Categories
AROUND CHIANG RAI

เชียงรายทะยาน! หลังรัฐใช้มาตรการภาษีท่องเที่ยว เมืองรอง กระตุ้นเงินสะพัด 3.5 หมื่นล้าน

เที่ยวไทยลดหย่อนภาษี” เขย่าดีมานด์ปลายปี—เชียงรายฉวยจังหวะกวาดรายได้ 3.59 หมื่นล้าน ใน 9 เดือนแรก จ่ออัพไซด์อีกระลอกหากมาตรการเดินหน้าเต็มรูปแบบ

เชียงราย, 15 ตุลาคม 2568 — ลมหนาวกำลังขยับตัวลงสู่ดอยนางนอน ขณะที่แสงเช้ายังแตะยอดชาเพียงบางส่วน ข่าวดีที่เดินทางมาพร้อมอากาศเย็นคือ “โอกาสทางเศรษฐกิจ” ของเชียงราย เมื่อ คณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจ (ครม.เศรษฐกิจ) มีมติเห็นชอบ มาตรการกระตุ้นท่องเที่ยวผ่านสิทธิลดหย่อนภาษี นำค่าใช้จ่ายท่องเที่ยวมาหักภาษีได้ สูงสุด 20,000 บาท กำหนดช่วงใช้สิทธิ 29 ต.ค.–15 ธ.ค. ซึ่งพ้องกับหน้าท่องเที่ยวปลายปีโดยตรง

สำหรับ “เมืองรอง” อย่างเชียงราย มาตรการยังให้น้ำหนักเป็นพิเศษด้วย ตัวคูณ 1.5 เท่า สำหรับค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในพื้นที่เมืองรอง เพิ่มแรงดึงดูดให้เงินสะพัดกระจายสู่ชุมชนมากขึ้น ขณะเดียวกัน ฝั่งผู้ประกอบการโรงแรมในเมืองรองยังจะได้สิทธินำค่าใช้จ่าย ปรับปรุงโรงแรม” หักภาษีได้ 2 เท่า (เช่น ติดตั้งเครื่องปรับอากาศ ปรับปรุงระบบพลังงานสะอาดอย่างโซลาร์ ฯลฯ) เพื่อยกระดับคุณภาพบริการและลดต้นทุนในระยะยาว

ภาพรวม 9 เดือนแรกของปี 2568 (ม.ค.–ก.ย.) เชียงรายสร้างรายได้จากการท่องเที่ยว 35,926 ล้านบาท เป็น อันดับ 2 ของภาคเหนือ รองจากเชียงใหม่ที่ 78,249 ล้านบาท ตัวเลขดังกล่าวไม่เพียงยืนยันศักยภาพของจังหวัดในฐานะ “ดาวเด่นเมืองรอง” หากยังส่งสัญญาณว่ามาตรการลดหย่อนภาษีปลายปีนี้ อาจกลายเป็นตัวเร่ง (catalyst) ให้กราฟรายได้พุ่งขึ้นอีกระลอกในช่วงเวลาเพียง 48 วันของการใช้สิทธิ—ช่วงเวลาสั้นแต่ทรงพลังในปฏิทินท่องเที่ยวไทย

ทำไม “ลดหย่อนภาษีท่องเที่ยว” ถึงถูกมองว่าเป็น Quick Big Win

ปัญหาตั้งต้นที่ครม.เศรษฐกิจมองเห็น คือ สัญญาณการใช้จ่ายด้านท่องเที่ยวที่ชะลอ โดยมีดัชนีบางตัวติดลบราว 8% เทียบฐานก่อนหน้า ขณะเดียวกัน ภาคส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจซึ่งมีงบฝึกอบรมสัมมนาปีละกว่า 3,000 ล้านบาท มักเร่งใช้ในไตรมาสสุดท้ายจน “กระจุกเวลา” และเกิด งบเหลื่อมปี ในสัดส่วนสูงอย่างที่เพิ่งเกิดขึ้นปีที่ผ่านมา

สูตรคลี่คลาย จึงมาพร้อมกัน 3 ชุด

  • หักลดหย่อนภาษีท่องเที่ยว” เพื่อดึงกำลังซื้อประชาชนเข้าสู่ตลาดทันที
  • “Front Load สัมมนา” สั่งเร่งเบิกจ่ายงบสัมมนาให้ได้ 60% ภายในเดือนมกราคม เปลี่ยนพฤติกรรม “ไปสิ้นปี” ให้มา “ฉีดเม็ดเงินเร็วขึ้น”
  • แรงจูงใจผู้ประกอบการ” ผ่านหักภาษี 2 เท่า สำหรับการลงทุนปรับปรุงโรงแรม โดยเฉพาะในเมืองรอง ที่รัฐต้องการให้เกิดการยกระดับคุณภาพรองรับดีมานด์ใหม่

เมื่อนำ 3 คันโยกนี้ทำงานพร้อมกัน ผลที่คาดหวังคือ ดีมานด์ฝั่งนักท่องเที่ยวเพิ่ม (จากสิทธิลดหย่อน), ดีมานด์ฝั่งสัมมนารัฐเพิ่ม (จากการ front load), และ ซัพพลายคุณภาพเพิ่ม (จากการลงทุนปรับปรุงโรงแรม) ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นใน ไฮซีซันของเชียงราย ที่ปกติมีปริมาณนักท่องเที่ยวหนาแน่นอยู่แล้ว—จึงเป็นเหตุผลที่นโยบายถูกจัดอยู่ในหมวด Quick Big Win ทำช่วงสั้น แต่ให้ผลกว้างและเร็ว

เชียงรายในสมรภูมิแย่งชิงเม็ดเงินท่องเที่ยว “เมืองรอง” ที่ฟอร์มแรง

ข้อมูลรายได้ท่องเที่ยว 17 จังหวัดภาคเหนือ (ม.ค.–ก.ย. 2568) สะท้อนภาพที่น่าสนใจ

  1. เชียงใหม่ 78,249 ล้านบาท
  2. เชียงราย 35,926 ล้านบาท
  3. เพชรบูรณ์ 7,174 ล้านบาท
  4. พิษณุโลก 6,989 ล้านบาท
  5. ตาก 5,913 ล้านบาท
  6. นครสวรรค์ 5,124 ล้านบาท
  7. แม่ฮ่องสอน 4,856 ล้านบาท
  8. ลำปาง 3,991 ล้านบาท
  9. น่าน 3,298 ล้านบาท
  10.  สุโขทัย 2,623 ล้านบาท
  11. แพร่ 2,344 ล้านบาท
  12. อุตรดิตถ์ 1,864 ล้านบาท
  13. พะเยา 1,846 ล้านบาท
  14. ลำพูน 1,481 ล้านบาท
  15. กำแพงเพชร 1,428 ล้านบาท
  16. อุทัยธานี 1,343 ล้านบาท
  17. พิจิตร 1,203 ล้านบาท

สองตัวเลขแรก แสดง “ความต่างเชิงสเกล” ระหว่างเมืองหลักและเมืองรอง แต่สิ่งที่ทำให้เชียงรายโดดเด่นคือ อัตราเร่งของเม็ดเงิน ที่เติบโตตามโครงสร้างใหม่—ตั้งแต่ สนามบิน–โลจิสติกส์–ที่พัก–สินค้าเชิงวัฒนธรรม–ชายแดนเศรษฐกิจ ไปจนถึงแลนด์มาร์คธรรมชาติ–ศิลปะร่วมสมัย ที่สร้าง “เหตุผลซ้ำ” ให้คนกลับมาเยือน ประเทศไทยเคยพิสูจน์มาแล้วว่า นโยบายภาษีท่องเที่ยว เมื่อออกแบบคมและสื่อสารชัด สามารถสร้างแรงโค้ง (curvature) ให้กราฟรายได้พลิกขึ้นได้ในระยะสั้นโดยไม่ต้องใช้งบประมาณก้อนใหม่จำนวนมาก

สำหรับเชียงราย เมื่อตัวคูณ 1.5 เท่า เปิดใช้งานกับค่าใช้จ่ายท่องเที่ยวที่เกิดขึ้นในพื้นที่เมืองรอง เช่น ค่าที่พัก ค่าอาหาร บริการนำเที่ยว (ตามหลักเกณฑ์ที่จะประกาศโดยกรมสรรพากร) เม็ดเงินของนักท่องเที่ยวชาวไทย อาจถูก “รีรูต” จากเมืองหลักมาสู่เชียงราย มากขึ้น—โดยเฉพาะกลุ่ม “นักเดินทางสายวางแผน” ที่ต้องการเอกสารค่าใช้จ่ายชัดเจนสำหรับยื่นภาษีปลายปี

เสียงนโยบายจากส่วนกลาง “ทำสั้น ทำให้ใหญ่ ประชาชนได้ประโยชน์”

นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยหลังการประชุมครม.เศรษฐกิจว่า มาตรการนี้ออกแบบให้ ประชาชนทั่วไปนำค่าใช้จ่ายท่องเที่ยวมาหักภาษีได้สูงสุด 20,000 บาท และ ถ้าเดินทางเมืองรองจะหักได้ 1.5 เท่า (เช่น ใช้จ่าย 10,000 บาท หักได้ 15,000 บาท) ขณะเดียวกัน รัฐยังขอให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ front load การสัมมนา-ฝึกอบรม อย่างน้อย 60% ภายในเดือนมกราคม เพื่ออัดฉีดดีมานด์ระยะสั้น ส่วนด้านซัพพลาย มาตรการ หักภาษี 2 เท่า สำหรับค่าใช้จ่ายปรับปรุงโรงแรม—โดยเฉพาะงานที่หนุนความยั่งยืน เช่นโซลาร์—ถูกผลักดันเพื่อให้ผู้ประกอบการกล้าลงทุนยกระดับคุณภาพและประหยัดพลังงานมากขึ้น

สาระสำคัญอีกด้านคือ การปรับลดภาษีสถานบริการจาก 10% เหลือ 5% โดยกรมสรรพสามิตและกระทรวงมหาดไทยร่วมกันผลักดัน เพื่อจูงใจให้ผู้ประกอบการ เข้าระบบ” และได้สิทธิภาษีตามกฎหมาย ควบคู่กับการตั้ง KPI การเบิกจ่ายภาครัฐ ทั้งปีไม่ต่ำกว่า 93% (และงบลงทุนไม่ต่ำกว่า 75%) ลดปัญหา “กันเหลื่อมปี” มูลค่าสูง

แกนคิดของนโยบาย  “Quick Big Win ทำสั้น ทำให้ใหญ่ และประชาชนได้ประโยชน์—โดยเฉพาะในช่วงเวลาจำกัดก่อนการยุบสภา” ซึ่งสะท้อนแรงขับเคลื่อนเชิงเวลาอย่างชัดเจน

เชียงรายคว้าโอกาสอย่างไร จาก “สิทธิของคนไทย” สู่ “รายได้ของท้องถิ่น”

  1. ตั้งโต๊ะข้อมูล—ทำโปรแกรม “เที่ยวเชียงรายให้คุ้มภาษี”
    ภาครัฐและเอกชนในพื้นที่ควรทำ ชุดข้อมูลพร้อมใช้ สำหรับนักท่องเที่ยวไทย เส้นทาง–ที่พัก–ร้านอาหาร–กิจกรรม–ค่าใช้จ่ายประมาณการ–จุดรับใบกำกับภาษีเต็มรูปแบบ พร้อม “Checklist เอกสาร” สำหรับยื่นหักภาษี (ใบกำกับภาษี/ใบเสร็จรับเงิน/หลักฐานชำระเงิน) แพ็กเป็นหน้าเดียวดาวน์โหลดได้ เพื่อให้ การตัดสินใจเดินทางเร็วขึ้น และลดความเสี่ยงเอกสารไม่ครบ
  2. กระตุ้นตลาดสัมมนา (MICE) ด้วย Front Load
    เชียงรายมีความพร้อมเชิงโครงสร้างพื้นฐาน (สนามบิน, ศูนย์ประชุม, ที่พักหลายระดับราคา) การเน้นขาย แพ็กเกจสัมมนา–ศึกษาดูงาน ที่มีโปรแกรมความยั่งยืน (เยี่ยมชมแหล่งเรียนรู้อาชีพ, กิจกรรม CSR ปลูกป่า–เก็บขยะ, เส้นทางกาแฟ–ชา) จะตอบโจทย์ทั้ง KPI เบิกจ่าย ของหน่วยงานและ ภาพลักษณ์องค์กร ไปพร้อมกัน
  3. สองเท่าเพื่อโรงแรม”—ลงทุนที่ลดต้นทุนระยะยาว
    โอกาสของผู้ประกอบการโรงแรมอยู่ที่ การคัดโครงการลงทุนที่คืนทุนไว และมีเอกสารครบถ้วนตามเกณฑ์ภาษี เช่น โซลาร์รูฟ–ระบบน้ำร้อนพลังงานแสงอาทิตย์–ประตูคีย์การ์ดประหยัดไฟ–ฉนวนกันความร้อน–ปรับปรุงเครื่องปรับอากาศประหยัดพลังงาน พร้อมจัดระบบเอกสารเพื่อใช้สิทธิได้เต็มมูลค่า
  4. แผนสื่อสาร “เมืองรอง x 1.5 เท่า” เจาะกลุ่มมนุษย์เงินเดือน
    กลุ่มผู้เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (ฐานภาษีกลาง–บน) คือตลาดหลักของมาตรการนี้ เชียงรายควรสื่อสารแบบ ตรงกลุ่ม ผ่านบริษัท–สมาคมวิชาชีพ–เครือข่าย HR—ด้วยข้อความง่าย ๆ ว่า “พาเพื่อนไปเชียงรายช่วง 29 ต.ค.–15 ธ.ค. ใช้สิทธิ 1.5 เท่าได้” พร้อมลิงก์ดาวน์โหลด “แพ็กคู่มือภาษีท่องเที่ยวเชียงราย”

คำถาม–คำตอบที่ประชาชนอยากรู้ 

  • ใช้สิทธิอะไรได้บ้าง?
    โดยหลัก “ค่าใช้จ่ายท่องเที่ยว” ครอบคลุมที่พัก บริการท่องเที่ยว และค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้อง ซึ่ง ต้องรอประกาศหลักเกณฑ์จากกรมสรรพากร ระบุรายการและเอกสารที่ยอมรับอย่างชัดเจน
  • ทำไมต้องขอใบกำกับภาษีเต็มรูปแบบ?
    เพราะ ภาษีเป็นกฎหมายเอกสาร ใบกำกับภาษี (เต็มรูปแบบ) ตามมาตรา 86/4 เป็นหลักฐานสำคัญในการหักลดหย่อน ภาคเอกชนควรเตรียมระบบออกเอกสารถูกต้อง พร้อม e-Receipt/e-Tax Invoice เพื่อลดปัญหาตกหล่น
  • ถ้าไม่มีภาษีต้องจ่าย (รายได้ต่ำ) ยังได้ประโยชน์ไหม?
    ผู้ที่ไม่มีภาระภาษีปลายปี อาจไม่ได้ประโยชน์ทางภาษีโดยตรง แต่ยังได้ประโยชน์จากโปรโมชันที่ผู้ประกอบการทำตามแคมเปญ ทั้งนี้รัฐอาจมีมาตรการอื่นประกอบในอนาคต—ต้องติดตามมติ ครม. และประกาศทางการ
  • ตัวคูณ 1.5 เท่าใช้กับทุกจังหวัดเมืองรองหรือไม่?
    หลักการคือ “ค่าใช้จ่ายเกิดขึ้นในเมืองรอง” จึงได้ตัวคูณ 1.5 เท่า รายชื่อเมืองรอง ต้องยึดตามประกาศทางการ ที่จะออกมาพร้อมหลักเกณฑ์

ความเสี่ยงที่ต้องจับตา ทำเร็ว—แต่ต้องแม่น

  1. ไทม์ไลน์–รายละเอียดกฎหมาย
    แม้มติครม.เศรษฐกิจเห็นชอบหลักการแล้ว แต่ การบังคับใช้จริงต้องผ่าน ครม. และประกาศกรมสรรพากร ระบุรายการ–เงื่อนไข–ประเภทเอกสาร—หน่วยงานท้องถิ่นและเอกชนต้อง สื่อสารแบบมีเงื่อนไข ว่า “ใช้สิทธิตามหลักเกณฑ์ที่จะประกาศ” เพื่อลดความสับสน
  2. ความพร้อมเอกสารของผู้ประกอบการรายเล็ก
    ร้านอาหาร–โฮมสเตย์–ทัวร์ท้องถิ่นบางแห่ง ยังไม่มีระบบ e-Tax ควรได้รับการช่วยเหลือเชิงเทคนิคอย่างเร่งด่วน เช่น คลินิกภาษีเคลื่อนที่ ร่วมกับสำนักงานสรรพากรพื้นที่–หอการค้าจังหวัด–ททท. เพื่อให้ เม็ดเงินสิทธิภาษีไม่รั่วไหลเพราะเอกสารไม่ครบ
  3. กำลังรองรับไฮซีซัน
    หากดีมานด์พุ่งเร็ว ที่พัก–การคมนาคม–สถานที่ท่องเที่ยวต้อง บริหารสมดุล ระหว่างปริมาณ–คุณภาพ–ความปลอดภัย เช่น แผนจราจร–ที่จอดรถ–การจัดการขยะ–ห้องน้ำสาธารณะ—ทั้งหมดคือ “ประสบการณ์รวม” ที่กำหนดการกลับมาเยือน

มุมมองเศรษฐกิจท้องถิ่น 1 บาทของนักท่องเที่ยว หมุนเป็นกี่บาทในชุมชน

งานวิจัยด้านท่องเที่ยวจำนวนมากชี้ว่า ตัวคูณทางเศรษฐกิจ (tourism multiplier) ของเมืองรองมักสูงกว่าค่าเฉลี่ย เพราะเงินส่วนใหญ่กระจายสู่ SMEs และชุมชน ทั้งร้านอาหารท้องถิ่น–รถเช่า–งานฝีมือ–ไกด์ท้องถิ่น ในเชียงรายซึ่งมีฐานผู้ประกอบการสร้างสรรค์จำนวนมาก (กาแฟ–ชา–ศิลปะ–งานจักสาน–สิ่งทอ) มาตรการที่ ขยับคนให้เดินทาง” จึงเท่ากับ ขยับเศรษฐกิจฐานราก” ในทันที

โดยเฉพาะเมื่อจับคู่กับ ตลาดสัมมนา ที่กำลังถูก front load หากหน่วยงานรัฐเลือกเชียงรายเป็นที่จัดกิจกรรม สกุลเงินที่ไหลเข้ามักมีสัดส่วนใช้จ่ายต่อหัวสูงกว่า ทริปสั้นของครอบครัว และยังสร้างอุปสงค์ให้ห่วงโซ่อุปทาน บริการคุณภาพ เช่น รถบัสมาตรฐานสูง–ล่าม–ทีมเทคนิค–อุปกรณ์ประชุม—ช่วยยกระดับ ecosystem ท้องถิ่นให้เข้มแข็งขึ้น

เชียงรายต้อง “ขายอะไร” ใน 48 วันทองของภาษีท่องเที่ยว

  • เส้นทางลมหายใจปลายปี แม่ฟ้าหลวง–ดอยตุง–ไร่ชาฉุยฟง–ดอยผาหมี–สามเหลี่ยมทองคำ–เชียงแสน—แพ็กเป็น “วันธรรมชาติ x วันวัฒนธรรม” พร้อมจุดซื้อของฝากชุมชนและร้านอาหารที่ออกใบกำกับภาษีได้
  • สายศิลป์–กาแฟ พิพิธภัณฑ์–แกลเลอรี–สตรีทอาร์ต–คาเฟ่กาแฟพิเศษ—เชื่อมเป็น “ถนนศิลปิน” ในเมือง (เดินได้–ถ่ายรูปสวย–เอกสารครบ)
  • MICE x GREEN แพ็กเกจสัมมนาเช้า–บ่ายเยี่ยมชมแหล่งเรียนรู้กาแฟ/ชา/เกษตรอัจฉริยะ–เย็นงานชื่นใจในชุมชน ภายใต้แนวคิด Low-carbon Meeting มีรายงานคาร์บอนฟุตพริ้นท์เป็นของที่ระลึกองค์กร
  • เส้นทางข้ามพรมแดน เชื่อมด่านพรมแดนเชียงของ–โครงสร้างพื้นฐานใหม่ (เช่น ทางคู่เด่นชัย–เชียงของที่อยู่ระหว่างก่อสร้าง)—แม้ยังไม่เปิดใช้ แต่การ เล่าอนาคต สร้างแรงจูงใจให้ผู้ลงทุนและนักท่องเที่ยว “มองเชียงรายเป็นฮับ” ระยะยาว

ทำให้ “สิทธิ” กลายเป็น “รายได้” อย่างเที่ยงธรรมและยั่งยืน

มาตรการ เที่ยวไทยลดหย่อนภาษี” ที่ครม.เศรษฐกิจเห็นชอบหลักการ กำลังเปิด หน้าต่างเวลา 48 วัน ที่มีความหมายต่อเศรษฐกิจเชียงรายอย่างยิ่ง ตัวเลข 35,926 ล้านบาท ใน 9 เดือนแรกของปีคือฐานที่แข็งแรงอยู่แล้ว แต่การจะแปลง สิทธิของผู้เสียภาษี ให้กลายเป็น รายได้ของจังหวัด จำเป็นต้องอาศัย 3 คีย์เวิร์ด เร็ว–ชัด–ครบเอกสาร

  • เร็ว ในการสื่อสารแพ็กเกจ “เที่ยวเชียงรายให้คุ้มภาษี” สู่กลุ่มเป้าหมาย
  • ชัด ในการระบุเงื่อนไขว่าทุกอย่างเป็นไปตาม ประกาศกรมสรรพากร ที่จะออกมา
  • ครบเอกสาร ในฝั่งผู้ประกอบการ เพื่อให้ผู้บริโภค “ใช้สิทธิได้จริง”

หากเชียงรายทำได้ครบ ภาพที่เราจะเห็นหลังสิ้นสุดมาตรการไม่ใช่เพียง คูปองภาษีที่ถูกใช้หมด แต่คือ SMEs ที่แข็งแรงขึ้น—มาตรฐานบริการที่ดีขึ้น—ทรัพยากรท้องถิ่นที่ถูกเล่าอย่างภาคภูมิ และ เมืองรองที่ยืนอย่างสง่างามในสมรภูมิท่องเที่ยวไทย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
  • กระทรวงการคลัง
  • กรมสรรพากร
  • กรมสรรพสามิต & กระทรวงมหาดไทย
  • สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.)
  • ททท. (การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย) สำนักงานเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

เมืองรองสู่เวทีโลก เชียงรายพร้อมแจ้งเกิด! เรียนรู้จากเชียงใหม่เมืองที่ดีที่สุดอันดับ 2

เชียงรายก้าวสู่เมืองท่องเที่ยวระดับโลกถอดบทเรียนจากเชียงใหม่ อันดับ 2 “เมืองที่ดีที่สุดในโลก ปี 2025” สู่ความเป็นเลิศสากล

เชียงรายกับโอกาสบนเวทีโลกเมื่อเมืองรองขยับสู่เส้นทางความสำเร็จ

ประเทศไทย, 13 กรกฎาคม 2568 –  เมืองเหนือที่เปี่ยมด้วยศักยภาพ กำลังถูกจับตามองในฐานะเมืองท่องเที่ยวที่มีโอกาสแจ้งเกิดบนเวทีโลก หลังจากที่เชียงใหม่คว้าอันดับ 2 “เมืองที่ดีที่สุดในโลก ปี 2025” จากการจัดอันดับของ Travel + Leisure สื่อท่องเที่ยวยักษ์ใหญ่ระดับโลก หลายฝ่ายตั้งคำถามถึงความพร้อมของเชียงรายว่า จะสามารถเดินรอยตามเมืองพี่อย่างเชียงใหม่ สู่การเป็นจุดหมายในฝันของนักเดินทางนานาชาติได้หรือไม่

ไขรหัส “เมืองที่ดีที่สุดในโลก” จากมุมมอง Travel + Leisure

การจัดอันดับ “World’s Best Awards” ของ Travel + Leisure ไม่ได้วัดกันแค่ความสวยงามของแหล่งท่องเที่ยวหรือรสชาติอาหารเท่านั้น แต่ครอบคลุมองค์ประกอบสำคัญหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นระบบคมนาคมขนส่ง ความสะดวกในการเดินทาง พื้นที่สีเขียว ความเป็นมิตรของผู้คน ไปจนถึงบรรยากาศเมืองโดยรวม เมืองที่คว้าอันดับ 1 อย่างซานมิเกลเดอาเยนเดในเม็กซิโก โดดเด่นด้วยประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และการเป็นศูนย์กลางสำหรับนักสำรวจไวน์ ขณะที่เชียงใหม่และกรุงเทพฯ ของไทยเองก็ครองใจนักเดินทางจากทั่วโลกด้วยเอกลักษณ์เฉพาะตัว

จุดแข็งของเชียงรายต่อยอดสู่ความยั่งยืน

แม้เชียงรายจะยังไม่ติดโผ 10 อันดับแรกของการจัดอันดับนี้ แต่ด้วยจุดแข็งหลายด้าน เมืองเหนือแห่งนี้ก็พร้อมจะพัฒนาและต่อยอดสู่มาตรฐานสากล

  • มรดกทางวัฒนธรรมและธรรมชาติ
    เชียงรายมีทั้งศิลปะ ประวัติศาสตร์ และธรรมชาติที่งดงาม เช่น วัดร่องขุ่น ดอยตุง ดอยแม่สลอง หรือสามเหลี่ยมทองคำ สถานที่เหล่านี้กลายเป็นจุดดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติอย่างต่อเนื่อง
  • เมืองแห่งชาและกาแฟ
    การประกาศวิสัยทัศน์ให้เชียงรายเป็น “เมืองแห่งชาและกาแฟ” ควบคู่กับการพัฒนาแบรนด์กาแฟ GI อย่างกาแฟดอยตุงและกาแฟดอยช้าง รวมถึงการจัดงานเทศกาลระดับชาติ สร้างภาพจำใหม่ให้เชียงรายเป็นจุดหมายของคอกาแฟและนักท่องเที่ยวสายประสบการณ์
  • นวัตกรรมและการวิจัย
    เชียงรายลงทุนในงานวิจัยและนวัตกรรมต่อเนื่อง เช่น “เชียงราย 1” “เชียงราย 2” หรือ “จมูกอิเล็กทรอนิกส์” ที่ใช้วิเคราะห์รสชาติกาแฟ ไปจนถึงผลิตภัณฑ์คาเฟอีนต่ำ เพิ่มมูลค่าและชื่อเสียงผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น
  • โครงสร้างพื้นฐานและศักยภาพชายแดน
    เมืองเชียงรายได้รับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นถนน สนามบิน หรือด่านการค้าชายแดน จุดแข็งด้านที่ตั้งเป็น “ประตูสู่อาเซียน” เอื้อประโยชน์ต่อทั้งธุรกิจท่องเที่ยวและการค้าชายแดน
  • เมืองปลอดภัยและเป็นมิตร
    เชียงรายได้รับการจัดอันดับเป็น “เมืองปลอดภัยที่สุดในโลกอันดับ 2 สำหรับนักเดินทางหญิงสายดิจิทัล” สะท้อนถึงความปลอดภัยและบรรยากาศเป็นมิตรที่รองรับนักเดินทางจากทั่วโลก

ก้าวต่อไปของเชียงรายสู่เมืองในฝันของโลก

เชียงรายยังคงมีพื้นที่ให้พัฒนาและยกระดับไปอีกหลายด้านเพื่อสู่เป้าหมาย “เมืองที่ดีที่สุดในโลก” ดังนี้

  • ยกระดับประสบการณ์การท่องเที่ยว
    เมืองต้องไม่เพียงแค่สวยงาม แต่ต้องสร้างประสบการณ์ที่ลึกซึ้ง เช่น การท่องเที่ยวเชิงกาแฟ เรียนรู้วัฒนธรรมชนเผ่า หรือเข้าร่วมเทศกาลท้องถิ่น
  • พัฒนาโครงข่ายคมนาคมและสาธารณูปโภค
    การเดินทางไปยังแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ ควรเข้าถึงง่ายและปลอดภัย รวมถึงการพัฒนาสาธารณูปโภคพื้นฐานให้พร้อมรับนักท่องเที่ยว
  • รักษาสิ่งแวดล้อมและเพิ่มพื้นที่สีเขียว
    การบริหารจัดการหมอกควัน มลพิษ และเพิ่มสวนสาธารณะ เป็นอีกหนึ่งปัจจัยหลักที่จะส่งผลต่อภาพลักษณ์และคุณภาพชีวิตของนักเดินทาง
  • เสริมความหลากหลายทางวัฒนธรรมและความเป็นมิตร
    เมืองควรสร้างบรรยากาศเปิดกว้างสำหรับผู้คนหลากหลาย สร้างความประทับใจด้วยรอยยิ้มและการต้อนรับแบบไทย
  • การมีส่วนร่วมของชุมชน
    การให้คนท้องถิ่นมีบทบาทในการพัฒนาและรักษาอัตลักษณ์ รวมถึงการกระจายรายได้สู่ชุมชน จะสร้างความยั่งยืนให้กับเมือง
  • ประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์เชิงรุก
    การสื่อสารจุดแข็งของเชียงรายออกสู่เวทีโลกผ่านช่องทางดิจิทัลและสื่อระหว่างประเทศ จะยิ่งผลักดันให้เชียงรายเป็นที่รู้จักในวงกว้าง

เชียงรายพร้อมก้าวสู่เวทีสากล

เชียงรายคือเมืองที่รวมความโดดเด่นทั้งธรรมชาติ วัฒนธรรม นวัตกรรม และความเป็นมิตรในบรรยากาศเดียวกัน หากทุกภาคส่วนร่วมมือกันขับเคลื่อนและเสริมจุดแข็ง พัฒนาอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน เมืองแห่งนี้มีศักยภาพมากพอจะกลายเป็นหนึ่งในจุดหมายสำคัญของนักเดินทางระดับโลก

การถอดบทเรียนจากเชียงใหม่และเมืองชั้นนำอื่นๆ ของโลก ไม่ใช่เพียงการลอกเลียนแบบ แต่คือการปรับใช้และสร้างจุดขายเฉพาะตัวที่เชียงรายมีอย่างแท้จริง เมื่อถึงวันนั้น เชียงรายจะเป็นอีกหนึ่งความภาคภูมิใจของไทยที่ยืนหยัดบนเวทีโลกอย่างสง่างาม

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
FEATURED NEWS

“สกสว. บพข. ททท. และ ATTA ผนึกกำลังวิจัย Market Foresight และ Thailand Tourism Carrying Capacity มุ่งสู่ศูนย์กลางการท่องเที่ยวระดับโลก”

 

เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 30 พฤษภาคม  2567 เวลา 09.00 – 12.00 น.  ที่ โรงแรม เอส 31 สุขุมวิทกรุงเทพมหานคร สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) ร่วมกับ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) และสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (ATTA)  จัดพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU)  “การพัฒนาและขับเคลื่อนอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ด้วยงานวิจัยการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจสร้างสรรค์” ทั้ง 4 หน่วยงานในเป้าหมายสำคัญที่จะร่วมมือกันสนับสนุนการพัฒนาและขับเคลื่อนอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว การตลาดภาคการท่องเที่ยวและบริการ ด้วยวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เพื่อยกระดับศักยภาพของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวตลอดห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) อย่างยั่งยืนบนฐานทรัพยากรของประเทศ และสอดคล้องตามแผนวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม พ.ศ. 2566-2570 (ววน.) ในด้านการพัฒนาการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ตามแนวทางการพัฒนาระบบเศรษฐกิจชีวภาพ-เศรษฐกิจหมุนเวียน-เศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green Economy: BCG) ในด้านการท่องเที่ยวให้เป็นระบบเศรษฐกิจมูลค่าสูง มีความยั่งยืนและเพิ่มรายได้ของประเทศ ผ่านการทำงานและขับเคลื่อนร่วมกันตามบทบาทภารกิจของแต่ละหน่วยงาน โดยใช้กลไกการสนับสนุนงบประมาณวิจัยที่มีโจทย์ความต้องการของภาคเอกชน เพื่อให้เกิดผลงานวิจัยไปใช้ประโยชน์อย่างเป็นรูปธรรมและเกิดผลกระทบในวงกว้าง  โดยมีนายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เป็นประธานในพิธี ณ ห้องบอลรูม 1 ชั้น 5 โรงแรม เอส 31 สุขุมวิท กรุงเทพมหานคร 30 พฤษภาคม 2567

 

ในโอกาสนี้ รองศาสตราจารย์ ดร.ปัทมาวดี โพชนุกูล ผู้อำนวยการ สกสว.ได้มอบหมายให้ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ สุภาวดี โพธิยะราช ผู้เชี่ยวชาญอาวุโส สกสว.เป็นผู้แทนเข้าร่วม พร้อมกันนี้ ด้านของ บพข. รองศาสตราจารย์ ดร.ธงชัย สุวรรณสิชณน์  ผู้อำนวยการ บพข. ได้มอบหมายให้ รองศาสตราจารย์ ดร.ชาลีดา บรมพิชัยชาติกุล รองผู้อำนวยการด้านกลยุทธ์วิจัย บพข.เป็นผู้แทน สำหรับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย มีนายอภิชัย ฉัตรเฉลิมกิจ รองผู้ว่าการด้านสินค้าและธุรกิจท่องเที่ยว ในฐานะผู้แทนผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) และ ATTA มี นายศิษฎิวัชร ชีวรัตนพร นายกสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (ATTA) ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือภายใต้โครงการวิจัยของแผนงานการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ งบประมาณจากกองทุนส่งเสริม วิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรม โดย หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรม (อว.)

 

นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ประธานในพิธี กล่าวว่า รัฐบาลมีนโยบายในการสร้างรายได้จากการท่องเที่ยว 3 ล้านล้านบาท มุ่งเน้นให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางด้านการท่องเที่ยว (Tourism Hub) พร้อมขับเคลื่อนการท่องเที่ยวร่วมกับภาคเอกชน สมาคมแอตต้า รวมทั้งสมาคมอื่นๆ ซึ่งถือเป็นหัวจักรสำคัญของภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและบริการของประเทศไทย           โดยกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาและหน่วยงานในสังกัด พร้อมสนับสนุนเต็มกำลัง นอกจากนี้ ยังเปิดโอกาสให้ผู้แทนสมาคมต่างๆ เสนอประเด็นสำคัญในการขับเคลื่อนภาคเศรษฐกิจการท่องเที่ยวของประเทศไทย      ทั้งการเปิดตลาดใหม่ที่มีศักยภาพสูง การเพิ่มเที่ยวบิน การพิจารณาเรื่องวีซ่า การแต่งตั้งคณะทำงานร่วมระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน ผู้ประกอบการเพื่อขับเคลื่อนการท่องเที่ยวไทย รวมทั้ง การส่งเสริมการท่องเที่ยวเพื่อคนทั้งมวล (Tourism for All) รองรับสังคมผู้สูงอายุเพื่อคุณภาพชีวิต การเข้าถึงแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของคนไทยและนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ นักท่องเที่ยวกลุ่มฟื้นฟูสุขภาพ กลุ่มครอบครัว กลุ่มผู้พิการ ซึ่งถือเป็นตลาดนักท่องเที่ยวขนาดใหญ่ ซึ่งการพัฒนานี้จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องอาศัยองค์ความรู้จากฐานงานวิจัยและพัฒนา เพื่อนำไปสู่การเตรียมความพร้อมรองรับนักท่องเที่ยวกลุ่มศักยภาพสูงนี้ให้ได้รับความสะดวกสบายและปลอดภัยในระดับมาตรฐานสากลตามแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยในปัจจุบันกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาได้ดำเนินการพัฒนาอารยสถาปัตย์ (universal design) เตรียมความพร้อมในการอำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยวสำหรับคนทุกคนในสังคมได้อย่างเท่าเทียมกัน

 

ผศ.สุภาวดี โพธิยะราช ผู้เชี่ยวชาญอาวุโส สกสว. ในฐานะผู้แทนผู้อำนวยการ สกสว. เผยว่า อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวระหว่างปี พ.ศ. 2559-2562 สร้างรายได้ให้กับประเทศปีละประมาณ 2.1 ถึง 2.7 ล้านล้านบาท หรือประมาณร้อยละ 18 ของ GDP และรัฐบาลมีนโยบายเชื่อมโยงระหว่างการท่องเที่ยวกับซอฟต์พาเวอร์ ผ่านเอกลักษณ์ อัตลักษณ์ เสน่ห์ไทย นำจุดแข็งของมรดกทางวัฒนธรรมมาเป็นจุดขายที่นักท่องเที่ยวสามารถสัมผัสผ่านประสบการณ์ตรง อาทิ ศิลปะการต่อสู้มวยไทย วัฒนธรรมอาหารไทย ผ้าไทย เทศกาลและโชว์ไทย เป็นต้น ความร่วมมือ (MOU) นี้จึงมุ่งเน้นให้เกิดการพัฒนาองค์ความรู้ด้านการวิจัย      การยกระดับและขับเคลื่อนการท่องเที่ยวโดยภาครัฐ ภาคเอกชน และภาควิชาการสู่การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน โดยมุ่งเน้นที่ 2 ประเด็นสำคัญ ได้แก่ 1) ด้าน Demand : ภาพอนาคตการตลาด (Market Foresight) เพื่อปรับกลยุทธ์ธุรกิจให้สอดคล้องกับพฤติกรรมนักท่องเที่ยวที่เปลี่ยนแปลงไปหลังการแพร่ระบาดโควิด-19 โดยใช้ข้อมูลจาก Social Listening และ Foresight การทำงานในด้านนี้จะช่วยให้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและบริการสามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการที่ตอบสนองต่อความต้องการของนักท่องเที่ยวได้ดียิ่งขึ้น นำไปสู่การเพิ่มรายได้และความพึงพอใจของนักท่องเที่ยว 2) ด้าน Supply : ความสามารถในการรองรับนักท่องเที่ยว (Carrying Capacity) เพื่อลดปัญหานักท่องเที่ยวล้นเมืองหลักในกรุงเทพฯ ภูเก็ต สมุย เชียงใหม่ และชลบุรี ด้วยการกระจายนักท่องเที่ยวไปยังเมืองน่าเที่ยวอื่นๆ โดยนำเสนอข้อมูลผ่าน Dashboard เพื่อให้ภาคเอกชนมีเครื่องมือในการประเมินพื้นที่รองรับนักท่องเที่ยวในอนาคต การกระจายนักท่องเที่ยวจะช่วยลดความแออัดในเมืองหลัก เพิ่มความพึงพอใจของนักท่องเที่ยว และส่งเสริมเศรษฐกิจในพื้นที่อื่น ๆ

 

สำหรับ รศ.ดร.ชาลีดา บรมพิชัยชาติกุล รองผู้อำนวยการด้านกลยุทธ์วิจัย (บพข.) กล่าวว่า บพข.ในฐานะหน่วยบริหารและจัดการทุนที่ดูแลงานวิจัยด้านการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ มองว่าในระยะยาว ผลกระทบที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคตสำหรับความร่วมมือสำคัญในครั้งนี้ คือ 1)ความยั่งยืนของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว : การท่องเที่ยวของประเทศไทยจะมีความยั่งยืนมากขึ้น ทั้งในด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และเศรษฐกิจ 2)การเติบโตของเศรษฐกิจท้องถิ่น : เมืองและชุมชนที่ได้รับการกระจายนักท่องเที่ยวจะมีโอกาสในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมมากขึ้น และ 3)การเพิ่มความพึงพอใจของนักท่องเที่ยว : นักท่องเที่ยวจะได้รับประสบการณ์ที่ดีขึ้นจากการท่องเที่ยวในประเทศไทย นำไปสู่การเพิ่มจำนวนของนักท่องเที่ยวที่กลับมาเที่ยวอีกครั้ง

 

นายอภิชัย ฉัตรเฉลิมกิจ รองผู้ว่าการด้านสินค้าและธุรกิจท่องเที่ยวผู้แทน การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)  เผยว่า สำหรับการท่องเที่ยวแห่งประเทศ หรือ ททท.ในฐานะภาครัฐที่เป็นผู้ขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การท่องเที่ยวไทยในการสร้างประสบการณ์ที่ทรงคุณค่าและมุ่งสู่ความยั่งยืน ความร่วมมือในนี้แสดงให้เห็นถึงการทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานต่างๆ ในการพัฒนานโยบายและกลยุทธ์การท่องเที่ยวที่สอดคล้องกับความต้องการของตลาด และส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน นอกจากนี้ยังสอดคล้องกับนโยบาย IGNITE Thailand ของภาครัฐที่มุ่งผลักดันให้ประเทศไทยกลายเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวในภูมิภาค

 

ด้าน นายศิษฎิวัชร ชีวรัตนพร นายกสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (ATTA) กล่าวว่า ผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นกับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและบริการ ซึ่งเป็นเป้าหมายระยะกลาง คือ ประการแรก การยกระดับความสามารถในการแข่งขัน ซึ่งความร่วมมือของ 4 หน่วยงานสำคัญในครั้งนี้ จะช่วยให้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและบริการของประเทศไทยมีความสามารถในการปรับตัวและแข่งขันในตลาดโลกได้ดียิ่งขึ้น โดยเฉพาะในด้านการตอบสนองต่อความต้องการที่เปลี่ยนแปลงของนักท่องเที่ยว ประการที่สอง การกระจายนักท่องเที่ยว : ลดความแออัดในเมืองหลักและเพิ่มโอกาสในการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวใหม่ ๆ ทั่วประเทศ ส่งเสริมการเติบโตของเศรษฐกิจในพื้นที่ที่ยังไม่ได้รับการพัฒนาอย่างเต็มที่ และประการสุดท้ายคือ การพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการ : ส่งเสริมให้ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและบริการสามารถนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการที่มีคุณภาพและตรงกับความต้องการของนักท่องเที่ยวมากขึ้น นำไปสู่การเพิ่มรายได้และการสร้างชื่อเสียงที่ดีให้กับประเทศไทยได้เป็นอย่างยิ่ง

 

ซึ่งการลงนามบันทึกข้อตกลงฉบับนี้ เป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญของการสร้างความร่วมมืออย่างต่อเนื่อง ระหว่างภาครัฐ ทั้ง สกสว. บพข. และ ททท. และ ATTA ตามนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรม (อว.) นางสาวศุภมาส อิศรภักดี ที่ว่า “เอกชนนำ รัฐสนับสนุน” เพราะภาคเอกชนผู้ที่มีเครื่องมือและข้อมูลที่สามารถช่วยในการวางแผนและปรับกลยุทธ์จะทำให้ธุรกิจสามารถตอบสนองต่อความต้องการของนักท่องเที่ยวได้ดียิ่งขึ้น ลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสในการเติบโต ทั้งนี้สมาคมท่องเที่ยวอื่นๆ ก็จะสามารถได้รับข้อมูลและแนวทางปฏิบัติที่ดีจากความร่วมมือนี้ สามารถนำไปปรับใช้เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งของสมาคมและสมาชิกให้มีความพร้อมในการรองรับนักท่องเที่ยวและพัฒนาการท่องเที่ยวในอนาคต สามารถผลักดันการท่องเที่ยวของประเทศไทยให้มีความยั่งยืนและสามารถรองรับการเปลี่ยนแปลงได้อย่างมั่นคง

 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
TRAVEL

มหาสงกรานต์ 21 วัน จัด 20 พาเหรด คาดต่างชาติเข้าไทย 5.1 แสนคน

 

เมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2567 นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และนายเกรียง กัลป์ตินันท์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วย นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ร่วมแถลงข่าวงาน “Maha Songkran World Water Festival 2024 เย็นทั่วหล้า มหาสงกรานต์ 2567” เตรียมจัดขบวนพาเหรดสงกรานต์ยิ่งใหญ่ พร้อมนำเสนอความวิจิตรตระการตา สะท้อนอัตลักษณ์วัฒนธรรม Soft Power ไทย บริเวณถนนราชดำเนินกลาง และท้องสนามหลวง ระหว่างวันที่ 11 – 15 เมษายน นี้

 นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวว่า จากการที่ประเพณีสงกรานต์ในประเทศไทยได้รับการประกาศจากองค์การ UNESCO ให้ขึ้นทะเบียนเป็นรายการตัวแทนมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2566 กระทรวงวัฒนธรรม โดยกรมส่งเสริมวัฒนธรรมจึงได้สนับสนุนการจัดกิจกรรมสงกรานต์ในกรุงเทพมหานคร และส่วนภูมิภาค 5 จังหวัด ได้แก่ เชียงใหม่ ขอนแก่น สมุทรปราการ ชลบุรี และภูเก็ต พร้อมจัดทำปฏิทินการจัดกิจกรรมสงกรานต์ ประจำปีพุทธศักราช 2567 ในพื้นที่ต่าง ๆ ทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาคในช่วงเดือนเมษายน และได้แต่งตั้งนางสาว แอนโทเนีย โพซิ้ว รองนางงามจักรวาลอันดับ 1 เป็น “นางมโหธรเทวี” นางสงกรานต์ ประจำปี 2567 
 
 
เพื่อร่วมถ่ายทอดคุณค่าและแสดงอัตลักษณ์ของประเพณีสงกรานต์ไทย พร้อมกันนี้ ยังได้จัดทำบทเพลงสงกรานต์ 4 ภาษา ได้แก่ ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ ภาษาจีน และภาษาฝรั่งเศส เพื่อให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวต่างชาติรับรู้ถึงคุณค่าสาระของประเพณีสงกรานต์ไทย สนับสนุนการสร้างพลังสร้างสรรค์ Soft Power ให้สร้างมูลค่าและรายได้แก่ประเทศไทย
 
 
 นายเกรียง กัลป์ตินันท์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า กระทรวงมหาดไทยได้จัดทำแผนบูรณาการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์ พ.ศ. 2567 โดยใช้ชื่อ “ขับขี่ปลอดภัย เมืองไทยไร้อุบัติเหตุ” โดยจะจัดตั้งศูนย์อำนวยการ ศูนย์ปฏิบัติการ ศูนย์ประสานการปฏิบัติช่วงเทศกาลสงกรานต์ พ.ศ. 2567 บูรณาการการดำเนินงานทุกภาคส่วนกำหนดแนวทางมาตรการในการป้องกันและแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุทางถนน เน้นการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด ควบคู่กับการรณรงค์สร้างจิตสำนึกด้านความปลอดภัยทางถนน 
 
 
จัดตั้งจุดตรวจ จุดอำนวยความสะดวก จุดบริการ และให้อำนวยความสะดวกให้ประชาชนเดินทางอย่างปลอดภัย โดยสำหรับพื้นที่กรุงเทพฯ ได้เตรียมควบคุมดูแลพื้นที่ที่คาดว่าจะมีผู้มาร่วมงานสงกรานต์หนาแน่น จัดให้มีศูนย์กล้องวงจรปิด (CCTV) ติดตามเฝ้าสังเกต เพื่อจำกัดไม่ให้ผู้ร่วมงานเกินกว่าพื้นที่ที่รองรับได้ โดยสำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กรุงเทพมหานคร ได้เตรียมการดูแลความปลอดภัยให้กับประชาชนและนักท่องเที่ยว สนับสนุนกำลังเจ้าหน้าที่ พร้อมรถดับเพลิงและกู้ภัย รถไฟฟ้าส่องสว่าง และอุปกรณ์ด้านการดับเพลิงและกู้ภัย ประจำจุดเฝ้าระวังอัคคีภัย อาทิ บริเวณย่านถนนสีลม ถนนข้าวสาร เป็นต้น รวมทั้งจุดบริการประชาชนบริเวณเส้นทางเข้าออกเมือง รวม 41 จุด
 
นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวว่าการจัดงานครั้งนี้เป็นการเริ่มต้นของการปฏิบัติให้เห็นเป็นรูปธรรมในการผลักดันเทศกาลสงกรานต์ไทยสู่เทศกาลระดับโลก ตามนโยบายของรัฐบาลและนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โดยเป็นการทำงานร่วมกันทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ภายใต้คณะกรรมการซอฟต์พาวเวอร์ที่มี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ประธานกรรมการพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติที่ ต้องการสร้างความแปลกใหม่ของขบวนพาเหรดที่สะท้อนวัฒนธรรมของไทย กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย 
 
 
จึงได้กำหนดจัดงาน Maha Songkran World Water Festival 2024 เย็นทั่วหล้า มหาสงกรานต์ 2567 อย่างยิ่งใหญ่ และวิจิตรตระการตา ในวันที่ 11 – 15 เมษายน 2567 ณ บริเวณถนนราชดำเนินกลางและพื้นที่ท้องสนามหลวง กรุงเทพมหานครโดยนำเสนอภาพลักษณ์ความสวยงามของประเพณีสงกรานต์ไทยด้วยขบวนรถพาเหรดมหาสงกรานต์กว่า 20 ขบวน พร้อมด้วยการแสดงศิลปวัฒนธรรมจากนักแสดงและผู้ร่วมขบวนแห่กว่าพันคนเคลื่อนจากถนนราชดำเนินกลางสู่ท้องสนามหลวง 
 
 
พร้อมกิจกรรมนำเสนอศิลปวัฒนธรรมประเพณี และ Soft Power หลากหลายสาขาบริเวณท้องสนามหลวง ซึ่งจะทำให้สงกรานต์เป็นเทศกาลที่จะอยู่ในความทรงจำและสร้างความประทับใจให้กับประชาชนชาวไทยและชาวต่างชาติจากทั่วโลกที่ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการร่วมเฉลิมฉลองประเพณีที่ยิ่งใหญ่และทรงคุณค่าของชาวไทย
 
 
นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยอีกว่า การจัดงาน Maha Songkran World Water Festival 2024 เย็นทั่วหล้า มหาสงกรานต์ 2567 จะมีการจัดสงกรานต์ยาว 21 วัน ตั้งแต่วันที่ 1-21 เมษายน 2567 เริ่มวันที่ 1 เมษายน ที่จังหวัดเชียงใหม่ ในงานป๋าเวณีปี๋ใหม่เมืองเจียงใหม่ วันที่ 1-15 เมษายน สถานที่จัดงานทั่วเมืองเชียงใหม่ 
 
 
ส่วนวันสุดท้าย 21 เมษายน จัดที่ จังหวัดชลบุรี และ จังหวัดสมุทรปราการ ตั้งเป้าหมายผลักดันสงกรานต์ไทยเป็นงานเฟสติวัลติด 1 ใน 10 งานเฟสติวัลโลก งาน “Maha Songkran World Water Festival 2024 เย็นทั่วหล้า มหาสงกรานต์ 2567” จัดขึ้น ณ บริเวณถนนราชดำเนินกลางและพื้นที่ท้องสนามหลวง กรุงเทพมหานคร 
 
 
โดย ขบวนพาเหรดที่สะท้อนวัฒนธรรมของไทย ภายในงานจะมีการนำเสนอภาพลักษณ์ความสวยงามของประเพณีสงกรานต์ไทยด้วยขบวนรถพาเหรดมหาสงกรานต์กว่า 20 ขบวน พร้อมด้วยการแสดงศิลปวัฒนธรรมจากนักแสดงและผู้ร่วมขบวนแห่กว่าพันคน เคลื่อนจากถนนราชดำเนินกลางสู่ท้องสนามหลวง 
 
 
ทั้งได้ร่วมกับพันธมิตรสื่อมวลชนระดับโลก CNN และ BBC ในการนำเสนอคอนเท้นต์เทศกาลสงกรานต์ของประเทศไทยผ่านสื่อประชาสัมพันธ์หลากหลายรูปแบบ รวมถึงเตรียมเผยแพร่โฆษณาผ่าน IQYI ช่องทางสตรีมมิ่งยอดนิยมในตลาดจีน ไต้หวัน ฮ่องกง และกลุ่มประเทศอาเซียน และเชิญ Celebrity และ Influencer ชาวต่างชาติที่มีชื่อเสียงเดินทางสัมผัสประสบการณ์การท่องเที่ยวประเทศไทย
 
 
 นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการ ททท. กล่าวว่า การจัดงาน Maha Songkran World Water Festival 2024 เย็นทั่วหล้า มหาสงกรานต์ 2567 ในครั้งนี้ จะเป็นการประกาศให้ทั่วโลกรับรู้ถึงวัฒนธรรมประเพณีอันทรงคุณค่าของประเทศไทย โดยนอกจากการจัดงานภายในประเทศอย่างยิ่งใหญ่แล้ว ททท. เตรียมประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์ความสวยงามของวัฒนธรรมประเพณีไทยไปสู่สายตาชาวต่างชาติทั่วโลก 
 
 
โดยได้ร่วมกับพันธมิตรสื่อมวลชนระดับโลก CNN และ BBC ในการนำเสนอคอนเท้นต์เทศกาลสงกรานต์ของประเทศไทยผ่านสื่อประชาสัมพันธ์หลากหลายรูปแบบ รวมถึงเตรียมเผยแพร่โฆษณาผ่าน IQYI ช่องทางสตรีมมิ่งยอดนิยมในตลาดจีน ไต้หวัน ฮ่องกง และกลุ่มประเทศอาเซียน และเชิญ Celebrity และ Influencer ชาวต่างชาติที่มีชื่อเสียงเดินทางสัมผัสประสบการณ์การท่องเที่ยวประเทศไทยในช่วงเทศกาลสงกรานต์ เพื่อสร้างแรงบันดาลใจในการเดินทางให้นักท่องเที่ยวทั่วทุกมุมโลกให้มาสัมผัสประสบการณ์ที่มีคุณค่าและความหมาย พร้อมส่งต่อความรู้สึกที่เกิดขึ้นในระหว่างการเดินทางท่องเที่ยวในประเทศไทยให้เป็น Amazing Thailand : Your Stories Never End
 
 งาน Maha Songkran World Water Festival 2024 เย็นทั่วหล้า มหาสงกรานต์ 2567 จัดระหว่างวันที่ 11 – 15 เมษายน 2567 บริเวณถนนราชดำเนินกลางและท้องสนามหลวง โดยมีไฮไลท์ในการจัดงาน ได้แก่ กิจกรรมขบวนรถพาเหรดมหาสงกรานต์ในวันที่ 11 เมษายน 2567  ซึ่งจะเริ่มต้นเคลื่อนขบวนจากสะพานผ่านฟ้าลีลาศผ่านบริเวณถนนราชดำเนินกลางและสิ้นสุดที่ท้องสนามหลวง โดยมีขบวนรถพาเหรดกว่า 20 ขบวน ได้แก่ ขบวนรถพระพุทธรูป  ขบวนรถเทพีสงกรานต์ ประจำปี 2567 “มโหธรเทวี” เสด็จไสยาสน์ลืมเนตรเหนือหลังนกยูง ขบวนรถพาเหรด 16 จังหวัด ประกอบด้วย 5 จังหวัดที่มีอัตลักษณ์การจัดเทศกาลสงกรานต์ที่โดดเด่นซึ่งเป็นกลุ่มจังหวัดที่ประเทศไทยนำเสนอเพื่อขอขึ้นทะเบียนมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม ได้แก่ เชียงใหม่ ขอนแก่น ชลบุรี สมุทรปราการ นครศรีธรรมราช กลุ่ม 5 จังหวัดนำร่อง ได้แก่ เชียงราย หนองคาย พิษณุโลก สงขลา บุรีรัมย์ และกลุ่มจังหวัดอื่นๆ ที่มีศักยภาพและมีการจัดงานประเพณีสงกรานต์ที่มีเอกลักษณ์ 6 จังหวัด ได้แก่ พระนครศรีอยุธยา นครพนม ลำปาง เลย สุโขทัย และภูเก็ต 
 
 
โดยจัดตกแต่งขบวนรถพาเหรดที่แสดงถึงประเพณีวัฒนธรรม บ่งบอกถึงสัญลักษณ์หรือของดีประจำจังหวัด พร้อมด้วยการแสดงศิลปวัฒนธรรมโดยนักแสดงและผู้ร่วมขบวนแห่กว่าพันคน รวมถึงขบวนรถพาเหรด Soft Power 4 สาขา ได้แก่ แฟชั่น เกม ภาพยนตร์และซีรีส์ และเฟสติวัล ที่จะมานำเสนอเอกลักษณ์ Soft Power ของประเทศไทยในแต่ละสาขาอย่างน่าสนใจ อาทิ ธีม SiamBL (สยามบีแอล) ในชุดไทยประยุกต์ร่วมสมัย ซึ่งจะมีนักแสดงจากค่ายผู้ผลิตซีรีส์วายชั้นนำร่วมในขบวนรถพาเหรด การแสดงทางวัฒนธรรม 4 ภาค ที่สะท้อนเทศกาลและงานประเพณีต่าง ๆ ของไทย เป็นต้น ทั้งนี้ ขบวนรถพาเหรดมหาสงกรานต์จะจอดแสดงโชว์ที่ท้องสนามหลวง ตั้งแต่วันที่ 11-15 เมษายน 2567

นอกจากนี้ ยังมีการจัดกิจกรรมในบริเวณพื้นที่ท้องสนามหลวง มุ่งนำเสนอศิลปวัฒนธรรมไทย อัตลักษณ์ประเพณีสงกรานต์ และ Soft Power ไทย ด้วยนวัตกรรมและความสร้างสรรค์ 

 

ประกอบด้วย เวทีจัดแสดงศิลปวัฒนธรรม เช่น การแสดงโขน รำมโนราห์ การแสดงร่วมสมัยผสมผสาน และการแสดงดนตรีออเครสต้าร่วมกับศิลปินที่มีชื่อเสียงระดับโลก โซนสงกรานต์อัตลักษณ์ 5 ภาคที่มีความสวยงามของวัฒนธรรมประเพณีแตกต่างกันไปตามท้องถิ่น ได้แก่ เวณีปี๋ใหม่เมืองเชียงใหม่ จ.เชียงใหม่ ประเพณีสงกรานต์กรุงเก่า จ.พระนครศรีอยุธยา ประเพณีแห่ต้นดอกไม้ จ.เลย ประเพณีก่อพระทรายวันไหล จ.ชลบุรี และประเพณีแห่นางดาน จ.นครศรีธรรมราช โซน Soft Power นำเสนอเอกลักษณ์ในแต่ละสาขาได้แก่ กีฬา อาหาร ท่องเที่ยว หนังสือ และการออกแบบ อาทิ สาขากีฬานำเสนอภายใต้แนวคิด Muaythai Maha Songkran ซึ่งจะมีการแสดงไหว้ครูมวยไทย การแสดงนาฏยุทธ์มวยไทย การแข่งขันมวยไทย 

 

โดยมีนักกีฬามวยไทยที่มีชื่อเสียงเข้าร่วมงาน รวมถึงการสาธิตมวยโบราณ สาขาอาหาร ด้วยแนวคิด “อาหารหน้าร้อนเย็นชื่นใจ มหาสงกรานต์” สาธิตอาหารไทยโบราณ อาหารไทยชาววัง และจำหน่ายอาหารไทยหน้าร้อนรูปแบบ Food Truck สาขาท่องเที่ยว เชิญสัมผัสประสบการณ์ 365 วัน มหัศจรรย์เที่ยวเมืองไทย เสนอขายแพคเกจส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในประเทศ รวมถึงลานเล่นน้ำ การแสดงน้ำพุประกอบดนตรี อุโมงค์น้ำ ถังน้ำล้นยักษ์ สถานีน้ำ สำหรับให้นักท่องเที่ยวร่วมเล่นน้ำ และ โซนจำหน่ายผลิตภัณฑ์ และสุดยอดของดี OTOP จากทั่วประเทศ โดยในวันที่ 13 เมษายน 2567 เนื่องในโอกาสวันปีใหม่ไทยจะจัดให้มีกิจกรรมพิเศษทำบุญตักบาตร กิจกรรมสรงน้ำพระเพื่อขอพรเสริมสิริมงคล รดน้ำผู้สูงอายุ เพื่อร่วมอนุรักษ์และสืบสานวัฒนธรรมประเพณีไทยอันดีงามอีกด้วย

 

ททท. ยังส่งเสริมให้ใช้ทรัพยากรน้ำอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดและได้คำนึงถึงการบริหารจัดการด้านสิ่งแวดล้อม โดยได้ร่วมมือกับบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC จัดกิจกรรม GCYOU เทิร์น บริหารจัดการขยะจากพลาสติก ขวดน้ำดื่ม โดยจัดจุดรับขวด YOU เทิร์น Droppoint 20 จุดบริเวณงาน จัดกิจกรรมส่งเสริมรณรงค์การทิ้งขยะ นำขวดน้ำดื่มมาแลกของรางวัล และกิจกรรม Upcycling โดยการนำฝาขวดน้ำดื่ม มา DIY เป็นพวงกุญแจ สร้อย ที่เปิดขวด รวมถึงออกบูธจำหน่ายสินค้าจากการ Upcycling อาทิ เสื้อลายดอกที่ทำจากพลาสติก Recycle

 

ทั้งนี้ ททท. คาดการณ์ว่าในช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2567 ระหว่างวันที่ 12 – 16 เมษายน 2567บรรยากาศการเดินทางท่องเที่ยวในประเทศจะมีการเดินทางอย่างคึกคักมากขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา และคาดว่าจะส่งผลให้เกิดรายได้รวมประมาณ 24,420 ล้านบาท สำหรับตลาดในประเทศ คาดว่าจะมีจำนวนผู้เยี่ยมเยือนชาวไทยเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศ 4,299,500 คน-ครั้ง และใช้จ่ายสร้างรายได้หมุนเวียน 15,660 ล้านบาท ขณะที่คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวประเทศไทย 510,000 คน สร้างรายได้ทางการท่องเที่ยวประมาณ 8,760 ล้านบาท เติบโตประมาณร้อยละ 49 จากปี 2566 โดยสำหรับพื้นที่กรุงเทพมหานคร คาดว่าในช่วงการจัดกิจกรรมจะสร้างรายได้ทางการท่องเที่ยวประมาณ 3,690 ล้านบาท และมีจำนวนผู้เยี่ยมเยือนชาวไทย 653,590 คน – ครั้ง

 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

นายกฯ ยินดีนักท่องเที่ยวจีน มาไทยฟื้นตัวต่อเนื่อง

นายกฯ ยินดีนักท่องเที่ยวจีน มาไทยฟื้นตัวต่อเนื่อง

Facebook
Twitter
Email
Print

นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รับทราบรายงานสถานการณ์การท่องเที่ยวไทยของนักท่องเที่ยวต่างชาติ ยินดียอดนักท่องเที่ยวต่างชาติเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีน ซึ่งเดินทางมาท่องเที่ยวยังประเทศไทยมากถึง 1,003,893 คน (1 มกราคม – 18 พฤษภาคม 2566) และมียอดเที่ยวบินเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 98 สะท้อนความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวชาวจีนที่มีต่อประเทศไทย ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีกำชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดูแลอำนวยความสะดวกด้านความปลอดภัย พร้อมส่งเสริมภาพลักษณ์ที่ดีของประเทศ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและดึงดูดนักท่องเที่ยว

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ล่าสุด การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ร่วมกับ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) เดินหน้าจัดกิจกรรม Trusted Thailand, You Taiguo Yue Wan Yue Kaixin หรือ เที่ยวเมืองไทยยิ่งไปยิ่งสนุก โดยเชิญชาวจีนผู้ที่มีอิทธิพลทางความคิด (Key Opinion Leaders: KOLs) จำนวน 60 คน สื่อมวลชน สายการบิน และพันธมิตร เข้าร่วม เพื่อนำเสนอข้อมูลการบริการ การอำนวยความสะดวก ตลอดจนมาตรการในการดูแลรักษาความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว โดยนำเทคโนโลยีเข้ามาอำนวยความสะดวกในการสื่อสารกับนักท่องเที่ยวผ่านรูปแบบรถโมบายล์ ศูนย์รับแจ้งเหตุฉุกเฉิน 1155 และแอปพลิเคชัน Police I lert u ซึ่งรองรับหลายภาษา เพื่อให้นักท่องเที่ยวสามารถขอความช่วยเหลือจากตำรวจได้ ทั้งนี้ ททท. คาดการณ์ว่า นักท่องเที่ยวจีนเที่ยวไทยปี 2566 จะเป็นไปตามเป้าหมายที่ 5 ล้านคน และสร้างรายได้ 446,000 ล้านบาท

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวเพิ่มเติมว่า จากรายงานของบริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด (บวท.) ระบุว่า ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2565 – เมษายน 2566 มีเที่ยวบินระหว่างไทย – จีน รวมทั้งหมด 12,805 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2565 ร้อยละ 98 ซึ่งจากการที่ทางการจีนมีนโยบายเปิดประเทศตั้งแต่ช่วงต้นปี 2566 ทำให้สายการบินจากจีนต้องการเปิดทำการบินและเพิ่มความถี่ในการบินมากขึ้น โดย บวท. คาดการณ์ว่า ในปีงบประมาณ 2566 (ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2565 – กันยายน 2566) จะมีเที่ยวบินจากจีนรวมกว่า 46,175 เที่ยวบิน ซึ่งจะมีส่วนสำคัญในการกระตุ้นการฟื้นตัวของภาคอุตสาหกรรมการบิน และส่งเสริมเศรษฐกิจของประเทศ 

“นายกรัฐมนตรีชื่นชมความสำเร็จจากการร่วมมือกันทุกภาคส่วนที่ทำให้ ไทยคงได้รับความเชื่อมั่นและเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมของนักท่องเที่ยวต่างชาติ พร้อมทั้งขอบคุณหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่บูรณาการการทำงานร่วมกันตามแนวนโยบายของรัฐบาล สนับสนุนการฟื้นตัวอย่างสมดุลของภาคการท่องเที่ยว และภาคส่วนที่เกี่ยวเนื่อง ซึ่งจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นและความประทับใจให้แก่นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ทำให้อยากกลับมาท่องเที่ยวยังประเทศไทยอีก ในครั้งต่อไป” นายอนุชาฯ กล่าว

Facebook
Twitter
Email
Print

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักนายกรัฐมนตรี

Facebook
Twitter
Email
Print
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE