการอสังหาฯ ใหม่ลดลง โดยเฉพาะโครงการขนาดกลางและเล็กที่แทบไม่มีที่ยืน
  • นโยบาย Loan to Value (LTV) ส่งผลกระทบต่อกลุ่มบ้านราคาแพง ทำให้ยอดขายลดลง

มาตรการภาครัฐและสถาบันการเงิน

  1. บสย. เสนอค้ำประกันสินเชื่อรถกระบะ
  • บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เตรียมเข้ามาช่วยค้ำประกันสินเชื่อรถยนต์ เพื่อเพิ่มโอกาสให้ประชาชนสามารถซื้อรถได้ง่ายขึ้น
  • เน้นช่วยเหลือกลุ่มที่ใช้รถเพื่อประกอบอาชีพ เช่น เกษตรกร และผู้ขับขี่รับจ้าง
  1. การถกมาตรการปลดล็อก LTV กับ ธปท.
  • 3 สมาคมอสังหาฯ และ 3 แบงก์ใหญ่เข้าหารือกับ ธปท. เพื่อขอผ่อนปรนมาตรการ LTV
  • ข้อเสนอหลักคือการลดภาระเงินดาวน์สำหรับบ้านหลังที่ 2 และ 3
  • มาตรการนี้จะช่วยให้กลุ่มผู้มีรายได้ปานกลางถึงสูงสามารถซื้อบ้านได้ง่ายขึ้น
  1. ข้อเสนอ “ลดหย่อนภาษีค่างวดรถยนต์”
  • บริษัทลีสซิ่งเสนอให้ผู้ซื้อรถยนต์สามารถนำค่างวดมาลดหย่อนภาษีได้
  • แนวคิดนี้คล้ายกับมาตรการภาษีสำหรับผู้ซื้อบ้าน ซึ่งช่วยให้ผู้ที่ต้องการซื้อรถมีกำลังซื้อเพิ่มขึ้น
  • ข้อเสนอนี้ยังอยู่ในระหว่างการพิจารณาของกระทรวงการคลัง

ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับภาคประชาชนและธุรกิจ

  1. กลุ่มประชาชนทั่วไป
  • ผู้ที่ต้องการซื้อบ้านและรถยนต์ได้รับผลกระทบจากการเข้มงวดสินเชื่อ
  • หนี้ครัวเรือนที่สูงทำให้ความสามารถในการชำระหนี้ลดลง
  • ปัญหาการขอสินเชื่อไม่ผ่านส่งผลให้ประชาชนต้องเช่าที่อยู่อาศัยหรือใช้รถเก่าแทนการซื้อใหม่
  1. ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์และค่ายรถยนต์
  • ผู้พัฒนาโครงการขนาดเล็กและกลางได้รับผลกระทบหนักจากยอดขายที่ตกต่ำ
  • โรงงานผลิตรถยนต์และดีลเลอร์ต้องปรับกลยุทธ์เพื่อรับมือกับความต้องการที่ลดลง

ข้อเสนอ 6 มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาคอสังหาฯ

  1. ผ่อนปรน LTV ทุกระดับราคา
  2. ขยายมาตรการลดค่าโอนและจดจำนองถึงสิ้นปี 2568
  3. ลดหย่อนภาษีเงินได้สำหรับผู้ซื้อบ้านทุกระดับราคา
  4. ให้ผู้ซื้อสามารถนำราคาบ้านมาหักลดหย่อนภาษีได้
  5. ลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง 50% ในปี 2568
  6. ยกเว้นภาษีธุรกิจเฉพาะ 3.3% เพื่อช่วยลดต้นทุนของผู้พัฒนาโครงการ

สรุป

ตลาดอสังหาริมทรัพย์และยานยนต์ของไทยกำลังเผชิญวิกฤตจากปัญหากำลังซื้อที่ลดลง แม้ภาคธุรกิจและภาครัฐจะพยายามหาทางออกด้วยมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ปัจจัยสำคัญยังอยู่ที่ความสามารถของประชาชนในการเข้าถึงสินเชื่อ หากมาตรการที่เสนอสามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ ก็อาจช่วยให้ตลาดฟื้นตัวได้ในช่วงครึ่งหลังของปี 2568

FAQ: คำถามที่พบบ่อย

  1. ทำไมตลาดรถยนต์และบ้านถึงหดตัวหนักในปี 2567 – 2568?

เศรษฐกิจที่ชะลอตัว หนี้ครัวเรือนที่สูง และการเข้มงวดของสถาบันการเงินทำให้ประชาชนไม่สามารถขอสินเชื่อได้ง่าย

  1. มาตรการของภาครัฐในการช่วยเหลือผู้ซื้อบ้านมีอะไรบ้าง?

มีมาตรการลดค่าโอน-จดจำนอง, การผ่อนปรน LTV และข้อเสนอการลดหย่อนภาษีสำหรับผู้ซื้อบ้าน

  1. ทำไมภาคธุรกิจต้องการให้ลดหย่อนภาษีค่างวดรถยนต์?

เพื่อช่วยให้ประชาชนสามารถซื้อรถได้ง่ายขึ้น ลดภาระการผ่อนชำระ และกระตุ้นยอดขายในอุตสาหกรรมรถยนต์

  1. LTV คืออะไร และมีผลกระทบต่อประชาชนอย่างไร?

LTV (Loan to Value) เป็นมาตรการที่กำหนดเงินดาวน์สำหรับการขอสินเชื่อบ้าน การเข้มงวดของมาตรการนี้ทำให้ผู้ซื้อบ้านต้องวางเงินดาวน์สูงขึ้น

  1. มีโอกาสที่ตลาดจะฟื้นตัวในปี 2568 หรือไม่?

หากมาตรการกระตุ้นกำลังซื้อถูกนำมาใช้และเศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้น อาจช่วยให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์และยานยนต์ฟื้นตัวได้ในช่วงครึ่งปีหลัง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ประชาชาติธุรกิจ

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
ECONOMY

เศรษฐกิจไทยชะลอตัวจากการลดลงในภาคการส่งออกและอุตสาหกรรม

ภาวะเศรษฐกิจไทยในเดือนธันวาคม 2567 และการคาดการณ์เศรษฐกิจในปี 2568

เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2568 นางสาวชญาวดี ชัยอนันต์ ผู้ช่วยผู้ว่าการสายองค์กรสัมพันธ์และโฆษกของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยถึงภาวะเศรษฐกิจและการเงินในเดือนธันวาคม 2567 และไตรมาสที่ 4 ปี 2567 โดยระบุว่า เศรษฐกิจไทยในเดือนธันวาคม 2567 ชะลอตัวลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า ซึ่งเกิดจากการส่งออกสินค้าที่ลดลงและการผลิตภาคอุตสาหกรรมที่ลดลงตามลำดับ ทำให้กิจกรรมในภาคบริการที่เกี่ยวข้อง เช่น การขนส่งสินค้า และภาคการลงทุนของภาคเอกชนทรงตัว

การท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น

แม้ว่าการส่งออกสินค้าจะลดลง แต่การท่องเที่ยวในประเทศไทยยังคงเป็นภาคส่วนที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยจำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศในเดือนธันวาคมเพิ่มขึ้นจาก 3.2 ล้านคนในเดือนพฤศจิกายน มาเป็น 3.6 ล้านคนในเดือนธันวาคม ซึ่งมีสัดส่วนนักท่องเที่ยวจากระยะไกล เช่น รัสเซียและออสเตรเลียเพิ่มขึ้น ขณะที่นักท่องเที่ยวจากระยะใกล้ เช่น จีนและมาเลเซียลดลง สะท้อนถึงการฟื้นตัวในตลาดท่องเที่ยวระยะไกล ในปี 2567 จำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางมายังประเทศไทยโดยรวมอยู่ที่ 35.5 ล้านคน ซึ่งช่วยกระตุ้นรายรับในภาคการท่องเที่ยว

การส่งออกสินค้าลดลง

ในส่วนของการส่งออกสินค้า พบว่ามีการลดลงจาก 9.1% ในเดือนก่อนหน้า มาอยู่ที่ 8.4% โดยลดลงในหลายหมวดสินค้า เช่น หมวดรถยนต์ หมวดปิโตรเลียม และหมวดสินค้าเกษตร โดยเฉพาะการส่งออกไปยังอาเซียนและบังคลาเทศ ในขณะที่การผลิตภาคอุตสาหกรรมยังคงลดลงตามการผลิตสินค้าหมวดอื่น ๆ เช่น เครื่องจักรและเหล็ก รวมถึงปิโตรเลียม ซึ่งสอดคล้องกับอุปสงค์ในและต่างประเทศที่ลดลง

อัตราเงินเฟ้อและเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 4

สำหรับอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนธันวาคม 2567 เพิ่มขึ้นจาก 0.95% เป็น 1.23% จากผลกระทบของราคาพลังงานที่เพิ่มขึ้นตามฐานต่ำในปีที่ผ่านมา ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานคงที่ที่ 0.79% จากผลของราคาสินค้าอาหารสำเร็จรูปและเครื่องประกอบอาหารที่ปรับเพิ่มขึ้นในเดือนธันวาคม

การเติบโตของเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 4

โดยรวมแล้วเศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 4 ปี 2567 ปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า เนื่องจากแรงขับเคลื่อนจากภาคบริการและรายรับภาคการท่องเที่ยว รวมถึงการขยายตัวของรายจ่ายลงทุนภาครัฐ ขณะที่การส่งออกสินค้าไม่รวมทองคำยังคงทรงตัวจากไตรมาสก่อน โดยการส่งออกสินค้าในกลุ่มเทคโนโลยียังคงแข็งแกร่ง ส่วนการบริโภคภาคเอกชนทรงตัวจากไตรมาสก่อน ซึ่งได้รับผลดีจากมาตรการเงินโอนจากภาครัฐ

เศรษฐกิจไทยในอนาคตและแนวโน้มในระยะยาว

ธปท. คาดว่าเศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 4 ปี 2567 จะเติบโตใกล้เคียงกับ 4% แม้ว่าจะมีการชะลอตัวในภาคการผลิต แต่ยังมีการเติบโตในภาคบริการและการท่องเที่ยวที่ช่วยชดเชยการลดลงในภาคอื่น ๆ สำหรับแนวโน้มในอนาคต ธปท. กล่าวว่าต้องติดตามผลกระทบจากความไม่แน่นอนในนโยบายเศรษฐกิจของประเทศเศรษฐกิจหลัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากการเข้ารับตำแหน่งของประธานาธิบดีสหรัฐ โดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการค้าและการลงทุนในระดับโลก

การคัดเลือกประธานบอร์ดแบงก์ชาติ

ในส่วนของการคัดเลือกประธานกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย หรือประธานบอร์ดแบงก์ชาติ โฆษกของธปท. กล่าวว่า ขณะนี้คณะกรรมการคัดเลือกได้ดำเนินการไปแล้ว และในวันที่ 5 กุมภาพันธ์นี้ กระทรวงการคลังจะเสนอรายชื่อหนึ่งคน และธปท. จะเสนอรายชื่อสองคนเพื่อให้คณะกรรมการสรรหาตรวจสอบคุณสมบัติ โดยคาดว่าจะได้รายชื่อผู้ที่ดำรงตำแหน่งประธานบอร์ดแบงก์ชาติใหม่ภายในเดือนมิถุนายน หรือไม่เกินกันยายน

สรุป

ภาวะเศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 4 ปี 2567 ยังคงมีการเติบโตจากแรงขับเคลื่อนของภาคบริการและการท่องเที่ยว แม้ว่าการส่งออกสินค้าจะลดลงก็ตาม โดยยังต้องเผชิญกับปัจจัยเสี่ยงจากการชะลอตัวในภาคการผลิตและปัญหาภาวะเศรษฐกิจโลกที่ไม่แน่นอน ส่วนการคัดเลือกประธานบอร์ดธนาคารแห่งประเทศไทยก็จะเป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์สำคัญที่ต้องติดตามในอนาคต.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
FEATURED NEWS

ธปท. ยกระดับมาตรการป้องกันบัญชีม้าและภัยทุจริตทางการเงิน

ธปท. ยกระดับมาตรการจัดการบัญชีม้าและร่วมรับผิดชอบปัญหาภัยทุจริตทางการเงิน

เมื่อวันที่ 30 มกราคม 2568 นางรุ่ง มัลลิกะมาส รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ธปท. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการแก้ไขปัญหาภัยทุจริตทางการเงินอย่างต่อเนื่อง โดยการยกระดับมาตรการในการจัดการบัญชีม้าและการผลักดันแนวทางการร่วมรับผิดชอบจากทุกภาคส่วน เพื่อป้องกันและลดความเสียหายจากภัยทุจริตที่เกิดขึ้น

การยกระดับมาตรการการจัดการบัญชีม้า

หนึ่งในมาตรการสำคัญที่ ธปท. ได้ดำเนินการคือการยกระดับการจัดการบัญชีม้าจากระดับบัญชีไปยังระดับบุคคล ซึ่งจะช่วยให้การปิดบัญชีม้าที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตมีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้ ธปท. ยังได้ปรับปรุงเงื่อนไขในการตรวจจับบัญชีม้าให้เข้มข้นขึ้น โดยพิจารณาพฤติกรรมการโอนของบัญชีม้าและมูลค่าของธุรกรรม เพื่อครอบคลุมการกระทำผิดที่มีลักษณะใหม่ๆ ที่มิจฉาชีพใช้ในการหลอกลวง

นางสาวดารณี แซ่จู ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับระบบการชำระเงินและคุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน กล่าวว่า ธปท. ได้ปรับมาตรการเพื่อให้สามารถจัดการบัญชีม้าที่ยังไม่ได้รับการแจ้งจากผู้เสียหาย ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปิดบัญชีม้าและลดความเสี่ยงของการเกิดภัยทุจริต

การจัดการบัญชีม้าระดับบุคคล

อีกหนึ่งการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญคือ การจัดการบัญชีม้าที่มีความเสี่ยงสูงโดยการขยายเงื่อนไขในการระงับการโอนเงินจากบัญชีม้าที่ต้องสงสัย และการปฏิเสธการเปิดบัญชีใหม่ ซึ่งจะช่วยลดโอกาสในการใช้บัญชีม้าสำหรับการหลอกลวงทางการเงิน

ธนาคารจะต้องดำเนินการขยายการระงับการโอนเงินและปฏิเสธการเปิดบัญชีใหม่ไปยังกรณีของบัญชีที่มีความเสี่ยงสูง โดยไม่จำเป็นต้องรอการแจ้งจากผู้เสียหาย ทั้งนี้ ยังต้องแจ้งเตือนผู้ใช้บริการเกี่ยวกับความเสี่ยงในการโอนเงินไปยังบัญชีที่อาจเป็นบัญชีม้า เพื่อป้องกันการสูญเสียที่อาจเกิดขึ้น

การขยายขอบเขตการจัดการบัญชีม้า

ธปท. ได้ขยายการจัดการบัญชีม้าในวงกว้างมากขึ้น โดยกำหนดให้ธนาคารต้องแลกเปลี่ยนรายชื่อบุคคลที่มีพฤติกรรมต้องสงสัยระหว่างกัน แม้ว่าจะยังไม่ได้รับแจ้งจากผู้เสียหาย เพื่อให้ธนาคารสามารถดำเนินการป้องกันการทุจริตได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ

การแลกเปลี่ยนข้อมูลนี้จะครอบคลุมไปถึงรายชื่อบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดทางการเงิน ซึ่งจะทำให้ธนาคารสามารถใช้ข้อมูลเหล่านี้ในการตรวจสอบและดำเนินการได้รวดเร็วขึ้น

การพัฒนาระบบการตรวจจับบัญชีม้า

เพื่อให้ธนาคารสามารถตรวจจับบัญชีม้าที่มีพฤติกรรมผิดปกติได้อย่างรวดเร็ว ธปท. ได้กำหนดให้ธนาคารต้องพัฒนาระบบการตรวจจับบัญชีม้าและพฤติกรรมที่ผิดปกติของลูกค้าอย่างต่อเนื่อง ระบบนี้จะช่วยให้ธนาคารสามารถดำเนินการได้อย่างเหมาะสมกับพฤติกรรมของแต่ละบุคคล โดยทันทีที่มีการตรวจพบพฤติกรรมที่ผิดปกติ

นอกจากนี้ ธปท. ยังได้เน้นให้ธนาคารร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆ เช่น สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล เพื่อปิดช่องโหว่ในเส้นทางการเงินที่มิจฉาชีพอาจใช้ในการหลอกลวง

ความร่วมมือจากทุกภาคส่วน

ธปท. มองว่า การแก้ไขปัญหาภัยทุจริตทางการเงินให้ได้อย่างยั่งยืนจะต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาคธนาคาร หน่วยงานภาครัฐ และประชาชนผู้ใช้บริการ เพื่อรับผิดชอบตามมาตรฐานที่ผู้กำกับดูแลกำหนดไว้อย่างชัดเจน

ธปท. จะประกาศกำหนดหน้าที่และความรับผิดชอบของธนาคารที่ต้องปฏิบัติตามเกณฑ์ที่กำหนด เพื่อใช้ในการพิจารณาความรับผิดชอบในกรณีที่เกิดความเสียหายจากการหลอกลวงทางการเงิน ซึ่งจะช่วยให้เกิดความยุติธรรมและความโปร่งใสในกระบวนการดำเนินการ

บทสรุป

การยกระดับมาตรการในการจัดการบัญชีม้าและความร่วมมือจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง เป็นขั้นตอนสำคัญในการป้องกันและลดภัยทุจริตทางการเงินที่มีอยู่ในปัจจุบัน ซึ่ง ธปท. เชื่อว่าการทำงานร่วมกันและการพัฒนามาตรการอย่างต่อเนื่องจะช่วยลดความเสี่ยงและป้องกันการเกิดความเสียหายในอนาคต

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ธนาคารแห่งประเทศไทย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE