Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

พลังไมซ์สู่เศรษฐกิจยั่งยืน เชียงรายจับมือ PATA สู่ “เมืองแห่งการเดินทางที่เปี่ยมความหมาย”

เชียงรายจับมือ PATA จุดพลุไมซ์โลก สู่ “เมืองแห่งการเดินทางที่เปี่ยมความหมาย”

เกมรุกใหม่ของเมืองรอง ใช้พลังไมซ์–วัฒนธรรม–สุขภาวะ ปักธงเศรษฐกิจยั่งยืน

เชียงราย, 14 กันยายน 2568 — การประกาศให้จังหวัดเชียงรายเป็นเจ้าภาพ PATA Destination Marketing Forum 2025 (PDMF 2025) ระหว่างวันที่ 1–3 ธันวาคม 2568 ที่ Heritage Chiang Rai Hotel & Convention ไม่ใช่เพียงข่าวดีด้านอีเวนต์ หากคือ “ยุทธศาสตร์ใหม่” ที่ดึง “คุณภาพ” มากกว่า “ปริมาณ” มาเป็นคันเร่งเศรษฐกิจ หลังอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยต้องรับแรงสั่นสะเทือนจากเศรษฐกิจโลกและการแข่งขันในภูมิภาคที่ร้อนแรงขึ้น โดยเฉพาะจากญี่ปุ่นที่ครึ่งปีแรก 2568 ทำสถิตินักท่องเที่ยวต่างชาติ 21.51 ล้านคน สร้างแรงกดดันต่อภูมิภาคทั้งอาเซียนและไทยให้เร่งยกระดับข้อเสนอจุดหมายปลายทางอย่างชัดเจน

ในฝั่งไทย รัฐบาลได้ปรับลดคาดการณ์นักท่องเที่ยวต่างชาติปี 2568 ลงมาแถว 33 ล้านคน สะท้อนโจทย์ “คุณภาพรายจ่าย/หัว” และ “การกระจายรายได้สู่เมืองรอง” สำคัญกว่าการเร่งจำนวนผู้มาเยือนเพียงอย่างเดียวนั่นทำให้ “ไมซ์” กลายเป็นอาวุธเชิงยุทธศาสตร์ที่ตรงจุดที่สุดในเวลานี้

ทำไม “ไมซ์” ถึงเปลี่ยนเกมเศรษฐกิจได้จริง

ข้อมูลวิเคราะห์ของ Thailand Convention & Exhibition Bureau (TCEB) แสดงภาพชัดว่า “นักท่องเที่ยวไมซ์” สร้างมูลค่าเข้มข้นกว่า “นักท่องเที่ยวเพื่อสันทนาการ” อย่างมีนัยสำคัญ โดยมี ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อวันราว 16,095.19 บาท เทียบกับ 4,616.49 บาท/วัน หรือราว 3.5 เท่า แม้ค้างคืนน้อยกว่าแต่ค่าใช้จ่ายรวมต่อทริปสูงกว่า ส่งผลให้เงินหมุนเวียนสู่ธุรกิจท้องถิ่นรวดเร็วและเป็นกอบเป็นกำ ทั้งที่พัก อาหาร โลจิสติกส์ และบริการสนับสนุน

PDMF 2025 จึงเป็นมากกว่าการประชุมฝ่ายการตลาด แต่คือ “เครื่องฟอกกำลังซื้อ” ที่ตั้งใจพาผู้ตัดสินใจ–ผู้กำหนดนโยบาย–นักการตลาดจุดหมายปลายทางจากเอเชียแปซิฟิก มาสัมผัสเชียงรายจริงก่อนกลับไปออกแบบแคมเปญการขายจุดหมายปลายทางยุคใหม่จึงเริ่มจาก “ประสบการณ์ตรง” ไม่ใช่แค่สไลด์พรีเซนต์.

โครงสร้างงานจากห้องประชุมสู่พื้นที่จริง

PATA ยืนยันรูปแบบอันเป็นเอกลักษณ์ 1 วันประชุม ว่าด้วยเทรนด์–กรณีศึกษาเชิงกลยุทธ์ และ 1 วัน Destination Experience ที่คัดสรรเส้นทางเฉพาะกิจ 3 รูท เพื่อ “ให้สิ่งที่เล่าในห้องประชุมมีชีวิต” เมื่อออกไปอยู่ในพื้นที่จริง ได้แก่

  1. Creative City of Design for Sustainability – สัมผัส วัดร่องขุ่น ผลงานระดับสัญลักษณ์ของเมือง, รับประทานอาหารและเรียนรู้ “โมเดลพัฒนาดอยตุง” จากพื้นที่ปลูกฝิ่นสู่ป่า–เกษตร–แหล่งท่องเที่ยว และปิดท้ายที่ ชุมชนบ้านสันทางหลวง เพื่อดูของจริงว่า “ดีไซน์–ศิลป์–สุขภาวะ” แปลงเป็นรายได้ชุมชนอย่างไร
  2. Cave, Coffee and Contemporary Culture – เจาะ “แลนด์มาร์กกู้ภัยโลก” ถ้ำหลวง–ขุนน้ำนางนอน, ชงกาแฟกับชุมชนสูง ผาหมี และปิดท้ายที่ Chiang Rai Contemporary Art Museum (BIENNALE) เพื่อเชื่อมธรรมชาติ–ชาติพันธุ์–ศิลปะร่วมสมัย
  3. History, Locality and Artisans – ย้อนราก สามเหลี่ยมทองคำเมืองเก่าเชียงแสน, ทำเครื่องบูชาล้านนา, สักการะ วัดเจดีย์หลวง และชม Kwaidin Daag Art House

เส้นทางเหล่านี้คือ “สคริปต์การเล่าเรื่อง” ที่ทำให้ผู้ร่วมงานได้เห็น “เศรษฐกิจความหมาย” (meaningful economy) ของเชียงรายแบบจับต้องได้

คาร์บอนนิวทรัล มาตรฐานใหม่ของงานไมซ์

ปีนี้ PATA ขยับจากแนวคิดสู่การปฏิบัติด้วยการประกาศให้งานเป็น Carbon Neutral Event เก็บ ค่าชดเชยคาร์บอน 10 ดอลลาร์สหรัฐ/คน แม้เปิดลงทะเบียนฟรี ทั้งเพื่อชดเชยการปล่อยที่เลี่ยงไม่ได้ (เช่น การบิน) และเพื่อส่งเงินสู่โครงการสิ่งแวดล้อมในไทยนี่ไม่ใช่เพียง “ภาษีความเขียว” แต่คือสัญญาณว่ามาตรฐานความรับผิดชอบสิ่งแวดล้อมกำลังกลายเป็นบรรทัดฐานใหม่ของอุตสาหกรรม

เชียงรายในฐานะเมืองดีไซน์” และทุนวัฒนธรรมที่พร้อมต่อยอด

ยูเนสโก ขึ้นทะเบียน เชียงราย Creative City of Design” เมื่อปี 2023 โครงสร้างนิเวศสร้างสรรค์ของเมืองจากงานสถาปัตยกรรมและภูมิทัศน์ ไปจนถึงหัตถกรรมและผลิตภัณฑ์ชุมชนจึงไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นระบบที่มี “ดีไซน์” กำกับการพัฒนา เมื่องาน PDMF 2025 หยิบ “ดีไซน์–สุขภาวะ–ท้องถิ่น” มาทำเป็นแกน ถ้อยคำบนเวทีจะยิ่ง “ลงล็อก” กับสิ่งที่ผู้ร่วมงานกำลังยืนอยู่ตรงหน้า

ในฝั่งชุมชน “บ้านสันทางหลวง” ได้รับ PATA Gold Awards 2025 – Women Empowerment ยืนยันพลังการจัดการตนเองของผู้นำสตรีและกลุ่มหลากหลายทางเพศที่พลิกความท้าทายภาคเกษตร สู่เศรษฐกิจสร้างสรรค์ฐานชุมชนอย่างมีศักดิ์ศรีและปีนี้ชุมชนถูกบรรจุในเส้นทางเรียนรู้ของผู้ร่วมงานด้วยโดยตรง “รางวัล” จึงไม่ใช่เพียงถ้วย หากเป็น “ช่องทางขาย” ที่จะถูกพาผ่านสายตาผู้ตัดสินใจจากทั่วเอเชียแปซิฟิก

พันธมิตรเดินทางและโครงสร้างรองรับ

เว็บไซต์งานระบุ การบินไทย (THAI) เป็น Official Airline Partner พร้อมสิทธิพิเศษค่าโดยสารสำหรับผู้ร่วมงานการมีสายการบินแห่งชาติเข้ามาช่วย “เชื่อมต่อ–ลดอุปสรรค” จะเอื้อต่อการวางแผนเดินทางและขยายผลเครือข่ายธุรกิจรายทาง ทั้งในเชียงรายและเมืองรองใกล้เคียง

ผลกระทบทางเศรษฐกิจ เงินที่หมุนเร็ว สู่วงจรชุมชน

เมื่อพิจารณาโครงสร้างค่าใช้จ่ายของผู้ร่วมงานไมซ์ (ค่าโรงแรมระดับกลาง–บน, อาหารคุณภาพ, รถรับ-ส่ง, ทีมโลจิสติกส์, เวิร์กชอปชุมชน, ซื้อของทำมือ) จะเห็นวงจรเงินที่ “ไหลเข้ม” และ “ไหลลึก” สู่เศรษฐกิจท้องถิ่นมากกว่าตลาดมวลชน โดยเฉพาะเมื่อเส้นทาง Destination Experience เน้น ไฮเปอร์โลคอล (hyper-local) เช่น ชุมชนผาหมี–บ้านสันทางหลวง–เชียงแสน ซึ่งผู้ร่วมงาน “ต้องจับจ่ายตรง” กับผู้ประกอบการ ตัวคูณทางเศรษฐกิจจึงปะทุในพื้นที่ทันที (จากช่างทอ–คนขับรถ–ไกด์–ร้านอาหาร–โฮมคาเฟ่–เวิร์กชอป) และต่อเนื่องยาวผ่านเครือข่ายที่ผู้เชี่ยวชาญต่างชาตินำกลับไปต่อยอด

บทเรียนสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ จาก “จำนวน” สู่ “คุณค่า”

เมื่อรัฐบาลลดเป้าจำนวนนักท่องเที่ยวปีนี้ลงมาแถว 33 ล้านคน ภาพใหญ่จึงมิใช่การไล่ตัวเลข “หัวคน” แต่เป็นการทำให้ “รายจ่ายเฉลี่ย/หัว” และ “การกระจายรายได้” สูงขึ้นงานไมซ์นำหน้าด้วยข้อได้เปรียบนี้อยู่แล้ว และ PDMF 2025 คือเวทีสาธิตคู่มือที่ทุกจังหวัดสามารถเรียนและทำตามได้ ยึดอัตลักษณ์–ยกบทบาทชุมชน–คุมความยั่งยืน–ใช้เทคโนโลยีเล่าเรื่องทั้งหมดนี้คือ “ภาษากลาง” ของการตลาดจุดหมายปลายทางยุคใหม่

ชาวเชียงรายได้ประโยชน์อะไร และ “เจ้าบ้าน” ควรเตรียมตัวอย่างไร

ประโยชน์โดยตรง

  1. รายได้ขยายสู่รากหญ้า โปรแกรมทัวร์แบบไฮเปอร์โลคอลบังคับให้เงินไปถึงผู้ผลิตตัวจริงช่างฝีมือ, โฮมคาเฟ่, รถท้องถิ่น, ไกด์ชุมชน
  2. อัปเกรดมาตรฐานบริการ การรับคณะไมซ์ต่างชาติเป็น “แรงกดดันเชิงบวก” ให้ผู้ประกอบการยกระดับเรื่องความสะอาด ความปลอดภัย การสื่อสารหลายภาษา และระบบชำระเงินดิจิทัล
  3. เครือข่ายใหม่–โอกาสยาว ผู้ร่วมงานส่วนใหญ่เป็นมืออาชีพด้านท่องเที่ยว/การตลาดการ “ได้การ์ด–ได้ไอเดีย–ได้เพื่อนร่วมโปรเจกต์” มักมีมูลค่าต่อเนื่องหลังจบงาน

ข้อเสนอเชิงปฏิบัติสำหรับเจ้าบ้าน

  • ร้าน–คาเฟ่–โฮมสเตย์ จัด “เมนูสั้นภาษาอังกฤษ” + ใส่ที่มา/วัตถุดิบท้องถิ่น (provenance) และตั้ง QR สำหรับจ่ายเงิน/ดาวน์โหลดโบรชัวร์
  • ช่างฝีมือ–เวิร์กชอป ทำ “แพ็กเกจ 45–90 นาที” (ราคาชัด วัสดุพร้อม ส่งงานกลับบ้านได้) ถ่ายรูป/วิดีโอสั้นเป็นตัวอย่างใน QR ให้ดูหน้างาน
  • ชุมชนท่องเที่ยวจัด “สคริปต์เล่าเรื่อง 3 นาที” (Who/What/Why it matters) และแบ่งบทบาทต้อนรับ (ยิ้ม–ทัก–เชิญ–ส่ง) ให้เด็กและผู้สูงวัยมีส่วนร่วม
  • ภาคบริการขนส่งเตรียม “Rate Card” ค่ารถรับ-ส่งเป็นมาตรฐาน/เส้นทางสั้น และฝึก greeting ภาษาอังกฤษง่าย ๆ (เช่น Welcome / This way / Enjoy!)
  • โรงแรมขนาดกลางและโฮสเทลเสนอ “Night Program” (ดูดาว–ชิมชา–เล่าเมืองเก่า) ให้ผู้ร่วมงานที่ว่างหลังประชุม เพื่อยืดเวลาจับจ่ายในเมือง
  • ความยั่งยืนตั้ง Green Corner เล็ก ๆ ในร้าน/ที่พัก (ขวดน้ำเติม, ถังแยกขยะ, ป้ายชวนลดพลาสติก) ให้สอดรับมาตรฐานงาน carbon neutral ของ PDMF 2025

เสียงจากเครือข่ายผู้จัดสารเดียวกันต่างภาษาคุณค่าท้องถิ่น + ความยั่งยืน

แถลงการณ์ของ PATA ชี้ชัดว่าเชียงรายเหมาะสมในฐานะ “เมืองศิลปะ–วัฒนธรรม–สุขภาวะ” และโครงสร้างงานที่ผสาน “เรียนในห้อง–เห็นของจริง” จะทำให้ผู้ร่วมงานกลับไปพร้อมเครื่องมือใช้งานได้จริง ขณะที่ TCEB–TAT–DASTA ต่างระบุร่วมกันว่าการยกระดับ “เมืองรองที่มีศักยภาพ” ให้เป็น MICE City คือหนทางสร้างความยั่งยืนและความต่างให้ไทยในตลาดเอเชียแปซิฟิกทั้งหมดนี้คือเมสเสจเดียวกันต่างภาษา: “พลังของชุมชน + ความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม” คือหัวใจของการตลาดจุดหมายปลายทางยุคใหม่

จาก “การมาเยือน” สู่ “การเชื่อมโยง”

PDMF 2025 ทำให้เชียงรายก้าวพ้นคำว่าจุดหมายปลายทางสวยงาม สู่การเป็น “วงสนทนา” ระดับภูมิภาคว่าด้วยการตลาดการท่องเที่ยวที่ มีความหมาย และ มีความรับผิดชอบ ในจังหวะที่ไทยต้องเน้น “คุณภาพมากกว่าปริมาณ” งานนี้คือตัวอย่างชัดเจนว่าความร่วมมือข้ามหน่วยงาน + พลังชุมชน + มาตรฐานสิ่งแวดล้อม สร้างผลคูณเศรษฐกิจได้จริง และที่สำคัญทำให้ “เรื่องเล่าของเชียงราย” ถูกเล่าด้วยปากของผู้ร่วมงานมืออาชีพจากทั่วเอเชียแปซิฟิกต่อไปอย่างเป็นธรรมชาติ

สำหรับ “เจ้าบ้าน” เวลานี้คือโอกาส: ยิ้ม–เปิดบ้าน–เล่าเรื่อง—และทำให้ทุกการใช้จ่ายของผู้มาเยือน มีความหมาย ต่อคนเชียงรายมากที่สุด

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • Pacific Asia Travel Association (PATA)
  • PATA – หน้ารายละเอียดงานอย่างเป็นทางการ: โปรแกรม Destination Experience ทั้ง 3 เส้นทาง (วัดร่องขุ่น–ดอยตุง–บ้านสันทางหลวง / ถ้ำหลวง–ผาหมี–BIENNALE / สามเหลี่ยมทองคำ–เชียงแสน–วัดเจดีย์หลวง–Kwaidin Daag Art House)
  • Designated Areas for Sustainable Tourism Administration (DASTA): รายชื่อผู้ชนะ PATA Gold Awards 2025
  • UNESCO / TAT: สถานะ Chiang Rai – Creative City of Design
  • TCEB / Business Events Thailand
  • Reuters (สถานการณ์ท่องเที่ยวไทย)
  • The Asahi Shimbun / JNTO
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

เชียงรายพลิกเกม! ปั้นประเพณีโล้ชิงช้าสู่ Soft Power ท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม

เชียงรายเดินหน้า “โล้ชิงช้า” สู่ Soft Power ชนเผ่า ฟื้นพลังชุมชน–ยกระดับท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมอย่างยั่งยืน

เชียงราย, 13 กันยายน 2568 – ท้องฟ้าแม่จันยามบ่ายคล้อยโปรยฝนบางเบา ลานวัฒนธรรมบ้านแสนสุข ตำบลศรีค้ำค่อยๆ แน่นขนัดด้วยผู้คนในชุดพื้นเมืองหลากสีสัน ชายหญิงอาข่าประดับหมวกเงิน กลิ่นอาหารพื้นถิ่นลอยคลุ้ง เสียงกลองไม้ดังประสานกับเสียงหัวเราะ – บรรยากาศทั้งหมดพาให้พิธีเปิดงานประเพณีโล้ชิงช้า “บ่อง ฉ่อง ตุ๊” ปี 2568 กลับมามีชีวิตอีกครั้ง พร้อมสัญญาณที่ชัดเจนว่าจังหวัดเชียงรายกำลังเปลี่ยน “ทุนทางวัฒนธรรม” ให้เป็น Soft Power ชนเผ่า อย่างมีทิศทาง

งานครั้งนี้จัดโดย องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.) ร่วมกับ องค์การบริหารส่วนตำบลศรีค้ำ โดยมี นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย เป็นประธานในพิธี และสนับสนุนงบประมาณ 100,000 บาท เพื่อฟื้นฟูประเพณีสำคัญของชาวอาข่าให้กลับมาโดดเด่นในปฏิทินท่องเที่ยวชุมชนอย่างเป็นรูปธรรม เป้าหมายไม่ใช่เพียงจัดงานปีละครั้ง แต่ต้องการต่อยอดให้กลายเป็น จุดหมายปลายทางที่นักท่องเที่ยวมาได้ “ทั้งปี” ภายใต้สโลแกนที่ผู้บริหาร อบจ. ย้ำชัด “เที่ยวได้ทุกสไตล์ เที่ยวเชียงรายได้ทั้งปี มีดีทุกอำเภอ

จากพิธีบูชาฝนสู่เวที Soft Power เรื่องเล่าที่จับใจและจับต้องได้

โล้ชิงช้า หรือที่ชาวอาข่าเรียกว่า “บ่อง ฉ่อง ตุ๊” เป็นประเพณีศักดิ์สิทธิ์ของชุมชนบนพื้นที่สูง จัดในช่วงฤดูฝนเพื่อขอพรให้ ฝนฟ้าตกต้องตามฤดูกาล พืชผลอุดมสมบูรณ์ และเป็นวาระที่ชาวอาข่าซึ่งกระจายอยู่หลายหมู่บ้านจะ กลับมาพบปะสังสรรค์ ซ่อมแซมความสัมพันธ์ข้ามรุ่น ระหว่างผู้อาวุโสกับเยาวชน ประเพณีจึงทำหน้าที่มากกว่านิทรรศการกลางแจ้ง – มันเป็น โครงสร้างทางสังคม ที่ทำให้ชุมชนแข็งแรง

ปีนี้เวทีถูกออกแบบให้เห็น “กระดูกสันหลัง” ของพิธีอย่างครบถ้วน ตั้งแต่การตั้งเสาชิงช้าแบบอาข่า การแต่งกายตามจารีต การละเล่นและการเต้นประกอบจังหวะที่สืบทอดกันมา ขณะเดียวกันก็เปิดพื้นที่ให้ผู้มาเยือนเรียนรู้ความหมายภายในของพิธีโดยไม่ล่วงล้ำ พื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ ของชุมชน – แนวทางที่สะท้อนวุฒิภาวะด้านการจัดการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม (cultural tourism) ที่เคารพเจ้าของมรดกโดยตรง

นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ กล่าวว่า “งบประมาณ 100,000 บาทเป็นเพียงจุดเริ่มต้น เราย้ำเสมอว่าเป้าหมายไม่ใช่ ‘จัดงานให้มีคนมา’ เพียงครั้งเดียว แต่เป็นการ คืนความภาคภูมิใจ ให้ชุมชน และทำให้ประเพณีอยู่ได้ด้วยตนเองในระยะยาว เชียงรายต้องเติบโตบนรากของเราเอง”

ทำไม “โล้ชิงช้า” ตอบโจทย์เชียงรายเวลานี้

  1. ตรงกับแนวโน้มการท่องเที่ยวโลก – ผู้เดินทางหลังโควิด-19 มองหาประสบการณ์ จริงแท้ (authentic) และ เรียนรู้ (learning-based) มากขึ้น ประเพณีโล้ชิงช้าตอบโจทย์ทั้งสองข้อ เพราะเปิดให้สัมผัสวิถีชนเผ่าที่มีบริบท–พิธีกรรม–อาหาร–งานช่างฝีมือครบวงจร
  2. กระจายผลประโยชน์ได้กว้าง – ค่าใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ไหลเข้าสู่ชุมชนโดยตรง ตั้งแต่โฮมสเตย์ มัคคุเทศก์ท้องถิ่น ร้านอาหารพื้นถิ่น ไปจนถึงสินค้าหัตถกรรมโบราณ–ร่วมสมัย เศรษฐกิจฐานรากหมุนเวียนเพิ่มทวีคูณ
  3. ต่อยอด Soft Power เชียงราย – จังหวัดนี้มีแบรนด์วัฒนธรรมเข้มแข็งอยู่แล้ว (ศิลปะร่วมสมัย วัดร่องขุ่น ขัวศิลปะ กาแฟบนดอย) เมื่อเชื่อมกับ ประเพณีชนเผ่า จะยิ่งสร้างภาพจำที่แตกต่างจากจังหวัดท่องเที่ยวอื่นในภาคเหนือ
  4. เกื้อกูลความมั่นคงทางสังคม – งานประเพณีทำให้เยาวชนรู้สึก “ภูมิใจในรากเหง้า” ลดแรงดึงดูดของพฤติกรรมเสี่ยง และสร้างบทสนทนาใหม่ระหว่างคนเมืองกับคนดอยบนฐานของความเข้าใจ ไม่ใช่ความเหมารวม

จาก “งานวัฒนธรรม” สู่ “ผลิตภัณฑ์ท่องเที่ยว” 6 ยุทธศาสตร์ให้ถึงฝั่งยั่งยืน

ผู้สื่อข่าวสรุปประเด็นจากเวทีและการพูดคุยรอบงาน กลั่นเป็น 6 ยุทธศาสตร์ ที่ทำให้โล้ชิงช้าเดินหน้าอย่างมีคุณภาพและเคารพเจ้าของวัฒนธรรม

1) พิทักษ์แก่นพิธี ก่อนโปรโมต

หัวใจคือ พื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ และลำดับพิธี ต้องกำหนด เขตถ่ายภาพ–เขตห้ามเข้า คู่ไปกับการบอกเล่าความหมายที่ถูกต้อง ชุมชนเป็นผู้กำกับ (community-led) เพื่อไม่ให้พิธีถูก “ทำให้ดูง่าย” จนหลุดจากบริบทเดิม

2) ยกระดับประสบการณ์ผู้มาเยือน

จุดบริการนักท่องเที่ยวควรมี ป้ายสองภาษา (ไทย–อังกฤษ เพิ่มภาษาจีน/เกาหลีตามตลาดเป้าหมาย) QR Code สำหรับอ่านเรื่องราว–เส้นทางเรียนรู้, เจ้าบ้านอาสา คอยต้อนรับ, และ แพ็กเกจครึ่งวัน/เต็มวัน เชื่อมกิจกรรมเรียนรู้อื่น (ผ้าปักอาข่า, ครัวชนเผ่า, เดินป่าศึกษาพืชวัฒนธรรม)

3) ความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อม

ตั้งระบบ ความปลอดภัยชิงช้า (ตรวจเสา–เชือก–โครงสร้างตามรอบ), ทำ แผนฝนฟ้า–ไฟฟ้า–การแพทย์ฉุกเฉิน, ใช้ แนวคิดงานสีเขียว (Green Event) ลดพลาสติกครั้งเดียวทิ้ง ตั้งจุดคัดแยกขยะ และจัดการน้ำเสียจากครัวชุมชน

4) ประโยชน์ทางเศรษฐกิจที่เป็นธรรม

กำหนด อัตราค่าบริการมาตรฐาน สำหรับไกด์ท้องถิ่น–โชว์วัฒนธรรม–โฮมสเตย์ พร้อม ระบบแบ่งปันรายได้ ที่โปร่งใสระหว่างกลุ่มอาชีพ/กองทุนชุมชน เพื่อให้คนในหมู่บ้าน “รู้สึกได้” ว่าการท่องเที่ยวคุ้มค่าและควรร่วมดูแลต่อ

5) การตลาดบนเรื่องเล่าจริง (Story-driven Marketing)

สร้าง สตอรี่ไลน์ เช่น “กลับบ้านหน้าโล้ชิงช้า”, “เมล็ดกาแฟ–เมล็ดข้าว–เมล็ดรอยยิ้ม” ผลิตคอนเทนต์สั้นที่เล่าผ่านผู้เฒ่า–เยาวชน–แม่ค้า–ช่างฝีมือ แล้วเชื่อมกับ ปฏิทินเที่ยวทั้งปีของเชียงราย ให้ผู้มาเยือนวางแผน “เที่ยวทั้งอำเภอ” ไม่ใช่แค่แวะถ่ายรูป

6) ข้อมูลและการประเมินผล

หลังจบงาน ควรมี ชุดตัวชี้วัด ที่ชุมชนและท้องถิ่นร่วมกันเก็บ เช่น จำนวนผู้มาเยือน ระยะเวลาพำนัก รายได้เฉลี่ยต่อครัวเรือน ความพึงพอใจของเจ้าบ้าน–ผู้มาเยือน และตัวชี้วัดพิทักษ์วัฒนธรรม (เช่น จำนวนเยาวชนที่เข้าร่วมพิธี) เพื่อปรับปรุงในปีถัดไป

บทบาทร่วมของรัฐ–ชุมชน–เอกชน

แม้ในพิธีเปิดจะเน้นบทบาทของ อบจ. แต่เบื้องหลังคือ ทีมสามประสาน ที่เดินหน้าไปด้วยกัน

  • ท้องถิ่น (อบต.ศรีค้ำ) ทำหน้าที่ประสานงานชุมชน จัดการจราจร จุดบริการ–จุดปฐมพยาบาล และดูแลความเรียบร้อยโดยเคารพขนบธรรมเนียม
  • ชุมชนอาข่า เป็นเจ้าภาพพิธี ตัดสินใจเรื่องเขตศักดิ์สิทธิ์ ลำดับพิธี และคัดเลือกตัวแทนเล่าเรื่อง (culture docents) เพื่อให้เสียงของชุมชนเป็นศูนย์กลาง
  • เอกชนท่องเที่ยว–วิสาหกิจชุมชน ร่วมออกแบบแพ็กเกจ รับ–ส่งนักท่องเที่ยวอย่างเหมาะสม สนับสนุนอุปกรณ์เสียง–แสงอย่างพอดีไม่รบกวนพิธี

โมเดลนี้ทำให้งานครั้งนี้ ไม่ใช่งาน “ของใครคนหนึ่ง” แต่เป็นสินทรัพย์ร่วมของเมือง – เมื่อทุกฝ่ายมีส่วนได้ส่วนเสียอย่างเป็นธรรม ความร่วมมือก็พร้อมเดินระยะยาว

เชื่อมโยงเครือข่าย จากแม่จันสู่เส้นทางชนเผ่าทั้งจังหวัด

เชียงรายมีเครือข่ายหมู่บ้านชนเผ่าหลากหลาย ทั้งอาข่า ลาหู่ เมี่ยน ไทลื้อ กะเหรี่ยง ฯลฯ กระทรวงวัฒนธรรมและหน่วยงานวิชาการเคยชี้ชวนให้พัฒนา เส้นทางวัฒนธรรมชนเผ่า” (Ethnic Culture Route) ที่ไม่ใช่การจัดแสดงแบบจำลอง แต่คือการพาผู้มาเยือน เข้าไปเรียนรู้ในพื้นที่จริง ด้วยกติกาที่ชุมชนกำหนดเอง โล้ชิงช้าแม่จันจึงสามารถเป็น จุดตั้งต้น ของเส้นทางดังกล่าว เชื่อมต่อไปยังบ้านสันติคีรี (แม่สลอง) บ้านจะแล บ้านเทอดไทย หรือพื้นที่กาแฟ–ชา–ผ้าปักที่ผู้มาเยือนอยากสัมผัส

หากบูรณาการร่วมกับ เทศกาลศิลปะร่วมสมัยของเชียงราย ที่ได้รับความนิยมอยู่แล้ว เมืองจะมี จังหวะท่องเที่ยว” ที่ไหลลื่นตลอดปี – หน้าฝนเที่ยวโล้ชิงช้า หน้าหนาวชมศิลปะ–กาแฟ หน้าร้อนท่องวัฒนธรรมริมโขง – ทำให้สโลแกน “เที่ยวได้ทั้งปี มีดีทุกอำเภอ” มีความหมายมากกว่าแคมเปญประชาสัมพันธ์

ประเด็นที่ต้องระวังความนิยมต้องไม่กลบคุณค่า

เมื่อ Soft Power เริ่มทำงาน ความนิยม (popularization) ย่อมไหลตามมา ความเสี่ยงสำคัญมี 3 ประการที่จังหวัดและชุมชนต้องรับมืออย่างรอบคอบ

  1. การฉวยใช้สัญลักษณ์ – การผลิตสินค้าที่ “เลียนแบบ” ลวดลายอาข่าโดยไม่ขออนุญาตหรือไม่แบ่งปันประโยชน์ อาจสร้างบาดแผลทางวัฒนธรรม จำเป็นต้องมีแนวทาง สิทธิในทรัพย์สินทางวัฒนธรรม ของชุมชนอย่างชัดเจน
  2. ความแออัดและแรงกดดันต่อทรัพยากร – หากจำนวนผู้มาเยือนพุ่งสูงโดยไม่มีระบบจัดการ อาจกระทบทั้งพิธีและวิถีชีวิต ต้องกำหนด เพดานผู้เข้าชม ในบางช่วง และชี้ทางไปยังกิจกรรม–หมู่บ้านอื่นเพื่อกระจายตัว
  3. ภาพจำที่ทำให้ตายตัว (stereotype) – การนำเสนอชนเผ่าควรสะท้อน ชีวิตจริงที่มีหลายมิติ ไม่ใช่โรแมนติไซส์เฉพาะชุดพื้นเมืองหรือการเต้น ต้องเปิดพื้นที่ให้เยาวชนเล่าเรื่องชีวิตร่วมสมัยของตนเองควบคู่กับพิธีกรรม

การรับมือความท้าทายเหล่านี้จะทำให้ Soft Power ของเชียงรายแข็งแรง – เป็นพลังที่ ยกชุมชนทั้งยวง ไม่ใช่พลังที่ผลักให้บางคนยืนหน้าเวทีและบางคนถอยไปเป็นเพียงฉากหลัง

เส้นชัยที่ชื่อว่า “ยั่งยืน” สิ่งที่เชียงรายพิสูจน์ให้เห็น

ภาพรวมของงานปี 2568 สะท้อน 3 หลักคิดที่ชัดเจน

  • เคารพรากเหง้า – ชุมชนเป็นศูนย์กลางของการตัดสินใจ
  • ทำให้เข้าถึงง่าย – ใช้ภาษา/สื่อ/แพ็กเกจที่ผู้มาเยือนเข้าใจได้โดยไม่ทำลายพิธี
  • เชื่อมเศรษฐกิจฐานราก – รายได้กระจายถึงครัวเรือนและกองทุนชุมชนอย่างเป็นธรรม

ทั้งหมดคือองค์ประกอบของ ความยั่งยืน ที่ไม่ใช่คำสวยหรู หากแต่เป็นแนวทางปฏิบัติที่เกิดขึ้นจริงในลานโล้ชิงช้าแม่จัน เชียงรายจึงไม่ได้เพียง “จัดงาน” แต่กำลัง ออกแบบระบบนิเวศการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ที่คนในและคนนอกเดินไปด้วยกันได้

เมื่อชิงช้าแกว่ง – เศรษฐกิจชุมชนและหัวใจเมืองก็แกว่งตาม

เสาชิงช้าสูงตระหง่านกลางลานคือสัญลักษณ์ที่เรียบง่ายแต่ทรงพลัง ทุกครั้งที่มันแกว่ง คนดูยิ้ม เด็กหัวเราะ ผู้อาวุโสยืนมองอย่างปลื้มใจ นี่คือภาพของ ความหวัง ที่เคลื่อนไหวได้ – ความหวังว่าประเพณีบรรพชนจะไม่เลือนหาย ความหวังว่าลูกหลานจะภูมิใจในรากของตนเอง ความหวังว่าผู้มาเยือนจะพกเรื่องเล่าดีๆ กลับบ้าน และแน่นอน ความหวังว่ารายได้จะหมุนเวียนในหมู่บ้านอย่างเป็นธรรม

เชียงรายกำลังบอกประเทศทั้งประเทศว่า Soft Power ไม่ได้อยู่แค่บนเวทีใหญ่หรือจอใหญ่ แต่อยู่ในลานดินกลางหมู่บ้าน อยู่ในมือของผู้เฒ่าที่ส่งไม้ต่อให้เด็ก อยู่ในรอยยิ้มของนักท่องเที่ยวที่ได้เรียนรู้บางอย่างใหม่ๆ เกี่ยวกับเพื่อนร่วมแผ่นดิน เมื่อ วัฒนธรรมได้รับความเคารพ—เศรษฐกิจจะเติบโต และเมื่อ เศรษฐกิจเติบโต—ชุมชนจะเข้มแข็ง โล้ชิงช้าแม่จันจึงไม่ใช่เพียงประเพณี หากเป็น โมเดลการพัฒนา ที่แกว่งไปข้างหน้าอย่างสมดุล

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย
  • องค์การบริหารส่วนตำบลศรีค้ำ อำเภอแม่จัน
  • สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย (กระทรวงวัฒนธรรม)
  • กรมส่งเสริมวัฒนธรรม
  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)
  • ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI EDITORIAL

ททท. ชี้เชียงรายโอกาสทองปลายปี ด้วย Soft Power และความปลอดภัยระดับโลก

ภาพรวมการท่องเที่ยวเชียงราย โอกาสทองปลายปี ขับเคลื่อนด้วย Soft Power และความปลอดภัยระดับโลก

เชียงราย, 6 กันยายน 2568 – เชียงรายกำลังเปลี่ยนผ่านจากกรีนซีซันสู่ไฮซีซันอย่างเต็มรูปแบบ ททท.สำนักงานเชียงรายประเมินว่าตลาดยัง “เป็นบวกและมีแรงส่ง” จากทั้งปัจจัยอากาศ ชุดกิจกรรมเชิงวัฒนธรรม และภาพลักษณ์เมืองปลอดภัยสำหรับนักเดินทาง โดยเฉพาะผู้หญิงและดิจิทัลโนแมด ขณะเดียวกัน เมืองเดินเกมเชิงรุกด้วย “สินค้าท่องเที่ยว” ที่แตกต่าง ได้แก่ ชา–กาแฟ งานศิลปะร่วมสมัย และการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Wellness) ซึ่งเปลี่ยนบทบาทเชียงรายจาก “เมืองผ่าน” เป็น “เมืองปลายทาง” สำหรับนักท่องเที่ยวคุณภาพสูง

จากกรีนซีซันสู่ไฮซีซันตัวเลขบวกและจังหวะเร่งเครื่อง

นายวิสูตร บัวชุม ผู้อำนวยการ ททท.สำนักงานเชียงราย อธิบายว่า ช่วง 2–3 เดือนที่ผ่านมา อัตราเข้าพักเฉลี่ยอยู่ราว 55% สอดคล้องฤดูกาลฝน และเมื่อมองตั้งแต่ต้นปีถึงสิงหาคม ตัวเลขการท่องเที่ยว เติบโตประมาณ 5% แม้ไม่หวือหวา แต่ “เป็นบวกและน่าพอใจ” โดยมีปัจจัยหนุนจากสภาพอากาศช่วงต้นปีที่เป็นใจ และ ไม่มีน้ำท่วมใหญ่ เช่นบางปีที่ผ่านมา

“หากช่วงสี่เดือนสุดท้ายไม่มีเหตุฉุกเฉิน โดยเฉพาะน้ำท่วม และเมื่อเข้าสู่ปลายฝนต้นหนาว เราคาดว่า ตัวเลขจะดีขึ้นต่อเนื่อง” นายวิสูตรระบุ พร้อมย้ำว่าไฮซีซันซึ่งเริ่มกลางตุลาคมเป็นหัวใจสำคัญในการเร่งจังหวะการฟื้นตัวของทั้งที่พัก ร้านอาหาร และผู้ประกอบการนำเที่ยว

Soft Power เชียงราย ชา–กาแฟ ศิลปะ และ Wellness

แม้ภาคเหนือจะมีทรัพยากรธรรมชาติใกล้เคียงกัน แต่เชียงราย “สร้างความต่าง” ผ่านสามแกนหลัก

  1. ชา–กาแฟ: เชียงรายเป็นแหล่งปลูกสำคัญและกำลังยกระดับสู่ Specialty Coffee อย่างเป็นระบบ เส้นทางเรียนรู้ตั้งแต่ไร่ถึงแก้วช่วยยืดระยะเวลาพำนักและเพิ่มการใช้จ่ายต่อทริป
  2. การท่องเที่ยวเชิงศิลปะ: เมืองศิลปะร่วมสมัยของศิลปินแถวหน้าสร้างแลนด์มาร์กและอีเวนต์ที่ “ดึงกลุ่มใหม่” โดยเฉพาะผู้แสวงหาแรงบันดาลใจและนักท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม
  3. Wellness Tourism: จังหวัดเดินนโยบาย Wellness อย่างจริงจัง เชื่อมทรัพยากรธรรมชาติ เช่น น้ำพุร้อน พื้นที่สีเขียว กิจกรรมโยคะ–สมาธิ กับบริการสปามาตรฐาน เพื่อยกระดับประสบการณ์ท่องเที่ยวแบบองค์รวม

แกน Soft Power ดังกล่าวถูกออกแบบให้ “ทำงานร่วมกัน” ทั้งในเชิงเส้นทาง ทริป 2–3 วัน และคอนเทนต์สื่อสารเชิงเรื่องเล่าที่ชัดเจน

ความปลอดภัยคือใบเบิกทาง เมืองที่ผู้หญิงมั่นใจ

ความมั่นใจเรื่อง ความปลอดภัย คือปัจจัยตัดสินใจสำคัญ นายวิสูตรชี้ว่าเชียงรายเพิ่งถูกจัดอันดับให้เป็น เมืองปลอดภัยอันดับ 2 ของโลกสำหรับนักท่องเที่ยวผู้หญิง รองจากไทเป สะท้อนมาตรการดูแลทั้งเชิงป้องกันและการให้ความช่วยเหลือจริงจังในพื้นที่ ทั้งการทำงานของตำรวจท่องเที่ยวและศูนย์ช่วยเหลือนักท่องเที่ยว

“ปีที่ผ่านมา เชียงรายมีนักท่องเที่ยวกว่า 6.1 ล้านคน แต่ แทบไม่มีเหตุรุนแรง ที่กระทบชีวิตและทรัพย์สิน แม้เรามีแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติและเส้นทางภูเขาจำนวนมาก” ผู้บริหารททท.กล่าว นัยสำคัญคือ รีวิวเชิงบวกและการบอกต่อ ซึ่งสร้างผลทวีคูณต่อการกลับมาเยือนซ้ำ

นายวิสูตร บัวชุม ผู้อำนวยการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานเชียงราย

แผนพร้อมรับไฮซีซัน ทั้งพื้นที่ เอกชน และการเดินทาง

เพื่อรองรับช่วงพีกซีซัน จังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ “เข้าจังหวะ” เตรียมพร้อมในสามชั้น

  • พื้นที่แหล่งท่องเที่ยว: ทุกอำเภอและอุทยานแห่งชาติเร่งจัดการความพร้อม ทั้งความปลอดภัย เส้นทางเดิน–ชมวิว ป้ายสื่อความหมาย ห้องน้ำ และการจัดจุดถ่ายภาพที่เป็นระเบียบ
  • ภาคเอกชน: ททท.ประสานสมาคม–ชมรมท่องเที่ยว เพื่อยกระดับมาตรฐานบริการ โรงแรม–ที่พักทบทวนระบบจองหลายภาษา ร้านอาหารปรับเมนูฤดูกาล บริษัทนำเที่ยวเติมแพ็กเกจใหม่และโปรจับคู่ เช่น ที่พัก + สปา + เส้นทางชากาแฟ
  • การเดินทาง: ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงและสายการบินเตรียม เพิ่มเที่ยวบิน ช่วงปลายปี ขณะเดียวกัน Scoot เตรียมเปิด ไฟลต์ตรงสิงคโปร์–เชียงราย 1 มกราคม 2569 เปิดประตูสู่ตลาดอาเซียนโดยตรง และเพิ่มสัดส่วนนักท่องเที่ยวที่พักนาน–ใช้จ่ายสูง

สื่อสารเชิงรุก คอนเทนต์จริง พาเห็นหน้างาน

ในกรีนซีซันที่ผ่านมา ททท.สำนักงานเชียงรายพาสื่อมวลชนลงพื้นที่ “ตอนบน” และเชื่อมโยงกับ ประเพณีโล้ชิงช้า เพื่อสร้างคอนเทนต์เชิงวัฒนธรรมและธรรมชาติที่ “จับต้องได้” วิธีการนี้ทำให้ผู้ชมเห็นภาพจริง รีแอคต์ต่อบรรยากาศ และเปลี่ยนใจสู่การจองทริปได้รวดเร็วกว่าแคมเปญภาพรวม

ยุทธศาสตร์คอนเทนต์ต่อไปคือ Wellness Storytelling ที่มีเส้นเรื่องชัดเจน เช่น “พักร้อน–พักใจ–พักกาย” เชื่อมคาเฟ่ไร่กาแฟกับออนเซ็นธรรมชาติ และเวิร์กช็อปชุมชน เพื่อเพิ่มเวลาพำนักเฉลี่ยและรายได้ให้คนในท้องถิ่น

เศรษฐกิจมหภาคในพื้นที่ เติบโต แต่ไม่ทั่วถึง

นอกเหนือจากตัวเลขท่องเที่ยวที่เป็นบวก รายงานเชิงวิเคราะห์ที่จัดทำจาก ข้อมูลผู้ใช้จัดเตรียม ชี้ให้เห็นภาพรวมเศรษฐกิจเชียงรายปี 2568 ว่า เติบโตเด่นในระดับมหภาค ทั้งรายได้ท่องเที่ยวและการลงทุนธุรกิจใหม่ แต่เกิดปรากฏการณ์ เศรษฐกิจสองขั้ว” รายย่อยในตลาดดั้งเดิมยอดขายลดลงจากค่าครองชีพและการแข่งขันจากทุนใหญ่ ช่องว่างรายได้จึงกว้างขึ้น

ด้านการท่องเที่ยว ครึ่งปีแรก 2568 เชียงรายขึ้นแท่น เมืองรองอันดับ 1 รายได้รวมเกือบ 26,000 ล้านบาท แนวโน้มต่อเนื่องจากปี 2566 ที่มีรายได้กว่า 46,773.91 ล้านบาท และปี 2567 ราว 38,493 ล้านบาท (ข้อมูลผู้ใช้จัดเตรียม) ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนผลของการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและแผนการตลาดที่เน้นความต่างอย่างได้ผล

พลวัตการค้า ผ่านแดนพุ่ง ชายแดนชะลอ เสี่ยงพึ่งพาตลาดเดียว

ข้อมูลผู้ใช้จัดเตรียมระบุว่า กรกฎาคม 2568 มูลค่า การค้าผ่านแดน อยู่ที่ 99,805 ล้านบาท เพิ่ม 32.5% โดยจีนเป็นแรงขับหลัก สินค้าเด่นคือ ทุเรียนสด มูลค่าส่งออก 22,949 ล้านบาท โต 135.6% ขณะที่ การค้าชายแดน ชะลอลงมาที่ 66,220 ล้านบาท ติดลบ 20% และส่งออกติดลบ 29.5% สะท้อนข้อจำกัดด้านกฎระเบียบฝั่งเพื่อนบ้าน

ข้อค้นพบสำคัญคือ ความเสี่ยงเชิงโครงสร้าง จากการพึ่งพาสินค้าหรือ “ตลาดเดียว” สูงเกินไป หากอุปสงค์จีนชะลอ อาจ “ส่งแรงสั่นสะเทือน” ผ่านห่วงโซ่อุปทานตั้งแต่ชาวสวนจนถึงโลจิสติกส์และค้าปลีกในเมือง

ความท้าทายคาบเกี่ยว PM2.5 ภัยธรรมชาติ และการแข่งขันภูมิภาค

รายงานผู้ใช้ยังสะท้อน “จุดเปราะบาง” หลายด้าน ได้แก่

  • ฝุ่นควัน PM2.5 ที่กระทบภาพลักษณ์และสุขภาพ แม้มีนโยบาย “งดเผา 92 วัน” ค่าฝุ่นยังเกินมาตรฐานในบางช่วง ทำให้นักท่องเที่ยวบางส่วนเลื่อนหรือยกเลิกแผน
  • เหตุภัยธรรมชาติชายแดน เช่น แผ่นดินไหวฝั่งเมียนมา กระทบการเดินทางบางเส้นทางชั่วคราว
  • การแข่งขันภูมิภาค จากประเทศปลายทางยอดนิยมกลุ่มนักท่องเที่ยวจีนที่มีต้นทุนทริปต่ำกว่า

ทางออกเชิงระบบคือ ความร่วมมือข้ามพรมแดน ในการจัดการไฟป่า–การเผา และการสื่อสารคุณภาพอากาศแบบเรียลไทม์ พร้อมกับการยกระดับบุคลากรบริการและภาษา เพื่อชดเชยและสร้างสมดุลต่อแรงกดดันภายนอก

งบประมาณภาครัฐ ลงทุนมาก แต่การกระจายยังท้าทาย

ข้อมูลผู้ใช้ชี้ว่า งบกระตุ้นเศรษฐกิจรอบแรกปี 2568 ที่จัดสรรให้เชียงรายรวม 1,876.1 ล้านบาท กระจุกตัวในหน่วยงานส่วนกลาง โดยเฉพาะ กรมทางหลวง (713.9 ล้านบาท หรือ 38%) ขณะที่ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ไม่ได้รับจัดสรรโดยตรง แม้งบซ่อมฟื้นฟูหลังน้ำท่วมปลายปี 2567 อีก 363 ล้านบาท จะช่วยโครงสร้างพื้นฐาน แต่ยังมีคำถามถึง “ประสิทธิผลเชิงกระตุ้น” ต่อเศรษฐกิจฐานราก

ข้อเสนอเชิงนโยบายจากรายงานผู้ใช้คือ เพิ่มสัดส่วนงบตรงถึง อปท. และออกแบบเครื่องมือช่วย SME–ชุมชน ให้เข้าถึงง่าย ทั้งอบรมดิจิทัล มาร์เก็ตเพลส และสินเชื่อรายย่อย เพื่อ เชื่อมเศรษฐกิจบน–ล่าง ให้ไหลเวียนจริง

ยุทธศาสตร์เชื่อมการท่องเที่ยวกับชุมชน รายได้ไหลสู่ท้องถิ่น

เพื่อให้การเติบโต “ทั่วถึง” เชียงรายควรเดินหน้า แพ็กเกจร่วม ระหว่างโรงแรม–คาเฟ่–สปา–ชุมชน สร้างเส้นทาง “เรียนรู้–ลงมือทำ” เช่น เวิร์กช็อปชา–กาแฟ หัตถกรรม และอาหารท้องถิ่น เชื่อมบริการขนส่งท้องถิ่น ลดการรั่วไหลของรายได้ พร้อมมาตรฐาน ความปลอดภัย–ความสะอาด–ความเป็นมิตร โดยเฉพาะมุมบริการสำหรับนักเดินทางหญิง อาทิ ไฟส่องสว่าง ทางหนีไฟ กล้องวงจรปิด และบุคลากรที่ผ่านการอบรมปฐมพยาบาล

มาตรการเหล่านี้ช่วยสร้าง รีวิวดี–กลับมาเยือนซ้ำ–การบอกต่อ ซึ่งเป็น “ทุนทางสังคม” สำคัญของเมือง

โอกาสปลายปีและสมการความยั่งยืน

เมื่อรวมภาพทั้งหมด เชียงรายมี แรงส่งเชิงโครงสร้าง จากสินค้าท่องเที่ยวที่ต่าง วาระความปลอดภัยที่เด่น และไฟลต์ใหม่เชื่อมอาเซียนโดยตรง แต่ความยั่งยืนยังพึ่งพา “สามสมการ” ที่ต้องเดินพร้อมกัน

  1. Diversify – กระจายพอร์ตทั้งสินค้า–ตลาด (ท่องเที่ยวและการค้า) ลดเสี่ยงพึ่งพิงแหล่งเดียว
  2. Deconcentrate – คลายความกระจุกของงบและโอกาส สู่ อปท.–ชุมชน–SME เพื่อให้รายได้ไหลทั่วพื้นที่
  3. Decarbonize – เร่งมาตรการสิ่งแวดล้อม ลดควัน–ขยะ พร้อมสื่อสารข้อมูลคุณภาพอากาศโปร่งใส สร้างความมั่นใจนักเดินทางระยะยาว

หากทำได้พร้อมกัน เมืองจะ “ล็อกอิน” สถานะ เมืองปลายทางคุณภาพสูง ที่นักท่องเที่ยวพักนาน ใช้จ่ายสูง และกลับมาเยือนซ้ำในทุกฤดูกาล

ข้อเสนอสำหรับผู้ประกอบการในฤดูกาลนี้

  • ยกระดับระบบจอง รองรับหลายภาษา–มือถือ และเชื่อมแชต–ชำระเงิน
  • ทำแพ็กเกจร่วม ที่พัก + Wellness + เส้นทางชากาแฟ + รถรับส่งสนามบิน
  • สื่อสารความปลอดภัย ชัดเจนบนหน้าร้านและแพลตฟอร์ม พร้อมจุดติดต่อฉุกเฉิน
  • เก็บรีวิวคุณภาพ เน้นรูป–วิดีโอจริง สร้าง Social Proof ก่อนพีกซีซัน
  • อบรมบุคลากร ด้านภาษาที่สอง–บริการเชิงลึก ตอบโจทย์นักท่องเที่ยวคุณภาพสูง

ไฮซีซันปลายปี 2568 คือ “จังหวะเร่งเครื่อง” ของเชียงราย ตัวเลขพื้นฐานบวก ความปลอดภัยเด่น และ Soft Power ชัดเจน ทั้งชา–กาแฟ ศิลปะ และ Wellness ขณะที่ไฟลต์ใหม่จากสิงคโปร์จะเปิดประตูตลาดอาเซียนโดยตรง ภาพความท้าทายยังมี ทั้ง PM2.5 การแข่งขันภูมิภาค และเศรษฐกิจสองขั้ว แต่ด้วยแผนเตรียมพร้อมของพื้นที่ ภาคเอกชน และการสื่อสารเชิงรุก เชียงรายมีศักยภาพจะ เปลี่ยนฤดูกาล ให้เป็น โอกาส และเปลี่ยน นักเดินทางครั้งแรก เป็น ผู้มาเยือนซ้ำ ที่หลงรักเมืองเหนือปลายทางแห่งนี

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • เขียนโดย กันณพงศ์ ก.บัวเกษร ผู้ก่อตั้งนครชียงรายนิวส์
  •  เรียบเรียงโดย มนรัตน์ ก.บัวเกษร ผู้ร่วมก่อตั้งนครเชียงรายนิวส์
  • ภาพโดย กีรติ ชุติชัย ผู้สื่อข่าว
  • สัมภาษณ์ นายวิสูตร บัวชุม ผู้อำนวยการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานเชียงราย วันที่ 6 กันยายน 2568: ภาพรวมฤดูกาลท่องเที่ยว อัตราเข้าพัก 55% การเติบโต 5% ประเด็นความปลอดภัยและนักท่องเที่ยว 6.1 ล้านคน รวมถึงแผนเพิ่มเที่ยวบินและไฟลต์ Scoot สิงคโปร์–เชียงราย 1 ม.ค. 2569
  • ข้อมูลผู้ใช้จัดเตรียม: ตัวเลขรายได้ท่องเที่ยวปี 2566–2568 สถานะ “เมืองรองอันดับ 1” ครึ่งปีแรก 2568 และกรอบการวิเคราะห์เศรษฐกิจ–การท่องเที่ยวเชียงราย
  • ข้อมูลผู้ใช้จัดเตรียม (การค้า): สถิติ การค้าผ่านแดน/ชายแดน เดือนกรกฎาคม 2568 มูลค่า 99,805 ล้านบาท (+32.5%) และ 66,220 ล้านบาท (–20%) สินค้าหลักทุเรียน 22,949 ล้านบาท (+135.6%)
  • ข้อมูลผู้ใช้จัดเตรียม (นโยบาย–งบประมาณ): รายการจัดสรรงบกระตุ้นเศรษฐกิจจังหวัดเชียงรายปี 2568 รวม 1,876.1 ล้านบาท โครงสร้างหน่วยงานผู้รับงบ และงบซ่อมฟื้นฟูหลังอุทกภัยปลายปี 2567
  • ข้อมูลผู้ใช้จัดเตรียม (สิ่งแวดล้อม–ความท้าทาย): สถานการณ์ PM2.5 มาตรการงดเผา 92 วัน เหตุภัยธรรมชาติชายแดน และการแข่งขันปลายทางในภูมิภาค
  •  
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

UNIDO เลือกเชียงราย สร้างภูมิคุ้มกันโลกร้อน หนุนท่องเที่ยวชุมชนเข้มแข็ง

เชียงราย จังหวัดต้นแบบ “อยู่ร่วมโลกร้อน” อพท. จับมือ UNIDO ระดมพลังทุกภาคส่วน เดินหน้าโครงการท่องเที่ยวชุมชนยืดหยุ่นต่อสภาพภูมิอากาศ

เชียงราย, 25 มิถุนายน 2568 – องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) หรือ อพท. ผนึกความร่วมมือกับ องค์การพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งสหประชาชาติ (UNIDO) ประกาศเลือกจังหวัดเชียงรายเป็นจังหวัดต้นแบบในการพัฒนาศักยภาพของชุมชนและระบบเศรษฐกิจการท่องเที่ยวให้ปรับตัวและอยู่ร่วมกับสภาวะโลกร้อนและโลกรวนอย่างมีประสิทธิภาพ เปิดเวทีระดมความคิดเห็นจากภาครัฐ เอกชน และชุมชน ร่วมกำหนดทิศทางการขับเคลื่อนโครงการนำร่อง ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของการสร้างแบบจำลองการปรับตัวในระดับพื้นที่ต่อการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศของไทย

เวทีร่วมคิดสร้างแผนปรับตัวเพื่ออนาคต

เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2568 เวลา 10.00 น. ณ โรงแรม Athita The Hidden Court Chiang Saen Boutique Hotel อพท. จัดประชุมระดมความคิดเห็น “การสร้างการท่องเที่ยวชุมชนที่มีความยืดหยุ่นต่อสภาพภูมิอากาศและห่วงโซ่อุปทานที่ยั่งยืน” เพื่อร่วมกำหนดแผนงานโครงการต้นแบบในพื้นที่ 4 อำเภอ ได้แก่ เชียงแสน แม่สาย แม่จัน และแม่ฟ้าหลวง ครอบคลุมกว่า 300 หมู่บ้าน โดยมี นายศิริปกรณ์ เชี่ยวสมุทร ผู้อำนวยการ อพท. เป็นประธาน, นายรุจติศักดิ์ รังษี รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย, Mr.Virpi Stucki Chief, Fair Production, Sustainability Standard and Trade, UNIDO (ประชุมทางไกล) พร้อมด้วยตัวแทนภาคีเครือข่ายและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม

นายศิริปกรณ์ เชี่ยวสมุทร เปิดเผยว่า โครงการนี้เป็นโอกาสสำคัญของเชียงราย เนื่องจาก UNIDO ได้ตัดสินใจนำร่องพัฒนาระบบการอยู่ร่วมกับสภาวะโลกร้อนในจังหวัดเชียงรายเป็นพื้นที่แรกของไทย และเตรียมสนับสนุนงบประมาณจากองค์การสหประชาชาติ ต่อยอดการพัฒนาทั้งมิติการท่องเที่ยวชุมชน การบริหารจัดการทรัพยากร การฟื้นฟูระบบนิเวศ และการสร้างเศรษฐกิจฐานรากที่ยั่งยืน

สู่เป้าหมาย “ปรับตัวอยู่รอด” ในสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลง

จุดเด่นของโครงการฯ คือการมุ่งสร้างความยืดหยุ่น (Climate Resilience) ให้กับชุมชน โดยอาศัยความร่วมมือแบบบูรณาการจากทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ ภาคเอกชน ชุมชนท้องถิ่น องค์กรระหว่างประเทศ และภาควิชาการ ตัวอย่างแนวคิดการพัฒนาที่จะผลักดันในพื้นที่เป้าหมาย เช่น การปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรับมือน้ำท่วมหรือภัยแล้ง พัฒนาเส้นทางท่องเที่ยวสีเขียว (Green Tourism) และสร้างระบบห่วงโซ่อุปทานสินค้าและบริการที่ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและรับมือกับความเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศได้จริง

นายศิริปกรณ์ ย้ำว่า “เรากำลังติดกระดุมเม็ดแรก” ให้กับชุมชนเชียงราย เพื่อวางระบบการบริหารจัดการเงินทุนและความร่วมมือ เมื่อได้รับงบประมาณและโอกาสจากต่างประเทศแล้ว จะต้องบริหารงบอย่างตรงเป้าหมายและโปร่งใส พร้อมให้ความสำคัญกับต้นน้ำของปัญหาในแต่ละชุมชน เช่น ภัยน้ำท่วม น้ำแล้ง หรือปัญหาโครงสร้างพื้นฐาน โดยการทำงานร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เช่น จังหวัด อบจ. และเทศบาล เพื่อให้การพัฒนาไปสู่เป้าหมายเดียวกัน

โอกาสเชียงรายจากเวทีโลกสู่การพัฒนาท้องถิ่นยั่งยืน

การเลือกเชียงรายเป็นพื้นที่นำร่องครั้งนี้เกิดจากความเชื่อมั่นในศักยภาพของจังหวัดและการทำงานแบบเป็นทีม โดยเฉพาะความเข้มแข็งของผู้นำจังหวัดอย่างนายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ซึ่งได้รับการยอมรับจากทีม UNIDO และภาคีระหว่างประเทศ นอกจากนี้ อพท. ยังได้ร่วมมือกับ GISTDA ในการนำเทคโนโลยีภูมิสารสนเทศและระบบอวกาศมาวิเคราะห์ วางแผนและติดตามผลลัพธ์ของโครงการอย่างมีประสิทธิภาพ

สะท้อนภาพอนาคตเชียงรายต้นแบบการอยู่ร่วมกับโลกร้อน

ในเวทีระดมความคิดเห็นครั้งนี้ มีการแลกเปลี่ยนปัญหาและแนวทางแก้ไขที่สอดคล้องกับบริบทของแต่ละพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาทางเลือกใหม่ๆ ด้านเศรษฐกิจสร้างสรรค์ สินค้าท่องเที่ยวชุมชน การบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างรู้คุณค่า หรือการวางแผนรับมือกับภัยพิบัติที่มีแนวโน้มรุนแรงขึ้นในอนาคต

การเคลื่อนโครงการนี้จะเป็นต้นแบบสำคัญในการพัฒนาความยั่งยืนและความปลอดภัยทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ที่ชุมชนต่างๆ สามารถนำไปต่อยอดขยายผลในพื้นที่อื่นทั่วประเทศไทย

สรุปและวิเคราะห์ผลลัพธ์

โครงการความร่วมมือระหว่าง อพท. และ UNIDO เพื่อสร้างความยืดหยุ่นต่อสภาพภูมิอากาศและห่วงโซ่อุปทานการท่องเที่ยวในเชียงราย ถือเป็นโอกาสสำคัญที่ไม่เพียงแต่จะยกระดับเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตของประชาชน แต่ยังสร้างภาพลักษณ์ใหม่ของไทยในเวทีโลก ดึงดูดเงินทุนและเทคโนโลยีจากต่างประเทศ รวมถึงสร้างความเข้มแข็งจากภายในด้วยความร่วมมือของชุมชน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
WORLD PULSE

ท่องเที่ยวเวียดนามฟีเวอร์ ไทยเสียแชมป์ตลาดเอเชีย

เวียดนามฟีเวอร์! นักท่องเที่ยวทะลุ 7.6 ล้าน ไทยชะลอตัว-ตลาดจีนแห่เที่ยวเวียดนาม แซงไทยในตลาดหลักเอเชีย

ประทเศไทย, 1 มิถุนายน 2568 – การท่องเที่ยวเวียดนามกลายเป็นประเด็นร้อนของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เมื่อสำนักงานการท่องเที่ยวแห่งชาติเวียดนามเปิดเผยสถิติชี้ว่า เวียดนามต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติสูงถึง 7.67 ล้านคน ในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2568 เพิ่มขึ้น 23.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา นับเป็นการขยายตัวที่น่าจับตา สะท้อนภาพเวียดนามในฐานะ “แม่เหล็ก” ดึงดูดนักท่องเที่ยวรายใหม่จากทั่วโลก

เวียดนามแรงแซงไทย นักท่องเที่ยวจีน-เกาหลีหันเป้าหมายใหม่

ข้อมูลล่าสุด (อัปเดต 12 พฤษภาคม 2568) ระบุว่า ตลาดนักท่องเที่ยวที่เข้าเยือนเวียดนามสูงสุดคือจีน 1.95 ล้านคน ตามด้วยเกาหลีใต้ 1.58 ล้านคน ขณะที่ไทย ซึ่งเคยเป็นจุดหมายหลักสำหรับตลาดทั้งสองกลุ่ม กลับถูกเวียดนามแซงหน้าอย่างชัดเจน โดยสถิติระบุว่า นักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางเข้าไทยช่วงต้นปีมีเพียง 1.82 ล้านคน ส่วนกลุ่มเกาหลีใต้ ไทยมีนักท่องเที่ยวราว 600,000 คน ขณะที่เวียดนามดึงกลุ่มนี้ได้ถึง 1.58 ล้านคน หรือมากกว่าประมาณ 3 เท่า

ตลาดสำคัญอื่นๆ อาทิ ไต้หวัน สหรัฐฯ ญี่ปุ่น และกัมพูชา ก็เติบโตต่อเนื่อง ขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น ฟิลิปปินส์ (+98.3%) กัมพูชา (+79.6%) และลาว (+44.7%) ต่างมีอัตราเติบโตสูง ส่วนไทย (+3.1%) และมาเลเซีย (+0.3%) กลับขยายตัวได้เพียงเล็กน้อย

แนวโน้มเปลี่ยนทิศทางการท่องเที่ยวในภูมิภาค

สถานการณ์ที่เวียดนามแซงหน้าไทยในกลุ่มตลาดหลักอย่างจีนและเกาหลีใต้ สะท้อนความเปลี่ยนแปลงสำคัญในภูมิทัศน์อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของภูมิภาค โดยในอดีต ไทยเคยเป็นจุดหมายหลักของนักท่องเที่ยวจีนและเกาหลีมาโดยตลอด แต่ปัจจุบันนักท่องเที่ยวทั้งสองชาติกลับเลือกเวียดนามเป็นปลายทางมากขึ้น เนื่องจากหลายปัจจัย เช่น นโยบายดึงดูดการท่องเที่ยวเชิงรุก การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และความหลากหลายทางวัฒนธรรมที่ตอบโจทย์นักเดินทางรุ่นใหม่

ไทยยังคงตัวเลขรวมสูงแต่แนวโน้มชะลอตัว

แม้ไทยจะยังมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติสะสมสูงกว่า โดยข้อมูลสะสมตั้งแต่ 1 ม.ค.–25 พ.ค. 2568 ไทยต้อนรับนักท่องเที่ยวรวมกว่า 13 ล้านคน แต่สัปดาห์ล่าสุดกลับมีแนวโน้มชะลอตัวลง นักท่องเที่ยวลดลง 5.11% โดยเฉพาะกลุ่มจีน เกาหลีใต้ และมาเลเซีย ลดลง 8.26%, 1.72% และ 1.42% ตามลำดับ สะท้อนแรงกดดันด้านการแข่งขันจากเวียดนามและความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจในภูมิภาค

ตลาดจีนซึ่งเคยเป็น “หมุดทองคำ” ของไทย เริ่มแปรเปลี่ยนฐานความนิยม โดยจำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่เข้าเวียดนามสูงกว่าของไทยอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ กลุ่มนักท่องเที่ยวจากเกาหลีใต้ซึ่งถือเป็น “กำลังซื้อหลัก” ของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทย ก็เลือกเวียดนามเพิ่มขึ้นในอัตราที่รวดเร็ว

วิเคราะห์ปัจจัยสำคัญที่เปลี่ยนทิศการท่องเที่ยว

หนึ่งในปัจจัยหลักที่นักวิเคราะห์ชี้ชัด คือการที่เวียดนามใช้นโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง ทั้งการพัฒนาเส้นทางบินตรง การเปิดเมืองใหม่ การพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวใหม่ๆ รวมถึงราคาค่าครองชีพที่เหมาะสม ในขณะที่ประเทศไทยกำลังเผชิญกับปัญหาค่าเงินบาทแข็ง อัตราค่าครองชีพสูง รวมถึงความกังวลในเรื่องความปลอดภัยที่ถูกหยิบยกในสื่อระหว่างประเทศ

นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ให้ความเห็นว่า สาเหตุหลักของการลดลงของจำนวนนักท่องเที่ยวจีน ญี่ปุ่น และต่างชาติส่วนหนึ่งมาจากความกังวลเรื่องความปลอดภัยและอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาทที่แข็งค่า ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายท่องเที่ยวในไทยสูงขึ้น ทำให้เวียดนามกลายเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับกลุ่มนี้

ทิศทางการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน กลายเป็นความท้าทายของไทย

รายงานจาก Lao Tien Times ในงาน Thailand Tourism Forum 2025 เมื่อ 7 พฤษภาคม 2568 ชี้ว่า ไทยกำลังตกเป็นรองในด้านการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน โดยมีเพียง 109 โรงแรม หรือไม่ถึง 1% ของโรงแรมทั่วประเทศ ที่ผ่านการรับรองมาตรฐานสากลด้านความยั่งยืน ขณะที่แพลตฟอร์มการจองและเทคโนโลยี AI เริ่มให้ความสำคัญกับสถานประกอบการที่มีใบรับรองมาตรฐานอย่างเข้มงวด ส่งผลให้โรงแรมไทยที่ไม่ผ่านมาตรฐานอาจถูกกันออกจากตลาดสำคัญ เช่น การเดินทางเพื่อธุรกิจและกลุ่ม MICE

อาลิสา ศิวายะธร CEO Sivatel Bangkok Hotel กล่าวในงานว่า กระแสความต้องการท่องเที่ยวเชิงรับผิดชอบกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว ไม่ใช่แค่ “เทรนด์” อีกต่อไป แต่เป็น “มาตรฐานใหม่ของโลก” โดยเฉพาะนักเดินทางจากยุโรปที่มีการออกกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมเข้มข้นมากขึ้น

แม้ผู้บริโภคไทยจะมีความสนใจเรื่องสิ่งแวดล้อม โดยพบว่าในปี 2567-2568 มีโพสต์เกี่ยวกับการลดใช้พลาสติกและขยะกว่า 6,800 โพสต์บนโซเชียลมีเดีย และมีผู้มีส่วนร่วมมากกว่า 1.2 ล้านครั้ง ข้อมูลจากผลสำรวจระบุว่า 65% ของนักท่องเที่ยวไทยยินดีจ่ายเงินมากขึ้นเพื่อประสบการณ์ท่องเที่ยวที่ยั่งยืน และ 62% ยินดีจ่ายเพิ่มเพื่อเลี่ยงการใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียว แต่ราคายังเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ผู้บริโภคบางกลุ่มเลือกวิธีที่ประหยัดมากกว่าสิ่งแวดล้อม

ลาวโดดเด่นบนเวทีโลก ผลักดันเมืองหลวงพระบางสู่มาตรฐานโลก

ขณะที่ไทยกำลังดิ้นรนกับมาตรฐานความยั่งยืน ลาวกลับมีความคืบหน้าสำคัญ หลวงพระบางได้รับรางวัลอันดับ 3 ใน Green Destinations Top 100 Story Awards สาขาการบริหารจัดการแหล่งท่องเที่ยว (Destination Management) ณ งาน ITB Berlin เมื่อเดือนมีนาคม 2568 นอกจากนี้ หลวงพระบางอยู่ระหว่างการเตรียมตัวขอรับรอง Green Destination Certification อย่างเป็นทางการ ซึ่งจะยกระดับภาพลักษณ์เมืองมรดกโลกให้สูงขึ้นไปอีกขั้น

สถิติล่าสุดระบุว่าในปีที่ผ่านมา หลวงพระบางมีนักท่องเที่ยวทั้งชาวลาวและต่างชาติกว่า 2.3 ล้านคน สร้างรายได้มากกว่า 1.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ เช่น น้ำตกกวงสี วัดเชียงทอง ภูสี และตลาดกลางคืน ยังคงเป็นแม่เหล็กสำคัญ

ทางออกและมาตรการกระตุ้นท่องเที่ยวไทย

นายจักรพล ตั้งสุทธิธรรม ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ระบุว่ารัฐบาลกำลังเร่งดำเนินมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวไทยอย่างต่อเนื่อง เช่น โครงการ “สวัสดีหนีห่าว” ที่นำผู้ประกอบการและ KOL จากจีนเข้าร่วมงานโปรโมตประเทศไทย พร้อมขยายตลาด “Long haul” หรือกลุ่มเดินทางไกล ขณะที่ยังต้องรักษาตลาด “Short haul” หรือกลุ่มระยะใกล้ โดยมีมาตรการเสริมสร้างความเชื่อมั่นเรื่องความปลอดภัย และอำนวยความสะดวกผ่านระบบ ตม.6

นางสาวฐาปนีย์ ยังยืนยันว่า ไทยมีศักยภาพขยายตลาดใหม่ พร้อมย้ำถึงมาตรการเชิงรุกที่จะทำให้ตลาดจีนและกลุ่มเป้าหมายสำคัญกลับมาเติบโตในครึ่งปีหลัง

วิเคราะห์แนวโน้ม อุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยในปี 2568

สถานการณ์การแข่งขันของเวียดนามและไทยในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวปี 2568 สะท้อนให้เห็นถึงความจำเป็นในการปรับกลยุทธ์ของไทย ทั้งในแง่ของการขยายตลาดใหม่ การยกระดับมาตรฐานความยั่งยืน และการเสริมสร้างความมั่นใจด้านความปลอดภัยและประสบการณ์ท่องเที่ยว ตลอดจนการเน้นกลยุทธ์การตลาดที่สอดคล้องกับพฤติกรรมนักท่องเที่ยวรุ่นใหม่ที่ให้ความสำคัญกับประสบการณ์ ความคุ้มค่า และความรับผิดชอบต่อสังคม

สถิติสำคัญและแหล่งอ้างอิง

  • เวียดนามมีนักท่องเที่ยวต่างชาติ 7.67 ล้านคน ช่วง 4 เดือนแรกของปี 2568 (+23.8%) (อ้างอิง: สำนักงานการท่องเที่ยวแห่งชาติเวียดนาม)
  • ไทยมีนักท่องเที่ยวสะสมกว่า 13 ล้านคน (1 ม.ค.–25 พ.ค. 2568) (อ้างอิง: กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา)
  • นักท่องเที่ยวจีนเยือนเวียดนาม 1.95 ล้านคน ไทย 1.82 ล้านคน (อ้างอิง: สำนักงานการท่องเที่ยวแห่งชาติเวียดนาม, กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา)
  • นักท่องเที่ยวเกาหลีใต้เยือนไทย 600,000 คน ขณะที่เวียดนาม 1.58 ล้านคน (อ้างอิง: สำนักงานการท่องเที่ยวแห่งชาติเวียดนาม)
  • ไทยมีโรงแรมที่ได้รับการรับรองมาตรฐานความยั่งยืนเพียง 109 แห่ง (<1%) (อ้างอิง: Siam Commercial Bank Economic Intelligence Center, Lao Tien Times)
  • หลวงพระบาง ลาว มีนักท่องเที่ยว 2.3 ล้านคน รายได้ 1.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (อ้างอิง: กรมการท่องเที่ยวและวัฒนธรรมลาว, ITB Berlin 2025)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • สำนักงานการท่องเที่ยวแห่งชาติเวียดนาม
  • กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
  • Siam Commercial Bank
  • Economic Intelligence Center
  • Lao Tien Times
  • งาน ITB Berlin 2025
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เทศบาลนครเชียงราย ผนึกกำลัง พัฒนาการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม

เชียงรายเดินหน้ายกระดับการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม สร้างเศรษฐกิจฐานราก

เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2567 เทศบาลนครเชียงราย ร่วมกับพันธมิตรทั้งภาครัฐและภาคเอกชน เดินหน้าขับเคลื่อนโครงการยกระดับการท่องเที่ยวและบริการเชิงสร้างสรรค์บนฐานภูมิปัญญาและวัฒนธรรม เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและสร้างเศรษฐกิจฐานรากให้เติบโตอย่างยั่งยืน

ความร่วมมือเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน

ในการนี้ นายวันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย ได้ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย ชุมชนดอยสะเก็น ชุมชนสันป่าก่อไทยใหญ่ และชุมชนป่างิ้ว เพื่อร่วมกันพัฒนาโครงการดังกล่าว โดยมีเป้าหมายหลักคือการนำเอาภูมิปัญญาและวัฒนธรรมท้องถิ่นมาสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์และบริการทางการท่องเที่ยว

มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย: ผู้ขับเคลื่อนงานวิจัยและพัฒนา

มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย ในฐานะหน่วยงานทางวิชาการ จะเข้ามามีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนงานวิจัยและพัฒนาโครงการ โดยจะนำองค์ความรู้ทางวิชาการมาประยุกต์ใช้ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการทางการท่องเที่ยวให้มีความน่าสนใจและตอบสนองความต้องการของตลาด

ชุมชนท้องถิ่น: ผู้สร้างสรรค์และผู้ได้รับประโยชน์โดยตรง

ชุมชนท้องถิ่นทั้งสามแห่ง ได้แก่ ชุมชนดอยสะเก็น ชุมชนสันป่าก่อไทยใหญ่ และชุมชนป่างิ้ว จะมีส่วนร่วมในการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์และบริการทางการท่องเที่ยว โดยนำเสนอเอกลักษณ์และวัฒนธรรมของตนเอง ซึ่งจะส่งผลให้ชุมชนมีรายได้เพิ่มขึ้นและเกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน

การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม: กุญแจสำคัญสู่การพัฒนาเศรษฐกิจ

การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมเป็นหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของจังหวัดเชียงราย โดยการนำเสนอเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมที่หลากหลายของชุมชน จะดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติให้มาเยือน ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการจ้างงานและสร้างรายได้ให้กับชุมชน

ผลกระทบที่คาดว่าจะเกิดขึ้น

โครงการนี้คาดว่าจะก่อให้เกิดผลกระทบเชิงบวกต่อจังหวัดเชียงราย ดังนี้

  • การพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก: สร้างรายได้ให้กับชุมชนและผู้ประกอบการท้องถิ่น
  • การอนุรักษ์และส่งเสริมวัฒนธรรม: ช่วยอนุรักษ์และสืบทอดมรดกทางวัฒนธรรมของชุมชน
  • การสร้างงาน: สร้างโอกาสทางการงานให้กับคนในชุมชน
  • การพัฒนาการท่องเที่ยว: ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาเยือนจังหวัดเชียงรายมากขึ้น

บทสรุป

โครงการยกระดับการท่องเที่ยวและบริการเชิงสร้างสรรค์บนฐานภูมิปัญญาและวัฒนธรรม เป็นโครงการที่สำคัญในการพัฒนาจังหวัดเชียงรายให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจและยั่งยืน โดยการนำเอาศักยภาพของชุมชนและทรัพยากรทางวัฒนธรรมมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : เทศบาลนครเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
ENVIRONMENT

6 จุดหมายของประเทศไทย ติดแหล่งท่องเที่ยวยั่งยืนระดับโลก

เมื่อวันที่ 23 ตุลาคม 2567 การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยได้รับข่าวดีเมื่อหกจุดหมายปลายทางในประเทศไทยได้รับการยอมรับในรายชื่อ Green Destinations Top 100 ประจำปี 2024 ซึ่งเป็นการสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของประเทศในการพัฒนาการท่องเที่ยวที่ยั่งยืน รายชื่อดังกล่าวถูกเสนอโดยองค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (DASTA) โดยเน้นถึงแนวปฏิบัติที่ดีที่สุดจากหลากหลายภูมิภาคทั่วประเทศ

จุดหมายปลายทางที่ได้รับการยอมรับ

จังหวัดเชียงคานและเมืองสงขลาได้รับการยอมรับในหมวดหมู่ “Thriving Communities” สำหรับการท่องเที่ยวที่ขับเคลื่อนโดยชุมชน ซึ่งมีส่วนช่วยในการสร้างสรรค์และส่งเสริมการท่องเที่ยวที่ยั่งยืน เมืองโบราณอู่ทองได้รับการยกย่องในหมวดหมู่ “Destination Management” สำหรับการจัดการจุดหมายปลายทางอย่างมีประสิทธิภาพ ขณะที่เวียงภูเพียงแช่แห้งได้รับการยกย่องในหมวด “Culture and Tradition” สำหรับการอนุรักษ์มรดกวัฒนธรรมท้องถิ่น

สำหรับหัวหินและอุทัยธานี หัวหินได้รับการยกย่องในด้านการจัดการสิ่งแวดล้อมและสภาพภูมิอากาศในหมวด “Environment and Climate” ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความพยายามของเทศบาลในการปรับปรุงสิ่งแวดล้อม ขณะที่อุทัยธานีได้รับการยอมรับในด้านการรักษาวัฒนธรรมท้องถิ่น โดยเทศบาลของทั้งสองเมืองมีส่วนสำคัญในการสร้างความยั่งยืนทางวัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อม

คำกล่าวของผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย

นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (TAT) ได้กล่าวแสดงความยินดีกับ DASTA เทศบาลเมืองหัวหิน เทศบาลเมืองอุทัยธานี และประชาชนในทั้งหกจุดหมายปลายทางที่ได้รับการยอมรับในด้านการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน พร้อมย้ำว่า “การได้รับการยอมรับในครั้งนี้สะท้อนถึงวิสัยทัศน์ของ TAT ในการมุ่งเน้นประเทศไทยให้เป็นจุดหมายปลายทางที่สร้างประสบการณ์การท่องเที่ยวที่ยั่งยืน”

โครงการที่ได้รับการยกย่อง

ในปีนี้เรื่องราวดี ๆ ของการพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนสามารถดาวน์โหลดได้ผ่านหลายลิงก์ ได้แก่

  • เชียงคาน: การจัดการผลกระทบจากการท่องเที่ยวด้วยกระบวนการมีส่วนร่วม (Managing Tourism Impact through Participatory Processes)
  • หัวหิน: เส้นทางสู่การเป็นเมืองไร้ขยะ (The Journey to Becoming a Garbage-Free City)
  • เมืองสงขลา: การฟื้นฟูเมืองเก่าสงขลาโดยชุมชน (Songkhla Old Town Revival: A Community-Driven Transformation)
  • เมืองโบราณอู่ทอง: การฟื้นฟูมรดกวัฒนธรรมเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนผ่านสังคมพลเมือง (U Thong’s Heritage Revival: Committed to Sustainable Development through Civil Society)
  • อุทัยธานี: การอนุรักษ์ความภาคภูมิใจของเรา: ชุมชนแพสุดท้ายในประเทศไทย (Preserving Our Pride: The Last Raft House Community in the Country)
  • เวียงภูเพียงแช่แห้ง: ร่วมกันสู้เพื่อฟื้นฟูงานประเพณีหกเป็ง นมัสการพระธาตุเจ้าภูเพียงแช่แห้ง (Together We Rise: The Transformation of the Hok Peng Festival)

จุดหมายปลายทางเหล่านี้เข้าร่วมกับเรื่องราวที่โดดเด่นอีก 10 เรื่องจากประเทศไทย ที่ได้รับการยอมรับใน Green Destinations Top 100 Stories ตั้งแต่ปี 2020 ถึง 2023 โดยมีสองเรื่องเด่น ได้แก่ การท่องเที่ยวเชิงชุมชนของห้วยปูเก่ง และความพยายามในการลดคาร์บอนของเกาะหมาก ซึ่งได้รับรางวัล Green Destinations Story Awards ที่งาน ITB Berlin 2023 นอกจากนี้ เชียงคานยังสร้างประวัติศาสตร์ในฐานะจุดหมายแรกของอาเซียนที่ได้รับรางวัล Silver ใน Green Destinations Award ที่ ITB Berlin 2024

พิธีการประกาศรายชื่อ Green Destinations Top 100 ปี 2024

Green Destinations ได้ประกาศรายชื่อเรื่องราวที่ดีที่สุดใน Green Destinations Top 100 ประจำปี 2024 ในงานประชุมระดับโลก Green Destinations 2024 Global Conference ที่จัดขึ้นในชิลี ระหว่างวันที่ 15-17 ตุลาคม 2567 โดยปีนี้มีเรื่องราวดี ๆ จาก 32 ประเทศทั่วโลก

บทสรุป

การยอมรับใน Green Destinations Top 100 ปี 2024 ของหกจุดหมายปลายทางในประเทศไทยเป็นการตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นในการส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน และการพัฒนาชุมชนด้วยการท่องเที่ยวที่สร้างสรรค์ ทั้งนี้เป็นการสนับสนุนวิสัยทัศน์ของประเทศไทยในการเป็นจุดหมายปลายทางที่ยั่งยืนและสร้างความทรงจำให้กับนักท่องเที่ยว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News