Categories
NEWS UPDATE

ทอท. ผงาดเวที ICAO “ดร.สมชนก” นำคณะทำงานยกระดับมาตรฐานสนามบินเอเชีย-แปซิฟิก

ทอท.ผงาดเวทีบินสากล—“นาวาอากาศตรี ดร.สมชนก เทียมเทียบรัตน์” ขับเคลื่อนคณะทำงาน ICAO ภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ยกระดับมาตรฐานสนามบินไทยสู่ระดับโลก

เชียงราย, 21 กันยายน 2568 — ยามเช้าที่หมอกบางโอบล้อมแนวเทือกเขาเหนือสุดของสยาม เสียงเดินเครื่องของรถบริการภาคพื้นบนรันเวย์ “แม่ฟ้าหลวง–เชียงราย” ดังเป็นจังหวะ งานทุกชิ้นที่สนามบินต้อง “เป๊ะ” ในระดับเซนติเมตร ตั้งแต่ตำแหน่งหลุมจอดไปจนถึงความกว้างเส้นสีเหลืองบนพื้นคอนกรีต เพราะมาตรฐานความปลอดภัยทางการบินวันนี้ไม่ได้หยุดอยู่ที่ “ทำตามคู่มือ” แต่กำลังยกระดับสู่ “ออกแบบมาตรฐานร่วมกัน” ในเวทีนานาชาติ—และคนไทยกำลังอยู่หน้าห้องประชุมคุมทิศ

บนเวทีนั้นคือ นาวาอากาศตรี ดร.สมชนก เทียมเทียบรัตน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ สายงานมาตรฐานท่าอากาศยานและการบิน บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (ทอท.) และผู้อำนวยการท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง–เชียงราย ผู้ได้รับความไว้วางใจให้ทำหน้าที่ ประธานคณะทำงาน Asia/Pacific Aerodrome Design and Operations Task Force (AP-ADO/TF) ภายใต้องค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) ระดับภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ต่อเนื่องในช่วงการประชุมวาระล่าสุดของคณะทำงานชุดนี้ ซึ่งมีสาระสำคัญว่าด้วย “มาตรฐาน” และ “ข้อแนะนำพึงปฏิบัติ (SARPs)” สำหรับการ วางแผน-ออกแบบ-ปฏิบัติการท่าอากาศยาน ให้เท่าทันความเสี่ยงและเทคโนโลยีใหม่ ๆ ในโลกการบินที่เปลี่ยนเร็ว (เช่น ระบบไฟส่องสว่าง, เส้นเครื่องหมาย, ระยะห่างไฟขอบทางวิ่ง, มาตรฐานพื้นที่ปลอดภัยปลายรันเวย์ RESA ฯลฯ) โดยยึดกรอบแกนกลางจาก ICAO Annex 14 Volume I: Aerodrome Design and Operations ซึ่งเป็น “คัมภีร์สนามบิน” ของโลกการบินพลเรือนยุคใหม่

จากเจ้าภาพ “เวทีเทคนิค” สู่ผู้นำความคิดของภูมิภาค

บทบาทของไทยไม่ได้เกิดจาก “คำประกาศ” แต่สะสมจาก “การทำจริง” หลายปีติดต่อกัน—เชียงราย ในฐานะสนามบินภูมิภาค ได้รับความเชื่อมั่นให้เป็นเจ้าภาพประชุม AP-ADO/TF ติดต่อกัน และถูกใช้เป็น “สนามเรียนรู้จริง” ให้ผู้แทนจากนานาชาติลงพื้นที่ดูการปฏิบัติการ airside ก่อนถอดบทเรียนเชิงมาตรฐานในห้องประชุม กว่า 13 ประเทศเข้าร่วมเมื่อครั้งประชุมปี 2567 ที่มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงเป็นสถานที่หลัก โดยมี นาวาอากาศตรี ดร.สมชนก ทำหน้าที่ประธานคุมวาระอย่างต่อเนื่อง สะท้อนความไว้วางใจของภาคี ICAO ในระดับภูมิภาคที่มีต่อประเทศไทยและทอท. ในเชิงเนื้อหาและการประสานความร่วมมือข้ามประเทศ

น้ำหนักของเวทีนี้ไม่ใช่ “พิธีการ” แต่คือการไล่แก้โจทย์ยาก ๆ ที่สนามบินทั่วโลกกำลังเผชิญ เช่น ค่าความคลาดเคลื่อน (tolerance) ของขนาด-ระยะ-ตำแหน่ง เส้นเครื่องหมายบนพื้นผิว และ การติดตั้งไฟส่องสว่าง ซึ่งหากมาตรฐานใน Annex 14 กำหนดไม่ชัดหรือไม่สอดคล้องกันระหว่างหัวข้อ อาจทำให้สนามบินตีความต่างกันและเกิดความเสี่ยงได้ เอกสารทำงานล่าสุดจากการประชุม AP-ADO/TF/6 (ก.พ. 2568, ลังกาวี) นำเสนอการเปรียบเทียบมาตรฐาน Annex 14 กับแนวปฏิบัติของ FAA สหรัฐฯ และ CAA สหราชอาณาจักร เพื่อตกผลึกค่าคลาดเคลื่อนที่ยอมรับได้ในทางปฏิบัติ (เช่น ±5%) เพื่อให้เกิด “ภาษาเดียวกัน” ทั้งภูมิภาค—นี่คือชิ้นงานเชิงเทคนิคที่ไทยอยู่แถวหน้าในการขับเคลื่อนร่วมกับคณะทำงานภูมิภาค

ทำไม “เก้าอี้ประธานคณะทำงานเชิงเทคนิค” จึงสำคัญต่อไทย

  1. จากผู้รับมาตรฐาน สู่ผู้ร่วมกำหนดมาตรฐาน – การมี ประธานคณะทำงาน อยู่ในมือ ทำให้เสียงของไทย “ได้ยิน” ตั้งแต่ยกร่างจนถึงเสนอแก้ไขข้อความใน Annex 14 เมื่อเจอปัญหาจริงในสนามบินไทย เราสามารถยกกรณีศึกษาเข้าสู่วาระภูมิภาคได้โดยตรง ส่งผ่าน “บทเรียนจากภาคปฏิบัติ” สู่ถ้อยคำมาตรฐานสากลที่ทุกประเทศต้องอ้างอิง
  2. ลดต้นทุนความไม่แน่นอน – มาตรฐานที่ชัดเท่ากันทั้งภูมิภาค ช่วยให้การออกแบบ-ก่อสร้าง-บำรุงรักษาโครงสร้างสนามบินเป็นไปในแนวเดียวกัน ลดความเสี่ยงในการตีความต่าง ช่วย “ลดต้นทุนรวม” ของระบบการบินและการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในระยะยาว (ทั้งฝั่งสนามบินและสายการบิน) เพราะทุกฝ่ายวางแผนบนฐานกติกาเดียวกัน
  3. เสริมสถานะฮับการบินของประเทศ – ไทยกำลังลงทุนขยายโครงสร้างพื้นฐานสนามบินหลักและภูมิภาค วาระนี้ต้องอาศัย “ความน่าเชื่อถือด้านมาตรฐานความปลอดภัย” เป็นใบอนุญาตทางสังคม (social licence) และเป็นคำตอบแก่นักลงทุน-สายการบิน การที่ผู้บริหารทอท. ขึ้นนำเวทีเทคนิคของ ICAO/เอเชีย-แปซิฟิก จึงช่วยยืนยันว่า “ไทยไม่ได้แค่ตามมาตรฐาน แต่ช่วยกันเขียนมาตรฐาน”

“งานช่างละเอียด” ที่เปลี่ยนอนาคตสนามบิน

หากเปิดเอกสารทำงาน AP-ADO/TF/6 จะเห็นว่าการประชุมไม่ได้คุย “กว้าง ๆ” แต่ไล่ถึงระดับมิลลิเมตรของเส้นสีบนรันเวย์ และ “ระยะดวงไฟ” ที่ต้องคงที่เพื่อช่วยนักบินในสภาวะทัศนวิสัยต่ำ ประเด็นที่หยิบมาถก ได้แก่

  • ค่าความคลาดเคลื่อนของเครื่องหมายพื้นผิว (runway/taxiway markings): ข้อเสนอให้กำหนด tolerance ที่ชัดเจน (เช่น ความกว้างเส้นกึ่งกลางทางขับ 0.15 เมตร อนุโลมคลาดเคลื่อนเล็กน้อย) เพื่อความสม่ำเสมอระหว่างสนามบิน ลดความเสี่ยงจากการตีความ Annex 14 ต่างกันในแต่ละรัฐ
  • ไฟส่องสว่างภาคพื้น (airfield ground lighting): เสนอการทบทวนระยะห่างไฟขอบทางวิ่ง-ทางขับที่ยอมรับได้ เพื่อให้แน่ใจว่าระบบไฟ “พาเครื่องบิน” ได้อย่างเที่ยงตรงแม้หมอกหนา ฝนหนัก หรือเที่ยวบินกลางคืน—หัวใจของความปลอดภัยและความต่อเนื่องทางปฏิบัติการ
  • ความสอดคล้องของถ้อยคำใน Annex 14: ชี้ “จุดไม่สอดคล้อง” บางข้อที่อาจสร้างความสับสน เช่น การตีเส้นกึ่งกลางทางขับ-เครื่องหมายจุดสิ้นสุดรันเวย์-ระบบไฟนำร่อน และเสนอให้ ICAO ปรับปรุงถ้อยคำให้เป็นเอกภาพมากขึ้น เพื่อให้ทุกสนามบินทำงานบนฐานกติกาเดียวกัน (one interpretation)

สิ่งเหล่านี้ดูเหมือนรายละเอียดเชิง “ช่าง” แต่ผลลัพธ์คือ ความปลอดภัยเชิงระบบ ที่สัมผัสได้: ลดความคลาดเคลื่อนในการมองเห็น-การนำร่อน เพิ่มความมั่นใจของสายการบิน และเปิดพื้นที่ให้สนามบินภูมิภาค—อย่างเชียงราย—ก้าวสู่บทบาทเครื่องยนต์เศรษฐกิจของเมืองและกลุ่มจังหวัดเหนือบนได้อย่างมีมาตรฐานรองรับ

น้ำหนักทางยุทธศาสตร์ ไทยในบทบาท “พี่เลี้ยง” ของภูมิภาค

การขับเคลื่อนของ AP-ADO/TF ยังสอดรับกับเจตนารมณ์ ICAO “No Country Left Behind” ที่ต้องการยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยให้ทั่วถึงทั้งภูมิภาค ผ่านการถ่ายทอดองค์ความรู้-ฝึกอบรม-พัฒนาเอกสารคำแนะนำ—บทบาท “ประธานคณะทำงาน” จึงไม่ใช่แค่คุมประชุม แต่คือการสร้างเครือข่ายความช่วยเหลือทางเทคนิคกับรัฐสมาชิก เพื่อให้ทุกสนามบินเดินไปข้างหน้าด้วยกัน ลด “ช่องว่างมาตรฐาน” ที่อาจกลายเป็นความเสี่ยงข้ามพรมแดนในระบบการบินที่เชื่อมต่อกันทั้งภูมิภาค

“เชียงราย” ห้องทดลองมาตรฐานจริง

ความต่อเนื่องที่เชียงรายได้เป็นเจ้าภาพและเวทีเรียนรู้เชิงปฏิบัติ ช่วยให้ผู้แทนจากต่างประเทศ “เห็นของจริง” ตั้งแต่ขั้นตอนปฏิบัติ airside ไปจนถึงการจัดการผู้โดยสาร-สัมภาระ-ระบบความปลอดภัย—ก่อนกลับเข้าห้องประชุมเพื่อกลั่นมาตรการที่ทำได้จริง ไม่ใช่เพียงถ้อยคำสวยงามในเอกสาร การที่ ผู้อำนวยการสนามบิน คนเดียวกันรับบท “ประธานคณะทำงาน” ต่อเนื่องหลายวาระ ช่วยเชื่อมโลกของ “มาตรฐานบนกระดาษ” เข้ากับ “โลกจริงบนรันเวย์” อย่างไร้รอยต่อ นี่คือเหตุผลที่เครือข่าย ICAO ในภูมิภาคมองไทยเป็นแหล่ง “องค์ความรู้จากภาคปฏิบัติ” ที่แบ่งปันได้

สิ่งที่ไทยควรทำ “ต่อจากนี้”

  1. ตั้งระบบถ่ายทอดองค์ความรู้เข้าข้างใน – ทุกบทเรียนและข้อเสนอเชิงเทคนิคจาก AP-ADO/TF ควรถูก “ดึงเข้าองค์กร” อย่างเป็นระบบ สู่คู่มือ-มาตรฐานปฏิบัติของทอท. ครอบคลุมสนามบินทั้ง 6 แห่ง เพื่อลด “ช่องว่างความรู้” ระหว่างสนามบินใหญ่กับสนามบินภูมิภาค
  2. เป็นผู้เสนอนวัตกรรมมาตรฐานใหม่ – สนับสนุนทีมผู้เชี่ยวชาญไทยจัดทำ เอกสารทำงาน (Working Paper) ยกประเด็นใหม่ ๆ เข้าสู่เวทีภูมิภาค เช่น แสงสะท้อนจากแผงโซลาร์เซลล์ใกล้เขตการบิน, ผลกระทบของโดรนต่อการออกแบบเขตปลอดสิ่งกีดขวาง, หรือการใช้ข้อมูลสภาพผิวรันเวย์แบบเรียลไทม์กับการจัดการความเสี่ยง—จากนั้นผลักต่อสู่การปรับภาษา Annex 14 ในขั้นถัดไป
  3. รักษาความต่อเนื่องการเป็นเจ้าภาพ – การเสนอตัวจัดประชุม/เวิร์กช็อป ICAO/APAC อย่างต่อเนื่อง จะตอกย้ำบทบาทไทยในฐานะ “ศูนย์กลางความเชี่ยวชาญสนามบิน” ของภูมิภาค และเปิดโอกาสให้บุคลากรไทยได้ฝึกมือกับโจทย์ระดับเอเชีย-แปซิฟิกอย่างสม่ำเสมอ

มาตรฐานที่ดี = ความปลอดภัยที่จับต้องได้ = ความเชื่อมั่นที่แปรเป็นโอกาสเศรษฐกิจ

มาตรฐาน Annex 14 ไม่ใช่ศัพท์เทคนิคที่ไกลตัวผู้โดยสาร—มันคือ “ความปลอดภัยที่จับต้องได้” ตั้งแต่เส้นสีที่เห็นยันขอบรันเวย์ไปจนถึงไฟทางขับที่พาเครื่องไปถึงหลุมจอดอย่างแม่นยำ ยิ่งมาตรฐานชัด-ตีความตรงกันทั้งภูมิภาค ยิ่งลด “จุดเสี่ยง” ที่อาจนำไปสู่อุบัติการณ์ ยิ่งสร้างความเชื่อมั่นแก่สายการบินในการเปิด/เพิ่มความถี่เส้นทาง ทั้งหมดนี้แปลตรงไปสู่ ต้นทุนประสิทธิภาพ ที่ดีขึ้นของสนามบิน และ โอกาสทางเศรษฐกิจ ของเมืองและประเทศ—โดยเฉพาะสนามบินภูมิภาคอย่างเชียงรายที่กำลังถูกวางบทบาทเป็น “ประตูเศรษฐกิจภาคเหนือบน”

ในแง่นี้ เก้าอี้ประธานคณะทำงานของ นาวาอากาศตรี ดร.สมชนก จึงมีนัยมากกว่าตำแหน่งส่วนบุคคล แต่คือ หลักหมุด ที่ตอกย้ำว่า “ไทยพร้อมและสามารถ” เป็นผู้นำความคิดในเวทีมาตรฐานสากล ขณะเดียวกันก็รับฟัง-ดึงองค์ความรู้กลับมาขับเคลื่อนการยกระดับสนามบินในประเทศอย่างเป็นระบบ

เมื่อสนามบินไทย “ออกแบบอนาคต” ร่วมกับโลก

โลกการบินหลังโควิดฯ กำลังโตกลับอย่างรวดเร็วและเปลี่ยนกติกา เช่น เทคโนโลยีการนำร่อน, ระบบไฟส่องสว่างอัจฉริยะ, เครื่องบินประหยัดพลังงานรุ่นใหม่, โดรน, และข้อมูลสภาพรันเวย์แบบเรียลไทม์ มาตรฐาน Annex 14 จึงต้องถูก “รีเฟรช” ต่อเนื่องให้ทันเทคโนโลยีและความเสี่ยงใหม่ ๆ เวที AP-ADO/TF ทำหน้าที่เป็น ห้องทดลองนโยบายเทคนิค ระดับภูมิภาค ก่อนป้อนข้อเสนอไปสู่การแก้ไขภาคผนวก (amendment) ในระดับสภา ICAO สิ่งที่ไทยได้—นอกจากชื่อชั้น—คือ โอกาสเรียนรู้ก่อน ปรับใช้ได้เร็วกว่า และ “ออกแบบสนามบิน” บนข้อมูลจริงที่ช่วยให้การลงทุนคุ้มค่า-ปลอดภัย-เป็นสากล

“บทบาทของเราบนเวทีสากลไม่ได้จบที่การประชุม แต่จะเริ่มต้นใหม่ทุกครั้งที่เรานำมาตรฐานกลับมาปรับใช้ในสนามบินไทย—จากเส้นสีบนพื้นรันเวย์ ไปจนถึงไฟดวงสุดท้ายปลายทางขับ ทุกจุดมีเหตุผลทางความปลอดภัยรองรับเสมอ”
— มุมมองจากผู้เชี่ยวชาญท่าอากาศยาน (สรุปสาระจากเอกสารและถ้อยคำในวงประชุม AP-ADO/TF/6)

เมื่อเรื่องมาตรฐานไม่ใช่ภารกิจของ “กฎระเบียบ” อย่างเดียว แต่คือ “สัญญาประชาคม” ว่าผู้โดยสารทุกคนจะขึ้น-ลงได้อย่างปลอดภัยในทุกเที่ยวบิน การที่ไทยมี “มือ” อยู่บนพวงมาลัยเวทีนี้ จึงเท่ากับได้อยู่ “หัวขบวน” ของการออกแบบอนาคตสนามบินเอเชีย-แปซิฟิก และนั่นหมายถึงการแปลงมาตรฐานให้เป็นความพร้อมของเมืองและโอกาสใหม่ของเศรษฐกิจฐานรากในที่สุด

สรุปสาระสำคัญ

  • นาวาอากาศตรี ดร.สมชนก เทียมเทียบรัตน์ จากทอท. ทำหน้าที่ ประธานคณะทำงาน AP-ADO/TF ของ ICAO/เอเชีย-แปซิฟิก ต่อเนื่องในช่วงการประชุมล่าสุด (การประชุมครั้งที่ 5-6) ตอกย้ำความไว้วางใจต่อไทยในเวทีมาตรฐานสากลด้านท่าอากาศยาน
  • เวที AP-ADO/TF/6 (ก.พ. 2568, ลังกาวี) เดินหน้า “ปิดจุดเสี่ยงจากความไม่สอดคล้องเชิงมาตรฐาน” โดยเฉพาะค่าความคลาดเคลื่อนของเส้นเครื่องหมายและระบบไฟส่องสว่างภาคพื้น เพื่อให้ทุกสนามบินทำงานบนกติกาเดียวกันทั้งภูมิภาค
  • ฐานความรู้หลักยึด ICAO Annex 14 Volume I ที่เพิ่งมีการพัฒนาต่อเนื่องในระดับสภา ICAO เพื่อให้เท่าทันเทคโนโลยีและความเสี่ยงยุคใหม่—มาตรฐานที่ดี = ความปลอดภัยที่จับต้องได้ = ความเชื่อมั่นที่แปรเป็นโอกาสเศรษฐกิจของประเทศ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • ICAO Asia/Pacific – AP-ADO/TF/6 Working Paper
  • ICAO Asia/Pacific – AOP SG/9, WP/08
  • International Civil Aviation Organization (ICAO)
  • มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง (MFU)
  • ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง–เชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

องค์กรไทยเผชิญความเสี่ยง! Jobsdb เตือนเมิน Gen Z พลาดรถด่วนเศรษฐกิจดิจิทัล

Jobsdb by SEEK เตือนองค์กรไทย “อย่าเมิน Gen Z” – เสี่ยงขาดนวัตกรรมและมุมมองใหม่ พลาดรถด่วนตลาดแรงงานยุคดิจิทัล

ประเทศไทย, 13 กันยายน 2568 – ในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจดิจิทัลเร่งสปีดและการแข่งขันระหว่างประเทศดุเดือดที่สุดรอบทศวรรษ สัญญาณเตือนสำคัญดังขึ้นจาก Jobsdb by SEEK แพลตฟอร์มหางานชั้นนำของไทย: องค์กรที่มองข้ามหรือกีดกันแรงงาน Gen Z กำลังยืนอยู่บน “จุดเสี่ยง” ที่จะเสียเปรียบคู่แข่งทั้งในด้าน นวัตกรรม และ มุมมองสดใหม่ ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงหลักของการเติบโตในเศรษฐกิจยุคใหม่

สัญญาณนี้อาจไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับผู้บริหารที่ติดตามแนวโน้มแรงงาน แต่ความคมชัดของข้อสรุป—และจังหวะเวลา—ทำให้สารดังกล่าวดังเป็นพิเศษในวันนี้ เพราะขณะที่หลายองค์กรยังพยายามดึงพนักงานกลับออฟฟิศแบบเต็มรูปแบบ และใช้เกณฑ์ประเมินผลแบบเดิมกับโจทย์ธุรกิจชุดใหม่ Gen Z กลับเดินเข้ามาพร้อมชุดความคาดหวังที่ต่างออกไปโดยสิ้นเชิง

ดวงพร พรหมอ่อน กรรมการผู้จัดการ Jobsdb by SEEK ประเทศไทย ย้ำในบทสัมภาษณ์ว่า “องค์กรไทยต้องเปิดใจว่า Gen Z ไม่ได้ทำงานเพื่อค่าตอบแทนอย่างเดียว พวกเขาให้ความสำคัญกับ โอกาสพัฒนาในสายอาชีพอย่างต่อเนื่อง ความยืดหยุ่นในการทำงาน คุณภาพชีวิต และค่านิยมองค์กรที่สอดคล้อง หากเราสร้างวัฒนธรรมที่ตอบโจทย์ได้ จะได้เปรียบชัดเจนในการดึงดูด–รักษาคนเก่งกลุ่มนี้”

Gen Z ไม่ได้ขอแค่ “ข้อเสนอเงินเดือน” แต่ขอ “ข้อเสนอการเติบโตของชีวิต”

ภาพใหญ่ที่ Jobsdb by SEEK ถ่ายทอดคือ Gen Z โตมากับเทคโนโลยีและการเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว พวกเขามักคาดหวังว่าองค์กรจะก้าวทันทั้งเครื่องมือและแนวโน้มใหม่ อยู่กับข้อมูล (data) ได้ คล่องกับแพลตฟอร์ม และพร้อมทดลองแนวทางที่ไม่คุ้นชินกับวิถีเดิม หากองค์กรยังเชื่อว่า “ทำอย่างที่เคยทำมา” แล้วจะได้ผลเช่นเดิม นั่นเท่ากับมองข้าม “ความพิเศษ” ของแรงงานรุ่นนี้ไปโดยไม่ตั้งใจ

สิ่งที่ Gen Z ให้ความสำคัญเป็นลำดับต้น ได้แก่

  • เส้นทางเติบโต: งานที่เปิดพื้นที่ให้เรียนรู้ทักษะใหม่ มีโค้ชหรือพี่เลี้ยงชัดเจน เห็นภาพอนาคตใน 12–24 เดือนข้างหน้า
  • ความยืดหยุ่นและคุณภาพชีวิต: โหมดทำงานแบบรีโมต/ไฮบริดตามลักษณะงาน สนับสนุนสุขภาพจิต เวลาทำงานที่เน้นผลลัพธ์มากกว่า “การนั่งเฝ้าเวลา”
  • ค่านิยมองค์กร: ความรับผิดชอบต่อสังคม–สิ่งแวดล้อม ความโปร่งใส ความเท่าเทียม และบรรยากาศทำงานที่ “ปลอดภัยทางจิตใจ” (psychological safety)
  • เทคโนโลยีทันสมัย: แพลตฟอร์มงานที่คล่องตัว เครื่องมือดิจิทัลที่ช่วยให้ทำงานฉลาดขึ้น ไม่ใช่หนักขึ้น

นี่คือ “ข้อเสนอคุณค่า” ที่แตกต่างจากยุคที่งานถูกกำหนดด้วยสถานที่และเวลามากกว่าผลลัพธ์ การพูดคุยกับ Gen Z จึงไม่ใช่แค่เรื่องแพ็กเกจค่าตอบแทน แต่คือบทสนทนาว่าพวกเขาจะ เติบโตไปกับองค์กรอย่างไร

2 มิติความเสี่ยง หากองค์กรยัง “ปิดประตู” ใส่ Gen Z

Jobsdb by SEEK ระบุชัดว่าการกีดกันหรือมองข้าม Gen Z ทำให้องค์กรเสียเปรียบอย่างน้อยสองมิติ

  1. นวัตกรรมและมุมมองใหม่หายไป – Gen Z คล่องกับสื่อดิจิทัล เข้าใจผู้ใช้รุ่นใหม่ รู้จังหวะและภาษาแพลตฟอร์ม หากไม่มีคนกลุ่มนี้ องค์กรจะช้าลงในการปรับตัวทั้งผลิตภัณฑ์ การตลาด และบริการลูกค้า
  2. วิกฤตคนเก่งในระยะยาว – เมื่อ Gen Z กำลังขึ้นมาเป็นสัดส่วนหลักในตลาดแรงงาน การไม่รองรับความคาดหวังของพวกเขาเท่ากับปฏิเสธฐาน talent ขนาดใหญ่ องค์กรจะเผชิญ ช่องว่างกำลังคน ที่เติมเท่าไรก็ไม่เต็ม

ในทางกลับกัน Jobsdb by SEEK ก็ชี้ว่า Gen Z เองต้องปรับตัว: เปิดใจเรียนรู้การทำงานร่วมกับรุ่นพี่ พัฒนาทักษะเทคโนโลยีไปพร้อมกับ soft skills เช่น การสื่อสาร การทำงานเป็นทีม และวุฒิภาวะเมื่อรับ feedback

จาก “ความต่าง” สู่ “ความร่วมมือ” แนวทางปฏิบัติสำหรับองค์กรไทย

เพื่อไม่ให้พลาดรอบใหญ่ของตลาดแรงงานยุคดิจิทัล Jobsdb by SEEK แนะนำ สามแกนปรับตัว ที่ทำได้ทันทีและเห็นผลในทางปฏิบัติ

1) สร้างวัฒนธรรมการเรียนรู้ร่วมรุ่น

  • Reverse mentoring: ให้คนรุ่นใหม่ถ่ายทอดความรู้ด้านดิจิทัล/วิธีคิดแบบแพลตฟอร์ม ขณะคนรุ่นพี่ถ่ายทอดบริบทธุรกิจ เครือข่าย และการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์
  • เส้นทางทักษะ (skills pathway): ทำแผนพัฒนารายบุคคล (IDP) ที่ผูกกับเป้าหมายงานจริง มี checkpoint ชัดเจนทุกไตรมาส
  • พื้นที่ทดลอง (sandbox): อนุญาตให้ทีม cross-function ทดลองไอเดียเล็กๆ บนงบประมาณและขอบเขตที่ควบคุมได้ เพื่อเร่งวงจร “คิด–ทำ–เรียนรู้”

2) ทำงานแบบยืดหยุ่นแต่ชัดเจนเรื่องผลลัพธ์

  • Hybrid by design: กำหนดหลักเกณฑ์กะทัดรัดว่า งานประเภทใดต้องออนไซต์/ทำรีโมตได้แค่ไหน ลดการตีความส่วนบุคคล
  • วัดผลด้วย OKR/KPI ที่สะท้อนคุณค่าจริง มากกว่าตัวชี้วัดเชิงเวลา
  • สนับสนุนสุขภาวะ: จัดบริการดูแลสุขภาพจิต/โค้ชชิ่งผู้จัดการ เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยทางจิตใจ

3) สื่อสารโปร่งใส เปิดพื้นที่เสียงของทุกเจเนอเรชัน

  • ฟอรัมภายในรายเดือน ให้ถาม–ตอบแบบตรงไปตรงมา
  • Surveys สั้นแต่ถี่ เพื่อติดตามอุณหภูมิทีม และสื่อสารผล–แนวทางแก้ไขกลับไปเสมอ
  • นโยบายต่อต้านอคติข้ามรุ่น (age bias) พร้อมตัวอย่างพฤติกรรมที่คาดหวัง

ผลลัพธ์ที่มักเกิดขึ้นจากโมเดลนี้คือองค์กรไม่ต้อง “เลือกข้างรุ่น” แต่ได้ ประโยชน์จากทุกรุ่น: ประสบการณ์เชิงลึกของ Gen X, พลังบริหารจัดการของ Gen Y และความสดใหม่คล่องดิจิทัลของ Gen Z

 “Gen Z เปลี่ยนงานบ่อย เอาแน่เอานอนไม่ได้?”

Jobsdb by SEEK ชี้ว่าปรากฏการณ์เปลี่ยนงานเร็วในบางตำแหน่ง เป็นผลจากแรงกดดันของตลาดดิจิทัล ที่จังหวะเรียนรู้และเติบโตก้าวกระโดด ความคาดหวังเรื่อง “เส้นทางเติบโต” และ “โอกาสลองของจริง” จึงสูง ถ้าองค์กรทำให้เห็นทางชัดเจน มีคำมั่นเรื่องทักษะ–บทบาท–ค่าตอบแทนตามผลงาน Gen Z พร้อมผูกพัน ไม่ต่างจากรุ่นใด การมองด้วย “เลนส์ปัจเจก” (ดูคนเป็นรายคน) แทน “เลนส์เหมารวมรุ่น” จะทำให้ได้ภาพที่ยุติธรรมกว่า

ภาพใหญ่ตลาดแรงงานไทย ทำไมต้องเร่งตอนนี้

ภูมิทัศน์แรงงานไทยกำลังเผชิญ หลายคลื่นเปลี่ยนผ่านพร้อมกัน—ดิจิทัลทรานส์ฟอร์มเมชัน, การใช้งาน AI/ระบบอัตโนมัติ, การแข่งขันดึงตัวคนเก่งระดับภูมิภาค, โครงสร้างประชากรสูงวัย และความคาดหวังเรื่อง ESG/ความยั่งยืน—เมื่อรวมกันแล้ว องค์กรต้องการ ทักษะผสม ที่ได้ทั้ง “คิดธุรกิจเป็น” และ “คล่องเทคโนโลยี” โดยธรรมชาติของทักษะผสมนี้ Gen Z มีแต้มต่อ เพราะเติบโตมากับแพลตฟอร์มและการเรียนรู้ด้วยตนเองบนโลกออนไลน์

การตัดสินใจวันนี้จึงไม่ใช่แค่ “จะจ้าง Gen Z มากน้อยแค่ไหน” แต่คือจะ ออกแบบระบบนิเวศงาน ให้ทุกเจเนอเรชันทำงานร่วมกันได้ดีแค่ไหน—เพราะ ความเร็วของนวัตกรรม จะขึ้นอยู่กับ “ความเร็วในการเรียนรู้ร่วมกัน” ของทั้งองค์กร

เปิดพื้นที่ให้รุ่นใหม่—ได้มากกว่าคน ทำได้มากกว่าภาพลักษณ์

สารจาก Jobsdb by SEEK ไม่ได้มุ่งตำหนิองค์กรที่ยังลังเลกับการเปลี่ยนแปลง แต่ชี้ชัดว่าการเมิน Gen Z มีต้นทุนแฝง ที่อาจไม่เห็นทันที: ความคิดสร้างสรรค์ถดถอย ผลิตภัณฑ์ล้าจังหวะลูกค้า การตลาดไม่เข้าแพลตฟอร์ม และรอยรั่วบุคลากรในอีก 2–3 ปีข้างหน้า ในมุมกลับ เพียงองค์กรยอม เปิดพื้นที่–เปิดใจ–เปิดระบบ ให้การทำงานร่วมรุ่นเกิดขึ้นจริง แรงงานรุ่นใหม่จะไม่ใช่ “ตัวแปรเสี่ยง” แต่เป็น ตัวเร่ง ให้ธุรกิจเดินเร็วขึ้น ฉลาดขึ้น และยั่งยืนขึ้น

“ท้ายที่สุด เป้าหมายไม่ใช่จะเอาใจรุ่นไหนเป็นพิเศษ แต่คือการสร้างวัฒนธรรมที่คนทุกเจเนอเรชันรู้สึกว่าตนเอง เติบโต และ มีคุณค่า กับงาน” ดวงพร พรหมอ่อน ทิ้งท้าย “เมื่อเราทำได้ องค์กรก็จะมีทั้ง คนเก่ง และ อนาคต ไปพร้อมกัน”

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • Jobsdb by SEEK ประเทศไทย
  • SEEK Asia – Employer/Jobseeker Insights
  • สำนักงานสถิติแห่งชาติ (สสช.)
  • องค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) ประเทศไทย
  • World Economic Forum – Future of Jobs Report
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News