Categories
AROUND CHIANG RAI FEATURED NEWS

หนีเมือง มาหาธรรมชาติ เชียงรายนำทัพกาแฟ-ชาไทย สู้ศึกนำเข้า

เชียงรายเปิดตัวงานกาแฟ-ชายิ่งใหญ่ สะท้อนการเติบโตตลาดกาแฟไทยท่ามกลางการพึ่งพานำเข้าเพิ่มขึ้น

เชียงราย, 26 มิถุนายน 2568 – ในขณะที่ตลาดกาแฟโลกกำลังขยายตัวอย่างต่อเนื่องและประเทศไทยเผชิญกับปัญหาการผลิตไม่เพียงพอต่อความต้องการภายในประเทศ จังหวัดเชียงรายในฐานะแหล่งผลิตกาแฟชั้นนำของประเทศได้จัดงาน “Chiangrai Coffee & Tea 2025” ขึ้นเป็นครั้งแรก เพื่อส่งเสริมศักยภาพของผู้ผลิตท้องถิ่นและสร้างโอกาสทางธุรกิจในวงการกาแฟไทย

งานที่จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “Escape into Nature – หนีเมือง มาหาธรรมชาติ” ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเชียงราย ระหว่างวันที่ 25-29 มิถุนายน 2568 นี้ ไม่เพียงเป็นการรวมตัวของผู้ประกอบการในวงการกาแฟและชาของจังหวัดเชียงรายเท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงภาพรวมของอุตสาหกรรมกาแฟไทยที่กำลังเผชิญกับทั้งโอกาสและความท้าทายในยุคปัจจุบัน

ตลาดกาแฟโลกเติบโตต่อเนื่อง แต่ไทยยังผลิตไม่เพียงพอ

ข้อมูลจากองค์การกาแฟนานาชาติ (International Coffee Organization) ชี้ให้เห็นว่า การบริโภคกาแฟทั่วโลกมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา การบริโภคกาแฟของโลกเติบโตเฉลี่ยร้อยละ 1.9 ต่อปี ขณะที่รายงานจากเว็บไซต์ Money Buffalo ระบุว่า ทั่วโลกมีการดื่มกาแฟเฉลี่ยประมาณ 2,250 ล้านแก้วต่อวัน และมีผู้ดื่มกาแฟเป็นประจำมากกว่า 1,000 ล้านคน ซึ่งแสดงให้เห็นว่ากาแฟไม่ใช่แค่เครื่องดื่มยอดนิยม แต่ยังกลายเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตของผู้คนทั่วโลก

สำหรับประเทศไทย สถานการณ์การเติบโตของตลาดกาแฟในภาพรวมก็เพิ่มขึ้นทุกปีเช่นกัน โดยข้อมูลจาก Euromonitor International ระบุว่า ในปี 2566 คนไทยบริโภคกาแฟรวมกันมากถึง 90,000 ตันต่อปี เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนจากเมื่อ 10 ปีก่อน ซึ่งอยู่ที่เพียงประมาณ 30,000 ตัน การเพิ่มขึ้นของการบริโภคถึง 3 เท่าในระยะเวลา 1 ทศวรรษนี้ สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภคไทยที่หันมาให้ความสำคัญกับกาแฟมากขึ้น

แต่ในขณะเดียวกัน ประเทศไทยกลับผลิตกาแฟได้ไม่เพียงพอกับความต้องการภายในประเทศ โดยปริมาณการผลิตเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 45,000–50,000 ตันต่อปี ซึ่งยังไม่ถึงครึ่งหนึ่งของปริมาณที่คนไทยบริโภค ส่งผลให้ต้องพึ่งพาการนำเข้ากาแฟจากต่างประเทศมากขึ้น โดยในปีที่ผ่านมามูลค่าการนำเข้ากาแฟพุ่งขึ้นแตะระดับกว่า 338 ล้านเหรียญสหรัฐ

ปรากฏการณ์นี้สะท้อนให้เห็นถึงช่องว่างที่สำคัญในตลาดกาแฟไทย ซึ่งเปิดโอกาสให้กับผู้ผลิตในประเทศ หากสามารถพัฒนาและยกระดับคุณภาพผลผลิตให้ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ได้ ก็อาจกลายเป็นทางเลือกที่ช่วยสร้างรายได้และความมั่นคงให้กับเกษตรกรในระยะยาวได้

อุตสาหกรรมกาแฟไทยเผชิญทั้งโอกาสและความท้าทาย

ปัจจุบันอุตสาหกรรมกาแฟไทยกำลังเผชิญกับทั้งโอกาสและความท้าทาย โดยเฉพาะการผลิตในประเทศที่ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการ ซึ่งนำไปสู่การพึ่งพาการนำเข้า ในขณะที่พฤติกรรมผู้บริโภคมีแนวโน้มต้องการกาแฟสดและกาแฟพิเศษเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ส่งผลให้ตลาดกาแฟในประเทศเติบโตเฉลี่ยปีละกว่า 3% โดยในปี 2565/66 มีการใช้เมล็ดกาแฟดิบในภาคอุตสาหกรรมถึง 93,551 ตัน เพิ่มขึ้นจาก 80,691 ตัน ในปี 2562/63

ในส่วนของภาพรวมกาแฟโลกสำหรับปี 2024/25 การผลิตกาแฟทั่วโลกคาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น 6.9 ล้านกระสอบ (ขนาด 60 กิโลกรัม) จากปีที่แล้วเป็น 174.9 ล้านกระสอบ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลมาจากการฟื้นตัวของผลผลิตในเวียดนามและอินโดนีเซีย การส่งออกทั่วโลกคาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อย เนื่องจากการเพิ่มขึ้นในเวียดนามและอินโดนีเซียสามารถชดเชยปริมาณการส่งออกที่ลดลงจากบราซิลได้

การบริโภคทั่วโลกคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 5.1 ล้านกระสอบเป็น 168.1 ล้านกระสอบ โดยบริโภคเพิ่มขึ้นมากที่สุดในสหภาพยุโรป สหรัฐอเมริกา และจีน ขณะที่สต็อกปลายปีคาดว่าจะลดลง 1.5 ล้านกระสอบเหลือ 20.9 ล้านกระสอบ

เชียงรายจัดงานใหญ่ยกระดับผู้ผลิตท้องถิ่น

ท่ามกลางสถานการณ์ดังกล่าว จังหวัดเชียงรายในฐานะหนึ่งในแหล่งผลิตเมล็ดกาแฟและใบชาชั้นเลิศของประเทศไทย ได้จัดงาน “Chiangrai Coffee & Tea 2025” ขึ้นเพื่อส่งเสริมศักยภาพของผู้ประกอบการท้องถิ่น

นายสายัณห์ นักบุญ ผู้อำนวยการศูนย์การค้าเซ็นทรัลเชียงราย กล่าวในพิธีเปิดงานเมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2568 ว่า “จุดประสงค์สำคัญของงาน คือการรวมตัวของผู้ประกอบการร้านชาและกาแฟในจังหวัดเชียงราย ทั้งแบรนด์เล็ก แบรนด์ใหญ่ โรงคั่ว ร้านต้นแบบ ไปจนถึงผู้ผลิตวัตถุดิบและแปรรูป เพื่อให้เกิดการพบปะ แลกเปลี่ยน แรงบันดาลใจ และร่วมกันขับเคลื่อนเศรษฐกิจชุมชนด้วยอัตลักษณ์ของท้องถิ่น”

การจัดงานในครั้งนี้ไม่เพียงแต่ส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ แต่ยังเป็นเวทีให้เกษตรกร ผู้ผลิต และคาเฟ่ท้องถิ่น ได้แสดงศักยภาพและสร้างโอกาสทางธุรกิจร่วมกัน โดยมีผู้เข้าร่วมงานจากหลากหลายภาคส่วน ได้แก่ นายสรรเสริญ ศีติสาร รองผู้อำนวยการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยสำนักงานเชียงราย นายพงศกร อารีศิริไพศาล ประธานกลุ่มคนรักกาแฟเชียงราย และตัวแทนจากหน่วยงานต่างๆ

ผู้ประกอบการท้องถิ่นโชว์ศักยภาพ

งานนี้มีผู้ประกอบการท้องถิ่นเข้าร่วมจำนวนมาก โดยแบ่งเป็น 3 โซนหลัก ได้แก่ โซนซ้าย โซนกลาง และโซนขวา ซึ่งแต่ละโซนมีเอกลักษณ์และจุดเด่นที่แตกต่างกัน

ในโซนซ้าย มีร้านเด่นๆ เช่น กาแฟสมถะ (SAMATHA) จากบ้านผาอี้ อำเภอแม่สาย ที่ผลิตกาแฟอาราบิก้าคั่วพิเศษรสชาติเข้ม หอม เต็มบอดี้ พร้อมกลิ่นดินขึ้นและความละมุนของดอยผาฮิในทุกแก้ว และไร่รื่นรมย์เกษตรอินทรีย์ จากอำเภอเทิง ที่นำเสนอผลิตภัณฑ์เกษตรอินทรีย์ปลอดสาร 100%

โซนกลางเป็นจุดตัดของรสชาติและความคิดสร้างสรรค์ โดยมี Ploysai Coffee Roaster ที่เริ่มต้นจากตึกแถวเล็กๆ สู่โรงคั่วระดับโกดัง มีเมล็ดให้เลือกกว่า 20 ชนิด และ Chillrista เจ้าของรางวัลสุดยอดเมล็ดกาแฟไทย 2 ปีซ้อน ทั้ง Arabica และ Robusta

ส่วนโซนขวาเป็นแหล่งรวมกลิ่นอายคลาสสิกและแบรนด์ใหญ่ อาทิ กาแฟโบราณโกปี ที่นำเสนอกาแฟโบราณต้นตำรับและโอเลี้ยงยกล้อที่หอมหวานกลมกล่อม และ Café Doitung จากพระตำหนักดอยตุง พร้อมเมนู Iced Macadamia Nut Latte ที่หอมละมุนอย่างมีระดับ

กิจกรรมหลากหลายสร้างประสบการณ์ใหม่

งานนี้ไม่เพียงเป็นการจำหน่ายสินค้าเท่านั้น แต่ยังมีกิจกรรมหลากหลายที่สร้างประสบการณ์ใหม่ให้กับผู้เข้าชม ได้แก่ Camp Coffee Experience ที่ให้ผู้เข้าชมได้ชมการสาธิตการใช้งานเครื่องชงกาแฟหลากหลายประเภท พร้อมเทคนิคจากบาริสต้ามืออาชีพ

Private Tea & Coffee Workshop ที่ให้ผู้เข้าร่วมได้ลิ้มรสและเรียนรู้จากผู้เชี่ยวชาญในวงการชาและกาแฟ อาทิ The Roastery By Roj, สวรรค์บนดิน, One Tea At A Time, และ 22grams Coffee & Roastery

Campfire Moment ที่ให้ผู้เข้าร่วมได้ล้อมวงจิบชาและกาแฟท่ามกลางเสียงดนตรีในบรรยากาศอบอุ่นของแคมป์ไฟ และ Tasting Zone ที่เปิดประสบการณ์ชิมเครื่องดื่มชา-กาแฟขึ้นชื่อประจำเชียงรายแบบไม่อั้น

นอกจากนี้ยังมี Bakery & Snack Corner ที่ให้ผู้เข้าชมได้ชิมและช้อปของหวาน-ขนมโฮมเมดจากร้านดังทั่วเชียงราย

เวิร์กชอปพิเศษสำหรับสมาชิก

สำหรับสมาชิก Central X จะได้รับสิทธิ์ Workshop เพ้นท์แก้วกาแฟสุดเอ็กซ์คลูซีฟ ขณะที่สมาชิก The1 จะได้รับสิทธิ์ Workshop ดริปกาแฟ หรือ Sensory ฟรี ในวันที่ 29 มิถุนายน 2568 เมื่อมียอดกิน/ช้อปในโซนพลาซาครบ 5,000 บาทขึ้นไป โดยจำกัด 20 สิทธิ์ตลอดแคมเปญ

โอกาสและความท้าทายของอุตสาหกรรมกาแฟไทย

การจัดงาน “Chiangrai Coffee & Tea 2025” ในครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามของภาคเอกชนและรัฐในการยกระดับอุตสาหกรรมกาแฟไทยให้สามารถแข่งขันได้ในตลาดโลก แม้ว่าจะเผชิญกับความท้าทายจากการผลิตที่ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการภายในประเทศ

ข้อมูลที่น่าสนใจคือ การเพิ่มขึ้นของการบริโภคกาแฟในประเทศไทยถึง 3 เท่าในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ซึ่งแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของตลาดภายในประเทศที่ยังมีที่ว่างให้เติบโตได้อีกมาก หากผู้ผลิตในประเทศสามารถพัฒนาคุณภาพและเพิ่มปริมาณการผลิตให้เพียงพอต่อความต้องการ

จังหวัดเชียงรายในฐานะแหล่งผลิตกาแฟชั้นนำของประเทศ มีศักยภาพที่จะเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญในการพัฒนาอุตสาหกรรมกาแฟไทย โดยเฉพาะการเน้นคุณภาพและเอกลักษณ์ของผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น ซึ่งตรงกับแนวโน้มของผู้บริโภคยุคใหม่ที่ให้ความสำคัญกับ specialty coffee และ sustainable coffee

การรวมตัวของผู้ประกอบการขนาดเล็กถึงใหญ่ในงานนี้ยังเป็นสัญญาณบวกที่แสดงให้เห็นถึงความร่วมมือในการพัฒนาอุตสาหกรรม ซึ่งจะช่วยสร้างห่วงโซ่อุปทานที่แข็งแกร่งและยั่งยืน

อย่างไรก็ตาม ความท้าทายที่สำคัญยังคงเป็นเรื่องของการเพิ่มผลผลิตให้เพียงพอต่อความต้องการ และการยกระดับคุณภาพให้สามารถแข่งขันกับกาแฟนำเข้าได้ ซึ่งต้องอาศัยการลงทุนในเทคโนโลยี การพัฒนาทักษะของเกษตรกร และการสร้างแบรนด์ที่แข็งแกร่ง

เชียงรายนำทางสู่อนาคตกาแฟไทย

งาน “Chiangrai Coffee & Tea 2025” ที่จัดขึ้นในครั้งนี้ไม่เพียงเป็นการจัดงานแสดงสินค้าทั่วไป แต่เป็นการสร้างแพลตฟอร์มสำคัญที่จะช่วยยกระดับอุตสาหกรรมกาแฟไทยสู่ระดับสากล ผ่านการรวมตัวของผู้ประกอบการ การแลกเปลี่ยนความรู้ และการสร้างเครือข่ายทางธุรกิจ

สำหรับผู้สนใจเข้าร่วมงาน สามารถติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Line Official Account: @CentralChiangrai งานจัดขึ้นระหว่างวันที่ 25-29 มิถุนายน 2568 ตั้งแต่เวลา 10.00-20.30 น. ณ ลานกิจกรรม ชั้น G โซนจริงใจ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเชียงราย

การจัดงานในครั้งนี้อาจเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญที่จะช่วยให้อุตสาหกรรมกาแฟไทยสามารถลดการพึ่งพาการนำเข้า และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์กาแฟไทยในตลาดโลกได้ในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • องค์การกาแฟนานาชาติ (International Coffee Organization)
  • เว็บไซต์ Money Buffalo
  • Euromonitor International
  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานเชียงราย
  • ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเชียงราย
  • กลุ่มคนรักกาแฟเชียงราย (CHIANGRAI COFFEE LOVER – CCL)
  • สมาคมสื่อมวลชนและนักประชาสัมพันธ์เชียงราย
  • ห้างสรรพสินค้าโรบินสันเชียงราย
  • มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์
  • ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

AOT ปั้นไทยฮับบินภูมิภาค รุกเปิดเส้นทาง สู่ประตูเชียงราย

AOT รุกปั้นไทยสู่ศูนย์กลางการบินภูมิภาค เปิดเวทีประชุม IATA พร้อมขยายเส้นทางบิน เชื่อมเชียงราย-สิงคโปร์ รอปลดล็อกเที่ยวบินตรงไทย-อเมริกา

แคนาดา, 19 มิถุนายน 2568 –  รายงานจาก บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด หรือ AOT ในโลกของอุตสาหกรรมการบินที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT ได้แสดงบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่เป้าหมายการเป็น Aviation Hub ของภูมิภาค ล่าสุด นายเอนก ธีระวิวัฒน์ชัย รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ สายงานยุทธศาสตร์ และคณะกรรมการจัดสรรเวลาของประเทศไทย (Slot Coordination Committee) ได้เป็นตัวแทนเข้าร่วมการประชุมจัดสรรเวลาการบินของสมาคมขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ (IATA Slot Conference) ครั้งที่ 156 ณ เมืองแวนคูเวอร์ ประเทศแคนาดา เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2568 การประชุมนี้นับเป็นหนึ่งในเวทีที่สำคัญที่สุดของอุตสาหกรรมการบินโลก มีผู้แทนจากท่าอากาศยานกว่า 300 แห่ง สายการบินกว่า 250 สาย และผู้แสดงสินค้าจากทั่วโลกกว่า 1,300 คน

ก้าวสำคัญสู่ฤดูหนาว 2568/2569 – พัฒนาเครือข่ายการบิน สู่มาตรฐานสากล

วัตถุประสงค์หลักของการประชุมครั้งนี้ คือการสนับสนุนการจัดสรรเวลาการบิน (Slot) สำหรับฤดูหนาว 2568/2569 เพื่อให้กำหนดการบินของสายการบินเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นไปตามมาตรฐานสากล AOT ได้ใช้เวทีนี้เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลและเจรจาความร่วมมือกับท่าอากาศยานและสายการบินชั้นนำ อาทิ ท่าอากาศยานนานาชาติ San Francisco, British Airways, Air Canada, Alaska Airlines, Norse Atlantic Airlines, Air New Zealand และ Virgin Australia Airlines เพื่อต่อยอดเครือข่ายการบินเชื่อมต่อระหว่างประเทศ ขยายโอกาสด้านการท่องเที่ยว การค้า และเศรษฐกิจของไทย

เจรจา FAA ปลดล็อกบินตรงไทย-อเมริกา จุดเปลี่ยนเชื่อมโลกตะวันตก

หนึ่งในประเด็นสำคัญที่ AOT ได้หารือกับท่าอากาศยานนานาชาติ San Francisco คือการเตรียมความพร้อมรองรับเส้นทางบินตรงระหว่างไทย-สหรัฐอเมริกา ภายหลังที่ FAA (Federal Aviation Administration) ของสหรัฐอเมริกา ประกาศเลื่อนระดับความปลอดภัยของการบินไทยกลับสู่ Category 1 ถือเป็นก้าวสำคัญที่ช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นระดับนานาชาติ เปิดทางสายการบินไทยกลับเข้าสู่เครือข่ายเส้นทางบินข้ามทวีปอย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งจะเป็นจุดเปลี่ยนในการดึงดูดกลุ่มนักท่องเที่ยวและนักลงทุนจากสหรัฐฯ เข้าสู่ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

“Scoot” เตรียมบินตรงสิงคโปร์-เชียงราย พร้อมบินตรงเชียงราย-มาเลเซียปลายปี

ไฮไลต์สำคัญสำหรับชาวเชียงรายและภาคเหนือ คือแผนการเจรจากับสายการบิน Scoot จากสิงคโปร์ เตรียมเปิดเส้นทางบินตรง สิงคโปร์-ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ภายในปลายปี 2568 เพื่อรองรับกระแสท่องเที่ยว เมืองรอง สู่ตลาดนานาชาติแบบไร้รอยต่อ นอกจากนี้ จากแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้คาดว่ายังจะมีเส้นทางใหม่ “เชียงราย-กัวลาลัมเปอร์” ที่สายการบินไทยแอร์เอเชีย เคยเปิดให้บริการ เมื่อเริ่มวันที่ 2 พฤศจิกายน 2567 ถึง 28 กุมภาพันธ์ 2568 สัปดาห์ละ 3 เที่ยวบิน (อังคาร พฤหัสบดี เสาร์) ที่ผ่านมา ถือเป็นหารเพิ่มทางเลือกให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวเดินทางระหว่างสองประเทศได้สะดวกยิ่งขึ้น

การขยายเครือข่ายเส้นทางบินใหม่ๆ นี้ ไม่เพียงแต่สร้างโอกาสทางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวเท่านั้น แต่ยังเสริมสร้างศักยภาพท่าอากาศยานเชียงรายให้เป็นประตูหลักสู่ภาคเหนือของไทย ในการรองรับการเดินทางระหว่างประเทศ และกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากในพื้นที่อย่างเป็นรูปธรรม

ไทยเตรียมรับบทเจ้าภาพ IATA Slot Conference ครั้งที่ 158 – สะท้อนศักยภาพการบริหารจัดการท่าอากาศยาน

AOT ยังเตรียมเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม IATA Slot Conference ครั้งที่ 158 ในวันที่ 9-11 มิถุนายน 2569 ณ ศูนย์ประชุมเซ็นทาราแกรนด์ บางกอกคอนเวนชั่นเซ็นเตอร์ กรุงเทพฯ ซึ่งนับเป็นครั้งแรกในรอบ 39 ปีที่ไทยได้มีโอกาสจัดเวทีสำคัญระดับโลกนี้ นอกจากจะเปิดโอกาสให้ประเทศไทยแสดงศักยภาพด้านโครงสร้างพื้นฐานท่าอากาศยานแล้ว ยังเสริมบทบาทของไทยในฐานะศูนย์กลางการบินของภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกอย่างแท้จริง

วิเคราะห์และบทสรุป

ความเคลื่อนไหวของ AOT บนเวที IATA Slot Conference สะท้อนความพร้อมและยุทธศาสตร์การพัฒนาท่าอากาศยานไทยสู่มาตรฐานสากล โดยเฉพาะในมิติของการจัดสรรเวลาการบิน เพิ่มประสิทธิภาพโครงสร้างพื้นฐาน และขยายเส้นทางบินระหว่างประเทศ ขณะเดียวกันยังช่วยกระจายการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจสู่ภูมิภาค โดยเฉพาะ “เชียงราย” ที่กำลังเติบโตเป็นศูนย์กลางใหม่ของการบินและการท่องเที่ยวภาคเหนือ

คาดว่าการเปิดเส้นทางบินใหม่ เชียงราย-กัวลาลัมเปอร์ และ เชียงราย-สิงคโปร์ ในช่วงปลายปีนี้ ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ไม่เพียงแต่จะกระตุ้นเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว และการลงทุนในพื้นที่ แต่ยังยกระดับภาพลักษณ์ของเชียงรายบนเวทีนานาชาติ สู่เป้าหมาย “ศูนย์กลางการบินภูมิภาค” ได้อย่างเต็มภาคภูมิ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (AOT)
  • สมาคมขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ (IATA)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

THACCA จัดใหญ่ 12 จังหวัดซ้อม Pitch แผนพัฒนาเมืองสู่เวทีโลก

 “อวดเมือง Pitching” เวทีปลุกพลัง 12 จังหวัดสร้างสรรค์เทศกาลระดับชาติ เตรียมชิงเจ้าภาพแลนด์มาร์คเทศกาลในงาน THACCA SPLASH – Soft Power Forum 2025

กรุงเทพฯ, 19 มิถุนายน 2568 –  ในยุคที่ Soft Power กลายเป็นหัวใจสำคัญของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจสร้างสรรค์ เมืองทั่วประเทศต่างตื่นตัวกับโอกาสใหม่ผ่านการต่อยอดทุนวัฒนธรรม สู่เทศกาลที่โดดเด่นและมีอัตลักษณ์ของตนเอง ล่าสุดกรุงเทพฯ เปิดบ้านต้อนรับ 12 จังหวัดเข้าร่วมโครงการ “อวดเมือง Pitching” เพื่อเฟ้นหาจังหวัดเจ้าภาพแลนด์มาร์คเทศกาลท่องเที่ยวไทยปี 2569 ที่จะเป็นต้นแบบของเมืองน่าลงทุน น่าอยู่ และน่าเที่ยว บนเวที THACCA SPLASH – Soft Power Forum 2025

จุดเริ่มต้นและเป้าหมาย

เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2568 ณ ห้องบอลรูม โรงแรมแลนด์มาร์ค กรุงเทพฯ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (CEA) ร่วมกับ สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (TCEB) และ Thailand Creative Culture Agency (THACCA) จัดกิจกรรม Mentoring Workshop ภายใต้โครงการ “อวดเมือง Pitching” โดยคัดเลือก 12 จังหวัดต้นแบบจากนักจัดเทศกาลทั่วประเทศ ผ่านกระบวนการนำเสนอแนวคิดและไอเดียเทศกาลท้องถิ่นที่ทรงพลัง

งานนี้มีวัตถุประสงค์สำคัญเพื่อยกระดับเทศกาลท้องถิ่นให้กลายเป็นเครื่องมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนาเมือง โดยผลักดันให้แต่ละจังหวัดสร้างจุดขายใหม่บนฐานทุนทางวัฒนธรรมและอัตลักษณ์ของท้องถิ่น พร้อมรองรับการเป็นเจ้าภาพเทศกาลใหญ่ระดับประเทศในอนาคต

 “Chiang Rai BREW Festival” พลิกวิถีล้านนา สู่ Soft Power

การเลือก Chiang Rai BREW Festival เป็นแลนด์มาร์คเทศกาลนำร่อง เกิดจากแนวคิดที่ผสานอัตลักษณ์ท้องถิ่นเข้ากับเศรษฐกิจสร้างสรรค์ โดยเทศกาลนี้หยิบ “ชา” และ “กาแฟ” ซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจสำคัญของเชียงรายมาเป็นหัวใจหลัก สะท้อนรากเหง้าทางวัฒนธรรม ภูมิปัญญา และพระราชปณิธานของในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่ริเริ่มส่งเสริมการปลูกกาแฟบนพื้นที่สูง ทดแทนพืชเสพติด เมื่อครั้งพระราชทานต้นกาแฟให้ชนเผ่าบนดอยช้าง และสืบสานสู่ชาอัสสัมพันธุ์ล้านนาของดอยแม่สลอง

เทศกาลนี้ไม่ได้เป็นเพียงงานเฉลิมฉลอง หากแต่เป็นเวทีบูรณาการทุกภาคส่วน ตั้งแต่เกษตรกร ผู้ประกอบการ สถาบันการศึกษา ภาครัฐ เอกชน และชุมชนชาติพันธุ์ เชื่อมโยงให้เกิดระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) สร้างรายได้จากต้นน้ำถึงปลายน้ำ พร้อมต่อยอดภูมิปัญญาดั้งเดิมสู่สินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่ม

เวิร์กช็อปเข้มข้น เสริมแกร่งทุกมิติ

ภายในงานได้รับเกียรติจาก นายแพทย์สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี ประธานกรรมการพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ และรองประธานคณะที่ปรึกษานโยบายของนายกรัฐมนตรี ขึ้นกล่าวปาฐกถาพิเศษหัวข้อ “จากรากวัฒนธรรมสู่พลังสร้างชาติ : การขับเคลื่อน Soft Power ไทยผ่านเทศกาลท้องถิ่น” สะท้อนบทบาทของงานเทศกาลในฐานะสะพานเชื่อมทุนวัฒนธรรมและเศรษฐกิจยุคใหม่

นอกจากเวทีความรู้ ยังมี 7 MENTORS ตัวจริงระดับประเทศจากอุตสาหกรรม MICE และเทศกาล มาร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ติดอาวุธไอเดีย และให้คำแนะนำเจาะลึกในทุกมิติ ตั้งแต่การบริหารจัดการเทศกาลให้ยั่งยืน กลยุทธ์สร้างมูลค่าเพิ่ม การตลาดสร้างแบรนด์เมือง ไปจนถึงการพัฒนา Content ที่สามารถตอบโจทย์นักลงทุน นักท่องเที่ยว และผู้อยู่อาศัยอย่างครบถ้วน

สู่รอบ Final City Pitching เวที Soft Power แห่งชาติ

ผลจากกิจกรรม Mentoring Workshop ครั้งนี้ จะถูกนำไปใช้ต่อยอดในเวที Final City Pitching รอบสุดท้าย ภายใต้ธีม “น่าลงทุน น่าอยู่ น่าเที่ยว” ในงาน THACCA SPLASH – Soft Power Forum 2025 ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 8–11 กรกฎาคม 2568 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ฮอลล์ 1–4 ชั้น G โดยแต่ละจังหวัดจะได้อวดแลนด์มาร์ค “ชวนเมือง Dream Box” ที่บูธเมืองพาวิลเลียน พร้อมนำเสนอแนวคิดและศักยภาพในฐานะเจ้าภาพเทศกาลปี 2569

ความเคลื่อนไหวครั้งนี้ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของอุตสาหกรรมไมซ์และเทศกาลในประเทศไทย เมื่อจังหวัดต่าง ๆ ได้รับโอกาสในการแสดงศักยภาพ สร้างเครือข่ายกับผู้เชี่ยวชาญ และขยายโอกาสทางเศรษฐกิจสู่เวทีนานาชาติ

วิเคราะห์และบทสรุป

โครงการ “อวดเมือง Pitching” ไม่ได้เป็นเพียงการแข่งขันนำเสนอแผนพัฒนาเมืองเท่านั้น หากแต่เป็นเวทีบ่มเพาะผู้นำเทศกาลท้องถิ่นรุ่นใหม่ เสริมพลังท้องถิ่นด้วยทุนวัฒนธรรม และผลักดัน Soft Power ไทยให้ขยายสู่ระดับโลกอย่างยั่งยืน ภายใต้ความร่วมมือของภาครัฐและภาคเอกชน ตอกย้ำภาพลักษณ์ประเทศไทยในฐานะศูนย์กลางเทศกาลสร้างสรรค์ของภูมิภาคอาเซียน

การเดินหน้าปั้นแลนด์มาร์คเทศกาลทั่วประเทศในปีนี้ จึงเป็นก้าวสำคัญที่เชื่อมโยงชุมชน ท้องถิ่น และความคิดสร้างสรรค์ ให้เป็นกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจยุคใหม่อย่างแท้จริง

Soft Power – จุดแข็ง จุดท้าทาย ของเชียงราย

Chiang Rai BREW Festival สะท้อนความกล้าในการต่อยอด Soft Power ไทยให้ก้าวพ้นกรอบศิลปวัฒนธรรมดั้งเดิม สู่การใช้ “พืชเศรษฐกิจ” อย่างชากาแฟเป็นเครื่องมือสร้างภาพจำใหม่ และพลิกบริบทการท่องเที่ยวสู่สายประสบการณ์ การเชื่อมโยงเทศกาลนี้กับพระราชปณิธานในหลวงรัชกาลที่ 9 และแนวคิดพัฒนาที่ยั่งยืนของมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ยังช่วยสร้างความน่าเชื่อถือและแรงบันดาลใจอย่างลึกซึ้ง

อย่างไรก็ตาม การดันชากาแฟเป็นซอฟต์พาวเวอร์หลักของเชียงรายอาจเผชิญข้อท้าทายในการสื่อสารกับนักท่องเที่ยวบางกลุ่มที่ยังยึดติดภาพจำเดิมของ Soft Power ไทย แต่ในอีกมุมหนึ่ง หากเชียงรายสามารถผสานเรื่องเล่าและประสบการณ์เข้ากับการท่องเที่ยว อาจเป็นโมเดลใหม่ของเทศกาลสร้างสรรค์ไทยในเวทีโลก

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (CEA)
  • สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (TCEB)
  • Thailand Creative Culture Agency (THACCA)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

ททท.เผยข่าวดี นักท่องเที่ยวมาเลเซียพุ่ง แซงจีนนำตลาดไทย

ททท. เผยตลาดท่องเที่ยวสัญญาณดี นักท่องเที่ยวยุโรป-ตะวันออกกลางเติบโตสูง มาเลเซียแซงจีน ขึ้นแท่นเบอร์หนึ่งต่างชาติเที่ยวไทย

ประเทศไทย, 15 มิถุนายน 2568 – สถานการณ์ท่องเที่ยวไทยส่งสัญญาณฟื้นตัวต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติในตลาดศักยภาพสูง ล่าสุด การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) รายงานสถิติและแนวโน้มเชิงบวก ทั้งในด้านจำนวนและคุณภาพของนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าประเทศไทยช่วงต้นปี 2568 ถึงเดือนมิถุนายน โดยพบว่าตลาดนักท่องเที่ยวจากยุโรปและตะวันออกกลาง มีอัตราเติบโตอย่างโดดเด่น สะท้อนโอกาสและศักยภาพของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยในช่วง Green Season

มาเลเซียแซงจีน ขึ้นแท่นนักท่องเที่ยวเบอร์หนึ่ง

นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการ ททท. เปิดเผยถึงแนวโน้มนักท่องเที่ยวต่างชาติในช่วงวันที่ 1-9 มิถุนายน 2568 ว่า ตลาดมาเลเซียได้เปลี่ยนสถานะเป็นประเทศที่มีจำนวนนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าไทยสูงสุด แซงหน้าตลาดจีนที่เคยครองอันดับหนึ่งตลอดหลายปีที่ผ่านมา โดยช่วงต้นเดือนมิถุนายน นักท่องเที่ยวมาเลเซียเดินทางเข้าไทยเพิ่มขึ้นถึง 13.22% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว สะท้อนศักยภาพของการเดินทางข้ามแดนและความเชื่อมั่นในแหล่งท่องเที่ยวไทย

ยุโรปและตะวันออกกลาง “ขาขึ้น” ตลาดคุณภาพกำลังซื้อสูง

นอกจากตลาดเอเชียใกล้บ้านแล้ว ททท.ยังเปิดเผยสัญญาณบวกจากตลาดยุโรป ซึ่งโดยรวมเติบโตขึ้น 13% จากปีก่อน โดยเฉพาะตลาดเยอรมนีที่มีการขยายตัวสูงถึง 71% อิตาลีโต 28% สวิตเซอร์แลนด์ 24% เช่นเดียวกับตลาดตะวันออกกลางที่กำลังเข้าสู่ฤดูกาลท่องเที่ยว พบการเติบโตถึง 55% โดยเฉพาะซาอุดีอาระเบีย (+61%) โอมาน (+54%) สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (+51%) อิสราเอล (+32.49%) รวมถึงตลาดฟิลิปปินส์ (+24%) ซึ่งถือเป็นตลาดดาวรุ่งที่น่าจับตา

สถิติยอดนักท่องเที่ยวต่างชาติทะลุ 15 ล้านคน

ข้อมูลจากสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ระหว่างวันที่ 1 มกราคม – 9 มิถุนายน 2568 ระบุว่า นักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศไทยแล้ว 15,543,344 คน โดยในจำนวนนี้ ตลาดหลักที่มีการเติบโตสูงต่อเนื่อง ได้แก่

  • อินเดีย 1,042,304 คน (+15.4%)
  • รัสเซีย 983,579 คน (+12.96%)
  • สหราชอาณาจักร 531,030 คน (+19.3%)
  • สหรัฐอเมริกา 492,659 คน (+10.2%)
  • เยอรมนี 476,356 คน (+11.82%)
  • ญี่ปุ่น 462,647 คน (+9.94%)
  • ฝรั่งเศส 429,516 คน (+19.27%)
  • ออสเตรเลีย 350,851 คน (+14.67%)

สำหรับกลุ่มตลาดศักยภาพขนาดกลางที่เติบโตอย่างโดดเด่น เช่น

  • อิสราเอล 165,602 คน (+74.65%)
  • อิตาลี 136,209 คน (+28.45%)
  • แคนาดา 134,095 คน (+7.12%)
  • โปแลนด์ 120,944 คน (+31.07%)
  • เนเธอร์แลนด์ 119,992 คน (+12.69%)
  • สวีเดน 117,434 คน (+10.47%)

ปัจจัยหนุนกระแส “เที่ยวไทย” ให้โตต่อเนื่อง

ความสำเร็จนี้สะท้อนจากการดำเนินนโยบายส่งเสริมตลาดท่องเที่ยวเชิงรุก ทั้งการกระจายตลาดออกนอกกลุ่มหลักเดิม การจัดแคมเปญส่งเสริมการท่องเที่ยว Green Season การพัฒนาเส้นทางบินตรงใหม่ๆ และการขยายกิจกรรมและแหล่งท่องเที่ยวที่ตอบโจทย์ทั้งตลาดกำลังซื้อสูงและกลุ่มนักท่องเที่ยวรุ่นใหม่ นอกจากนี้ การเพิ่มความสะดวกในด้านวีซ่า มาตรการยกเว้นค่าธรรมเนียม ตลอดจนความร่วมมือกับสายการบินและพันธมิตรในอุตสาหกรรม ได้ช่วยหนุนการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยอย่างชัดเจน

จับตาตลาด “ขุมทอง” ใหม่ ดึงรายได้สู่เศรษฐกิจท่องเที่ยวไทย

ททท. มองว่า การเปลี่ยนแปลงของตลาดสำคัญ เช่น การที่มาเลเซียก้าวขึ้นมาเป็นอันดับ 1 แทนจีน และตลาดยุโรป-ตะวันออกกลางเติบโตโดดเด่น จะเป็นโอกาสสำคัญในการกระจายรายได้สู่ภูมิภาคต่างๆ ของไทย โดยเฉพาะตลาดคุณภาพสูงที่เน้นการใช้จ่ายกับประสบการณ์พิเศษ กิจกรรมเชิงสร้างสรรค์ และการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ

บทวิเคราะห์และแนวโน้มในอนาคต

จากการเติบโตของกลุ่มตลาดศักยภาพในยุโรปและตะวันออกกลาง ททท. ประเมินว่านโยบายการสร้างประสบการณ์ที่แตกต่าง และการรักษาความปลอดภัยควบคู่ไปกับมาตรการอำนวยความสะดวกในการเดินทาง จะเป็นหัวใจในการรักษาแรงส่งของตลาดระยะยาว ขณะเดียวกันยังต้องปรับตัวรับความท้าทายจากตลาดจีนที่ฟื้นตัวช้ากว่าคาด และเฝ้าระวังความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์โลกอย่างใกล้ชิด

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)
  • สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง
  • สำนักข่าวไทย
  • รายงานสถิติการท่องเที่ยว 2568 (อัปเดต 15 มิถุนายน 2568)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TRAVEL

ความหลากหลายเบ่งบาน เชียงรายเตรียมจัด Pride Month ยิ่งใหญ่ 22 มิ.ย.

เชียงรายพร้อมจัดงาน Chiang Rai Pride Month 2025 อย่างยิ่งใหญ่ เดินหน้าส่งเสริมความเท่าเทียม สร้างพื้นที่ปลอดภัยสำหรับทุกกลุ่มหลากหลายทางเพศ

เชียงราย, 11 มิถุนายน 2568 – จังหวัดเชียงรายเดินหน้าขับเคลื่อนสังคมแห่งความเท่าเทียมและเปิดกว้างสู่ความหลากหลายทางเพศอย่างเป็นรูปธรรม ด้วยการเตรียมจัดงาน “Chiang Rai Pride Month 2025” อย่างยิ่งใหญ่ โดยมุ่งสร้างบรรยากาศของการยอมรับและความเข้าใจในความแตกต่างของทุกกลุ่มคน สร้างภาพลักษณ์ใหม่ของเมืองเหนือในฐานะพื้นที่ที่เคารพและให้เกียรติทุกอัตลักษณ์ พร้อมผลักดันเศรษฐกิจสร้างสรรค์ผ่านงานวัฒนธรรมและการท่องเที่ยว

เวทีประชุมระดมความคิด รัฐ-เอกชน-ภาคีเครือข่ายร่วมมือ

เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2568 ที่ห้องประชุมอูหลง ศาลากลางจังหวัดเชียงราย นายนรศักดิ์ สุขสมบูรณ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานการประชุมขับเคลื่อนกิจกรรม Chiang Rai Pride Month 2025 โดยมีตัวแทนจากหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคีเครือข่ายหลากหลาย เข้าร่วมประชุมอย่างพร้อมเพรียง บรรยากาศของการประชุมเต็มไปด้วยความคาดหวังที่จะทำให้กิจกรรมครั้งนี้กลายเป็นพื้นที่แห่งความสุขและแรงบันดาลใจสำหรับคนเชียงรายและผู้มาเยือนจากทั่วทุกภูมิภาค

รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายกล่าวเปิดการประชุมว่า
“วันนี้เราได้เปิดเวทีหารือร่วมกัน เพื่อต่อยอดแนวทางจัดกิจกรรม Chiang Rai Pride Month 2025 ให้เป็นไปอย่างเรียบร้อย มีความเป็นเอกภาพ สะท้อนภาพลักษณ์ที่ดีของจังหวัดทั้งในมิติการท่องเที่ยว สังคม และความหลากหลายทางวัฒนธรรม โดยเฉพาะเรื่องความเท่าเทียมและพื้นที่ปลอดภัยสำหรับกลุ่ม LGBTQ+ เราต้องการให้เชียงรายเป็นจังหวัดนำร่องในด้านนี้อย่างแท้จริง”

งานไฮไลท์กลางเดือนมิถุนายน จุดประกายสีสันแห่งความภาคภูมิใจ

เดือนมิถุนายนของทุกปีทั่วโลกถูกยกให้เป็น “Pride Month” หรือเดือนแห่งความภาคภูมิใจของกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ โดยจังหวัดเชียงรายร่วมกับมูลนิธิเอ็มพลัส สาขาเชียงราย เตรียมจัดกิจกรรม Chiang Rai Pride Month 2025 ขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 22 มิถุนายน 2568 ณ ลานกิจกรรมหน้าศาลากลางจังหวัดเชียงรายหลังเก่า และลานกาสะลอง ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงราย

กิจกรรมในปีนี้จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “เฉลิมฉลองอัตลักษณ์อย่างเท่าเทียม” (Celebrate Identity with Equality) โดยตั้งเป้าสร้างความรู้ ความเข้าใจ และความตระหนักรู้เกี่ยวกับความหลากหลายและความเท่าเทียมทางเพศ พร้อมขับเคลื่อนพื้นที่ปลอดภัยให้ทุกคนมีโอกาสแสดงออกอย่างเสรี ลดการตีตราและเลือกปฏิบัติต่อกลุ่ม LGBTQ+ รวมถึงส่งเสริมให้ประชาชนทุกกลุ่มในสังคมสามารถแสดงศักยภาพของตนเองได้เต็มที่

ไฮไลท์กิจกรรมพาเหรด เสวนา การแสดงวัฒนธรรม ประกวด Pride Ambassador

กิจกรรมสำคัญจะประกอบด้วย

  • ขบวนพาเหรด Pride Parade: เริ่มต้นจากลานหน้าศาลากลางจังหวัดเชียงรายหลังเก่า เคลื่อนผ่านอนุสาวรีย์พ่อขุนเม็งรายมหาราช ผ่านหอนาฬิกา และสิ้นสุดที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงราย สร้างสีสันและพลังแห่งการรวมตัวของผู้คนทุกวัย ทุกกลุ่ม
  • เวทีเสวนา: หัวข้อเกี่ยวกับความเท่าเทียมทางเพศและการสร้างพื้นที่ปลอดภัย
  • การประกวด Pride Ambassador: เปิดโอกาสให้ผู้มีความสามารถในกลุ่มหลากหลายทางเพศได้แสดงออกถึงศักยภาพ สร้างแรงบันดาลใจ
  • การแสดงทางวัฒนธรรม: นำเสนอศิลปะและวัฒนธรรมหลากหลายรูปแบบ ผสมผสานความเป็นพื้นถิ่นกับสากลอย่างกลมกลืน

เป้าหมายขับเคลื่อนเศรษฐกิจ สังคม และความเท่าเทียม

คณะผู้จัดงานมีเป้าหมายชัดเจนว่า Chiang Rai Pride Month 2025 จะเป็นทั้งเวทีสื่อสารเชิงบวกในระดับจังหวัดและภูมิภาค ช่วยสร้างบรรยากาศของการยอมรับ ความกลมเกลียวในสังคม ส่งเสริมเศรษฐกิจท้องถิ่นผ่านการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ และสร้างภาพลักษณ์ใหม่ให้เชียงรายเป็นเมืองแห่งความเท่าเทียมและความหวัง

เชียงรายกับบทบาทผู้นำเมืองปลอดภัยและเท่าเทียม

การจัดกิจกรรมนี้ไม่เพียงเป็นการเฉลิมฉลองความหลากหลายทางเพศ แต่ยังเป็นบทพิสูจน์ถึงการขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะด้านสิทธิมนุษยชนและความเท่าเทียมในระดับท้องถิ่นและระดับประเทศ ตลอดจนตอกย้ำบทบาทของจังหวัดเชียงรายในฐานะเมืองแห่งโอกาสและความหวังสำหรับทุกคน หากความสำเร็จของงานปีนี้เดินหน้าต่อเนื่อง จะเป็นต้นแบบให้จังหวัดอื่น ๆ ทั่วประเทศนำไปขยายผล สร้างสังคมที่เปิดกว้างและเป็นมิตรกับทุกกลุ่มประชากร

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • มูลนิธิเอ็มพลัส สาขาเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
WORLD PULSE

ท่องเที่ยวเวียดนามฟีเวอร์ ไทยเสียแชมป์ตลาดเอเชีย

เวียดนามฟีเวอร์! นักท่องเที่ยวทะลุ 7.6 ล้าน ไทยชะลอตัว-ตลาดจีนแห่เที่ยวเวียดนาม แซงไทยในตลาดหลักเอเชีย

ประทเศไทย, 1 มิถุนายน 2568 – การท่องเที่ยวเวียดนามกลายเป็นประเด็นร้อนของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เมื่อสำนักงานการท่องเที่ยวแห่งชาติเวียดนามเปิดเผยสถิติชี้ว่า เวียดนามต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติสูงถึง 7.67 ล้านคน ในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2568 เพิ่มขึ้น 23.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา นับเป็นการขยายตัวที่น่าจับตา สะท้อนภาพเวียดนามในฐานะ “แม่เหล็ก” ดึงดูดนักท่องเที่ยวรายใหม่จากทั่วโลก

เวียดนามแรงแซงไทย นักท่องเที่ยวจีน-เกาหลีหันเป้าหมายใหม่

ข้อมูลล่าสุด (อัปเดต 12 พฤษภาคม 2568) ระบุว่า ตลาดนักท่องเที่ยวที่เข้าเยือนเวียดนามสูงสุดคือจีน 1.95 ล้านคน ตามด้วยเกาหลีใต้ 1.58 ล้านคน ขณะที่ไทย ซึ่งเคยเป็นจุดหมายหลักสำหรับตลาดทั้งสองกลุ่ม กลับถูกเวียดนามแซงหน้าอย่างชัดเจน โดยสถิติระบุว่า นักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางเข้าไทยช่วงต้นปีมีเพียง 1.82 ล้านคน ส่วนกลุ่มเกาหลีใต้ ไทยมีนักท่องเที่ยวราว 600,000 คน ขณะที่เวียดนามดึงกลุ่มนี้ได้ถึง 1.58 ล้านคน หรือมากกว่าประมาณ 3 เท่า

ตลาดสำคัญอื่นๆ อาทิ ไต้หวัน สหรัฐฯ ญี่ปุ่น และกัมพูชา ก็เติบโตต่อเนื่อง ขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น ฟิลิปปินส์ (+98.3%) กัมพูชา (+79.6%) และลาว (+44.7%) ต่างมีอัตราเติบโตสูง ส่วนไทย (+3.1%) และมาเลเซีย (+0.3%) กลับขยายตัวได้เพียงเล็กน้อย

แนวโน้มเปลี่ยนทิศทางการท่องเที่ยวในภูมิภาค

สถานการณ์ที่เวียดนามแซงหน้าไทยในกลุ่มตลาดหลักอย่างจีนและเกาหลีใต้ สะท้อนความเปลี่ยนแปลงสำคัญในภูมิทัศน์อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของภูมิภาค โดยในอดีต ไทยเคยเป็นจุดหมายหลักของนักท่องเที่ยวจีนและเกาหลีมาโดยตลอด แต่ปัจจุบันนักท่องเที่ยวทั้งสองชาติกลับเลือกเวียดนามเป็นปลายทางมากขึ้น เนื่องจากหลายปัจจัย เช่น นโยบายดึงดูดการท่องเที่ยวเชิงรุก การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และความหลากหลายทางวัฒนธรรมที่ตอบโจทย์นักเดินทางรุ่นใหม่

ไทยยังคงตัวเลขรวมสูงแต่แนวโน้มชะลอตัว

แม้ไทยจะยังมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติสะสมสูงกว่า โดยข้อมูลสะสมตั้งแต่ 1 ม.ค.–25 พ.ค. 2568 ไทยต้อนรับนักท่องเที่ยวรวมกว่า 13 ล้านคน แต่สัปดาห์ล่าสุดกลับมีแนวโน้มชะลอตัวลง นักท่องเที่ยวลดลง 5.11% โดยเฉพาะกลุ่มจีน เกาหลีใต้ และมาเลเซีย ลดลง 8.26%, 1.72% และ 1.42% ตามลำดับ สะท้อนแรงกดดันด้านการแข่งขันจากเวียดนามและความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจในภูมิภาค

ตลาดจีนซึ่งเคยเป็น “หมุดทองคำ” ของไทย เริ่มแปรเปลี่ยนฐานความนิยม โดยจำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่เข้าเวียดนามสูงกว่าของไทยอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ กลุ่มนักท่องเที่ยวจากเกาหลีใต้ซึ่งถือเป็น “กำลังซื้อหลัก” ของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทย ก็เลือกเวียดนามเพิ่มขึ้นในอัตราที่รวดเร็ว

วิเคราะห์ปัจจัยสำคัญที่เปลี่ยนทิศการท่องเที่ยว

หนึ่งในปัจจัยหลักที่นักวิเคราะห์ชี้ชัด คือการที่เวียดนามใช้นโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง ทั้งการพัฒนาเส้นทางบินตรง การเปิดเมืองใหม่ การพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวใหม่ๆ รวมถึงราคาค่าครองชีพที่เหมาะสม ในขณะที่ประเทศไทยกำลังเผชิญกับปัญหาค่าเงินบาทแข็ง อัตราค่าครองชีพสูง รวมถึงความกังวลในเรื่องความปลอดภัยที่ถูกหยิบยกในสื่อระหว่างประเทศ

นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ให้ความเห็นว่า สาเหตุหลักของการลดลงของจำนวนนักท่องเที่ยวจีน ญี่ปุ่น และต่างชาติส่วนหนึ่งมาจากความกังวลเรื่องความปลอดภัยและอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาทที่แข็งค่า ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายท่องเที่ยวในไทยสูงขึ้น ทำให้เวียดนามกลายเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับกลุ่มนี้

ทิศทางการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน กลายเป็นความท้าทายของไทย

รายงานจาก Lao Tien Times ในงาน Thailand Tourism Forum 2025 เมื่อ 7 พฤษภาคม 2568 ชี้ว่า ไทยกำลังตกเป็นรองในด้านการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน โดยมีเพียง 109 โรงแรม หรือไม่ถึง 1% ของโรงแรมทั่วประเทศ ที่ผ่านการรับรองมาตรฐานสากลด้านความยั่งยืน ขณะที่แพลตฟอร์มการจองและเทคโนโลยี AI เริ่มให้ความสำคัญกับสถานประกอบการที่มีใบรับรองมาตรฐานอย่างเข้มงวด ส่งผลให้โรงแรมไทยที่ไม่ผ่านมาตรฐานอาจถูกกันออกจากตลาดสำคัญ เช่น การเดินทางเพื่อธุรกิจและกลุ่ม MICE

อาลิสา ศิวายะธร CEO Sivatel Bangkok Hotel กล่าวในงานว่า กระแสความต้องการท่องเที่ยวเชิงรับผิดชอบกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว ไม่ใช่แค่ “เทรนด์” อีกต่อไป แต่เป็น “มาตรฐานใหม่ของโลก” โดยเฉพาะนักเดินทางจากยุโรปที่มีการออกกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมเข้มข้นมากขึ้น

แม้ผู้บริโภคไทยจะมีความสนใจเรื่องสิ่งแวดล้อม โดยพบว่าในปี 2567-2568 มีโพสต์เกี่ยวกับการลดใช้พลาสติกและขยะกว่า 6,800 โพสต์บนโซเชียลมีเดีย และมีผู้มีส่วนร่วมมากกว่า 1.2 ล้านครั้ง ข้อมูลจากผลสำรวจระบุว่า 65% ของนักท่องเที่ยวไทยยินดีจ่ายเงินมากขึ้นเพื่อประสบการณ์ท่องเที่ยวที่ยั่งยืน และ 62% ยินดีจ่ายเพิ่มเพื่อเลี่ยงการใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียว แต่ราคายังเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ผู้บริโภคบางกลุ่มเลือกวิธีที่ประหยัดมากกว่าสิ่งแวดล้อม

ลาวโดดเด่นบนเวทีโลก ผลักดันเมืองหลวงพระบางสู่มาตรฐานโลก

ขณะที่ไทยกำลังดิ้นรนกับมาตรฐานความยั่งยืน ลาวกลับมีความคืบหน้าสำคัญ หลวงพระบางได้รับรางวัลอันดับ 3 ใน Green Destinations Top 100 Story Awards สาขาการบริหารจัดการแหล่งท่องเที่ยว (Destination Management) ณ งาน ITB Berlin เมื่อเดือนมีนาคม 2568 นอกจากนี้ หลวงพระบางอยู่ระหว่างการเตรียมตัวขอรับรอง Green Destination Certification อย่างเป็นทางการ ซึ่งจะยกระดับภาพลักษณ์เมืองมรดกโลกให้สูงขึ้นไปอีกขั้น

สถิติล่าสุดระบุว่าในปีที่ผ่านมา หลวงพระบางมีนักท่องเที่ยวทั้งชาวลาวและต่างชาติกว่า 2.3 ล้านคน สร้างรายได้มากกว่า 1.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ เช่น น้ำตกกวงสี วัดเชียงทอง ภูสี และตลาดกลางคืน ยังคงเป็นแม่เหล็กสำคัญ

ทางออกและมาตรการกระตุ้นท่องเที่ยวไทย

นายจักรพล ตั้งสุทธิธรรม ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ระบุว่ารัฐบาลกำลังเร่งดำเนินมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวไทยอย่างต่อเนื่อง เช่น โครงการ “สวัสดีหนีห่าว” ที่นำผู้ประกอบการและ KOL จากจีนเข้าร่วมงานโปรโมตประเทศไทย พร้อมขยายตลาด “Long haul” หรือกลุ่มเดินทางไกล ขณะที่ยังต้องรักษาตลาด “Short haul” หรือกลุ่มระยะใกล้ โดยมีมาตรการเสริมสร้างความเชื่อมั่นเรื่องความปลอดภัย และอำนวยความสะดวกผ่านระบบ ตม.6

นางสาวฐาปนีย์ ยังยืนยันว่า ไทยมีศักยภาพขยายตลาดใหม่ พร้อมย้ำถึงมาตรการเชิงรุกที่จะทำให้ตลาดจีนและกลุ่มเป้าหมายสำคัญกลับมาเติบโตในครึ่งปีหลัง

วิเคราะห์แนวโน้ม อุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยในปี 2568

สถานการณ์การแข่งขันของเวียดนามและไทยในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวปี 2568 สะท้อนให้เห็นถึงความจำเป็นในการปรับกลยุทธ์ของไทย ทั้งในแง่ของการขยายตลาดใหม่ การยกระดับมาตรฐานความยั่งยืน และการเสริมสร้างความมั่นใจด้านความปลอดภัยและประสบการณ์ท่องเที่ยว ตลอดจนการเน้นกลยุทธ์การตลาดที่สอดคล้องกับพฤติกรรมนักท่องเที่ยวรุ่นใหม่ที่ให้ความสำคัญกับประสบการณ์ ความคุ้มค่า และความรับผิดชอบต่อสังคม

สถิติสำคัญและแหล่งอ้างอิง

  • เวียดนามมีนักท่องเที่ยวต่างชาติ 7.67 ล้านคน ช่วง 4 เดือนแรกของปี 2568 (+23.8%) (อ้างอิง: สำนักงานการท่องเที่ยวแห่งชาติเวียดนาม)
  • ไทยมีนักท่องเที่ยวสะสมกว่า 13 ล้านคน (1 ม.ค.–25 พ.ค. 2568) (อ้างอิง: กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา)
  • นักท่องเที่ยวจีนเยือนเวียดนาม 1.95 ล้านคน ไทย 1.82 ล้านคน (อ้างอิง: สำนักงานการท่องเที่ยวแห่งชาติเวียดนาม, กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา)
  • นักท่องเที่ยวเกาหลีใต้เยือนไทย 600,000 คน ขณะที่เวียดนาม 1.58 ล้านคน (อ้างอิง: สำนักงานการท่องเที่ยวแห่งชาติเวียดนาม)
  • ไทยมีโรงแรมที่ได้รับการรับรองมาตรฐานความยั่งยืนเพียง 109 แห่ง (<1%) (อ้างอิง: Siam Commercial Bank Economic Intelligence Center, Lao Tien Times)
  • หลวงพระบาง ลาว มีนักท่องเที่ยว 2.3 ล้านคน รายได้ 1.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (อ้างอิง: กรมการท่องเที่ยวและวัฒนธรรมลาว, ITB Berlin 2025)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • สำนักงานการท่องเที่ยวแห่งชาติเวียดนาม
  • กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
  • Siam Commercial Bank
  • Economic Intelligence Center
  • Lao Tien Times
  • งาน ITB Berlin 2025
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

รัฐบาลทุ่ม ‘พันล้าน’ พัฒนา 141 โครงการพลิกโฉม ‘เชียงราย’

จังหวัดเชียงรายเดินหน้า141 โครงการ พัฒนาท้องถิ่น ใช้งบกว่า 1,000 ล้าน ยกระดับคุณภาพชีวิต-เกษตรกรรม-ท่องเที่ยว

เชียงราย,31 พฤษภาคม 2568 – ท่ามกลางเป้าหมายในการสร้างจังหวัดเชียงรายให้เป็นหนึ่งในศูนย์กลางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวของภาคเหนือ รัฐบาลกลางได้เปิดโอกาสให้แต่ละจังหวัดจัดทำข้อเสนอแผนพัฒนาพื้นที่เพื่อนำเสนอรับงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2568 ภายใต้กรอบวงเงินรวมกว่า 157,000 ล้านบาท ซึ่งจังหวัดเชียงรายได้เร่งจัดทำแผนโครงการพัฒนาจำนวน 141 รายการ วงเงินรวมมากกว่า 1,000 ล้านบาท ครอบคลุม 18 อำเภอทั่วจังหวัด โดยเน้นหนักในด้านโครงสร้างพื้นฐาน การจัดการน้ำ การป้องกันตลิ่ง การส่งเสริมการท่องเที่ยว และความปลอดภัยในชุมชน

การเคลื่อนไหวเชิงนโยบายนี้ ไม่เพียงสะท้อนถึงความตั้งใจของจังหวัดในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การพัฒนาที่ยั่งยืน หากแต่ยังเป็นการต่อยอดจากปัญหาที่มีมานาน ทั้งถนนชำรุด น้ำท่วมซ้ำซาก และการขาดโครงสร้างพื้นฐานรองรับนักท่องเที่ยวที่กำลังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเชียงรายเริ่มกลายเป็นจุดหมายของนักลงทุนและนักเดินทางจากประเทศเพื่อนบ้าน

จุดเริ่มต้นของการเสนอแผนงบประมาณเชิงพื้นที่

ในช่วงต้นปี 2568 จังหวัดเชียงรายได้จัดประชุมร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หน่วยงานราชการ และภาคประชาสังคม เพื่อรวบรวมปัญหาและความต้องการเร่งด่วนในพื้นที่ ก่อนจะสังเคราะห์เป็นแผนงบประมาณ โดยให้ความสำคัญกับการกระจายงบอย่างเป็นธรรม และเน้นผลสัมฤทธิ์เชิงพื้นที่อย่างแท้จริง

โครงการทั้งหมดถูกรวบรวมและจัดลำดับความสำคัญ โดยสำนักงานจังหวัดเชียงราย และนำเสนอเข้าสู่ระบบงบประมาณตามกรอบของสำนักงบประมาณ กระทรวงการคลัง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ

  1. เพิ่มประสิทธิภาพโครงสร้างพื้นฐานการคมนาคมและสาธารณูปโภค
  2. พัฒนาระบบบริหารจัดการน้ำเพื่อการเกษตรและอุปโภคบริโภค
  3. ลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติธรรมชาติ
  4. สร้างรายได้จากการท่องเที่ยวชุมชน
  5. เสริมความปลอดภัยในพื้นที่และความมั่นใจให้นักท่องเที่ยว

วิเคราะห์โครงการเด่นและผลประโยชน์ที่ประชาชนได้รับ

  1. ด้านโครงสร้างพื้นฐานและถนน (วงเงินรวมประมาณ 330 ล้านบาท)
  • ถนน คสล. สาย ชร.ถ.69-146 บ้านโป่งเกลือใต้ อ.เมือง วงเงิน 11,166,000 บาท ครอบคลุมประชาชน 988 คน
  • งานบำรุงทางหลวง 1098 และ 1429 ใน อ.แม่จัน และ อ.เชียงแสน ใช้งบกว่า 30 ล้านบาท
  • ถนนสายรองในพื้นที่ชนบทอีกกว่า 10 โครงการ ครอบคลุมผู้ใช้งานรวมกว่า 100,000 คน
  1. ระบบน้ำเพื่อการเกษตรและชลประทาน (วงเงินรวมกว่า 400 ล้านบาท)
  • สถานีสูบน้ำบ้านสบคำ อ.เชียงแสน วงเงิน 45 ล้านบาท ครอบคลุมพื้นที่เพาะปลูก 1,500 ไร่
  • ขุดลอกลำห้วยน้ําเหลือง ต.ท่าสุด อ.เมือง วงเงิน 497,500 บาท ได้ประโยชน์กว่า 12,000 คน
  • ปรับปรุงอ่างเก็บน้ำหนองแหวน และอ่างใน ต.นางแล รวมกว่า 10 โครงการ
  1. ป้องกันตลิ่งและภัยธรรมชาติ (รวมกว่า 100 ล้านบาท)
  • เขื่อนริมแม่น้ำกก หลังศูนย์ราชการ อ.เมือง วงเงิน 1,292,000 บาท คุ้มครอง 500 ครัวเรือน
  • เขื่อนริมแม่น้ำลาว บ้านเฟือยไฮ อ.เวียงป่าเป้า งบ 2.8 ล้านบาท ปกป้องพื้นที่เกษตรกว่า 1,500 ไร่
  1. ส่งเสริมการท่องเที่ยวและความปลอดภัย (วงเงินรวมกว่า 25 ล้านบาท)
  • ปรับปรุงสวนญี่ปุ่น – สวนตุง – สวนหิน อ.เวียงเชียงรุ้ง วงเงินรวม 1.5 ล้านบาท
  • รถรางนำเที่ยว บ้านโป่งศรีนคร ต.โรงช้าง งบ 900,000 บาท
  • กล้องวงจรปิด 120 จุด ต.โรงช้าง งบ 1.2 ล้านบาท เพื่อเพิ่มความมั่นใจนักท่องเที่ยว

ใครได้ประโยชน์จากแผนนี้

จากการวิเคราะห์เชิงพื้นที่ พบว่าประชาชนกว่า 250,000 คนใน 18 อำเภอจะได้รับประโยชน์โดยตรง โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบทที่ขาดแคลนสาธารณูปโภค โดยแบ่งเป็นกลุ่มหลัก ได้แก่:

  • เกษตรกร ได้รับประโยชน์จากระบบน้ำและการชลประทานที่เพิ่มขึ้น
  • ผู้สัญจรและชาวบ้านในพื้นที่ห่างไกล ได้ใช้ถนนใหม่ ปลอดภัยขึ้น และลดเวลาเดินทาง
  • ผู้ประกอบการในชุมชนและภาคการท่องเที่ยว ได้รับประโยชน์จากการเพิ่มระบบโครงสร้างและเครื่องมือสนับสนุน
  • ประชาชนทั่วไป มีความมั่นใจในระบบความปลอดภัยมากขึ้นจากกล้อง CCTV และเขื่อนป้องกันน้ำหลาก

วิเคราะห์แนวโน้มและผลลัพธ์เชิงระบบ

แม้งบประมาณที่เสนอยังอยู่ในกระบวนการพิจารณา แต่โครงการที่นำเสนอมีความเชื่อมโยงกับแผนพัฒนาจังหวัดและเป้าหมาย BCG Economy ได้แก่

  • การใช้ทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืน ผ่านระบบสูบน้ำและฝายแบบประหยัดพลังงาน
  • การส่งเสริมเศรษฐกิจหมุนเวียน ด้วยการพัฒนาท่องเที่ยวชุมชนและใช้ทรัพยากรในท้องถิ่น
  • การสร้างรายได้ให้คนในพื้นที่ ผ่านงานก่อสร้างและระบบบริการในแต่ละโครงการ

ในระยะยาว หากโครงการทั้งหมดได้รับงบสนับสนุนและบริหารจัดการได้อย่างโปร่งใส จะสามารถยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน ลดความเหลื่อมล้ำ และเสริมศักยภาพของเชียงรายในการเป็นเมืองเศรษฐกิจชายแดนเต็มรูปแบบ

สถิติประกอบข่าว

  • จำนวนโครงการทั้งหมด 141 โครงการ
  • วงเงินรวม1,226,677,700 บาท
  • ประชาชนที่ได้รับประโยชน์โดยตรง ราว 250,000 คน
  • พื้นที่เกษตรกรรมที่ได้รับการพัฒนา มากกว่า 20,000 ไร่
  • งบโครงสร้างพื้นฐาน 330 ล้านบาท
  • งบระบบน้ำ 400 ล้านบาท
  • งบป้องกันภัยพิบัติ: 100 ล้านบาท
  • งบท่องเที่ยวและความปลอดภัย 25 ล้านบาท

ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย

เพื่อให้การดำเนินโครงการภายใต้งบประมาณกว่า 1,000 ล้านบาทของจังหวัดเชียงรายเกิดผลสัมฤทธิ์อย่างเป็นรูปธรรมและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนในพื้นที่ ควรมีแนวทางสนับสนุนเพิ่มเติม

  1. จัดให้มีระบบติดตามและประเมินผลอย่างโปร่งใส
    ควรเผยแพร่ความคืบหน้าการดำเนินโครงการผ่านเว็บไซต์หรือแพลตฟอร์มสาธารณะของจังหวัด พร้อมรายละเอียดงบประมาณที่ใช้ในแต่ละช่วง เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงและตรวจสอบได้
  2. เปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นระดับอำเภอ
    การจัดประชุมหรือเวทีเสวนาร่วมกับประชาชนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบหรือเกี่ยวข้องกับโครงการ จะช่วยให้เกิดความเข้าใจร่วมกัน และปรับแผนให้สอดคล้องกับความต้องการจริงของพื้นที่
  3. ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการจัดเก็บข้อมูลและรายงานผล
    เช่น การสร้างระบบฐานข้อมูลกลางหรือแดชบอร์ดออนไลน์ที่แสดงความก้าวหน้าของแต่ละโครงการแบบเรียลไทม์ ซึ่งช่วยลดความล่าช้าและเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ
  4. บูรณาการแผนงานร่วมกับส่วนกลางและท้องถิ่น
    การเชื่อมโยงเป้าหมายของจังหวัดกับแผนระดับกระทรวง หน่วยงานรัฐ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จะช่วยให้การดำเนินงานไม่ซ้ำซ้อนและสามารถต่อยอดเป็นโครงการเชิงระบบในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • เอกสารงบประมาณ “บัญชีโครงการที่เสนอขอภายใต้แผนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายใต้กรอบวงเงิน 157,000 ล้านบาทของจังหวัดเชียงราย” จากสำนักงานจังหวัดเชียงราย
  • ข้อมูลสถิติจำนวนประชากร: สำนักงานสถิติแห่งชาติ (2567)
  • แผนพัฒนาจังหวัดเชียงราย พ.ศ. 2566 – 2570
  • แนวทางการจัดทำงบประมาณภาครัฐ ประจำปี พ.ศ. 2568 จากสำนักงบประมาณ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
EDITORIAL WORLD PULSE

ความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา 75 ปี แห่งการเติบโต

75 ปีความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา ยิ่งรู้ ยิ่งเข้าใจ ยิ่งร่วมมือ สู่อนาคตประชาชนสองแผ่นดิน

จุดเริ่มต้นแห่งมิตรภาพ รากฐานทางการทูตและวัฒนธรรมอันมั่นคง

เมื่อย้อนเวลากลับไปในปี พ.ศ. 2493 ความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างประเทศไทยและราชอาณาจักรกัมพูชาได้ถือกำเนิดขึ้นอย่างเป็นทางการ ท่ามกลางยุคแห่งความเปลี่ยนแปลงที่ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กำลังตื่นตัวหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ทั้งสองประเทศมีพรมแดนติดกัน และวัฒนธรรมที่โยงใยกันอย่างแน่นแฟ้น นี่คือจุดตั้งต้นของ “สะพานมิตรภาพ” ที่ไม่ใช่เพียงระดับรัฐบาล แต่หยั่งรากลึกสู่หัวใจของประชาชน ชุมชน และภาคส่วนต่างๆ ในสังคม

ความสัมพันธ์ระหว่างไทยและกัมพูชาต้องผ่านอุปสรรคหลากหลาย ทั้งเรื่องพรมแดน ความแตกต่างทางวัฒนธรรม และความเข้าใจผิดที่ถูกปลูกฝังจากอดีต อย่างไรก็ดี ด้วยจิตวิญญาณแห่งการสร้างสรรค์และความมุ่งมั่นในการร่วมมือ ทั้งสองชาติสามารถเดินข้ามความยากลำบาก ผ่านการเจรจาอย่างมีวุฒิภาวะ การแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม และโครงการร่วมมือหลากหลายที่เกิดขึ้นในทุกภูมิภาค

เมืองชายแดนอย่างจังหวัดสระแก้วของไทยและจังหวัดบันเตียเมียนเจย (Banteay Meanchey) ของกัมพูชา กลายเป็นศูนย์กลางการค้าขายและแลกเปลี่ยนสินค้า ความคึกคักของตลาดชายแดน กิจกรรมวัฒนธรรม งานประเพณีข้ามพรมแดน และความสัมพันธ์ระหว่างเยาวชนทั้งสองประเทศ ล้วนขยายขอบเขตของมิตรภาพให้แน่นแฟ้นขึ้นในทุกยุคสมัย

แกนกลางแห่งความร่วมมือ เศรษฐกิจ การลงทุน การค้า และประชาชน เศรษฐกิจและการค้าไทย-กัมพูชา เส้นทางที่เติบโตต่อเนื่อง

ข้อมูลจาก คุณนฤมล รินเรืองสิน รองประธานสมาคมธุรกิจไทยในกัมพูชา (Thai Business Council in Cambodia- TBCC) ชี้ว่า ในปี 2567 มูลค่าการค้าระหว่างไทยและกัมพูชาทะยานสูงถึง 10,000 ล้านเหรียญสหรัฐ สินค้าหลักที่ไทยส่งออกไปกัมพูชา ได้แก่ อาหาร สินค้าอุปโภคบริโภค วัสดุก่อสร้างและเครื่องจักรกลการเกษตร ขณะที่กัมพูชาส่งออกสินค้าการเกษตรและวัตถุดิบสำคัญมายังประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง

ธุรกิจไทยยังขยายตัวในกัมพูชาอย่างมั่นคง เช่น ปตท. ซึ่งมีสถานีบริการน้ำมัน 184 แห่ง คาเฟ่อเมซอนกว่า 154 สาขา และกลุ่มค้าปลีกอย่างบิ๊กซี แมคโคร เซเว่น อีเลฟเว่น ของซีพี ออลล์ ที่มีทั้งหมด 120 แห่ง ขยายสาขาในเมืองสำคัญของกัมพูชา เช่น พนมเปญ สีหนุวิลล์ และเสียมราฐ เอสซีจีลงทุนก่อสร้างโรงงานปูนซิเมนต์ อย่าง K Cement โรงงานผลิตพีวีซี และไทยยังมีบทบาทสำคัญในธุรกิจสุขภาพและการแพทย์ โดยเฉพาะโรงพยาบาลรอยัลพนมเปญในเครือโรงพยาบาลกรุงเทพและเครือข่ายคลินิกไทย

คุณชลธิศ เทพยศ ที่ปรึกษาฝ่ายพาณิชย์ สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงพนมเปญ ย้ำว่ากัมพูชาเปิดกว้างอย่างจริงจังต่อนักลงทุนต่างชาติ โดยเฉพาะการออกนโยบายยกเว้นภาษี 12 ปี และยกเว้นอากรนำเข้าเครื่องจักรในเขตเศรษฐกิจพิเศษ ส่งผลให้ผู้ประกอบการไทยแสดงความสนใจขยายธุรกิจในกัมพูชามากขึ้นทุกปี

เกษตรกรรมและอุตสาหกรรมการยกระดับความร่วมมือเพื่อความมั่นคงอาหารภูมิภาค

กัมพูชามีศักยภาพสูงด้านการผลิตมะม่วงหิมพานต์ มะม่วง ทุเรียน และข้าวโพด โดยเฉพาะบริเวณทะเลสาบโตนเลสาบซึ่งเป็นแหล่งน้ำสำคัญ ไทยจึงสามารถเข้าไปลงทุนในโรงงานแปรรูปทุเรียนอบแห้ง มะม่วงแห้ง เพื่อตอบสนองตลาดในประเทศและต่างประเทศ ขณะเดียวกันรัฐบาลกัมพูชาเน้นพัฒนาพื้นที่สี่จังหวัดสำคัญ ได้แก่ กระแจะ สตึงแตรง รัฒนคีรี มณฑลคีรี เพื่อดึงดูดนักลงทุนไทยในอุตสาหกรรมเกษตรและแปรรูปอาหาร

การลงทุนและห่วงโซ่อุปทานความเชื่อมโยงใหม่ของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน

ตุลย์ ไตรโสรัส เอกอัครราชทูต ณ กรุงพนมเปญ กล่าวว่า ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา การลงทุนของไทยในกัมพูชาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สภาธุรกิจไทย-กัมพูชา (Thai Business Council in Cambodia) รายงานว่า ไทยเป็นนักลงทุนอันดับ 4 ในกัมพูชา ครอบคลุมธุรกิจค้าปลีก พลังงาน เกษตร อุตสาหกรรมอาหาร และบริการทางการแพทย์ รวมถึงเทคโนโลยีใหม่และดิจิทัล

การพัฒนาห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ระหว่างสองประเทศช่วยให้สินค้าไทยมีโอกาสเข้าสู่ตลาด CLMV (กัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนาม) ได้สะดวกขึ้น ขณะเดียวกันกัมพูชาก็สามารถใช้ไทยเป็นประตูออกสู่ตลาดสากลผ่านนิคมอุตสาหกรรมและด่านโลจิสติกส์ชายแดน

การศึกษาและวัฒนธรรม สร้างพื้นฐานความเข้าใจระหว่างประชาชน ความร่วมมือทางการศึกษา สะพานแห่งโอกาสสำหรับเยาวชน

มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ของไทยและมหาวิทยาลัยชั้นนำด้านเกษตรในกัมพูชาได้ลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ในการพัฒนาบุคลากรสาขาเกษตร อุตสาหกรรมเกษตร และเทคโนโลยีแปรรูปอาหาร ขณะที่มหาวิทยาลัยอุบลราชธานีและมหาวิทยาลัยพระตะบอง ร่วมมือกันจัดหลักสูตรภาษาไทยพิเศษ ซึ่งได้รับความนิยมในหมู่นักศึกษากัมพูชา โดยในปี 2567 จำนวนนักศึกษากัมพูชาที่เลือกเรียนภาษาไทยเพิ่มขึ้น 20% จากปีก่อนหน้า

นอกจากนั้น วัฒนธรรมไทยได้รับความนิยมสูงในกัมพูชา สะท้อนผ่านละคร ภาพยนตร์ เพลง และศิลปินไทยที่ครองใจเยาวชนกัมพูชา กระแส Soft Power นี้เป็นเครื่องมือสำคัญในการเชื่อมโยงความรู้สึกและความเข้าใจระหว่างประชาชน

กิจกรรมเยาวชนและโครงการแลกเปลี่ยน สร้างมิตรภาพข้ามพรมแดน

นายฮก โซะเพีย (H.E. Mr. Hok Sophea) รองโฆษกกระทรวงการต่างประเทศกัมพูชา และคณะ เพื่อรับฟังข้อมูลนโยบายด้านการต่างประเทศของกัมพูชา และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในประเด็นการรักษาความสัมพันธ์อันดีระหว่าง 2 ประเทศในทุกๆ ระดับชั้น  ตลอด 75 ปีที่ผ่านมา โครงการแลกเปลี่ยนนักศึกษาและเยาวชนระหว่างสองชาติขยายตัวต่อเนื่อง เช่น โครงการโฮมสเตย์และโครงการ Summer Camp สำหรับนักเรียนมัธยมปลาย กิจกรรมเยาวชนเหล่านี้ช่วยให้เยาวชนได้เรียนรู้วิถีชีวิต วัฒนธรรม และสร้างสายสัมพันธ์ที่จะหล่อเลี้ยงมิตรภาพในอนาคต

การท่องเที่ยวเชื่อมโยงเศรษฐกิจและวัฒนธรรมด้วยประสบการณ์จริง นักท่องเที่ยวไทย-กัมพูชา ตัวเลขที่เติบโตสู่เป้าหมายร่วม

ในปี 2567 นักท่องเที่ยวไทยเดินทางมากัมพูชาจำนวนกว่า 2.6 ล้านคน ถือเป็นกลุ่มที่มีจำนวนมากที่สุดในกัมพูชา ขณะที่ไทยก็เป็นจุดหมายหลักของนักท่องเที่ยวกัมพูชา แคมเปญ “Two Kingdoms, One Destination” ที่ทั้งสองประเทศร่วมกันส่งเสริม สร้างประสบการณ์ท่องเที่ยวข้ามพรมแดนใหม่ ๆ เช่น การท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ เส้นทางมรดกโลก และกิจกรรมวัฒนธรรมร่วม

กิจกรรมเด่น เช่น ฟุตบอลมิตรภาพเดือนกุมภาพันธ์ 2568 และวิ่งมาราธอนข้ามสะพานมิตรภาพไทย-กัมพูชาในเดือนมีนาคม 2568 มีผู้เข้าร่วมกว่า 700 คน ช่วยสร้างความผูกพันระหว่างชุมชนชายแดน

โลจิสติกส์และคมนาคมพื้นฐานเศรษฐกิจอนาคต

การพัฒนาความเชื่อมโยงระหว่างเมืองสำคัญของทั้งสองชาติด้วยถนน รถไฟ เรือ และเที่ยวบินตรง มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการสนับสนุนเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว พร้อมผลักดันให้เกิดการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานใหม่ที่รองรับการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว

การรับมือกับความท้าทาย การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศและความมั่นคงอาหาร

การเข้าไปได้ลองศึกษาดูงานภาคการเกษตรของกัมพูชาที่ไร่ La Plantation ซึ่งเป็นไร่พริกไทย และผลไม้ ใน จ.กำปอต และเป็น Argro-Tourism Site ที่ได้รับการรับรองโดยกระทรวงท่องเที่ยวของกัมพูชา เห็นได้ว่าทั้งสองประเทศให้ความสำคัญกับความร่วมมือด้านการเกษตรยั่งยืนและการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ เทคโนโลยี และประสบการณ์จริงด้านสิ่งแวดล้อมช่วยให้ไทยและกัมพูชารับมือกับปัญหาอย่างมีประสิทธิภาพและเสริมสร้างความมั่นคงอาหารในภูมิภาค 

เสียงจากภาคประชาชนและนักวิชาการมุมมองใหม่ต่อความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา สัมภาษณ์และข้อคิดเห็นจากผู้นำชุมชนและผู้เชี่ยวชาญ

ในการเดินทางเยือนกรุงพนมเปญของคณะสื่อมวลชนไทย มีการสัมภาษณ์และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับทั้งเจ้าหน้าที่รัฐบาลกัมพูชา ผู้นำชุมชน และนักธุรกิจไทยในพื้นที่ ซึ่งต่างสะท้อนมุมมองว่า ความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชามีความแน่นแฟ้นจากระดับผู้นำสู่ระดับประชาชน แม้จะมีประเด็นละเอียดอ่อน เช่น ปัญหาเขตแดน OCA (Overlapping Claim Area) แต่ทั้งสองชาติยังคงให้ความสำคัญกับการเจรจาและเคารพซึ่งกันและกัน

ฝ่ายค้านในทั้งสองประเทศยังมีบทบาทในการกำหนดทิศทางนโยบายสาธารณะ โดยเฉพาะในกัมพูชา ซึ่งเยาวชนกว่า 30% ต้องการปฏิรูปการเมือง ผู้เชี่ยวชาญเน้นว่าความสำเร็จในการพัฒนาร่วมต้องฟังเสียงประชาชนและไม่ผูกขาดการตัดสินใจไว้ในกลุ่มอำนาจเดิม

บทบาทของสื่อและการตรวจสอบข้อมูลจุดเปลี่ยนของความเข้าใจ

ในยุคที่โซเชียลมีเดียเป็นปัจจัยสำคัญต่อการรับรู้ข่าวสาร ข้อมูลผิดพลาดและข่าวปลอมสามารถสร้างความเข้าใจผิดในหมู่ประชาชนได้ง่าย สถานเอกอัครราชทูตไทยและสมาคมธุรกิจไทยในกัมพูชา ตลอดจนสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ จึงร่วมกันผลักดันโครงการอบรมสื่อทั้งสองประเทศ ส่งเสริมการรายงานข่าวที่สร้างสรรค์ และการตรวจสอบข้อมูลอย่างเป็นระบบ อ้างอิงจากการเข้าพบ Dr. Vannarith Chheang ประธานที่ปรึกษารัฐสภาแห่งชาติ (Chairman of advisory council of the National Assembly of the Kingdom of Cambodia)

ประสบการณ์จริงจากทีมข่าว “ยิ่งรู้ยิ่งเข้าใจ” กับบทเรียนจากพนมเปญ เมื่อการเดินทางเปลี่ยนมุมมอง

ทีมข่าวไทยที่เดินทางร่วมกับคณะสื่อมวลชนต่างชาติ สัมผัสบรรยากาศพนมเปญเมืองหลวงที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว อาคารสูงทันสมัย ถนนหนทางสะอาด ผู้คนมีระเบียบวินัยและเปี่ยมด้วยรอยยิ้ม การได้สัมผัสชีวิตจริงของคนกัมพูชา เปลี่ยนความคิดที่เคยมีจากภาพจำเก่าๆ ที่รับรู้ผ่านข่าวหรืออคติทางประวัติศาสตร์ กลายเป็นความเข้าใจใหม่ที่ลึกซึ้ง

หลายคนเล่าว่า “ความแตกต่างทางเศรษฐกิจและสังคมเป็นเพียงเปลือกนอก แต่หัวใจของประชาชนทั้งสองประเทศเหมือนกัน คืออยากให้ครอบครัวมีความสุข มีบ้านที่ปลอดภัย มีอาชีพมั่นคง และมีโอกาสทางการศึกษา”

มิตรภาพที่แท้จริง สื่อมวลชน นักธุรกิจ และเจ้าหน้าที่การทูตในบทบาท ‘คนกลาง’

สถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงพนมเปญ อธิบายว่า บทบาทของ “คนกลาง” คือการฟังและเข้าใจหัวใจคนทั้งสองฝั่ง ไม่ใช่แค่ถ่ายทอดความเห็นแต่เป็นสะพานที่เชื่อมโยงความเข้าใจระหว่างกันโดยไม่ใช้อีโก้

การพบปะกับสมาคมนักข่าวกัมพูชาและสมาคมธุรกิจไทยในกัมพูชา เปิดมุมมองใหม่ว่า แม้สื่อกัมพูชาจะยังไม่เสรีอย่างเต็มที่ แต่สามารถควบคุมกระแสข่าวปลอมได้อย่างมีประสิทธิภาพ รัฐบาลกัมพูชาเปิดรับฟังเสียงประชาชนและให้โอกาสแก่ผู้ประกอบการรายใหม่

ความสำเร็จและโอกาสในอนาคต

  • การค้ารวม 10,000 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2567 (อ้างอิง: กระทรวงพาณิชย์แห่งประเทศไทย)
  • ไทยเป็นนักลงทุนต่างชาติอันดับ 4 ในกัมพูชา (อ้างอิง: สภาธุรกิจไทย-กัมพูชา)
  • นักท่องเที่ยวไทยเดินทางมากัมพูชามากถึง 2.6 ล้านคนในปีเดียว (อ้างอิง: การท่องเที่ยวแห่งชาติกัมพูชา)
  • นักศึกษากัมพูชาที่เลือกเรียนภาษาไทยเพิ่มขึ้น 20% (อ้างอิง: มหาวิทยาลัยพระตะบอง)
  • โครงการแลกเปลี่ยนเยาวชนและทุนการศึกษาร่วมกว่า 2,000 ทุน

ความท้าทายที่ต้องจับตาหลังสื่อไทยแลกเปลี่ยนข้อมูลสื่อกัมพูชาได้ นายปุย เกีย นายกสมาคมฯ ของคณะสื่อมวลชนกัมพูชาจากสมาคมนักข่าวกับพูชา (Club of Cambodian Journalists)

  • ข่าวสารผิดพลาดในโซเชียลมีเดียและปัญหาข่าวปลอม
  • ความผันผวนทางเศรษฐกิจโลกและการแข่งขันด้านห่วงโซ่อุปทาน
  • โครงสร้างพื้นฐานโลจิสติกส์ชายแดนที่ต้องพัฒนา
  • ความแตกต่างทางวัฒนธรรมและช่องว่างระหว่างรุ่น

ข้อเสนอเพื่อความร่วมมือและเติบโตอย่างยั่งยืน

  1. ส่งเสริมการอบรมสื่อมวลชนและแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้อง
  2. ขยายโครงการแลกเปลี่ยนเยาวชนและนักศึกษาอย่างต่อเนื่อง
  3. เร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทั้งถนน รถไฟ และด่านชายแดนให้มีมาตรฐานสูงขึ้น
  4. สนับสนุนการลงทุนในเขตเศรษฐกิจพิเศษ การแปรรูปสินค้าเกษตร และนวัตกรรมเทคโนโลยีร่วม
  5. เสริมสร้างกลไกเจรจาแก้ปัญหาข้อพิพาทโดยใช้ช่องทางระหว่างประเทศ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ

บทความโดย : กันณพงศ์ ก.บัวเกษร ผู้ก่อตั้ง สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์ 
เรียบเรียงโดย : มนรัตน์ ก.บัวเกษร ผู้ร่วมก่อตั้ง สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์ 

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

อบจ.เชียงราย ยันจัดงาน “เชียงรายไพรด์ 2025” ที่เซ็นทรัล

เชียงรายไพรด์ 2025 – งานแห่งความกล้าหาญและความเท่าเทียม สะท้อนพลังบวกในสังคมและปักหมุดเชียงรายสู่เมืองต้นแบบแห่งความหลากหลายของประเทศไทย

เชียงราย, 28 พฤษภาคม 2568 – องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย) ร่วมแถลงข่าวเตรียมความพร้อมการจัดงาน “เชียงรายไพรด์ 2025” เพื่อส่งเสริมสิทธิความเท่าเทียมทางเพศ และเสริมสร้างพลังบวกแก่ชุมชน LGBTQIA+ จังหวัดเชียงรายเดินหน้าเป็นพื้นที่ต้นแบบแห่งความหลากหลายและการยอมรับความแตกต่าง หวังสร้างวัฒนธรรมใหม่แห่งความเท่าเทียมในสังคม

 

เชียงรายจับมือทุกภาคส่วน ประกาศจัด “เชียงรายไพรด์ 2025”

เมื่อวันพุธที่ 28 พฤษภาคม 2568 เวลา 15.00 น. ที่ห้องธรรมปัญญา องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย มอบหมายให้นายสุธีระพงษ์ วันไชยธนวงศ์ รองนายก อบจ.เชียงราย แถลงข่าวร่วมกับนายบุญส่ง ตินารี นายอำเภอเมืองเชียงราย และนายพงศ์ภีระ พัฐภีระพงศ์ ผู้อำนวยการมูลนิธิเอ็มพลัสเชียงราย พร้อมหัวหน้าส่วนราชการ ผู้แทนศูนย์การค้าเซ็นทรัลเชียงราย ตัวแทนภาคเอกชน ภาคประชาสังคม และอินฟลูเอ็นเซอร์ชื่อดัง รวมถึงเยาวชนและกลุ่ม LGBTQIA+ เข้าร่วมงานอย่างคึกคัก สะท้อนพลังการขับเคลื่อนของทุกภาคส่วนในพื้นที่

ผลักดันสิทธิความเท่าเทียมทางเพศ และพลังบวกในสังคม

นายสุธีระพงษ์ วันไชยธนวงศ์ รองนายก อบจ.เชียงราย ระบุว่า “เชียงรายไพรด์ 2025” ถือเป็นเวทีสำคัญในการแสดงออกถึงพลังแห่งความกล้าหาญ การยืนหยัด และการสนับสนุนสิทธิของพี่น้องผู้มีความหลากหลายทางเพศในจังหวัดเชียงรายและสังคมไทยโดยรวม ย้ำว่า อบจ.เชียงรายให้ความสำคัญกับสิทธิมนุษยชน ความเสมอภาค และการอยู่ร่วมกันอย่างเคารพในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์มาโดยตลอด

รองนายก อบจ.เชียงราย ยังกล่าวอีกว่า “ความหลากหลายทางเพศเป็นส่วนหนึ่งของความงดงามในวัฒนธรรมของสังคม ควรได้รับการสนับสนุนอย่างจริงจัง เชียงรายคือพื้นที่ที่ทุกคนสามารถเป็นตัวของตัวเองได้อย่างปลอดภัย ภาคภูมิใจ และมีคุณค่า”

การจัดงาน “เชียงรายไพรด์ 2025” สร้างพื้นที่ปลอดภัยและเฉลิมฉลองอัตลักษณ์

งาน “เชียงรายไพรด์ 2025” จะจัดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 22 มิถุนายน 2568 ณ ลานกาสะลอง ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเชียงราย ด้วยความร่วมมือจากมูลนิธิเอ็มพลัสเชียงราย และเครือข่ายภาครัฐ ภาคประชาสังคม และภาคเอกชน ภายในงานจะมีกิจกรรมเฉลิมฉลองและขบวนพาเหรดแห่งความภาคภูมิใจ รณรงค์ให้เกิดการยอมรับในความหลากหลายทางเพศ เวทีเสวนา และกิจกรรมสร้างสรรค์เพื่อชุมชน LGBTQIA+ พร้อมกระตุ้นการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจในท้องถิ่น

งานนี้ได้รับความร่วมมือจากศูนย์การค้าเซ็นทรัลเชียงราย ภาคธุรกิจ ภาคการท่องเที่ยว และภาคการศึกษาในจังหวัดอย่างกว้างขวาง เพื่อยกระดับภาพลักษณ์ของเชียงรายสู่เมืองแห่งความเท่าเทียมในระดับสากล

มุมมองและเสียงจากชุมชน LGBTQIA+ และเยาวชน

ภายในงานแถลงข่าวมีอินฟลูเอ็นเซอร์ชื่อดังของเชียงราย อาทิ ซัดดัมโซคิ้ว และมิว ลำสูลำ ที่มาร่วมแบ่งปันประสบการณ์ชีวิตในฐานะบุคคลหลากหลายทางเพศ พร้อมทั้งตัวแทนเยาวชนจากโครงการ MPLUS Ambassador ร่วมเวทีเสวนา ส่งเสียงของคนรุ่นใหม่ที่ต้องการสังคมที่เปิดกว้าง เป็นธรรม และให้คุณค่ากับทุกอัตลักษณ์

ผู้แทนเยาวชนได้กล่าวว่า “ความหวังของคนรุ่นใหม่ คือการสร้างสังคมที่ทุกคนรู้สึกมีคุณค่า มีพื้นที่ให้แสดงออกอย่างอิสระ ปลอดภัย และปราศจากอคติ”

ผลกระทบเชิงบวกต่อชุมชนและภาพลักษณ์เชียงราย

การจัดงาน “เชียงรายไพรด์ 2025” ไม่เพียงสร้างพลังบวกและแรงบันดาลใจให้กับผู้เข้าร่วมงาน แต่ยังส่งผลดีต่อภาพลักษณ์จังหวัดเชียงรายในฐานะพื้นที่ปลอดภัยสำหรับทุกเพศ เพิ่มโอกาสทางการท่องเที่ยว ส่งเสริมเศรษฐกิจและวัฒนธรรมในท้องถิ่น ให้จังหวัดเชียงรายเป็นจุดหมายของนักท่องเที่ยวและกลุ่ม LGBTQIA+ จากทั่วประเทศ

ข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติระบุว่า อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรม Pride ในหลายจังหวัด มีแนวโน้มเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2566 จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นหนึ่งในต้นแบบของการจัดงาน Pride สามารถสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวในช่วงจัดงานกว่า 250 ล้านบาท และคาดว่าจังหวัดเชียงรายจะได้รับประโยชน์ในลักษณะเดียวกัน

การพัฒนาอย่างยั่งยืนและแนวทางขับเคลื่อน

อบจ.เชียงราย และภาคีเครือข่ายยังเดินหน้าส่งเสริมบทบาทชุมชน LGBTQIA+ ในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ผ่านกิจกรรมให้ความรู้ การรณรงค์เชิงนโยบาย และการสร้างพื้นที่ปลอดภัยอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนการสนับสนุนการมีส่วนร่วมในกิจกรรมสาธารณะ และการพัฒนาทักษะเยาวชน เพื่อส่งเสริมความเท่าเทียมในทุกมิติ

จากข้อมูลของมูลนิธิเอ็มพลัส พบว่าจังหวัดเชียงรายมีประชากร LGBTQIA+ กว่า 6,000 คน หรือร้อยละ 2.5 ของประชากรทั้งจังหวัด และมีอัตราการเปิดเผยตัวตนในที่สาธารณะเพิ่มขึ้นกว่า 10% ต่อปี ในช่วงสามปีที่ผ่านมา สะท้อนให้เห็นถึงบรรยากาศที่เปิดกว้างและการยอมรับในพื้นที่

การวิเคราะห์และแนวโน้มอนาคต

เชียงรายไพรด์ 2025 เป็นมากกว่างานเฉลิมฉลอง แต่เป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงในเชิงโครงสร้างสังคม ประชาชน เยาวชน ภาคเอกชน และหน่วยงานรัฐต่างเห็นพ้องร่วมกันว่า “ความหลากหลายคือพลังในการขับเคลื่อนสังคมไทย” การจัดงานในครั้งนี้จะนำไปสู่การวางรากฐานของสังคมประชาธิปไตยที่ยั่งยืน ลดอคติทางเพศ และเสริมสร้างเศรษฐกิจในระยะยาว

สถิติและแหล่งอ้างอิง

  • จำนวนประชากร LGBTQIA+ จังหวัดเชียงราย กว่า 6,000 คน (มูลนิธิเอ็มพลัส, 2567)
  • รายได้จากการจัดงาน Pride ของเชียงใหม่ปี 2566 กว่า 250 ล้านบาท (สำนักงานสถิติแห่งชาติ, 2567)
  • งาน Pride ส่งผลต่อการรับรู้สิทธิและอัตราการเปิดเผยตัวตนของบุคคลหลากหลายทางเพศ เพิ่มขึ้นกว่า 10% ต่อปี (มูลนิธิเอ็มพลัส, 2566)
  • อุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่เกี่ยวข้องกับ LGBTQIA+ มีการเติบโตเฉลี่ย 8% ต่อปี (สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ, 2566)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย
  • มูลนิธิเอ็มพลัสเชียงราย
  • ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเชียงราย
  • สำนักงานสถิติแห่งชาติ
  • สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ
  • อินฟลูเอ็นเซอร์และตัวแทนเยาวชนโครงการ MPLUS Ambassador
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
CULTURE

เที่ยวเชียงรายยามเย็น เส้นทางใหม่ “แสงเวียง”

เชียงใหม่จัดประชุมออกแบบเส้นทาง “มนต์เสน่ห์ยามแลง แสงล้านนา” 6 จังหวัดภาคเหนือ เชื่อมโยงเมืองเก่า สู่วิถีใหม่ทางวัฒนธรรม

เชียงใหม่, 20 พฤษภาคม 2568 – ณ ห้องดอยหลวง ชั้น 24 โรงแรมดวงตะวันเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ สำนักงานท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงใหม่ ได้จัดประชุมหารือภายใต้โครงการ “ส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองเก่าอารยธรรมล้านนา” เพื่อออกแบบเส้นทางการท่องเที่ยวใหม่ในชื่อว่า “มนต์เสน่ห์ยามแลง แสงล้านนา” ครอบคลุมพื้นที่ 6 จังหวัดในภาคเหนือ ได้แก่ เชียงใหม่ เชียงราย ลำปาง ลำพูน พะเยา และแม่ฮ่องสอน

โครงการดังกล่าวมีเป้าหมายหลักเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวในย่านเมืองเก่า ผ่านการนำเสนออัตลักษณ์ล้านนาในช่วง “ยามแลง” หรือช่วงเย็น ด้วยกิจกรรมเชิงวัฒนธรรม อาหารพื้นถิ่น และวิถีชีวิตแบบดั้งเดิม เพื่อสร้างเส้นทางท่องเที่ยวทางเลือกใหม่ ที่เชื่อมโยงอดีตกับปัจจุบันอย่างกลมกลืน

การประชุมระดับภูมิภาค – ความร่วมมือระหว่าง 6 จังหวัดล้านนา

ในการประชุมครั้งนี้ ได้รับเกียรติจากนายนิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ เป็นประธานเปิดงาน พร้อมด้วยนายอิทธิรัฐ สินารักษ์ ผู้อำนวยการสำนักงานท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวรายงาน มีหัวหน้าส่วนราชการจากทั้ง 6 จังหวัดเข้าร่วม ประกอบด้วย วัฒนธรรมจังหวัด พัฒนาชุมชนจังหวัด อุตสาหกรรมจังหวัด และภาคเอกชนด้านการท่องเที่ยว

จากจังหวัดเชียงราย นายพิสันต์ จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยนายยุทธนา สุทธสม นักวิชาการวัฒนธรรมชำนาญการ และนางสาวมณฑา กิติมา นักวิเคราะห์นโยบายและแผนชำนาญการ เข้าร่วมประชุม ร่วมกับคุณสิกัญพัสส์ ปาละวรรณ์ กรรมการสมาคมมัคคุเทศก์จังหวัดเชียงราย โดยการประชุมเป็นไปด้วยความเรียบร้อย

3 เวทีวิชาการ บรรยายแลกเปลี่ยนองค์ความรู้เพื่อออกแบบเส้นทาง

การประชุมประกอบด้วยการบรรยาย 3 หัวข้อ ได้แก่

  1. “เสน่ห์เมืองเก่า คุณค่าอารยธรรมล้านนา” โดยอาจารย์ภูเดช แสนสา นักประวัติศาสตร์ท้องถิ่น
  2. “การออกแบบเส้นทางท่องเที่ยวจากวิถีชีวิตและต้นทุนวัฒนธรรม” โดยอาจารย์นรพรรณ โพธิพฤษ์ หัวหน้าภาควิชาการจัดการการท่องเที่ยว ม.ฟาร์อีสเทอร์น
  3. “การจัดทำเส้นทางท่องเที่ยว ‘มนต์เสน่ห์ยามแลง แสงล้านนา’” โดยคุณธนกร สมฤทธิ์ จากบริษัท เกรท มอร์ โซลูชั่น จำกัด

หัวใจของการออกแบบเส้นทางอยู่ที่การใช้ทุนวัฒนธรรมเป็นฐาน เสริมด้วยความคิดสร้างสรรค์และแนวคิดการท่องเที่ยววิถีใหม่ เพื่อกระตุ้นให้เกิดการพักค้างในพื้นที่ เดินทางซ้ำ และเกิดรายได้หมุนเวียนภายในชุมชน

“6 แสง” – เส้นทางนำร่องตามอัตลักษณ์ท้องถิ่น

เส้นทางท่องเที่ยวนำร่องภายใต้โครงการนี้มีชื่อเรียกตามอัตลักษณ์ของแต่ละจังหวัด ดังนี้:

  • แสงธรรม แสงมู (เชียงใหม่)
  • แสงเวียง (เชียงราย)
  • แสงศรัทธา (พะเยา)
  • แสงกาด (ลำปาง)
  • แสงแห่งวิถี (ลำพูน)
  • แสงสี…ปายยามเย็น (แม่ฮ่องสอน)

แนวคิด “6 แสง” ไม่เพียงเป็นการตั้งชื่อเพื่อส่งเสริมภาพลักษณ์เท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงวิถีชีวิต ประวัติศาสตร์ ศาสนา และเศรษฐกิจของแต่ละท้องถิ่น ที่จะถูกนำเสนอผ่านกิจกรรมและประสบการณ์ของนักท่องเที่ยวในช่วงเย็นถึงค่ำ

วิเคราะห์ผลลัพธ์และแนวโน้มในอนาคต

นักวิชาการด้านการท่องเที่ยวจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ระบุว่า การส่งเสริมเส้นทางเมืองเก่าในช่วงเย็นถือเป็นการใช้จังหวะเวลาที่มีศักยภาพสูง โดยเฉพาะในกลุ่มนักท่องเที่ยวที่สนใจประสบการณ์เชิงวัฒนธรรม การใช้จ่ายในช่วงค่ำคืนมีแนวโน้มสูงขึ้นและเพิ่มเวลาการพักในพื้นที่ ส่งผลต่อการหมุนเวียนเศรษฐกิจชุมชนโดยตรง

ขณะที่สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (CEA) ชี้ว่า เส้นทางเมืองเก่าแบบ “แสงล้านนา” มีโอกาสขยายผลในเชิงพื้นที่และเชิงธีมต่อยอด เช่น แสงศิลป์ แสงเสียง แสงสุขภาพ เพื่อเจาะตลาดเฉพาะกลุ่มและเพิ่มความหลากหลายของผลิตภัณฑ์การท่องเที่ยว

ข้อมูลสถิติและแหล่งอ้างอิง

  • จากข้อมูลของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ปี 2567 พบว่า นักท่องเที่ยวที่เข้าพื้นที่เมืองเก่าใน 6 จังหวัดล้านนามีจำนวนรวมกว่า 5.4 ล้านคน/ปี โดยช่วงเย็น-ค่ำมีอัตราการใช้จ่ายเฉลี่ยต่อหัว 1,980 บาท/คน/วัน สูงกว่าช่วงกลางวันประมาณร้อยละ 26
  • การสำรวจโดยสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงใหม่ พบว่ากิจกรรมวัฒนธรรมช่วงเย็นได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 35 ภายใน 3 ปีที่ผ่านมา
  • รายงานของ CEA ระบุว่า การออกแบบเส้นทางท่องเที่ยวจากต้นทุนทางวัฒนธรรมสามารถเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจให้พื้นที่ได้เฉลี่ยร้อยละ 18 ต่อปี

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • สำนักงานท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงใหม่
  • สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย
  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)
  • สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (CEA)
  • มหาวิทยาลัยฟาร์อีสเทอร์น
  • มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE