Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

UNIDO เลือกเชียงราย สร้างภูมิคุ้มกันโลกร้อน หนุนท่องเที่ยวชุมชนเข้มแข็ง

เชียงราย จังหวัดต้นแบบ “อยู่ร่วมโลกร้อน” อพท. จับมือ UNIDO ระดมพลังทุกภาคส่วน เดินหน้าโครงการท่องเที่ยวชุมชนยืดหยุ่นต่อสภาพภูมิอากาศ

เชียงราย, 25 มิถุนายน 2568 – องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) หรือ อพท. ผนึกความร่วมมือกับ องค์การพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งสหประชาชาติ (UNIDO) ประกาศเลือกจังหวัดเชียงรายเป็นจังหวัดต้นแบบในการพัฒนาศักยภาพของชุมชนและระบบเศรษฐกิจการท่องเที่ยวให้ปรับตัวและอยู่ร่วมกับสภาวะโลกร้อนและโลกรวนอย่างมีประสิทธิภาพ เปิดเวทีระดมความคิดเห็นจากภาครัฐ เอกชน และชุมชน ร่วมกำหนดทิศทางการขับเคลื่อนโครงการนำร่อง ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของการสร้างแบบจำลองการปรับตัวในระดับพื้นที่ต่อการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศของไทย

เวทีร่วมคิดสร้างแผนปรับตัวเพื่ออนาคต

เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2568 เวลา 10.00 น. ณ โรงแรม Athita The Hidden Court Chiang Saen Boutique Hotel อพท. จัดประชุมระดมความคิดเห็น “การสร้างการท่องเที่ยวชุมชนที่มีความยืดหยุ่นต่อสภาพภูมิอากาศและห่วงโซ่อุปทานที่ยั่งยืน” เพื่อร่วมกำหนดแผนงานโครงการต้นแบบในพื้นที่ 4 อำเภอ ได้แก่ เชียงแสน แม่สาย แม่จัน และแม่ฟ้าหลวง ครอบคลุมกว่า 300 หมู่บ้าน โดยมี นายศิริปกรณ์ เชี่ยวสมุทร ผู้อำนวยการ อพท. เป็นประธาน, นายรุจติศักดิ์ รังษี รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย, Mr.Virpi Stucki Chief, Fair Production, Sustainability Standard and Trade, UNIDO (ประชุมทางไกล) พร้อมด้วยตัวแทนภาคีเครือข่ายและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม

นายศิริปกรณ์ เชี่ยวสมุทร เปิดเผยว่า โครงการนี้เป็นโอกาสสำคัญของเชียงราย เนื่องจาก UNIDO ได้ตัดสินใจนำร่องพัฒนาระบบการอยู่ร่วมกับสภาวะโลกร้อนในจังหวัดเชียงรายเป็นพื้นที่แรกของไทย และเตรียมสนับสนุนงบประมาณจากองค์การสหประชาชาติ ต่อยอดการพัฒนาทั้งมิติการท่องเที่ยวชุมชน การบริหารจัดการทรัพยากร การฟื้นฟูระบบนิเวศ และการสร้างเศรษฐกิจฐานรากที่ยั่งยืน

สู่เป้าหมาย “ปรับตัวอยู่รอด” ในสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลง

จุดเด่นของโครงการฯ คือการมุ่งสร้างความยืดหยุ่น (Climate Resilience) ให้กับชุมชน โดยอาศัยความร่วมมือแบบบูรณาการจากทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ ภาคเอกชน ชุมชนท้องถิ่น องค์กรระหว่างประเทศ และภาควิชาการ ตัวอย่างแนวคิดการพัฒนาที่จะผลักดันในพื้นที่เป้าหมาย เช่น การปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรับมือน้ำท่วมหรือภัยแล้ง พัฒนาเส้นทางท่องเที่ยวสีเขียว (Green Tourism) และสร้างระบบห่วงโซ่อุปทานสินค้าและบริการที่ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและรับมือกับความเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศได้จริง

นายศิริปกรณ์ ย้ำว่า “เรากำลังติดกระดุมเม็ดแรก” ให้กับชุมชนเชียงราย เพื่อวางระบบการบริหารจัดการเงินทุนและความร่วมมือ เมื่อได้รับงบประมาณและโอกาสจากต่างประเทศแล้ว จะต้องบริหารงบอย่างตรงเป้าหมายและโปร่งใส พร้อมให้ความสำคัญกับต้นน้ำของปัญหาในแต่ละชุมชน เช่น ภัยน้ำท่วม น้ำแล้ง หรือปัญหาโครงสร้างพื้นฐาน โดยการทำงานร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เช่น จังหวัด อบจ. และเทศบาล เพื่อให้การพัฒนาไปสู่เป้าหมายเดียวกัน

โอกาสเชียงรายจากเวทีโลกสู่การพัฒนาท้องถิ่นยั่งยืน

การเลือกเชียงรายเป็นพื้นที่นำร่องครั้งนี้เกิดจากความเชื่อมั่นในศักยภาพของจังหวัดและการทำงานแบบเป็นทีม โดยเฉพาะความเข้มแข็งของผู้นำจังหวัดอย่างนายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ซึ่งได้รับการยอมรับจากทีม UNIDO และภาคีระหว่างประเทศ นอกจากนี้ อพท. ยังได้ร่วมมือกับ GISTDA ในการนำเทคโนโลยีภูมิสารสนเทศและระบบอวกาศมาวิเคราะห์ วางแผนและติดตามผลลัพธ์ของโครงการอย่างมีประสิทธิภาพ

สะท้อนภาพอนาคตเชียงรายต้นแบบการอยู่ร่วมกับโลกร้อน

ในเวทีระดมความคิดเห็นครั้งนี้ มีการแลกเปลี่ยนปัญหาและแนวทางแก้ไขที่สอดคล้องกับบริบทของแต่ละพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาทางเลือกใหม่ๆ ด้านเศรษฐกิจสร้างสรรค์ สินค้าท่องเที่ยวชุมชน การบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างรู้คุณค่า หรือการวางแผนรับมือกับภัยพิบัติที่มีแนวโน้มรุนแรงขึ้นในอนาคต

การเคลื่อนโครงการนี้จะเป็นต้นแบบสำคัญในการพัฒนาความยั่งยืนและความปลอดภัยทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ที่ชุมชนต่างๆ สามารถนำไปต่อยอดขยายผลในพื้นที่อื่นทั่วประเทศไทย

สรุปและวิเคราะห์ผลลัพธ์

โครงการความร่วมมือระหว่าง อพท. และ UNIDO เพื่อสร้างความยืดหยุ่นต่อสภาพภูมิอากาศและห่วงโซ่อุปทานการท่องเที่ยวในเชียงราย ถือเป็นโอกาสสำคัญที่ไม่เพียงแต่จะยกระดับเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตของประชาชน แต่ยังสร้างภาพลักษณ์ใหม่ของไทยในเวทีโลก ดึงดูดเงินทุนและเทคโนโลยีจากต่างประเทศ รวมถึงสร้างความเข้มแข็งจากภายในด้วยความร่วมมือของชุมชน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
WORLD PULSE

ท่องเที่ยวเวียดนามฟีเวอร์ ไทยเสียแชมป์ตลาดเอเชีย

เวียดนามฟีเวอร์! นักท่องเที่ยวทะลุ 7.6 ล้าน ไทยชะลอตัว-ตลาดจีนแห่เที่ยวเวียดนาม แซงไทยในตลาดหลักเอเชีย

ประทเศไทย, 1 มิถุนายน 2568 – การท่องเที่ยวเวียดนามกลายเป็นประเด็นร้อนของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เมื่อสำนักงานการท่องเที่ยวแห่งชาติเวียดนามเปิดเผยสถิติชี้ว่า เวียดนามต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติสูงถึง 7.67 ล้านคน ในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2568 เพิ่มขึ้น 23.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา นับเป็นการขยายตัวที่น่าจับตา สะท้อนภาพเวียดนามในฐานะ “แม่เหล็ก” ดึงดูดนักท่องเที่ยวรายใหม่จากทั่วโลก

เวียดนามแรงแซงไทย นักท่องเที่ยวจีน-เกาหลีหันเป้าหมายใหม่

ข้อมูลล่าสุด (อัปเดต 12 พฤษภาคม 2568) ระบุว่า ตลาดนักท่องเที่ยวที่เข้าเยือนเวียดนามสูงสุดคือจีน 1.95 ล้านคน ตามด้วยเกาหลีใต้ 1.58 ล้านคน ขณะที่ไทย ซึ่งเคยเป็นจุดหมายหลักสำหรับตลาดทั้งสองกลุ่ม กลับถูกเวียดนามแซงหน้าอย่างชัดเจน โดยสถิติระบุว่า นักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางเข้าไทยช่วงต้นปีมีเพียง 1.82 ล้านคน ส่วนกลุ่มเกาหลีใต้ ไทยมีนักท่องเที่ยวราว 600,000 คน ขณะที่เวียดนามดึงกลุ่มนี้ได้ถึง 1.58 ล้านคน หรือมากกว่าประมาณ 3 เท่า

ตลาดสำคัญอื่นๆ อาทิ ไต้หวัน สหรัฐฯ ญี่ปุ่น และกัมพูชา ก็เติบโตต่อเนื่อง ขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น ฟิลิปปินส์ (+98.3%) กัมพูชา (+79.6%) และลาว (+44.7%) ต่างมีอัตราเติบโตสูง ส่วนไทย (+3.1%) และมาเลเซีย (+0.3%) กลับขยายตัวได้เพียงเล็กน้อย

แนวโน้มเปลี่ยนทิศทางการท่องเที่ยวในภูมิภาค

สถานการณ์ที่เวียดนามแซงหน้าไทยในกลุ่มตลาดหลักอย่างจีนและเกาหลีใต้ สะท้อนความเปลี่ยนแปลงสำคัญในภูมิทัศน์อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของภูมิภาค โดยในอดีต ไทยเคยเป็นจุดหมายหลักของนักท่องเที่ยวจีนและเกาหลีมาโดยตลอด แต่ปัจจุบันนักท่องเที่ยวทั้งสองชาติกลับเลือกเวียดนามเป็นปลายทางมากขึ้น เนื่องจากหลายปัจจัย เช่น นโยบายดึงดูดการท่องเที่ยวเชิงรุก การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และความหลากหลายทางวัฒนธรรมที่ตอบโจทย์นักเดินทางรุ่นใหม่

ไทยยังคงตัวเลขรวมสูงแต่แนวโน้มชะลอตัว

แม้ไทยจะยังมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติสะสมสูงกว่า โดยข้อมูลสะสมตั้งแต่ 1 ม.ค.–25 พ.ค. 2568 ไทยต้อนรับนักท่องเที่ยวรวมกว่า 13 ล้านคน แต่สัปดาห์ล่าสุดกลับมีแนวโน้มชะลอตัวลง นักท่องเที่ยวลดลง 5.11% โดยเฉพาะกลุ่มจีน เกาหลีใต้ และมาเลเซีย ลดลง 8.26%, 1.72% และ 1.42% ตามลำดับ สะท้อนแรงกดดันด้านการแข่งขันจากเวียดนามและความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจในภูมิภาค

ตลาดจีนซึ่งเคยเป็น “หมุดทองคำ” ของไทย เริ่มแปรเปลี่ยนฐานความนิยม โดยจำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่เข้าเวียดนามสูงกว่าของไทยอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ กลุ่มนักท่องเที่ยวจากเกาหลีใต้ซึ่งถือเป็น “กำลังซื้อหลัก” ของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทย ก็เลือกเวียดนามเพิ่มขึ้นในอัตราที่รวดเร็ว

วิเคราะห์ปัจจัยสำคัญที่เปลี่ยนทิศการท่องเที่ยว

หนึ่งในปัจจัยหลักที่นักวิเคราะห์ชี้ชัด คือการที่เวียดนามใช้นโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง ทั้งการพัฒนาเส้นทางบินตรง การเปิดเมืองใหม่ การพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวใหม่ๆ รวมถึงราคาค่าครองชีพที่เหมาะสม ในขณะที่ประเทศไทยกำลังเผชิญกับปัญหาค่าเงินบาทแข็ง อัตราค่าครองชีพสูง รวมถึงความกังวลในเรื่องความปลอดภัยที่ถูกหยิบยกในสื่อระหว่างประเทศ

นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ให้ความเห็นว่า สาเหตุหลักของการลดลงของจำนวนนักท่องเที่ยวจีน ญี่ปุ่น และต่างชาติส่วนหนึ่งมาจากความกังวลเรื่องความปลอดภัยและอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาทที่แข็งค่า ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายท่องเที่ยวในไทยสูงขึ้น ทำให้เวียดนามกลายเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับกลุ่มนี้

ทิศทางการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน กลายเป็นความท้าทายของไทย

รายงานจาก Lao Tien Times ในงาน Thailand Tourism Forum 2025 เมื่อ 7 พฤษภาคม 2568 ชี้ว่า ไทยกำลังตกเป็นรองในด้านการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน โดยมีเพียง 109 โรงแรม หรือไม่ถึง 1% ของโรงแรมทั่วประเทศ ที่ผ่านการรับรองมาตรฐานสากลด้านความยั่งยืน ขณะที่แพลตฟอร์มการจองและเทคโนโลยี AI เริ่มให้ความสำคัญกับสถานประกอบการที่มีใบรับรองมาตรฐานอย่างเข้มงวด ส่งผลให้โรงแรมไทยที่ไม่ผ่านมาตรฐานอาจถูกกันออกจากตลาดสำคัญ เช่น การเดินทางเพื่อธุรกิจและกลุ่ม MICE

อาลิสา ศิวายะธร CEO Sivatel Bangkok Hotel กล่าวในงานว่า กระแสความต้องการท่องเที่ยวเชิงรับผิดชอบกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว ไม่ใช่แค่ “เทรนด์” อีกต่อไป แต่เป็น “มาตรฐานใหม่ของโลก” โดยเฉพาะนักเดินทางจากยุโรปที่มีการออกกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมเข้มข้นมากขึ้น

แม้ผู้บริโภคไทยจะมีความสนใจเรื่องสิ่งแวดล้อม โดยพบว่าในปี 2567-2568 มีโพสต์เกี่ยวกับการลดใช้พลาสติกและขยะกว่า 6,800 โพสต์บนโซเชียลมีเดีย และมีผู้มีส่วนร่วมมากกว่า 1.2 ล้านครั้ง ข้อมูลจากผลสำรวจระบุว่า 65% ของนักท่องเที่ยวไทยยินดีจ่ายเงินมากขึ้นเพื่อประสบการณ์ท่องเที่ยวที่ยั่งยืน และ 62% ยินดีจ่ายเพิ่มเพื่อเลี่ยงการใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียว แต่ราคายังเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ผู้บริโภคบางกลุ่มเลือกวิธีที่ประหยัดมากกว่าสิ่งแวดล้อม

ลาวโดดเด่นบนเวทีโลก ผลักดันเมืองหลวงพระบางสู่มาตรฐานโลก

ขณะที่ไทยกำลังดิ้นรนกับมาตรฐานความยั่งยืน ลาวกลับมีความคืบหน้าสำคัญ หลวงพระบางได้รับรางวัลอันดับ 3 ใน Green Destinations Top 100 Story Awards สาขาการบริหารจัดการแหล่งท่องเที่ยว (Destination Management) ณ งาน ITB Berlin เมื่อเดือนมีนาคม 2568 นอกจากนี้ หลวงพระบางอยู่ระหว่างการเตรียมตัวขอรับรอง Green Destination Certification อย่างเป็นทางการ ซึ่งจะยกระดับภาพลักษณ์เมืองมรดกโลกให้สูงขึ้นไปอีกขั้น

สถิติล่าสุดระบุว่าในปีที่ผ่านมา หลวงพระบางมีนักท่องเที่ยวทั้งชาวลาวและต่างชาติกว่า 2.3 ล้านคน สร้างรายได้มากกว่า 1.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ เช่น น้ำตกกวงสี วัดเชียงทอง ภูสี และตลาดกลางคืน ยังคงเป็นแม่เหล็กสำคัญ

ทางออกและมาตรการกระตุ้นท่องเที่ยวไทย

นายจักรพล ตั้งสุทธิธรรม ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ระบุว่ารัฐบาลกำลังเร่งดำเนินมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวไทยอย่างต่อเนื่อง เช่น โครงการ “สวัสดีหนีห่าว” ที่นำผู้ประกอบการและ KOL จากจีนเข้าร่วมงานโปรโมตประเทศไทย พร้อมขยายตลาด “Long haul” หรือกลุ่มเดินทางไกล ขณะที่ยังต้องรักษาตลาด “Short haul” หรือกลุ่มระยะใกล้ โดยมีมาตรการเสริมสร้างความเชื่อมั่นเรื่องความปลอดภัย และอำนวยความสะดวกผ่านระบบ ตม.6

นางสาวฐาปนีย์ ยังยืนยันว่า ไทยมีศักยภาพขยายตลาดใหม่ พร้อมย้ำถึงมาตรการเชิงรุกที่จะทำให้ตลาดจีนและกลุ่มเป้าหมายสำคัญกลับมาเติบโตในครึ่งปีหลัง

วิเคราะห์แนวโน้ม อุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยในปี 2568

สถานการณ์การแข่งขันของเวียดนามและไทยในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวปี 2568 สะท้อนให้เห็นถึงความจำเป็นในการปรับกลยุทธ์ของไทย ทั้งในแง่ของการขยายตลาดใหม่ การยกระดับมาตรฐานความยั่งยืน และการเสริมสร้างความมั่นใจด้านความปลอดภัยและประสบการณ์ท่องเที่ยว ตลอดจนการเน้นกลยุทธ์การตลาดที่สอดคล้องกับพฤติกรรมนักท่องเที่ยวรุ่นใหม่ที่ให้ความสำคัญกับประสบการณ์ ความคุ้มค่า และความรับผิดชอบต่อสังคม

สถิติสำคัญและแหล่งอ้างอิง

  • เวียดนามมีนักท่องเที่ยวต่างชาติ 7.67 ล้านคน ช่วง 4 เดือนแรกของปี 2568 (+23.8%) (อ้างอิง: สำนักงานการท่องเที่ยวแห่งชาติเวียดนาม)
  • ไทยมีนักท่องเที่ยวสะสมกว่า 13 ล้านคน (1 ม.ค.–25 พ.ค. 2568) (อ้างอิง: กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา)
  • นักท่องเที่ยวจีนเยือนเวียดนาม 1.95 ล้านคน ไทย 1.82 ล้านคน (อ้างอิง: สำนักงานการท่องเที่ยวแห่งชาติเวียดนาม, กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา)
  • นักท่องเที่ยวเกาหลีใต้เยือนไทย 600,000 คน ขณะที่เวียดนาม 1.58 ล้านคน (อ้างอิง: สำนักงานการท่องเที่ยวแห่งชาติเวียดนาม)
  • ไทยมีโรงแรมที่ได้รับการรับรองมาตรฐานความยั่งยืนเพียง 109 แห่ง (<1%) (อ้างอิง: Siam Commercial Bank Economic Intelligence Center, Lao Tien Times)
  • หลวงพระบาง ลาว มีนักท่องเที่ยว 2.3 ล้านคน รายได้ 1.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (อ้างอิง: กรมการท่องเที่ยวและวัฒนธรรมลาว, ITB Berlin 2025)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • สำนักงานการท่องเที่ยวแห่งชาติเวียดนาม
  • กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
  • Siam Commercial Bank
  • Economic Intelligence Center
  • Lao Tien Times
  • งาน ITB Berlin 2025
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เทศบาลนครเชียงราย ผนึกกำลัง พัฒนาการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม

เชียงรายเดินหน้ายกระดับการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม สร้างเศรษฐกิจฐานราก

เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2567 เทศบาลนครเชียงราย ร่วมกับพันธมิตรทั้งภาครัฐและภาคเอกชน เดินหน้าขับเคลื่อนโครงการยกระดับการท่องเที่ยวและบริการเชิงสร้างสรรค์บนฐานภูมิปัญญาและวัฒนธรรม เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและสร้างเศรษฐกิจฐานรากให้เติบโตอย่างยั่งยืน

ความร่วมมือเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน

ในการนี้ นายวันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย ได้ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย ชุมชนดอยสะเก็น ชุมชนสันป่าก่อไทยใหญ่ และชุมชนป่างิ้ว เพื่อร่วมกันพัฒนาโครงการดังกล่าว โดยมีเป้าหมายหลักคือการนำเอาภูมิปัญญาและวัฒนธรรมท้องถิ่นมาสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์และบริการทางการท่องเที่ยว

มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย: ผู้ขับเคลื่อนงานวิจัยและพัฒนา

มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย ในฐานะหน่วยงานทางวิชาการ จะเข้ามามีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนงานวิจัยและพัฒนาโครงการ โดยจะนำองค์ความรู้ทางวิชาการมาประยุกต์ใช้ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการทางการท่องเที่ยวให้มีความน่าสนใจและตอบสนองความต้องการของตลาด

ชุมชนท้องถิ่น: ผู้สร้างสรรค์และผู้ได้รับประโยชน์โดยตรง

ชุมชนท้องถิ่นทั้งสามแห่ง ได้แก่ ชุมชนดอยสะเก็น ชุมชนสันป่าก่อไทยใหญ่ และชุมชนป่างิ้ว จะมีส่วนร่วมในการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์และบริการทางการท่องเที่ยว โดยนำเสนอเอกลักษณ์และวัฒนธรรมของตนเอง ซึ่งจะส่งผลให้ชุมชนมีรายได้เพิ่มขึ้นและเกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน

การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม: กุญแจสำคัญสู่การพัฒนาเศรษฐกิจ

การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมเป็นหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของจังหวัดเชียงราย โดยการนำเสนอเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมที่หลากหลายของชุมชน จะดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติให้มาเยือน ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการจ้างงานและสร้างรายได้ให้กับชุมชน

ผลกระทบที่คาดว่าจะเกิดขึ้น

โครงการนี้คาดว่าจะก่อให้เกิดผลกระทบเชิงบวกต่อจังหวัดเชียงราย ดังนี้

  • การพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก: สร้างรายได้ให้กับชุมชนและผู้ประกอบการท้องถิ่น
  • การอนุรักษ์และส่งเสริมวัฒนธรรม: ช่วยอนุรักษ์และสืบทอดมรดกทางวัฒนธรรมของชุมชน
  • การสร้างงาน: สร้างโอกาสทางการงานให้กับคนในชุมชน
  • การพัฒนาการท่องเที่ยว: ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาเยือนจังหวัดเชียงรายมากขึ้น

บทสรุป

โครงการยกระดับการท่องเที่ยวและบริการเชิงสร้างสรรค์บนฐานภูมิปัญญาและวัฒนธรรม เป็นโครงการที่สำคัญในการพัฒนาจังหวัดเชียงรายให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจและยั่งยืน โดยการนำเอาศักยภาพของชุมชนและทรัพยากรทางวัฒนธรรมมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : เทศบาลนครเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
ENVIRONMENT

6 จุดหมายของประเทศไทย ติดแหล่งท่องเที่ยวยั่งยืนระดับโลก

เมื่อวันที่ 23 ตุลาคม 2567 การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยได้รับข่าวดีเมื่อหกจุดหมายปลายทางในประเทศไทยได้รับการยอมรับในรายชื่อ Green Destinations Top 100 ประจำปี 2024 ซึ่งเป็นการสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของประเทศในการพัฒนาการท่องเที่ยวที่ยั่งยืน รายชื่อดังกล่าวถูกเสนอโดยองค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (DASTA) โดยเน้นถึงแนวปฏิบัติที่ดีที่สุดจากหลากหลายภูมิภาคทั่วประเทศ

จุดหมายปลายทางที่ได้รับการยอมรับ

จังหวัดเชียงคานและเมืองสงขลาได้รับการยอมรับในหมวดหมู่ “Thriving Communities” สำหรับการท่องเที่ยวที่ขับเคลื่อนโดยชุมชน ซึ่งมีส่วนช่วยในการสร้างสรรค์และส่งเสริมการท่องเที่ยวที่ยั่งยืน เมืองโบราณอู่ทองได้รับการยกย่องในหมวดหมู่ “Destination Management” สำหรับการจัดการจุดหมายปลายทางอย่างมีประสิทธิภาพ ขณะที่เวียงภูเพียงแช่แห้งได้รับการยกย่องในหมวด “Culture and Tradition” สำหรับการอนุรักษ์มรดกวัฒนธรรมท้องถิ่น

สำหรับหัวหินและอุทัยธานี หัวหินได้รับการยกย่องในด้านการจัดการสิ่งแวดล้อมและสภาพภูมิอากาศในหมวด “Environment and Climate” ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความพยายามของเทศบาลในการปรับปรุงสิ่งแวดล้อม ขณะที่อุทัยธานีได้รับการยอมรับในด้านการรักษาวัฒนธรรมท้องถิ่น โดยเทศบาลของทั้งสองเมืองมีส่วนสำคัญในการสร้างความยั่งยืนทางวัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อม

คำกล่าวของผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย

นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (TAT) ได้กล่าวแสดงความยินดีกับ DASTA เทศบาลเมืองหัวหิน เทศบาลเมืองอุทัยธานี และประชาชนในทั้งหกจุดหมายปลายทางที่ได้รับการยอมรับในด้านการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน พร้อมย้ำว่า “การได้รับการยอมรับในครั้งนี้สะท้อนถึงวิสัยทัศน์ของ TAT ในการมุ่งเน้นประเทศไทยให้เป็นจุดหมายปลายทางที่สร้างประสบการณ์การท่องเที่ยวที่ยั่งยืน”

โครงการที่ได้รับการยกย่อง

ในปีนี้เรื่องราวดี ๆ ของการพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนสามารถดาวน์โหลดได้ผ่านหลายลิงก์ ได้แก่

  • เชียงคาน: การจัดการผลกระทบจากการท่องเที่ยวด้วยกระบวนการมีส่วนร่วม (Managing Tourism Impact through Participatory Processes)
  • หัวหิน: เส้นทางสู่การเป็นเมืองไร้ขยะ (The Journey to Becoming a Garbage-Free City)
  • เมืองสงขลา: การฟื้นฟูเมืองเก่าสงขลาโดยชุมชน (Songkhla Old Town Revival: A Community-Driven Transformation)
  • เมืองโบราณอู่ทอง: การฟื้นฟูมรดกวัฒนธรรมเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนผ่านสังคมพลเมือง (U Thong’s Heritage Revival: Committed to Sustainable Development through Civil Society)
  • อุทัยธานี: การอนุรักษ์ความภาคภูมิใจของเรา: ชุมชนแพสุดท้ายในประเทศไทย (Preserving Our Pride: The Last Raft House Community in the Country)
  • เวียงภูเพียงแช่แห้ง: ร่วมกันสู้เพื่อฟื้นฟูงานประเพณีหกเป็ง นมัสการพระธาตุเจ้าภูเพียงแช่แห้ง (Together We Rise: The Transformation of the Hok Peng Festival)

จุดหมายปลายทางเหล่านี้เข้าร่วมกับเรื่องราวที่โดดเด่นอีก 10 เรื่องจากประเทศไทย ที่ได้รับการยอมรับใน Green Destinations Top 100 Stories ตั้งแต่ปี 2020 ถึง 2023 โดยมีสองเรื่องเด่น ได้แก่ การท่องเที่ยวเชิงชุมชนของห้วยปูเก่ง และความพยายามในการลดคาร์บอนของเกาะหมาก ซึ่งได้รับรางวัล Green Destinations Story Awards ที่งาน ITB Berlin 2023 นอกจากนี้ เชียงคานยังสร้างประวัติศาสตร์ในฐานะจุดหมายแรกของอาเซียนที่ได้รับรางวัล Silver ใน Green Destinations Award ที่ ITB Berlin 2024

พิธีการประกาศรายชื่อ Green Destinations Top 100 ปี 2024

Green Destinations ได้ประกาศรายชื่อเรื่องราวที่ดีที่สุดใน Green Destinations Top 100 ประจำปี 2024 ในงานประชุมระดับโลก Green Destinations 2024 Global Conference ที่จัดขึ้นในชิลี ระหว่างวันที่ 15-17 ตุลาคม 2567 โดยปีนี้มีเรื่องราวดี ๆ จาก 32 ประเทศทั่วโลก

บทสรุป

การยอมรับใน Green Destinations Top 100 ปี 2024 ของหกจุดหมายปลายทางในประเทศไทยเป็นการตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นในการส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน และการพัฒนาชุมชนด้วยการท่องเที่ยวที่สร้างสรรค์ ทั้งนี้เป็นการสนับสนุนวิสัยทัศน์ของประเทศไทยในการเป็นจุดหมายปลายทางที่ยั่งยืนและสร้างความทรงจำให้กับนักท่องเที่ยว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News